❤ กรี้ดกร้าดในทวิตฝากติดแทค #ยิ้มหวานของหมอ นะคะ
- 16 - วันต่อมา ผมออกจากคอนโดยิ้มหวานตั้งแต่เช้าเพื่อหนีรถติด
ก่อนจะออกจากห้องมา เจ้าของห้องเขาก็บอกลากันได้น่าประทับโคตรๆ
“บ๊ายบาย เราว่าหมอเดินเข้าบ้านไปต้องโดนแม่ถามว่ามาหาใคร แน่ๆ" -_-
ผมนั่งอยู่บนแทกซี่ที่กำลังเคลื่อนตัวไปตามถนน ระหว่างนั้นในใจก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
แล้วพบว่าตัวเองกำลังนั่งยิ้มเป็นบ้า เหมือนลูกหมาเมายากันยุง
เมื่อวานนี้ หลังจากที่ขโมยหอมแก้มเขาไปเรียบร้อยแล้ว พอผลผละออกมา สิ่งแรกเห็นคือยิ้มหวานกำลังทำหน้าบึ้ง
มันไม่ใช่หน้ามุ่ยแบบขัดใจเล็กๆ แต่เป็นท่าทางเอาเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาได้ทันที
เห็นอย่างนั้นผมเองก็เริ่มไม่แน่ใจขึ้นมาแล้วว่า ตอนขากลับผมจะได้ลงลิฟต์กลับไป
... หรือจะโดนเขาจับทุ่มทิ้งดิ่งลงมาจากระเบียงคอนโดกันแน่
รถพยาบาลของที่ไหนขับเร็วที่สุด?
ผมควรโทรเรียกไว้ก่อนเลยไหม?
ให้มันรู้ไปสิวะ ว่าจะคนเรามันจะโดนซัดตายเพราะดันไปขโมยหอมแก้มคนที่ชอบ -_-
ผมมองหน้าเขาแล้วไม่สามารถเดาได้ ว่าสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้าขัดใจอยู่นั้นคืออะไร
สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจถามออกไปอยู่ดี
“โกรธเหรอ?”
“ไม่อ่ะ"
“อ้าว?! แล้วทำไมหน้าบึ้ง"
“เพราะเราไม่ได้โกรธหมอ...พอรู้ตัวว่าไม่โกรธ เราก็เลยรู้สึกหมั่นไส้แบบสุดๆขึ้นมาแทน ขอต่อยหน้าทีนึงได้ปะ?"
ในระหว่างที่กำลังฟังเขาพูดอยู่นั้น ไอ้
'หน้ากลั้นฟิน' ของผมมันก็กลับมาอีกครั้ง
พอยิ้มหวานพูดจบปุ๊บผมก็หลุดยิ้ม แล้วก้มตัวลงไปยื่นแก้มให้เขาใกล้ๆ พร้อมกับพูดออกมาเบาๆ
"อ่ะ ต่อยเลย"
อย่าคิดว่าเขาไม่กล้าทำนะ
เพราะไม่ทันไร ฝ่ามือของเขาก็ตีลงมาบนแก้มผมเต็มๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดต่อ
“ไม่ต่อยหรอก เจ็บมือเปล่าๆ"
เจ็บนิดเดียวเองครับ...
เพราะนาทีนี้ ต่อให้โดนรถถังทับนิ้วโป้งส้นตีน ผมก็คงรู้สึกแค่เหมือนโดนมดคันไฟกัดเบาๆ
เขาตีแก้มผม ส่วนผมก็ยกมือขึ้นกลับไปหยิกแก้มเขาเล่นเบาๆ แล้วพูดออกมา
“น่ารักว่ะ"
“ตรงไหนวะ?”
ผมยิ้ม แต่ไม่ตอบเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายก็แค่ทำเป็นถามย้อนกลับมาเพื่อแก้เขิน
ยิ่งผมเงียบเขาก็ยิ่งเขินจัดจนต้องยกมือขึ้นมาผลักอกไล่ให้ผมหลีกทาง แล้วเดินออกจากห้องไป
ทิ้งผมให้ยืนมองแล้วหลุดขำออกมาอย่างอดไม่ได้
หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ไปวุ่นวายอะไรกับเขาอีก แถมยังเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้
แต่พอตื่นนอนขึ้นมาอีกทีก็เห็นว่าเจ้าของห้องเขาเลิกทำงาน ปิดคอมเรียบร้อย แล้วก็มานอนอยู่ตรงบีนแบ๊กที่วางอยู่ไม่ไกลจากโซฟา
เขานอนหลับสนิทโดยที่มีผ้านวมผืนใหญ่ห่มตัวเอาไว้
พอเห็นอย่างนั้น ... ผมก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองก็มีผ้าอีกผืนนึงห่มตัวอยู่เหมือนกัน
กลิ่นหอมเหมือนแป้งเด็กที่ติดมากับผ้าทำให้ผมต้องยกยิ้ม พร้อมกับนึกของคุณอีกฝ่ายในใจ และหลับลงไปอีกครั้ง
- - - -
วันนี้เป็นวันแรกที่ผมได้สัมผัสกับบรรยากาศของการปิดเทอม...
กิจกรรมสำหรับการปิดเทอมอันน้อยนิดของนึกศึกษาแพทย์จะมีอะไรนอกจากการก็กินๆนอนๆ ฆ่าเวลาด้วยการกดรีโมทเปลี่ยนช่องหาอะไรดูไปเรื่อยๆ แล้วก็หลับไปในตอนบ่าย
ก่อนที่ผมจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งโดนเพราะไอ้โคนันมันโทรมาชวนไปเล่นบาส และนั่นก็ทำให้ผมต้องออกมาที่มหาลัยที่แทบจะเป็นบ้านหลังที่ 2 ไปแล้วอย่างไม่มีทางเลือก
มาถึงก็เห็นว่ามีคนใช้สนามอยู่ก่อนแล้วครับ ผมเข้าไปแจมในทีมเดียวกับไอ้โคนันแล้วก็เล่นกันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งห้าโมงกว่า เพราะพี่ยามเดินมาบอกว่า ช่วงปิดเทอมสนามจะปิดตอนหกโมงตรง
หลังจากเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างเรียบร้อย พวกผมก็พากันออกมานั่งพักอยู่ตรงเก้าอี้ด้านนอก ก่อนจะนั่งคุยเล่นกันตามปกติ
ก่อนที่ความสนใจของผมจะถูกดึงออกไปจากบทสนทนาตรงหน้าเพราะสายตาดันไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง
และไอ้
อะไรบางอย่างที่ว่านั่นก็คือมินิคูเปอร์สีดำที่กำลังเลี้ยวเข้าประตูมา ก่อนจะขับผ่านหน้าพวกผมไปอย่างรวดเร็ว
พวกเพื่อนๆที่กำลังนั่งคุยกันเรื่องฟุตบอลแมชเมื่อคืนถึงกับหันมามองแล้วทำหน้างงใส่
เพราะอยู่ดีๆผมก็ลุกขึ้นยืนแล้วมองตามรถคันที่ว่านั่นไปจนสุดสายตา
...เชี่ย รถยิ้มหวาน! เห็นอย่างนั้นผมก็รวบของทั้งหมดมาถือไว้แล้วยัดลงไปในกระเป๋าสะพายข้างใบใหญ่อย่างรวดเร็ว
ในกลุ่มนั้นมีหลายคนดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าผมเป็นอะไร...แต่ไม่ใช่ไอ้โคนันแน่ๆ
เพราะตอนนี้มันกำลังมองตรงมาทางนี้ด้วยแววตาไม่น่าไว้ใจ พร้อมกับยกมือขึ้นมาดันกรอบแว่นขึ้น
แต่เสือกไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักที
...กูต้องพากษ์เสียงให้มึงล่ะ ว่า
ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว “กูไปละ ไว้เจอกัน"
ผมยกมือขึ้นไปตบหัวไอ้แว่นทีนึง ก่อนจะบอกลาคนอื่น แล้วเริ่มต้นวิ่งทันที...
ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจว่าทำไมกูต้องวิ่งวะ? แต่ขามันก็ถีบตัวออกไปเองแล้วครับ
ที่สำคัญคือ สนามบาสกับคณะเขานี่ก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่ใกล้กันเลย
กว่าจะมาถึง...ไอ้หมาเมายากันยุงตัวเมื่อเช้า มันก็กลายเป็นหมาหอบแดดไปแล้วในตอนเย็น
เพื่อจะพบว่า...
ยิ้มหวานหายไปไหนก็ไม่รู้ ตรงหน้าคณะสถาปัตย์มีแค่มินิคูเปอร์สีเข้มที่จอดเทียบทางเท้าทาสีขาวแดงอย่างกล้าหาญ -_-
ผมมองรถเค้าอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจยืนหันหลังพิงมันซะ แล้วหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าเพื่อพิมพ์ข้อความส่งไปให้อีกคน
*อยู่คณะใช่ปะ? พิมพ์เสร็จก็รอครับ รอจนพบว่าอีกฝ่าย...ไม่อ่านและไม่ตอบ -_-
ระหว่างนั้นในใจผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า หรือจะเป็นรถคนอื่นวะ?
ทั้งมหาลัยก็ใช่ว่าจะมีมินิแค่คันเดียว แถมสีดำนี่ก็ยังเห็นคนขับอยู่เยอะเหมือนกัน
คิดได้อย่างนั้นผมก็เดินไปดูทะเบียนรถ แล้วก็โล่งใจขึ้นมาทันทีเพราะนี่คือรถของเขาไม่ผิดแน่ๆ
เห็นอย่างนั้นผมก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิดกล้อง แล้วรูปหน้ารถของเขาเอาไว้ ก่อนจะส่งไปให้อีกฝ่ายทางไลน์ แล้วพิมพ์ข้อความตามไป
*จะขโมยรถแล้วนะส่งไปปุ๊บก็ได้คำตอบทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายไม่อ่านและไม่ตอบข้อความ
แสงสว่างจากหน้าจอที่ส่องออกมาจากในรถบอกชัดเลยว่า ...เขาทิ้งโทรศัพท์เอาไว้ในนั้น
แสดงว่า นอกจากรอต่อไปเงียบๆ ผมก็คงทำอะไรไม่ได้อีก
ผมยืนพิงรถเขาแล้วเล่นมือถือไปเรื่อยๆอยู่เกือบ 15 นาที ก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ
พอเงยหน้าขึ้นไป ก็เห็นว่าคนที่รออยู่กำลังเดินตรงมาทางนี้ พร้อมรอยยิ้มสดใส ถึงแม้หน้าตาจะยังดูอ่อนเพลียอยู่ไม่น้อยก็ตาม
“มาล็อคล้อเหรอครับ?”
ดูทักกันดิ...
ผมยักคิ้วแทนคำตอบ ก่อนจะพูดไปอีกเรื่องนึง
“เราเล่นบาสเสร็จพอดี แล้วเห็นมินิหน้าตาคุ้นๆขับผ่านสนามไปเลยเดินมาดูให้ เผื่อโดนขโมย"
ผมพูดแล้วพยายามยิ้มจริงใจสุดๆ
อะไรวะ? เชื่อไม่ได้เหรอ?
“ต้องเชื่อปะเนี่ย?”
“เชื่อเหอะ...”
อีกฝ่ายไม่ตอบรับ แต่ทำปากคว่ำกลับมาให้แทน จนผมต้องถามต่อ
“แล้วทำไมยังไม่กลับ? นึกว่านอนอยู่ห้องแล้วซะอีก อุตส่าห์ปล่อยให้นอนเงียบๆไม่กวน"
“ก็...เราเอางานมาส่ง แล้วรถอาจารย์ดันมีปัญหานิดหน่อย คนขับรถเค้าขับไปชนระหว่างทางอ่ะ เลยมารับไม่ได้ เราก็เลยขับรถเอางานไปส่งที่บริษัทกับอาจารย์มา ส่งงานเสร็จอาจารย์ก็เลี้ยงข้าวอีก เลยเพิ่งกลับมาเนี่ย"
เท่าที่ฟังดู ผมว่าวันนี้คงเป็นอีกวันที่วุ่นวายสุดๆสำหรับเขา...
“แล้วงานเสร็จยัง?”
“เรียบร้อยแล้ว"
“งั้นก็ปิดเทอมแล้วอ่ะดิ?”
ผมถาม ระหว่างที่อีกฝ่ายก็ขยับมายืนพิงรถอยู่ข้างๆกัน แล้วหันมายิ้มให้จนความสดใสนั้นกระแทกอัดหน้าผมเต็มๆ
ตาพร่าแล้วครับ
ปั๊มหัวใจด่วน...“ใช่แล้ว!”
“ถ้าไม่อยู่ในสภาพนี้ก็อยากพาไปเลี้ยงข้าวอยู่นะเนี่ย"
เพราะตอนนี้ผมอยู่ในชุดเล่นบาสตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมเหงื่อยังเปียกไปทั้งตัวอีก
ทางเลือกเดียวที่มีก็น่าจะเป็นการกลับบ้านไปอาบน้ำนอน
“ไม่ทันแล้ว เรายังอิ่มอยู่เลย"
“งั้นไอ้จู๋หอยเม่นที่บ่นอยากกินอยู่นี่ ก็ไม่อยากกินแล้วดิ"
“อีกละ...”
“หื้ม?”
“หมอเลิกเรียกอูนิว่าจู๋หอยเม่นได้แล้ว น่าเกลียดว่ะ!"
“ก็มันเรื่องจริง"
“ก็เรียกภาษาญี่ปุ่นดิ ทะลึ่งว่ะ~"
เคยเห็นคนโวยวายไปพลางขำไปพลางไหมครับ?
ข้างๆผมมีอยู่คนนึง
“จู๋ก็คือจู๋ป่ะวะ? จู๋แพงโคตร"
“หยุดเลย! เราจะเลิกกินเพราะหมอพูดนี่แหละ”
เขาพูดขึ้นมาพร้อมกับฟาดมือลงบนต้นแขนผมเต็มแรง เป็นอันว่าจบบทสนทนาครับ
สาระอัพเดพ...
หลังจากยืมกางเกงใน -- ตอนนี้ผมพัฒนาไปสู่การเป็นคนที่พูดเรื่องจู๋กับคนที่ชอบแล้วนะครับ
ถึงจะเป็นจู๋หอยเมนก็เหอะ -_-
เรื่องมันต่อเนื่องมาจากวันก่อนที่ยิ้มหวานขับรถผมกลับบ้าน
เพราะไม่มีอะไรจะคุยกัน ระหว่างทางผมเลยถามขึ้นมาว่า ปกติเวลาเขาไปเที่ยวญี่ปุ่น จะชอบไปที่ไหน ไปทำอะไรบ้าง แล้วพอเล่ามาถึงเรื่องของกินปุ๊บ ไอ้จู๋หอยเม่นนี่ก็เลยกลายมาเป็นหัวข้อหลักในทันที
เจ้าตัวเขาบอกว่ามันอร่อยมาก ชอบกินมาก อยากกินสุดๆ ก่อนจะทำหน้ามุ่ยทันทีที่ผมถามกลับไปว่า มันคือรังไข่ของหอยแม่นไม่ใช่เหรอ? เถียงกันไปเถียงกันมาเรื่องหอยเม่นได้สักพัก บทสนทนาทั้งหมดก็จบลงที่ ผมกับเขาเราจะไปกินซูชิกันทันทีที่ยิ้มหวานส่งงานเสร็จเรียบร้อย
“งั้น...จะฉลองปิดเทอมกันยังไงดี?”
ได้ยินคำถามปุ๊บ คนข้างตัวผมก็ยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ แล้วเงียบไปสักพัก ก่อนจะบ่นออกมาลอยๆเหมือนกำลังพูดอยู่กับตัวเอง
“อยากไปทะเล...” พูดจบเจ้าตัวก็หันมาและสบตากับผมเข้าเต็มๆ เขาปั้นหน้ามุ่ยนิดๆก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดต่อ
“....แต่ใครเค้าจะไปทะเลกันตอน 6 โมงเย็น จริงปะ?"
“...”
“รู้ละ! รอพวกนั้นกลับมาจากญี่ปุ่นแล้วค่อยไปด้วยกันดีกว่า...ไปหัวหินมั้ยใกล้ดี? ชวนเพื่อนหมอไปด้วย ไปกันเยอะๆ จะได้สนุก”
“ไปดิ"
“อือ จะไปวันไหนเดี๋ยวเราบอกแล้วกัน”
“...ไปกันวันนี้นี่แหละ"ได้ยินอย่างนั้นเขาก็หันมาทำตาโตใส่ผมเหมือนกำลังไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะรีบตอบกลับมา
“ตลกละ! นี่มันหกโมงกว่าแล้วนะ"
ผมยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาทันทีที่ได้ยินเขาพูด ก่อนจะเริ่มคิดวางแผนคร่าวๆในใจ และปล่อยให้อีกฝ่ายยืนมองกันอยู่เงียบๆ
“ถ้าเรารีบกลับบ้านไปเก็บของ แล้วออกจากที่นี่ประมาณ 2 ทุ่ม ก็อาจจะถึงประมาณสี่ห้าทุ่ม ดีไม่ดีไปเดินตลาดโต้รุ่งทันด้วยซ้ำ"
“หมอ...”
“เห้ยนี่พูดจริง เรายังเคยขับรถไปพัทยากับไอ้พวกนั้นตอนสี่ทุ่มเลย ไปถึงก็กินเหล้าจนเช้า เปิดโรงแรมนอนแล้วบ่ายๆเย็นๆก็กลับ"
“บ้าพลังไปปะ?”
“แล้วอยากไปมั้ยล่ะ?”
พอผมถามอีกครั้ง และเขาก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
จนผมต้องพูดซ้ำพร้อมกับยื่นมือไปให่้เขาตรงหน้า
“หัวหินอยู่ตรงหน้าแล้วเนี่ย ไปไม่ไป?”
คราวนี้จากหน้ายู่ๆก็เริ่มยกระดับไปเป็นการกัดปากแล้วขมวดคิ้วเข้าจนยุ่งครับ
ผมปล่อยให้อีกฝ่ายใช้ความคิดอยู่สักพัก จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้แล้วพูดออกมา
“โอ้ย ทำไมเป็นคนแบบนี้เนี่ย?"
คำพูดของเขาทำให้ผมต้องมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ
เพราะไม่รู้ว่าที่บ่นออกมานั้น เขาหมายถึงผมหรือกำลังพูดกับตัวเอง
ก่อนสีหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความกังวลจะค่อยๆคลายลงแล้วเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้ม
แถมยังเป็นรอยยิ้มของพวกตัวแสบซะด้วย...
“ไป! ไปหัวหินกัน!”
น้ำเสียงสดใสของเขาตอบกลับมา ก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือขึ้นมาตรงหน้า รอให้ผมเป็นฝ่ายแทคฝ่ามือของตัวเองกลับไป แล้วพูดต่อ
“ก็แค่เนี้ย~ งั้นก็รีบแยกย้าย เดี๋ยว 2 ทุ่มเจอกัน"
“โอเค!”
พูดจบเขาเลิกพิงรถ พร้อมกดปลดล็อคแล้วเปิดประตู ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนที่นั่งคนขับอย่างรวดเร็ว
เห็นอย่างนั้นผมก็เดินอ้อมรถไปตรงที่ว่างอีกฝั่งนึง ก่อนที่อีกฝ่ายถามขึ้นมา พร้อมกับออกรถไปด้วย
“หมอจะให้เราไปส่งที่ไหน เอารถมาหรือขึ้นบีทีเอสกลับ"
“เอารถมา วนกลับไปส่งที่สนามบาสก็ได้"
“ได้เลยครับท่าน”
เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทะเล้น ก่อนที่ผมจะถามต่อ
“แล้วจะให้เราเอารถไป หรือจะขับมินิไป?”
“รถเราก็ได้"
“งั้นเจอกัน 2 ทุ่ม เดี๋ยวไปหาที่คอนโด โอเคนะครับ?”
“โอเคมากๆเลยครับคุณหมอ"
ท่าทางของคนตรงหน้าทำเอาผมต้องแอบจดโน้ตเอาไว้ในใจ
ว่ายิ้มหวานที่กำลังจะได้ไปเที่ยว คือยิ้มหวานที่แจกความสดใสถึงขั้นสุด
- - -
2 ทุ่มตรง พวกผมก็อยู่กันบนรถเรียบร้อยแล้วครับ
หลังจากเถียงกันอยู่พักนึงว่าใครจะขับรถ สุดท้ายวิธีตัดสินที่ยุติธรรมที่สุดในโลกอย่างเป่ายิงฉุบก็ถูกยกขึ้นมาใช้
และผลออกมาว่า ผมชนะ...
ขับรถออกไปได้สักพัก คนที่นั่งอยู่ข้างๆกันก็เริ่มชวนผมคุย เหมือนเขาจะคุยเก่งขึ้นเรื่อยๆนะ หรือไม่ก็คงเป็นเพราะเราสนิทกันมากขึ้นด้วยล่ะมั้ง
"เออใช่ แล้วคืนนี้จะนอนที่ไหนอ่ะ?”
ผมหลุดยิ้มทันทีที่ได้ยินคำถาม ก่อนจะตอบกลับไป
“ริมทะเลไง"
“ฮะ?”
“ริมทะเล...”
พอเหลือบสายตาไปมองแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้างง ผมก็ยิ่งรู้สึกอยากแกล้ง
ที่เค้าพูดกันว่า
'เด็กผู้ชายมักจะแกล้งคนที่ชอบ' ผมว่าโคตรจริง...
“มัน...นอนได้จริงๆเหรอ?”
“ได้ดิ มันเป็นชายหาดสาธารณะ"
"แล้วยุงจะไม่กัดเหรอ?”
“กัดดิ กินอิ่มเมื่อไหร่เดี๋ยวมันก็ไป"
อีกฝ่ายเงียบไปแล้วครับ...
พอแอบเหลือบสายตาไปอีกทีก็เห็นว่าเขากำลังหรี่ตามองมาทางนี้ด้วยสายตาจับผิด
รู้แล้วแน่ๆว่าโดนแกล้ง...
ทันทีที่เห็นว่าผมยิ้มออกมาอย่างถูกใจ ยิ้มหวานก็หันกลับไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะก้มหน้ากดมือพร้อมกับบ่นลอยๆ
“เราว่าเราหาที่พักดีกว่า หมอจะนอนริมทะเลก็นอนไปคนเดียวเหอะ"
ได้ยินอย่างนั้นผมก็ละมือข้างนึงจากพวงมาลัยรถ แล้วยื่นไปวางแหมะเอาไว้บนหัวของเขาก่อนจะโยกเล่นไปมาสองสามทีพร้อมกับพูดไปด้วย
“หันไปเปิดช่องเล็กหน้าเป้ แล้วหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาให้หน่อยดิ"
“ทำเราเวียนหัวแล้วยังใช้กันเนี่ยนะ?"
เขาหันมามองหน้าผมแล้วบ่นใส่กัน แต่ก็หันไปหยิบของให้ตามที่ผมบอกอยู่ดี
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังใช้กระเป๋าใบเดียวกันกับวันที่กระเป๋าตังค์เราสลับกัน ส่วนอีกคนน่าจะเปลี่ยนไปสองสามใบแล้วมั้ง
สักพักเขาก็หันกลับมาพร้อมกระเป๋าสีดำที่อยู่ในมือ แล้วถามต่อ
“หมอจะเอาอะไรอ่ะ"
“ในนั้นมีกระดาษสีฟ้าพับครึ่งอยู่ หยิบออกมาดูดิ แม่เราให้มา"
เขาทำตามที่บอก ก่อนจะนั่งอ่านกระดาษแผ่นนั้นไปเงียบๆ
มันคือบัตรของขวัญที่พักฟรีของรีสอร์ทของเพื่อนแม่ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปีครับ อ่านจบเขาก็หันมาพูดกับผมพร้อมรอยยิ้มกว้างๆ
“งั้นหมอก็ไปนอนชายหาดนะ เราจะนอนที่นี่คนเดียว"
บอกเลย....ว่านี่คือการกวนตีนที่น่ารักที่สุดที่ผมเคยเจอมาในชีวิตนี้ -_-
“เดี๋ยวจะโดน"
“ทำไม? โดนอะไร?”
โหมดเถียงเก่งกลับมาอีกแล้วเว้ย!
ผมใช้ความเงียบสู้กับเขา พร้อมยกมุมปากขึ้นแล้วหรี่ตามองกันด้วยสีหน้าไม่น่าไว้ใจเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องหน้ากันอยู่ และไอ้รอยยิ้มนั่นก็ทำให้ฝ่ามือหนักๆของเขาฟาดลงมาบนต้นแขนผมเต็มๆ
“ไม่คุยแล้ว!"
“เฮ้ย คุยต่อดิ กำลังสนุกเลย"
“เงียบแล้วตั้งใจขับรถไปเลย ไม่งั้นเราไล่ลงกลางทางให้เดินกลับเองแน่"
เขาบ่นออกมาในแบบที่ดูยังไงก็ยังรู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าเอ็นดูมากกว่าที่จะเอาเรื่องกันจริงจัง
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาน่ารักมากไป
...ก็อาจจะเป็นประสาทการรับรู้ของผมที่เป็นปัญหา
[มีต่อนะคะ]❤