ตอนนี้เวลาหกโมงครึ่ง....
ผมเพิ่งเลิกเรียน และกำลังเดินลากขาเหมือนหุ่นยนต์ที่แบตกำลังจะหมดออกมาจากตึก
ทันทีที่รู้สึกถึงอากาศปลอดโปร่งนอกอาคาร ผมก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เพิ่งจะรู้ว่าห้องเรียนมันอุดอู้แค่ไหนก็ตอนที่ได้กลิ่นฝนที่เพิ่งซาไปแบบนี้นี่แหละ
ก่อนที่ไอ้เบอร์1มันจะเดินตามมา แล้วฟาดไหล่ผมดังปั่ก!
"หิวชิบ! หาไรแดกกัน"
มึงหิว แล้วจำเป็นมั้ยที่ต้องมาฟาดกูเต็มแรง?
สักพักเสียงบ่นยาวๆก็ดังมาจากไอ้เบอร์2ที่ยืนถัดไป
"เหนื่อยชิบหาย! แขนขากูนี่แทบหลุดออกจากตัว หัวสมองแตกโพล๊ะเป็นโกโก้ครั้นช์!"
“มุกควาย บึ้มเป็นโกโก้ครั้นอะไรนี่เลิกเล่นเหอะสัด ฝืด"
ไอ้เบอร์ 1 บ่นต่อพลางหาวออกมายกใหญ่ แล้วทรุดตัวลงนั่งยองๆลงกับพื้น
ทั้งหมดนี้มีสาเหตุมาจากการที่พวกผมต้องเรียนหนังสือกันตั้งแต่แปดโมงเช้า ได้พักเที่ยงแค่ครึ่งชั่วโมง ก่อนจะเรียนต่อจนมาถึงตอนนี้
"มึงอ่ะ นัดยิ้มไว้ป่ะ?"
ยิ้มพ่อง -_-
จากที่แรกๆพวกมันเรียกเขาตามผมว่ายิ้มหวาน ตอนนี้มีชื่อเล่นให้แล้วครับ
'ยิ้ม' คำเดียว สั้นๆ จบ
เพื่อนเล่นมึงรึไง?
"ว่าจะแวะไปว่ะ พวกมึงแดกไรกันอ่ะ?"
"สเต็กกก กูอยากกินสเต็ก!"
ไอ้โคนันที่เพิ่งเดินตามออกมายืนเอาหัวพิงเสา แล้วตอบกลับมาด้วยความเหม่อลอย
ไอ้นี่อาการหนักสุดครับ เพราะมันตั้งใจเรียนอย่างจดจ่อทั้งวันเลยจริงๆ พวกผมนี่ถ้าขี้เกียจก็หลับบ้าง เหม่อบ้าง แอบเล่นมือถือบ้าง แต่ไอ้โคนันไม่มีเลยครับ
ดีขนาดนี้ แต่ยังโสดนะครับ
ใครสนใจฝากเบอร์ไว้ดิ - _ -
ผมมองพวกเพื่อนๆอีกรอบ แล้วถอนหายใจกับพวกว่าที่นายแพทย์ในอนาคต
"พวกมึงไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูตามไป แวะไปหายิ้มหวานที่คณะก่อนแป้บนึง"
พูดจบผมก็เดินแยกจากพวกมันมา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ แล้วตัดสินใจโทรหาเขาแทนที่จะไลน์ไปอย่างทุกที เผื่อตอนนี้เจ้าตัวไม่อยู่ที่คณะแล้ว ผมจะได้ไปที่ร้านสเต็กพร้อมไอ้พวกสามคนนั้นเลย
รอสายอยู่ไม่นาน เขาก็รับ...
"ไงหมอ~"มาแค่เสียงยังน่ารักเลยเว้ย
"หวัดดี เพิ่งเรียนเสร็จว่ะ"
"ฮึ? โทรมาบอกกันเนี่ยนะ?"
เออนั่นดิ จะบอกเขาทำไมวะ?
"ไม่มีอะไร จะถามว่าอยู่ไหน ถามได้ปะล่ะ?"
เขาหัวเราะรับนิดๆ ก่อนจะตอบผมกลับมา
"ได้ดิ เราอยู่ตึกคณะ ยังนั่งทำงานอยู่ที่เดิมเลย...."
พูดจบเขาก็หาวใส่โทรศัพท์มาทีนึง แทนคำตอบ ง่วงมากสินะ
ไหวมั้ยเนี่ย?"ง่วงอ่ะดิ กินข้าวยัง กาแฟมั้ย?"
"ถามเยอะจัง ง่วง เราหลับอยู่ เพิ่งตื่น ยังไม่กินข้าว อยากกินกาแฟนิดนึง"
น้ำเสียงสดใสของเขาไล่่ตอบผมทีละคำถามอย่างน่ารัก จนผมยังหลุดยิ้ม แล้วเอาเท้าเตะต้นไม้แถวนั้นเล่นแก้เขิน
"อืม งั้นเดี๋ยวไปหา"
"ฮึ? มาหาเรา?"
"ใช่อะดิ จะให้ไปหาใคร?"
พูดจบผมก็ยิ้มออกมา ยิ่งเขาเงียบ ผมก็ยิ่งยิ้ม จนกระทั่งได้ยินเสียงเจ้าตัวตอบกลับมาแบบลากเสียงนิดหน่อย
"อื้อ~~"
"จะกินอะไรก็ไลน์มาบอกนะ ถามเพื่อนด้วยจะได้ซื้อไปทีเดียว"
"โอเค เก็บตังเราด้วย ห้ามเลี้ยงล่ะ"
พูดจบเขาก็รีบตัดสายไป หลังจากนั้นไม่นานไลน์ผมก็เด้งพร้อมกับรายการของกินยาวเหยียดที่เขาส่งมา พร้อมคำสั่งปิดท้าย
*อย่าลืม!!!
*ห้ามเลี้ยงนะ เก็บใบเสร็จมาให้เราด้วย
*^ ^ผมส่งสติ๊กเกอร์โอเคกลับไป ก่อนจะเดินไปเซเว่นสาขาที่ใกล้ที่สุด แล้วซื้อของเยอะแยะมากมายตามที่เขาสั่ง และกลับมาเอารถเพื่อขับไปที่คณะของเขา
เพราะวันนี้ต้องเข้าเรียนเช้ากว่าปกติ แถมยังต้องเรียนหนักทั้งวัน ผมเลยตัดสินใจขับรถมา
รู้เลยว่า กว่าจะเรียนเสร็จก็คงไม่มีแรงจะไปเบียดกับใครในรถไฟ้าอีก
มาถึงหน้าคณะเขา ผมก็จอดรถ ก่อนจะไลน์หากันอีกครั้ง
*ถึงแล้ว
*เดี๋ยวไปนั่งรอที่โต๊ะม้าหินหน้าคณะแล้วกันพิมพ์เสร็จผมก็หิ้วถุงก๊อบแก๊บสี่ห้าใบที่อัดแน่นไปด้วยขนมและข้าวกล่องแล้วลงไปจากรถ
พอเดินเข้าไปใกล้บริเวณที่นัดกันไว้ ผมก็เห็นว่าเขามานั่งรออยู่ก่อนแล้ว และคงจะได้ยินเสียงผมที่เดินเข้าใกล้เข้ามา เลยหันมาโบกมือให้กันพร้อมรอยยิ้ม
หัวใจผมแม่ง สะดุดผิดจังหวะอีกครั้งอย่างไม่รู้จักเบื่อ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เขา วางถุงทั้งหมดลงบนโต๊ะ
แล้วนั่งลงข้างๆคนที่หันหลังพิงขอบโต๊ะอยู่
"ไง...งานอีกเยอะป่ะ?"
เขาหันมายิ้มให้ผมนิดๆ ตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่าผมเส้นเล็กๆของเขาดูยุ่งเหยิงกว่าทุกวัน แถมใบหน้าที่ดูสดใสก็ติดจะง่วงงุนเกินปกติ
"ไม่เยอะนะ แต่เราอยากรีบทำให้เสร็จวันนี้เลย เสาร์อาทิตย์นี้ไม่ได้อยู่ช่วยเพื่อนด้วยอ่ะ"
"อ่าว ไปไหน?"
"ไปเขาใหญ่ ไปกับที่บ้าน – เอ้อ! เสาร์นี้ผมเบี้ยวนัดด้วยนะครับคุณหมอ"
เขาบอกผม พร้อมกับส่งยิ้มตาสระอิมาให้
การไปนั่งร้านกาแฟด้วยกันทุกวันเสาร์กลายเป็นนัดประจำตัวของเขาไปแล้ว...ผมยิ้มออกมากับความคิดนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากพยักหน้ารับรู้
อาจจะเป็นเพราะเรายังไม่มีอะไรอยากจะเล่าให้อีกฝ่ายฟัง ผมกับเขาเลยนั่งข้างกันไปเงียบๆ เขาเหยียดแขนบิดขี้เกียจ ส่วนผมก็นั่งรับลมเย็นๆ
หันมาอีกที คนข้างๆตัวผมก็เริ่มหันไปรื้อถุงก็อบแก็บที่วางอยู่ แล้วถามออกมาทั้งๆที่ไม่หันมามองกัน
"ซื้ออะไรมามั่งเนี่ย? เยอะแยะเลย"
"ก็ตามที่บอกอ่ะ"
"แล้วหมอกินไรยัง?"'
ผมหันไปมองคนถาม ยิ้มมุมปากไปให้ แล้วส่ายหน้าตอบ ก่อนจะเพิ่งสังเกตเห็นว่าผมทางด้านหลังของเขา มีส่วนนึงที่กระดกขึ้นมานิดหน่อย
เห็นอย่างนั้นผมก็ยื่นมือไป แล้วลูบให้มันกลับเข้าที่ พร้อมกับที่เขาถามออกมา
"หัวยุ่งเหรอ?"
"อือ นิดนึง"
"เมื่อกี้เราแอบหลับไง คนแถวนี้โทรมาปลุกว่ะ"
ผมเห็นคนข้างตัวพูดพลางหัวเราะออกมานิดหน่อย ก่อนจะหยิบขนมจีบกุ้งออกจากถุง แล้วยื่นมาตรงหน้าผม
"กินมั้ย?"
ระหว่างที่ผมกำลังงง และไม่รู้ว่าจะรับมือกับการที่มีเขามายื่นของกินให้อยู่ตรงหน้าแบบนี้ได้ยังไง
เค้ายื่นมาให้ผมรับไปกิน หรือว่ากำลังป้อน --
นั่นแหละประเด็นมือของเขาก็ยังคงขยับเข้ามาใกล้และยืนยันจะให้ผมกินขนมจีบตรงหน้านี้ให้ได้
ผมเลื่อนสายตาจากขนมจีบไปสบตากับเขา ก่อนจะเห็นว่าคนข้างๆกำลังยักคิ้วมาให้กันอย่างน่าตี
ได้... กวนกันใช่ไหม?
"ป้อนขนมจีบให้แบบนี้นี่ -- จีบกันรึไง?"
ผมพูดจบปุ๊บ คนข้างๆก็ทำสีหน้าตกใจ ก่อนจะดึงมือกลับไป แล้วงับขนมจีบอันแรกเข้าปากไปทันที
ผมมองเขาแล้วหลุดขำ ก่อนจะจับข้อมือของเขาไว้ ดึงให้ขนมจีบที่เสียบไม้อยู่นั้นกลับมาอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้งแล้วกัดมันเข้าไปในปาก
อดไม่ได้ที่จะยักคิ้วให้เขาสองที ระหว่างที่กำลังเคี้ยวขนมจีบอุ่นๆไปด้วย
หลังจากผมปล่อยข้อมือของเขาเป็นอิสระ ใบหน้าอันสมบูรณ์แบบของเขามุ่ยเข้า ก่อนจะจ้องหน้าผมกับสายตาเอาเรื่ิอง
"ที่เหลือเราไม่แบ่งแล้ว ไม่ต้องมามองหน้าเลย"
"ตามใจ~"
คำตอบของผมทำให้ ริมฝีปากเล็กๆยื่นออกมาอย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยถามคำถามไปอีกเรื่องหนึ่ง
"มัวแต่แกล้งคนอื่น ถามก็ไม่ตอบ กินอะไรมายัง?"
คำถามของเขาทำให้ผมหลุดยิ้ม เพราะความห่วงใยที่เจืออยู่ในนั้น ก่อนจะตอบกลับไป
"ยััง"
"แล้วทำไมไม่ซื้ออะไรมากินอ่ะ"
"เดี๋ยวต้องไปกินข้าวกับไอ้พวกนั้นอ่ะดิ"
"อ้าว! แล้วทำไมไม่รีบไป เพื่อนรอแล้วมั้ง"
"ดูคนกินขนมจีบอยู่เนี่ย"
"บ้าดิ มานั่งดูเรากินทำไม ไปหาเพื่อนได้แล้ว"
พูดจบเขาก็หันมา แล้วยกมือขึ้นตีต้นแขนผมทีนึง แล้วออกแรงดันที่ไหล่ผม เหมือนจะเร่งให้ลุกขึ้นยืน
"โอเคๆ ไปก็ได้"
พูดจบผมก็ยอมลุกขึ้นยืน ดึงเสื้อนักศึกษาที่ยับยู่ยี่ให้เข้าที่ ก่อนจะเห็นคนข้างๆตัวลุกขึ้นเหมือนกัน
ผมมองยิ้มหวานที่กำลังทำหน้าจริงจัง พยายามรวบถือถุงใส่ของเอาไว้ให้หมด ก่อนจะยื่นมือไปขยี้เส้นผมสั้นๆของเขาให้ยุ่งเหยิงไม่ต่างจากตอนแรก
ผมมองคนที่หน้ามุ่ย ผมยุ่ง แถมยังถือถุงก๊อบแก๊บเต็ม2มือแล้วยิ้มออก
สิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจตอนนี้ก็คือ -- ไม่ว่าเขาจะเป็นยังไง อยู่ในสภาพแบบไหน ทำไมเขาถึงได้ดูน่ารักอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้นะ? ผมเองก็ไม่เข้าใจ...
"ไปแล้ว ตั้งใจทำงานนะ เอารถมาปะ? ให้มารับมั้ย?"
"ถามเยอะอีกละ ไม่ต้องหรอก เรากลับเองได้" ^ ^
"อืม เดี๋ยวถึงบ้านแล้วไลน์หา ตั้งใจทำงาน สู้ๆ"
ผมได้รับรอยยิ้มจากเขาแทนคำพูดรับปากว่าจะตั้งใจทำงาน ก่อนจะเดินผละออกมา
เดินออกมาได้สองสามก้าว อยู่ดีๆผมก็หยุดฝีเท้าลง ก่อนจะมองกลับไป เพื่อที่จะเห็นว่า ใครอีกคนที่กำลังจะเดินเข้าไปในตึกคณะก็บังเอิญหยุดเดินและมองกลับมาที่ผมพอดี
ผมยกมือขึ้น โบกมือให้เขา ก่อนที่เขาจะย้ายของที่ถืออยู่ด้วยมือ2ข้างไปไว้ที่มือซ้ายแล้วโบกมือกลับมา ก่อนจะหันหลังเดินเข้าตึกไป
ผมมองแผ่นหลังได้รูปที่ห่างออกไปแล้วหลุดยิ้มกับเรื่องที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้...
ครั้งแรกที่ผมเห็นเขาก็คือตอนที่เขายืนอยู่ตรงนั้นจริงๆต้องใช้คำว่า
'ครั้งแรกที่ในหัวสมองของผมบันทึกภาพของเขาเอาไว้' ถึงจะใช่มากกว่า
นักแต่งเพลงคนหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องวินาทีหนึ่งที่ทำให้คนแปลกหน้า 2 คนจดจำกันได้...
ผมก็จำคำพูดของเขาไม่ได้หรอกว่า เค้าพูดว่าอะไร แต่ใจความรวมๆก็มันประมาณว่า
คุณเคยสงสัยไหมว่า วินาทีไหนที่คน2คนไม่ได้เป็นคนที่เดินผ่านกันอีกต่อไป
แต่กลายเป็นคนที่เห็นกันและกันในสายตาความสงสัยนั้นทำให้เขาเขียนเพลงที่ชื่อว่า minute of love ขึ้นมา
และ วินาทีนั้นของผมเกิดขึ้นที่หน้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ในบ่ายวันหนึ่ง
วันที่ผมเห็นยิ้มหวานในสายตาเป็นครั้งแรก...
ตลอดระยะเวลาปีกว่าในมหาวิทยาลัย ผมอาจจะเคยเดินสวนกับเขาเป็นสิบครั้ง ยี่สิบครั้ง สามสิบครั้งหรือมากกว่านั้น ผมไม่เคยรู้ เพราะสายตาผมก็แค่มอง -- แต่ไม่ได้เห็น
ผมไม่เคยบันทึกภาพของเขาเอาไว้ในหัวสมอง แค่ยอมให้เขาผ่านตาเข้ามา แล้วก็ปล่อยให้ผ่านออกไปเหมือนใครอีกหลายคนที่บังเอิญเดินสวนกับผมเช่นกัน
ใครจะไปรู้...ในครั้งที่หนึ่งร้อย หรืออาจจะมากกว่านั้น...
อยู่ดีๆสมองของผมก็บันทึกภาพของเขาคนนี้เอาไว้ แล้วส่งตรงไปที่หัวใจในทันที
วันนั้นผมโดนเพื่อนที่คณะลากมาโปรโมทกิจกรรมตรงพื้นที่ว่างหน้าคณะของเขา
เพียงเพราะว่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์อยู่ติดประตูใหญ่จึงมีคนผ่านไปผ่านมาเป็นจำนวนมาก
ตอนนั้นผมกำลังนั่งอู้อยู่กับไอ้เพื่อนเวรสามคนนี้แหละ
ไอ้เบอร์1มันกำลังทายคำถามเรื่อง
'สัตว์อะไรไม่ได้ดอกไม้วันวาเลนไทน์'ผมฟังคำถามของมันผ่านๆ แล้วถอนหายใจกับคำตอบที่ว่า
'สัดเอ้ย กูนี่แหละ' ก่อนจะตัดสินใจเบนสายตามองบรรยากาศร่มรื่นรอบตัว เพียงเพราะอยากจะหนีจากมลพิษทางบุคคลที่ยังคงถามคำถามแนว
'สัตว์อะไร...' ของมันต่อไป
ตอนนั้นเองที่สายตาของผมไปสะดุดเข้ากับใครคนหนึ่งเข้าเต็มๆ
ถ้าการ
'สะดุดตา' มันแสดงออกได้เหมือนเวลาเราเดินสะดุดก้อนหิน
วันนั้นผมคงสะดุดแรงมากจนหัวทิ่มไม่มีชิ้นดี...
ภาพในตอนนั้นที่ผมเห็นคือ มีนักศึกษาคนนึงกำลังหอบข้าวของมาเต็มสองมือแบบทุลักทุเล
เขาเดินมาจากอีกฝั่งนึง ข้ามถนนแคบๆ แล้วเดินใกล้เข้ามายังจุดที่พวกผมนั่งกันอยู่
ใบหน้าของเขาดูบึ้งตึง แต่แปลกดีที่สีหน้านั้นยังคงไม่ทิ้งความสดใส
เขาเข้ามาใกล้พวกผมมากขึ้นอีกนิด ก่อนจะวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะม้าหินที่อยู่ถัดไปสักสามสี่ตัว
พอได้วางของทั้งหมดลง เขาก็ถอนหายใจ ใช้หลังมือปาดเหงื่อ และทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้
พร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมา ผมเดาเอาว่าเขาน่าจะกำลังโทรตามใครสักคน
ริมฝีปากเรื่อสีตามธรรมชาตินั้นขยับบ่นไม่หยุดจนผมที่นั่งมองอยู่ยังต้องกลั้นขำ
"มึง..."
"...."
"คุณมึงครับ!!!!!"และตอนนั้นเองที่เสียงเรียกดังๆพร้อมกับแรงตบหนักๆจะฟาดลงมาบนหัวของผมเต็มๆโดยฝีมือไอ้เบอร์ 1 คนเดิม เพิ่มเติมเดี๋ยวบอก
ผมหันไปมองไอ้เพื่อนสามคนที่มองมาที่ผมเป็นตาเดียว ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า พวกมันมีธุระอะไร?
"ไม่ต้องมาหน้าเหวอไอ้สัด!"
"อ่าว เหี้ยนี่! ก็อยู่ดีๆมึงมาฟาดหัวกู กูจะไม่เหวอได้ไงวะ"
"กูเรียกมึงหลายครั้งแล้วมั้ยล่ะ"
"อ่าวเหรอ โทษๆ กูไม่ได้ยินจริงๆ"
ผมไม่ได้เว่อนะเว้ย
ไม่ได้ยินมันเรียกจริงๆเหอะ -_-
"เออกูเชื่อ – มึงเป็นเหี้ยไร นั่งยิ้มลำพังหัวเราะลำพังสดชื่นกว่าทักครั้งที่ผ่านมา..."
"..."
ตลกมากมั้ยสัด?
"เมาเห็ดเหรอ?"
เห็ดหน้ามึงสิ -_-
"นั่นสิ..."
พูดออกมาแค่นั้น...ก่อนไอ้โคนันก็ดึงสายตากลับไปยังที่ๆเขาเคยยืนอยู่ ผมเองก็มองตามมัน ก่อนจะเห็นแค่แผ่นหลังของเขา ท่ามกลางเพื่อนๆอีกสองสามคนกำลังช่วยกันถือของเดินเข้าตึกไป
ริมฝีปากผมกดยิ้มโดยอัตโนมัติ ตอนที่เขาหันไปพูดกับเพื่อนด้วยสีหน้ามุ่ยๆอีกครั้ง เหมือนกำลังบ่นเรื่องลมฟ้าอากาศ
"เมาเห็ดพ่อง กูง่วงเลยเหม่อๆ"
"อ๋อเหรอ -- เห็นมึงเหม่อชิบ ก็นึกว่าแอบมองใคร"
ไอ้สัดโคนัน แว่นมึงนี่ซ่อนสมองกลไว้ใช่มั้ย ถึงได้รู้ทุกเรื่อง
"ไม่ได้มองใครเว่ย แค่กูเห็นเด็กถาปัตย์ตรงนั้นท่าทางวุ่นวายชิบ กูก็ดูเฉยๆ"
"คร้าบ...แถได้แถไป อย่าให้กูรู้นะ จะด่าให้มึงกลายเป็นตัวเหี้ยเลย"
ผมไม่ต่อปากต่อคำกับพวกมันอีก แต่ตอบกลับไปด้วยการยักคิ้วทีนึงพร้อมกับยิ้มมุมปาก
การกระทำนั้นทำให้ผมโดนพวกมันโบกกบาลไปอีกคนละที
หลังจากนั้นไม่นานช่วงเวลาแห่งการอู้งานก็จบลง พวกผมโดนประธานรุ่นลากออกไปยืนที่บูธโปรโมท เพราะมีกลุ่มเด็กม.ต้นมาถามหา
ผมโดนเด็กๆรุมล้อมรอบตัวเหมือนที่โดนอยู่บ่อยครั้ง แต่รอบนี้แปลกไป เพราะอยู่ดีๆก็มีสมุดโน้ตเล่มเล็กๆยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับปากกาเมจิกสีดำ
ผมเลิกคิ้วมองสมุดเล่มนั้น ก่อนจะมองเลยไปยังเจ้าของมือเล็กๆที่ถือสมุดอยู่ แล้วพูดออกมาเมื่อสบตากับผมเข้า
"ขอลายเซ็นพี่หมอหน่อยค่ะ"
".....?"
"คือ...หนูขอลายเซ็นพี่หน่อย ได้ไหมคะ"
เขาดูประหม่ามากครับ แต่ผมเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก -_-
"ไม่มีลายเซ็นอ่ะดิ"
ผมตอบไปตามตรง ไม่ได้กวนตีนนะ แต่ผมไม่มีสายเซ็นจริงๆ พูดจบก็ได้ยินเสียงร้อง
'โหยย' แฝงความรู้สึกเสียดายดังขึ้นมาจากกลุ่มตรงหน้า จนผมต้องย้ำอีกครั้ง
"เห้ย ไม่มีลายเซ็นจริงๆ ไม่ได้แกล้งด้วย"
แต่น้องเค้าก็ยังไม่หมดหวัง...
"งั้นพี่เขียนชื่อให้หนูเฉยๆก็ได้ค่ะ"
"เอางั้นเลย?"
"ค่ะ!"
ได้ยินอย่างนั้นผมก็เขียนชื่อตัวเองลงไปบนกระดาษแล้วพบว่า
...มันช่างไม่มีอะไรสิ้นดีถ้าน้องเอากระดาษที่ผมเขียนชื่อไว้วางทิ้งเอาไว้ที่บ้าน ผมว่ามันอาจจะโดนใครหยิบไปเช็ดขี้หมาเอาง่ายๆ เพราะแบบนั้นผมก็เลยเขียนต่อท้ายไปให้น้องเค้าสั้นๆว่า
'ตั้งใจเรียนด้วย'เขียนเสร็จปุ๊บ เสียงฮือฮาของพวกเด็กๆที่ดังขึ้นมาข้างตัวก็เรียกให้ผมหันไปมอง ก่อนจะเห็นว่าพวกน้องๆบางคนที่เคยยืนอยู่ใกล้ๆผมกำลังวิ่งไปหาใครบางคน
และเมื่อผมมองไป...ก็เห็นว่าเขาอยู่ตรงนั้น
คนที่เพิ่งเดินเข้าไปในตึกเมื่อครู่เดินกลับออกมาอีกรอบ ถ้าไม่ลืมของก็คงจะออกมาซื้ออะไรสักอย่าง แต่การที่เขาเดินกลับออกมานั้นสร้างความฮือฮาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เด็กผมเปียตรงหน้าผมพูดชื่อของเขาออกมา ตามด้วยคณะที่เรียนอย่างตื่นเต้น ดูท่าทางแล้วก็พร้อมจะทิ้งผมไปหาเขาอีกคนนึงเหมือนกัน
ผมมองใบหน้าสดใสของคนที่คุยหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติกับกลุ่มเด็กนักเรียนที่พุ่งตรงมารุมล้อมแล้วก็เผลอยิ้มตาม ก่อนจะรีบดึงความสนใจกลับมายังสมุดเล่มเล็กในมือตัวเอง
ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเด็กสาวผมเปียที่มองสิ่งที่ผมกำลังเขียนอยู่อย่างมีความหวัง
ก่อนนิ้วมือที่กำลังควงปากกาอยู่จะหยุดลง ผมจับปากกาให้ถนัดมือ แล้วจุดจุดเล็กๆลงไป 2 จุด ตามด้วยการวาดเส้นโค้งอีก1เส้นต่อท้าย
ทักษะการวาดภาพของผมย่ำแย่เต็มทน แต่รูปที่วาดลงไปก็ยังพอดูออกอยู่ว่าเป็นสัญลักษณ์หน้ายิ้ม : )
"มึงๆ เดี๋ยวไปถ่ายรูปกับอาจารย์หน่อย"
เสียงเรียกจากเพื่อนร่วมรุ่นทำให้ผมต้องหันไปมองก่อนจะพยักหน้ารับ
ได้ยินอย่างนั้น ผมก็รีบคืนสมุดโน้ตเล่มนั้นไปให้เด็กผู้หญิงตรงหน้า เขาขอบคุณผมยกใหญ่ทั้งๆที่สิ่งที่ผมทำให้เขามันเล็กน้อยเต็มที ซึ่งนั่นก็ทำให้รีบตอบเจ้าตัวกลับไปว่าไม่เป็นไร ก่อนที่น้องเขาจะเดินผละไปจากผม
พอมองตามทิศทางที่เด็กผู้หญิงตรงหน้าผมกำลังเดินไป ก็เห็นว่ามีใครอีกคนยังคงโดนเด็กๆรุมล้อมอยู่อย่างเดิม
"มึงเร็ว อาจารย์รอ"
เสียงเรียกที่ดังตามมาอีกครั้งทำให้ผมต้องจำใจละสายตาออกมา ก่อนจะตอบรับไปสั้นๆโดยไม่หันไปมองหน้ามัน
"กูผูกเชือกรองเท้าแป้บนึง"
พูดจบผมก็ก้มลง ดึงเชือกรองเท้าที่คลายออกมาแค่นิดเดียวเท่านั้นให้แน่นเข้า โดยที่ในสายตายังคงเห็นภาพของเขาพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน
แล้วอยู่ดีๆเขาหัวเราะออกมาอย่างสดใส รอยยิ้มเจือเสียงหัวเราะของเขาทำให้ผมเผลอตั้งชื่อให้เขาไปแล้วในใจ
...ยิ้มหวาน - - - - - -
[มีต่อนะคะ ^^]