ถึงแม้จะออกจากห้องไปคนเดียว แต่เราก็กลับเข้ามาโดยมีอีกคนมาเป็นเพื่อน
เข้ามาปุ๊บเราก็เอาก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ที่เย็นชืดเพราะแอร์รถมาเทใส่จาน แล้วใส่เข้าไมโครเวฟไปอุ่น หันมาอีกทีแขกของห้องเค้าก็หาที่อยู่ให้ตัวเองได้เรียบร้อย
หมอทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง ยกขาข้างนึงมา พาดข้อเท้าไว้บนขาอีกข้าง
เท่าที่เราสังเกตดูนะ เขานั่งท่านี้บ่อยมาก
พอรู้ว่าเรามองไป ฝ่ายนั้นก็มองกลับมาแล้วชวนเราคุย
“ก็อยากเดินเข้าไปช่วยนะ แต่รู้ว่าทำอะไรไม่ได้แน่ๆ เลยนั่งรอตรงนี้ดีกว่า"
ได้ยินอย่างนั้นเราก็พยักหน้ารับ พร้อมคำตอบ
“ดีแล้ว เป็นแขกก็นั่งรอไปนั่นแหละ"
หมอก็เป็นอย่างนี้แหละ...
นอกจากนิสัยเสียที่ชอบเล่นมุกน่าขายหน้าแล้ว เขาก็เป็นคนตรงๆ
ถึงจะตามจีบเราอยู่แต่ก็ไม่เคยทำเป็นเอาใจเราจนเกินพอดี แล้วก็ไม่เคยทำเหมือนเราเป็นผู้หญิงด้วย
รออยู่ไม่นานก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ที่อุ่นไว้ก็เสร็จ เราหยิบช้อนส้อม 2 คู่พร้อมกับถือจานอุ่นๆมานั่งลงบนเบาะหน้าโต๊ะตัวเดิม ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกคนที่นั่งเช็คมือถืออยู่บนโซฟา เขาทำหน้างงนิดหน่อย ตอนได้ยินที่เราพูด
“มานี่ดิ มีอะไรจะบอก"
คนฟังยกมือขึ้นขี้หน้าตัวเอง จนเรานึกสงสัย
... นั่งกันอยู่ 2 คน จะให้เรียกใครวะ? พอเห็นว่าเราพยักหน้ารับ อีกคนก็เดินมานั่งลงข้างๆกัน ก่อนที่เราจะดันจานให้ขยับไปใกล้เขามากขึ้น
“กินด้วยกัน"
"เฮ้ย ไม่เอา"
ได้ยินปุ๊บเขาก็ส่ายหน้าแทนคำตอบ
เราเหลือบมอง พอเห็นว่าอีกคนหูแดงจัดก็ได้แต่กลั้นขำ ก่อนจะพูดต่อ
“เรากินข้าวแล้วนะ กินหมดนี่ไม่ไหวหรอก"
พอเห็นว่าคนที่ควรจะตอบยังคงส่ายหน้ามาให้กันลูกเดียว เราก็ยกส้อมในมือขึ้นชี้หน้าขู่แล้วพูดซ้ำ
"กินเดี๋ยวนี้เลย ถ้าไม่ช่วยกินวันหลังก็ไม่ต้องซื้อมาให้เราเลยนะ"
"ขู่นี่หว่า"
"ขู่อะไร เราพูดจริง!"
"น่ากลัวมาก โอเคๆ กินก็กิน"
คนฟังยิ้มมุมปากตอบรับคำพูดของเรา พร้อมกับส่ายหน้าเหนื่อยใจ แล้วหันไปจิ้มเส้นใหญ่เข้าปาก กินหมดไปคำนึงเขาก็ถามเราสั้นๆ
“พอใจยัง"
“เก่งมาก หมอแสนรู้แสนเชื่อฟัง พันธุ์อะไรครับ”
เราตอบกลับไปอย่างนั้น ก่อนจะโดนอีกฝ่ายเอาข้อนิ้วเขกหัวเข้าให้ตอนที่ตักก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ขึ้นมากินบ้าง
หลังจากนั้นไม่นาน จานตรงหน้าก็ว่างเปล่า
คนข้างๆอาสาลุกขึ้นเอาจานไปล้างให้ ก่อนจะส่งเสียงมาจากในครัวถามเราว่าแก้วน้ำอยู่ไหน
สักพักเขาก็เดินกลับออกมานั่งลงข้างๆเรา เหมือนจะตั้งใจมาดูงานที่เราทำอยู่
“แม็คบุ๊ค 2 เครื่องเลยเหรอ ขโมยได้ปะ”
เราหันไปมองสบตา ก่อนจะยักคิ้วให้ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าช่วงนี้เราชอบทำท่าทางแบบนี้บ่อยๆ เวลาตั้งใจจะกวนใครสักคน -- ติดคนตรงหน้ามาแน่ๆ
“ขโมยดิ! เราจับหมอทุ่มออกไปทางระเบียงแน่"
เขาเลิกคิ้วรับคำพูดของเรา ก่อนจะตอบกลับมาแค่
"เหรอ~”
“ล้อเล่นน่า เครื่องใหญ่ของเรา ส่วนเครื่องเล็กก็อันเดียวกับที่เราชอบหิ้วไปร้านกาแฟไง มรดกจากพี่สาวแหละ"
คนฟังรับคำในลำคอเหมือนไม่ค่อยสนใจ เพราะสายตากำลังจดจ่ออยู่กับโมเดลงานของเราที่กองอยู่ท่ามกลางเศษกระดาษเกลื่อนกลาด กับอุปกรณ์พวกกาวและคัตเตอร์ ก่อนจะพูดออกมา
"งานใหญ่นะเนี่ย เหลืออีกเยอะปะ"
"ตอนนี้มันก็เหมือนจะไม่เยอะอ่ะ แต่เราว่าสักพักมันต้องเยอะ แบบไม่เสร็จง่ายๆ"
หมอพยักหน้ารับคำพูดของเรา นั่งมองโมเดลที่ยังไม่เสร็จดีอยู่สักพัก ก่อนจะหันมาถาม
"ขี้เกียจอ่านหนังสือว่ะ มีอะไรให้ช่วยมั้ย?"
พูดจริงๆ เราโคตรไม่ไว้ใจหมอเลย
หน้าตาท่าทางไม่เหมือนคนที่จะทำอะไรละเอียดๆได้เลยสักนิด เพื่อความมั่นใจเราเลยถามอีกครั้ง
"หมอ... ตอนเรียนศิลปะได้เกรดอะไร?"
"A ดิ"
ฝ่ายนั้นตอบแล้วยิ้มมุมปากมาให้เหมือนจะอวดกัน เราเกือบเชื่อแล้ว ถ้าเขาไม่พูดต่อ
"จ้างเพื่อนทำการบ้านทุกชิ้นเลย"
"ว่าแล้วเชียว!”
พูดจบทั้งเราและหมอก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนที่เราจะพูดต่อ
"ขอบใจที่อยากช่วย แต่หมอไปอ่านหนังสือเหอะ สอบติดๆกันเลยนี่"
"อืมม"
เขารับคำ ยักไหล่เหมือนชิวเต็มที่ ทั้งๆที่หน้าตาดูอ่อนเพลียสุดๆ
"ไปละ! โซฟานอนได้ปะ?"
พอเราหันไปพยักหน้าให้ หมอก็ลุกขึ้น เดินกลับไปนั่งบนโซฟา เปิดกระเป๋าสะพายข้างสีดำซึ่งใบใหญ่กว่าที่เขาใช้ในวันปกติ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนาออกมา แล้วเอนตัวลงนอนบนโซฟาอย่างที่ถามเอาไว้ พร้อมกับยกหนังสือขึ้นอ่าน
พูดจริงๆ แค่เห็นความหนาของหนังสือเราก็กลัวแล้ว
สถาปัตย์ไม่ใช่เรื่องตลกก็จริง
...แต่แพทย์ก็คงขำไม่ออกพอๆกัน“ถ้าหลับจะให้เราปลุกมั้ย?”
ที่เราถามออกไปอย่างนั้นเพราะเห็นท่าทางง่วงจัดของเจ้าตัว
เดาเอาว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมงนศพ.ต้องหลับคาที่แน่นอน
“ไม่ต้องอ่ะ ถ้าเราหลับก็ปล่อยให้นอนไปเลย"
เรารับคำเบาๆ ระหว่างนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก
จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก เราก็รับรู้ได้ว่าห้องเงียบลง
...เดาไม่ยากว่าอีกคนน่าจะหลับไปเรียบร้อยแล้ว
ได้หันไปสนใจเขาอีกทีก็ตอนที่เราลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว แล้วกลับออกมาพร้อมน้ำดื่มขวดใหญ่ในมือ
แต่แทนที่จะกลับไปนั่งลงบนเบาะเหมือนเดิม เรากลับไปแวะดูคนที่กำลังนอนหมดสภาพโดยมีหนังสือทั้งเล่มวางทับอยู่บนใบหน้า...เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้
ถ้าเกิดฝันขึ้นมา จะฝันว่ากำลังอ่านหนังสือไหมเนี่ย?
โซฟาตัวใหญ่ในห้องเราเป็นแบบสามที่นั่ง แต่คนที่หลับสนิทอยู่ก็ตัวยาวจนเท้าเลยเบาะออกมา
หมอนอนกอดอกนิ่งๆไม่ขยับตัว เราเห็นท่าทางเก็กๆของคนที่ยังคงไม่หลุดมาด ถึงแม้ว่าจะมีหนังสือทั้งเล่มทับหน้าอยู่ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมั่นไส้
หันซ้ายหันขวาไปเห็นไอโฟนหมอวางอยู่ไม่ไกลเลยเอื้อมมือไปหยิบมา
เรากดปลดล็อคหน้าจอด้วยตัวเลข 4 หลัก ก่อนจะเปิดกล้องแล้วแอบถ่ายคนที่นอนหลับอยู่ไปหลายช็อต
ถ่ายเสร็จก็ต้องมานึกว่าจะเอารูปที่ได้ไปทำอะไรดี ก่อนสิ่งที่คิดขึ้นมาได้จะทำให้เราหลุดยิ้ม
เราเปิดไลน์ พึมพำบอกคนที่นอนอยู่ว่า
ยืมมือถือหน่อยนะ ด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะกระซิบ เป็นอันเข้าใจได้ว่าเราขอยืมแล้ว ก่อนเลื่อนหาไลน์กรุ๊ปหล่อสัดรัสเซียที่หมอเคยให้เราช่วยตอบให้
เจอปุ๊บก็ส่งรูปคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องลงไป แล้วก็ได้แต่แอบขำ รอดูปฏิกริยาอยู่สักพักก็มีคนพิมพ์ตอบกลับมา
*มึงอยู่ไหนเนี่ย
*ห้องไม่คุ้นนะไอ้สัด[/b]งานเข้า!! ลบก็ไม่ได้ด้วยอ่ะ!!
รู้งี้โพสลงไอจีดีกว่า....
พอไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง เราก็ได้แต่กดล็อคหน้าจอ ปล่อยให้ไลน์หมอเด้งเตือนไม่หยุดอยู่อย่างนั้น ก่อนจะวางมือถือไว้ตรงที่เดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น –
แกล้งตายดีกว่า....เรากลับไปสนใจคนที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องอีกครั้ง พอเห็นว่าเขานอนกอดอกอยู่แบบนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าจะหนาวรึเปล่า
เพราะเวลาพวกเพื่อนๆของเรามานอนที่นี่ ไอ้พวกนั้นชอบล้อว่าห้องเราเย็นเป็นขั้วโลกเหนืออยู่ประจำ
ยืนมองอยู่สักพักเราก็เอาขวดน้ำไปวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินเลยไปหยิบผ้าห่มผืนบางออกมาจากในห้องนอน เพราะคอนโดเราเป็นที่รวมตัวของทุกคนอยู่แล้ว แม่เราเลยเอาพวกหมอนกับผ้าห่มมาเตรียมเอาไว้ให้เยอะแยะ
เราถือผ้าห่มอยู่ในมือ มองคนที่ยังคงหลับสนิทแล้วไม่ไว้ใจความเจ้าเล่ห์ของเขาสักนิด
คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจพูดออกมาคนเดียว
“ถ้าแกล้งหลับอยู่ก็รีบตื่นขึ้นมาเลยนะ"ไม่รู้ดิ -- ก็เรากลัวโดนแกล้งไง
พูดจบปุ๊บเราก็ยืนหรี่ตาสังเกตท่าทางของคนที่นอนหลับอยู่สักพัก พอเห็นว่าคนตรงหน้ายังคงนิ่ง ถึงได้คลี่ผ้าห่มออก แล้วห่มลงไปให้บนร่างกายคนที่ยังคงนอนหลับอยู่ ก่อนจะค่อยๆหยิบหนังสือเล่มหนาที่ปิดหน้าเขาอยู่ออกแล้ววางไว้ให้บนกระเป๋า
พอเอาหนังสือออก ท่าทางการนอนของคนตรงหน้าก็ดูสบายขึ้นทันที
...ดีนะไม่ตายคาหนังสือไปซะก่อน
เราเดินผละมาจากตรงนั้น ก่อนจะกลับมานั่งทำงานอยู่ตรงมุมเดิม
กว่าจะได้ละสายตาจากงานตรงหน้าอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง ตอนที่โทรศัพท์เครื่องเดียวที่เราเคยเอามาเล่นอยู่เมื่อกี้ส่งเสียงร้องเตือนว่ามีคนโทรเข้ามา
พอหันไปทางโซฟาก็พบว่าคนที่ควรจะตื่นมารับสายยังคงหลับสนิทไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เราก็เลยลุกขึ้น ปลายเท้าไปหยุดอยู่ใกล้ๆคนที่กำลังนอนหลับลึกสองมือยังคงกอดอกนิ่ง เอียงคอหน่อยๆ
พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งสนิท เราก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเอานิ้วไปอังปลายจมูก แล้วหลุดขำกับความคิดของตัวเอง
ไม่ใช่ว่าหยุดหายใจไปแล้วนะ!
พอนิ้วมือเราสัมผัสได้ถึงลมหายใจเบาๆ ก็เป็นอันวางใจได้
อืม... ยังอยู่ๆ
ก่อนที่เราจะได้เขย่าตัวเขาแล้วเรียกให้ตื่นเพราะโทรศัพท์ดัง ฝ่ามือของคนที่นอนอยู่ก็ขยับแล้วก็ยกขึ้นมากุมข้อมือเราเอาไว้อย่างรวดเร็ว ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ค่อยๆลืมขึ้นเพียงครึ่งนึง
มันก็เลยเหมือนกับว่าเราโดนหมอหรี่ตามอง ก่อนที่เขาจะถามออกมาสั้นๆ
“เล่นอะไรอ่ะ?”
ยอมรับเลยว่าการที่เจ้าตัวยกมือขึ้นมาคว้ากันไว้กะทันหันแบบนี้ทำให้เราตกใจจนต้องรีบดึงข้อมือที่่ถูกจับเอาไว้ออก แล้วตีลงไปบนไหล่คนตรงหน้าแรงๆ
“ตกใจหมดเลย! มีคนโทรมา มันดังจนตัดไปแล้ว!”
ได้ยินแบบนั้นเขาก็ตื่นขึ้นเต็มตา ลุกขึ้นนั่งช้าๆก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากหาว แล้วบ่นงึมงำได้ใจความว่า
"จริงๆรับไปเลยให้ก็ได้นะ"
ไว้ใจกันไปปะ?
เรามองคนที่กำลังเช็คมือถือดูว่าใครโทรมา พอเห็นว่าเป็นเพื่อนในกลุ่มหมอก็เข้าไลน์ไปพิมพ์ถามว่ามีอะไร พร้อมคุยกับเราไปด้วย
“คิดว่าเราตายรึไง"
เราไม่ตอบ แต่พออีกฝ่ายมองมาเห็นสีหน้าเราก็คงสรุปเอาเองได้ว่าเราก็แค่เล่นสนุก
“เด็กน้อย~ กี่ขวบแล้วเนี่ยฮึ?”
“21 ขวบ เท่าหมอแหละ!"
เราตอบ ยักคิ้วไปให้คนตรงหน้า 2 ที
“หมอยัง 20 อยู่เลย"
ทำไมต้องพูดแล้วทำหน้าภูมิใจด้วยเนี่ย?
“อายุน้อยกว่าเราก็เรียกพี่เลย!”
คนตรงหน้าเลิกคิ้วมองหน้าเราแบบที่เดาความหมายไม่ได้ ก่อนที่จะตอบกลับมา
“เรียกแล้วมีรางวัลให้ป่ะ? ไม่มีไม่เรียกนะ"
ได้ยินอย่างนั้นเราหันไปแยกเขี้ยวใส่คนที่ยังคงนั่งหน้าง่วงอยู่ที่เดิม ก่อนจะเดินผละมาทำงานต่อ ปลายสายตาของเราเห็นว่าเขาลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำแล้วออกมากับหน้าเปียกๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาเต็มแรง
“ในตู้เย็นมี M150 นะ กินมั้ย?”
เราถามล้อๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ยัง... นี่ยังวันแรกอยู่ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก"
“เออใช่เราลืมบอกเลย สอบเสร็จเราไปญี่ปุ่นอาทิตย์นึงนะ อยากได้อะไรป่ะ?”
“ไม่อ่ะ"
“นึกก่อนก็ได้ ถ้านึกออกบอกนะ”
“อยากให้ตัวปลอมไปแทน ไม่ได้เจอกันอาทิตย์นึงเลยดิ คิดถึงชัวร์"
“เวอร์ละ!”
เราคุยไปด้วยทำงานไปด้วยแบบที่ไม่ทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายทำอะไรอยู่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีคนนั่งลงข้างๆ พอเราหันไปก็เห็นว่าหมอกำลังยกโทรศัพท์ขึ้นมาจอหน้าเราแล้วกดถ่ายรูปซะงั้น
เรายกมือขึ้นไปบังเลนส์กล้องมือถือ แต่ก็รู้อยู่หรอกว่าไม่ทันแล้ว
“อะไรอ่ะ?”
“ไอ้พวกนั้นมันถามว่าอยู่ที่ไหน เราบอกไปว่าอยู่คอนโดยิ้มก็ไม่เชื่อ ต้องถ่ายรูปส่งไปเป็นหลักฐาน"
'ยิ้ม' ? – เราชื่อยิ้มตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?
คิดแล้วก็งงอยู่พักนึง แสดงว่าหมอก็รู้แล้วอ่ะดิว่าเราส่งรูปตัวเองตอนหลับลงไปในไลน์กรุ๊ป
คนตรงหน้าไม่โวยวายอะไรออกมาเหมือนเวลาที่พวกเพื่อนๆโดนเราแกล้ง
แต่ยิ่งทำเป็นเฉย เราว่ามันยิ่งดูอันตราย...
หันไปมองอีกที เราก็เห็นนศพ.ยิ้มมุมปากก้มหน้ากดมือถือยิกๆ
ว่าแต่....เมื่อกี้หมอบอกว่าจะส่งรูปเราไปให้เพื่อนนี่หว่า!!
ซวยแล้ว!!
คิดได้อย่างนั้นปุ๊บเราก็รีบเอื้อมมือไปพยายามจะคว้าโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของคนตรงหน้ามาให้ได้
แต่อีกฝ่ายดันเร็วกว่า ยกมือหลบเราเสร็จก็หันมาทำหน้าเยาะเย้ยกันทันที นาทีนั้นเรารู้ตัวเลยว่าโวยวายอะไรไปก็ไม่ทัน รูปถูกส่งไปแล้วแน่ๆ
ไม่ทันที่เราจะได้พูดอะไรออกมา คนที่ยังคงยกมือที่ถือโทรศัพท์อยู่ขึ้นสูงสุดแขนก็โน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วกระซิบบอกเราต่อหน้าอย่างอารมณ์ดี
“ช่วงสั้นนะเราน่ะ” ยิ่งได้ยินอย่างนั้นเรายิ่งฉุนขาด! อยากจะจับตัวสูงๆเหวี่ยงออกทางระเบียงห้องให้รู้แล้วรู้รอดอย่างที่เคยขู่เอาไว้
เวลาเล่นมุกหยอดกันยังไม่น่าฟาดให้ตายเท่าพูดอ้อมๆว่าเราแขนขาสั้นแบบนี้เลยจริงเหอะๆ!
เราเหลือบสายตาไปมองคนที่นั่งขำกับหน้าบึ้งๆของเราแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมานอกจากถอนหายใจหนักๆ
ทำไมเก่งนักวะ? จะทำอะไรก็ชนะเราไปหมดเลยอ่ะ!
แล้วฝ่ายนั้นก็ลดมือลง ขยับตัวหันหลังให้เราที่ตั้งท่ากลับมาทำงานต่อเรียบร้อยแล้ว
เนี่ย มัวแต่เล่นเสียเวลาชะมัด!
สักพักเราก็รู้สึกว่ามีคนเอนหลังมาพิงที่ไหล่ พอเอียงคอไปมองแล้วเห็นปกคอเสื้อนักศึกษากับลำคอด้านหลังอยู่ใกล้ปลายจมูกเราแค่นิดเดียวก็ต้องรีบหันกลับมา แล้วบ่นงึมงำ
“หนัก...กลับที่ไปเลยไป"
คนฟังหัวเราะรับ ก่อนจะยกมือขึ้นวาดแขนยาวๆมาทางนี้แล้ววางมือแหมะลงบนหัวเราเต็มๆ ฝ่ามืออุ่นลูบผมเราเล่นแบบที่ชอบทำอยู่บ่อยๆ
ก่อนเจ้าตัวจะหันหน้ามาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
หมอกระซิบบอกว่า
ไม่งอนนะครับ แล้วเรียกชื่อเราปิดท้ายแถมยังเติมคำว่า
'พี่' นำหน้าให้อีกด้วย
ไอ้บ้า!
เขินเลย...tbc.talk.
เคลียร์เรื่องอายุก่อน : )
น้องหมอเค้าเรียนเร็วค่ะ จบอินเตอร์ด้วยเลยเด็กกว่า
แต่เค้าเรียนปีเดียวกันน้า~
จริงๆยังมีรายละเอียดยิบย่อยของเจ้า2คนนี้ที่เราร่างไว้เพียบเลย
บางอันก็ยังไม่ได้ใส่ไปในเนื้อเรื่อง แต่ก็แว้บบอกไปแล้วบ้างใน ask.fm
ยังไงก็ค่อยๆทำความรู้จักกันไปเรื่อยๆนะคะ
เอ้อ! มีเรื่องชื่อตัวละครด้วย
ตอนแรกเราว่าจะไม่ตอบเรื่องนี้ ปล่อยให้เดากันสนุกๆ
แต่สองคนนี้จะไม่มีชื่อไปจนถึงตอนจบนะคะ จะอยู่กันแบบงงๆไปอย่างนี้จนถึงตอนสุดท้ายเลย
โอเคเนอะ~
ขอบคุณน้า