]
❤ กรี้ดกร้าดในทวิตฝากติดแทค #ยิ้มหวานของหมอ นะคะ❤ มีทวิตเตอร์แล้วน้า ไปตามได้ค่ะ @__thissmile- 19 -
เราสามารถพบเจอคนได้หลายประเภทที่สยามในช่วงเย็น บางคนมาซื้อของ บางคนมากินข้าว บางคนนัดเจอเพื่อน บางคนก็แค่มาเพื่อเดินฆ่าเวลา และประเภทนึงที่ผมมั่นใจเลยว่ามีเยอะไม่แพ้กลุ่มอื่นๆ คือพวกที่มามองสาวๆ
ตอนแรกผมกับเพื่อนๆก็อยู่ในกลุ่มแรกหรอกครับ แต่หลังจากมานั่งกันที่ร้านกาแฟได้สักพัก อยู่ดีๆก็ถูดจัดไปอยู่ในประเภทสุดท้ายไปซะอย่างนั้น เพราะไอ้เบอร์หนึ่งดันไปถูกใจผู้หญิงคนนึงในกลุ่มที่นั่งอยู่อีกมุมของร้าน
"ชอบก็จีบไอ้สัด"
ไอ้เบอร์สองพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ไหวกับท่านั่งเก็กๆของมันตอนที่อีกฝ่ายบังเอิญมองมาทางนี้ ผมได้แต่พยักหน้ารับเบาๆแต่ไม่พูดอะไรออกไป เพราะรู้ตัวว่าสภาพตัวเองตอนที่แอบมองยิ้มหวานก็ไม่ได้ดีไปกว่าไอ้คนตรงหน้าสักเท่าไหร่
"กูไม่ได้ชอบเขาจนอยากจีบ กูแค่ชอบหน้าเขา หน้าแบบนี้ในมอไม่ค่อยมี"
ได้ยินอย่างนั้นไอ้โคนันก็ตอบกลับ ก่อนจะดูดชาเขียวเย็นเข้าไปคำใหญ่
"ก็เอาที่เพื่อนมึงว่าดี"
"ก็แบบนี้แหละ กูว่าดี แค่อาหารตามั้ยล่ะสัด"
ผมฟังคำตอบมันแล้วรู้สึกเพลียจนได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า ไอ้นี่มันเป็นแบบนี้แหละครับ มองไปเรื่อย แต่ก็ยังไม่คิดจะเริ่มต้นกับใครจริงจัง ผมเองก็เคยเป็นแบบมัน จนวันนึงที่ผมเจอเขา...
นึกถึงปุ๊บก็มาปั๊บเลย มาพร้อมกับเสียงแจ้งเตือนของไลน์ ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู และเห็นคำถามสั้นๆมาจากอีกคน
*ยังอยู่ที่มอเปล่า?
*พวกนี้ลากออกมาสยามแล้ว
*อ่าวเหรอ
*จะอยู่กับเพื่อนมั้ยอ่ะ
*ต้องตามไปปะ?
*อยู่สยามเซ็น
*มาช่วยลากเราออกไปหน่อย
*อ้าว ทำไมอ่ะ?
*อยากเตะเพื่อนตัวเอง
*ถามเพื่อนดูดิ
*เราว่าเพื่อนหมอก็อยากเตะหมอเหมือนกัน
*ถ้าโดนนะ ฝากด้วยสองทีแรงๆ
*ยิ้ม....
*นี่แฟนไง จำไม่ได้เหรอ?
*5555
*ขับรถละ
*ถึงแล้วเดี๋ยวโทรหาผมยังไม่ได้บอกใช่มั้ยว่าวันนี้เรามาสยามกันทำไม
ผมกับพวกมันมาจัดการเรื่องชุดไปงานกัน เพราะรุ่นพี่ตอนม.ปลายกำลังจะแต่งงาน พี่แกไปเรียนมหาลัยที่เมืองนอก และเพิ่งจบเมื่อปีที่แล้ว รู้อีกทีก็เซอร์ไพร์สกันด้วยการบอกว่าจะกลับมาแต่งงานที่ไทย พวกผมต้องไปงานกันสามคน ยกเว้นไอ้โคนัน เพราะเพิ่งมารู้จักกันตอนปี 1
หลังจากเลิกเรียนพวกผมเลยแวะมาเอาสูทที่ไอ้เบอร์ 1มันสั่งตัดไว้ และมาช่วยดูว่าชุดมันดูดีรึยัง
เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกผมจะได้ไปงานแต่งงานในบรรยากาศแบบเพื่อนพี่น้องด้วยมั้ง ทุกคนเลยดูตื่นเต้นกันไปหมด และไอ้คนที่แวะมาเอาชุดวันนี้ก็โคตรเวอร์ มันใส่สูทสีแดงเข้มตั้งแต่หัวจรดเท้า กับเสื้อเชิ้ตผ้ามันๆไว้ข้างใน แบบที่ผมเห็นแล้วยังปวดกบาลแทนเจ้าของงาน ไอ้เบอร์ 2 น่าจะใส่ชุดลายสก๊อตตั้งแต่สูทไปยันกางเกง
ส่วนผมนี่...ยังไม่มีชุดเลยครับ -_-
ตอนแรกผมจะตัดสูทใหม่เพราะตัวที่มีอยู่มันสั้นจนเต่อไปหมดแล้ว แต่พอโทรไปคุยกับร้านที่พ่อผมใช้บริการอยู่ประจำ เค้าดันบอกว่าตอนนี้ที่ร้านคิวยาวมาก ไม่น่าจะตัดเสร็จทันเวลาที่ต้องใช้
พอผมบ่นให้ยิ้มหวานฟังตอนที่คุยโทรศัพท์กันเมื่อคืน เขาก็ขอวางสายไปสักพัก ก่อนจะโทรกลับมาบอกกันว่า เดี๋ยวจะพาไปตัดสูทที่ร้านของพี่ชายที่สนิทกันวันนี้
ถ้าเป็นคนอื่นแนะนำมาผมอาจจะไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นคนนี้นี่ เชื่อเขาเถอะครับ ยิ้มหวานเป็นคนเนี๊ยบเรื่องเสื้อผ้าและการแต่งตัวมากจริงๆ
สักพักคนที่ผมรออยู่ก็เดินตรงมาเข้ามาในร้าน รอยยิ้มสดใสทำให้เจ้าตัวดูเด่นมาแต่ไกลอย่างทุกที เขามาหยุดลงตรงโต๊ะของพวกผม พอหันซ้ายหันขวาเห็นว่าโต๊ะเล็กๆโดนล้อมรอบด้วยโซฟาสำหรับหนึ่งคนถึงสี่ตัว แถมทุกตัวก็โดนพวกผมจับจองไว้ทั้งหมด เจ้าตัวเลยนั่งลงบนที่วางแขนของเก้าอี้ตัวที่ผมนั่งอยู่ พร้อมกับเอ่ยทักทุกคน
“หวัดดี เหมือนไม่เจอกันนานเลยอ่ะ"
ได้ยินอย่างนั้นผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ได้เจอเพื่อนๆของผมเลยตั้งแต่ช่วงสอบ
พวกมันสามคนยิ้มรับแล้วทักเขากลับไปพร้อมกับถามเรื่องทั่วๆไปว่าคนเยอะมั้ย รถติดรึเปล่า ปล่อยให้เขาตอบคำถามเพื่อนผมอยู่สักพัก ก่อนที่เจ้าตัวจะถามกลับไปบ้าง
“ทำธุระกันเสร็จแล้วเหรอ?”
ระหว่างที่พูดออกมานี่ เขาก็ยื่นมือมาหยิบแก้วเครื่องดื่มตรงหน้าผมไปและดูดช็อคโกแลตเย็นรสหวานปนขมเข้าปากไปหน้าตาเฉย แถมยังเอาช้อนที่ปลายหลอดตักวิปครีมขึ้นมากินอีกต่างหาก
ผมส่งสายตาไปให้เขา พร้อมกับขมวดคิ้ว กำลังจะทักว่ากินของอ้วนๆอีกแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับทำตาโตกลับมาแล้วตักวิปครีมใส่ปากไปอีกคำแล้วยักคิ้วให้กันสองที จนผมได้แต่ถอนหายใจ
ระหว่างที่ผมกำลังมองท่าทางคนตรงหน้าด้วยความคิดที่ว่า
'ทำไมเป็นคนกินอะไรก็ดูน่าอร่อยไปหมดขนาดนี้?'
คำตอบก็ดังมาจากอีกฝั่งนึง
“อืม เรียบร้อยหมดแล้ว ยกเว้นหมาตัวนึง"
คำพูดของไอ้โคนันทำเอาคนฟังก็หลุดยิ้ม เข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าหมาตัวที่ว่านั่น...ก็ผมไงจะใครล่ะ!
“ของก็ยังได้ยังไม่ครบนะครับ แต่มานั่งอ่อยหญิง"
ไอ้เบอร์ 2 เล่นกูแล้วครับ! พอมันพูดจบอีกสองคนก็พยักหน้ารับกันเป็นตุ๊กตาหัวสปริง
สามัคคีคือพลังนะเพื่อนมึง!
“สัด มึงมั้ยล่ะ อย่ามาโบ้ยกู!"
ผมพูดพลางยกมือขึ้นไปฟาดหัวไอ้เบอร์หนึ่งเต็มแรง จนอีกคนที่เพิ่งมาถึงยังหลุดขำทั้งๆที่กำลังยกมือขึ้นมาตีไหล่ผมเบาๆเหมือนจะดุกันว่าไปทำเพื่อนทำไม ก่อนที่ผมจะยกมือขึ้นไปตีหน้าขาเขากลับเบาๆ และวางข้อศอกพักไว้บนนั้น แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด โดนผมตีปุ๊บ เขาก็ถามต่อปั๊บ
“เหรอ? คนไหนอ่ะ?”
ได้ยินอย่างนั้นไอ้เบอร์หนึ่งก็ส่งสายตาไปยังสาวผมยาวที่มันเล็งเอาไว้ ให้คนฟังหันไปมองตาม ทางโน้นเขาก็เหมือนจะรู้ตัวมาตั้งแต่แรกแล้วนะว่าโดนมอง แต่ก็ไม่ใส่ใจ
ไม่ใส่ใจเลยครับ...จนกระทั่งคนที่นั่งดูดช็อคโกแลตเย็นอยู่ข้างๆผมหันไปมอง ตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายก็มองกลับมาด้วยรอยยิ้มกว้างๆ แถมยังโบกมือทักทายด้วยท่าทางดีใจสุดๆ
ไม่ครับ นาทีนี้ไม่ได้โบกมืออย่างเดียว แม่คุณเล่นลุกขึ้นแล้วเดินตรงมาทางนี้ด้วย!
ผมละสายตาจากเขาแล้วมองไปยังไอ้พวกเวรอีกสามตัวอย่างคาดโทษ
ไอ้สันขวาน! เผาบ้านกูทำไมวะ!เดินมาถึงปุ๊บคนที่นั่งอยู่ใกล้ผมก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นมาก่อน
“หวัดดี..."
“หวัดดี ไม่เจอกันนานเลยเนอะ"
“ใช่ๆ นานมากอ่ะ”
เขารับคำก่อนจะหันมาทางพวกผมแล้วแนะนำชื่อผู้หญิงคนนั้น พร้อมกับอธิบายต่อว่าพวกเขารู้จักกันตอนเรียนเปียโนช่วงม.ปลาย ผมเลยเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีแฟนเล่นเปียโนได้ก็วันนี้
พวกเขาทักทายกันสั้นๆ และน่าจะแยกย้ายกันได้แล้ว ถ้าฝ่ายที่ยืนอยู่ไม่ถามต่อ
แถมยังยกมือขึ้นมาจับไหล่แฟนผมหน้าตาเฉย ด้วยเว้ย!
"ยังได้เล่นเปียโนอยู่บ้างปะ?"
“ตั้งแต่ออกก็ไม่ได้เล่นเลยพูดจริงๆ ลืมหมดละเนี่ย"
“เหรอ...เสียดายเนอะ”
“ไม่ต้องเสียดายหรอก เราขี้เกียจเองแหละ"
ผมมองบทสนทนาที่ถูกสานต่อไปเรื่อยๆ แล้วรู้สึกอยากตัดเข้าช่วงโฆษณาซะเหลือเกิน แต่สถานการณ์ก็ไม่ค่อยจะเป็นใจ
จบเรื่องเล่นเปียโนปุ๊บ เรื่องใหม่ก็ตามมาปั๊บจนผมแทบจะยกมือขึ้นกุมขมับ
“เออใช่! อาทิตย์หน้าวันเกิดเรานะ ที่บ้านมีปาร์ตี้ด้วย ไหนๆก็บังเอิญเจอกันแล้ว สนใจมาปะ?”
ไอ้ห่า! นาทีชีวิต!
ผมเหลือบไปมองคนที่นั่งเบียดกันอยู่และเห็นว่าเขากำลังยิ้มรับคำชวนนั้น ก่อนคำตอบที่ดังออกมาจะทำให้ผมโล่งใจ
“ไม่แน่ใจอ่ะ แต่ช่วงนี้งานเยอะมาก ยังไงเดี๋ยวบอกอีกทีได้ปะ?”
“เหรอ? อืม...ได้สิ"
ท่าทางของอีกฝ่ายดูเหมือนจะผิดหวังไปเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถสานต่อได้อย่างไม่ติดขัด
"งั้นแลกไลน์กันไว้ก่อนแล้วกัน เราไม่ได้หยิบโทรศัพท์มาอ่ะ ขอมือถือหน่อยเดี๋ยวพิมพ์ไอดีให้"
“อ๋อ....ได้เลย"
เขารับคำ ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มมุมปากให้ผม แล้วยื่นมือมาหยิบโทรศัพท์ไปปลดล็อค
เราใช้ไอโฟนเหมือนกัน รุ่นเดียวกันสีเดียวกัน แต่เคสคนละลาย
และเครื่องที่เขาเอาไปเปิดไลน์แถมยังเข้าหน้าเพิ่มเพื่อนด้วยไอดีอยู่นั่น...
มือถือผมเองครับ -_-ผมมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันก็งงๆนะ แต่ก็ฟินอยู่พอตัวว่ะ
แถมยังรู้ซึ้งตอนนั้นเลยว่าคนตรงหน้านี่แสบใช่เล่น ตอนที่เห็นว่าเขาพยายามเม้มปากกลั้นขำนิดหน่อยและแอบส่งสายตามาให้ผมพร้อมกับยักคิ้วให้ ระหว่างที่กำลังรับโทรศัพท์กลับมา แล้ววางมันลงตรงที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
"แล้วนี่มาทำอะไรแถวนี้อ่ะ?”
โว้ย! ขี้สงสัยอะไรขนาดนั้นวะคนเรา
"แวะมาหาเพื่อน"
ไหน! ไหนเพื่อนวะ? -_- ไม่มีเหอะ ที่นั่งอยู่นี่ก็แฟน...
“แล้วเดี๋ยวไปไหนต่อปะ?”
“เดี๋ยวจะพาแฟนไปร้านเสื้อผ้าอะ"
“อ้าว...มากับแฟน?”
“อืม...”
“แฟนอยู่ไหนอ่ะ"
“แถวนี้แหละ" ^^
โชคดีที่ อยู่ๆเพื่อนที่มาด้วยกันกับผู้หญิงตรงหน้าส่งเสียงเรียก แล้วกวักมือเหมือนจะเร่งให้อีกฝ่ายเดินกลับไปที่โต๊ะได้แล้ว
เห็นอย่างนั้นเขาถึงได้ยอมผละไปง่ายๆ โดยไม่ได้ถามอะไรเซ้าซี้ต่อ นอกจากโบกมือมาให้พวกผมทั้งโต๊ะ ก่อนจะเดินจากไป
หลังจากพายุตัวปัญหาน้อยๆหมุนออกจากโต๊ะไป พวกผมทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ
ไอ้พวกเพื่อนเวรสามคนอาจจะกำลังอึ้งในความแสบของยิ้มหวาน เห็นอยู่ว่าพวกมันทำหน้าตกใจตอนที่เห็นว่าเขาหยิบมือถือผมไปแอดไลน์ด้วยว่ะ
ส่วนผมได้แต่มองใบหน้าที่เอาแต่ยิ้มขำๆแล้วส่ายหน้าเหนื่อยใจ อยากจะยื่นมือไปดึงแก้มนิ่มตรงหน้าแรงๆ ให้สมกับความซนของเจ้าตัว แต่ไม่ทันได้ทำอะไร เขาก็หยิบมือถือผมไปกดปลดล็อคอีกรอบ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปคุยกับไอ้เบอร์ 1
“เดี๋ยวเราแชร์โปร์ไฟล์ไปให้"
"ฮะ?"
อึ้งครับ อึ้งแดกไหมล่ะมึง!
ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะเชื่อที่พวกนี้บอกซะอีก
"อ่าว ก็ชอบไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวแชร์โปร์ไฟล์เพื่อนเราไปให้ทางไลน์นะ"
"..."
"หมอไม่ชอบแบบนี้หรอก นี่เปรี้ยวไป สเป็คหมอต้องเรียบร้อยมากกกก ดูเป็นคุณหนูกว่านี้"
แน่ใจว่าไม่ได้พูดถึงตัวเอง?พูดจบเจ้าตัวเขาก็ส่งสายตามาทางนี้ แล้วยักคิ้วให้ผมทีนึง มองท่าทางแสบๆแล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นไป แล้วใช้ข้อนิ้วเคาะหน้าผากเขาเบาๆ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น และก้มหน้าลงไปช่วยหาไลน์ไอ้เบอร์ 1 พร้อมกับพูดออกมา
“สนุกนะ"
คนฟังหันมาส่งยิ้มกว้างให้ผม ก่อนจะก้มหน้ากลับไปกดแชร์โปรไฟล์ของคนที่เพิ่งแอดเพิ่มเข้ามาให้เรียบร้อย แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ไอ้คนที่กวนตีนคนอื่นเป็นนิสัย พอโดนเอาคืนบ้างเลยยังติดจะงงๆ
“เฮ้ยเอาจริงดิ"
“จริง! นี่ไงส่งไปแล้วนะ"
เขาพูดพลางยกจอมือถือขึ้นมาให้มันดู แล้วพูดต่อ สักพักเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ที่มันใส่เอาไว้ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น พร้อมกับที่คนข้างๆผมพูดขึ้นมา
"สักพักนึงแอดไปก็ได้ เนียนๆหน่อยนะ อย่าเหมือนเพื่อนล่ะ"
โถ่ ทำเหมือนจะเข้าข้างผม แล้วก็แว้งมากัดกันซะอย่างนั้น
คนพูดยิ้มมุมปากแล้วยักคิ้วให้กัน ปล่อยให้ผมทำหน้านิ่งมองท่าทางซนๆซ่าส์ๆแล้วได้แต่นึกหมั่นเขี้ยวในใจจนต้องยกมือขึ้นมาชี้นิ้วคาดโทษเอาไว้ก่อน
หลังจากใจดี ช่วยเพื่อนผมหาแฟนเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกัน
ผมกับเขาตัดสินใจที่จะขึ้นบีทีเอสกันไป เพราะร้านอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าและช่วงเวลาทุ่มกว่าๆแบบนี้ก็รถติดโคตรๆ
ทั้งผมและเขามีบัตรที่ใช้เติมเงินอยู่แล้วเลยไม่ต้องต่อคิวแลกเหรียญให้เสียเวลา พอเราผ่านประตูเปิดปิดอัตโนมัติกันมา ผมก็ถามขึ้นมาระหว่างที่กำลังเดินไปต่อแถวรอขึ้นรถ
“ไม่ค่อยเห็นขึ้นบีทีเอสเลย มีบัตรด้วยเหรอ?”
“อืม ซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้อ่ะ งงเหมือนกัน"
เขาพูดแล้วขมวดคิ้วตามผมอีกคน ท่าทางจะนึกไม่ออกจริงๆว่าซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
เรายืนรอให้ท้ายแถวร่นไปเรื่อยๆ ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมาตลอดเวลา สักพักผมก็สังเกตเห็นเหงือเม็ดเล็กๆที่ผุดขึ้นมาตามผิวหน้าของเขากับสีหน้ายุ่งๆของเจ้าตัว เดาไม่ยากน่าจะว่าเป็นเพราะอากาศเมืองไทยที่ร้อนจนเกินเหตุ
เห็นอย่างนั้นผมก็ยกมือขึ้นมาพัดให้เขาสองสามทีแล้วถาม
“ร้อนอ่ะดิ"
คนฟังทำหน้ามุ่ยแล้วพยักหน้ารับ จนผมต้องยกมือไปปัดผ่านหน้าผากเขาทีนึงแล้วพูดต่อ
“เหม่งเปียกหมดแล้วเนี่ย"
“เหม่งอะไร? ใครเหม่ง”
เขาถามพลางทำสีหน้าเอาเรื่องใส่ผม พร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดหน้าผากตัวเองเอาไว้ด้วย
“น่าสงสารว่ะ โดนพามาลำบากแล้วเนี่ย คิดถึงมินิยัง?”
“เริ่มคิดถึงละ แต่เราก็ไม่ได้ความอดทนต่ำขนาดนั้นปะ เดี๋ยวก็ได้ขึ้นรถแล้วเนี่ย"
“ครับๆๆ"
“หมอก็เหงื่อท่วมเหมือนกันเหอะ"
พูดจบเขาก็ยกมือขึ้นมาผลักหน้าผากผมเต็มแรง แล้วถามไปอีกเรื่องนึง
“เมื่อกี้อ่ะ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“หื้ม?”
“ก็ที่เราเอาไลน์ไปแอดคนอื่นอ่ะ ไม่เป็นไรใช่ปะ?”
“อ๋อ...”
ผมรับคำ พร้อมกับยกมือขึ้นไปวางพาดไหล่เขาเอาไว้แล้วพูดต่อ
"นึกว่าคิดเรื่องอื่นไปแล้วนะเนี่ย...ไม่เป็นไร"
“ดีแล้ว ถ้าเซ็งขึ้นมาเราจะจัดการ เพราะหมอเป็นคนทำหน้าเหมือนไม่อยากให้เราคุยกับเค้าเอง"
ได้ยินอย่างนั้น ผมก็หันไปสบตากับเขาแล้วพูดต่อ
“จะจัดการเลย? จัดการไงบอกมาดิ๊~"
โดยพื้นฐานผมไม่ใช่คนชอบต่อปากต่อคำ...
แต่ไม่รู้ทำไม การเถียงกับเขามันถึงได้เป็นอะไรที่น่าสนุกขนาดนี้
ยิ่งเห็นผมหัวเราะออกมาเบาๆ สีหน้ายุ่งๆของเขาก็ยิ่งยับยู่เข้ามากกว่าเดิม ก่อนเจ้าตัวจะพูดออกมาสั้นๆ พร้อม
กับที่รถไฟฟ้าวิ่งเข้ามาจอดลงตรงหน้าเราพอดี
“เกลียด!"
ผมหัวเราะรับคำพูดของเขา ก่อนจะเดินตามกันเข้าไปในรถไฟฟ้า คนแน่นขนาดนี้แน่นอนว่าไม่ได้นั่งอยู่แล้ว
เราหาที่ยืนก่อนจะเกาะห่วงไว้คนละอัน ผมหยุดขำออกมานิดหน่อยตอนที่เห็นว่าคนที่มาด้วยกันกำลังยื่นหน้าขึ้นรับแอร์เย็นๆ ท่ามกลางผู้คนที่เบียดกันเป็นปลากระป๋อง
ปลายทางของเราคือสถานีนานา เดินต่ออีกหน่อยก็ถึงร้านที่ตั้งใจจะไปกัน
อาจจะเป็นเพราะว่าโดยปกติแล้ว ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับร้านสูทที่บรรยากาศขรึมๆแบบที่พ่อผมไป พอเดินเข้ามาที่นี่ เลยอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกถูกใจ
ร้านเจ๋งว่ะ!ถ้ามองผ่านประตูสไตล์วินเทจมาจากข้างคงเดาไม่ได้เลยครับว่าที่นี่เป็นร้านตัดสูท
พอเข้ามาปุ๊บ สิ่งแรกที่สะดุดตาผมคือกระเบื้องที่เป็นลายสี่เหลี่ยมตัดสลับสีขาวดำ พอเงยหน้าขึ้นมาก็จะเห็นเสื้อผ้าแบบต่างๆที่อยู่ในหุ่นรอบๆร้าน โดยมีฉากหลังเป็นกำแพงสีขาวตัดกับสีเทาเข้ม และโคมไฟแบบเรียบๆที่ห้อยลงมาจากเพดานสูง
เสื้อผ้าทุกตัวที่โชว์เป็นชุดของผู้ชายที่ดูออกว่าถูกออกแบบและตัดเย็บมาอย่างดี
ปล่อยให้ผมมองสำรวจรอบร้านอยู่ไม่นาน ก่อนที่เสียงเรียกจากข้างในจะดึงความสนใจผมไป
“ไง...ไอ้เด็กน้อย”
ผมหันไปมองทางคนพูด ก่อนจะเห็นว่าคนที่มาด้วยกันกำลังพุ่งตัวเข้าไปกอดเขาจนอีกฝ่ายถึงกับเซไป
“ไม่ค่อยได้เจอเลยนะ”
เจ้าของคำพูดนี้เป็นผู้ชายร่างเล็กๆ เขาตัวเตี้ยกว่ายิ้มหวานเล็กน้อย (แต่ผอมกว่าเยอะเลย -_-) และกำลังใช้แขนทั้งสองข้างรัดคนตัวนิ่มๆที่มากับผมเอาไว้จนแน่น
“คิดถึงอ่ะ”
ยิ้มหวานพูดแล้วกอดคนในอ้อมแขนตัวเองแน่นเข้าไปอีก
ผมได้แต่ยืนมองแล้วกลัวว่าแฟนตัวเองจะไปทำอีกฝ่ายตัวหักขึ้นมาซะอย่างนั้น รอสักพักเขาก็คลายอ้อมแขนออกมา ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างให้อีกฝ่ายฟัง และทันทีที่ถอยออกมา สายตาคู่นั้นก็มองตรงมาที่ผมอย่างสำรวจ
ดวงตาคู่โตที่วาววับเหมือนแมวมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเอ่ยถาม
“จะตัดสูทเหรอ?”
ยิ้มหวานไม่ใช่ผู้ชายหน้าสวย ถ้าให้ผมหาคำจำกัดความให้เขา
ก็น่าจะเป็น
‘หล่อและน่ารัก’แต่เจ้าของสายตาที่มองมาที่ผมอยู่ตอนนี้คือตัวอย่างที่ชัดเจนมากของผู้ชายหน้าสวย ผมเองก็ไม่ค่อยได้ดูโทรทัศน์สักเท่าไหร่ แต่ผมว่าเขาดูเหมือนดารานะ
“ครับ...สวัสดีครับ”
พูดจบผมก็ยกมือขึ้นมาไหว้พี่เขาทีนึงจนอีกฝ่ายหัวเราะรับ
“เฮ้ย ไม่ต้องไหว้ก็ได้ ไอ้เด็กนี่ยังไม่ยอมไหว้เลย แป้บนึงนะ นั่งรอก่อน เดี๋ยวจะเอาแบบมาให้เลือก”
เขาพูดพลางเดินหายเข้าไปหลังร้านอีกครั้ง พร้อมกับที่คนตรงหน้าผมเดินกลับมาทแล้วยักคิ้วให้สองทีก่อนจะพูดต่อ
“ไง...ชอบอ่ะดิ”
ผมเลิกคิ้วใส่เขา ส่งสายตาถามกันว่าหมายถึงคนที่เดินเข้าไปหลังร้านน่ะเหรอ? พออีกฝ่ายพยักหน้ารับ ก็เป็นอันเข้าใจกัน
“ก็หน้าตาดีอ่ะ แต่ไม่ใช่แบบที่ชอบ”
“...”
“ชอบแบบนี้”
ตอนแรกเขาทำสีหน้าเหมือนจะล้อที่ผมอึ้งไปกับออร่าดาราของพี่ชาย แต่พอผมตอบกลับไปแบบนี้ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนมาทำหน้ามุ่ยแล้วยกมือขึ้นตีลงบนไหล่ผมเต็มแรง
"จีบติดแล้วเนี่ย ไม่ต้องขยันหยอดมากก็ได้มั้ง"
น่ารักว่ะ
ผมหัวเราะรับคำพูดของเขา ก่อนจะตอบกลับไป
“เห็นแล้วอยากจีบตลอด ทนไม่ได้"
“หมอ...เอาสิบบาทมั้ย?”
ไอ้คำพูด
'เอาไปสิบบาทแล้วไปเล่นตรงโน้นนะ' นี่กลายเป็นคำพูดตัดบทประจำคู่เราไปแล้วมั้ง
พอไม่รู้จะเถียงอะไรต่อ ก็แจกเงินสิบบาทกันตลอด
“โอเคๆ ไม่เล่นละ"
ผมพูดพลางยกมือขึ้นยอมแพ้ พร้อมกับได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนในร้านเดินเข้ามาใกล้
มาถึงพี่เขาก็ยื่มแฟ้มให้ผม แต่สายตามองตรงไปยังคนที่ยังคงปั้นหน้ามุ่ยเหมือนจะพุ่งตัวเข้ามากัดผมได้ตลอดเวลา
“ดูงอแงดิ อายุ 20 แล้วนะเว่ย แฟนก็มีแล้วเนี่ย โตได้แล้วมั้ง”
สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมต้องละสายตาจากแฟ้มในมือ แล้วมองไปยังคนพูดพร้อมคำถามในใจ
เพิ่งเจอกันเมื่อกี้เอง...รู้ได้ไงวะว่าเราคบกันแล้ว?
ก่อนจะต้องกลับมานั่งดูรูปในแฟ้มไปเงียบๆอีกครั้งเมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถแทรกเข้าไประหว่างสองคนตรงหน้าที่กำลังคุยกันอย่างเอาเป็นเอาตายได้เลย
ถามว่าหึงไหม...คำตอบคือไม่แม้แต่นิดเดียว
เข้าใจความรู้สึกเวลาเห็นสัตว์เล็กๆสองตัวเล่นกันไหมครับ นั่นแหละ ผมกำลังรู้สึกประมาณนั้น
เพราะส่วนใหญ่ก็เขานี่แหละครับที่ชอบไปแตะไปจับคนอื่นก่อน
หลังจากนั้นสักพัก พี่เจ้าของร้านเขาก็ลุกไปทำงาน ทิ้งผมเอาไว้กับคนข้างๆให้ช่วยกันเลือกสูทแบบที่ต้องการ พอเลือกได้ก็ไปบอกพี่เขา คุยแล้วก็ปรับแบบกันอยู่นิดหน่อย ก่อนที่ผมจะต้องลุกขึ้นไปวัดตัว
ซึ่งขอบอกเลยว่าเกร็งโคตร...
เข้าใจความรู้สึกเวลาที่โดนคนหน้าตาดีที่มีแสงสว่างแบบพวกดาราเข้ามาอยู่ใกล้มากๆไหมครับ นั่นแหละ ผมรู้สึกเกร็งๆประมาณนั้น พี่เขาตัดชุดให้ผมโดยไม่เก็บค่ามัดจำ แต่ขอให้อัพรูปตัวเต็มตอนใส่ชุดที่ตัดเรียบร้อยแล้ว ลงอินสตาแกรมโปรโมทร้านให้แทน หลังจากมารับชุดในอาทิตย์ถัดไป
คนบางตาลงไปมากแล้วตอนที่พวกผมนั่งบีทีเอสกลับไปที่สยาม ผมใช้บริการรถไฟฟ้าอยู่บ่อยครั้งจนรู้สึกว่าในยานพาหนะคันยาวๆที่คอยอำนวยความสะดวกในเมืองที่รถติดเป็นเรื่องปกติอย่างกรุงเทพนั้น ไม่มีอะไรน่าสนใจ
ทุกๆครั้ง สิ่งที่ผมทำตอนขึ้นบีทีเอสคือการใส่หูฟัง เปิดเพลงดังๆ และรอจนกว่าจะถึงสถานีที่ต้องการจะลง
แต่วันนี้ทุกอย่างแตกต่างออกไป...
...ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา ผมก็เห็นเขาอยู่ตรงนั้น
ยิ้มหวานกำลังก้มหน้าดูโทรศัพท์เหมือนจะหาอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วสบตาเข้ากับผมพอดี
คนตรงหน้าผมส่งยิ้มมาให้กัน ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้แล้วยื่นมือถือให้ผมดู
"ทำผมทรงนี้ดิ"
ผมก้มลงไปมองทรงผมที่เขาช่วยหา มันเหมือนจะต้องเซ็ทผมขึ้นไปแบบตั้งๆแบบเปิดหน้าผาก เรียกชื่อทรงไม่ถูกเหมือนกัน
ที่รู้คือ ผมทำให้หัวตัวเองกลายเป็นแบบนี้ไม่ได้แน่นอน -_-
"ทำไม่เป็นว่ะ"
"ไปที่ร้านดิ"
"ทำได้ก็มาทำให้กันดิ"
"เราไม่ใช่ช่างทำผมว่ะ"
"แต่ก็ทำได้เหอะ"
"ใครบอก?”
เขาหันมาพูดกับผมด้วยหน้ายุ่งๆ พร้อมกับที่บีทีเอสมาจอดลงตรงสถานีสยามพอดี อีกฝ่ายเลยเดินหนีผมออกจากรถไฟฟ้าไป
ผมเดินตาม แล้วเอาแขนไปพาดกอดคอเขาเอาไว้ ตอนที่เราเดินผ่านประตูอัตโนมัติเรียบร้อยแล้ว เลี้ยวเข้าพารากอนปุ๊บ คนที่เดินอยู่ข้างๆกันก็ยกมือขึ้นมาจับมือผมที่วางพักอยู่บนไหล่ของเขาแล้วพูดต่อ
"ชอบกอดคอเราเนอะ"
คำพูดของเขาทำให้ผมยิ้มรับแล้วยักคิ้วให้ ก่อนจะตอบกลับไป
“ไม่ชอบเหรอ?”
“เปล่า...”
“งั้นก็ชอบ”
ผมพูดออกมาแล้วหลุดขำนิดหน่อย
“ก็ดีกว่าจูงมืออ่ะ เหมือนเป็นหมาเลย"
เห้ย เอาจริงๆอันนี้ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย
ผมเองก็ไม่ค่อยได้เดินจูงมือเขาสักเท่าไหร่ด้วยทั้ง แต่พอฟังเหตุผลแล้วผมก็ต้องหยุดยิ้มออกมาอีก ก่อนจะยกมือไปวางบนผมของเขาแล้วขยี้เบาๆ
“คิดได้เนอะ"
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมา เขามองมาทางนี้แล้วยักคิ้วให้กัน ก่อนจะหันกลับไป
“สรุปวันงานจะไปทำผมให้เราใช่ปะ? เนี่ย... เวลาใส่สูทก็ต้องมีคนช่วยปะ ไม่งั้นยับแน่”
“โตแล้ว แต่งเองไม่ได้ไง?”
“โถ่..ไปเหอะน่า นะครับสุดหล่อ..."
“พูดจาโคตรไม่จริงใจเลยหมอ...”
“แต่ก็จะยอมไปด้วยกันใช่ปะ?”
เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆ รู้อีกทีก็เดินออกมาตรงส่วนของลานจอดรถแล้วครับ
ผมส่งสายตามองไปยังอีกคนเพื่อรอคำตอบ แล้วก็เห็นว่าฝ่ายนั้นแอบเหลือบปลายสายตามามองกัน พร้อมกับทำปากคว่ำแล้วตอบกลับไป
“แล้วเราพูดตอนไหนว่าจะไม่ไปเล่า!”
น่ารักจะตาย แฟนใครเนี่ย
- - -
- มีต่อนะคะ -