❤กรี้ดกร้าดในทวิตฝากติดแทค #ยิ้มหวานของหมอ นะคะ
14 เจ็ดโมงกว่า...กลางบีทีเอส ผมยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียด พร้อมกับถือโทรศัพท์แล้วเปิดดูข้อความที่ถูกส่งมาทางไลน์ ก่อนจะเห็นว่าตอนตีสี่ปลายๆ ยิ้มหวานมาพิมพ์ข้อความทิ้งไว้นิดหน่อย
*สอบใช่ปะ? สู้ๆ
*เรานอนละ ผมอ่านตัวหนังสือเล็กๆตรงหน้าแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว ตีสี่แล้วยังไม่นอนเนี่ยนะ?
ได้ข่าวว่างานที่อีกฝ่ายทำอยู่ก็ต้องส่งบ่ายวันนี้เหมือนกัน จะไม่แปลกใจเลยถ้าส่งงานเสร็จแล้วจะมีคนนอนสลบแบบลืมวันลืมคืน
*ตื่นแล้วอย่าลืมหาอะไรกิน
*นอนเช้าทุกวัน จะป่วยมั้ย?พิมพ์ตอบกลับไปโดยที่รู้ว่า กว่าอีกฝ่ายจะได้อ่านก็คงจะเกือบๆ 11 โมง
ผมเข้าห้องสอบตอนแปดโมงครึ่งแล้วก็เวียนหัวอยู่ในนั้นจนเที่ยง
ออกมาปุ๊บ พวกผมก็เดินตรงไปยังโรงอาหารด้วยสภาพเหมือนไปวิ่งฝ่ากับระเบิดกันมา
ผมอาสาเฝ้าโต๊ะ แล้วฝากให้ไอ้โคนันซื้ออะไรก็ได้จากร้านเดียวกับมันมาให้ผมอีกจานนึง
ก่อนจะก็ใช้เวลาว่างระหว่างที่นั่งรอหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ามาเปิดดู และเห็นว่ายิ้มหวานตอบกลับมาตั้งแต่สิบโมงครึ่ง
*กินแล้ว ^^ คำตอบของเขาตามมาด้วยรูปอาหารแช่แข็งที่อุ่นเรียบร้อยพร้อมทาน
กินของแบบนี้อีกแล้ว...
*อยู่ม.แล้วใช่มั้ย?
*เรื่องงาน
*ตั้งใจทำขนาดนั้น
*ยังไงมันก็ต้องออกมาดีอยู่แล้ว
*ไม่ต้องอวยพรละมั้งพอดีกับที่ไอ้พวกนั้นเดินกลับมา
ผมยื่นมือไปรับข้าวหมูกรอบจากไอ้โคนัน ก่อนจะนั่งกินข้าวกันไปเงียบๆเหมือนคนที่ยังคงหาสติไม่เจอ
สักพักโทรศัพท์ผมก็ดังแจ้งเตือน
*ไม่เอาอ่ะ
*อวยพรกันหน่อยดิผมหลุดขำ รู้สึกได้ถึงความงอแงเล็กๆที่มากกว่าปกติ ที่เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นเพราะกำลังอยู่ในโหมดเพลียจัด
* A อยู่แล้วตอบกลับไปปุ๊บก็ต้องแปลกใจเพราะอีกฝ่ายตอบกลับมาเร็วกว่าที่คิด
*ขอบคุณนะ
*ส่งงานบ่ายโมงไม่ใช่เหรอ
*ทำไมยังเล่นมือถืออยู่อีก?
*ดุอีกละ!
*ห้องยังไม่เปิดเลย
*หมอทำข้อสอบได้ป่ะ
*ไม่รู้ดิ
*ตอนนี้งงไปหมด
*เดี๋ยวไปหานะ
*ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องที่คุยมาก่อนหน้าเลย!
*ไม่เกี่ยวก็หลุดดิ
*ด่าได้ไหม?
*อย่าด่าเลย
*ส่งงานเสร็จรีบลงมานะ
*อยากเจอ
*เกลียด
*เกลียดเยอะๆ
*อีกสักพักเดี๋ยวก็ไม่ได้เกลียดแล้ว
*ไม่คุยแล้ว!
*อือ สู้ๆ
*อ่านหนังสือรอนะ
*ok“ข้าวน่ะจะแดกมั้ย ถ้าไม่แดกกูจะเอาไปเทให้หมาอ้วนกิน"
คำพูดจากไอ้เบอร์ 1 ที่นั่งอยู่ตรงหน้าทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองมัน ทำหน้านิ่งใส่ แล้วด่าเบาๆ
“เสือก!"
“คุยกับใครวะ คุยไปยิ้มไปหน้าตาตอแหลเหมือนไม่ใช่มึง"
ชัดเจนเลยว่าไอ้คนตรงหน้ากำลังหลอกด่ากันแบบโจ่งแจ้ง ได้ยินแล้วผมก็ตอบกลับไปสั้นๆ
“ยิ้มหวานไง"
ได้ยินคำตอบของผมปุ๊บไอ้เบอร์ 2 ก็รับช่วงต่อทันที
“โว้วๆๆๆ พัฒนานะครับ แสดงว่าพวกกูใกล้จะได้มีเพื่อนสะใภ้เป็นคิ้วท์บอยแล้วใช่มะ?"
“ใภ้หน้ามึงดิ"
พูดจบผมก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าไอ้เบอร์ 1 มันเอื้อมมือไปหยิบหลอดน้ำเก็กฮวยของไอ้โคนันขึ้นมาจากแก้วพร้อมกับอุดปลายหลอดเอาไว้ให้น้ำหวานๆค้างอยู่ในนั้น ก่อนจะมาหยดน้ำเก็กฮวยลงบนข้าวหมูกรอบของผมจนทั่ว
...เล่นเหี้ยอะไรของมึง
“เติมความหวานว่ะ"
ไอ้แว่นที่นั่งดูทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ยอมห้าม กำลังหัวเราะหึๆๆ แล้วพูดออกมาอย่างถูกใจ
“หวานๆ จะได้จีบคิวท์บอยติดเร็วๆ"
ไอ้พวกเหี้ยบก....
ผมส่ายหน้าแล้วลองเขี่ยๆข้าวหมูกรอบที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ก่อนจะตัดสินใจลองตักขึ้นมาชิม รสชาติแปลกๆแต่ก็ไม่ได้แย่เกินจะกิน หรือไม่ก็เป็นเพราะสติผมยังคงไม่เป็นปกติดี
พอเห็นว่าผมตั้งท่าจะกินต่อ ไอ้เบอร์ 1 ต้นเรื่องก็รีบพูดออกมาทันที
“อร่อยอะดิ สูตรเยาวราชนะมึง อาหารฟิวชั่นตำรับจีน"
“จีนเตี๊ยะตรงปากมึงอ่ะ"
“ว้าวๆ ขอตีนเธอแลกเบอร์โทรครับหมออ"
“ฆวย!"
ผมปิดบทสนทนาใน 1 คำ พร้อมกับยกมือขึ้นชูนิ้วกลางไปให้ไอ้ตัวกวนตีน ก่อนจะกลับมากินข้าวต่อ
จัดการมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อย พวกผมก็ไปรวมตัวกันอยู่ในห้องสมุด จองห้องอ่านหนังสือกันอยู่ในนั้นแบบไม่ได้สนใจเวลา
ฟุบหลับบ้าง ออกไปกินขนมบ้าง
จนกระทั่งห้าโมงกว่าถึงได้ตัดสินใจแยกย้ายกันแบบบ้านใครบ้านมัน
ผมขึ้นรถโดยสารของมหาลัยมาลงที่ตึกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และนั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหิน ก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วอ่านต่อไปเรื่อยๆโดยที่ใส่หูฟังเอาไว้ทั้ง 2ข้าง
ผมเคยคิดว่าการเตรียมสอบเข้ามาเรียนคณะนี้ คือการอ่านหนังสือที่หนักหนาที่สุด
ที่ไหนได้ -- มาเจอของจริงเข้าก็ตอนเข้ามาเรียนแล้วนี่แหละวะ
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่กว่าจะได้ละความสนใจจากตัวหนังสือภาษาอังกฤษยาวติดกันเป็นแพที่อยู่ตรงหน้าก็ตอนที่รู้สึกได้ว่าโคมไฟตามเสาที่อยู่ห่างกันเป็นระยะค่อยๆสว่างขึ้นมา เพราะท้องฟ้าที่ค่อยๆมืดลง
ผมเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือแล้วเอามือนวดขมับคลายความรู้สึกเวียนหัว ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู นอกจากไลน์กรุ๊ปของรุ่นที่คุยกันเรื่องสอบแล้ว ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆอีก
เพราะผมกำลังใส่หูฟังอยู่ เลยไม่รู้ว่ามีฝีเท้ากำลังเดินเข้ามาใกล้ รู้ตัวอีกทีก็เหมือนจะโดนตีเบาๆที่ไหล่ด้วยม้วนกระดาษ หันไปปุ๊บก็เห็นพวกเพื่อนๆของยิ้มหวานยืนอยู่ตรงนั้น
“มาอ่านหนังสือไกลเนอะหมอ"
ผมยิ้มมุมปากแทนการตอบรับ ยักคิ้วทีนึง แล้วถามต่อสั้นๆ
“งานเสร็จแล้วเหรอ?”
“ของพวกเราเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ไอ้ยิ้มอ่ะยัง"
“อ้าว?"
“ของมันอาจารย์เรียกไปคุยต่อ เห็นเกริ่นๆในห้องว่าอยากให้มันลองเอาแบบไปส่งประกวด ไม่รู้ว่าไงเหมือนกันว่ะ แต่ท่าทางจะนานอยู่"
นอกจากรับคำสั้นๆแล้วผมก็ไม่รู้จะทำอะไรอีก เลยปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อไปเรื่อยๆ
“ตอนแรกเราจะรอมัน แต่มันไม่ให้รอ แถมยังฝากเรามาบอกแกว่าให้กลับไปก่อนก็ได้ แต่เราว่าแกไม่กลับชัวร์ แล้วเราก็ไม่อยากให้เพื่อนกลับบ้านคนเดียวด้วย แกก็...หาข้อแก้ตัวเองนะ"
พูดจบคนตรงหน้าก็ยกมือขึ้นมาตบไหล่ผมซ้ำๆสองสามที ก่อนจะยกมือขึ้นมาโบกเบาๆ
“ไปละ ไอ้ยิ้มยังไม่ได้กินข้าวเย็นนะ บังคับมันกินข้าวด้วยด้วย"
“อือได้"
ผมเก็บหนังสือลงกระเป๋า ก่อนจะหยิบไอแพดขึ้นมาอ่านชีทสรุปที่ส่งต่อกันในไลน์เพราะบรรยากาศรอบๆมืดเกินกว่าจะอ่านหนังสือได้
เวลาผ่านไปสักพัก สายตาของผมก็สะดุดเข้ากับคนที่กำลังเดินหอบของพะรุงพะรังเดินออกมาจากตึกคณะ เขาใส่เสื้อเชิ้ตปล่อยชาย กับกางเกงที่พับปลายขาขึ้นมาเล็กน้อยจนเห็นข้อเท้าเหนือสนีคเกอร์คู่เก่ง ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าตากันอย่างชัดเจน ผมก็รู้ว่าเขาคนคนนั้นนคือใคร
ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ เขาก็เดินตรงเข้ามาใกล้ ก่อนจะทำหน้ามุ่ยส่งมาให้กัน
ยิ้มหวานขมวดคิ้วเหมือนจะงงนิดๆว่าทำไมผมถึงยังอยู่ตรงนี้
สีหน้าอย่างนั้นเหมือนจะช่วยผ่อนคลายความรู้สึกเหนื่อยล้าของผมได้อย่างไม่มีเหตุผล
ผมรีบเก็บของลงกระเป๋า ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยุดลงตรงหน้าเขา พร้อมกับพยายามแย่งของในมือคนตรงหน้ามาถือ แต่อีกฝ่ายกลับก้าวถอยหลังไปนิดหน่อย บอกกันด้วยท่าทางว่าจะไม่ยอมให้ผมช่วย
“บอกให้กลับไปก่อนก็ไม่เชื่อกันนะ"
“ติดโรคดื้อมาจากคนแถวนี้มั้ง"
ปลายจมูกเล็กๆย่นเข้าทันทีที่ได้ยินคำตอบของผม ก่อนจะเถียงกลับมาทันที
“ไม่เคยเหอะ"
เขาพูดพลางยกเท้าขึ้นมาเตะหน้าขาผมเบาๆ พร้อมกับแยกเขี้ยวใส่กัน
“หมอมารอตั้งแต่กี่โมง?"
“เย็นๆ"
“เย็นๆ นี่เย็นกี่โมง?"
“ถ้า 11 โมงแล้วยังอยู่ในห้องแอร์มันก็เย็น"
แล้วมันก็มีความเงียบที่ไม่มีความหมายเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน ยิ้มหวานกระพริบตาปริบๆเหมือนกำลังหาคำพูดไม่เจอ
ก่อนจะโวยออกมาเพราะผมยกมือขึ้นข้างนึงแล้วก็บีบแก้มเขาทั้งสองด้านซ้ำๆ ก่อนจะยอมปล่อยมือ
“ไอ้หมอนี่!!”
ผมหัวเราะทันทีที่เขาทำท่าเหมือนอยากจะกระโดดกัดผมให้ตาย ก่อนผมจะยกแขนขึ้นกอดคอคนข้างๆไว้แล้วเดินต่อไป พร้อมกับเอ่ยถามออกมาด้วย
“เป็นอะไรทำไมซึมๆ”
เสียงถอนหายใจคือคำตอบที่ผมได้รับเป็นอันดับแรก ก่อนคำพูดของเขาจะตามมา
“ก็เรื่องเรียนแหละ"
ผมหันไปมองหน้าเขานิ่งๆ เพื่อรอให้เจ้าตัวพูดต่อ ก่อนอีกฝ่ายจะยกมือขึ้นมาบังสายตาผมเอาไว้แล้วบ่นออกมาตามนิสัย
“จ้องหน้าทำไม~~”
ได้ยินอย่างนั้น ผมก็ยกมือข้างที่เหลือไปจับข้อมือของเขา แล้วดึงให้ออกจากระดับสายตาก่อนตอบ
“รอฟังอยู่ว่าจะพูดอะไร"
“ก็หน้ามันใกล้ หมอขยับออกไปหน่อยดิ!”
เขาพูดแล้วพยายามเอาตัวออกจากแขนของผมที่วางพาดอยู่ กับหน้ามุ่ยๆ
ผมมองท่าทางคนตรงหน้าแล้วได้แต่หัวเราะขำ แกล้งล็อคตัวเขาอยู่สักพักก่อนจะยอมปล่อย แล้วถามซ้ำ
“ว่าไง ตกลงเครียดเรื่องอะไร"
“ค่อยเล่าบนรถได้ไหม ร้อนอ่ะ อยากโดนแอร์"
“ตามบัญชาครับเจ้าชาย"
ผมพูดพลางก้มหัวลงนิดๆแล้วผายมือ ก่อนจะเดินข้างกันไปเงียบๆจนถึงรถ
น่ารักดีที่อีกฝ่ายยื่นกุญแจรถมาให้ทันทีแบบไม่ต้องขอ
ผมสตาร์ทรถ รอให้แอร์เย็น ก่อนจะส่งสายตามาให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน รอให้เค้าพูดเรื่องที่ผมรอฟังอยู่ออกมา พร้อมกับที่ผมถอยรถออกจากช่องที่จอดอยู่ไปด้วย
“ทำไมชอบจ้องหน้ากดดันจังเนี่ย~ ก็.... ที่เราลงมาช้าอ่ะ เพราะอาจารย์เรียกไปคุย ประมาณว่า งานของเราอ่ะมันดันออกมาตรงกับคอนเซ็ปของที่บริษัทนึงเค้าเปิดรับผลงานเข้าประกวดอยู่พอดี อาจารย์เลยถามเราว่าสนใจจะลองส่งไปดูไหม"
ผมพยักหน้ารับให้เขารู้ว่ากำลังฟังอยู่ ก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อไป
“คือเราก็เห็นมันแปะประกาศอยู่ใต้คณะแล้วนะ แต่ก็ได้แค่อ่านผ่านๆไง เพราะส่วนใหญ่จะพวกเป็นรุ่นพี่มากกว่าที่ส่งกันไป จนกระทั่งตอนคุยกับอาจารย์ เราถึงได้อ่านรายละเอียดจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจอ่ะ"
“.....”
“เราอยากลองส่งไป....แต่งานมันต้องปรับบางส่วน แล้วก็มีที่เราต้องเรียนรู้แล้วก็ทำเพิ่มด้วย ถ้าจะส่งเราก็คงไม่ได้ไปญี่ปุ่น"
"อ๋อ..."
“จริงๆเแค่การไปเที่ยวเนี่ย เราก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากหรอก แต่ที่รู้สึกไม่สบายใจอยู่...คือเรื่องเพื่อนๆอ่ะ"
"อ้าว...ทำไม?"
"ก็เรากับเพื่อน ตั้งใจจะไปกันทั้งกลุ่มไง เตรียมตัวกันจริงจังมาก เงินที่ได้จากตอนขายดรีมแคชเชอร์ก็ยังเก็บรวมกันไว้ กะว่าจะเอาไปใช้ด้วยกันตอนไปเที่ยวนี่แหละ แล้วถ้าเราไม่ได้ไปเพราะจะทำงานไปแข่งมันแบบ... เหมือนเราไม่ค่อยแคร์เพื่อนปะ? ประมาณว่า อยากได้รางวัลจนทิ้งเพื่อน ไม่รู้ดิ....บอกไม่ถูกอ่ะ”
ดีที่กรุงเทพของเรารถติดยิ่งกว่าอะไรดี ออกจากรั้วมหาลัยได้ไม่นาน มินิคันจิ๋วก็ต้องมาหยุดนิ่งอยู่กลางถนนเพราะสัญญาณไฟจราจร ผมหันไปมองคนที่ยังคงมีสีหน้ากังวลและส่งสายตามารอคำตอบจากทางนี้
สิ่งที่ผมทำคือส่ายหน้านิดๆ แล้วตอบกลับไป
“ไม่หรอก เราว่าพวกนั้นต้องเข้าใจ"
“นี่ไม่ได้แกล้งพูดให้ดีใจใช่ไหม?”
“เราดูเป็นคนอย่างนั้นเหรอ?”
ยิ้มหวานหลุดยิ้มตอนที่ได้ยินคำถามของผม ก่อนจะตอบกลับมาอย่างชัดเจน
“ไม่เลย ตรงกว่าไม้บรรทัดก็นิสัยหมอนี่แหละ"
"นั่นชม?"
“คิดเองดิ..." รอยยิ้มอันมีเสน่ห์ของเขาค่อยๆเปลี่ยนไปเป็ยเสียงหัวเราะ ก่อนที่เจ้าตัวจะดึงประเด็นเดิมกลับมาอีกครั้ง
"กลับมาเรื่องเดิมเลย คือ เราก็ไม่คิดว่าพวกนั้นจะโกรธนะ ก็คงตอบกลับมาว่าไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่จะเสียใจกันมั้ยอ่ะดิ เราไปโม้ไว้แล้วด้วยอ่ะ ว่าญี่ปุ่นนี่ถิ่นเราเลย เดี๋ยวพาเที่ยวเอง ไม่หลงแน่นอน คิดดู ไปอวดว่าสำหรับเรานี่ญี่ปุ่นเดินง่ายกว่าเซ็นทรัลเวิร์ลอีก สุดท้ายดันมาผิดคำพูดซะเอง เฮ้อ...”
ผมเห็นท่าทางกังวลของเขาแล้วก็ไม่รู้จะปลอบใจยังไง
แต่เท่าที่สังเกตเห็นคือ พอเจ้าตัวได้พูดออกมาแบบนี้ ท่าทีไม่สบายใจก็ดูเหมือนจะลดน้่อยลงไปพอตัว
“อย่าคิดมากดิ ถามในมุมของเรานะ เลือกโอกาสที่เข้ามาไว้ก่อนเราว่าก็ดีแล้ว ญี่ปุ่นมันลอยน้ำรอให้เราไปหาอยู่ตรงนั้นตลอดทั้งปี แต่โอกาสมันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป"
"คือ...ปีหน้าเดี๋ยวมันก็มีอะไรแบบนี้อีกนะ แต่รอบนี้เราก็อยากลองส่งไปจริงๆ โอ๊ย! สับสนอ่ะ"
เขาพูดพลางดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนเบาะนั่งของตัวเอง แล้วสุดท้ายก็กลับไปนั่งนิ่งๆเหมือนเดินก่อนจะถอนหายใจ
"มันก็จริงที่ปีหน้าเดี๋ยวเค้าก็จัดประกวดอีก หรือไม่เดี๋ยวบริษัทอื่นก็คงเปิดรับผลงานอีก แต่เราว่าครั้งนี้มันต่างตรงที่โอกาสมันวิ่งเข้ามาเอง ถ้าอาจารย์เรียกไปคุยขนาดนั้นเขาก็น่าจะเห็นอะไรดีๆในงานรึเปล่า...นี่เราก็พูดไปตามที่คิด เพราะก็ไม่รูเหมือนกันว่าสถาปัตย์เค้าเรียนกันยังไง"
ยิ้มหวานฟังที่ผมพูดแล้วก็เหมือนจะกำลังคิดตามไปด้วยในทุกประโยค แต่สัญญาณไฟจราจรที่เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวก็บังคับให้ผมต้องจำใจละสายตามาจากเขาแล้วขับรถต่อไป ระหว่างที่ผมกำลังบังคับพวงมาลัยให้รถเลี้ยวไปทางขวา น้ำเสียงน่าฟังของเขาก็พูดออกมาเบาๆ
“ขอบคุณนะ"
ผมเหลือบสายตาไปมอง ก่อนจะเห็นรอยยิ้มที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
ทั้งความรู้สึกของผม และความสัมพันธ์ของเราที่กำลังพัฒนาขึ้นอย่างช้าๆ
ก่อนจะตอบกลับไป
“ขอบคุณทำไม อย่าลืมดิ เรา...."
“เราทำอะไรหวังผลทั้งนั้น ใช่มั้ย? ไม่ลืมหรอกน่า~”
คำพูดของผมโดนขัดโดยคนที่นั่งอยู่ข้างๆ พอได้ยินเขาตอบกลับมาแบบนั้น ผมก็ได้แต่ยิ้มตามแล้วพยักหน้ารับ
“ตามนั้นเลย"
- - -
สองวันถัดมาเป็นวันที่ผมมีสอบ และเป็นช่วงเวลาสองวันที่ผมไม่ได้เจอหน้ายิ้มหวาน เพราะเจ้าตัวกลับไปนอนที่บ้าน
นอกจากจะไลน์ไปหาตามปกติอย่างที่ทำอยู่แล้ว ช่วงนี้ผมโทรหาเขาบ่อยขึ้นเพราะรู้ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกไม่สบายใจ
ทุกครั้งที่ถาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพื่อน หรือเรื่องงาน เขาก็บอกมาตลอดว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างโอเคแล้ว
แต่พอถามว่า 'โอเคแล้ว' ที่บอกนี่หมายความว่ายังไง เจ้าตัวก็อ้างว่าขอติดไว้ก่อน เจอหน้ากันวันไหนจะมาเล่าให้ฟังทีเดียว
นั่นทำให้ผมตัดสินใจไม่เซ้าซี้ถามเขาอีก
จนกระทั่งตอนที่ผมออกจากห้องสอบแล้วเห็นว่าอยู่ดีๆเพื่อนของยิ้มหวานก็ทักไลน์มาทั้งๆที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน
*หมอแกว่างปะ
*ไปดูไอ้ยิ้มให้หน่อยดิ
*แม่งดื้อว่ะ
*พวกเราจะไปช่วยมันทำงาน มันก็ไม่ให้ไป
*บอกว่าให้อยู่บ้านเก็บของไปเที่ยวเหอะ
*น่าจะกลับมาคอนโดวันนี้แหละมั้งผมอ่านข้อความแล้วก็รู้สึกไม่แปลกใจเท่าไหร่ จำตอนที่ยิ้มหวานรถเสียแล้วไม่บอกใครได้ไหมครับ
...นั่นแหละ
ผมตอบตกลงกับเพื่อนเขาไป พร้อมกับรับปากว่าเดี๋ยวจะแวะไปหาอีกคนด้วยตัวเอง หลังจากวันนี้ผมยังมีวันหยุดอีกสามวันก่อนจะถึงวันสอบวันสุดท้าย ก็เลยพอจะมีเวลาไปเถลไถลได้นิดหน่อย
ผมขึ้นบีทีเอสแล้วต่อแทกซี่ไปลงหน้าคอนโดของเขา ระหว่างทางก็นั่งคิดไปว่าจะจัดการกับมนุษย์ดื้อยังไงดี
ลงรถปุ๊บ ผมก็ปลดล็อคมือถือ ถ่ายรูปตัวเองตรงหน้าทางเข้า ก่อนจะส่งไปให้ยิ้มหวานทางไลน์ แล้วพิมพ์ข้อความปิดท้าย
*หลับบนแทกซี่
*ตื่นมาอีกทีก็อยู่ตรงนี้แล้ว
*ทำไงดีวะ รออยู่สักพักก่อนที่ีอีกฝ่ายจะอ่านไลน์ แต่ไม่ตอบกลับมา ปล่อยให้ผมรออยู่ตรงนั้นเกือบๆ 5 นาที จนรู้สึกได้ว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ๆ พอหันไปมอง ก็เห็นว่าคนที่ผมรออยู่กำลังเดินตรงมาทางนี้แล้ว
เขาใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น แต่ที่สะดุดตาผมมากกว่านั้นคือเส้นผมด้านหน้าที่ถูกมัดขึ้นเป็นจุก กับท่าทางงัวเงีย คนตรงหน้าเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วยักคิ้วแต่ไม่ยอมพูดอะไร จนผมต้องยื่นมือไปดึงผมเขาเล่น
“ไงไอ้เด็กจุก ได้ข่าวดื้อ"
ได้ยินที่ผมพูดปุ๊บเขาก็ทำหน้าตกใจ เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองรวบเก็บผมด้านหน้าเอาไว้ ก่อนจะยกมือขึ้นแกะยางรัดผมออกอย่างรวดเร็ว แล้วขยับปากพูดงึมงำๆเหมือนจะบ่นกับตัวเองเรื่องที่มัดผมเดินลงมาถึงนี่แต่ดันไม่รู้ตัว
ดวงตาคู่นั้นมองมาที่ผม ริมฝีปากสีสดยื่นนิดๆ ก่อนตอบ
“ไอ้พวกนั้นฟ้องอ่ะดิ"
ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะก้าวเท้าตามยิ้มหวานที่เดินออกไปข้างนอกโดยไม่บอกกันว่าจะไปไหน พอเห็นว่าอีกฝ่ายเลี้ยวไปทางซุปเปอร์มาร์เก็ตก็คิดได้ว่าน่าจะไม่ต้องถามอีก ผมกับเขาเดินเลือกซื้อของอยู่ในนั้นสักพัก ก่อนจะขึ้นไปบนคอนโด
วันนี้ห้องของยิ้มหวานเรียบร้อยกว่าทุกครั้งที่ผมมา บนโต๊ะที่เขาใช้ทำงานอยู่เสมอยังคงมีของวางระเกะระกะ แต่ดูจากสภาพแล้วเหมือนจะเพิ่งโดนยกมาไว้ตรงนี้ ผมหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ก่อนถาม
“เพิ่งกลับมาจากบ้านเหรอ?”
“อื้อ สะอาดใช่ปะล่ะ”
“ปกติก็ไม่ได้รกหรอกนะ แต่วันนี้เรียบร้อยกว่าทุกครั้ง "
“แน่อยู่ละ แม่บ้านเพิ่งแวะมาทำความสะอาดอ่ะ"
ผมนั่งอยู่บนโซฟาหน้าทีวี แต่ได้ยินเสียงเจ้าของห้องทำอะไรสักอย่างก๊อกแก๊กๆอยู่ในครัวจนผมต้องเดินตามไปดู ก่อนจะเห็นกล่องใส่อาหารวางเรียงกันอยู่สี่ห้าอัน พอเข้าไปใกล้ๆถึงเห็นว่าในกล่องนั้นเต็มไปด้วยปลาหมึก กุ้ง แล้วก็พวกเนื้อสัตว์ต้มจนสุก ข้างๆกันเป็นขวดน้ำผลไม้ กับขนมอื่นๆอีกเต็มไปหมด
“ในกล่องคืออะไรเนี่ย?”
“เสบียงอ่ะ แม่เราต้มกุ้ง ปลาหมึกแล้วก็หมูสับมาให้จากที่บ้าน เผื่อเราไม่อยากออกจากห้องไปหาอะไรกินก็เอาพวกนี้มาปรุงนิดๆหน่อยๆก็กินได้แล้ว"
แค่นี้ก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าคนตรงหน้าเป็นที่รักของคนรอบตัวมากขนาดไหน
"แล้วเรื่องญี่ปุ่นเป็นไง?”
“ก็โอเคแล้วแหละ"
คำตอบนี้อีกแล้ว...
คนที่กำลังพับถุงผ้าแล้วเอาไปเก็บไว้ในตู้ตอบกลับ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มอีก
ตอนคุยโทรศัพท์กันก็ตอบงี้แหละครับ แต่ไม่ยอมบอกกันว่าโอเคนี่คือยังไง
“รู้แล้วว่าโอเค ที่ถามนี่คืออยากรู้ว่าจัดการยังไง ตั๋วต้องทิ้งเลยใช่ไหม?”
คนฟังหันมามองผม ทำตาโตใส่ แล้วพยักหน้ารับสองสามที
"อืม ทิ้งเลย"
“แล้วเพื่อนๆว่าไงบ้าง?”
“หมอถามเยอะอีกแล้ว"
เขาพูดแล้วเดินมานั่งลงตรงข้ามกันพร้อมกับเท้าคางจ้องหน้าผม พอเห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้ายุ่งผมก็ยื่นมือไปบิดปลายจมูกได้รูปเบาๆ
“นี่ไม่ได้เสือกนะคุณหนู คนเค้าใส่ใจโอเคไหมครับ"
“รู้แล้ว เราก็ไม่ได้ว่าซะหน่อย"
“รู้ว่าเป็นห่วงก็เล่าให้ฟังหน่อย ว่าไปดื้อเอาไว้ยังไงบ้าง เพื่อนถึงต้องมาฟ้องเราแบบนี้"
คนตรงหน้าได้ยินผมพูดแล้วก็เอาแต่ทำหน้ามุ่ย ก่อนจะตอบกลับมา
“ก็พวกนั้นบอกว่าจะมาช่วยเราทำงาน แต่เราไม่อยากให้มา ก็มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรขนาดนั้น อาทิตย์นึงเราทำทันอยู่แล้ว แถมตอนนี้ก็ปิดเทอมแล้วด้วย เพื่อนๆเรากำลังจะไปเที่ยวกัน เราก็ไม่อยากให้มาเหนื่อยเพราะเรา แค่นี้เอง เข้าใจเราใช่มั้ย?"
“เข้าใจ..ก็ได้"
ผมก็เข้าใจเขานะ แต่ก็พอจะนึกออกว่าเพื่อนๆเขาที่อยากมาช่วยก็เพราะรู้สึกเป็นห่วงด้วยเหมือนกัน
“แล้วทำไมต้อง
ก็ได้ด้วยอ่ะ"
“ก็เข้าใจนั่นแหละ บอกว่าเข้าใจก็คือเข้าใจครับผม ไม่กล้าขัดใจหรอกน่า"
เขาทำหน้าตัวแสบใส่ ตอนที่ผมบอกว่าไม่กล้าขัดใจ ก่อนจะพูดต่อ
“....แล้วนี่หมอไม่อ่านหนังสือรึไง"
”อ่านดิ เอาหนังสือมาด้วยเนี่ย"
“อ๋อ... มาเนียนใช้แอร์ห้องเราสินะ"
ผมยักคิ้วรับคำ แต่ไม่ตอบ จนเขาต้องพูดต่อ
"หมอจะกินอะไรก็หยิบได้นะ หาอะไรไม่เจอก็ถาม เราไปทำงานต่อละ"
“งั้นเดี๋ยวเราเอาหนังสือมานั่งอ่านตรงนี้แล้วกัน"
“ในครัวเนี่ยนะ?”
“อือ อยู่ห่างๆกันไว้ เดี๋ยวไม่มีสมาธิ"
คำตอบที่ได้รับคือการที่คนตรงหน้าแลบลิ้นแผล่บมาให้กัน ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไป
- - -