❤ กรี้ดกร้าดในทวิตฝากติดแทค #ยิ้มหวานของหมอ นะคะ- EPILOGUE -
ชีวิตหมอใช้ทุนไม่ใช่เรื่องตลกครับ...
ผมยืนมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกห้องน้ำแล้วถอนหายใจออกมา พร้อมกับนับนิ้วไปด้วยและพบว่าตัวเองทำงานติดต่อกันมาเป็นชั่วโมงที่ยี่สิบแล้ว
พอคิดได้อย่างนั้นสิ่งเดียวที่พอจะทำได้คงเป็นการยกมือขึ้นนวดขมับทั้งๆ ที่ไม่ได้ปวดหัว
คือผมไม่ได้ปวดแค่หัวครับ...แต่ตอนนี้กำลังปวดไปทั้งตัวจนแขนขาจะหลุดออกจากตัวแล้วเอาจริงๆ
ก็แค่ยืนขาแข็งติดต่อกันในห้องผ่าตัดเกือบ10 ชั่วโมง แหม มึง ทำเป็นอ่อนแอ -_-
ผมยืนล้างมืออยู่ที่อ่างล้างหน้า พร้อมกับได้ยินคนคุยกันลอดมาถึงด้านใน เสียงที่ได้ยินมาจากผู้หญิงสองคน ที่กำลังคุยกันเรื่องของหนุ่มหล่อสักคนที่เป็นอาหารตาประจำโรงพยาบาล
เพราะที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลที่ใหญ่อะไรมากมาย ผมถึงได้รู้ทันทีว่านั่นเป็นเสียงของคุณป้าแม่บ้าน กับพี่พยาบาลที่อายุมากกว่าผม 2 ปี ตอนแรกผมก็แค่ฟังขำๆ ครับ จนกระทั่งประโยคนึงลอยเข้าหูมาเต็มๆ
"ป้าว่าคุณสุดหล่อคนนั้นน่ะ เป็นแฟนคุณหมอ"
ฮึ? -_-
"คุณหมอคนไหนป้า หมอผู้หญิงที่โรงพยาบาลเราก็แต่งงานกันหมดแล้วนะ"
หลังจากนั้นผมก็ได้ยินชื่อตัวเอง ตามมาด้วยคำว่า 'ที่หล่อๆ เหมือนกันไง...'
บอกชื่อกันขนาดนี้ก็แน่ใจได้เลยครับว่ากำลังพูดถึงผมแน่ๆ เอาวะ! ไหนๆ ก็จะออกเวรละ ขออู้แอบฟังก่อนสัก 5 นาทีแล้วกัน
"ถามจริง ป้าอย่ามาพูดล้อเล่น คุณหมอเนี่ยนะจะมีแฟนเป็นผู้ชาย ดู...ไม่น่าจะใช่เลย"
"จริงๆ สิ วันนั้นป้าไปกวาดพวกใบไม้ที่ร่วงลงมาตามโต๊ะแถวนั้น พอดีไปชนคุณเค้าเข้าเลยขอโทษซะยกใหญ่ เห็นหน้าตาท่าทางอย่างกับดาราในทีวี ก็กลัวจะโดนเอาเรื่อง แต่คุณเค้าน่ารักนะ ไม่โกรธกันแล้วยังชวนคุยดีอีก"
"แหม หน้านี่บานเชียวนะป้า เก็บอาการหน่อย เดี๋ยวหนูจะฟ้องลุง"
"ฟ้องอะไรล่ะ อายุปูนนี้แล้ว ป้าก็เอ็นดูเป็นลูกเป็นหลาน พอถามต่อเขาว่ามาทำอะไร ใครไม่สบาย คุณเค้าก็บอกว่ามารอแฟนเลิกงาน"
"..."
"ได้ยินอย่างนั้นป้าก็ไม่ได้ถามอะไรต่อนะ ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย จนอีกวันที่คุณเค้าก็มาอีก ป้านี่เห็นกับตาเลยว่าขึ้นรถขับออกไปกับคุณหมอ ไม่เชื่อวันนี้หนูก็ลองสังเกตดู"
ผมยิ้มออกมาตั้งแต่ตอนที่ได้ยินป้าแกเล่าว่า
'คุณเค้ารอแฟนเลิกงาน' แล้ว พอถึงตอนที่เห็นผมขึ้นรถไปด้วยนี่ก็แทบจะหลุดขำออกมา
หลังจากนั้นสองสาวเขาก็เดาโน่นเดานี่ เรื่องของผมกับอีกคนที่เป็นประเด็นด้วยกันไปเรื่อยๆ
ปล่อยให้ผมรอจนกระทั่งทั้งคู่เดินจากไป ผมถึงได้เดินออกจากห้องน้ำ มองออกนอกหน้าต่างไปก็เห็นว่ามีคนใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินนั่งทำหน้าเครียดอยู่บนโต๊ะม้าหิน โดยมีแม็คบุ๊ครุ่นใหม่ล่าสุดวางอยู่ตรงหน้า
พอเห็นอย่างนั้น ผมก็ได้แต่ยิ้มออกมา ก่อนจะบิดคอสองสามทีเพื่อคล้ายความเมื่อยล้าแล้วบอกตัวเองในใจ
กลับบ้านดีกว่า...ผมเดินไปหยิบกระเป๋าที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย ถอดเสื้อกาวน์ขึ้นพาดบ่า แล้วเดินออกจากตึกพร้อมกับสวัสดีพี่ๆ หลายคนที่อยู่ที่นี่มาก่อนมาตลอดทาง ตอนแรกก็ตั้งใจจะเดินตรงไปทักคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ตรงโต๊ะตัวเดิมที่เขามักจะมานั่งรอผมอยู่เป็นประจำถ้ามีเวลา
แต่พอเหลือบมองไปที่หน้าต่างแล้วเห็นว่าพี่พยาบาลที่เพิ่งพูดถึงผมไปเมื่อครู่กำลังยืนแอบส่งสายตามองออกมาอยู่ตรงขอบหน้าต่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมก็นึกอยากแกล้งคนขึ้นมาในวินาทีนั้น และตัดสินใจเดินเลยเขาไปหยุดลงตรงมินิคูเปอร์สีดำคันเดิมที่จอดอยู่ไกลออกไป ก่อนจะโทรหาเจ้าของรถ
ยิ้มหวานดูตกใจนิดหน่อย แถมยังแอบบ่นว่าทำไมถึงไม่ยอมเรียกกัน จนผมก็ได้แต่บอกว่าให้เจ้าตัวรีบเดินมา มีเรื่องสนุกๆ จะเล่าให้ฟัง สักพักก็เห็นเขาเดินมาแต่ไกล...
ผมมองภาพคนที่กำลังเข้ามาใกล้แล้วรู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
หล่อโคตรว่ะ แฟนใครเนี่ย?
จากภาพลักษณ์ภายนอก ยิ้มหวานดูโตขึ้น เขากลายเป็นหนุ่มหล่อซึ่งเป็นที่รู้จัก เพราะเคยไปให้สัมภาษณ์ในนิตยสารอยู่สองสามครั้ง แต่พอโดนชวนเข้าวงการบันเทิงจริงๆ ขึ้นมา เจ้าตัวก็ขอปฏิเสธ
แต่ในช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เขาก็ยังคงเป็นเด็กซนๆ เจ้าของรอยยิ้มที่ขโมยหัวใจผมไปอยู่เหมือนเดิม
สามเดือนก่อนเขาลาออกจากบริษัทที่ทำงานอยู่ และเปลี่ยนมารับงานฟรีแลนซ์เพื่อจะย้ายมาอยู่ที่นี่...จังหวัดชลบุรี ที่ผมต้องมาประจำอยู่ แล้วยอมขับรถเข้ากรุงเทพฯไปเฉพาะช่วงที่ต้องไปคุยงาน
พอเดินมาถึงปุ๊บอีกฝ่ายก็ทำหน้ายุ่งใส่ผม ก่อนจะถามออกมา
"ไปแกล้งใครมาอีกล่ะ?”
รู้ทันว่ะ...
ผมไม่ตอบคำถาม แต่ทำมือเป็นสัญญาณให้เขารีบขึ้นรถ ก่อนจะเล่าเรื่องที่ไปได้ยินมาให้เขาฟังระหว่างทาง รวมถึงบอกเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่เดินเข้าไปทักทายเขาอย่างทุกวัน
“หมอก็ไปแกล้งเค้า...”
“เอ้า...ก็มานินทากันก่อน"
พูดจบผมก็หัวเราะรับในลำคอ ก่อนจะรีบเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นทันที
“แล้วนี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่"
“เมื่อวานตอนดึกๆ ไลน์หาก็ไม่อ่านอีกละ"
“จริงดิ!”
ได้ยินที่เขาพูดผมก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาดู ก่อนจะพบว่ามันดับสนิทไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
"แบตหมดอะ ขอโทษนะ”
“โดนแม่บอกให้กลับไปใช้จอขาวดำก็สมควรแล้วมั้ยล่ะ"
ได้ยินอย่างนั้นผมก็เอนตัวไปพิงคนที่ขับรถอยู่ แล้วกัดลงไปบนไหล่ของเขาทีนึงจนเจ้าตัวต้องร้องออกมา
“โอ๊ย! อย่ากัดดิ"
“ก็คิดถึงอ่ะ"
“คิดถึงแล้วกัด เป็น
ไอ้ดื้อเหรอ?"
เขาตอบพลางยกมือขึ้นมาดันให้ผมกลับไปนั่งตัวตรงเหมือนเดิม แล้วพูดต่อเบาๆ
"คิดถึงเหมือนกันแหละน่า"
ดูดิ...แค่นี้ก็แทบจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้ว!
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นเมืองที่ค่อนข้างจะเจริญด้วยความเป็นแหล่งท่องเที่ยวและอยู่ติดทะเล แต่ก็ไม่มีที่ไหนรถติดเหมือนกรุงเทพอีกแล้ว
ดังนั้นหลังจากเราสองคนนั่นคุยกันในเรื่องทั่วๆ ไปอยู่ไม่นาน รู้อีกที มินิฯคันเก่งก็มาจอดลงตรงหน้าบ้านชั้นเดียวสีขาวหลังเล็กๆ ที่มีสนามหญ้าล้อมรอบ...ที่นี่คือบ้านที่ผมกับเขาเช่าอยู่ด้วยกัน
ทันทีที่ลงจากรถ สายตาของผมก็มองเข้าไปในบ้านแล้วถามคนที่กำลังเอื้อมมือไปยิบแม็คบุ๊คมาจากเบาะหลังมาถือเอาไว้
“เอาไอ้ดื้อมาปะ?”
“เอามาดิ นอนอ้วนอยู่ในบ้านโน่น"
สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมหลุดยิ้ม ก่อนจะหยิบกุญแจออกมาไขประตูรั้วหน้าบ้าน ระหว่างที่เรากำลังเดินเข้ามาข้างใน เสียงปลายเล็บตะกุยประตูก็ดังขึ้นให้ได้ยิน
ผมไขกุญแจเพื่อปลดล็อกลูกบิดอีกครั้ง และทันทีที่บานประตูสีขาวเปิดออก เจ้าหมาชิบะสีน้ำตาลก็พุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
ผมเห็นท่าทางดีใจจนเกินพอดีของมันแล้วก็ได้แต่หัวเราะ ก่อนจะจัดการอุ้ม 'ไอ้ดื้อ'ที่ถามถึงอยู่เมื่อครู่ขึ้นมา แล้วลูบหัวมันเบาๆ ตามด้วยการเกาแก้มให้อีกสองสามทีระหว่างที่เดินเข้ามาข้างในบ้าน
ผมซื้อไอ้ตัวแสบนี่มาให้ยิ้มหวานตอนวันเกิดในปีที่ 3 ที่เราคบกัน
และมันก็น่าจะเป็นของขวัญวันเกิดที่สร้างภาระที่สุดที่เขาเคยได้รับมา
เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมาไม่ว่าอีกฝ่ายจะไปไหนมาไหน ไอ้ตัวหูสามเหลี่ยมหน้าตาดื้อๆ ตัวนี้ก็มักจะตามไปด้วยทุกที่เท่าที่จะเป็นไปได้ และเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมทำอะไรไม่ถูกใจเขา สิ่งที่ยิ้มหวานมักจะพูดให้ผมได้ยินเสมอก็คือ
...หมายังได้เรื่องกว่าหมอเลย! -_-
ผมปล่อยไอ้หมาเตี้ยๆ รูปร่างเหมือนขนมปังก้อนลงทันทีที่เข้ามาในบ้าน ก่อนจะหยิบตุ๊กตาตัวเล็กที่มีเสียงร้องเวลาบีบขึ้นมาแล้วโยนไปให้เจ้าสี่ขาวิ่งตามไปเก็บ
หันมาอีกด้านนึงผมก็เห็นว่ายิ้มหวานกำลังเอาของไปวางไว้บนโต๊ะที่เจ้าตัวจัดเอาไว้เป็นมุมทำงาน
เห็นอย่างนั้นผมก็เดินไปหาแล้วยื่นแขนไปกอดเอวเขาจากทางด้านหลัง จนอีกคนต้องหมุนตัวกลับมา แล้วยืนทิ้งน้ำหนักพิงขอบโต๊ะเอาไว้ทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของผม ก่อนจะส่งยิ้มมาให้กัน
ไม่ทันได้พูดอะไร ไอ้ดื้อก็วิ่งหน้าตาตื่นตรงมาจากอีกมุมหนึ่งของบ้าน เห็นอย่างนั้นผมก็ยกแขนขึ้นกอดยิ้มหวานแน่นเข้า พร้อมกับที่เสียงเห่าดังตามมาทันที
ไอ้หมานี่มันหวงยิ้มหวานครับ...
หวงมาก หวงกับทุกคน ขนาดผมที่จ่ายเงินเป็นหมื่นไถ่ตัวมันมาจากฟาร์มของรุ่นพี่ที่รู้จักกันมันยังไม่ชอบให้โดนตัวเขา
เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเห็นผมหรือใครก็ตามกอดเขาอย่างตอนนี้ สิ่งแรกที่มันจะทำคือการเห่าเพื่อให้ปล่อยมือ ยิ่งเป็นคนไม่คุ้นหน้ามาถึงเนื้อถึงตัวกับเจ้านายมันยิ่งแล้วใหญ่ โดนงับขากางเกงแล้วลากออกไปแน่นอน
เห็นท่าทางอย่างนั้นผมก็หันไปทำหน้ากวนตีนใส่มัน ก่อนจะกดทั้งจมูกและปากหอมแก้มคนตรงหน้าเข้าไปฟอดใหญ่ และนั่นก็ยิ่งทำให้ไอ้หมาดื้อก็เห่าออกมาซ้ำๆ อีกสองสามครั้ง
พอเห็นว่าให้ตายยังไงผมก็ไม่ปล่อยเจ้านายสุดที่รักแน่ๆ มันก็ถอดใจ เดินคาบตุ๊กตากลับไปที่โซฟาแล้วก็นอนหมอบอยู่ตรงนั้นโดยที่ยังคงส่งสายตามาทางนี้ไม่ยอมผละไปไหน
“นิสัยเสียอ่ะหมอ กับหมาก็ยังจะกวน"
“ให้รู้ซะมั่งใครมาก่อนมาหลังเหอะ"
พูดจบผมก็หอมแก้มอีกฝั่งนึงของเขาไปด้วย จนเจ้าตัวถึงกับบ่น"
“มากไปแล้ว กอดแน่นไปด้วย ปล่อยเร็ว!”
“...ไม่ปล่อยได้ปะ"
“ฮึ?”
“คิดถึงจะแย่แล้ว จะปล่อยทำไม”
ผมว่าผมเห็นคนอมยิ้มนะ คนตรงหน้าผมกำลังกลั้นยิ้มเขินๆ ก่อนจะยกแขนขึ้นมากอดกันกลับ
“เหมือนกันแหละ"
เขาพูดพลางตัวยกตัวขึ้นมาจูบกันเบาๆ บนริมฝีปาก ก่อนจะยกมือขึ้นจับใบหน้าของผมเอาไว้ทั้งสองฝั่ง
“อยู่เวรมาทั้งคืน ไปนอนไป หรือจะกินอะไรก่อน?”
“ไม่กินอะ พี่พยาบาลซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาฝากตั้งแต่เช้าแล้ว ยังอิ่มอยู่เลย"
ได้ยินอย่างนั้นเขาก็ย่นจมูกมาให้กัน ก่อนจะบ่นต่อเจือเสียงหัวเราะ
“ฮ็อตนักนะ”
ผมยกมือขึ้นไปบีบปลายจมูกเขาทีนึงตอนที่ได้ยินเจ้าตัวพูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะยอมปล่อยอ้อมแขนออก เหยียดแขนขึ้นบิดขี้เกียจแรงๆ และเริ่มต้นวันหยุดวันเดียวที่มีด้วยการนอนพักผ่อน
“นอนด้วยกันปะ?”
“ไม่เอาอะ งานยังไม่เสร็จเลย"
“สู้ๆ"
ผมพูดพลางลูบหัวเขาเบาๆ ก่อนจะเดินผละมา โดยไม่ลืมส่งสายตาไปยังไอ้ก้อนขนมปังที่นอนนิ่งอยู่บนโซฟา แล้วพูดต่อ
“จะเปิดแอร์ห้องนอน ไปด้วยกันเปล่า"
ได้ผลครับ ไอ้ตัวแสบหูตั้งรีบดีดตัวลุกขึ้นจนถึงขั้นลืมตุ๊กตาตัวโปรดเอาไว้ที่เดิม ก่อนจะวิ่งตรงมาหาผมทันที จนเห็นแล้วอดไม่ได้ที่
จะบ่นเจือเสียงหัวเราะ
“ทีแบบนี้แล้วฉลาดเชียวนะไอ้ดื้อ"
ผมกำลังจะเดินตรงไปยังห้องนอนที่อยู่อีกฝั่งนึงของบ้าน ถ้าไม่ได้ยินเสียงอีกคนเรียกกันเอาไว้ให้ต้องหันไปมอง..
“หมอ...”
“ฮึ?”
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมา แต่กลับกำลังเดินตรงมาทางนี้ พอประชิดตัวผมปุ๊บอีกฝ่ายก็ยกแขนขึ้นมากอดคอกันจากทางด้านหลัง แล้วเด้งตัวขึ้นมาขี่หลังกันพร้อมกับหัวเราะถูกใจ แล้วพูดต่อ
“เปลี่ยนใจ นอนดีกว่า ง่วงอะ"
“แค่นี้ก็ไม่เดินเนอะ"
ผมพูดพลางใช้มือจับขาที่เกาะเอวกันอยู่ เพื่อช่วยไม่ให้อีกฝ่ายตกลงไป ก่อนจะได้ยืนเขาพูดกับไอ้ตัวขนแน่นสีน้ำตาลเจือเสียงหัวเราะ
“ดื้อ! ขึ้นมาด้วยกันเปล่า"
ยิ่งได้ยินเสียงเห่าตอบกลับมาเหมือนกำลังดีใจที่มีคนชวนเล่น ผมก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ...เชื่อเขาเลย
ผมเอายิ้มหวานมาปล่อยเอาไว้บนเตียงก่อนจะไปอาบน้ำ พอออกมาก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งใส่หูฟังเอนหลังพิงหมอนและกดมือถืออยู่บนเตียง โดยที่มีไอ้หมาดื้อนอนหมอบอยู่ปลายเท้า
เห็นอย่างนั้นผมก็เดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนที่ว่างข้างตัวเขา ก่อนจะยื่นแขนไปกอดเอวคนข้างๆตัวเอาไว้แล้วดึงให้ขยับขึ้นมานั่งบนตัก อีกฝ่ายดูตกใจไปนิดหน่อยแต่ก็ยอมเอาตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงลงมาบนอกกันโดยไม่บ่นอะไร ก่อนที่ผมจะเอ่ยถามขึ้นมา
“ฟังอะไร?”
“เพลง เปิดจากวิทยุ ฟังไปเรื่อยๆ"
เขาพูดพลางถอดหูฟังออกข้างนึงแล้วหันมาใส่ให้ผม ก่อนทำนองสบายๆของกีต้าโปร่งจะดังขึ้นตามมาด้วยเนื้อเพลงภาษาอังกฤษที่ผมเคยฟังเมื่อนานมาแล้ว มันคือเพลง One Two Three Fourของวง Plain White T's
“หมอง่วงก็นอนเลยนะ เราคุยกับลูกค้าแป้บนึง"
ผมตอบรับด้วยการกอดเอวอีกฝ่ายแน่นเข้าอีกนิด จูบลงไปบนต้นคอขาวๆ ที่อยู่ตรงหน้าเบาๆ ก่อนจะซบหน้าลงกับไหล่ของเขา อุณหภูมิร่างกายกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเจ้าตัวเอาทำให้ผมรู้สึกเคลิ้นจนเกือบจะหลับถึงแม้จะเพิ่งอาบน้ำมาก็ตาม
“นอนพร้อมกันดิ"
พูดจบผมก็หาวออกมาจนโดนอีกฝ่ายไล่ให้นอนไปก่อนจนได้ ผมคลายแขนที่กอดรัดเอวเขาอยู่ให้หลวมเพื่อที่คนในอ้อมแขนผมจะได้สบายตัวมากขึ้น แล้วทิ้งตัวนอนพร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ
“หมอนข้างรุ่นนี้อุ่นว่ะ โคตรดีเลย"
ได้ยินอย่างนั้นเขาก็หยุดมือที่พิมพ์ข้อความอยู่ และพลิกตัวกลับมาหากัน ก่อนจะย่นจมูกใส่ผมแล้วพูดออกมา
“ดีก็อยู่กันไปนานๆ ดิ"
ผมยกมือขึ้นลูบหัวเขาแล้วกระซิบบอกกันแผ่วเบา
“ไม่ไปไหนแล้ว...”
คนฟังยิ้มรับโดยไม่ตอบอะไรกลับมา ก่อนจะเอนตัวทิ้งทำหนักลงมาบนอกผมมากกว่าเดิมแล้ววางโทรศัพท์ลงข้างตัว แล้วขยับตัวไปมานิดหน่อยเพื่อหามุมที่ตัวเองนอนแล้วสบายที่สุด พลางพูดออกมา
“เดี๋ยวตื่นแล้วไปห้างกันนะ อาหารหมาหมดอ่ะ อาหารเม็ดของหมอก็หมดด้วย แล้วไปหามื้อเย็นกินข้างนอกกัน”
ยิ้มหวานเรียกคอร์นเฟลคว่าอาหารเม็ดของผมครับ เผื่อจะไม่เข้าใจ -_-
“จับเรามานอนแบบนี้อีกแล้ว ห้ามบ่นว่าเมื่อยตอนตื่นอีกนะ"
“ครับๆ...ไม่บ่นหรอก ถ้าจะบ่นเดี๋ยวแอบบ่นกับไอ้ดื้อสองคนก็ได้"
“สองตัวต่างหาก อย่าให้เราได้ยินว่าบ่นนะ....”
น้ำเสียงคุ้นหูของเขาดังแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ก่อนจะเงียบไปในที่สุด เดาได้ไม่ยากว่าอีกคนน่าจะหลับไปเรียบร้อยแล้ว รู้อย่างนั้นผมก็แตะปลายจมูกลงไปกับเส้นผมนุ่ม กดจูบแผ่วเบาก่อนจะซุกใบหน้าลงไป แล้วค่อยๆ เคลิ้มหลับไปอีกคน...
ชีวิตหมอใช้ทุนอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าเทียบเพื่อนๆในรุ่นเดียวกันแต่เรียนต่างคณะ พวกเขาเริ่มทำงานกันไปแล้ว มีโบนัส มีวันหยุดยาวๆ ได้ไปเที่ยวต่างประเทศกันอย่างสนุกสนาน แต่พวกผมยังต้องตั้งหน้าตั้งตาทำงานเหมือนเครื่องจักร ไม่ว่าคนไข้จะมาเมื่อไหร่ ดึกแค่ไหน ต่อให้เพลียให้ตายยังไง ผมก็ต้องพร้อมที่จะรักษาพวกเขา
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เพื่อนๆในรุ่นเดียวกันคณะเดียวกันกับผมทยอยเลิกกับคนรักกันไปทีละคู่สองคู่เพราะปัญหาง่ายๆที่ว่า 'ไม่มีเวลาให้'
ผมว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างมีวันหมดอายุ และเวลาใช้งานที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ร่างกาย หรือแม้แต่ความรู้สึก ความรัก ความห่วงใย ถ้าเรามีมันอยู่กับมือ แต่ปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่เอามาใช้ในเวลาที่เหมาะสม สักวันความรักนั้นก็จะหมดอายุ
และถ้าเราปล่อยปละละเลยจนความรักมันบูดไปแล้ว ต่อให้เราใช้ความพยายามสักเท่าไหร่ มันก็ไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นความรักที่สดใหม่ได้เหมือนเดิม
โชคดีที่ผมมีเขา – ยิ้มหวานไม่เคยปล่อยให้ความรักของเราถูกทิ้งเอาไว้เลย เขาคอยดูแลมันอยู่เสมอและหมั่นเอามาใช้ ถ้ามันพร่องลงไป เราสองคนก็จะช่วยกันเติมมันขึ้นมาใหม่จนเต็มเหมือนเดิม
เขาเป็นฝ่ายขับรถไปหาผมมากขึ้นตอนที่ผมต้องเรียนคลินิคที่โรงพยาบาลศูนย์ เขาเป็นฝ่ายตัดสินใจจะลองเปลี่ยนงานดูเพื่อให้เรามีเวลาให้กันมากขึ้น
ถึงแม้ทุกครั้งที่ผมถาม อีกฝ่ายจะตอบกลับมาว่างานฟรีแลนซ์ที่ทำอยู่ตอนนี้มันสนุกกว่า ท้าทายกว่า แถมรายได้ก็ยังดีกว่า แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดกับผมแบบนี้
ผมเคยพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าตัวไปแล้วในธรรมดาๆวันนึงที่เรานั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันที่คอนโดของเขา และคำตอบที่ได้รับก็ทำให้ผมอึ้งไป ยิ้มหวานบอกว่า เพราะผมเองก็ดีกับเขาในแบบที่หาไม่ได้จากคนอื่นเหมือนกัน
'เพราะหมอดีกับเราจากใจจริงๆในตอนที่เรายังไม่ได้รู้สึกอะไร เป็นห่วงเรา สปอยในเรื่องที่ทำให้รู้สึกดี แต่ก็ดุกันในเรื่องที่เราไม่ควรทำ ทำให้เรารู้สึกได้ว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ทั้งๆที่หมอก็ไม่ได้มานั่งอยู่ตรงหน้าให้เราเห็น คุณสมบัติที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนโดนผีหลอกแบบเนี้ย... หาไม่ได้ที่ไหนหรอกรู้ตัวปะ?'
เจ้าตัวพูดติดตลกก่อนจะหัวเราะออกมา แต่นาทีที่ได้ยินคำพูดของเขา ผมก็รู้สึกเหมือนความรักมันถูกสูบเข้าไปในหัวใจและอัดแน่นอยู่ในนั้นอย่างไม่มีทางระบายออก เขาเติมความรักให้ผมจนเต็มอีกแล้ว...
พอมองตรงไปในแววตาคู่นั้น ความรู้สึกมากมายในใจก็ต่อสู้กันเต็มไปหมด ผมควรจะพูดอะไรออกมาให้มันมีค่ามากพอกับสิ่งที่เขาทำให้กัน?
หลังจากใช้เวลาคิดอยู่ไม่นาน ทุกๆอย่างก็ค่อยๆตกตะกอนออกมาเป็นคำสั้นๆ คล้ายๆกับเพลงที่เขาเพิ่งแบ่งให้ผมฟังด้วยหูฟังข้างเดียวก่อนหน้านี้
There's only ONE way TWO say
Those THREE words And that's what I'll do
I love youผมบอกเขาว่ารัก...และยังคงยังจำภาพวันนั้นได้ดี วินาทีแรกที่ได้ยินเขาตกใจ และถ้าไม่ได้คิดไปเอง ผมเห็นนำ้ตาคลออยู่ในแววตาคู่นั้น
คนตรงหน้ายื่นมือข้างนึงมาจับมือผมเอาและบีบแน่นเข้าก่อนจะก้มหน้าลง สักพักเขาก็ใช้มืออีกข้างที่ยังว่างปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจนได้
เห็นอย่างนั้นผมก็ก้มหน้าลงไปหาเขา แล้วแตะริมฝีปากลงไปบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา และวินาทีนั้นเอง คำพูดเบาๆที่ฟังดูไม่ชัดเจนเพราะคนพูดยังคงไม่หยุดร้องไห้ก็ดังขึ้นมา มันเป็นคำพูดสั้นๆที่มาพร้อมมนต์สะกดที่ทำให้คำๆนั้นดังก้องอยู่ในหัวใจของผมไปตลอดชีวิต อย่างไม่มีทางที่จะลบล้างไปได้
“รักเหมือนกัน..."
END
- - - -
รู้สึกเหมือนมีอะไรหลายอย่างที่ต้อง Talk แต่ตอนนี้คิดไม่ออกเลยค่ะ ตากำลังจะปิดแล้ว 5555
เดี๋ยวถ้าคิดออกค่อยมา edit เนาะ