✿✿ธุรกิจนี้มีรัก✿✿
CHAPTER 14 ❋ คืนที่ไม่โรแมนติก
เล็กหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู แต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีข้อความ หรือเบอร์ที่ไม่ได้รับจากคนที่เพิ่งกลับไปเลย ในไลน์ก็ไม่มีข้อความใหม่จากใครคนนั้น แต่พอจะพิมพ์ทักไปเล็กก็ไม่กล้าส่ง เมื่อชั่วโมงที่แล้วยังห้าวหาญกล้าบอกความรู้สึกของตัวเองอยู่เลย แต่ไม่รู้ว่าความกล้าหายไปไหนหมดแล้วตอนนี้
คนอะไร แทนที่จะพูดให้ชัดเจน กลับมาทิ้งปริศนาไว้ให้นอนคิด ไม่รู้ว่าคืนนี้เล็กจะหลับตาลงได้หรือเปล่า สมองของเล็กกำลังประมวลผลหนักเพราะประโยคนั้น
"ทีหลัง...อย่าเล่นละครที่ต้องจูบจริงอีกนะครับ"
ถ้าเล็กมีแฟนแล้วพูดแบบนี้ก็แปลว่าหึง แต่พอเจพูด เล็กกลับไม่กล้าเดาว่าเจหึง หรือว่าเจจะหึง? ถ้าหึงก็ต้องแปลว่าเจ...
เล็กส่ายหัวไปมาในความมืด ไม่กล้ายอมรับความคิดนั้นของตัวเอง แต่กระนั้น ถ้าอีกฝ่ายใจตรงกันก็คงดีไม่น้อย เล็กอยากมีแฟนแบบนี้ ต่อให้เป็นผู้ชายก็ยอม
ความคิดถึงดลใจเล็กให้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีก ก่อนเปิดแอปรูปภาพและเลื่อนหารูปเจที่เล็กเคยถ่ายไว้ มีอยู่รูปหนึ่ง เจพูดอยู่บนเวทีเซ็นเตอร์ แววตาดูมุ่งมั่น แต่รอยยิ้มกลับดูอบอุ่น ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายตาตี่ๆ ก็มีเสน่ห์ พาให้เล็กยิ้มตามคนในรูปไปด้วย ถ้าใครมาเห็นเข้าคงนึกว่าบ้า
คุณเจนะคุณเจ คนอุตส่าห์คิดถึง ไม่เจอกันตั้งหลายวัน แต่มาไม่ทันไรก็เผ่นกลับเสียแล้ว ยังไม่ทันหายคิดถึงเลย เล็กแอบตัดพ้อในใจ
เล็กวางโทรศัพท์ลง ก่อนลุกจากเตียงและเดินไปที่ประตูกระจกบานเลื่อน มือหนึ่งปลดล็อคและเลื่อนประตูออก สองเท้าพลันก้าวออกไปยืนรับลมเย็นๆ ตรงระเบียง ฟ้าดูมืดและมีเมฆ ยามหน้าฝนอย่างนี้ยากจะเห็นฟ้าโปร่ง แต่ถึงฟ้าโปร่งก็ยากจะเห็นดาวเพราะแสงในเมืองกลบหมด
บรรยากาศอาจไม่โรแมนติก แต่หัวใจที่มีความรักก็ทำให้มันโรแมนติกได้ เล็กนึกถึงเพลงนั้นที่ตัวเองเคยใช้ร้องประกวดตอนเข้าวงการใหม่ๆ
"คิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว" เพลงประกวดหากินของใครหลายๆ คน
ช่างเข้ากับความรู้สึกตอนนี้ได้ดีทีเดียว เล็กฮัมเพลงนั้นเบาๆ ร้องไป ยิ้มไป นึกถึงใบหน้าของใครคนนั้นไปด้วย หัวใจที่เต็มตื้นด้วยความรักมักพาให้คนทำอะไรแปลกๆ เล็กอดขำตัวเองไม่ได้ที่เป็นถึงขนาดนี้
เล็กเอ๋ยเล็ก ทำอย่างกับคนไม่เคยมีความรักไปได้ แม้เคยเข็ดจากความรักคราวก่อน กี่คนผ่านมาไม่เคยยอมให้เฉียดกรายพื้นที่หวงห้าม แต่ครั้งนี้เล็กกลับอดใจไม่ไหว อุ่นไอรักจากชายตาตี่มีพลังดึงดูดรุนแรงอย่างน่าประหลาด รู้ตัวอีกทีเล็กก็เผลอชอบเข้าให้แล้ว ถ้าต้องเจ็บเพราะความรักอีกคราวก็คงต้องยอม
เล็กร้องเพลงนั้นจนจบ แม้ไม่ได้ร้องนานแล้วแต่ก็พอร้องได้ เพี้ยนบ้างเล็กน้อย ถ้าเจมานั่งฟังอยู่ตอนนี้คงขำ แต่เล็กคงจะยอมให้ขำ ไม่หัวเสียเหมือนคราวนั้นหรอก
สองเท้าพาร่างที่มีหัวใจเปี่ยมรักกลับมานอนอยู่บนเตียงนุ่ม มือหนึ่งหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูรูปนั้นอีก รอยยิ้มพลันปรากฎบนริมฝีปากหยักสวย ความง่วงมาเยือนแล้ว คงต้องลาจากกันไปในคืนนี้ก่อน
"คุณเจ กู๊ดไนท์นะครับ" เล็กบอกคนในรูปเบาๆ
แม้ว่าตัวจริงของคนในรูปไม่อยู่ตรงนี้ แต่เล็กก็ยังอดเขินสายตาที่คนในรูปมองมาไม่ได้ ผู้ชายอะไร แค่รูปก็ยังทำให้เขิน
"คุณเจ...ขอให้เราใจตรงกันนะครับ ตอนนี้...ผมอยากมีความรักแล้ว"
--- <+> -- <+> --- <+> -- <+> --- <+> -- <+> ---
อีกมุมหนึ่งของเมืองเดียวกัน คนที่เล็กรำพึงรำพันถึงมีอาการไม่ต่างกันเลย เจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ว่าจะโทรไปหาคนอีกฟากหนึ่งของเมืองก็ไม่กล้า จะคุยไลน์ด้วยก็พิมพ์ๆ หยุดๆ สุดท้ายก็ไม่กล้าส่ง
เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ ชีวิตช่วงนี้ช่างน่าแปลกจริงๆ เมื่อไม่กี่วันนี้ยังเศร้าเพราะน้ำฝนบอกเลิกอยู่เลย ไม่กี่วันถัดมากลับมีความรู้สึกใหม่เข้ามาแทน อารมณ์อกหักจึงแทบไม่มีความหมายเลย
เจชอบเล็กหรือเปล่าหนอ ถ้าไม่ชอบ แล้วเจไปจุมพิตเล็กทำไม แถมยังพูดแบบนั้นกับเล็กอีก เป็นใครก็คงคิดเตลิดเปิดเปิงว่าเจมีใจให้ แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ?
ที่จริง...ก็ยอมรับว่ารู้สึดีไม่น้อย
พรุ่งนี้เจอกันจะทำหน้ายังไง หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่เล็กจะรู้สึกยังไงถ้าเจทำแบบนั้น เกิดเล็กน้อยใจขึ้นมาล่ะ เฮ้อ...ทำยัวร์เวย์เจอเรื่องหินๆ มาก็มาก ทำไมเรื่องแค่นี้เจถึงกลัวไปได้
โธ่เอ๊ย ทำไมขี้ขลาดแบบนี้นะนายเจ! เล็กเขายังกล้าบอกว่าชอบเลย ทำไมเจถึงไม่กล้าพูดตรงๆ
เพราะเล็กเป็นผู้ชายหรือเปล่า แล้วยังไง? ถึงจะเป็นผู้ชายแต่เล็กก็เป็นคนน่ารัก แถมอยู่ด้วยแล้วสบายใจ คนแบบนี้ไม่ใช่หรือที่เจตามหามาตั้งนาน มันก็ใช่อยู่ แต่...
ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นตอนไหนกันแน่ หรือว่าเป็นเพราะความสงสาร ช่วงที่ผ่านมาเล็กน่าสงสารมาก เจจึงอยากช่วยเหลือดูแล ตอนนั้นหรือเปล่าที่ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นเงียบๆ
ก็น่าจะเป็นความรู้สึกนั้น จะปฏิเสธไปทำไม เจเคยมีแฟนมาบ้างแล้ว จะบอกว่าไม่รู้ก็คงแปลก เพราะความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเมื่อเจอคนพิเศษเท่านั้น ไม่ใช่ใครก็ได้
อยากคุยกับคุณเล็กจัง...ทำไงดี...
นึกออกแล้ว ส่งคำคมเกี่ยวกับความรักไปให้เล็กดีกว่า ถึงจะไม่ชัดเจน แต่น่าจะทำให้อีกฝ่ายเอะใจบ้าง ว่าแล้วเจจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนพิมพ์คำสอนหนึ่งของ อ. เหวิน ลงไป พิมพ์เสร็จก็ส่งไลน์ให้เล็กทันที
"อ. เหวิน สอนว่า ฝันของคนมีสี่ประการ
1) ชีวิตที่มีคุณค่า
2) แสวงหารักแท้
3) กระหายจะได้ครูที่ดีและเพื่อนแท้
4) ได้งานที่ไม่ต้องเปลี่ยนตลอดชีวิต
คุณเล็กมีครบทุกข้อหรือยังครับ"
คนส่งยิ้มเขินจนหน้าแดง ทั้งๆ ที่ในห้องนี้ก็ไม่มีใครให้ยิ้มให้ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมอาการนั้นได้แล้ว เขินอย่างกับเพิ่งหัดจีบสาว ถ้าเจมีตาทิพย์คงเห็นว่าคนรับก็หน้าแดงพอกัน คำพูดก่อนจากก็ว่าเด็ดแล้ว แต่ข้อความจากไลน์คราวนี้มาแรงกว่า ไม่นานเล็กก็พิมพ์ตอบกลับมา
"สงสัยจะขาดข้อสอง คุณเจมีครบทุกข้อหรือยังครับ"
เจยิ้มให้กับข้อความนั้น ไม่นานก็พิมพ์สั้นๆ ตอบกลับไป
"ลองเดาสิครับ คนใจตรงกัน...เดาถูกอยู่แล้ว"
เจวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียง นอนยิ้มกับตัวเองในความมืด ว่ากันว่าความรู้สึกที่น่าประทับใจที่สุดก็คือความรู้สึกของครั้งแรก โดยเฉพาะครั้งแรกที่รักใครสักคน หัวใจยามมีรักใหม่คือหัวใจที่น่าอิจฉาที่สุด เพราะชีวิตในช่วงนี้จะมีแต่สีชมพู
ดึกดื่นคืนนี้ ไม่มีลมหนาวพัดโชยมาต้องกาย ไม่มีขอบฟ้าและดวงดาวให้แหงนมอง ไม่มีน้ำค้างยอดหญ้าคาส่งประกายยามต้องแสงจันทร์ให้ชื่นชม ใครๆ ก็รู้ว่าบรรยากาศเมืองหลวงไม่โรแมนติกเพราะขาดธรรมชาติ
แต่หัวใจที่อยู่ในอารมณ์นั้นเปลี่ยนคลองน้ำเน่าเป็นเมืองเวนิชได้ เปลี่ยนห่าเม็ดฝนยามดึกเป็นจุดแสงของดวงดาวพร่างพรายได้ เปลี่ยนห้องนอนที่เดียวดายให้กลายเป็นวิมานอบอุ่นได้ คืนนี้เจจะนอนหลับใหลไปพร้อมกับความรู้สึกนี้ คงจะนอนหลับฝันดีและตื่นขึ้นอย่างสดใส
"ราตรีสวัสดิ์ครับคุณเล็ก"
วันนี้ยัวร์เวย์มีงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มอาหารเสริม เจไม่พลาดพาดาวน์ไลน์ที่ตั้งใจทำธุรกิจมางานนี้ด้วย หนึ่งในนั้นก็มีเล็ก ตอนนี้กำลังเดินทางมาสมทบ
พอลงจากแท็กซี่และก้าวขาเข้ามาในอาคารสำนักงานใหญ่ของยัวร์เวย์ เล็กก็เริ่มใจสั่น ประหม่าและตื่นเต้น แค่คิดว่าจะได้เจอหน้ากันก็ทำตัวไม่ถูกแล้ว ใครบ้างจะไม่ตื่นเต้นเมื่อมาหาคนที่เพิ่งรู้สึกดีๆ ต่อกัน
ตั้งแต่ออกจากลิฟต์มา เล็กก็แทบจะไปไหนไม่ได้เพราะมีคนเข้ามาทัก บ้างขอถ่ายรูป บ้างขอจับมือ บ้างอยากคุยด้วย บ้างชื่นชมให้กำลังใจ เห็นดารามาทำอาชีพนี้ใครๆ ก็ตื่นเต้นกันใหญ่ เล็กไม่เคยปฏิเสธเลยเวลามีใครเข้ามาหา เจสอนเล็กว่าคำพูดดีๆ ของเราแค่ไม่กี่คำ อาจสร้างแรงบันดาลใจและเปลี่ยนชีวิตคนได้ รูปของเราที่เขาขอถ่ายไปอวดคนอื่น อาจจุดประกายฝันให้คนเหล่านั้นลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง เวลาใครถามว่าทำไมดาราถึงทำยัวร์เวย์ เล็กมักตอบบ่อยๆ ว่า
"ดาราก็ตกงานได้ ป่วยได้ แก่ได้ ตายได้ จริงไหมครับ"
แม้พูดตลกๆ แต่ก็ทำให้คนฉุกคิด คำพูดแบบนี้อาจไปสะกิดใจใครสักคนเข้า ทุกสิ่งดีๆ ที่เราพูดหรือกระทำออกไปมีคุณค่าเสมอ
เจยืนจับกลุ่มคุยกับดาวน์ไลน์ประมาณสิบคนตรงโถงทางเดิน ในนั้นมีพี่ประสิทธิ์ น้องอาร์ต พี่วินมอเตอร์ไซค์และคนอื่นๆ ที่เล็กเคยเจออยู่บ้าง แต่ยังจำชื่อไม่ได้ทั้งหมด มีผู้หญิงอยู่ด้วยอีกสี่คน ทั้งหมดนั้นเป็นทั้งดาวน์ไลน์ติดตัวและดาวน์ไลน์สายลึกลงไป
หลังฝ่ากลุ่มฝูงชนมาได้ เล็กก็มาถึงกลุ่มของเจ ด้วยความที่มาถึงช้าจึงรีบออกตัว
"สวัสดีครับ ขอโทษทุกคนด้วยนะครับที่มาช้า"
เล็กยกมือไหว้กลุ่มดาวน์ไลน์ของเจ ก่อนหันไปสบตาคู่นั้นที่มองมา เจทำท่าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม น่าแปลกที่ไม่ทักทายเล็กเลยแม้แต่คำเดียว
"คนฮ็อตก็อย่างนี้แหละพี่" อาร์ตแซว ทุกคนในกลุ่มเห็นเล็กโดนรุมถ่ายรูปแล้ว แต่ไม่มีใครว่าอะไรเพราะอยากให้เล็กเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น
"อาร์ตครับ พี่วานอาร์ตช่วยพาคุณเล็กไปรับคู่มือแล้วก็อาหารว่างหน่อยสิ เสร็จแล้วมาเจอกันที่นี่นะ จะได้เข้าไปพร้อมๆ กัน" เจหันไปวานเพื่อนรุ่นน้อง
"ครับพี่เจ พี่เล็ก...มาทางนี้เลยครับ" อาร์ตรับคำอย่างแข็งขัน ดูกระฉับกระเฉงและยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงว่าเป็นคนชอบบริการคนอื่น
เล็กเดินตามอาร์ตออกไปยังจุดลงทะเบียน อดแปลกใจไม่ได้ที่เจไม่ทักทายถามไถ่เลย อายหรือเปล่า? หรือว่าพอตื่นขึ้นมาก็คิดกลับตาลปัตร จากรับได้ก็เปลี่ยนเป็นรับไม่ได้ อย่างนั้นหรือเปล่า? แต่เล็กก็ไม่มีโอกาสได้ถาม
งานเปิดตัวเริ่มแล้ว เจกับดาวน์ไลน์สิบคนรวมนั่งสองแถวติดกันบริเวณด้านหน้าเวที ห้าคนแรกรวมเจอยู่แถวหน้าสุด ส่วนอีกห้าคนหลังอยู่แถวหลังถัดจากเจ มีเล็ก พี่ประสิทธิ์และดาวน์ไลน์สายลึกของเจ
น่าแปลกที่เจไม่ยอมมานั่งกับเล็ก แถมนั่งหันหลังให้ ไม่ยอมหันมาพูดจาด้วย พี่ประสิทธิ์จึงต้องทำหน้าที่อัปไลน์จำเป็นไปพลางๆ
"ทุกครั้งที่ยัวร์เวย์เปิดตัวสินค้าใหม่ นักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นผลิตภัณฑ์จะมาพูดถึงสินค้าทุกครั้งนะครับคุณเล็ก เราจะได้รู้ข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจหลายอย่าง โดยเฉพาะข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ แล้วก็แนวคิดการผลิต บริษัททั่วไปไม่ทำแบบนี้หรอกครับ เพราะเขาห่วงกำไรมากกว่าห่วงผู้บริโภค"
"ครับพี่ประสิทธิ์" เล็กหันไปยิ้ม ก่อนหยุดพักสายตาตรงท้ายทอยของเจ พอนักวิทยาศาสตร์ออกมาเล่าตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เล็กจึงเปลี่ยนจุดสนใจไปที่เวทีแทน หลายๆ ประเด็นที่นักวิทยาศาสตร์ท่านนี้พูดตรงใจเล็กมากทีเดียว
นักวิทยาศาสตร์: "Success cannot substitute your health."
ผู้แปล: "ไม่มีความสำเร็จใดๆ ทดแทนสุขภาพของคุณได้"
นักวิทยาศาสตร์: "When you have a chronic health problem, money can't buy it back."
ผู้แปล: "เมื่อเรามีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง ไม่มีอะไรซื้อมันคืนกลับมาได้"
นักวิทยาศาสตร์: "Your health can either be an asset or a liability depending on how you take care of it."
ผู้แปล: "สุขภาพจะเป็นทรัพย์สินหรือหนี้สินก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณดูแลมันยังไง"
นักวิทยาศาสตร์: "What's the point to work so hard but afterwards suffer in a hospital and eventually rest in piece in a graveyard?"
ผู้แปล: "จะมีประโยชน์อะไรที่จะทำงานหนัก หลังจากนั้นก็เจ็บป่วยในโรงพยาบาลและท้ายที่สุดก็พักผ่อนในสุสาน?"
นักวิทยาศาสตร์: "When it comes to optimal health, you must base it on facts and avoid opinions!"
ผู้แปล: "เมื่อพูดถึงเรื่องสุขภาพสมบูรณ์สูงสุด เราต้องเชื่อข้อเท็จจริง และหลีกเลี่ยงความคิดเห็น"
นักวิทยาศาสตร์: " Learning what kind of fact is reliable is much easier than learning whose opinion can be trusted--even your own!"
ผู้แปล: "เรียนรู้ว่าข้อเท็จจริงไหนน่าเชื่อถือได้ ยังง่ายกว่าเรียนรู้ว่าความคิดเห็นของใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน แม้กระทั่งความเห็นของคุณเองก็เถอะ"
นักวิทยาศาสตร์: " Unfortunately, many of us take care of our own health based on opinions not facts!--nutrition facts."
ผู้แปล: "น่าเสียดาย พวกเราส่วนมากดูแลสุขภาพของเราเองด้วยความเห็น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงด้านโภชนาการ"
นักวิทยาศาสตร์: "You can do great things, travel to wonderful places around the world or meet great people thanks to good health--the very one thing that many of us take for granted."
ผู้แปล: "เราจะทำสิ่งดีๆ ได้ ไปที่สวยงามรอบโลกได้ พบปะกับคนดีๆ ได้ ก็ต่อเมื่อเรามีสุขภาพที่ดี นี่คือสิ่งที่เราหลายคนไม่เคยเห็นค่าเลย"
นักวิทยาศาสตร์: "And again, it is 'Now' or 'Never'."
ผู้แปล: "แต่ก็นั่นแหละ ถ้ามัวแต่รอให้พร้อมก็จะไม่ได้ทำ"
นักวิทยาศาสตร์: "If you don't listen to a scientist like me who has done substantive studies on optimal health, who else will you listen to?"
ผู้แปล: "ถ้าคุณไม่ฟังนักวิทยาศาสตร์อย่างผมที่ศึกษาเรื่องสุขภาพสมบูรณ์สูงสุดมามากมาย คุณจะไปฟังใครล่ะครับ?"
นักวิทยาศาสตร์: "Optimal health needs facts and science but not the opinions of your neighbors!"
ผู้แปล: "เราจำเป็นต้องใช้ข้อเท็จจริงและวิทยาศาสตร์เพื่อนำไปสู่สุขภาพสมบูรณ์สูงสุด ไม่ใช่ความคิดเห็นของคนข้างบ้าน"
--- <+> -- <+> --- <+> -- <+> --- <+> -- <+> ---
หลังงานเปิดตัวสินค้า นักธุรกิจต่างก็ยืนล้อมวงกับกลุ่มของตัวเองเพื่ออาฟเตอร์หน้าห้องประชุม กลุ่มของเจก็เช่นเดียวกัน เมื่อทุกคนมาพร้อม อัปไลน์เจจึงเริ่มการอาฟเตอร์ทันที
"คุณเล็กครับ วันนี้ได้เรียนรู้อะไรบ้างครับ อ้อ...อย่าลืมบอกว่าจะเอาไปทำอะไรต่อ แล้วก็มีเป้าหมายยังไงด้วยนะครับ" เจถามเล็กเป็นคนแรก
เล็กคุ้นชินบรรยกาศแบบนี้แล้ว พอเจโยนมาก็พูดได้ทันที
"ขอบพระคุณอัปไลน์ผู้เปิดโอกาส ขอบคุณพี่จุ๊ อ. เหวิน ครูผู้เปิดปัญญาครับ ที่ผมได้เรียนรู้ในวันนี้ก็คือ...ไม่มีอะไรทดแทนสุขภาพของเราได้ แม้กระทั่งความสำเร็จ ทำงานหนักแทบตาย แต่สุดท้ายเอาเงินไปให้หมอใช้หมด ไม่คุ้มเลย ถ้าผมไม่รู้เรื่องนี้ก่อน ผมก็คงเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เพราะอาชีพดาราทำงานเสี่ยงต่อสุขภาพมาก สิ่งที่จะทำต่อไปก็คือแนะนำสินค้าและเรื่องการดูแลสุขภาพให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ ในวงการครับ หลายคนทำงานหนักมาก ไม่มีเวลาดูแลสุขภาพเลย ที่จริงผมก็แนะนำไปได้หลายคนแล้ว แต่คราวนี้มีข้อมูลเพิ่มขึ้น น่าจะแนะนำได้มั่นใจมากขึ้นครับ ส่วนเป้าหมายเดือนนี้ ผมจะเป็น 21% ครับ" เล็กพูดจาฉาดฉานด้วยความมั่นใจ เจเป็นคนสอนอีกเช่นกันว่าต่อให้ไม่มั่นใจยังไง ก็ต้องพูดให้มั่นใจเข้าไว้ ตั้งเป้าหมายแล้วทำไม่ถึง ก็ยังดีกว่าคนไม่กล้าตั้งเป้าหมาย แบบนั้นน่าอายมากกว่า
ทุกคนปรบมือดังลั่น ก่อนผลัดเข้ามาจับมือเล็กและให้กำลังใจว่า "คุณทำได้" แน่นอน อัปไลน์ของเล็กก็มาจับมือด้วย คงไม่กล้าเป็นคนเดียวที่ไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน
"คุณเล็กทำได้ครับ" เจกระชับมือแน่น น้ำเสียงอบอุ่นยังดูน่าฟังเหมือนเดิม ฟังแล้วอุ่นไปทั้งใจ
จากนั้นคนอื่นๆ ก็พูดต่อจากเล็ก นอกจากให้คนอื่นจับมือแล้ว เล็กก็ยังชอบจับมือและให้กำลังใจคนอื่นด้วย ทำบ่อยจนเริ่มติด เดี๋ยวนี้เล็กมักเผลอตบมือหรือจับมือให้กำลังใจคนอื่นบ่อยๆ แม้จะดูแปลกสำหรับคนวงนอกไปบ้างก็ตาม
หลังอาฟเตอร์ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ คนกลับแท็กซี่อย่างเล็กแย่หน่อยเพราะรถติดมาก เล็กจึงเข้าไปซื้อของในช็อปฆ่าเวลา ซื้อของเสร็จก็มานั่งรอตรงที่นั่งที่จัดไว้ตรงโถงทางเดินชั้นล่าง รอคอยให้การจราจรคลายความหนาแน่นลง มีโทรศัพท์ติดต่อเรื่องงานมาสองสามสาย คุณสนิทเป็นคนโทรมาบอก แต่เล็กก็ปฏิเสธไปทุกงานเพราะจะให้ถ่ายเซ็กซี่หรืองานแนวนั้นอีกแล้ว
อยู่ๆ เล็กก็รู้สึกว่ามีคนมานั่งด้วย พอหันไปมองก็ตกใจเล็กน้อย
"ตามหาอยู่ตั้งนาน นึกว่าคุณเล็กกลับไปซะแล้ว" หนุ่มตาตี่เจ้าของเสียงอบอุ่นทำท่าเหมือนตัดพ้อ แต่สีหน้าก็ดูยิ้มๆ จากนั้นก็เอ่ยชวน "ไปกินอะไรอร่อยๆ กันไหมครับ ผมรู้จักร้านอาหารอิตาเลี่ยนแถวๆ สุขุมวิทร้านหนึ่ง อร่อยมาก ทั้งบ้านผมชอบร้านนี้มาก ไปกินกันแทบทุกเดือน คุณเล็กอยากลองไปกินดูไหมครับ"
"เอ่อ..." เล็กลังเล เป็นเพราะสงสัยพฤติกรรมแปลกๆ ของเจมากกว่า เมื่อกี้ยังดูห่างเหินอยู่เลย อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเป็นอีกแบบ
"ผมว่าจะคุยอะไรกับคุณเล็กหน่อยน่ะครับ พอมีเวลาไหมครับ ไปไหนหรือเปล่า" เจอธิบาย
เล็กส่ายหน้า "ไม่ได้ไปไหนครับ วันนี้ไม่มีงาน"
"งั้นไปกินข้าวกับผมนะครับ" เจถามย้ำ
"เอ...อาหารอิตาเลี่ยนมีข้าวด้วยเหรอครับ" เล็กพูดหยอก จากนั้นก็หัวเราะพร้อมกัน
"ไปนะครับคุณเล็ก" เจถามอีกรอบ แม้รู้ว่าเล็กไม่ขัดข้อง แต่ก็อยากให้ตอบให้ชัดเจน
"ครับผม" เล็กรับคำ ก่อนลุกขึ้นพร้อมถุงกระดาษสามสี่ใบที่บรรจุสินค้าที่เพิ่งซื้อมา
"ผมช่วยถือนะครับ" เจถามพลางถือวิสาสะแบ่งถุงบางส่วนมาถือไว้ "ทีหลัง...คุณเล็กไม่ต้องกลับคนเดียวก็ได้ เดี๋ยวผมไปส่ง"
"อย่าเลยครับคุณเจ เกรงใจดาวน์ไลน์คนอื่นๆ เดี๋ยวเขาจะน้อยใจนะครับ" เล็กแย้ง
"ถ้าเป็นแค่ดาวน์ไลน์...ผมก็คงไม่ไปรับไปส่งแบบนี้หรอกครับ" สายตาของเจเป็นประกายวิบวับ ส่วนอีกคนอึ้งกิมกี่และครุ่นคิด
'ถ้าไม่ใช่แค่ดาวน์ไลน์...แล้วเป็นอะไรล่ะ'
--- <+> -- <+> --- <+> -- <+> --- <+> -- <+> ---
เสียงช้อนส้อมดังโคร้งเคร้งปะปนกับอีกหลายเสียง ไม่ว่าจะเป็นเสียงคนคุยกัน เสียงเดิน หรือเสียงรถราข้างนอกที่แทรกเข้ามาเบาๆ บรรยากาศอย่างนี้คือร้านอาหารอย่างไม่ต้องสงสัย
วันนี้ลูกค้าหนาตา หลายโต๊ะที่สั่งอาหารต้องรอนานหน่อย แต่ระหว่างรอก็ถือโอกาสคุยกันไปด้วย บางโต๊ะได้อาหารแล้วก็กินไปคุยไป มีเพียงโต๊ะหนึ่งติดกำแพงกระจกด้านหน้าเท่านั้นที่ยังดูเงียบๆ ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟก็ยังไม่คุยกัน ได้แต่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ยิ้มบ้างเล็กน้อย ทั้งที่มีเรื่องอยากพูดมีร้อยแปด แต่ปัญหาคือไม่รู้ว่าใครจะเริ่มก่อน ขนาดนั่งมาในรถด้วยกันยังนั่งเงียบๆ มาตลอดทาง
"คุณเล็กครับ" เจขอเป็นคนเริ่มก่อนหลังผ่านไปสักพัก "เอ่อ...เมื่อคืน...คุณเล็กนอนหลับสบายไหมครับ"
ในที่สุดก็ได้หัวข้อแรกสำหรับพูดคุยเสียที
"อ๋อ...หลับสบายดีครับ" เล็กตอบยิ้มๆ มือกุมประสานกันบนตัก โยกตัวไปมาเล็กน้อยคล้ายคนประหม่า ก่อนมองไปรอบๆ ร้านและพักสายตาค้างไว้ที่แก้วน้ำบนโต๊ะอาหาร
"เหรอครับ ทำไม...ผมนอนไม่ค่อยหลับเลย" เจชวนคุยต่อ
"อากาศร้อนเหรอครับ" เล็กเงยหน้ามาถาม สักพักก็หลบลงต่ำเล็กน้อย
"เปล่าครับ สงสัยคงจะเป็นเพราะว่า...มีเรื่องให้คิดเยอะน่ะครับ" เจยิ้มกริ่ม
"อ๋อ...เครียดเรื่องงานเหรอครับ"
"ไม่ใช่เรื่องเครียดครับ" เจรีบแย้ง "แต่เป็นเรื่อง...ความฝันสี่อย่าง จำได้ไหมครับ ที่ผมส่งให้คุณเล็กเมื่อคืนนี้"
"อ้อ..." เล็กพยักหน้า "ทำไมถึงคิดเรื่องนี้ล่ะครับ หรือว่า...ยังมีไม่ครบทุกข้อ"
"ครับ" เจรับคำ เล็กเงยหน้ามาสบตาทันที เจจึงถือโอกาสนี้พูดต่อ "แล้ว...คุณเล็กนึกออกหรือยังว่าผมขาดข้อไหน"
"ไม่รู้ครับ" เล็กตอบยิ้มๆ นึกกลัวว่าตัวเองจะเขินจนม้วน สายตาของเจที่มองมาตอนนี้ร้ายกาจเหลือเกิน
"เดาสิครับ" เจรุกต่อ
"อย่าเลยครับ ผมไม่ชอบเดา" เล็กเฉไฉ จากนั้นก็พาเปลี่ยนเรื่อง "ทำไมวันนี้คุณเจ...ไม่ค่อยคุยกับผมเลยครับ"
เจหัวเราะร่วน "อย่าถือสาผมเลยคุณเล็ก บางทีคนเราก็ทำอะไรแปลกๆ อย่างงี้แหละ โดยเฉพาะเวลามีอะไรบางอย่างพิเศษ คุณเล็กรู้ไหมครับว่ามีอะไรบ้างที่ทำให้คนเราทำตัวแปลกไปจากเดิมได้"
"ถูกหวยหรือเปล่าครับ" เล็กแกล้งเฉไฉ
เจพยักหน้าช้าๆ "อืม...ก็พอเป็นไปได้ แต่ผมไม่ซื้อหวย ทำยัวร์เวย์สำเร็จก็เหมือนถูกหวยทุกเดือนโดยไม่ต้องซื้ออยู่แล้วครับ " เจหัวเราะ จากนั้นก็ถามต่อ "แล้วคุณเล็กเคยทำตัวแปลกๆ ตอนไหนบ้างครับ"
"ยังไงเหรอครับ" เล็กงง
"อ้าว...ก็อย่างเช่น เวลามีความรักไงครับ อะไรที่ไม่เคยทำก็ทำได้ อย่างเมื่อก่อน...ผมไม่ชอบหมานะ แต่พอชอบสาวคนหนึ่งที่ชอบเลี้ยงหมา ผมก็กลายเป็นชอบหมาไปเลย อะไรแบบนี้คุณเล็กมีไหมครับ"
เล็กพยักหน้า "ก็พอมีครับ"
เจพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็เล่าต่อ "แล้วอีกอย่างนะครับ ผมเป็นคนขี้อายมาก ไม่ค่อยพูดหรอกเมื่อก่อน เพิ่งมาพูดเป็นตอนมาทำยัวร์เวย์นี่เองครับ แล้วเวลาที่ผมถูกใจใครนะครับ ผมมักจะอาย ไม่ค่อยกล้าพูดด้วย คุณเล็กเคยเป็นแบบนี้ไหมครับ"
"อ๋อ...เคยสิครับ" เล็กตอบแค่นั้น แต่ใจจริงอยากบอกว่าตอนนี้ก็กำลังเป็นอยู่
"แต่โตขึ้นคงไม่เป็นแล้วมั้งครับ เมื่อคืน...คุณเล็กไม่เห็นอายเลย แถมยังกล้ามากด้วย" เจยิ้มกริ่ม ดีใจที่หาช่องพาเล็กมาจนถึงเรื่องที่ต้องการจนได้ "นั่นแหละ ผมก็เลยนอนไม่ค่อยหลับเมื่อคืน"
เล็กทำหน้าตกใจเล็กน้อย "อ้อ...คุณเจลำบากใจมากเลยเหรอครับ"
แทนที่จะปฏิเสธ เจกลับพยักหน้ารับ "ครับ...ลำบากใจมากเลย"
"ผมขอโทษครับคุณเจ" เล็กหน้าเสีย "แต่ผมก็บอกคุณเจแล้ว...ถ้ารับไม่ได้ ก็แค่กองทิ้งไว้"
"คุณเล็กครับ ไม่มีผู้ชายที่ไหนรับเรื่องแบบนี้ได้นะครับ ส่วนมาก...ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว คุณเล็กก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่ามันจะจบยังไง" เจแสร้งทำเสียงจริงจัง
คราวนี้เล็กหน้าซีด หน้าเสียยิ่งกว่าเดิม "รู้ครับ หมายความว่า..." เสียงเล็กกลืนหายไป ใจหายวาบเพราะกลัวว่าเจจะรับไม่ได้ อาหารมือนี้คงจะเป็นการเลี้ยงส่งครั้งสุดท้าย
เจนึกเสียดายที่พาเล็กมาคุยกันที่ร้านอาหาร ไม่งั้นคงทำบางอย่างได้มากกว่านี้ แต่เมื่อมาแล้วคงทำอะไม่ได้ นอกจากแก้ปัญหาให้ดีที่สุด ก่อนที่หนุ่มดาราหน้าซีดจะใจสลายไปเสียก่อน
บังเอิญเล็กวางมือไว้บนโต๊ะ เจจึงรีบคว้ามือคนฝั่งตรงข้ามมาจับไว้ เล็กทำท่าจะดึงหนีแต่พลันต้องหยุดเมื่อเจพูดประโยคหนึ่งออกมา
"คนอื่นรับไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะรับไม่ได้นะครับ"
เล็กตะลึงจนอ้าปากค้าง หัวใจที่กำลังจะเจ็บหนักพลันหยุดอาการกะทันหัน สัมผัสอบอุ่นจากมือนั้นคงหยุดกระแสความเจ็บปวดให้หยุดนิ่ง ไม่นานกระแสปลอบประโลมก็ไหลเวียนมาแทนที่
"คุณเล็กไม่อยากรู้เหรอครับว่าที่ผมพูดเมื่อคืน ผมหมายถึงอะไร"
ในวินาทีนี้ เล็กคงไม่กล้าเดา จึงได้แต่เงียบและรอฟัง
"เราสองคน...ขาดข้อสองเหมือนกันนะครับ" เจยิ้ม จากนั้นจึงค่อยๆ ปล่อยมือออก
"หมายความว่าคุณเจ..." เล็กไม่กล้าพูดต่อ
เจเป็นฝ่ายพักสายตาไว้ที่แก้วน้ำบ้าง จากนั้นก็ขำตัวเองเบาๆ ท่าทางเหมือนกำลังเขินอะไรบางอย่าง
"ไม่น่าจะเดายากแล้วมั้งครับ เมื่อคืน...ผมเขินจนต้องหนีกลับบ้าน เมื่อตอนบ่าย...ผมก็เขินจนไม่กล้าคุยด้วย ไม่กล้ามองหน้า ทำตัวไม่ถูก ผมเป็นแบบนี้ก็ตอนที่เจอ...คนพิเศษ...เท่านั้นแหละครับ"
"จริงเหรอครับคุณเจ" เล็กเผลออุทานเสียงดัง
"ชู่วววว" เจทำท่าจุ๊ปาก "เบาๆ ครับ คนมองใหญ่แล้ว"
เล็กยิ้มเขินๆ ก่อนหันไปมองรอบๆ มีคนหันมาสงสัยบ้าง แต่ไม่นานทุกคนก็กลับไปสนใจเรื่องของตัวเองต่อ
"ผมนะ...เคยคิดว่าตัวเองมีข้อสองมาตลอด แต่จริงๆ ก็ไม่เคยมีเลย เมื่อคืน...คุณเล็กเดาถูกหรือเปล่าครับว่าผมขาดข้อนี้"
เล็กพยักหน้า แทบจะเก็บอารมณ์ตื่นเต้นไม่ไหวแล้ว หัวใจข้างในเต้นรัวราวกับกลองรบสมัยอยุธยาเป็นราชธานี
"งั้นก็แสดงว่า...เราใจตรงกันใช่ไหมครับ" เจเฉลยตรงๆ ในที่สุด
"คุณเจ" เล็กเรียกชื่อนั้นด้วยความดีใจ ตอนแรกนึกโกรธที่เจแกล้งให้ตกใจเล่น แต่ตอนนี้โกรธไม่ลงแล้ว ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในร้านอาหาร เล็กคงได้ทำอะไรมากกว่ายิ้มให้
"เดี๋ยวเราไปคุยกันต่อที่บ้านคุณเล็กคืนนี้นะครับ" เจเสนอทางออกอย่างรู้ทันTBC