-THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [แจ้งข่าวหน้า 56 ค่ะ] <14.03.16>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [แจ้งข่าวหน้า 56 ค่ะ] <14.03.16>  (อ่าน 707215 ครั้ง)

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1260 เมื่อ27-11-2015 08:51:54 »

ยิ้มหวาน ทำให้เราอิจฉาาาาา

ออฟไลน์ hormonesyj

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 721
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-3
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1261 เมื่อ27-11-2015 13:26:05 »

ยิ้มกับหมอโคตรน่ารักเลยยยย ชอบจังงงงง  :o8:

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1262 เมื่อ27-11-2015 13:36:12 »

ลืมกระทงก็ดีเหมือนกันนะหมอ

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1263 เมื่อ27-11-2015 13:54:44 »

โอ้ยยยย..น่ารัก

ออฟไลน์ zleep

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-4
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1264 เมื่อ27-11-2015 14:09:41 »

งื้อ หมอกับยิ้มน่ารักจังเลย
ขอด้วยอีกแรง แม้จะดีเลย์ไปนิด ฮ่าๆ ขอให้ทั้งสองคนพบเจอแต่สิ่งดีๆนะคะ อยู่กันแบบนี้ไปนานๆ

ออฟไลน์ duckduckk3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1265 เมื่อ27-11-2015 18:29:09 »

กรี๊ดดดด ไม่รู้จะกรี๊ดอะไรก่อนดีเลย
ระหว่างพี่กี มาอัพเร็ว หรือ ยัยนิ้มที่ทำตัวมุ้งมิ้ง 5555555

ออฟไลน์ J029

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1266 เมื่อ27-11-2015 18:37:22 »

จนตอนนี้เราก้ยังไม่รู้ชื้อจริงๆของยิ้มหวานช้ะ

ออฟไลน์ sunipum

  • ชีวิตต้องต่อสู้ ให้โลกรู้เราแน่แค่ไหน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1267 เมื่อ27-11-2015 18:40:37 »

เรื่องนี้อ่านแล้วฟินน~~~
คือแบบไม่ยิ้มไม่ได้  ยิ้มหวาน หมอ น่ารักกทั้งคู่เลย
ขอบคุณมากๆเลยนะค่ะ ^^

ออฟไลน์ wijii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1268 เมื่อ27-11-2015 20:50:37 »

พอเป็นแฟนกันแล้วอะไรๆก็ดี ชีวิตดี๊ดีย์อ่ะ5555

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1269 เมื่อ27-11-2015 21:25:30 »

น่่ารักกกกก >///<

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
« ตอบ #1269 เมื่อ: 27-11-2015 21:25:30 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ white feather

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1270 เมื่อ28-11-2015 00:56:55 »

น่ารักอ่ะ
ดูดูแลกันมุ้งมิ้งมุ้งมิ้ง
 :-[ :-[ :o8:

ออฟไลน์ pannuna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 449
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1271 เมื่อ28-11-2015 01:14:21 »

นึกว่า 18.5 เป็นเอ็นซี
55555555
แต่น่ารักมาก

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1272 เมื่อ28-11-2015 12:02:03 »

ลอย ลอยกะเธอ
ลอย ลอยกะเธอ
ลอยกะเธอกันแล้ว
ขอเชิญน้องแก้วมาเก็บกะละมัง... ชึ่งโป๊ะ!!!

ถึงหมอจะไม่รอบคอบ แต่มีแฟนรอบรู้เรื่องประดิษฐ์ประดอย
หมอก็รอดแล้วลูก  ว่าแต่... วันลอยกะเธอนี่มันวันเสียตัวไม่ใช่เหรอคะ?

หลังอธิษฐานและขอขมาเจ้าแม่คงคาแล้ว
บรรลุวัตถุประสงค์ที่สองของเทศกาลนี้หรือยังจ๊ะหมอ?
(ฮี่ ฮี่ ฮี่... อีป้านี่ยิ้มหื่นรอเลย)

ขอบคุณมากค่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-11-2015 18:00:40 โดย Malimaru »

ออฟไลน์ numin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1273 เมื่อ28-11-2015 18:53:55 »

ในที่สุด อิหมอก็หายปอดแหกกกก ในที่สุดก็เป็นแฟนกัน อิอิ

แต่จะว่าไง หมอนิ ปากว่ามือถึงเหมือนกันนะ เดี๋ยวหอม เดี๋ยวจุ๊ฟ

รอเลย ถ้าคู่นี้ได้กัน คงเป็นอะไรที่ละมุนมาก ขนาดฉากจูบยังแบบเขินจนกัดหมอน

อยากรู้ใจจะขาด ว่าหมอจะปล้ำยิ้ม หรือ ยิ้มจะปล้ำหมอ หึหึ

ออฟไลน์ NatZuKae

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1274 เมื่อ28-11-2015 20:44:54 »

น่ารักจนเราจะคลั่งแล้ว โอ๊ยยยยยยยย

ออฟไลน์ Tatangth

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1275 เมื่อ29-11-2015 10:13:24 »

หมอน่ารักอ่ะ ฮือออ

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1276 เมื่อ29-11-2015 21:36:17 »

น่ารักตลอดอ่ะ หมอกับยิ้ม

ออฟไลน์ Netimefii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1277 เมื่อ01-12-2015 12:00:04 »

น่ารักมาก   หยุดยิ้มไม่ได้เลย  :o8: :-[ :-[

ออฟไลน์ whitelavenders

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 197
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1278 เมื่อ02-12-2015 01:32:10 »

ตามอ่านอยู่สองวัน จนถึงตอนลอยกระทงล่าสุดเลยค่ะ 555555
ดีใจกับนังหมอจริง ๆ ที่ในที่สุดก็ได้เป็นแฟนยิ้มหวานแล้ว
ไอ้เราก็รอลุ้นจนเลิกลุ้นไปแล้วหลายรอบ ถ้าเป็นเรื่องอื่นก็ซั่มกันไปตั้งแต่สามตอนแรกแล้วค่ะ
พัฒนาการของคู่นี้ช้ามากกก แต่ก็ชอบนะ เราว่ามันน่ารักแล้วก็ค่อยเป็นค่อยไปดี
ชอบเวลาเค้าจีบกันด้วย อ่านแล้วรู้สึกดีอะ ไม่หวานเว่อ มี space นี่แหละคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการคบกัน !

เรื่องนี้นอกจากจะชอบนังหมอกับยิ้มหวานแล้ว ยังชอบคุณตัวประกอบอย่างเพื่อนๆมากค่ะ
โดยเฉพาะทางฝั่งเพื่อนหมอ 1 2 และโคนันเนี่ย เราว่าตลกดี แล้วก็แอบหลุด
ไม่คิดว่าคนเรียนหมอจะมีมุมแบบนี้
รอคอยตอนต่อไปนะคะ :)

ป.ล.ตอนพิเศษ กระทงล้ำมาก ไม่คิดว่าจะมีงานประดิษฐ์เกิดขึ้นและลอยในกะละมัง 555555

ออฟไลน์ Preenp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1279 เมื่อ03-12-2015 02:04:18 »

รอออออ :ling1: :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
« ตอบ #1279 เมื่อ: 03-12-2015 02:04:18 »





ออฟไลน์ bae1993

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1280 เมื่อ09-12-2015 00:42:34 »

เค้ารอยิ้มอยู่น้า  :katai5:

ออฟไลน์ QXanth139

  • ♡동해 #Always13
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1281 เมื่อ09-12-2015 01:15:44 »

รอหมอกับยิ้มอยู่น้าาาา :กอด1:

ออฟไลน์ fernfabled

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1282 เมื่อ09-12-2015 16:57:37 »

ทำไมเนื้อเรื่องมันละมุนละไมขนาดนี้
โอ๊ยย นี่ยิ้มเกินยิ้มหวานละนี่
ยิ้มแก้มแตกกกก หมอโคตรน่ารักกก

ออฟไลน์ supernatural

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1283 เมื่อ11-12-2015 11:38:52 »

น่าจะมีง้อมีงอนมีหึงมีหวงบ้างนะคะจะได้รสชาติมากขึ้นไปอีกนิยาย

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1284 เมื่อ11-12-2015 21:01:35 »

เขาสองคนเป็นแฟนกันแล้ววววว นี่อ่านไปเคลิ้มไป บอกเลยว่าอยากได้หมอออออ  :hao7: :hao7:

มีตอนลอยกระทงแล้ว ตอนต่อไปก็น่าจะเป็นตอนปีใหม่เลยใช่มั้ยคะคนแต่ง ๕๕๕๕๕๕ หยอกเล่นค่าาา
สู้ๆนะคะ เรายังรออยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน เราอยากจะเห็นพัฒนาการตอนเป็นแฟนกันแล้วจะเป็นไงบ้าง ต้องมีหงมีหึงกันบ้างแหละ โอ๊ยยยย บอกเลยว่ารอคอยยยยย  :z2:

ออฟไลน์ numin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1285 เมื่อ15-12-2015 15:18:41 »

คิดถึงยิ้มหวานกะหมออีกแล้วอ่ะ เข้ามาอ่านซ้ำไปซ้ำมา เง้ออออออ
มาอัพไว้ๆน้าาาา เค้ารออยู่นะตัวเอง

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1286 เมื่อ16-12-2015 09:21:04 »

]
กรี้ดกร้าดในทวิตฝากติดแทค #ยิ้มหวานของหมอ นะคะ
มีทวิตเตอร์แล้วน้า ไปตามได้ค่ะ  @__thissmile




- 19 -


เราสามารถพบเจอคนได้หลายประเภทที่สยามในช่วงเย็น บางคนมาซื้อของ บางคนมากินข้าว บางคนนัดเจอเพื่อน บางคนก็แค่มาเพื่อเดินฆ่าเวลา และประเภทนึงที่ผมมั่นใจเลยว่ามีเยอะไม่แพ้กลุ่มอื่นๆ คือพวกที่มามองสาวๆ

ตอนแรกผมกับเพื่อนๆก็อยู่ในกลุ่มแรกหรอกครับ แต่หลังจากมานั่งกันที่ร้านกาแฟได้สักพัก อยู่ดีๆก็ถูดจัดไปอยู่ในประเภทสุดท้ายไปซะอย่างนั้น เพราะไอ้เบอร์หนึ่งดันไปถูกใจผู้หญิงคนนึงในกลุ่มที่นั่งอยู่อีกมุมของร้าน

"ชอบก็จีบไอ้สัด"

ไอ้เบอร์สองพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ไหวกับท่านั่งเก็กๆของมันตอนที่อีกฝ่ายบังเอิญมองมาทางนี้ ผมได้แต่พยักหน้ารับเบาๆแต่ไม่พูดอะไรออกไป เพราะรู้ตัวว่าสภาพตัวเองตอนที่แอบมองยิ้มหวานก็ไม่ได้ดีไปกว่าไอ้คนตรงหน้าสักเท่าไหร่

"กูไม่ได้ชอบเขาจนอยากจีบ กูแค่ชอบหน้าเขา หน้าแบบนี้ในมอไม่ค่อยมี"

ได้ยินอย่างนั้นไอ้โคนันก็ตอบกลับ ก่อนจะดูดชาเขียวเย็นเข้าไปคำใหญ่

"ก็เอาที่เพื่อนมึงว่าดี"

"ก็แบบนี้แหละ กูว่าดี แค่อาหารตามั้ยล่ะสัด"

ผมฟังคำตอบมันแล้วรู้สึกเพลียจนได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า ไอ้นี่มันเป็นแบบนี้แหละครับ มองไปเรื่อย แต่ก็ยังไม่คิดจะเริ่มต้นกับใครจริงจัง ผมเองก็เคยเป็นแบบมัน จนวันนึงที่ผมเจอเขา...

นึกถึงปุ๊บก็มาปั๊บเลย  มาพร้อมกับเสียงแจ้งเตือนของไลน์ ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู และเห็นคำถามสั้นๆมาจากอีกคน

*ยังอยู่ที่มอเปล่า?

*พวกนี้ลากออกมาสยามแล้ว

*อ่าวเหรอ 
*จะอยู่กับเพื่อนมั้ยอ่ะ
*ต้องตามไปปะ?

*อยู่สยามเซ็น
*มาช่วยลากเราออกไปหน่อย


*อ้าว ทำไมอ่ะ?

*อยากเตะเพื่อนตัวเอง


*ถามเพื่อนดูดิ 
*เราว่าเพื่อนหมอก็อยากเตะหมอเหมือนกัน
*ถ้าโดนนะ ฝากด้วยสองทีแรงๆ


*ยิ้ม....
*นี่แฟนไง จำไม่ได้เหรอ?


*5555
*ขับรถละ
*ถึงแล้วเดี๋ยวโทรหา



ผมยังไม่ได้บอกใช่มั้ยว่าวันนี้เรามาสยามกันทำไม

ผมกับพวกมันมาจัดการเรื่องชุดไปงานกัน เพราะรุ่นพี่ตอนม.ปลายกำลังจะแต่งงาน พี่แกไปเรียนมหาลัยที่เมืองนอก และเพิ่งจบเมื่อปีที่แล้ว รู้อีกทีก็เซอร์ไพร์สกันด้วยการบอกว่าจะกลับมาแต่งงานที่ไทย พวกผมต้องไปงานกันสามคน ยกเว้นไอ้โคนัน เพราะเพิ่งมารู้จักกันตอนปี 1

หลังจากเลิกเรียนพวกผมเลยแวะมาเอาสูทที่ไอ้เบอร์ 1มันสั่งตัดไว้ และมาช่วยดูว่าชุดมันดูดีรึยัง 
เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกผมจะได้ไปงานแต่งงานในบรรยากาศแบบเพื่อนพี่น้องด้วยมั้ง ทุกคนเลยดูตื่นเต้นกันไปหมด และไอ้คนที่แวะมาเอาชุดวันนี้ก็โคตรเวอร์  มันใส่สูทสีแดงเข้มตั้งแต่หัวจรดเท้า กับเสื้อเชิ้ตผ้ามันๆไว้ข้างใน แบบที่ผมเห็นแล้วยังปวดกบาลแทนเจ้าของงาน ไอ้เบอร์ 2 น่าจะใส่ชุดลายสก๊อตตั้งแต่สูทไปยันกางเกง

ส่วนผมนี่...ยังไม่มีชุดเลยครับ -_-

ตอนแรกผมจะตัดสูทใหม่เพราะตัวที่มีอยู่มันสั้นจนเต่อไปหมดแล้ว แต่พอโทรไปคุยกับร้านที่พ่อผมใช้บริการอยู่ประจำ เค้าดันบอกว่าตอนนี้ที่ร้านคิวยาวมาก ไม่น่าจะตัดเสร็จทันเวลาที่ต้องใช้

พอผมบ่นให้ยิ้มหวานฟังตอนที่คุยโทรศัพท์กันเมื่อคืน เขาก็ขอวางสายไปสักพัก ก่อนจะโทรกลับมาบอกกันว่า  เดี๋ยวจะพาไปตัดสูทที่ร้านของพี่ชายที่สนิทกันวันนี้

ถ้าเป็นคนอื่นแนะนำมาผมอาจจะไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นคนนี้นี่ เชื่อเขาเถอะครับ ยิ้มหวานเป็นคนเนี๊ยบเรื่องเสื้อผ้าและการแต่งตัวมากจริงๆ

สักพักคนที่ผมรออยู่ก็เดินตรงมาเข้ามาในร้าน รอยยิ้มสดใสทำให้เจ้าตัวดูเด่นมาแต่ไกลอย่างทุกที เขามาหยุดลงตรงโต๊ะของพวกผม พอหันซ้ายหันขวาเห็นว่าโต๊ะเล็กๆโดนล้อมรอบด้วยโซฟาสำหรับหนึ่งคนถึงสี่ตัว แถมทุกตัวก็โดนพวกผมจับจองไว้ทั้งหมด เจ้าตัวเลยนั่งลงบนที่วางแขนของเก้าอี้ตัวที่ผมนั่งอยู่ พร้อมกับเอ่ยทักทุกคน

“หวัดดี เหมือนไม่เจอกันนานเลยอ่ะ"

ได้ยินอย่างนั้นผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ได้เจอเพื่อนๆของผมเลยตั้งแต่ช่วงสอบ
พวกมันสามคนยิ้มรับแล้วทักเขากลับไปพร้อมกับถามเรื่องทั่วๆไปว่าคนเยอะมั้ย รถติดรึเปล่า ปล่อยให้เขาตอบคำถามเพื่อนผมอยู่สักพัก ก่อนที่เจ้าตัวจะถามกลับไปบ้าง

“ทำธุระกันเสร็จแล้วเหรอ?”

ระหว่างที่พูดออกมานี่ เขาก็ยื่นมือมาหยิบแก้วเครื่องดื่มตรงหน้าผมไปและดูดช็อคโกแลตเย็นรสหวานปนขมเข้าปากไปหน้าตาเฉย แถมยังเอาช้อนที่ปลายหลอดตักวิปครีมขึ้นมากินอีกต่างหาก  

ผมส่งสายตาไปให้เขา พร้อมกับขมวดคิ้ว กำลังจะทักว่ากินของอ้วนๆอีกแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับทำตาโตกลับมาแล้วตักวิปครีมใส่ปากไปอีกคำแล้วยักคิ้วให้กันสองที จนผมได้แต่ถอนหายใจ

ระหว่างที่ผมกำลังมองท่าทางคนตรงหน้าด้วยความคิดที่ว่า
'ทำไมเป็นคนกินอะไรก็ดูน่าอร่อยไปหมดขนาดนี้?'
คำตอบก็ดังมาจากอีกฝั่งนึง 

“อืม เรียบร้อยหมดแล้ว ยกเว้นหมาตัวนึง"

คำพูดของไอ้โคนันทำเอาคนฟังก็หลุดยิ้ม เข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าหมาตัวที่ว่านั่น...ก็ผมไงจะใครล่ะ!

“ของก็ยังได้ยังไม่ครบนะครับ แต่มานั่งอ่อยหญิง"

ไอ้เบอร์ 2 เล่นกูแล้วครับ! พอมันพูดจบอีกสองคนก็พยักหน้ารับกันเป็นตุ๊กตาหัวสปริง
สามัคคีคือพลังนะเพื่อนมึง!

“สัด มึงมั้ยล่ะ อย่ามาโบ้ยกู!"

ผมพูดพลางยกมือขึ้นไปฟาดหัวไอ้เบอร์หนึ่งเต็มแรง จนอีกคนที่เพิ่งมาถึงยังหลุดขำทั้งๆที่กำลังยกมือขึ้นมาตีไหล่ผมเบาๆเหมือนจะดุกันว่าไปทำเพื่อนทำไม ก่อนที่ผมจะยกมือขึ้นไปตีหน้าขาเขากลับเบาๆ และวางข้อศอกพักไว้บนนั้น แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด โดนผมตีปุ๊บ เขาก็ถามต่อปั๊บ

“เหรอ? คนไหนอ่ะ?”

ได้ยินอย่างนั้นไอ้เบอร์หนึ่งก็ส่งสายตาไปยังสาวผมยาวที่มันเล็งเอาไว้ ให้คนฟังหันไปมองตาม ทางโน้นเขาก็เหมือนจะรู้ตัวมาตั้งแต่แรกแล้วนะว่าโดนมอง แต่ก็ไม่ใส่ใจ

ไม่ใส่ใจเลยครับ...จนกระทั่งคนที่นั่งดูดช็อคโกแลตเย็นอยู่ข้างๆผมหันไปมอง ตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายก็มองกลับมาด้วยรอยยิ้มกว้างๆ แถมยังโบกมือทักทายด้วยท่าทางดีใจสุดๆ

ไม่ครับ นาทีนี้ไม่ได้โบกมืออย่างเดียว แม่คุณเล่นลุกขึ้นแล้วเดินตรงมาทางนี้ด้วย! 
ผมละสายตาจากเขาแล้วมองไปยังไอ้พวกเวรอีกสามตัวอย่างคาดโทษ

ไอ้สันขวาน! เผาบ้านกูทำไมวะ!
เดินมาถึงปุ๊บคนที่นั่งอยู่ใกล้ผมก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นมาก่อน

“หวัดดี..."

“หวัดดี ไม่เจอกันนานเลยเนอะ"

“ใช่ๆ นานมากอ่ะ”

เขารับคำก่อนจะหันมาทางพวกผมแล้วแนะนำชื่อผู้หญิงคนนั้น พร้อมกับอธิบายต่อว่าพวกเขารู้จักกันตอนเรียนเปียโนช่วงม.ปลาย ผมเลยเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีแฟนเล่นเปียโนได้ก็วันนี้

พวกเขาทักทายกันสั้นๆ และน่าจะแยกย้ายกันได้แล้ว ถ้าฝ่ายที่ยืนอยู่ไม่ถามต่อ
แถมยังยกมือขึ้นมาจับไหล่แฟนผมหน้าตาเฉย ด้วยเว้ย!

"ยังได้เล่นเปียโนอยู่บ้างปะ?"

“ตั้งแต่ออกก็ไม่ได้เล่นเลยพูดจริงๆ ลืมหมดละเนี่ย"

“เหรอ...เสียดายเนอะ”

“ไม่ต้องเสียดายหรอก เราขี้เกียจเองแหละ"

ผมมองบทสนทนาที่ถูกสานต่อไปเรื่อยๆ แล้วรู้สึกอยากตัดเข้าช่วงโฆษณาซะเหลือเกิน แต่สถานการณ์ก็ไม่ค่อยจะเป็นใจ
จบเรื่องเล่นเปียโนปุ๊บ เรื่องใหม่ก็ตามมาปั๊บจนผมแทบจะยกมือขึ้นกุมขมับ

“เออใช่! อาทิตย์หน้าวันเกิดเรานะ ที่บ้านมีปาร์ตี้ด้วย ไหนๆก็บังเอิญเจอกันแล้ว สนใจมาปะ?”

ไอ้ห่า! นาทีชีวิต! 
ผมเหลือบไปมองคนที่นั่งเบียดกันอยู่และเห็นว่าเขากำลังยิ้มรับคำชวนนั้น ก่อนคำตอบที่ดังออกมาจะทำให้ผมโล่งใจ

“ไม่แน่ใจอ่ะ แต่ช่วงนี้งานเยอะมาก ยังไงเดี๋ยวบอกอีกทีได้ปะ?”

“เหรอ? อืม...ได้สิ"

ท่าทางของอีกฝ่ายดูเหมือนจะผิดหวังไปเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถสานต่อได้อย่างไม่ติดขัด

"งั้นแลกไลน์กันไว้ก่อนแล้วกัน เราไม่ได้หยิบโทรศัพท์มาอ่ะ ขอมือถือหน่อยเดี๋ยวพิมพ์ไอดีให้"

“อ๋อ....ได้เลย"

เขารับคำ ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มมุมปากให้ผม แล้วยื่นมือมาหยิบโทรศัพท์ไปปลดล็อค

เราใช้ไอโฟนเหมือนกัน รุ่นเดียวกันสีเดียวกัน แต่เคสคนละลาย
และเครื่องที่เขาเอาไปเปิดไลน์แถมยังเข้าหน้าเพิ่มเพื่อนด้วยไอดีอยู่นั่น...
มือถือผมเองครับ -_-

ผมมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันก็งงๆนะ แต่ก็ฟินอยู่พอตัวว่ะ

แถมยังรู้ซึ้งตอนนั้นเลยว่าคนตรงหน้านี่แสบใช่เล่น ตอนที่เห็นว่าเขาพยายามเม้มปากกลั้นขำนิดหน่อยและแอบส่งสายตามาให้ผมพร้อมกับยักคิ้วให้ ระหว่างที่กำลังรับโทรศัพท์กลับมา แล้ววางมันลงตรงที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

"แล้วนี่มาทำอะไรแถวนี้อ่ะ?”

โว้ย! ขี้สงสัยอะไรขนาดนั้นวะคนเรา

"แวะมาหาเพื่อน"

ไหน! ไหนเพื่อนวะ? -_- ไม่มีเหอะ ที่นั่งอยู่นี่ก็แฟน...

“แล้วเดี๋ยวไปไหนต่อปะ?”

“เดี๋ยวจะพาแฟนไปร้านเสื้อผ้าอะ"

“อ้าว...มากับแฟน?”

“อืม...”

“แฟนอยู่ไหนอ่ะ"

“แถวนี้แหละ" ^^

โชคดีที่ อยู่ๆเพื่อนที่มาด้วยกันกับผู้หญิงตรงหน้าส่งเสียงเรียก แล้วกวักมือเหมือนจะเร่งให้อีกฝ่ายเดินกลับไปที่โต๊ะได้แล้ว
เห็นอย่างนั้นเขาถึงได้ยอมผละไปง่ายๆ โดยไม่ได้ถามอะไรเซ้าซี้ต่อ นอกจากโบกมือมาให้พวกผมทั้งโต๊ะ ก่อนจะเดินจากไป

หลังจากพายุตัวปัญหาน้อยๆหมุนออกจากโต๊ะไป พวกผมทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ

ไอ้พวกเพื่อนเวรสามคนอาจจะกำลังอึ้งในความแสบของยิ้มหวาน เห็นอยู่ว่าพวกมันทำหน้าตกใจตอนที่เห็นว่าเขาหยิบมือถือผมไปแอดไลน์ด้วยว่ะ

ส่วนผมได้แต่มองใบหน้าที่เอาแต่ยิ้มขำๆแล้วส่ายหน้าเหนื่อยใจ อยากจะยื่นมือไปดึงแก้มนิ่มตรงหน้าแรงๆ ให้สมกับความซนของเจ้าตัว แต่ไม่ทันได้ทำอะไร เขาก็หยิบมือถือผมไปกดปลดล็อคอีกรอบ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปคุยกับไอ้เบอร์ 1

“เดี๋ยวเราแชร์โปร์ไฟล์ไปให้"

"ฮะ?"

อึ้งครับ อึ้งแดกไหมล่ะมึง!
ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะเชื่อที่พวกนี้บอกซะอีก 

"อ่าว ก็ชอบไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวแชร์โปร์ไฟล์เพื่อนเราไปให้ทางไลน์นะ"

"..."

"หมอไม่ชอบแบบนี้หรอก นี่เปรี้ยวไป สเป็คหมอต้องเรียบร้อยมากกกก ดูเป็นคุณหนูกว่านี้"

แน่ใจว่าไม่ได้พูดถึงตัวเอง?
พูดจบเจ้าตัวเขาก็ส่งสายตามาทางนี้ แล้วยักคิ้วให้ผมทีนึง มองท่าทางแสบๆแล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นไป แล้วใช้ข้อนิ้วเคาะหน้าผากเขาเบาๆ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น และก้มหน้าลงไปช่วยหาไลน์ไอ้เบอร์ 1 พร้อมกับพูดออกมา

“สนุกนะ"

คนฟังหันมาส่งยิ้มกว้างให้ผม ก่อนจะก้มหน้ากลับไปกดแชร์โปรไฟล์ของคนที่เพิ่งแอดเพิ่มเข้ามาให้เรียบร้อย แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ไอ้คนที่กวนตีนคนอื่นเป็นนิสัย พอโดนเอาคืนบ้างเลยยังติดจะงงๆ

“เฮ้ยเอาจริงดิ"

“จริง! นี่ไงส่งไปแล้วนะ" 

เขาพูดพลางยกจอมือถือขึ้นมาให้มันดู แล้วพูดต่อ สักพักเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ที่มันใส่เอาไว้ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น พร้อมกับที่คนข้างๆผมพูดขึ้นมา

"สักพักนึงแอดไปก็ได้ เนียนๆหน่อยนะ อย่าเหมือนเพื่อนล่ะ"

โถ่ ทำเหมือนจะเข้าข้างผม แล้วก็แว้งมากัดกันซะอย่างนั้น
คนพูดยิ้มมุมปากแล้วยักคิ้วให้กัน ปล่อยให้ผมทำหน้านิ่งมองท่าทางซนๆซ่าส์ๆแล้วได้แต่นึกหมั่นเขี้ยวในใจจนต้องยกมือขึ้นมาชี้นิ้วคาดโทษเอาไว้ก่อน

หลังจากใจดี ช่วยเพื่อนผมหาแฟนเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกัน
ผมกับเขาตัดสินใจที่จะขึ้นบีทีเอสกันไป เพราะร้านอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าและช่วงเวลาทุ่มกว่าๆแบบนี้ก็รถติดโคตรๆ

ทั้งผมและเขามีบัตรที่ใช้เติมเงินอยู่แล้วเลยไม่ต้องต่อคิวแลกเหรียญให้เสียเวลา พอเราผ่านประตูเปิดปิดอัตโนมัติกันมา ผมก็ถามขึ้นมาระหว่างที่กำลังเดินไปต่อแถวรอขึ้นรถ

“ไม่ค่อยเห็นขึ้นบีทีเอสเลย มีบัตรด้วยเหรอ?”

“อืม ซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้อ่ะ งงเหมือนกัน"

เขาพูดแล้วขมวดคิ้วตามผมอีกคน ท่าทางจะนึกไม่ออกจริงๆว่าซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่

เรายืนรอให้ท้ายแถวร่นไปเรื่อยๆ ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมาตลอดเวลา สักพักผมก็สังเกตเห็นเหงือเม็ดเล็กๆที่ผุดขึ้นมาตามผิวหน้าของเขากับสีหน้ายุ่งๆของเจ้าตัว  เดาไม่ยากน่าจะว่าเป็นเพราะอากาศเมืองไทยที่ร้อนจนเกินเหตุ

เห็นอย่างนั้นผมก็ยกมือขึ้นมาพัดให้เขาสองสามทีแล้วถาม

“ร้อนอ่ะดิ"

คนฟังทำหน้ามุ่ยแล้วพยักหน้ารับ จนผมต้องยกมือไปปัดผ่านหน้าผากเขาทีนึงแล้วพูดต่อ

“เหม่งเปียกหมดแล้วเนี่ย"

“เหม่งอะไร? ใครเหม่ง”

เขาถามพลางทำสีหน้าเอาเรื่องใส่ผม พร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดหน้าผากตัวเองเอาไว้ด้วย

“น่าสงสารว่ะ โดนพามาลำบากแล้วเนี่ย คิดถึงมินิยัง?”

“เริ่มคิดถึงละ แต่เราก็ไม่ได้ความอดทนต่ำขนาดนั้นปะ เดี๋ยวก็ได้ขึ้นรถแล้วเนี่ย"

“ครับๆๆ"

“หมอก็เหงื่อท่วมเหมือนกันเหอะ"

พูดจบเขาก็ยกมือขึ้นมาผลักหน้าผากผมเต็มแรง แล้วถามไปอีกเรื่องนึง

“เมื่อกี้อ่ะ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

“หื้ม?”

“ก็ที่เราเอาไลน์ไปแอดคนอื่นอ่ะ ไม่เป็นไรใช่ปะ?”

“อ๋อ...” 
ผมรับคำ พร้อมกับยกมือขึ้นไปวางพาดไหล่เขาเอาไว้แล้วพูดต่อ

"นึกว่าคิดเรื่องอื่นไปแล้วนะเนี่ย...ไม่เป็นไร"

“ดีแล้ว ถ้าเซ็งขึ้นมาเราจะจัดการ เพราะหมอเป็นคนทำหน้าเหมือนไม่อยากให้เราคุยกับเค้าเอง"

ได้ยินอย่างนั้น ผมก็หันไปสบตากับเขาแล้วพูดต่อ

“จะจัดการเลย? จัดการไงบอกมาดิ๊~" 

โดยพื้นฐานผมไม่ใช่คนชอบต่อปากต่อคำ...
แต่ไม่รู้ทำไม การเถียงกับเขามันถึงได้เป็นอะไรที่น่าสนุกขนาดนี้

ยิ่งเห็นผมหัวเราะออกมาเบาๆ สีหน้ายุ่งๆของเขาก็ยิ่งยับยู่เข้ามากกว่าเดิม ก่อนเจ้าตัวจะพูดออกมาสั้นๆ พร้อม
กับที่รถไฟฟ้าวิ่งเข้ามาจอดลงตรงหน้าเราพอดี

“เกลียด!"

ผมหัวเราะรับคำพูดของเขา ก่อนจะเดินตามกันเข้าไปในรถไฟฟ้า  คนแน่นขนาดนี้แน่นอนว่าไม่ได้นั่งอยู่แล้ว
เราหาที่ยืนก่อนจะเกาะห่วงไว้คนละอัน ผมหยุดขำออกมานิดหน่อยตอนที่เห็นว่าคนที่มาด้วยกันกำลังยื่นหน้าขึ้นรับแอร์เย็นๆ ท่ามกลางผู้คนที่เบียดกันเป็นปลากระป๋อง

ปลายทางของเราคือสถานีนานา เดินต่ออีกหน่อยก็ถึงร้านที่ตั้งใจจะไปกัน
อาจจะเป็นเพราะว่าโดยปกติแล้ว ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับร้านสูทที่บรรยากาศขรึมๆแบบที่พ่อผมไป พอเดินเข้ามาที่นี่ เลยอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกถูกใจ ร้านเจ๋งว่ะ!

ถ้ามองผ่านประตูสไตล์วินเทจมาจากข้างคงเดาไม่ได้เลยครับว่าที่นี่เป็นร้านตัดสูท 

พอเข้ามาปุ๊บ สิ่งแรกที่สะดุดตาผมคือกระเบื้องที่เป็นลายสี่เหลี่ยมตัดสลับสีขาวดำ พอเงยหน้าขึ้นมาก็จะเห็นเสื้อผ้าแบบต่างๆที่อยู่ในหุ่นรอบๆร้าน โดยมีฉากหลังเป็นกำแพงสีขาวตัดกับสีเทาเข้ม และโคมไฟแบบเรียบๆที่ห้อยลงมาจากเพดานสูง 

เสื้อผ้าทุกตัวที่โชว์เป็นชุดของผู้ชายที่ดูออกว่าถูกออกแบบและตัดเย็บมาอย่างดี
ปล่อยให้ผมมองสำรวจรอบร้านอยู่ไม่นาน ก่อนที่เสียงเรียกจากข้างในจะดึงความสนใจผมไป

“ไง...ไอ้เด็กน้อย”

ผมหันไปมองทางคนพูด ก่อนจะเห็นว่าคนที่มาด้วยกันกำลังพุ่งตัวเข้าไปกอดเขาจนอีกฝ่ายถึงกับเซไป

“ไม่ค่อยได้เจอเลยนะ”

เจ้าของคำพูดนี้เป็นผู้ชายร่างเล็กๆ เขาตัวเตี้ยกว่ายิ้มหวานเล็กน้อย (แต่ผอมกว่าเยอะเลย -_-) และกำลังใช้แขนทั้งสองข้างรัดคนตัวนิ่มๆที่มากับผมเอาไว้จนแน่น

“คิดถึงอ่ะ”

ยิ้มหวานพูดแล้วกอดคนในอ้อมแขนตัวเองแน่นเข้าไปอีก 
ผมได้แต่ยืนมองแล้วกลัวว่าแฟนตัวเองจะไปทำอีกฝ่ายตัวหักขึ้นมาซะอย่างนั้น รอสักพักเขาก็คลายอ้อมแขนออกมา ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างให้อีกฝ่ายฟัง และทันทีที่ถอยออกมา สายตาคู่นั้นก็มองตรงมาที่ผมอย่างสำรวจ

ดวงตาคู่โตที่วาววับเหมือนแมวมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเอ่ยถาม

“จะตัดสูทเหรอ?”

ยิ้มหวานไม่ใช่ผู้ชายหน้าสวย ถ้าให้ผมหาคำจำกัดความให้เขา 
ก็น่าจะเป็น ‘หล่อและน่ารัก’

แต่เจ้าของสายตาที่มองมาที่ผมอยู่ตอนนี้คือตัวอย่างที่ชัดเจนมากของผู้ชายหน้าสวย ผมเองก็ไม่ค่อยได้ดูโทรทัศน์สักเท่าไหร่ แต่ผมว่าเขาดูเหมือนดารานะ

“ครับ...สวัสดีครับ”

พูดจบผมก็ยกมือขึ้นมาไหว้พี่เขาทีนึงจนอีกฝ่ายหัวเราะรับ

“เฮ้ย ไม่ต้องไหว้ก็ได้ ไอ้เด็กนี่ยังไม่ยอมไหว้เลย แป้บนึงนะ นั่งรอก่อน เดี๋ยวจะเอาแบบมาให้เลือก”

เขาพูดพลางเดินหายเข้าไปหลังร้านอีกครั้ง พร้อมกับที่คนตรงหน้าผมเดินกลับมาทแล้วยักคิ้วให้สองทีก่อนจะพูดต่อ

“ไง...ชอบอ่ะดิ”

ผมเลิกคิ้วใส่เขา ส่งสายตาถามกันว่าหมายถึงคนที่เดินเข้าไปหลังร้านน่ะเหรอ? พออีกฝ่ายพยักหน้ารับ ก็เป็นอันเข้าใจกัน

“ก็หน้าตาดีอ่ะ แต่ไม่ใช่แบบที่ชอบ”

“...”

“ชอบแบบนี้”

ตอนแรกเขาทำสีหน้าเหมือนจะล้อที่ผมอึ้งไปกับออร่าดาราของพี่ชาย แต่พอผมตอบกลับไปแบบนี้ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนมาทำหน้ามุ่ยแล้วยกมือขึ้นตีลงบนไหล่ผมเต็มแรง

"จีบติดแล้วเนี่ย ไม่ต้องขยันหยอดมากก็ได้มั้ง"

น่ารักว่ะ
ผมหัวเราะรับคำพูดของเขา ก่อนจะตอบกลับไป

“เห็นแล้วอยากจีบตลอด ทนไม่ได้"

“หมอ...เอาสิบบาทมั้ย?”

ไอ้คำพูด 'เอาไปสิบบาทแล้วไปเล่นตรงโน้นนะ' นี่กลายเป็นคำพูดตัดบทประจำคู่เราไปแล้วมั้ง
พอไม่รู้จะเถียงอะไรต่อ ก็แจกเงินสิบบาทกันตลอด

“โอเคๆ ไม่เล่นละ"

ผมพูดพลางยกมือขึ้นยอมแพ้ พร้อมกับได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนในร้านเดินเข้ามาใกล้
มาถึงพี่เขาก็ยื่มแฟ้มให้ผม แต่สายตามองตรงไปยังคนที่ยังคงปั้นหน้ามุ่ยเหมือนจะพุ่งตัวเข้ามากัดผมได้ตลอดเวลา

“ดูงอแงดิ อายุ 20 แล้วนะเว่ย แฟนก็มีแล้วเนี่ย โตได้แล้วมั้ง”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมต้องละสายตาจากแฟ้มในมือ แล้วมองไปยังคนพูดพร้อมคำถามในใจ
เพิ่งเจอกันเมื่อกี้เอง...รู้ได้ไงวะว่าเราคบกันแล้ว?

ก่อนจะต้องกลับมานั่งดูรูปในแฟ้มไปเงียบๆอีกครั้งเมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถแทรกเข้าไประหว่างสองคนตรงหน้าที่กำลังคุยกันอย่างเอาเป็นเอาตายได้เลย

ถามว่าหึงไหม...คำตอบคือไม่แม้แต่นิดเดียว
เข้าใจความรู้สึกเวลาเห็นสัตว์เล็กๆสองตัวเล่นกันไหมครับ นั่นแหละ ผมกำลังรู้สึกประมาณนั้น
 เพราะส่วนใหญ่ก็เขานี่แหละครับที่ชอบไปแตะไปจับคนอื่นก่อน

หลังจากนั้นสักพัก พี่เจ้าของร้านเขาก็ลุกไปทำงาน ทิ้งผมเอาไว้กับคนข้างๆให้ช่วยกันเลือกสูทแบบที่ต้องการ พอเลือกได้ก็ไปบอกพี่เขา คุยแล้วก็ปรับแบบกันอยู่นิดหน่อย ก่อนที่ผมจะต้องลุกขึ้นไปวัดตัว 
ซึ่งขอบอกเลยว่าเกร็งโคตร...

เข้าใจความรู้สึกเวลาที่โดนคนหน้าตาดีที่มีแสงสว่างแบบพวกดาราเข้ามาอยู่ใกล้มากๆไหมครับ นั่นแหละ ผมรู้สึกเกร็งๆประมาณนั้น พี่เขาตัดชุดให้ผมโดยไม่เก็บค่ามัดจำ แต่ขอให้อัพรูปตัวเต็มตอนใส่ชุดที่ตัดเรียบร้อยแล้ว ลงอินสตาแกรมโปรโมทร้านให้แทน หลังจากมารับชุดในอาทิตย์ถัดไป

คนบางตาลงไปมากแล้วตอนที่พวกผมนั่งบีทีเอสกลับไปที่สยาม ผมใช้บริการรถไฟฟ้าอยู่บ่อยครั้งจนรู้สึกว่าในยานพาหนะคันยาวๆที่คอยอำนวยความสะดวกในเมืองที่รถติดเป็นเรื่องปกติอย่างกรุงเทพนั้น ไม่มีอะไรน่าสนใจ

ทุกๆครั้ง สิ่งที่ผมทำตอนขึ้นบีทีเอสคือการใส่หูฟัง เปิดเพลงดังๆ และรอจนกว่าจะถึงสถานีที่ต้องการจะลง
แต่วันนี้ทุกอย่างแตกต่างออกไป...

...ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา ผมก็เห็นเขาอยู่ตรงนั้น

ยิ้มหวานกำลังก้มหน้าดูโทรศัพท์เหมือนจะหาอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วสบตาเข้ากับผมพอดี

คนตรงหน้าผมส่งยิ้มมาให้กัน ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้แล้วยื่นมือถือให้ผมดู

"ทำผมทรงนี้ดิ"

ผมก้มลงไปมองทรงผมที่เขาช่วยหา มันเหมือนจะต้องเซ็ทผมขึ้นไปแบบตั้งๆแบบเปิดหน้าผาก เรียกชื่อทรงไม่ถูกเหมือนกัน
ที่รู้คือ ผมทำให้หัวตัวเองกลายเป็นแบบนี้ไม่ได้แน่นอน -_-

"ทำไม่เป็นว่ะ"

"ไปที่ร้านดิ"

"ทำได้ก็มาทำให้กันดิ"

"เราไม่ใช่ช่างทำผมว่ะ"

"แต่ก็ทำได้เหอะ"

"ใครบอก?”

เขาหันมาพูดกับผมด้วยหน้ายุ่งๆ พร้อมกับที่บีทีเอสมาจอดลงตรงสถานีสยามพอดี อีกฝ่ายเลยเดินหนีผมออกจากรถไฟฟ้าไป 

ผมเดินตาม แล้วเอาแขนไปพาดกอดคอเขาเอาไว้ ตอนที่เราเดินผ่านประตูอัตโนมัติเรียบร้อยแล้ว เลี้ยวเข้าพารากอนปุ๊บ คนที่เดินอยู่ข้างๆกันก็ยกมือขึ้นมาจับมือผมที่วางพักอยู่บนไหล่ของเขาแล้วพูดต่อ

"ชอบกอดคอเราเนอะ"

คำพูดของเขาทำให้ผมยิ้มรับแล้วยักคิ้วให้ ก่อนจะตอบกลับไป

“ไม่ชอบเหรอ?”

“เปล่า...”

“งั้นก็ชอบ”

ผมพูดออกมาแล้วหลุดขำนิดหน่อย

“ก็ดีกว่าจูงมืออ่ะ เหมือนเป็นหมาเลย"

เห้ย เอาจริงๆอันนี้ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย

ผมเองก็ไม่ค่อยได้เดินจูงมือเขาสักเท่าไหร่ด้วยทั้ง แต่พอฟังเหตุผลแล้วผมก็ต้องหยุดยิ้มออกมาอีก ก่อนจะยกมือไปวางบนผมของเขาแล้วขยี้เบาๆ

“คิดได้เนอะ"

อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมา เขามองมาทางนี้แล้วยักคิ้วให้กัน ก่อนจะหันกลับไป

“สรุปวันงานจะไปทำผมให้เราใช่ปะ? เนี่ย... เวลาใส่สูทก็ต้องมีคนช่วยปะ ไม่งั้นยับแน่”

“โตแล้ว แต่งเองไม่ได้ไง?”

“โถ่..ไปเหอะน่า นะครับสุดหล่อ..."

“พูดจาโคตรไม่จริงใจเลยหมอ...”

“แต่ก็จะยอมไปด้วยกันใช่ปะ?”

เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆ รู้อีกทีก็เดินออกมาตรงส่วนของลานจอดรถแล้วครับ

ผมส่งสายตามองไปยังอีกคนเพื่อรอคำตอบ แล้วก็เห็นว่าฝ่ายนั้นแอบเหลือบปลายสายตามามองกัน พร้อมกับทำปากคว่ำแล้วตอบกลับไป

“แล้วเราพูดตอนไหนว่าจะไม่ไปเล่า!”

น่ารักจะตาย แฟนใครเนี่ย



- - -


- มีต่อนะคะ -

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [18.5] <26.11.15> page 41
«ตอบ #1287 เมื่อ16-12-2015 09:22:54 »

งานแต่งงานจัดขึ้นในคืนวันศุกร์ ที่มีเรียนตั้งแต่เช้ายันเย็น

ผมขับรถไปรับเขาที่คอนโดแต่เช้า และพาอีกฝ่ายที่ไม่มีเรียนมาส่งไว้ที่คณะ เพื่อช่วยรุ่นน้องเตรียมงานติวความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ และจะขับรถกลับมารับเขาอีกทีตอนเรียนเสร็จ

พอมาถึงหน้าคณะเขา ผมก็ไลน์ไปบอกกันว่ามาถึงแล้ว รออยู่ไม่นานก็เห็นคนตัวขาวๆในเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นเดินตรงมาแต่ไกล พออีกฝายขึ้นมานั่งบนรถปุ๊บ เราก็ทักทายกันนิดหน่อย แล้วเงียบกันไปตลอดทางอย่างผิดปกติ

ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเอง...
แต่วันนี้คนข้างๆผมดูเงียบกว่าทุกครั้ง เขาทำสีหน้าเหมือนจะคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ยอมพูด ท่าทางจะกังวลมากจริงๆ

“มันจะดีจริงๆเหรอหมอ?”

“หืม?”

“เรื่องที่จะพาเราไปที่บ้านไง”

“ไม่ต้องห่วงน่า...”

ผมพูดพลางยกมือไปขยี้หัวเขาเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากคนข้างๆ
เมื่อคืนเรานอนคุยโทรศัพท์กันแล้วสรุปได้ว่า ทางที่ดีที่สุดก็คือผมต้องกลับมาที่บ้านเพื่อแต่งตัว

เพราะชุดที่เพิ่งตัดเสร็จจะต้องส่งซักและรีดให้เรียบร้อย ซึ่งไอ้ขั้นตอนการซักรีดเนี่ย ยังไงก็ไม่ทันตอนเช้าของวันศุกร์ที่ผมต้องออกไปเรียน ชุดน่าจะซักเสร็จและถูกส่งมาที่บ้านผมตอนบ่ายๆ

หมายความว่า...
ยังไงผมก็ต้องกลับมาบ้านเพื่อแต่งตัวออกไปงาน และนั่นก็หมายถึง การที่เขาเองก็จะต้องมาที่บ้านผมด้วยเหมือนกัน

ตอนแรกอีกฝ่ายตั้งท่าจะปฏิเสธไม่ยอมมากับผมไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จนผมต้องย้ำแล้วย้ำอีกว่าพ่อกับแม่ผมใจดีทั้งคู่ แถมยังมีความเป็นไปได้สูงมากด้วยที่พ่อและน้องสาวของผมจะไม่อยู่บ้าน ส่วนแม่ผมก็คือคนที่ทำขนมไปให้เขากินอยู่บ่อยๆ ไม่น่าจะมีอะไรต้องกังวล

ผมบอกให้เขาเชื่อใจกัน
ยังไงผมก็จัดการเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว

ระหว่างที่รถกำลังติดไฟแดง ผมก็แอบส่งสายตาไปมองใบหน้าอันสมบูรณ์แบบของเขา แล้วก็เห็นแต่ความกังวลอยู่ในนั้นเต็มไปหมด จนต้องก็ละมือออกจากพวงมาลัยตอนรถติดไฟแดง แล้วก็เลื่อนไปกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยถาม

"เป็นอะไร?"

"หมอ..."

"ครับ..."

เขาเรียกผม แต่ไม่ยอมพูดออกมา นอกจากถอนหายใจ จนผมต้องพูดต่อ

“เรายังยืนยันคำตอบเดิมนะ ว่าอยากให้ไป"

"งั้นบอกมาก่อน ว่าจะบอกพ่อกับแม่ว่าเราเป็นอะไรกัน?"

คำถามของเขาทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา ความจริงผมก็คิดเรื่องนี้อยู่ตั้งแต่เมื่อคืน และตั้งใจว่าจะไม่แนะนำกับที่บ้านว่าเขาเป็นเพื่อนหรือแฟน เพื่อความสบายใจของเขาเองด้วยส่วนนึง

ผมอยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราเติบโตขึ้นผ่านวันเวลามากกว่านี้อีกสักนิด แล้วค่อยบอกกับทุกคนว่าเราคบกันในฐานะอะไร ระหว่างนั้นก็อยากจะพาเขาไปรู้จักกับทุกคนที่บ้านของผมให้คุ้นเคยกันเอาไว้ก่อน

"ไม่ยิ้มดิ เราซีเรียสเว่ย"

"แล้วอยากให้เราแนะนำว่าไง?"

"เพื่อนก่อนได้มั้ยอ่ะ?"

ผมส่งยิ้มให้เขา มองลึกลงไปในแววตาพร้อมกับพยักหน้าให้เพื่อยืนยันให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมเข้าใจความกังวลนี้ และตอบรับซ้ำอีกครั้ง

"เราก็คิดงั้นแหละ"

"เข้าใจเราใช่มั้ย?"

“อืม... ตอนแรกเรากะจะเนียนๆ บอกแม่ว่า เราเอาตัวกินขนมของแม่มาให้ดูหน้าแล้วนะ อะไรประมาณนั้น"

"ตัวกินขนมคืออะไร? พูดเหมือนเราเป็นสัตว์ประหลาดเลย"

ผมหัวเราะรับคำพูดของเขาแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดต่อ

"คิดไว้แล้วก็ไม่บอก ทำไมเนียนจังวะ”

"ก็เนียนตลอด น่าจะรู้อยู่แล้วนี่..."

สิ่งที่เขาทำคือการถอนหายใจใส่ผม แล้วทำปากขมุบขมิบสาปแช่งแฟนตัวเองไปเรื่อยเปื่อย

สัญญานไฟจราจรเปลี่ยนไปเป็นสีเขียวได้สักพัก ก่อนที่คนข้างๆผมจะขยับมือยุกยิก ยกมืออีกข้างที่ว่างอยู่มาตีลงบนมือผม แล้วพูดต่อ

"ปล่อยมือได้แล้ว ขับมือเดียวอันตราย"

"ครับๆ"

ผมหลุดยิ้มมุมปาก ไม่รู้ทำไม แต่กำลังรู้สึกเหมือนท่าทีเฟี้ยวๆที่เขาแสดงออกมันมีความเป็นห่วงเป็นใยแฝงอยู่
เห็นท่าทางของอีกคนที่ดูสบายใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมเลยนึกขึ้นได้ว่า ไหนๆเราพูดเรื่องนี้กันแล้ว ก็น่าจะพูดอีกประเด็นที่ผมตั้งใจจะถามเขาออกไปซะเลย

"แล้วถ้ามีคนถามล่ะ?"

"ฮะ?"

"ถ้ามีคนถามว่าเราเป็นอะไรกัน อยากให้เราตอบว่าไง?"

ได้ยินที่ผมพูดแล้วเขาก็ทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักนึง ก่อนจะหันมาตอบ

"อยู่ที่ว่าใครเป็นคนถามด้วยมั้ง ถ้าเป็นคนที่เราไม่สนิทมาก ก็คงตอบว่าเพื่อนกัน แต่ถ้าเป็นคนที่เราไว้ใจ อยากให้รู้ ก็คงบอกไปตามตรง"

"ตามตรงว่า?"

"ก็บอกว่าเป็นอะไรกันไง"

"แล้วเป็นอะไรล่ะ?"

“หมอ...”

“ครับ”

“ถามอะไรกวนตีน"

"...."

"ก็เป็นแฟนหมอไงวะ!"

"อ้าว...นี่แฟนเหรอเนี่ย?"

ผมแกล้งพูดออกมาพร้อมกับทำหน้าตกใจ ระหว่างที่กำลังลุ้นว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมายังไง ผมก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังขยับตัวเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม ก้มหน้าลงและ...กัด!

ไม่ผิดหรอกครับ
กัดนั่นแหละ ...ยิ้มหวานกัดผม -_-

เขากัดลงมาบนต้นแขนผมเต็มแรง ส่วนผมก็ทำได้แค่ร้องออกมา แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายทำร้ายร่างกายจนพอใจ ก่อนจะกลับไปนั่งตัวตรงเหมือนเดิม แล้วบอกกันสั้นๆ

“สมน้ำหน้า!”

ผมเหลือบไปมองคนที่ทำยู่ใส่กันแล้วอดไม่ได้ที่จะถามออกมากับหน้านิ่งๆ

“ฉีดวัคซีนยังเนี่ย?"

ได้ยินอย่างนั้นเขาก็ทำท่าโตใส่ผม ยกมือขึ้นมาฟาดทับรอยกัดอีกที จนผมได้แต่ร้องโอดโอยในใจ
น่วมโคตรบอกเลย...

- - -

ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ในเสื้อเชิ้ตเนี๊ยบๆแบบที่ไม่ค่อยได้ใส่ในวันปกติ และกางเกงขายาวสีดำ ตรงหน้าผมมีคนๆนึงยืนอยู่ แน่นอนว่าเขาคือเจ้าของรอยยิ้มสะดุดตาที่ทำให้ผมตกหลุมรัก และตอนนี้เขากำลังยุ่งอยู่กับการจัดทรงผม และพูดออกมาด้วย

“บราวนี่ของแม่อร่อยอ่ะ"

ก่อนหน้านี้ผมลากเขาเข้าไปหาแม่ในครัว พอบอกว่าคนข้างๆผมคือคนกินขนมที่แม่ให้ไปตลอด แม่ผมเลยเอาบราวนี่อุ่นๆที่เพิ่งสำเสร็จมาให้เขาชิม รายนี้ก็ความคิดสร้างสรรค์เหลือเกินครับ เอาบราวนี่ไปราดนมแล้วกิน อร่อยเข้าไปอีก

เล่นซนอยู่ในครัวได้ประมาณ 15 นาที อยู่ดีๆเขาก็สนิทกับแม่ผมไปซะอย่างนั้น คุยกันถูกคอจนผมโดนแม่ไล่ขึ้นมาอาบน้ำคนเดียว แล้วให้เขาอยู่ช่วยจัดขนมเป็นเพื่อนแม่ก่อน จนผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จนั่นแหละครับ ถึงได้ไปลากเขาขึ้นมาจัดการทรงผมให้

“ถามจริง กางเกงคับยัง?”

คำพูดของผมทำให้มือที่ถือสเปร์ยฉีดผมอยู่ชะงัก เขาหรี่ตามองหน้าผมแล้วยื่นขวดสีเงินทรงสูงๆมาจ่อตรงหน้ากัน

“หน้านี่ยังจำเป็นอยู่ไหม เดี๋ยวฉีดสเปร์ยอัดเลย”

ผมหัวเราะรับ ผลักขวดใบนั้นออกจากหน้าแล้วพูดต่อ

“นี่ถามเฉยๆ ไม่ได้ว่าอะไรเลย"

"เราก็ตื่นมาวิ่งแต่เช้าแล้วไง"

“ว่างๆ ไปฟิตเนสด้วยกันมั้ย?”

“ไม่เอาอ่ะ ไม่ชอบ เคยไปแล้วโดนมองแปลกๆ"

เขาพูดแล้วทำหน้ายู่ แบบที่ผมเข้าใจเลยว่าโดนมองแปลกๆของเขาที่เป็นยังไง เพราะผมกับไอ้เบอร์ 1 ก็โดนอยู่บ้าง
ผมหัวเราะรับ แล้วก็ตอบกลับไปสั้นๆ

“เข้าใจๆ"

“นั่นแหละ... วิ่งบนลู่อยู่ที่บ้านดีกว่า"

ผมพยักหน้ารับแล้วปล่อยให้เขานั่งเล่นหัวตัวเองไปเรื่อยๆโดยไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับบ้าง เพราะคนตรงหน้ายืนบังกระจกเอาไว้จนมิด  สักพักอีกฝ่ายก็ถอยออกไปให้ผมเห็นทรงผมของตัวเอง แล้วส่งสายตามาให้เหมือนจะบอกว่าเสร็จแล้ว

ผมมองเงาสะท้อนแล้วรู้สึกไม่คุ้นกับหน้าตากวนตีนกับทรงผมเนี๊ยบๆของไอ้คนในกระจกยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก

“ได้ละมั้ง”

"โห...มีอะไรที่ทำไม่ได้มั่งเนี่ย?"

“เกินไป..."

“อ๋อ...ผอมไง"

“หมอ!”

คนฟังแยกเขี้ยวใส่พร้อมกับ ทำท่าเหมือนจะโยนขวดสเปร์ยจัดผมมาใส่กัน แล้วพูดต่อ

"โรงเรียนเราเป็นชายล้วนอ่ะ เวลามีงานก็จะให้พวกสาวๆเค้าแต่งหน้าทำผม ซึ่งบางทีก็ทำกันไม่ทันหรอก เราพอจะทำอะไรแบบนี้ได้ เลยต้องไปช่วยบ้าง"

ผมฟังแล้วพยักหน้ารับ หันซ้ายหันขวามองตัวเองในกระจกอีกรอบ แล้วเอ่ยถาม

“หล่อยัง?"

คนฟังหรี่ตามองหน้าผมเหมือนไม่อยากตอบแล้วพูดไปอีกเรื่องนึง

"ทรงผมโอเคแล้ว"

"เฮ้ยไม่ได้ถามเรื่องนั้น ถามว่าหล่อเปล่า?"

"งั้นๆอ่ะ หาได้ตามเซเว่น"

เขาตอบกลับพร้อมกับหัวเราะนิดๆ ก่อนจะยื่นมือมาดันไหล่ผมที่กำลังจะลุกขึ้นให้กลับไปนั่งอยู่เหมือนเดิม แล้วหันตัวกลับไปหาของในกระเป๋าที่วางอยู่

คนตรงหน้าผมหันกลับมาพร้อมกับหลอดคล้ายยาสีฟันอันเล็กๆ และขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง พร้อมกับเปิดฝาไอ้หลอดนั่นออก

"ทาลิปมันด้วยดิ"

ผมขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนจะโดนอะไรแหยะๆป้ายลงมาบนปาก พอเขาผละออกไป ผมก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับเม้มปากเข้าเพื่อจะลดความรู้สึกแหยะๆที่มี

"มันมีรสชาติด้วยว่ะ"

พูดถึงไอ้ลิปมันบนปากเนี่ย อร่อยเฮ้ย เหมือนซูกัสเลย -_-

"อย่ากินลิปดิ! อ่ะ ใส่สูท"

ได้ยินอย่างนั้น ผมก็ยื่นแขนไปสอดลงในแขนเสื้อทั้งสองด้านที่อีกฝ่ายถือเอาไว้ให้จากด้านหลัง ก่อนจะขยับให้สูทสวมลงมาบนร่างพอดี พร้อมกับที่อีกฝ่ายเดินอ้อมมาด้านหน้าเพื่อจะเช็คสภาพโดยรวมของผมอีกครั้ง แล้วพูดออกมาด้วยความพอใจ

"เรียบร้อยละ ออกไปได้แล้วมั้ง"

ผมพยักหน้ารับ พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นเลียลิปมันกลิ่นหอมที่ยังคงหนึบๆอยู่บนปาก

"หมอ! อย่ากินลิป!"

คนตรงหน้าพูดพลางยกมือขึ้นมาตีที่ต้นแขนผม แล้วหันกลับไปหยิบของเตรียมจะออกจากห้อง ก่อนที่ผมจะรั้งเขาให้หยุดด้วยการจับข้อมือข้างนึงข้างนึงเอาไว้ ส่วนอีกข้างที่ยังว่างก็เลื่อนขึ้นไปจับปลายคาง พร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ แล้วแตะริมฝีปากลงไปจูบเบาๆ

"ค่าจ้าง... แบ่งให้ชิมคำนึง"

ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็ทำหน้ายุ่ง ผลักให้ผมถอยหลัง แล้วหันกลับไปแล้วหยิบกระเป๋า ก่อนจะหันมาพูดแบบบ่นๆ

"ไม่เนียน!"

“อ่าวเหรอ?”

“ไปได้แล้ว เดี๋ยวสาย!”

“โอเคๆ"

ผมพูดเจือเสียงหัวเราะก่อนจะเดินตามเขาลงมาข้างล่าง พอเดินผ่านแม่ก็โดนชมว่า 'หล่อเหมือนไม่ใช่ลูกแม่' -_- จนคนข้างๆต้องหัวเราะถูกใจ ก่อนเราจะขึ้นรถแล้วออกจากบ้านกัน

"ให้เราไปส่งที่ไหน?"

ระหว่างที่กำลังเลี้ยวรถออกจากหมู่บ้านผมก็ถามคนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเช็คไปเรื่อยๆ ก่อนอีกฝ่ายจะตอบกลับมาทั้งที่ยังตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์ไลน์ไม่หยุด

“เราต้องกลับไปที่มออ่ะ เดี๋ยวหมอส่งเราตรงบีทีเอสแล้วกัน ต้องแวะไปซื้อของเพิ่มด้วย"

“งั้น...เอารถไปเลยก็ได้"

“ฮะ?”

“ก็ต้องซื้อของไม่ใช่เหรอ? เอารถไปเลย งานเลิกแล้วมารับเราได้ปะล่ะ?”

“ก็ได้แหละ"

"ก็ได้แหละ ป๋าเนอะ ไม่กลัวเราเอารถไปเสียบตูดใครเลยดิ"

“ถ้าชนก็เอามินิมาแลก แถมเจ้าของด้วยแล้วกัน"

“โอเค งั้นเราจะตั้งใจสุดชีวิตเลย”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็หลุดขำ ก่อนจะผละมือข้างนึงจากพวงมาลัยรถไปขยี้หัวเขาเล่น

เราฝ่ารถติดอยู่สักพัก ก่อนจะมาถึงโรงแรมที่จัดงาน ผมหันหน้ามาให้คนข้างๆเช็คสภาพอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะยื่นมือมาจัดปกเสื้อให้เข้าที่ แล้วพยักหน้าให้กันแทนการบอกว่าโอเคแล้ว

“ไปได้แล้วไป เราจะยึดรถ"

เขาพูดพร้อมกับยื่นมือมาผลักไหล่ผมไล่ให้ลงจากรถ ก่อนที่เจ้าตัวจะลงมาบ้างแล้วเปลี่ยนมานั่งตรงที่นั่งคนขับแทน

รอจนอีกฝ่ายขึ้นรถไป ผมก็เท้าแขนกับขอบประตู ก้มลงมาบอกเขาว่าปุ่มกดอะไรอยู่ตรงไหนเท่าที่จำเป็น ก่อนจะดึงแก้มนิ่มๆเล่นทีนึงเป็นการส่งท้าย

ผมปิดประตูให้เขาและถอยออกมาจากตัวรถ มองอีกฝ่ายขับรถของแม่ที่โดนผมยึดมาจนแทบจะเป็นของตัวเองออกจากโรงแรมไป ก่อนจะเดินเข้าไปในงาน

บรรยากาศในงานก็ไม่ต่างจากงานแต่งอื่นๆทั่วไปเท่าที่ผมเคยไปมากับที่บ้านนะ มีของกิน บ่าวสาวขึ้นพูดแล้วก็ร่วมดื่มแสดงความยินดี แต่ขั้นตอนไม่กี่อย่างนี่ก็ใช้เวลาเป็นสองสามชั่วโมงแล้วครับ

หลังเสร็จพิธี แขกในงานก็เริ่มทยอยกลับกันเรื่อยๆจนคนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ผมไลน์ไปบอกอีกคนที่เอารถผมไปว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมงน่าจะออกจากงานได้แล้ว ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายไลน์กลับมาหลังจากนั้นประมาณยี่สิบนาทีว่าจอดรถรออยู่ที่เดิม

พวกผมเป็นกลุ่มหลังๆแล้วที่ออกจากงานมาโดยมีเจ้าบ่าวตามมาย้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดปาร์ตี้สละโสดย้อนหลังทันทีที่จัดการเรื่องบ้านในไทยเรียบร้อยแล้ว

ผมเดินลงบันไดมาพร้อมไอ้เบอร์1กับเบอร์2 พอเห็นว่ามีคนนั่งเล่นมือถือจนไฟส่องหน้าตัวเองสว่างจ้าอยู่ในรถ ผมยกมือขึ้นโบกลาพวกมันทั้งสองคนที่ขับรถมากันเองคนละคัน แถมยังโดนแซวทิ้งท้ายเรื่องที่มีคนมารอรับถึงที่

“ไง งานสนุกปะ?”

คนที่ยังไม่ยอมลุกจากที่นั่งคนขับเอ่ยทักทันทีที่ผมขึ้นมานั่งบนรถ ก่อนจะได้รับคำตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ

“เดิมๆ อาหารอร่อย ผู้ใหญ่เยอะ”

“ของชำร่วยคืออะไรอ่ะ”

“ไม่รู้ดิ เป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ อะไรไม่รู้เลยไม่ได้เอามา”

ได้ยินอย่างนั้นคนฟังหันมามองผมแล้วทำหน้ายุ่งใส่

“ไม่บอกก่อนว่าอยากได้ จะได้หยิบมาด้วย"

“ไม่ได้อยากได้เว่ย แค่แปลกใจที่มีคนไปงานแต่งแล้วไม่เอาของชำร่วยด้วย"

“เออ เอามาก็ไม่ได้ใช้ เลยไม่เอาดีกว่า"

“แปลกดี...”

เขาพูดพลางถอยรถออกจากที่จอด และเปลี่ยนบทสนทนาของเราไปเป็นเรื่องอื่น

“ขอกลับม.เอาของไปให้รุ่นน้องที่คณะแป๊บนึงนะ"

เขาพูดพลางชี้ให้ผมดูของที่วางอยู่เต็มเบาะหลัง เห็นอย่างนั้นผมก็พยักหน้ารับเบาๆ  พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นมาระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนตัวไป

“เหนื่อยปะ? วุ่นวายทั้งวันเลย"

“ไม่อ่ะ ยุ่งๆก็สนุกดี" 

“ซนไง...”

ผมพูดพร้อมกับยิ้มออกมากับความคิดของตัวเอง

เขามีในสิ่งที่ผมไม่มี....
ยิ้มหวานดูเป็นเด็กกิจกรรม ชอบทำตัวให้ยุ่งๆ ใครขอให้ช่วยอะไรก็ทำหมด กิจกรรมคณะมีอะไรก็ช่วยทุกอย่าง
เหมือนเด็กซนๆที่เล่นได้ทั้งวันโดยที่ไม่เหนื่อย ไม่แปลกใจเลยที่ใครๆในมหาลัยก็รู้จักเขากันทั้งนั้น

เรามาถึงกันตอนสี่ทุ่มกว่าๆ
ห้องประชุมของมหาลัยที่ใช้จัดงานดูวุ่นวายพอตัว ถึงแม้ว่าหลายๆอย่างดูเหมือนจะถูกจัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ยังคงมีงานที่ต้องทำ และทันทีที่ผมเดินแบกลังใบใหญ่เข้ามาในห้องโถงกว้างๆ กับใครอีกคนที่โดนทักมาตลอดทาง สายตาหลายคู่ก็มองตรงมาด้วยความสนใจ

ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอก
ถ้าไม่งงกันสิแปลก เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่เด็กจากคณะแพทย์ศาสตร์จะมาเดินเล่นแถวนี้ตอนสี่ทุ่ม
... นอกจากว่าเขาจะมีแฟนเรียนถาปัตย์

พวกผมวางของที่ขนมาลงบนโต๊ะตรงมุมห้อง พร้อมกับที่เพื่อนเขาเอ่ยทัก

“มึงพาโทมินจุนมาแบกของทำไมเนี่ย?”

คำพูดนั้นทำให้คนข้างๆหันมามองผมแล้วทำหน้ายู่ใส่ ก่อนจะหันกลับไปคุยกับเพื่อนตัวเองต่อ

“มึงจะกลับยัง กูว่าจะไปแล้วนะ"

“มึงไปกูก็ไปดิ"

คนโดนถามตอบกลับมาพร้อมกับลุกขึ้นหยิบกระเป๋าตัวเองขึ้นมาสะพายไหล่ ก่อนที่เราทั้ง 3 คนจะเดินออกมาจากตัวอาคาร

นอกจากเด็กคณะเขาที่มาเตรียมงานกันแล้ว ผมก็ไม่เห็นใครในมหาลัยอีก นั่นทำให้ทางเดินยาวๆที่จะไปยังลานจอดรถ ไม่มีใครนอกจากพวกผมสามคน

ท่ามกลางเสียงรถยนต์นอกรั้วที่ยังคงวิ่งไปมา คนที่เดินอยู่ข้างๆผมก็หันไปถามเพื่อนตัวเองด้วยความเป็นห่วง

“ดึกแล้วนะเนี่ย มึงกลับไงอะ?”

“แท็กซี่มั้ง ไม่ได้เอารถมา แฟนก็ไม่ว่าง"

ผมกำลังจะพูดออกไปเลยว่าเดี๋ยวไปส่งก็ได้ แต่คนข้างๆเร็วกว่าครับ
เขาหันหน้ามองผมกับดวงตากลมๆสีดำสนิท แล้วถามออกมาโดยไม่มีท่าทางดื้อๆซนๆที่ชอบทำใส่กันอยู่บ่อยๆ
เท่าที่ผมสังเกตนะ เวลาที่เขาอยากขอให้ช่วยอะไร เจ้าตัวก็จะทำแบบนี้ตลอด อ้อนกันโดยไม่รู้ตัว

“แวะไปส่งเพื่อนเราก่อนได้ไหมอะ? ไม่อยากให้มันกลับคนเดียว ผู้หญิงด้วย"

“ได้ดิๆ เดี๋ยวไปส่ง"

ผมตอบตกลง พร้อมกับหันไปมองเขา โดยไม่รู้ตัวว่าระยะห่างระหว่างเราสองคนตอนเวลาคุยกันมันน้อยกว่าปกติ ถ้าเทียบกับเพื่อนทั่วไป

โดยธรรมชาติแล้ว เวลาคนสองคนเริ่มทำความรู้จักกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ต่างฝ่ายต่างก็จะต้องมีกำแพงเป็นของตัวเองที่กั้นไม่ให้ใครเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว

สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุดคือความใกล้ชิดที่แสดงออกมาทางร่างกาย
ถ้าสนิทสนมกับมาก เราก็จะสะมารถจับตัวกัน สัมผัสกันได้่อย่างใกล้ชิดโดยที่ไม่รู้สึกอึดอัด
แต่ถ้าไม่สนิทกันเลย แค่การจับมือกันก็อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่คุ้นเคยขึ้นมาได้

ในกรณีของผมกับยิ้มหวาน ที่กำแพงระหว่างเราได้ถูกปลดล็อคไปเรียบร้อยแล้วจากการที่ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน มันไม่ใช่แค่ครั้งเดียวหรือสองครั้ง มันมากกว่านั้น และนั่นทำให้ผมกับเขาเคยชินที่จะทำตัวใกล้ชิดกันแบบนี้ไปแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ

และเราคงจะคงไม่รู้ตัวไปอีกสักพัก ถ้าไม่เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกันกำลังมองมาด้วยสายตาแบบไหน
เพื่อนสาวตัวแสบมองตรงมาที่เราสองคนพร้อมกับยกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นที่มุมปาก และแกล้งพูดออกมาลอยๆ

"เบื่อจังเลย พวกตัวท็อปได้กันเอง"

คำพูดนั้นทำให้เราขยับห่างออกจากกันเล็กน้อย....
ผมยิ้มรับไม่พูดอะไร แต่คนที่ยืนอยู่ข้างๆกัน กลับขนแขนขึ้นมาวางพาดไหล่ผมแบบที่นานๆจะทำสักครั้ง แล้วหันไปตอบเพื่ิอน

"ขี้อิจฉาเนอะ"

โคตรเฟี้ยว...
พอเหลือบสายตามองไปข้างๆก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าซนๆใส่เพื่อนสนิทอย่างน่าตี

"หมอ...แกดูมันดิ ความนิสัยเสีย เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะเว่ย"

ผมหันไปมองคนพูดแล้วยิ้มตามอย่างเห็นด้วย ก่อนจะตอบออกมาอีกอย่างนึง

"ไม่ทันแล้วว่ะ"

พอได้ยินอย่างนั้นเพื่อนเขาก็อดไม่ได้ที่จะบ่น พร้อมกับถอนหายใจแรงๆ

"โอ๊ยเบื่อ!"

"เบื่อก็กลับบ้านเองเลย กูไม่ไปส่ง"

คนที่ยังคงเดินกอดคอผมเอาไว้พูดออกมาแล้วแล้วยักคิ้วข้างเดียวหาเรื่องใส่เพื่อนอีกด้วย

"มึง...กูได้ข่าวรถหมอ"

"รถหมอก็คล้ายๆรถกูแหละ”

"อ้าวเหรอ?"

ผมถามแล้วแกล้งทำหน้างงใส่ จนอีกฝ่ายต้องหันมาแยกเขี้ยวใส่กัน แล้วยกมือที่กอดไหล่ผมเอาไว้ออกไปกอดอกตัวเอง

เห็นคนไม่มีใครเข้าข้างเดินหน้ามุ่ยอยู่ตรงกลางแล้วผมก็ได้แต่แอบขำ
ก็แกล้งแล้วสนุกอย่างนี้ไง  ...ถึงได้โดนแกล้งอยู่เรื่อย



tbc.


- - -


จะบอกว่า...อีก 2 ตอนก็น่าจะเป็นตอนจบแล้วน้า
ขอบคุณค่ะ : )

ออฟไลน์ Akikojae

  • พี่ยุนรักน้องแจ ★彡
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1137/-17
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [19] <16.12.15> page 43
«ตอบ #1288 เมื่อ16-12-2015 09:45:39 »

บอกตามตรงไม่อยากให้จบเลยอ่ะ
มันเหมือนเรากำลังติดตามชีวิตรักของหมอกับยิ้มหวาน
ก็อยากจะตามไปเรื่อยๆไม่ต้องมีตอนจบอ่ะ แง
ยิ้มน่ารักกกกก เวลาอยู่กับเพื่อนนะ ทำเก่งตลอด
อยากฟัดมากก ถ้าเป็นหมอนะ ยิ้มช้ำแน่ จะฟัดให้มันเลย
งื้ออออ ขอบคุณนะคะน้องปูวววว เลิฟฟฟฟ
 :L2:

ออฟไลน์ numin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [19] <16.12.15> page 43
«ตอบ #1289 เมื่อ16-12-2015 10:06:36 »

เดี๋ยวนะพี่กี อีกสองตอนเองหรอ?!?! ไม่อยากให้จบเลย ฮือ อ อ อ  อ

ยิ้มของเค้า เค้าคงเสียใจแย่เลยอ่ะ สติหายหมด นึกเม้นไม่ออกกันเลยทีเดียว เสียใจ

แต่ไม่เป็นไร ฮึบๆ

หมออออ ไอ้หมอออ ตลอดๆว่างเป็นจับ เป็นจูบ ตลอดตลอด
คนของเราก็งี้ เต็มใจสุดๆ คนอ่านก็ฟินกันไป แหม! ค่าจ้างเนี่ย อร่อยมั้ยยิ้ม ฟินเลยอ่ะจิ
 ยิ้มน่ารักอ่ะ หลงมากมาย รักยิ้มมากกว่าหมออีก จะว่าไป หมอ เอาไปเลยยี่สิบขอยิ้มมาให้เราเถอะ
 เราขอ :hao6:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด