-THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [แจ้งข่าวหน้า 56 ค่ะ] <14.03.16>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [แจ้งข่าวหน้า 56 ค่ะ] <14.03.16>  (อ่าน 707298 ครั้ง)

ออฟไลน์ pannuna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 449
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1470 เมื่อ06-01-2016 01:58:56 »

อ้าวววจะจบละหรออออ

ออฟไลน์ am_am

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1471 เมื่อ06-01-2016 07:18:19 »

ยิ้มโคตรน่ารัก อ๊ากกกกกกก ไม่อยาดให้จบเลยอ่ะ

ออฟไลน์ Tatangth

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1472 เมื่อ06-01-2016 11:12:30 »

หมอน่ารักไปอ่ะ ใจเราสั่นเลยอ่ะหมอ
 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ smilepengy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1473 เมื่อ06-01-2016 19:25:35 »

ยิ้มปากบานแข่งกะน้องหมอ  :hao6:

ออฟไลน์ gessuriyong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1474 เมื่อ06-01-2016 21:19:05 »

จริงๆแล้วการเที่ยวญี่ปุ่นในครังนี้ ไม่ต่างอะไรกับมหกรรมของกิน

เสียงของกะทะร้อนที่ดัง กับควันน้ำซุปที่ลอยฉุยๆ

สิ่งเหล่านั้นทำให้แฟนคลับน้ำย่อยเดิน ไม่ต่างกับแก๊งหมอเถื่อนเท่าไหร่เลยจริง  :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1475 เมื่อ06-01-2016 21:36:25 »

อยากได้หมอ อยากได้หมอ ชอบหมอ ขอเราเหอะะะะ

ออฟไลน์ iammilk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1476 เมื่อ07-01-2016 20:54:15 »

จะจบแล้วหรอ โอ้ไม่นะ เป็นเรื่องที่น่ารักมากๆค่ะ  :mew2: :sad11:

ออฟไลน์ CIndY59

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1477 เมื่อ07-01-2016 21:54:33 »

จะจบแล้ว หมอเพิ่งได้ไป 4จุ๊บบบบ

โอ๊ยยยย...ไม่อยากให้จบเลยอ่ะ
อยากอยู่ด้วยกัน มองดูความเติบโตของสองคนนี้ไปเรื่อยๆ (เหมือนดูลูกชายออกเรือน 55)
แบบ อยู่ต่อเลยได้ไหมมมมม.....

เป็นนิยายที่ชอบมากอ่ะ อ่านสบายๆ ยิ้มง่ายๆตลอดจนจบเลยอ่ะ
คนเขียนอธิบายอิมเมจของตัวละครได้ดีมากอ่ะ เราได้รู้จักตัวละครผ่านตัวละคร
เหมือนว่าตัวเราเข้าไปอยู่ในเหตุการ์ณ มีเพื่อนเป็นหมอและก็ยิ้มหวาน

อยากจะให้อยู่ยิ้มหวานให้กันไปอีกนานๆ

ออฟไลน์ kaireaw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1478 เมื่อ07-01-2016 23:00:01 »

คือน่ารักมาก ไม่ทนนนนนน
หมอมันร้ายค่ะ หลอกจุ๊บยิ้มไป 4 ที ฮืออออ
ยิ้มก็น่ารัก เขินแล้วโวยวาย เอ็นดู :-[

ออฟไลน์ PPink

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 220
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1479 เมื่อ08-01-2016 21:02:59 »

เป็นเรื่องที่แวะเข้ามาอ่านทีไรก็ทำให้ยิ้มได้ตลอด สมกับชื่อเรื่อง ยิ้มหวานของหมอเลย
พอรู้ว่าจะจบก็แอบใจหายเหมือนกันนะ
อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนแอบดูเพื่อนกับแฟนคบกันไงไม่รู้ รู้สึกผูกพัน แง


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
« ตอบ #1479 เมื่อ: 08-01-2016 21:02:59 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ white feather

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1480 เมื่อ09-01-2016 21:49:54 »

ตอนหน้าก็จะจบแล้ว
คิดถึงหมอกับยิ้มหวานแย่เลย
ยิ่งอ่านยิ่งรัก 2 คนนี้มากมาย
ไว้เอาตอนพิเศษมาฝากเยอะๆนะค่ะ

ออฟไลน์ monetacaffeine

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1481 เมื่อ09-01-2016 21:59:44 »

เหงาๆไม่อยากให้จบเลย
หมอโคตรหลงแฟนจริงไรจริง อ่านคำว่าน่ารักประมาณสามสิบล้านคำได้ /เว่อร์มาก /เว่อร์ตามหมอแหละ 555555
อะไรจะอวยขนาดนี้ แต่ยิ้มก็น่ารักจริงจังไม่เถียงเลย :/

เชียร์อัพนะคะ :D

ออฟไลน์ Prattana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1482 เมื่อ11-01-2016 17:26:57 »

เพิ่งมาเจอเรื่องนี้เมื่อไม่กี่วันนี้เอง แค่อ่านตอนแรกก็ดึงเราไว้ให้ทิ้งเรื่องอื่นมานั่งเฝ้าหมอกับยิ้มหวานจนไม่เป็นอันทำอะไร
ชอบมากๆเลย เป็นนิยายในแบบที่เราตามหา ละมุนละไม อบอุ่น อ่อนหวาน อ่านแล้วยิ้มทุกตอนเลย
ชอบยิ้มหวานแทนตัวว่าเรา น่าร้ากกกก อยากได้ยิ้มหวานกลับบ้าน.. เจอหมอถีบ 555

ปรบมือให้คนแต่งค่ะ แต่งนิยายได้ชวนฟินชวนเขินแท้ เราเขินตัวแตกประหนึ่งเป็นยิ้มหวานโดนหมอจีบ และก็ "กลั้นฟิน" แทบไม่ไหวเวลานั่งอ่านในที่สาธารณะ เก๊กหน้านิ่งลำบากมากเวลาอ่านเรื่องนี้
เสียดายจังเลย จะจบเสียแล้ว ยังไงแต่งตอนพิเศษหรือแต่งเรื่องใหม่มาอีกนะคะ เรารอติดตามเสมอค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ basza2x

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 796
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1483 เมื่อ13-01-2016 15:24:30 »

สนุกมากกๆเลยครับ ไม่มี nc หรอ ฮ่าๆๆๆๆ  :mew2:

รอตอนต่อไปน่ะครับ

ออฟไลน์ kataiyai

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +170/-1
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1484 เมื่อ13-01-2016 19:03:54 »

คู่นี้น่ารักมาก

อยากให้หมอได้ไปเที่ยวด้วยจัง

ออฟไลน์ mirin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1485 เมื่อ14-01-2016 12:31:55 »

จะจบแล้วหรอ  :hao7:

ออฟไลน์ Fish129

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 746
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-3
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [19] <16.12.15> page 43
«ตอบ #1486 เมื่อ17-01-2016 17:20:30 »

ทำไมหมอน่ารักแบบนี้

ออฟไลน์ smilepengy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1487 เมื่อ21-01-2016 08:07:44 »

น่าร้ากกกก เขินแทนเลย :mew3:

ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1488 เมื่อ22-01-2016 19:42:50 »

คิดถึงยิ้มหวานแล้ววววววววววว

ออฟไลน์ Hopess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1489 เมื่อ23-01-2016 16:37:48 »

พึ่งเคยเข้ามาอ่านยิ้มหวานของหมอ สนุกมากๆเลยค่ะ อ่านรวดเดียวจบเลยย ><
ยิ้มน่ารักม้ากมากกก อ่านเรื่องนี้แล้วมีความสุขมากเลย ยิ้มตามตลอด ขอบคุณมากนะคะ
 :mew1: :mew1: :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
« ตอบ #1489 เมื่อ: 23-01-2016 16:37:48 »





ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1490 เมื่อ30-01-2016 00:55:10 »

อ้างถึง
ประกาศค่ะ  
อยากจะบอกว่า... ตอนที่เราลงตอน 20 ไปมันมีความผิดพลาดเล็กน้อยค่ะ
คือเราลงไว้ไม่ครบ ; [] ; จะไป Edit แล้วเพิ่มก็กลัวว่าคนที่อ่านไปตั้งแต่ตอนเราลงใหม่ๆจะไม่ได้อ่านกัน
เราเลยยกยอดเอามาแปะไว้ตรงนี้ : )

ใครลืมไปแล้ว แว้บไปอ่านช่วงท้ายของตอนก่อนหน้าได้นะ แปะลิ้งไว้ให้ค่ะ
CHAPTER 20


คนข้างๆถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะวางรีโมทลงบนโต๊ะตัวเล็กที่อยู่ด้านหน้า แล้วลุกขึ้นไปหยิบบีนแบ๊คอันใหญ่ที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาวางบนโซฟากั้นระหว่างเรา 2 คน เอื้อมมือไปเอาถ้วยป็อบคอร์นมากอดไว้  ก่อนจะพูดออกมาสั้นๆ

"กั้นอาณาเขต!"

ผมหัวเราะรับ เอนตัวพิงบีนแบ็คอันใหญ่แล้วพูดออกมา

“ถามก่อน...นี่งอนหรือเขิน?”

“ไอ้หมอบ้านี่"

“....”

“เขินดิถามได้!”

ตอบผมเสร็จเขาก็กดเพลย์ให้เรื่องราวของพวกตัวเหลืองๆดำเนินต่อไป

ผมนั่งดูการ์ตูนไปเรื่อยๆและเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู็ ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็เป็นตอนที่เรื่องราวของพวกมินเนี่ยนจบลงไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับบีนแบ็คที่หายไป

ทันทีที่ตื่นเต็มตาผมก็หันไปมองอีกฝั่งนึงของโซฟา ก่อนจะเห็นว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้นในชุดนอน บนตักมีแม็คบุ๊คเครื่องเดิมและสีหน้ายิ้มๆของเขาก็ดูเหมือนจะกำลังเล่นอะไรอยู่มากกว่าจะทำงาน จนผมต้องถามออกไป

“ทำอะไรอ่ะ?”

“อ่าวตื่นแล้วเหรอ? ...เมื่อกี้จะทำงาน แต่ตอนนี้คุยกับเพื่อนอยู่"

“หลับเฉยเลยว่ะ"

ผมพูดพลางจะยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมา

“ว่าอยู่ เห็นนั่งหาวอยู่สักพักละ เรียนทั้งวันแล้วยังต้องมาเล่นกับเราอีก เหนื่อยอะดิ"

คำว่า 'ยังต้องมาเล่นกับเรา' ทำเอาผมหลุดขำ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วมองไปยังหน้าจอที่เปิดอยู่ นอกจากไลน์ที่คุยกับเพื่อนแล้วยังมีโปรแกรมที่เจ้าตัวใช้ทำงานเปิดอยู่จนผมต้องถาม

“ไง...หายเซ็งแล้วเหรอทำงานได้ละ"

“ใช่...”

เขาตอบกลับก่อนจะขยับมานั่งพิงไหล่ผม แล้วเล่าต่อ

"เพราะเมื่อกี้เราได้คุยกับพ่อ เลยทำให้นึกถึงช่วงก่อนที่เราจะขึ้นมหาลัยขึ้นมา ตอนนั้นพ่อเพิ่งซื้อมินิคันนี้มาให้เราเป็นของขวัญวันเกิด และวันเสาร์นั้นเราก็ต้องไปทำงานกลุ่มที่โรงเรียนพอดี...เราคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ถึงได้ขับรถไปโรงเรียน ไปแบบไม่มีใบขับขี่ด้วยเหอะ แล้วก็โดนพูดถึงประมาณวันนี้เลย จำได้ว่าตอนนั้นเซ็งกว่านี้อีก"

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ยกมือขึ้นวางบนผมเขาแล้วลูบไปมาซ้ำๆเหมือนกำลังลูบขนแมวเล่น ก่อนจะรับคำ

“อืม...แล้วตอนนั้นทำไง”

“กลับบ้านมาบ่นให้พ่อฟัง คล้ายๆที่บ่นกับหมอวันนี้เลย ว่ารู้งี้น่าจะเถียงให้รู้เรื่องไป อยากต่อยกันก็ต่อยเลยจะได้จบๆ แต่พ่อเราฟังแล้วขำ แล้วก็พูดเรื่องที่อ่านมาจากหนังสือธรรมมะให้เราฟัง ว่าเวลาที่โดนหมาเห่าใส่ ถ้าเราดันไปเห่ากลับ เราก็จะกลายเป็นหมาอีกตัว"

“โห...”

“สุดยอดปะล่ะ พอนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เราก็เลยคิดว่าจะเลิกใส่ใจดีกว่า ถ้าเจอกับรุ่นพี่คนนั้นที่คณะอีกก็จะเมินๆซะ อยากพูดอะไรก็พูดไปเหอะ เราจะไม่สนใจแล้ว"

“ดีนะ..”

“อืม...”

“ดีที่โตมาเป็นคนแบบนี้ คิดเรื่องพวกนี้ได้ด้วยตัวเอง ต้องขอบคุณพ่อกับแม่ใช่มั้ยที่เลี้ยงลูกเก่งขนาดนี้"

“แน่นอน...”

เขาพูดพลางเอนหัวซบลงมาบนไหล่ผม จากเดิมที่เรานั่งพิงกันอยู่เฉยๆ ก่อนเจ้าตัวจะเปิดงานขึ้นมาแล้วก็นั่งเช็คไปเรื่อยๆ ผมมองภาพที่อยู่หน้าจอแล้วก็พอรู้ว่ามันเป็นแบบของห้องอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่เข้าใจรายละเอียดทั้งหมดอยู่ดี เลยชวนคุยไปอีกเรื่องนึง

“ตกลงไปญี่ปุ่นอาทิตย์หน้าจริงดิ"

“อืม เหมือนญาติๆจะไปด้วยหลายคนเลย"

ได้ยินที่เขาพูดออกมาแล้วผมก็นิ่งคิดไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อ

“จะเหงาปะวะ?”

“หมอ... เกินไป!”

“เฮ้ยจริงๆ เหมือนเราไม่เคยห่างกันเลยปะ ตั้งแต่ตอนที่เราตามจีบจนได้คบกันเนี่ย"

คนฟังหันมาทำหน้ามุ่ยใส่ผม ก่อนจะตอบกลับ

“ก็จริง...”

พูดจบเขาก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วส่งสายตาจับผิดมาให้กันแล้วพูดต่อ

“เนียนว่ะ ค่อยๆแทรกแซงเข้ามาในชีวิตเราทีละนิดๆ เดี๋ยวนี้นี่เดินเข้าออกห้องเราสบายเลยเนอะ"

สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมหลุดหัวเราะแล้วพูดต่อ

“รู้ตัวตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วยิ้ม"

“แน่ใจว่าไม่ทัน?”

โอ๊ย! ขยันเถียงว่ะ
ผมมองคนที่ทำเป็นย่นจมูกมาใส่กันแล้วยกไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นไปจับแก้มนิ่มๆทั้ง 2 ข้างของเขาแล้วดึงยืดออกด้วยความสนุก
รอจนอีกฝ่ายร้องโวยวายออกมาผมถึงได้ปล่อยมือออกแล้วยักคิ้วกลับไปให้

“เดี๋ยวจะโดน!”

เขาไม่ตอบกลับ แต่ยักคิ้วกลับมาเหมือนกัน แล้วพูดไปอีกเรื่องนึง

“กลับบ้านยัง สี่ทุ่มกว่าแล้ว"

“นอนนี่ได้ปะ?"

“เนียนเรื่อย...”

“ล้อเล่น กลับดิ กลับเลยดีกว่า"

ผมพูดพลางลุกขึ้นทันที แล้วเดินไปหยิบกระเป๋ามาสะพายที่ไหน ส่วนอีกคนก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบคีย์การ์ดกับกระเป๋าตังค์ ที่อีกมุมนึงของห้อง ปล่อยให้ผมมองแผ่นหลังของคนที่อยู่ตรงหน้า แล้วอยู่ๆก็เอาแต่ยิ้มออกมาอย่างไม่มีเหตุผล

ผมไม่เคยจินตนาการถึงภาพของเราสองคนที่กำลังดินเนอร์ใต้แสงเทียนบนดาดฟ้าของตึกสูงหรืออะไรอย่างอื่นที่หรูหราประมาณนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองไม่ได้อยู่ในวัยที่จะเข้าใจความโรแมนติคของการทำแบบนั้นหรือเปล่า

แต่สำหรับผมในตอนนี้ แค่ได้เล่นกัน เถียงกันตีกันไปตีกันมาอยู่ทุกวันอย่างนี้
ได้ทำกิจกรรมธรรมดาทั่วไป ที่ไม่แปลกใหม่ไปจากชีวิตประจำวัน โดยมีเขาเข้ามาเป็นส่วนนึง
สำหรับผม แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

tbc.


- - - -


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2016 01:13:12 โดย kipuuu »

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1491 เมื่อ30-01-2016 00:55:59 »


กรี้ดกร้าดในทวิตฝากติดแทค #ยิ้มหวานของหมอ นะคะ



- 21 -


ยิ้มหวานไปญี่ปุ่นได้ 5 วันแล้วครับ

ถามว่าผมเหงามั้ย มันก็ไม่ถึงกับเหงาซะทีเดียวนะ แต่รู้สึกเหมือนชีวิตในแต่ละวันมีสีสันน้อยลง มันไม่สนุกเท่าเดิมเพราะขาดคนมาคอยชวนเล่นโน่นเล่นนี่

ห้าวันที่ผ่านมาผมโดนไอ้พวกนี้ลากไปเมามาแล้วสองครั้ง หนึ่งในนั้นผมต้องเลี้ยงตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าถ้าจีบยิ้มหวานติดผมจะเลี้ยงเหล้าพวกมัน ส่วนอีกวันโดนลากออกไปเฉยๆ แบบไม่มีเหตุผล

นอกจากนี้ก็ไม่มีกิจกรรมอะไรแปลกใหม่มากไปกว่าการตื่นเช้า ใส่หูฟังเปิดเพลงดังๆ ขึ้นบีทีเอสไปเรียน กลับบ้านนอน และรอข้อความที่อีกฝ่ายจะส่งมาบ้างทางไลน์ ถ้าเจอสัญญาณไวไฟ ซึ่งส่วนใหญ่สิ่งที่เขาส่งมามักจะเป็นรูปถ่าย รูปเจ้าตัวบ้าง ของกินบ้าง พร้อมกับคำบรรยายสั้นๆ

เลิกเรียนเเสร็จพวกผมก็แวะไปกินส้มตำแถวราชเทวีก่อนจะก็มารวมตัวกันที่บ้านไอ้เบอร์สอง เพื่อจะติวหนังสือเพราะพรุ่งนี้มีสอบย่อย คำว่า 'สอบย่อย' ฟังดูดีโคตรครับ แต่สอบก็คือสอบ จะใหญ่หรือย่อยแม่งก็สอบปะวะ
...แค่คิดก็อยากจะแกล้งตาย

พวกผมหยุดพักกันตอน 3 ทุ่ม และไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งพักแบบเปื่อยๆ กันอยู่ในห้อง มีแค่ไอ้เบอร์สองที่ออกไปโทรหาแฟนมันเหมือนทุกที

เพราะไม่มีอะไรจะทำ ผมเลยหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูหน้าแชทที่ผมคุยกับยิ้มหวานเอาไว้  ไล่ดูเห็นรูปภาพมากมายที่เขาส่งมาตั้งแต่วันแรกแล้วก็ต้องหลุดขำออกมาตอนที่เจ้าตัวส่งรูปอูนิมาให้ผมแล้วพิมพ์ตามมาว่า

*จู๋หอยเม่นของหมอไง

ผมนั่งดูไปเรื่อยๆ จนถึงรูปล่าสุดที่เป็นป้ายหน้าช็อปไนกี้ พร้อมข้อความที่พิมพ์มาว่า

*ช็อปที่สาม
*ยังคงไม่มี
*มันมีแต่ไซส์เราว่ะ
*น่าซื้อไปใส่ให้หมออิจฉาเนอะ
*แล้ววันต่อมาหมอก็เอารองเท้าเราไปใส่ดินละปลูกต้นไม้เลย
*5555


พอจะเข้าใจอยู่หรอกครับ เพราะรุ่นนี้เป็นรุ่นใหม่
ผมไปถามตามช็อปแถวสยามกี่ที่ก็หมดตลอด ซื้อไม่เคยทันคนอื่น -_-

*555 ต๊องว่ะยิ้ม
*ไม่เจอก็ไม่เป็นไร เรารอซื้อที่ไทยก็ได้
*เที่ยวให้สนุก


นี่คือข้อความล่าสุดที่เราคุยกัน หลังจากนั้นเขาก็หายไปเลยตลอดช่วงบ่าย
พอไม่มีอะไรจะทำต่อผมก็กดล็อกหน้าจอมือถือ
กำลังจะโยนมันกลับลงไปในกระเป๋าแล้วครับ ถ้าข้อความของเขาไม่เด้งขึ้นมาก่อน เกือบไปแล้วเหอะ ผมปิดเสียงมือถือไว้ด้วย ถ้าทักมาหลังจากนี้แป๊บนึงก็ไม่ได้คุยกันละ

*ก๊อกๆๆ
*นอนยัง?
*อ่านหนังสือเปล่า?

*อ่านอยู่
*ที่นั่นห้าทุ่มละปะ
*กลับโรงแรมยัง?


*แล้ว ^ ^


สิ่งที่ตามมาหลังข้อความคือรูปของเขาที่เอาผ้าห่มปิดหน้าไว้ครึ่งนึงและกำลังนอนอยู่บนเตียงครับ
เห็นอย่างนั้นผมเลยตอบกลับไป


*ไปนอนไป
*เที่ยวมาทั้งวัน


*ไล่ว่ะ
*แป๊บดิ มีเรื่องจะถาม
*พรุ่งนี้ดึกๆ ว่างเปล่า

*ไม่ได้ไล่ ทำไมอะ?
*ว่างกับบางเรื่อง
*กับบางเรื่องก็ไม่ว่าง


*กวนตีนนะน้อง
*ไม่ว่างใช่มั้ย
*พี่จะให้มารับที่สนามบินอ่ะ
*ไม่มาเนอะ
*บ๊ายบาย ฝันดี

*ยิ้ม!!!

*อย่ากวนดิ
*ง่วงอ่ะ จะนอน

*แฟนเว้ยยย
*กลับมาก่อน
*แลนดิ้งกี่โมง?


*55555555
*สี่ทุ่มครึ่ง
*ตกลงว่างใช่ปะ?

*จะขับรถออกไปรอตั้งแต่ตอนนี้แล้วเนี่ย

*เกินไปเหอะ!
*ไปอ่านหนังสือไป
*เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันละ



ผมยังไม่ทันจะได้คุยกับยิ้มหวานจนจบ อยู่ดีๆ ก็มียางลบลอยมาจากอีกฝั่งนึงของห้อง เห็นตัวหนังสือที่เขียนเป็นชื่ออยู่บนนั้นก็พบว่ามันเป็นของไอ้เบอร์สอง คือพวกผมใช้ยางลบยี่ห้อเดียวกัน วันก่อนแม่งสลับกันมั่วชิบหาย

ชิบหายกว่าตรงที่ทุกคนยืนยันว่าของตัวเองคืออันที่ใหม่ที่สุด และไม่มีใครอยากได้อันที่เหลืออยู่ครึ่งก้อนเลย คือมึงเถียงกันเรื่องยางลบจริงจังเป็นสิบนาที ก่อนจะแก้ปัญหาด้วยการจับสลากแจกยางลบกันใหม่ และเขียนชื่อลงไปบนก้อนของตัวเองเป็นสักขีพยาน

และแน่นอนครับ ที่ทุกคนกำลังรับรู้กันอยู่นี่
คือเรื่องราวของนักศึกษาแพทย์ปี 2 นั่นเอง...

ผมมองตรงไปยังทิศทางที่ยางลบลอยมา พอเห็นว่าพวกมันสามคนกำลังมองมาทางนี้แล้วทำหน้ากวนตีนมาให้กัน ผมก็ถามออกมา

“มองหน้ากูทำไม?”

“ไหน...ใครมองหน้าครับ กูมองตีน"

ไอ้เบอร์หนึ่งตอบออกมาก่อน โดยมีไอ้โคนันตบท้ายอย่างสร้างสรรค์

“มันบอกว่ามึงหน้าส้นตีน...”

ขอบคุณสำหรับความสามัคคี...


- - - -


เย็นวันต่อมา ผมเลิกเรียนตอน 4 โมงตามเวลาปกติ และขึ้นบีทีเอสกลับบ้านทันที จนถึงกับโดนแม่ทักว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่เห็นลูกชายกับพระอาทิตย์พร้อมๆ กัน และทันทีที่ผมบอกกันว่าเดี๋ยวคืนนี้จะออกไปนอนบ้านเพื่อน ก็ยังไม่วายโดนคุณคนสวยบ่นกลับมาแบบขำๆ

หลังจากจัดการมื้อเย็นแบบครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งสี่คนเสร็จเรียบร้อย ผมก็ขึ้นมาบนห้องนอน นั่งอ่านหนังสือทบทวนสิ่งที่เรียนมาอยู่ในห้อง รอสักพักจนกระทั่งใกล้เวลาที่จะออกจากบ้าน ผมก็อาบน้ำใส่เสื้อบาสที่ได้มาตอนแข่งกับกางเกงขาสั้นสบายๆ ก่อนจะเก็บชุดสำหรับใส่ไปเรียนพรุ่งนี้ใส่กระเป๋า

เตรียมพร้อมจะไปนอนคอนโดเขาเรียบร้อยแล้วครับ เจ้าของห้องยังไม่ชวนเลยสักคำ
หมอไงจะใครล่ะ -_-

จนกระทั่งเกือบๆ สามทุ่ม ผมหยิบแจ็คเก็ตขึ้นมาใส่ ถือเป้ใบนึงขับรถออกจากบ้านแล้วตรงไปสนามบินสุวรรณภูมิทันที
พอรู้ตัวว่าไปถึงก่อนเวลาประมาณนึง ผมก็เลยไปนั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟแล้วไลน์ไปบอกคนที่ผมรออยู่ว่าผมมาถึงแล้ว เปิดมือถือเมื่อไหร่ก็ติดต่อกันได้เลย

ผมนั่งใส่หูฟังกลบเสียงวุ่นวานจากรอบข้าง ก่อนจะอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ สักพักก็มีข้อความเข้ามาครับ

*ถึงแล้ว ^^

เขาพิมพ์มาแค่นั้น ก่อนจะตามมาด้วยรูปภาพของหมายเลขประตูที่เจ้าตัวยืนอยู่

เห็นอย่างนั้นผมก็ลุกขึ้น เก็บของใส่กระเป๋าแล้วเดินออกจากร้านไปโดยที่ติดมอคค่าเย็นในมือไปด้วย ตอนที่เดินไปมันก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แต่พอสังเกตเห็นว่าเขาอยู่ตรงไหนเท่านั้นแหละ ผมนี่ตัวแข็งเหมือนอยู่ๆ ก็โดยจับเข้าตู้แช่เซเว่นไปซะอย่างนั้น

ยิ้มหวานอยู่ตรงหน้าผมแล้วครับ แค่เดินไปอีกไม่ถึงสิบก้าวเท่านั้น เราก็จะได้เจอกัน...
ดูเหมือนจะโรแมนติก เหมือนฉากในหนังฝรั่งใช่ปะล่ะ?

แต่ความจริงคือเขาไม่ได้อยู่คนเดียว... รอบตัวเขามาทั้งพ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาและใครก็ไม่รู้หมดห้อมล้อมอยู่เต็มไปหมด เอาจริงๆ เห็นแว้บแรกผมถึงกับหยุดเดินไปโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกเหมือนกำลังจะเดินเข้าห้องปกครองคงจะเป็นอย่างนี้แหละมั้ง...

ผมยืนถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าจะเข้าไปเลยดีไหมหรือจะนั่งรอเขาตรงนี้แล้วบอกว่ามาถึงแล้วดี
ระหว่างที่ความคิดกำลังตีกันวุ่นวายอยู่นั้น ผมก็ก้าวเท้าไปข้าวหน้าเพื่อจะเดินต่อไป แต่พอคิดว่าอย่าเข้าไปเลย ผมก็ก้าวถอยหลัง ถอยไปถอยมาอยู่สักพัก รู้ตัวอีกทีก็อยากขอเพลงสุนทราภรณ์เบาๆ ซะหน่อย จะได้รู้สึกเหมือนกำลังเต้นลีลาศกลางสนามบิน หนึ่ง สอง สาม สี่~ ไอ้สัด! ตลกพอยัง?

แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ คนที่ยืนอยู่ห่างออกไปก็หันมาทางนี้แล้วโบกมือมาให้กัน จนผมได้แต่อุทาน 'ชิบหาย...' ในใจ
ไม่ต้องคิดแล้วครับ ไม่ต้องเต้นลีลาศแล้วด้วย ทักกันขนาดนี้ก็ต้องบุกแล้วปะวะ!

ผมรู้ตัวเองว่ากำลังยิ้มเด๋อๆ แล้วก็เดินตรงไปหาเขา ก่อนจะยกมือไหว้พ่อแม่และญาติๆ ของเขาทุกคน ยิ้มหวานหน้าเหมือนพ่อนะ แต่รอยยิ้มกว้างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวกลับได้รับมาจากแม่ เขามีพี่สาวตัวเล็กๆ ที่หน้าคล้ายกันแถมยังน่ารักอยู่พอตัวอีกต่างหาก

ระหว่างที่ผมกำลังเงียบอยู่นี่ คนตรงหน้าก็หันไปพูดกับพ่อแม่เพื่อแนะนำผมให้ทุกคนรู้จักแบบสั้นๆ สั้นมาก....

“นี่ไงเพื่อนที่บอกว่าจะมารับ"

พอพูดออกไปอย่างนั้นผมก็ได้ยินแม่เขาบ่นใส่เจ้าตัวว่าให้เพื่อนขับรถมารับดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ได้ไง ก่อนจะได้ยินเจ้าตัวตอบกลับไปว่าเพื่อนน่าจะนอนที่คอนโด แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ออกไปเรียนด้วยกัน
ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ผมก็ต้องกลับมาทำหน้ากลั้นฟินอีกครั้ง...
ฉลาดจังเลยแฟน!

หลังจากนั้นไม่นานผมก็ต้องรับหน้าที่เฝ้ากระเป๋าใบใหญ่ของยิ้มหวาน และให้เจ้าตัวเดินไปส่งพ่อแม่และญาติๆ ขึ้นรถแวนที่มารอรับอยู่
สักพักเขาก็เดินกลับมา และลากใบใหญ่กับถุงช้อปปิ้งสามใบโตๆ ที่วางอยู่บนกระเป๋ากลับไปถือเอง ก่อนจะหันมายิ้มให้กันจนตาโค้งเป็นสระอิ ระหว่างที่เราเดินออกจากประตูมา

“โดนนินทาด้วยรู้ตัวปะ?”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันไปมองแล้วเลิกคิ้วถาม รอให้เขาพูดต่อ

“แม่เราบอกว่าเพื่อนหล่อดี พี่สาวบอกว่าไม่ได้หล่อมากขนาดนั้นแค่ขายาวเฉยๆ"

พูดจบอีกฝ่ายก็หันมาหัวเราะใส่กัน จนผมต้องยกมือขึ้นวางบนผมเขาแล้วขยี้เบาๆ

“แล้วตอบไปว่าไง"

“เราบอกว่าหน้าแบบนี้เฉยๆ เหอะ ที่มอมีเยอะแยะ แล้วก็สูงกว่าเราแค่สองสามเซ็นเอง"

พูดจบก็หันมายักคิ้วใส่จนผมต้องแกล้งผลักหัวเขาเล่น แล้วตอบกลับไป

“ก็จริงอ่ะ คนหล่อกว่าเรายังมีอีกเยอะ ยิ่งขายาวกว่าเราก็ยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่"

“....”

“แต่เราอ่ะ มีคนเดียวนะ"

ผมพูดแล้วส่งสายตาไปให้คนที่เดินเข็นกระเป๋ามาข้างกัน พอเราสบตากันเข้า เขาก็แยกเขี้ยวกลับมา 

“เรา...ซื้อตั๋วกลับไปญี่ปุ่นอีกรอบตอนนี้ทันมั้ย?”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็หลุดขำ ก่อนจะยื่นแขนไปกอดคอเขา

“อย่าไปเลย...คิดถึง"

“อย่าเวอร์น่า คิดถึงอะไร เราก็ไลน์หาตลอดเหอะ"

เขาตอบพลางมองกันด้วยหางตา จนผมต้องใช้มือข้างที่กอดคอเขาอยู่หยิกแก้มเข้าให้ แล้วพูดต่อ

“ไลน์มันดึงแก้มกันแบบนี้ได้ที่ไหนล่ะ ฮื้ออ..."

ระหว่างที่พูดอยู่นี่อีกฝ่ายก็หันหน้ามา ก่อนจะอ้าปากทำท่าจะงับนิ้วกันจนผมต้องรีบปล่อยมือออก

เดินเล่นกันไปเรื่อยๆ สักพักเราก็มาถึงรถกันสักที

ช่วงดึกๆ รถไม่ค่อยเยอะเท่าตอนกลางวัน แถมยังขับรถสนุกกว่าด้วยครับ ใช้เวลาเดินทางไม่นานเราก็มาถึงคอนโด คนที่เดินทางข้ามทะเลมาจัดการวางกระเป๋าเดินทางเอาไว้กลางห้องนอนก่อนจะหนีไปอาบน้ำ ทิ้งผมเอาไว้คนเดียว

รอสักพักเขาก็เดินออกมาจากห้องน้ำในชุดนอนลายสก๊อตเข้ากันพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่บนไหล่ และเส้นผมที่ยังไม่แห้งสนิท  เขาเดินตรงลงมานั่งลงรูดซิปเปิดกระเป๋าเดินทาง ผมเดินไปนั่งข้างๆ กันแล้วถามออกมาพร้อมกับยื่นมือข้างนึงไปหยิบผ้าขนหนูบนไหล่เขามาวางไว้บนหัว ใช้ปลายนิ้วมือนวดเบาๆ ให้ผ้าซับน้ำของจากผมของเขา

“ไม่เหนื่อยเหรอเนี่ย?”

“ไม่อ่ะ ไปกับรุ่นใหญ่ขนาดนั้น บอกเลยทัวร์สโลว์ไลฟ์สุดๆ วันเดียวที่เหนื่อยคือวันที่เรากับพี่แล้วก็หลานอีกคนนึงแยกมาช้อปปิ้ง กับไปโตเกียวดิสนีย์แลนด์"

เขาพูดพลางหยิบโน่นหยิบนี่ไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยิบกล่องรองเท้าอาดิดาสออกมาจากถุงและยื่นกล่องใบนั้นมาให้กัน

“อ่ะ..."

“ฮะ?”

ผมรับมาอย่างงงๆ กำลังจะปฏิเสธเลยว่าของฝากราคาแพงขนาดนี้ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆ

แต่พอเปิดกล่องออกดูสิ่งที่เห็นก็ทำเอาผมลืมเรื่องที่จะพูดไปจนหมด...ตรงหน้าผมมีรองเท้ารุ่นที่อยากได้มากๆ มันคือไนกี้ที่นอนอยู่ในกล่องอาดิดาส... ดูแปลกประหลาดจนต้องหันกลับไปมองคนที่หันมาทางนี้อยู่แล้ว พอเราสบตากัน อีกฝ่ายก็แลบลิ้นมาให้ผมพร้อมกับยิ้มกว้างๆ เหมือนจะถูกใจที่หลอกกันได้สำเร็จ

“เราขอสลับกล่องรองเท้ากับพี่อะ ดีนะที่ยัดลงไปได้"

“แล้วไหนบอกหาไม่เจอ?”

“เราบอกไม่ครบไง หาไม่เจอที่ช็อปแรก แต่พอไปอีกช็อปนึง ก็เจอเลย"

“น่ารักเอ้ย!”

ผมพูดพลางยื่นมือไปขยี้หัวเขาเล่นผ่านผ้าขนหนูอีกที ก่อนจะโดนเจ้าตัวบ่นเข้าให้

“เพิ่งจับรองเท้าแล้วมาขยี้หัวเราเนี่ยนะ?!”

คำตอบที่ผมให้เขากลับไปคือการยักไหล่ แล้วกลับมามองรองเท้าคู่เก่งอย่างมีความสุข ปล่อยให้อีกฝ่ายแยกของที่ซื้อมาออกเป็นกองๆ ไปเงียบๆ ก่อนที่สักพักก็มีตุ๊กตาตัวเล็กๆ ลอยมาตกลงตรงหน้า

“อ่ะของฝาก!”

ผมหันไปมองคนพูด ก่อนจะเห็นว่าเขาหยิบตุ๊กตาตัวเล็กๆ อีกตัวขึ้นมาตรงหน้าตัวเอง
มันคือตัว...ตัวอะไรวะเนี่ย? เดาเอาว่าน่าจะเป็นกระรอก....-__- ผูกโบว์ไทสีดำซะด้วย

ไอ้กระรอกสองตัวในมือผมกับเขานี่หน้าตาคล้ายกันสุดๆ แต่ตัวในมือผมมีสีเข้มกว่าและถือส้อมอันใหญ่ ส่วนตัวที่อยู่ในมือเขาสีอ่อนและถือโดนัทขนาดเกินตัว ผมเคยเห็นหน้าไอ้ตัวนี้ครับ รู้แค่ว่ามันอยู่ในตระกูลดิสนีย์ แต่ไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร...

“มันชื่อตัวอะไรแล้วนะ?”

“ไอ้ตัวในมือหมออ่ะชื่อชิพ"

น้ำเสียงที่เขาบอกกัน ทำเอาผมรู้สึกเหมือนตัวเองมีความผิดที่จำชื่อไอ้สองตัวนี้ไม่ได้

“ส่วนตัวนี้ชื่อเดล ของเรา"

น่ารักโว้ย!!
ยังครับ... ยังไม่ทันได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อระบายความรู้สึกแน่นๆ ที่อัดอยู่ในใจ คนตรงหน้าก็ยื่นมือมาให้ผมแล้วพูดออกมา

“เอากลับมานี่ก่อน"

ได้ยินอย่างนั้นปุ๊บผมก็ดึงไอ้ตุ๊กตาพวงกุญแจเข้าหาตัวทันที จนเขาต้องพูดซ้ำ

“เอามาก่อนแป็บนึง หวงอะไรเนี่ย"

ผมยอมยื่นไอ้กระรอกตัวเท่าฝ่ามือกลับไปให้คนตรงหน้า ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายชูมันขึ้นมา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“นี่ชิพ...”

อืม...แล้วไงวะ?
ไม่ทันที่ผมจะได้ถามว่าแล้วไงต่อ อีกฝ่ายก็เอาไอ้ตัวที่ชื่อชิพนั่นไปซ่อนไว้ข้างหลังแล้ว ก่อนจะพูดออกมา

“นี่...ชิพหาย!"

.

...

......

........

............

................ -_-


เงียบกริบ...
ยิ้ม อะไรของยิ้มวะ

พอเขาเห็นว่าผมทำหน้านิ่งรับมุกตลกที่เจ้าตัวหิ้วข้ามน้ำข้ามทะเลมาเขาก็ยื่นตุ๊กตากลับมาให้ผม ก่อนจะถามด้วยหน้าหงอยๆ

“ไม่ตลกเหรอ?”

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบแล้วพูดต่อ

“เพิ่งมาจากญี่ปุ่นใช่มั้ย? เอาไป 100 เยนแล้วไปเล่นตรงโน้นนะ”

“แรงอ่ะ! เอาชิพไปเลย แล้วเอารองเท้าคืนมาด้วย!”

เขาพูดแล้วโยนตุ๊กตาตัวเล็กๆ มาตกลงตรงหน้าผมอีกรอบ จนผมต้องจับเท้ามันแล้วหยิบขึ้นมาแบบห้อยหัวก่อนจะพูดเจือเสียงหัวเราะ

"โอ๋...ชิพหายพ่อไม่รัก"

คนฟังได้ยินอย่างนั้นก็หันมาแยกเขี้ยวใส่กันก่อนจะกลับไปรื้อของต่อแล้วยื่นกล่องอะไรก็ไม่รู้มาให้กันอีกอันนึง

“นี่ขนม ของฝากบอยแบนด์หล่อสัดรัสเซีย"

ตามมาด้วยตุ๊กตาตัวพอๆ กันกับไอ้ชิพหายพ่อไม่รักที่นอนตายอยู่บนตักผมนี่แหละ
...คราวนี้รู้จักเว่ย มินนี่เม้าส์!

“อันนี้ของน้องสาว แล้วก็นี่ของพ่อกับแม่นะ"

ปิดท้ายด้วยกล่องใบเล็กๆ อีกใบที่ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นชา ซึ่งมาพร้อมกับพลาสติกเป็นโครงสีๆ รูปการ์ตูน ที่เอาไว้ทำอะไรก็ไม่รู้ และถ้าไม่รู้ก็ควรจะถามใช่มั้ย?

"อันนี้อะไร?"

ผมถามพลางยกไอ้ของที่ว่าขึ้นให้เขาดู ก่อนจะได้คำตอบกลับมา

“พิมพ์คุ้กกี้ไง เอาไว้กดลงไปบนแป้งให้คุ้กกี้เป็นรูปต่างๆ หมอโง่อ่ะ"

นั่น...โดนเลยกู
ด่าผมเสร็จเขาก็หัวเราะถูกใจ ก่อนจะปิดกระเป๋ากลับแล้วยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ

“เริ่มง่วงแล้วอ่ะ นอนดีกว่า หมอกลับบ้านใช่มั้ย บ๊ายบาย ขับรถดีๆ เนอะ"

พูดจบเขาก็หันมาโบกมือบ๊ายบายให้กันเต็มที่ก่อนจะลุกขึ้น โชคดีที่ผมไวกว่าเอื้อมมือไปคว้าเอวเขาเอาไว้ได้ทันแล้วดึงวืดเดียว
... หล่นลงมาอยู่ในตักกันเฉย

พอได้ยินอีกคนส่งเสียงออกมาเหมือนกำลังขัดใจ ผมก็หลุดหัวเราะพร้อมกับกอดเอวเขาแน่นเข้าแล้ววางคางเกยเอาไว้บนไหล่ก่อนจะพูดออกมา

“ไล่กันเฉย...”

เขาไม่ตอบ แต่ใช้ข้อศอกจิ้มเข้าที่ตัวผมเต็มๆ ก่อนจะหันมาทำหน้ามุ่ยใส่ และนั่นก็ทำให้ปลายจมูกของผมกดลงไปบนแก้มเขา

พอรู้แบบนั้นเจ้าตัวก็รีบหันหน้ากลับไป ก่อนจะฝืนตัวพยายามลงจากตักผม ขยับตัวยุกยิกอยู่สักพักจนกระทั่งแน่ใจว่าอ้อมแขนที่รัดอยู่จะไม่ยอมปล่อยออกง่ายๆ เขาก็บ่นออกมา

“ปล่อยเร็ว ไม่นั่งแบบนี้"

ได้ยินอย่างนั้นหลุดขำแล้วคลายอ้อมแขนออกเพื่อปล่อยให้อีกฝ่ายลุกขึ้นเดินไปหยิบไดร์เป่าผมในตู้ ก่อนจะหันกลับมามองทางนี้แล้วย่นจมูกให้กันพร้อมกับบ่นต่อ

“ไปแปรงฟันละมานอนได้แล้ว พรุ่งนี้เรียนเช้านี่"

ผมพยักหน้าแทนการรับคำ ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป ล้างหน้าแปรงฟันอยู่ไม่นานก็กลับออกมา
ผมนั่งลงบนเตียงและเห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งไดร์ผมให้แห้งอยู่หน้ากระจก

เห็นอย่างนั้นผมเลยนั่งลงบนเตียง สักพักก็ยกมือขึ้นกอดอกแล้วมองแผ่นหลังตรงหน้าพร้อมกับนึกถึงตอนที่ได้แต่มองแล้วก็ไม่กล้าเข้าไปทำความรู้จักไปด้วย

อยู่ดีๆ ผมก็นึกอยากจะเดินเข้าไปขอบคุณที่เขาไม่มีใคร จนถึงวันที่ผมกล้าพอที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปจีบเขา
ถ้าตอนนี้เขาไม่ใช่ 'ยิ้มหวานของผม' แต่เป็นยิ้มหวานของคนอื่นอยู่ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีช่วงเวลาดีๆ อย่างนี้กับใครคนอื่นได้อีกไหม...

สักพักคนที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้น เขาเอาโทรศัพท์กับแม็คบุ๊คไปเสียบชาร์จแบต และเดินกลับมาที่หน้ากระจกเหมือนเดิม เขาหยิบลิปมันขึ้นมาทา ก่อนจะปั๊มโลชั่นแล้วลูบลงไปที่แขนพร้อมกับบ่น

“ที่ญี่ปุ่นเริ่มหนาวแล้วเว่ย ไปถึงปุ๊บเราปากแตกเลยอะ แล้วตัวก็แห้งๆ ไปหมดเลย"

ผมส่งเสียงรับคำตอบกลับไปเบาๆ นั่งมองคุณชายเขาทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ ผมก็ตัดสินใจเรียกชื่อเขาออกมาท่ามกลางความเงียบ

“...”

สิ่งที่ได้ยินทำเอาอีกฝ่ายชะงักมือไปในทันที เขาหันหลังกลับมามองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกใจ ริมฝีปากสีสดที่ดูวาวๆ ขยับเหมือนจะพูดอะไรตอบกลับ แต่ผมกลับพูดออกมาซะก่อน

“ยิ้มหวาน...”

คราวนี้อีกฝ่ายดูไม่แปลกใจเท่าตอนแรก เขาส่งยิ้มมาให้ผม 
ผมยิ้มรับและลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้เขา ยกมือขึ้นสัมผัสข้างแก้ม และใช้นิ้วหัวแม่มือลูบสัมผัสผิวนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าลงไป กระซิบเบาๆ ชิดริมฝีปาก

“ยิ้มหวานของเรา"


END.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2016 01:21:02 โดย kipuuu »

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0
Re: -THAT SMILE- #ยิ้มหวานของหมอ [20] <04.01.16> page 48
«ตอบ #1492 เมื่อ30-01-2016 00:56:50 »


กรี้ดกร้าดในทวิตฝากติดแทค #ยิ้มหวานของหมอ นะคะ



- EPILOGUE -



ชีวิตหมอใช้ทุนไม่ใช่เรื่องตลกครับ...

ผมยืนมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกห้องน้ำแล้วถอนหายใจออกมา  พร้อมกับนับนิ้วไปด้วยและพบว่าตัวเองทำงานติดต่อกันมาเป็นชั่วโมงที่ยี่สิบแล้ว

พอคิดได้อย่างนั้นสิ่งเดียวที่พอจะทำได้คงเป็นการยกมือขึ้นนวดขมับทั้งๆ ที่ไม่ได้ปวดหัว
คือผมไม่ได้ปวดแค่หัวครับ...แต่ตอนนี้กำลังปวดไปทั้งตัวจนแขนขาจะหลุดออกจากตัวแล้วเอาจริงๆ
ก็แค่ยืนขาแข็งติดต่อกันในห้องผ่าตัดเกือบ10 ชั่วโมง แหม มึง ทำเป็นอ่อนแอ -_-

ผมยืนล้างมืออยู่ที่อ่างล้างหน้า พร้อมกับได้ยินคนคุยกันลอดมาถึงด้านใน เสียงที่ได้ยินมาจากผู้หญิงสองคน ที่กำลังคุยกันเรื่องของหนุ่มหล่อสักคนที่เป็นอาหารตาประจำโรงพยาบาล

เพราะที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลที่ใหญ่อะไรมากมาย ผมถึงได้รู้ทันทีว่านั่นเป็นเสียงของคุณป้าแม่บ้าน กับพี่พยาบาลที่อายุมากกว่าผม 2 ปี ตอนแรกผมก็แค่ฟังขำๆ ครับ จนกระทั่งประโยคนึงลอยเข้าหูมาเต็มๆ

"ป้าว่าคุณสุดหล่อคนนั้นน่ะ เป็นแฟนคุณหมอ"

ฮึ? -_-

"คุณหมอคนไหนป้า หมอผู้หญิงที่โรงพยาบาลเราก็แต่งงานกันหมดแล้วนะ"

หลังจากนั้นผมก็ได้ยินชื่อตัวเอง ตามมาด้วยคำว่า 'ที่หล่อๆ เหมือนกันไง...'

บอกชื่อกันขนาดนี้ก็แน่ใจได้เลยครับว่ากำลังพูดถึงผมแน่ๆ เอาวะ! ไหนๆ ก็จะออกเวรละ ขออู้แอบฟังก่อนสัก 5 นาทีแล้วกัน

"ถามจริง ป้าอย่ามาพูดล้อเล่น  คุณหมอเนี่ยนะจะมีแฟนเป็นผู้ชาย ดู...ไม่น่าจะใช่เลย"

"จริงๆ สิ วันนั้นป้าไปกวาดพวกใบไม้ที่ร่วงลงมาตามโต๊ะแถวนั้น พอดีไปชนคุณเค้าเข้าเลยขอโทษซะยกใหญ่ เห็นหน้าตาท่าทางอย่างกับดาราในทีวี ก็กลัวจะโดนเอาเรื่อง แต่คุณเค้าน่ารักนะ ไม่โกรธกันแล้วยังชวนคุยดีอีก"

"แหม หน้านี่บานเชียวนะป้า เก็บอาการหน่อย เดี๋ยวหนูจะฟ้องลุง"

"ฟ้องอะไรล่ะ อายุปูนนี้แล้ว ป้าก็เอ็นดูเป็นลูกเป็นหลาน พอถามต่อเขาว่ามาทำอะไร ใครไม่สบาย คุณเค้าก็บอกว่ามารอแฟนเลิกงาน"

"..."

"ได้ยินอย่างนั้นป้าก็ไม่ได้ถามอะไรต่อนะ ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย จนอีกวันที่คุณเค้าก็มาอีก ป้านี่เห็นกับตาเลยว่าขึ้นรถขับออกไปกับคุณหมอ ไม่เชื่อวันนี้หนูก็ลองสังเกตดู"

ผมยิ้มออกมาตั้งแต่ตอนที่ได้ยินป้าแกเล่าว่า 'คุณเค้ารอแฟนเลิกงาน' แล้ว พอถึงตอนที่เห็นผมขึ้นรถไปด้วยนี่ก็แทบจะหลุดขำออกมา

หลังจากนั้นสองสาวเขาก็เดาโน่นเดานี่ เรื่องของผมกับอีกคนที่เป็นประเด็นด้วยกันไปเรื่อยๆ

ปล่อยให้ผมรอจนกระทั่งทั้งคู่เดินจากไป ผมถึงได้เดินออกจากห้องน้ำ มองออกนอกหน้าต่างไปก็เห็นว่ามีคนใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินนั่งทำหน้าเครียดอยู่บนโต๊ะม้าหิน โดยมีแม็คบุ๊ครุ่นใหม่ล่าสุดวางอยู่ตรงหน้า

พอเห็นอย่างนั้น ผมก็ได้แต่ยิ้มออกมา ก่อนจะบิดคอสองสามทีเพื่อคล้ายความเมื่อยล้าแล้วบอกตัวเองในใจ
กลับบ้านดีกว่า...

ผมเดินไปหยิบกระเป๋าที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย ถอดเสื้อกาวน์ขึ้นพาดบ่า แล้วเดินออกจากตึกพร้อมกับสวัสดีพี่ๆ หลายคนที่อยู่ที่นี่มาก่อนมาตลอดทาง ตอนแรกก็ตั้งใจจะเดินตรงไปทักคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ตรงโต๊ะตัวเดิมที่เขามักจะมานั่งรอผมอยู่เป็นประจำถ้ามีเวลา

แต่พอเหลือบมองไปที่หน้าต่างแล้วเห็นว่าพี่พยาบาลที่เพิ่งพูดถึงผมไปเมื่อครู่กำลังยืนแอบส่งสายตามองออกมาอยู่ตรงขอบหน้าต่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมก็นึกอยากแกล้งคนขึ้นมาในวินาทีนั้น และตัดสินใจเดินเลยเขาไปหยุดลงตรงมินิคูเปอร์สีดำคันเดิมที่จอดอยู่ไกลออกไป ก่อนจะโทรหาเจ้าของรถ

ยิ้มหวานดูตกใจนิดหน่อย แถมยังแอบบ่นว่าทำไมถึงไม่ยอมเรียกกัน จนผมก็ได้แต่บอกว่าให้เจ้าตัวรีบเดินมา มีเรื่องสนุกๆ จะเล่าให้ฟัง สักพักก็เห็นเขาเดินมาแต่ไกล...

ผมมองภาพคนที่กำลังเข้ามาใกล้แล้วรู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
หล่อโคตรว่ะ แฟนใครเนี่ย?

จากภาพลักษณ์ภายนอก ยิ้มหวานดูโตขึ้น เขากลายเป็นหนุ่มหล่อซึ่งเป็นที่รู้จัก เพราะเคยไปให้สัมภาษณ์ในนิตยสารอยู่สองสามครั้ง แต่พอโดนชวนเข้าวงการบันเทิงจริงๆ ขึ้นมา เจ้าตัวก็ขอปฏิเสธ
แต่ในช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เขาก็ยังคงเป็นเด็กซนๆ เจ้าของรอยยิ้มที่ขโมยหัวใจผมไปอยู่เหมือนเดิม

สามเดือนก่อนเขาลาออกจากบริษัทที่ทำงานอยู่ และเปลี่ยนมารับงานฟรีแลนซ์เพื่อจะย้ายมาอยู่ที่นี่...จังหวัดชลบุรี ที่ผมต้องมาประจำอยู่ แล้วยอมขับรถเข้ากรุงเทพฯไปเฉพาะช่วงที่ต้องไปคุยงาน

พอเดินมาถึงปุ๊บอีกฝ่ายก็ทำหน้ายุ่งใส่ผม ก่อนจะถามออกมา

"ไปแกล้งใครมาอีกล่ะ?”

รู้ทันว่ะ...
ผมไม่ตอบคำถาม แต่ทำมือเป็นสัญญาณให้เขารีบขึ้นรถ ก่อนจะเล่าเรื่องที่ไปได้ยินมาให้เขาฟังระหว่างทาง รวมถึงบอกเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่เดินเข้าไปทักทายเขาอย่างทุกวัน

“หมอก็ไปแกล้งเค้า...”

“เอ้า...ก็มานินทากันก่อน"

พูดจบผมก็หัวเราะรับในลำคอ ก่อนจะรีบเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นทันที

“แล้วนี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่"

“เมื่อวานตอนดึกๆ ไลน์หาก็ไม่อ่านอีกละ"

“จริงดิ!”

ได้ยินที่เขาพูดผมก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาดู ก่อนจะพบว่ามันดับสนิทไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

"แบตหมดอะ ขอโทษนะ”

“โดนแม่บอกให้กลับไปใช้จอขาวดำก็สมควรแล้วมั้ยล่ะ"

ได้ยินอย่างนั้นผมก็เอนตัวไปพิงคนที่ขับรถอยู่ แล้วกัดลงไปบนไหล่ของเขาทีนึงจนเจ้าตัวต้องร้องออกมา

“โอ๊ย! อย่ากัดดิ"

“ก็คิดถึงอ่ะ"

“คิดถึงแล้วกัด เป็นไอ้ดื้อเหรอ?"

เขาตอบพลางยกมือขึ้นมาดันให้ผมกลับไปนั่งตัวตรงเหมือนเดิม แล้วพูดต่อเบาๆ

"คิดถึงเหมือนกันแหละน่า"

ดูดิ...แค่นี้ก็แทบจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้ว!

ถึงแม้ที่นี่จะเป็นเมืองที่ค่อนข้างจะเจริญด้วยความเป็นแหล่งท่องเที่ยวและอยู่ติดทะเล แต่ก็ไม่มีที่ไหนรถติดเหมือนกรุงเทพอีกแล้ว
ดังนั้นหลังจากเราสองคนนั่นคุยกันในเรื่องทั่วๆ ไปอยู่ไม่นาน รู้อีกที มินิฯคันเก่งก็มาจอดลงตรงหน้าบ้านชั้นเดียวสีขาวหลังเล็กๆ ที่มีสนามหญ้าล้อมรอบ...ที่นี่คือบ้านที่ผมกับเขาเช่าอยู่ด้วยกัน

ทันทีที่ลงจากรถ สายตาของผมก็มองเข้าไปในบ้านแล้วถามคนที่กำลังเอื้อมมือไปยิบแม็คบุ๊คมาจากเบาะหลังมาถือเอาไว้

“เอาไอ้ดื้อมาปะ?”

“เอามาดิ นอนอ้วนอยู่ในบ้านโน่น"

สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมหลุดยิ้ม ก่อนจะหยิบกุญแจออกมาไขประตูรั้วหน้าบ้าน ระหว่างที่เรากำลังเดินเข้ามาข้างใน เสียงปลายเล็บตะกุยประตูก็ดังขึ้นให้ได้ยิน

ผมไขกุญแจเพื่อปลดล็อกลูกบิดอีกครั้ง และทันทีที่บานประตูสีขาวเปิดออก เจ้าหมาชิบะสีน้ำตาลก็พุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็ว

ผมเห็นท่าทางดีใจจนเกินพอดีของมันแล้วก็ได้แต่หัวเราะ ก่อนจะจัดการอุ้ม 'ไอ้ดื้อ'ที่ถามถึงอยู่เมื่อครู่ขึ้นมา แล้วลูบหัวมันเบาๆ ตามด้วยการเกาแก้มให้อีกสองสามทีระหว่างที่เดินเข้ามาข้างในบ้าน

ผมซื้อไอ้ตัวแสบนี่มาให้ยิ้มหวานตอนวันเกิดในปีที่ 3 ที่เราคบกัน
และมันก็น่าจะเป็นของขวัญวันเกิดที่สร้างภาระที่สุดที่เขาเคยได้รับมา
เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมาไม่ว่าอีกฝ่ายจะไปไหนมาไหน ไอ้ตัวหูสามเหลี่ยมหน้าตาดื้อๆ ตัวนี้ก็มักจะตามไปด้วยทุกที่เท่าที่จะเป็นไปได้ และเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมทำอะไรไม่ถูกใจเขา สิ่งที่ยิ้มหวานมักจะพูดให้ผมได้ยินเสมอก็คือ

...หมายังได้เรื่องกว่าหมอเลย! -_-

ผมปล่อยไอ้หมาเตี้ยๆ รูปร่างเหมือนขนมปังก้อนลงทันทีที่เข้ามาในบ้าน ก่อนจะหยิบตุ๊กตาตัวเล็กที่มีเสียงร้องเวลาบีบขึ้นมาแล้วโยนไปให้เจ้าสี่ขาวิ่งตามไปเก็บ

หันมาอีกด้านนึงผมก็เห็นว่ายิ้มหวานกำลังเอาของไปวางไว้บนโต๊ะที่เจ้าตัวจัดเอาไว้เป็นมุมทำงาน
เห็นอย่างนั้นผมก็เดินไปหาแล้วยื่นแขนไปกอดเอวเขาจากทางด้านหลัง จนอีกคนต้องหมุนตัวกลับมา แล้วยืนทิ้งน้ำหนักพิงขอบโต๊ะเอาไว้ทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของผม ก่อนจะส่งยิ้มมาให้กัน

ไม่ทันได้พูดอะไร ไอ้ดื้อก็วิ่งหน้าตาตื่นตรงมาจากอีกมุมหนึ่งของบ้าน เห็นอย่างนั้นผมก็ยกแขนขึ้นกอดยิ้มหวานแน่นเข้า พร้อมกับที่เสียงเห่าดังตามมาทันที

ไอ้หมานี่มันหวงยิ้มหวานครับ...
หวงมาก หวงกับทุกคน ขนาดผมที่จ่ายเงินเป็นหมื่นไถ่ตัวมันมาจากฟาร์มของรุ่นพี่ที่รู้จักกันมันยังไม่ชอบให้โดนตัวเขา

เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเห็นผมหรือใครก็ตามกอดเขาอย่างตอนนี้ สิ่งแรกที่มันจะทำคือการเห่าเพื่อให้ปล่อยมือ ยิ่งเป็นคนไม่คุ้นหน้ามาถึงเนื้อถึงตัวกับเจ้านายมันยิ่งแล้วใหญ่ โดนงับขากางเกงแล้วลากออกไปแน่นอน

เห็นท่าทางอย่างนั้นผมก็หันไปทำหน้ากวนตีนใส่มัน ก่อนจะกดทั้งจมูกและปากหอมแก้มคนตรงหน้าเข้าไปฟอดใหญ่ และนั่นก็ยิ่งทำให้ไอ้หมาดื้อก็เห่าออกมาซ้ำๆ อีกสองสามครั้ง

พอเห็นว่าให้ตายยังไงผมก็ไม่ปล่อยเจ้านายสุดที่รักแน่ๆ มันก็ถอดใจ เดินคาบตุ๊กตากลับไปที่โซฟาแล้วก็นอนหมอบอยู่ตรงนั้นโดยที่ยังคงส่งสายตามาทางนี้ไม่ยอมผละไปไหน

“นิสัยเสียอ่ะหมอ กับหมาก็ยังจะกวน"

“ให้รู้ซะมั่งใครมาก่อนมาหลังเหอะ"

พูดจบผมก็หอมแก้มอีกฝั่งนึงของเขาไปด้วย จนเจ้าตัวถึงกับบ่น"

“มากไปแล้ว กอดแน่นไปด้วย ปล่อยเร็ว!”

“...ไม่ปล่อยได้ปะ"

“ฮึ?”

“คิดถึงจะแย่แล้ว จะปล่อยทำไม”

ผมว่าผมเห็นคนอมยิ้มนะ คนตรงหน้าผมกำลังกลั้นยิ้มเขินๆ ก่อนจะยกแขนขึ้นมากอดกันกลับ

“เหมือนกันแหละ"

เขาพูดพลางตัวยกตัวขึ้นมาจูบกันเบาๆ บนริมฝีปาก ก่อนจะยกมือขึ้นจับใบหน้าของผมเอาไว้ทั้งสองฝั่ง

“อยู่เวรมาทั้งคืน ไปนอนไป หรือจะกินอะไรก่อน?”

“ไม่กินอะ พี่พยาบาลซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาฝากตั้งแต่เช้าแล้ว ยังอิ่มอยู่เลย"

ได้ยินอย่างนั้นเขาก็ย่นจมูกมาให้กัน ก่อนจะบ่นต่อเจือเสียงหัวเราะ

“ฮ็อตนักนะ”

ผมยกมือขึ้นไปบีบปลายจมูกเขาทีนึงตอนที่ได้ยินเจ้าตัวพูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะยอมปล่อยอ้อมแขนออก เหยียดแขนขึ้นบิดขี้เกียจแรงๆ และเริ่มต้นวันหยุดวันเดียวที่มีด้วยการนอนพักผ่อน

“นอนด้วยกันปะ?”

“ไม่เอาอะ งานยังไม่เสร็จเลย"

“สู้ๆ"

ผมพูดพลางลูบหัวเขาเบาๆ ก่อนจะเดินผละมา โดยไม่ลืมส่งสายตาไปยังไอ้ก้อนขนมปังที่นอนนิ่งอยู่บนโซฟา แล้วพูดต่อ

“จะเปิดแอร์ห้องนอน ไปด้วยกันเปล่า"

ได้ผลครับ ไอ้ตัวแสบหูตั้งรีบดีดตัวลุกขึ้นจนถึงขั้นลืมตุ๊กตาตัวโปรดเอาไว้ที่เดิม ก่อนจะวิ่งตรงมาหาผมทันที จนเห็นแล้วอดไม่ได้ที่
จะบ่นเจือเสียงหัวเราะ

“ทีแบบนี้แล้วฉลาดเชียวนะไอ้ดื้อ"

ผมกำลังจะเดินตรงไปยังห้องนอนที่อยู่อีกฝั่งนึงของบ้าน ถ้าไม่ได้ยินเสียงอีกคนเรียกกันเอาไว้ให้ต้องหันไปมอง..

“หมอ...”

“ฮึ?”

อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมา แต่กลับกำลังเดินตรงมาทางนี้ พอประชิดตัวผมปุ๊บอีกฝ่ายก็ยกแขนขึ้นมากอดคอกันจากทางด้านหลัง แล้วเด้งตัวขึ้นมาขี่หลังกันพร้อมกับหัวเราะถูกใจ แล้วพูดต่อ

“เปลี่ยนใจ นอนดีกว่า ง่วงอะ"

“แค่นี้ก็ไม่เดินเนอะ"

ผมพูดพลางใช้มือจับขาที่เกาะเอวกันอยู่ เพื่อช่วยไม่ให้อีกฝ่ายตกลงไป ก่อนจะได้ยืนเขาพูดกับไอ้ตัวขนแน่นสีน้ำตาลเจือเสียงหัวเราะ

“ดื้อ! ขึ้นมาด้วยกันเปล่า"

ยิ่งได้ยินเสียงเห่าตอบกลับมาเหมือนกำลังดีใจที่มีคนชวนเล่น ผมก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ...เชื่อเขาเลย

ผมเอายิ้มหวานมาปล่อยเอาไว้บนเตียงก่อนจะไปอาบน้ำ พอออกมาก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งใส่หูฟังเอนหลังพิงหมอนและกดมือถืออยู่บนเตียง โดยที่มีไอ้หมาดื้อนอนหมอบอยู่ปลายเท้า

เห็นอย่างนั้นผมก็เดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนที่ว่างข้างตัวเขา ก่อนจะยื่นแขนไปกอดเอวคนข้างๆตัวเอาไว้แล้วดึงให้ขยับขึ้นมานั่งบนตัก อีกฝ่ายดูตกใจไปนิดหน่อยแต่ก็ยอมเอาตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงลงมาบนอกกันโดยไม่บ่นอะไร ก่อนที่ผมจะเอ่ยถามขึ้นมา

“ฟังอะไร?”

“เพลง เปิดจากวิทยุ ฟังไปเรื่อยๆ"

เขาพูดพลางถอดหูฟังออกข้างนึงแล้วหันมาใส่ให้ผม ก่อนทำนองสบายๆของกีต้าโปร่งจะดังขึ้นตามมาด้วยเนื้อเพลงภาษาอังกฤษที่ผมเคยฟังเมื่อนานมาแล้ว มันคือเพลง One Two Three Fourของวง Plain White T's

“หมอง่วงก็นอนเลยนะ เราคุยกับลูกค้าแป้บนึง"

ผมตอบรับด้วยการกอดเอวอีกฝ่ายแน่นเข้าอีกนิด จูบลงไปบนต้นคอขาวๆ ที่อยู่ตรงหน้าเบาๆ ก่อนจะซบหน้าลงกับไหล่ของเขา อุณหภูมิร่างกายกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเจ้าตัวเอาทำให้ผมรู้สึกเคลิ้นจนเกือบจะหลับถึงแม้จะเพิ่งอาบน้ำมาก็ตาม

“นอนพร้อมกันดิ"

พูดจบผมก็หาวออกมาจนโดนอีกฝ่ายไล่ให้นอนไปก่อนจนได้ ผมคลายแขนที่กอดรัดเอวเขาอยู่ให้หลวมเพื่อที่คนในอ้อมแขนผมจะได้สบายตัวมากขึ้น แล้วทิ้งตัวนอนพร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ

“หมอนข้างรุ่นนี้อุ่นว่ะ โคตรดีเลย"

ได้ยินอย่างนั้นเขาก็หยุดมือที่พิมพ์ข้อความอยู่ และพลิกตัวกลับมาหากัน ก่อนจะย่นจมูกใส่ผมแล้วพูดออกมา

“ดีก็อยู่กันไปนานๆ ดิ"

ผมยกมือขึ้นลูบหัวเขาแล้วกระซิบบอกกันแผ่วเบา

“ไม่ไปไหนแล้ว...”

คนฟังยิ้มรับโดยไม่ตอบอะไรกลับมา ก่อนจะเอนตัวทิ้งทำหนักลงมาบนอกผมมากกว่าเดิมแล้ววางโทรศัพท์ลงข้างตัว แล้วขยับตัวไปมานิดหน่อยเพื่อหามุมที่ตัวเองนอนแล้วสบายที่สุด พลางพูดออกมา

“เดี๋ยวตื่นแล้วไปห้างกันนะ อาหารหมาหมดอ่ะ อาหารเม็ดของหมอก็หมดด้วย แล้วไปหามื้อเย็นกินข้างนอกกัน”

ยิ้มหวานเรียกคอร์นเฟลคว่าอาหารเม็ดของผมครับ เผื่อจะไม่เข้าใจ -_-

“จับเรามานอนแบบนี้อีกแล้ว ห้ามบ่นว่าเมื่อยตอนตื่นอีกนะ"

“ครับๆ...ไม่บ่นหรอก ถ้าจะบ่นเดี๋ยวแอบบ่นกับไอ้ดื้อสองคนก็ได้"

“สองตัวต่างหาก อย่าให้เราได้ยินว่าบ่นนะ....”

น้ำเสียงคุ้นหูของเขาดังแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ก่อนจะเงียบไปในที่สุด เดาได้ไม่ยากว่าอีกคนน่าจะหลับไปเรียบร้อยแล้ว รู้อย่างนั้นผมก็แตะปลายจมูกลงไปกับเส้นผมนุ่ม กดจูบแผ่วเบาก่อนจะซุกใบหน้าลงไป แล้วค่อยๆ เคลิ้มหลับไปอีกคน...

ชีวิตหมอใช้ทุนอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าเทียบเพื่อนๆในรุ่นเดียวกันแต่เรียนต่างคณะ พวกเขาเริ่มทำงานกันไปแล้ว มีโบนัส มีวันหยุดยาวๆ ได้ไปเที่ยวต่างประเทศกันอย่างสนุกสนาน แต่พวกผมยังต้องตั้งหน้าตั้งตาทำงานเหมือนเครื่องจักร ไม่ว่าคนไข้จะมาเมื่อไหร่ ดึกแค่ไหน ต่อให้เพลียให้ตายยังไง ผมก็ต้องพร้อมที่จะรักษาพวกเขา

ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เพื่อนๆในรุ่นเดียวกันคณะเดียวกันกับผมทยอยเลิกกับคนรักกันไปทีละคู่สองคู่เพราะปัญหาง่ายๆที่ว่า 'ไม่มีเวลาให้'

ผมว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างมีวันหมดอายุ และเวลาใช้งานที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ร่างกาย หรือแม้แต่ความรู้สึก ความรัก ความห่วงใย ถ้าเรามีมันอยู่กับมือ แต่ปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่เอามาใช้ในเวลาที่เหมาะสม สักวันความรักนั้นก็จะหมดอายุ
และถ้าเราปล่อยปละละเลยจนความรักมันบูดไปแล้ว ต่อให้เราใช้ความพยายามสักเท่าไหร่ มันก็ไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นความรักที่สดใหม่ได้เหมือนเดิม

โชคดีที่ผมมีเขา – ยิ้มหวานไม่เคยปล่อยให้ความรักของเราถูกทิ้งเอาไว้เลย เขาคอยดูแลมันอยู่เสมอและหมั่นเอามาใช้ ถ้ามันพร่องลงไป เราสองคนก็จะช่วยกันเติมมันขึ้นมาใหม่จนเต็มเหมือนเดิม
เขาเป็นฝ่ายขับรถไปหาผมมากขึ้นตอนที่ผมต้องเรียนคลินิคที่โรงพยาบาลศูนย์ เขาเป็นฝ่ายตัดสินใจจะลองเปลี่ยนงานดูเพื่อให้เรามีเวลาให้กันมากขึ้น

ถึงแม้ทุกครั้งที่ผมถาม อีกฝ่ายจะตอบกลับมาว่างานฟรีแลนซ์ที่ทำอยู่ตอนนี้มันสนุกกว่า ท้าทายกว่า แถมรายได้ก็ยังดีกว่า แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดกับผมแบบนี้

ผมเคยพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าตัวไปแล้วในธรรมดาๆวันนึงที่เรานั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันที่คอนโดของเขา และคำตอบที่ได้รับก็ทำให้ผมอึ้งไป ยิ้มหวานบอกว่า เพราะผมเองก็ดีกับเขาในแบบที่หาไม่ได้จากคนอื่นเหมือนกัน

'เพราะหมอดีกับเราจากใจจริงๆในตอนที่เรายังไม่ได้รู้สึกอะไร เป็นห่วงเรา สปอยในเรื่องที่ทำให้รู้สึกดี แต่ก็ดุกันในเรื่องที่เราไม่ควรทำ ทำให้เรารู้สึกได้ว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ทั้งๆที่หมอก็ไม่ได้มานั่งอยู่ตรงหน้าให้เราเห็น คุณสมบัติที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนโดนผีหลอกแบบเนี้ย... หาไม่ได้ที่ไหนหรอกรู้ตัวปะ?'

เจ้าตัวพูดติดตลกก่อนจะหัวเราะออกมา แต่นาทีที่ได้ยินคำพูดของเขา ผมก็รู้สึกเหมือนความรักมันถูกสูบเข้าไปในหัวใจและอัดแน่นอยู่ในนั้นอย่างไม่มีทางระบายออก เขาเติมความรักให้ผมจนเต็มอีกแล้ว...

พอมองตรงไปในแววตาคู่นั้น ความรู้สึกมากมายในใจก็ต่อสู้กันเต็มไปหมด ผมควรจะพูดอะไรออกมาให้มันมีค่ามากพอกับสิ่งที่เขาทำให้กัน?

หลังจากใช้เวลาคิดอยู่ไม่นาน ทุกๆอย่างก็ค่อยๆตกตะกอนออกมาเป็นคำสั้นๆ คล้ายๆกับเพลงที่เขาเพิ่งแบ่งให้ผมฟังด้วยหูฟังข้างเดียวก่อนหน้านี้

There's only ONE way TWO say
Those THREE words And that's what I'll do
I love you


ผมบอกเขาว่ารัก...
และยังคงยังจำภาพวันนั้นได้ดี วินาทีแรกที่ได้ยินเขาตกใจ และถ้าไม่ได้คิดไปเอง ผมเห็นนำ้ตาคลออยู่ในแววตาคู่นั้น

คนตรงหน้ายื่นมือข้างนึงมาจับมือผมเอาและบีบแน่นเข้าก่อนจะก้มหน้าลง สักพักเขาก็ใช้มืออีกข้างที่ยังว่างปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจนได้

เห็นอย่างนั้นผมก็ก้มหน้าลงไปหาเขา แล้วแตะริมฝีปากลงไปบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา และวินาทีนั้นเอง คำพูดเบาๆที่ฟังดูไม่ชัดเจนเพราะคนพูดยังคงไม่หยุดร้องไห้ก็ดังขึ้นมา มันเป็นคำพูดสั้นๆที่มาพร้อมมนต์สะกดที่ทำให้คำๆนั้นดังก้องอยู่ในหัวใจของผมไปตลอดชีวิต อย่างไม่มีทางที่จะลบล้างไปได้

“รักเหมือนกัน..."



END



- - - -



รู้สึกเหมือนมีอะไรหลายอย่างที่ต้อง Talk แต่ตอนนี้คิดไม่ออกเลยค่ะ ตากำลังจะปิดแล้ว 5555
เดี๋ยวถ้าคิดออกค่อยมา edit เนาะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2016 01:39:12 โดย kipuuu »

ออฟไลน์ Akikojae

  • พี่ยุนรักน้องแจ ★彡
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1137/-17
เม้นไม่ออกเหมือนกันอ่ะ รักเรื่องนี้
 ไม่อยากให้จบเลยให้ตายเถอะ
รักหมอ รักยิ้ม รักปูวววว
อยากให้แต่งนิยายแบบนี้ออกมาอีกนะ
จะคิดถึงยิ้มหวานของหมอไปตลอด
 :กอด1:

ออฟไลน์ momapmu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ขอบคุณที่แต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา
ขอบคุณที่ทำให้ได้รู้จักหมอกับยิ้ม
 :pig4: :L1: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
จบแล้วอะ ไม่อยากให้จบเลยย :ling1:
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ THiiCHA

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-4
แง๊ แง  ไม่เอา   ไม่ให้จบ 
 
 :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
หวานจนน่าอิจฉา

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ง่าาา. จบแว้วอะ ยังฟินไม่ถึงใจเลย เอาอีกๆๆ ตอนพิเศษก็ได้ นะๆๆๆๆ

ออฟไลน์ runtothemoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนเห็นหัวข้อนี่ใจสั่นมาก55555555 อยากอ่านแต่กลัวจบ แต่สุดท้ายโอเคเราคิดถึงยิ้มหวานมากกกกกกกกกกกกไม่ยื้อละ พยายามอ่านช้าๆย้ำทุกตัวอักษรเลย ขอบคุณคุณปูที่ทำให้เรายิ้มเรื่อยมา แต่ละครั้งทำเราลุ้นตลอดว่าวันนี้ยิ้มจะซนอะไรอีกหรือจะชวนชิมอะไรที่ไหน555555 หมอจะหาเรื่องอะไรมากวนยิ้มอีก ชอบความสัมพันธ์ที่ไม่หวือหวาของทั้งคู่ คอยมองคอยดูแลตลอดไม่หายไปไหนช่วยกันเติมเต็มไม่ให้ขาด นี่ประทับใจมากเลยตอนที่หมอบอกยิ้มว่ารัก T______T น้ำตาคลอตามยิ้มเลยไม่ร้องนะยิ้มมมมดีใจล่ะซิท่า งอแงเป็นเด็กเลย เหมือนเป็นวันที่รอคอยไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะอึดอัดรึเปล่า พูดไม่ออกบอกไม่ถูก พิมพ์งงๆมึนๆมาก55555 อิ่มใจ

ขอบคุณคุณปูอีกครั้งนะคะ จะติดตามเรื่อยไป~♡ ขอบคุณยิ้มหวาน อยากจะอุ้มยิ้มมานอนกอดสักวัน ขอบคุณหมอที่เลิกป๊อดแล้วเขียนไอดีไลน์ที่ชีท ดูแลยิ้มหวานดีๆยิ้มหวานอยากกินอะไรห้ามดุต้องหามาให้กินให้ได้!5555555 ขอบคุณทุกตัวละครที่ทำให้เรายิ้มได้เสมอ ขอบคุณค่ะ ♡

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด