,
สถานีต่อไปของเราคือร้านเบอร์เกอร์ที่มีโต๊ะและเก้าอี้จัดไว้ให้ หลังจากสั่งอาหารกันไปคนละจานและได้ที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ผมก็วางของกินในมือทั้งหมดลง พอได้มองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ถ้าจะกินเยอะขนาดนี้ ไปเยาวราชเลยดีกว่ามั้ย?"
ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็มุ่ยหน้าเข้า ก่อนจะจิ้มปลาหมึกทอดขึ้นมาแล้วยัดเข้าปากผมเต็มๆ
“อย่าพูดมาก!”
คำพูดของเขาทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้นมอง ถามเขาด้วยสายตาว่า
ใครกันแน่?จนอีกฝ่ายต้องตอบกลับมาด้วยการย่นจมูกใส่กันทีนึง แล้วก็ลงมือจิ้มหอยเชลล์ขึ้นมากิน
สักพักเบอร์เกอร์ของเขากับสเต็กของผมก็มาเสิร์ฟ เราก้มหน้าก้มตาจัดการของตรงหน้ากันอย่างจริงจังเหมือนจะไปแข่งกินเร็วในรายการทีวี หลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็หมดเกลี้ยง
...อย่าดูถูกความสามารถในการกินของเด็กผู้ชายวัยกำลังโตครับ
ถ้าถามว่าเวลาเราไปกินอะไรด้วยกัน ใครเป็นคนจ่าย คำตอบก็คือ เราแชร์กันซะเป็นส่วนใหญ่นะ
ถึงแม้ผมจะอยากเลี้ยงเขามากขนาดไหนก็ตาม แต่เพื่อความสบายใจของเราทั้งคู่ ส่วนใหญ่เราก็เลยจ่ายกันคนละครึ่ง
นอกจากจะมีโอกาสพิเศษเช่น ยิ้มหวานเพิ่งส่งโปรเจ็ค ผมก็อาจจะจะเลี้ยงเขา หรือผมเพิ่งสอบเสร็จเขาก็จะเลี้ยงผม เป็นอย่างนี้สลับกันไปมา
หลังจากกินเสร็จจ่ายตังค์เสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ไปเดินเล่นกัน
จำวันที่หน้าคณะยิ้มหวานมีตลาดนัดได้ไหมครับ?
ผมว่าของที่ขายที่นี่ตอนนี้ กับวันนั้นดูไม่ค่อยแตกต่างกันสักเท่าไหร่ เราเดินดูทุกอย่างด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากมาย แต่ก็เพลินดีเพราะเสียงเพลงที่ดังมาจากฝั่งเวทีเป็นตัวช่วย
คือบรรยากาศโคตรจะเป็นใจครับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าธีมของงานคือการแอบรักด้วยรึเปล่า เพลงที่นักร้องเลือกมาถึงได้ตรงใจผมซะเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเพลงไทยหรือเพลงฝรั่ง อย่างที่ร้องอยู่ตอนนี้ก็เป็นเพลงชั่วโมงต้องมนต์ ของวง Friday
เราเดินกันไปเรื่อยๆเหมือนตั้งใจมาสัมผัสบรรยากาศของงานมากกว่าจะหาซื้ออะไรจริงจัง
ก่อนที่คนข้างๆผมจะถูกใจสร้อยข้อมือที่ร้านนึงขึ้นมา
“แวะแป้บนึงดิ"
เขาหันมาบอกผมแบบนั้นก่อนจะเดินไปหยุดลงตรงหน้าร้านที่มีสร้อยข้อมือหนังวางเรียงอยู่เต็มไปหมด เขาหยิบหลายๆแบบขึ้นมาเทียบกับข้อมือตัวเอง ก่อนจะหันมาถามผมอยู่ตลอดว่าอันไหนที่เหมาะกับตัวเองที่สุด
เข้าใจความรู้สึกนี้ไหมครับ?
เหมือนกับว่า อยู่ดีๆหัวใจมันก็ถูกเติมจนเต็มขึ้นมาทันทีที่อีกฝ่ายเปิดโอกาสให้เรามีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกอะไรสักอย่าง
ผมเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเวลาเขาหันมาถามกันว่าจะซื้อของชิ้นนั้นชิ้นนี้ดีหรือไม่ ไม่ว่าจะราคาถูกหรือแพง ไม่ว่าจะเป็นของกินง่ายๆไปจนถึงเสื้อผ้าที่เขาใส่ติดตัว มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้ทั้งนั้น
“เราว่าอันก่อนหน้าโอเคที่สุดแล้ว"
ผมตอบกลับไปทันทีที่อีกฝ่ายหันมาถามกันอีกครั้ง ได้ยินอย่างนั้นเขาก็เอื้อมมือไปหยิบสร้อยข้อมือแบบที่ผมพูดถึงซึ่งมีอยู่ 2 สีแล้วทาบสีดำลงบนข้อมือตัวเอง พร้อมกับยื่นมาให้ผมดู
“อันนี้อ่ะนะ?”
“อืมใช่ แต่เราว่าสีน้ำตาลดีกว่า"
“เหรอ?”
เขารับคำพลางสร้อยหนังเส้นสีดำที่ไขว้กันเป็นลวดลายออก แล้วยื่นมาให้ผมก่อนจะพูดต่อ
“งั้นเราฝากอันนี้ก่อน เอาแขนมาเร็ว"
ผมก็ยื่นแขนออกไปตามที่เขาขอ เพื่อให้อีกฝ่ายวางของที่อยู่ในมือลงมา ก่อนที่เจ้าตัวจะกลับไปทาบสร้อยหนังสีน้ำตาลลงบนข้อมือตัวเอง
เขามองมันอย่างพิจารณาอยู่สักพัก และจบลงด้วยการส่ายหน้านิดๆ พร้อมกับหยิบทั้ง 2 เส้นกลับไปวางไว้ที่เดิม เอ่ยขอบคุณกับเจ้าของร้านเบาๆ ก่อนจะเดินออกมา จนผมต้องถาม
“ไม่ซื้อเหรอ?”
“ก็...เราชอบสีดำ แต่หมอว่ามันไม่ค่อยโอเคใช่ปะ พอลองสีน้ำตาลก็ไม่ค่อยชอบ ค่อยซื้ออันที่ชอบทั้งแบบแล้วก็สีดีกว่า"
เขาพูดพลางทำปากยื่นหน่อยๆ ดูเหมือนจะกำลังเซ็งที่ไม่ได้ของถูกใจ แต่ก็หงอยอยู่ได้ไม่นาน
หลังจากเราเดินถัดไปอีก 2 ซอย คนข้างๆผมก็ถูกใจถุงผ้าขึ้นมาอีกแล้ว
ผมมองคนที่กำลังปั้นสีหน้าจริงจังเลือกถุงผ้าสีเรียบๆกับลายสกรีนเล็กน้อยที่แขวนอยู่ ก่อนเขาจะหันมายิ้มให้กันพร้อมกับชี้ไปยังใบสีขาวตรงหน้าแล้วเลิกคิ้วมาให้แทนคำถามว่าโอเคไหม?
ผมยิ้มรับ แล้วพยักหน้ากลับไปให้ พอเขาหันไปบอกคนขายว่าจะเอาใบนี้ พ่อค้าท่าทางติสท์ๆก็หันไปรื้อถุงพลาสติกใบใหญ่อยู่สักพัก แล้วกลับมาบอกเขาว่าของหมดแล้ว แต่ยังมีอีกส่วนอยู่ในรถ ให้อีกฝ่ายรออยู่ที่นี่สักครู่ แล้วจะไปหยิบลายที่ต้องการมาให้
ผมมองท่าทางและสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของคนตรงหน้าแล้วก็คิดอะไรขึ้นมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว
พอแน่ใจแล้วว่าจะทำอะไรผมก็ยื่นมือไปสะกิดเขาเบาๆ
“เดี๋ยวเรามา ขอไปห้องน้ำก่อน"
เขาหันมาทำตาโตใส่กัน ก่อนจะพูดต่อ
“ไปด้วยกันดิ รอแป้บนึง"
“ไม่ไหวแล้วว่ะ รอนี่นะ เดี๋ยวมา"
พูดจบผมก็ไม่รอให้เขาพูดต่อแล้ววิ่งออกมาด้วยความรีบร้อน
ถามว่าที่จริงแล้วตั้งใจไปห้องน้ำมั้ยน่ะเหรอ?
เปล่าเลย...ผมวิ่งกลับมายังร้านขายสร้อยข้อมือหนังที่เราแวะกันก่อนหน้านี้
เขาบอกว่าชอบสีดำ แต่ไม่ยอมซื้่อเพราะว่าผมไม่ชอบ
แต่สำหรับผมนะ...ให้เขาใส่อะไรที่ตัวเองชอบก็น่าจะดีที่สุดอยู่แล้ว
คิดได้อย่างนั้นผมก็หยิบสร้อยข้อมือสีดำซึ่งเขาเคยเอามาพาดไว้ที่ข้อมือผมขึ้นมาแล้วยื่นให้คนขายที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับหยิบเงินออกมาจ่าย
ผมมาซื้อของ...จ่ายเงินครบเรียบร้อยทุกบาททุกสตางค์ แต่ท่าทางเหมือนโจรมาปล้นร้านเขาไม่มีผิด -_- เพราะเอาแต่หวาดระแวงหันไปมองที่ร้านขายถุงผ้าเป็นระยะๆ
ในระหว่างที่กำลังรอให้พี่เขาเอาสร้อยข้อมือใส่ลงไปในถุงกระดาษสีน้ำตาลดีไซน์สวยแล้วปิดให้เรียบร้อย
แล้วความซวยก็บังเกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง เพราะอยู่ดีๆยิ้มหวานก็เดินออกมาจากร้านกระเป๋ามาซะอย่างนั้น
เหมือนเขาจะซื้อของเสร็จแล้วว่ะเฮ้ย!
ทำไมไอ้พี่หนวดขายกระเป๋ามันกลับมาเร็วจังวะ!
เห็นอย่างนั้นผมก็หันกลับมามองพี่คนขายแล้วพูดออกมาด้วยความร้อนรน
“ใกล้เสร็จยังอ่ะพี่?”
“เกือบแล้ว รีบหรอ"
“นิดนึงอ่ะพี่ เอามาเลยได้ป่ะ?”
หนังชีวิตโคตรๆครับ เพราะดูจากท่าทางแล้วเหมือนเขาจะกำลังเดินมาทางนี้เหมือนกัน
อย่าบอกนะว่าจะไปรอผมหน้าห้องน้ำอ่ะ!
เชี่ยแม่ง ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องเอาตัวยัดเข้าไปในห้องน้ำให้ได้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะไปถึงดิวะ!
“โอเคๆ เสร็จละ"
พอพี่เขายื่นของให้ปุ๊บ ผมก็รีบคว้าไว้แล้ววิ่งเลาะผ่านผู้คนไปอีกทางเหมือนกำลังเลี้ยงลูกบาสบุกแดนคู่ต่อสู้จนมาถึงหน้าห้องน้ำ พอมองกลับมาแล้วไม่เห็นยิ้มหวานอยู่ในระยะใกล้ๆนี้อีกก็โล่งใจขึ้นมานิดหน่อย
ผมรีบจ่ายเงินให้พนักงานที่นั่งเฝ้าประตู แล้ววิ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว เพื่อจะไปยืนหอบแดกอยู่หน้าอ่างล่างหน้า
... สุดตีนครับ รอดตายหวุดหวิด
แต่พอได้ก้มลงมองถุงกระดาษในมือที่พี่เขาห่อมาให้อย่างดี ก็พบว่าตอนนี้มันกลับยับยู่ยี่จนดูไม่ได้ไปซะแล้ว
ผมถอนหายใจ นึกอยากเอาหัวโขกก๊อกน้ำแรงๆสักสิบที
เอาให้เยินพอกันทั้งกูทั้งถุงเลยเนี่ย -_-
สิ่งแรกที่ผมทำคือการเอาน้ำเย็นๆลูบหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำแบบที่มีโถ ปิดฝาลงและนั่งอยู่ในนั้นสักพัก ตั้งใจทิ้งช่วงเวลาให้เหมือนกับว่าผมมาเข้าห้องน้ำจริงๆ ก่อนเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์จะดังขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นาน
*เรารออยู่หน้าห้องน้ำนะ
ผมเห็นข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอและตัดสินใจไม่เปิดอ่าน เพราะกำลังจริงจังกับการรับบทคนเข้าห้องน้ำอยู่
รอจนเวลาผ่านไปประมาณ 3 นาทีผมก็ลุกขึ้น ยัดถุงใส่สร้อยข้อมือไว้ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำอย่างสง่าผ่าเผย
...ผ่าเผยหน้ามึงสิ แม่งเอ้ย!เดินออกจากประตูห้องน้ำมา ผมก็เห็นอีกฝ่ายที่ยืนรออยู่ไม่ไกล เขาดูดีแล้วก็เด่นกว่าทุกคนรอบตัวจริงๆ ตอนออกมาผมเห็นว่ามีคนเข้ามาขอถ่ายรูปและเพิ่งผละออกไปพอดี ทันทีที่เดินมาถึง อีกฝ่ายก็ถามด้วยสีหน้ากังวล
“หมอโอเคปะเนี่ย?”
ผมพยักหน้ารับ ก่อนตอบ
“โอเคครับผม... ป่ะ เดินต่อ"
พูดจบผมกับเขาก็พากันเดินผ่านโซนเวที ที่มีคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งทำมาจากฟางที่มัดรวมกันเป็นทรงลูกบาศก์ สักพักเราก็กลับมาที่โซนขายของอีกครั้ง คนข้างๆผมหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ดูท่าทางแล้วเดาได้ไม่ยากว่าเขาน่าจะไม่สนใจอะไรในงานนี้อีกแล้ว ถึงได้หันมาถามผมด้วยรอยยิ้มบางๆ
“หมอจะเดินดูอะไรต่อปะ?”
“คิดว่าไม่"
ไม่แล้วจริงๆครับ
เพราะถ้าเดินผ่านร้านสร้อยข้อมืออีกรอบแล้วโดนพี่คนขายทักอะไรแปลกๆขึ้นมานี่ ซวยระเบิดแน่นอน
“งั้น..เราอยากขึ้นไปดูบนนั้นอ่ะ"
เขาพูดพลางส่งสายตาไปยังซุ้มทางเข้าที่เต็มไปด้วยคำคมคนแอบรักที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่อินด้วยอย่างสิ้นเชิง ซึ่งด้านบนออกแบบไว้ให้เป็นเหมือนระเบียงสำหรับขึ้นไปดูบรรยากาศโดยรวมของงานทั้งหมดและถ่ายรูป
ทันทีที่ขึ้นมาบนนี้ ผมก็พบว่ามันสบายกว่าข้างล่างอย่างเห็นได้ชัด นอกจากลมเย็นๆที่พัดมาเรื่อยๆแล้วนั้น มุมนี้ยังมองเห็นไฟสวยๆที่ตกแต่งอยู่รอบๆได้อย่างชัดเจน จนคนข้างๆผมต้องยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ
"รอบหน้าเอากล้องมาด้วยดีกว่า"
ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันหน้าไปหาเขา แล้วถามออกมา
"รับสมัครนายแบบป่ะ?"
คนฟังย่นจมูกเข้า ก่อนจะมองกลับมาแล้วยื่นมือถือจ่อหน้าผม พร้อมกับกดถ่ายรูปรัวๆ แกล้งกันเสร็จเขาก็หัวเราะถูกใจ พร้อมกับไล่ดูรูปที่ถ่ายได้ไปเรื่อยๆ ผมเอนตัวเข้าไปใกล้เขา แล้วก้มหน้าดูสภาพตัวเองที่โดนเก็บภาพในระยะประชิด ก่อนจะยื่นมือไปแย่งมือถือของอีกคนมาถือเอาไว้แล้วกดเปิดกล้อง
"พอแล้ว...ถ่ายรูปกัน"
เขาหันมามองผมแล้วขมวดคิ้วใส่กันอยู่สักพัก ก่อนจะหันกลับไปมองภาพที่ปรากฎอยู่ในหน้าจอพร้อมกับเบียดตัวใกล้เข้ามามากกว่าเดิม ถึงจะมืดไปสักหน่อยแต่ก็ยังดูออกว่าในรูปเป็นใบหน้าของผมกับเขาอยู่ใกล้กัน คนข้างๆผมกำลังยิ้มออกมานิดๆ ส่วนผมนี่หน้านิ่งสนิทจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยทัก
"ยิ้มหน่อยดิ"
ทันทีที่เขาพูดจบผมก็ยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มที่ว่านั่นก็ดูฝืนเต็มที
บอกตรงๆ โคตรเขินเลยว่ะ!
"หมอ...เอาฮาปะเนี่ย ยิ้มดีๆดิ"
อีกฝ่ายพูดออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ ก่อนจะยกมือขึ้นมาตีกันซ้ำๆ จนผมเองก็ต้องหลุดขำออกมาบ้าง พร้อมกับกดถ่ายรูปไปด้วย
"อย่าถ่ายตอนเผลอดิ เอาใหม่เลย"
เขาพูดแล้วกลับมามองกล้องอีกครั้ง ยิ้มหวานยังคงยิ้มเก่งไม่ต่างจากทุกครั้ง ส่วนผมเองก็อมยิ้มออกนิดๆ เพราะกำลังกลั้นหัวเราะอยู่ ถ่ายรูปนี้เสร็จเขาก็เก็บมือถือกลับไป ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งได้สนใจเพลงที่นักร้องกำลังร้องอยู่บนเวที
บอกตรงๆตั้งแต่วันที่ได้พบเธอ
ตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร
ใจข้างในก็ยอมแพ้
แม้เธอไม่เคยบอก ว่าเธอคิดกับฉันว่ายังไง"เพลงนี้เพลงอะไรนะ?"
ผมหันไปถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่เขาจะหันกลับมาทำตาโตใส่กัน แล้วยืนตั้งใจฟังเพลงไปเงียบๆ
เป็นครั้งแรกที่มันรักใครไปโดยไม่ต้องคิด
เป็นครั้งแรกที่ไม่สนว่ามันจะถูกหรือผิด
แค่ได้รักเธอต่อไป เพราะทำอย่างไรก็ห้ามใจไว้ไม่ได้"ไม่รู้ดิ"
"เออ เราก็นึกชื่อไม่ออก ร้องได้ด้วย"
"..."
"เป็นครั้งแรกที่มันรักใครไปโดยไม่ต้องคิด
ไม่สนว่าตอนสุดท้ายผลมันจะถูกหรือผิด
เธอไม่รู้ไม่เป็นไร ขอแค่ให้ใจได้แสดงความจริงข้างในที่ฉันมีต่อเธอ"สักพักคนตรงหน้าผมก็ยกมือขึ้นมาตีเข้าที่ต้นแขนผมแรงสุด ซ้ำรอยเดิมเต็มๆ
"จีบแรงไปปะ!"
ผมยิ้มมุมปาก แล้วยักคิ้วให้เขาโดยไม่ตอบอะไรกลับมา จนคนตรงหน้าต้องยัดโทรศัพท์ของตัวเองมาใส่มือผม แล้วพูดต่อ
"อยากรู้ว่าเพลงอะไรก็เสิร์ชกูเกิ้ลดิ"
ผมหาพิมพ์เนื้อเพลงเท่าที่จำได้ลงไป พอได้คำตอบก็หันมาบอกคนที่กำลังมองบรรยากาศรอบๆแล้วยิ้มออกมา
"ชื่อเพลงกะทันหัน"
เขาหันกลับมามองผม ทำหน้าตกใจนิดหน่อย ก่อนจะตอบกลับมา
"จริงอ่ะ เราไม่เคยรู้เลย"
“ไม่มีคำว่ากะทันหันในเนื้อเพลงเลยเนอะ"
“มั้ง....กะทันหันเหรอ?”
คนตรงหน้าผมถามออกมาลอยๆ และทำท่าเหมือนกำลังนึกว่าในเพลงมีคำนี้อยู่รึเปล่า
ผมมองท่าทางของเขาแล้วได้แต่อมยิ้ม ก่อนจะตอบกลับ
"อืม...กะทันหันเหมือนตอนที่เราตัดสินใจวางชีททิ้งไว้ที่ร้านกาแฟอ่ะ"คำพูดของผมทำให้คนตรงหน้าทำปากคว่ำใส่ แล้วตั้งท่าจะตีกัน โชคดีที่ผมยกมือขึ้นมารับฝ่ามือของเขาเอาไว้ได้ทัน ก่อน
ที่มันจะฟาดลงมาบนต้นแขนอีกที
"อย่าตีกันบ่อยดิ เจ็บ"
"..."
"เอามือมานี่เลย ยึดไว้ก่อน"
พูดจบผมก็เลื่อนมือไปกุมฝ่ามือของเขาเอาไว้ ก้มหน้ามองฝ่ามือของเราที่เกาะเกี่ยวปลายนิ้วกัน
พร้อมกับความคิดมากมายที่ผุดขึ้นมาในใจ จนไม่ทันได้ฟังในสิ่งที่เขาพูดออกมา
รู้ตัวอีกทีผมก็เห็นว่าคนตรงหน้ากำลังยืนจ้องหน้ากันเหมือนจะรอคอยคำตอบ
“มีอะไร?”
“เราถามหมอว่าเบื่อยัง? ลงไปเดินต่อมั้ย?"
“อ๋อ...ไปดิ...”
คนฟังพยักหน้ารับ แล้วถามต่อ
"อยากไปตรงไหนอีกปะ?"
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะเห็นคนตรงหน้าทำหน้ามุ่ย
“งั้นกลับมั้ย เราว่ายุงมันกัดอ่ะ"
ได้ยินอย่างนั้นผมก็พยักหน้ารับ ยอมปล่อยมือเขาที่ผมแอบยึดมากุมเอาไว้ ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายรีบเก็บมือตัวเองกลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันมาทำหน้าซนๆใส่กัน
“ปล่อยเองนะ ไม่ให้จับแล้วด้วย”
“อย่าเผลออีกแล้วกัน"
ผมพูดแล้วแกล้งเอามือไปผลักหัวอีกฝ่ายเล่น ก่อนที่เราจะเดินลงบันไดไป
ลัดเลาะผ่านผู้คนอยู่ไม่นาน ในที่สุดผมกับเขาก็มาถึงมินิคูเปอร์คันเดิมจนได้
เพราะกุญแจรถอยู่กับผมตั้งแต่แรก นั่นทำให้หน้าที่ขับรถเลยตกมาเป็นของผมเหมือนทุกที
หลังขึ้นไปนั่งบนรถและสตาร์ทเครื่อง พร้อมกับที่อีกฝ่ายพูดออกมาและหันมายิ้มให้กัน
"สนุกดีเนอะ"
"อืม..."
ผมตอบกลับไปสั้นๆตามนิสัย ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองตรงมาทางนี้แล้วส่งยิ้มมา
ดวงตาคู่นั้นเป็นสีดำสนิทแต่มีประกายสดใส กรอบตาคู่โตโค้งลงยิ่งขึ้นตอนที่อีกฝ่ายยกรอยยิ้มให้กว้างขึ้นอีกตอนที่เราสบตากัน
ผมมองลึกลงไปในแววตาของเขา และรู้สึกเหมือนมีกำลังเข็มนาฬิกามาเดินนับถอยหลังอยู่ในหัวสมอง
ในขณะที่ความทรงจำต่างๆไหลย้อนกลับมา ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาหลายวันที่เราไม่ได้เจอกัน ช่วงเวลาดีๆที่เราเพิ่งผ่านพ้นมันมา ตอนที่เขาไม่พอใจผมที่ทะเล ตอนที่คนตรงหน้าเอาต้องนั่งทำงานข้ามวันข้ามคืน ตอนที่มีคนมาชอบเขา ตอนที่เราสบตากันในระหว่างที่ผมกำลังร้องเพลง ตอนที่อีกฝ่ายโกหกทุกคนเพราะรถเสีย ตอนที่เขาทำชีทสรุปเนื้อหาให้ผม ตอนที่กระเป๋าตังค์เราสลับกัน ตอนที่ผมขอไปกินข้าวเที่ยงกับเขาเป็นมื้อแรก
และตอนที่ผมวางชีททิ้งเอาไว้บนโต๊ะที่ร้านกาแฟ ทุกๆอย่างยิ่งทำให้มั่นใจ ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
...ผมจะปล่อยให้เขาหลุดมือไปไม่ได้
ระหว่างที่กำลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผมก็บอกกับตัวเอง
เอาวะ! รู้สึกได้เลยว่ามือที่กำพวงมาลัยรถอยู่ตอนนี้กำลังร้อนจัดและชุ่มไปด้วยเหงื่อถึงแม้ว่ารถจะเปิดแอร์ไว้เรียบร้อยแล้ว
ผมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง พูดกับตัวเองในใจก่อนจะผ่อนลมหายใจออก
อยากจะให้คำอธิษฐานนี้เป็นจริงอีกสักครั้ง
...ขอให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม “คืองี้...ฟังเราแป้บนึงดิ"
คนที่มองหน้าผมอยู่ตั้งแต่แรกกระพริบตาปริบๆเหมือนไม่เข้าใจ แต่ก็ตอบกลับมาสั้นๆ
“อืม...”
“ตอนนี้เราอาจจะไม่มีดอกไม้ช่อใหญ่ๆ หรือถ้าไปเปิดท้ายรถดูก็คงไม่มีลูกโป่งกับป้ายที่เขียนคำอะไรเวอร์ๆลอยขึ้นมาหรอก"
ได้ยินอย่างนั้นเขาก็หันหน้าไปมองท้ายรถ แล้วกลับมาพยักหน้ารับกับผมสองสามที
“อะฮะ..."
“แต่เราก็ยังอยากจะถาม คือ...”
“....”
“เป็นแฟนเราไหม?”คนตรงหน้าทำตาโตกว่าทุกครั้งทันทีที่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูด ท่าทางเขาเหมือนจะตกใจอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะยกมือขึ้นมาหันฝ่ามือให้เหมือนจะขอให้หยุดพูดก่อน
จนกระทั่งอีกฝ่ายมั่นใจว่าผมจะไม่พูดต่อ เขาก็หันหน้าหนีออกไปนอกหน้าต่าง แล้วยกมือทั้ง 2 ข้างขึ้นมานวดแก้มตัวเองซ้ำๆ
ผมมองท่าทางตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ แต่ท่าทางที่อีกฝ่ายขอให้หยุดพูดก็ทำเอาหัวใจผมตกวูบลงไปเป็นที่เรียบร้อย
ปลายนิ้วของผมจิกหน้าขาตัวเองผ่านกางเกงยีนส์สีดำ และทันทีที่รู้ว่ากำลังทำอย่างนั้นอยู่ ผมก็รีบยกมือขึ้นและพบว่ามันแย่กว่าเดิมเข้าไปอีกเพราะไม่รู้ว่าจะเอามือไปวางเอาไว้ตรงไหนดี
สักพัก...ยิ้มหวานก็หันหน้ากลับมา
สิ่งแรกที่ผมเห็นคือแก้มทั้ง 2 ข้างของอีกฝ่ายจับสีแดงระเรื่อไปจนถึงใบหู เขาเม้มปากแน่น ก่อนจะคลายออกเป็นรอยยิ้มดูขัดเขินไปหมด
“จะได้อะไรอ่ะ?”
“ฮะ?”
“ถ้าเป็นแฟนหมอ...เราจะได้อะไรบ้าง? มัน...ดียังไงอ่ะ?”
เขาถามด้วยสีหน้าซุกซน ประกายวิบวับในแววตาคู่นั้นดึงเอาความมั่นใจทั้งหมดของผมกลับมา
ใช้เวลานึกอยู่ไม่นาน ผมก็ตอบกลับไป
“ได้...ตัวกับหัวใจผู้ชายคนนึง" ผมพูดออกมาแค่นั้นแล้วแกล้งยักคิ้วกวนๆไปให้ พอเห็นสีหน้าไม่ถูกใจกับข้อเสนอ ผมก็รีบพูดต่อ
"ที่...อาจจะไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย แต่ก็สัญญา ว่าจะเป็นแฟนที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้นะ"
คำพูดของผมทำให้เขายิ้มเขิน ดวงตาคู่นั้นยังคงมองตรงมา ก่อนจะถามต่อ
“แล้วไงอีกอ่ะ?”
ชิบหายละทีนี้...ได้อะไรอีกวะ?
ผมใช้ความคิดอยู่สักพัก และพบว่าในหัวสมองไม่มีคำตอบดีๆที่จะใช้ขโมยหัวใจคนตรงหน้าได้เลย
“พอเราเรียนจบ ก็จะได้หมอเอาไว้ใกล้ๆตัว คอยดูแลสุขภาพ คอยรักษาเวลาไม่สบายไ
คนฟังแทบจะหลุดขำออกมากับคำตอบของผม เขาเม้มปากเข้าอีกครั้ง ก่อนตอบ
“แต่ที่บ้านเราซื้อประกันชีวิตไว้ให้แล้วนะ เราว่า...เราคงไม่อยากได้หมอเพิ่มแล้วแหละ"
อ้าวซวย...
พูดจบเขาก็หลบสายตามผมไปสักพัก ท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ และทันทีที่แววตาคู่นั้นมองกลับมา ผมก็ได้เห็นรอยยิ้มกว้างๆที่เคยทำให้ผมตกหลุมรัก และยังคงทำอย่างนั้นอยู่ซ้ำๆ ตลอดระยะเวลาที่เราได้รู้จักกัน
ก่อนที่เขาจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ที่จะดังก้องสะท้อนอยู่ในหัวใจของผมไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
“แต่เรากำลังอยากมีแฟนดีๆสักคนนะ"
“...”
“ต้องเป็นคนที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ด้วย"โคตรจะรู้สึกเหมือนมีประกายปิ๊งๆๆอยู่ในใจเลยครับตอนนี้ แล้วไอ้ปิ๊งอะไรนั่นมันก็หายไปตอนที่ผมยกมือขึ้นมาทำท่าดีใจ จนข้อศอกไปกระแทกเข้ากับพวงมาลัยรถเข้าเต็มแรง ...และแล้วโคตรปิ๊งก็ได้กลายมาเป็นโคตรเจ็บเป็นที่เรียบร้อย
“หมอ...!”
เห็นอย่างนั้นเขาร้องออกมาพลางยื่นมือมาจับข้อมือผมแล้วดึงไปดูตรงรอยกระแทกที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงและมีแววว่าจะกลายเป็นรอยช้ำเขียวได้ในวันพรุ่งนี้
ปลายนิ้วที่ยังคงเย็นเฉียบของอีกฝ่ายพลิกแขนผมแล้วใช้ปลายนิ้วลูบผ่านบริเวณที่ยังคงเจ็บอยู่อย่างแผ่วเบา ก่อนจะพูดออกมาเจือเสียงหัวเราะ
“โง่ปะเนี่ย?”
พูดจบเขาก็ปล่อยมือทันที แต่แทนที่จะดึงแขนกลับมาอย่างที่ควรจะทำ ผมกลับยื่นมือไปสัมผัสปลายนิ้วลงบนผิวแก้มนุ่มๆของคนที่ยังคงนั่งเอียงตัวมาทางนี้ ไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยถาม ผมก็กระซิบตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“โง่ก็ยอมแล้ว"
พูดจบผมก็ขยับตัวเข้าไปใกล้ ใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้เบาๆบนแก้มของเขาซ้ำๆ พร้อมกับกดจูบลงไปบนริมฝีปากได้รูปตรงหน้าแล้วบดเบียดอย่างช้าๆ ละเลียดชิมรสจูบที่นุ่มละมุนชวนให้นึกถึงสายไหมที่อีกฝ่ายบ่นว่าอยากกินอยู่ก่อนหน้านี้
ผมผละริมฝีปากออกมาในช่วงเวลาหนึ่ง เลื่อนไปแต้มจูบเบาๆลงบนปลายจมูกโด่งได้รูป และย้ำริมฝีปากลงไปบนหน้าผากมน ก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ
พอได้เห็นว่าริมฝีปากของคนตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อเพราะถูกเม้มซ้ำๆแถมยังวาววับไม่ต่างกับเยลลี่ผมก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ไม่ทันไร กลีบปากคู่นั้นก็ขยับบ่นหงุงหงิง
"จะถอยรถได้ยัง"
มือข้างนึงของผมเลื่อนไปจับพวงมาลัยรถ ส่วนอีกข้างจับอยู่ที่เกียร์และคงจะถอยรถออกไปแล้ว ถ้าอยู่ดีๆไม่นึกขึ้นมาได้ว่าลืมอะไรบางอย่าง พอคิดได้อย่างนั้นผมก็หลุดยิ้มออกมา จนคนข้างๆยังต้องเอ่ยถาม
“มีอะไร?”
ผมไม่ตอบ แต่ตบมือลงไปที่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะสัมผัสได้ว่าสร้อยข้อมือที่วิ่งสู้ฟัดไปซื้อมาแทบตายยังคงอยู่ตรงนั้น ผมหยิบไอ้ของที่ว่านั่นออกมา ก่อนจะฉีกถุงกระดาษดีไซน์สวยๆออก แล้วหยิบสร้อยหนังสีดำยื่นไปให้คนตรงหน้า
“ซื้อมาให้ ตอนแรกกะว่าจะเซอร์ไพร์ส แต่มีเรื่องเซอไพร์สกว่าตัดหน้าไปซะแล้ว"
น่าแปลกที่อีกคนเอาแต่มองสร้อยข้อมือเส้นนั้นแล้วทำสีหน้าแปลกใจ จนผมต้องเอ่ยย้ำ
“ยื่นมือมาเร็ว"
“แป๊บนึงดิ"
เขาพูดออกมาพลางเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าใบที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ก่อนจะล้วงมือลงไป แล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมา
ของที่ว่านั่นคือถุงกระดาษหน้าตาเหมือนกับอันที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงผม เขาแกะมันออกตามขั้นตอนอย่างที่ควรจะทำก่อนจะจนกระทั่งผมเห็นของที่อยู่ในห่อนั้น
มันเป็นสร้อยข้อมือแบบเดียวกันกับที่ผมซื้อมา แต่เป็นสีน้ำตาล...
“อ้าว...ไปซื้อมาตอนไหนเนี่ย?”
ได้ยินคำถามของผม เขาก็ลอบยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบออกมา
“ตอนหมอไปเข้าห้องน้ำ ก็....ดูเหมือนจะชอบสีนี้ไม่่ใช่เหรอ เราเลยซื้อมาให้"
“ใจตรงกันซะงั้น"
“เลิกหยอดเราได้แล้ว"
คนฟังทำปากคว่ำใส่กัน แล้วยื่นมือมาดึงข้อมือของผมไปจับเอาไว้ ก่อนจะใส่สร้อยข้อมือเส้นนั้นให้กัน ก่อนที่ผมจะยื่นมือออกไปให้อีกฝ่ายวางมือของตัวเองลงมา แล้วใส่สร้อยข้อมือสีดำให้เขา
“เอามาเทียบกันเร็วๆ"
ได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างนั้นผมก็ยื่นแขนออกไปเทียบกับข้อมือของอีกคนที่ยื่นมารออยู่ก่อนแล้ว
รู้สึกแปลกตาอยู่เหมือนกันที่เห็นคนตรงหน้าใส่สร้อยข้อมือหนังสีดำอย่างตอนนี้ และยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ที่ผมใส่สร้อยข้อมือสีน้ำตาลทั้งๆที่ปกติแล้วถ้าไม่ใช่เครื่องประดับสีดำ ผมก็จะใส่พวกเงินไปเลย
ในขณะเดียวกัน มันก็มีความรู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาดเกิดขึ้น ตอนที่คิดขึ้นมาได้ว่า
ผมกำลังใส่ของที่เหมาะกับเขา ส่วนเขาก็ใส่ของที่เข้ากับผม
“คราวนี้จะกลับบ้านได้ยัง?”
คำพูดของเขาทำให้ผมหลุดขำ ก่อนจะหันไปมองคนที่ขยันทำหน้ามุ่ยเหลือเกินแล้วตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม
“ครับแฟน~" tbc.
- - -
หมอ : มีเรื่องสำคัญจะบอก ตั้งใจฟังให้ดีนะครับ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอให้เปลี่ยนแฮชแทคของนิยายเรื่องนี้ไปเป็น #ยิ้มหวานแฟนหมอ ด้วยนะครับ
ยิ้ม : ทุกคนอย่าไปฟังหมอเยอะ ฟังที่เราจะพูดดีกว่า ^ ^ จริงๆแล้วในเพลงกะทันหันมีคำว่ากะทันหันนะ แต่เรานึกไม่ออกเอง ถ้าทำให้เข้าใจผิดก็ขอโทษด้วยนะคับ
หมอ : แล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนแฮชแทคไปเป็น #ยิ้มหวานแฟนหมอ ด้วยนะครับ
ยิ้ม : ใครเปลี่ยนเราโกรธนะ เค้าแทคกันมาดีๆตั้งหลายตอน หมออย่ามั่วดิ!
หมอ : โกรธเหรอ? ไหนมาหอมแก้มง้อทีนึงมา...
ยิ้ม : ไอ้หมอนี่!!!!
หมอ : #ยิ้มหวานแฟนหมอ อย่าลืม
ยิ้ม : #ยิ้มหวานของหมอ น้าาาาา
หมอ : ก็ใช่ไง ของเรา... โอ๊ย!
ยิ้ม : *งับไหล่หมอ*
หลังจากคำแนะนำจากหลายๆคนในทวิตทำให้เราตัดสินใจได้ว่า เราจะใช้อาร์ตบ๊อกซ์เป็นโลเคชั่นของตอนนี้
จะต้องเล่าย้อนก่อนมะ? คืองี้ค่ะ พล็อตเดิมเราตั้งใจจะให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นที่เจเจกรีน ซึ่งเป็นถิ่นเราเลย เดินบ่อยมาก~ แต่ทำไปทำมาอยู่ดีๆเราก็เบื่อเจเจกรีนซะงั้น เลยถามหลายๆคนทางทวิต และเลือกอาร์ตบ็อกซ์ เราเลยไปเดินอาร์ตบ็อกซ์มารอบนึง และพบว่า มันจะเฉยมากสำหรับขาช็อป แต่เป็นที่เดทที่ดีใช้ได้เลย
ตอนเราเดินคิดโน่นคิดนี่เรื่องหมอกับยิ้มอยู่ในงาน นักร้องก็ดันร้องเพลงนี้ขึ้นมาพอดี
จากที่เฉยๆก็กลายเป็นว่าชอบไปซะงั้น จิ้มลิ้งละไปฟังกันเลย
❤ กะทันหัน - Project Love Pill 2ปล่อยให้เด็กตีกันไปเนอะ ดึกแล้ว ฝันดีนะคะ
ขอบคุณค่ะ : )