▓ ▒ ░ ต้น-สน∞ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย - SP6: จากเพื่อนสู่รัก [5.2.2017] ░ ▒ ▓
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ▓ ▒ ░ ต้น-สน∞ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย - SP6: จากเพื่อนสู่รัก [5.2.2017] ░ ▒ ▓  (อ่าน 193351 ครั้ง)

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
จบแล้วจริงๆ สินะ ใจหายเหมือนกันเนอะ
ดีนะที่เคลียทุกอย่างได้ นินาร้ายได้ใจสุดๆ ฉากตบ5555+

ชอบน้องภูคา น่ารักอ่ะ
พ่อสนกับอาต้น และน้องภูคา ต่อจากนี้คงมีความสุขสมบูรณ์แบบละสินะ

ออฟไลน์ RIRIN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +492/-2
ใจหายมากเมื่อได้เห็นคำว่า 'ปิดตำนาน' กลัวใจพี่ sarawatta มากว่าจะทำให้น้ำตาไหลอีกมั๊ย

และ...

น้ำตาซึมกับน้องภูคาและอาต้น เป็นฉากที่แบบว่าควบคุมไม่ให้น้ำตาซึมไม่ได้จริงๆ ค่ะ
และนั่นก็ทำให้รู้ว่าความผูกพันระหว่างสามคนนี้มันลึกซึ้งแค่ไหน

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ  :3123: :กอด1:

ปล.นินา  :beat: เจอของจริงเข้าแบบนี้คงไม่กล้าอีกเนอะ อิอิอิ

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะจบแล้วจริงๆ จบได้อบอุ่นมากเลยคะ ไม่เสียใจเลยที่หลงรัก ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย ตอนจบนี่สมกับที่รอคอยจริงๆ +เป็ด

ออฟไลน์ manutty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 846
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
เปิดตอนมาก็พาน้ำตาลในกระแสเลือดพุ่ง แถมยังพาให้ไฟในตาร้อนผ่าวด้วยความอิจฉาความรักของสองหนุ่ม ต้น-สน ที่กว่าจะมีวันนี้ได้ก็ต้องใช้เวลานานสิบกว่าปี ทั้งคู่ต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคที่เกิดจากตัวเอง ครอบครัว และ สังคม มาอย่างยากลำบากแต่นี่แหละคือบทพิสูจน์ของความรัก ที่ต่อไปในวันหน้าเมื่อได้อยู่ด้วยกันจะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีสติรอบครอบมากขึ้น เมื่อมีปากเสียงก็จะสงบสติไม่ใช้อารมณ์เกินไปเมื่อมองย้อนไปกว่าจะได้รักกันมันยากแค่ไหน ต้องบอกว่า นิยาย ต้น-สน สอนให้เรียนรู้การใช้ชีวิตหลายด้านๆ ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยมหาลัย วัยทำงาน จนกระทั่งมีครอบครัว ก็ยังนำมาปรับใช้ได้ ไม่ได้ยกยอปอปั้นคนเขียนจนเกินไป แต่ยอมรับฝีมือการเขียนที่ลื่นไหล เนื้อหาไม่ต่างกับชีวิตจริงที่เกิดขึ้นได้ อ่านแล้วรู้สึกว่ามีตัวตนจนอยากจะรู้จักเลยว่าบ้านอยู่ไหนกันหนอ :laugh:

ตั้งแต่อ่านมาไม่ชอบนิสัยของนินา แต่ตอนนี้ต้องยอมรับว่าเธอทำหน้าที่อดีตภรรยา และ แม่ ได้ดีที่สุดที่โต้ตอบด้วยมือและอยากให้แถม  :z6:  สำหรับคนประเภท (อี)วิ ที่โตแต่ตัวแต่สมองไม่สั่งการด้านความคิดว่าสิ่งไหนสมควรพูด สมควรกระทำ ภูคาเป็นเด็กที่ยังไม่รู้จักคำเหล่านั้นในทางที่ดีพอ ยัดเหยียดแต่ความหมายไม่ดีให้เด็ก ทำให้เด็กรู้สึกกลัว อายในคำล้อเลียนที่หล่อนสั่งสอนลูกตัวเองให้พูดไม่ดี โดนตบยังน้อยไป ต้องเอาน้ำล้างเท้าให้ดื่มเพื่อจะสำนึกขึ้นมาบ้าง ขอโทษที่แรง แต่อิน สงสารภูคา เห็นใจต้น สน ที่ต้องมาเจอคนประเภทนี้ แต่ดีแล้วที่ทั้งคู่ยอมทำความเข้าใจและปรับความคิดใหม่ให้กับภูคา ของอย่างนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป วันหนึ่งเขาก็จะรู้เองว่าคืออะไร แต่เชื่อเถอะสิ่งหนึ่งที่ภูคาได้รับรู้ คือ ความรักของต้นทีมีให้อย่างบริสุทธิ์ใจ รักภูคาดั่งลูกตัวเอง และ ภูคาจะได้ซึบซับคำสั่งสอนที่ดีๆแน่นอน o13

ปล. ขอโทษด้วยค่ะ ที่มาร่วมปิดตำนานช้าไป ไม่ได้เมินเฉยหรือไม่สนใจนะคะ แต่มันบอกไม่ถูกว่าจะเม้นท์ยังไงดี มันอ่านแล้วรู้สึกดี แต่เขียนออกมาให้รู้สึกว่าดีจริงๆมันยากอยู่นะ และขอขอบคุณคนเขียนที่สร้างนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ เป็นกำลังใจให้เสมอ  :กอด1:

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
อืมจบได้ดีครับ แต่มันสั้นไปหน่อย เป็นเด็กโดนเพื่อนล้อมันก็แบบที่ภูคาเป็น ถ้าสอนให้ภูคาเข้าใจผมว่าอะไรๆมันก็ดีขึ้นตาม สุดท้ายก็จบลงด้วยดีทุกฝ่าย

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
กลับมาอ่าน ต้น-สน อีกรอบ รู้สึกยังคิดถึงอารมณ์เดิมๆ ที่เคยได้รับจากการอ่านนิยายคุณ sarawatta ยังคงซึ้งกับฉากเดิมๆ ที่ต้นกับสนนั่งฟังเพลงด้วยกันเงียบๆ บนรถสองแถว สะเทือนใจกับฉากที่ต้นเก็บความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า และประทับใจกับมุมมองความรักของต้นที่อยากจะมีรักแท้ที่สามารถบอกใครๆ ได้
คิดถึงต้นกับสน

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
กลับมาอ่าน ต้น-สน อีกรอบ รู้สึกยังคิดถึงอารมณ์เดิมๆ ที่เคยได้รับจากการอ่านนิยายคุณ sarawatta ยังคงซึ้งกับฉากเดิมๆ ที่ต้นกับสนนั่งฟังเพลงด้วยกันเงียบๆ บนรถสองแถว สะเทือนใจกับฉากที่ต้นเก็บความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า และประทับใจกับมุมมองความรักของต้นที่อยากจะมีรักแท้ที่สามารถบอกใครๆ ได้
คิดถึงต้นกับสน

ขอบคุณจริงๆ ที่ชอบเรื่องนี้ครับ ผมตั้งใจจะรวมเล่มแต่ยังจัดเวลามาปรับแก้ไม่ได้เลย
คงต้องปรับเยอะนิดนึงเพราะต้องปรับจูนแนวเรื่องหรือแนวความคิดบางอย่างนิดหน่อย
แต่สัญญาว่าจะพยายามทำให้รวมเล่มให้ได้เพราะนี่คือเรื่องในตำนานของผม

คิดถึงต้น-สนเช่นเดียวกันครับ
เขียนนิยายไปหลายเรื่องแล้วรู้เลยว่าจะเขียนเรื่องแบบนี้อีกไม่ง่ายเลย

คงอีกหลายเดือนนะครับกว่าผมจะเขียนเรื่องใหม่ (ดราม่า) ในนาม sarawatta
ตอนนี้ขอเปลี่ยนแนวไปเขียนอย่างอื่นบ้าง (แต่ก็ชอบแอบดราม่าเสมอๆ)
นิยายดราม่าต้องใช้ความอินเยอะ
นานๆ ทีจะเจอสักเรื่องที่อยากเขียนด้วยความอินสุดๆ แบบต้น-สนหรือไร้รัก

Sarawatta
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2016 09:54:53 โดย sarawatta »

ออฟไลน์ suginosama

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
กำลังหานิยายอ่าน มาเจอเรื่องนี้ ชอบมากเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีค่ะ

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ในที่สุดกะจบแบบแฮปปี้
อ่านเรื่องนี้แล้วเหนื่อยมากเลย
ร้องไห้ทั้งเรื่องจนเหนื่อย 5555
ตอนแรกแอบสงสารต้นและรำคาญสน
แต่หลังแอบสงสารสนละรำคาญต้น
แต่ที่เกลียดที่สุดกะคือนังชะนีนินา 55555

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ตอนพิเศษ 6: London Eye (Part 1)



อากาศในยามนี้ช่างหนาวจับใจเหลือเกิน แม้ไม่มีหิมะตกก็ตาม ที่จริงเมืองนี้มีหิมะตกอยู่บ้าง แต่ก็คาดการณ์ได้ยากว่าจะมาเดือนไหน บางคราวก็มาเดือนธันวาคม บางครั้งก็เลยไปมกราคมถึงกุมภาพันธ์ เอาแน่เอานอนไม่ได้

ขณะที่ต้นกำลังยืนชมวิวไปพลาง ถ่ายรูปด้วยมือถือไปพลาง จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งมายืนใกล้ๆ เขาทำเป็นชมวิวอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็หันมายิ้มให้ แสดงท่าทีอยากสนทนาด้วย ดูจากรูปร่างหน้าตา สีผิว สีผมและการแต่งกายแล้ว คงเป็นชาวเอเชียเหมือนกันนี่แหละ

ต้นหันไปยิ้มตอบบางๆ ก่อนหันไปชมวิวต่อ แต่ชายหนุ่มคนดังกล่าวก็ยังคงคอยมองต้นอยู่ สักพักเขาก็ตัดสินใจชวนคุย

"วิวสวยนะครับ"

เสียงชายหนุ่มคนนี้ช่างฟังดูทุ้มนุ่มหูและอบอุ่นอย่างประหลาด แววตาที่มองมาก็ดูอ่อนโยน ใบหน้าขาวใสและหล่อเหลานั้นมีเสน่ห์ชวนมองเสียจริง ช่างเป็นชายหนุ่มที่มีเสน่ห์แท้ แต่ต้นก็ยังไม่อยากคิดเอาเองว่าเขากำลังแสดงอาการสนใจต้นอยู่ แม้ว่าท่าทางส่อมาทางนั้นก็ตาม

"ครับ" ต้นตอบสั้นๆ ยิ้มเขินนิดๆ

"มาเที่ยวเหรอครับ"

"ครับ แล้วคุณล่ะ มาเที่ยวเหมือนกันเหรอครับ"

"ใช่ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกครับ เป็นประเทศแรกที่มาเที่ยวเลย แล้วคุณล่ะครับ"

"อ๋อ ผมเคยมาเรียนที่นี่สามปีแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองครับ"

ชายหนุ่มคนนั้นพยักหน้ารับรู้ "ถ้างั้นคุณก็ต้องรู้จักลอนดอนดีแน่ๆ เลย"

"ครับ ก็ไปมาเกือบทุกที่แล้ว" ต้นขำเบาๆ

"เก่งจัง มาเที่ยวคนเดียวเหรอครับ"

"ก็ประมาณนั้น แล้วคุณล่ะครับ" ต้นถามกลับ

"ก็ประมาณนั้นเหมือนกัน" ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะเบาๆ สายตาของเขาเหมือนยิ้มได้ เวลาหัวเราะจึงดูสดใสไปทั้งใบหน้า

ต้นก้มมองมือของตัวเองซึ่งจับราวเหล็กเย็นเจี๊ยบไว้อยู่ แต่ต้นใส่ถุงมือจึงไม่รู้สึกอะไร อยู่ๆ ก็เกิดเขินอายอีกฝ่ายจนต้องเบนความสนใจไปทางอื่นก่อน ผู้ชายอะไรช่างดูอบอุ่นดีเหลือเกิน ใกล้เคียงกับผู้ชายในฝันของต้นจนแทบแนบกันสนิท

"แล้ว...ชื่ออะไรเหรอครับ" นี่คงเป็นคำถามที่เขาอยากถามมากที่สุด เพราะจะเป็นสะพานเชื่อมไปสู่พื้นที่สวนตัวมากขึ้น

"ชื่อต้นครับ"

"ชื่อเพราะจัง ผมชื่อสนนะครับ" ฝ่ายนั้นบอกมา

"ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ"

"ยินดีที่ได้รู้จักด้วยครับ อ้อ แล้ว...อายุเท่าไหร่ครับ ถามได้เปล่า ไม่ใช่อะไร จะได้รู้ว่าจะเรียกพี่ เรียกน้อง หรือเรียกชื่อเฉยๆ"

"ยี่สิบห้าครับ" ต้นตอบ

"อ้อ เท่ากันเลย งั้นผมเรียกต้นเฉยๆ ได้ไหมครับ"

ต้นพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต

"เรียกผมว่าสนเฉยๆ ก็ได้นะครับ" ชายหนุ่มที่ชื่อสนบอก

"ครับ" ต้นยิ้มโดยไม่รู้สาเหตุ คงเขินแววตาที่สนมองมา อีกทั้งกลิ่นกายอุ่นๆ ของอีกฝ่ายนั้นก็ให้ความรู้สึกประหลาด "มาเที่ยวได้กี่วันแล้วครับ"

"วันนี้วันแรกครับ มาแบบงงๆ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหนต่อดี ถ้าได้คนที่รู้จักพื้นที่พาไปก็น่าจะดีกว่า กำลังหาคนพาเที่ยวอยู่ครับ"

"อ้อ" ต้นรับคำ แต่จากนั้นก็เหมือนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ที่พูดมาเมื่อกี้ ไม่รู้ว่าเปรยให้ฟังเฉยๆ หรืออยากชวนต้นไปเที่ยวด้วยกันแน่

"เที่ยวคนเดียวก็เหงาๆ นะครับ ต้นไม่เหงาเหรอ" สนถาม

"นิดหน่อย"

"มาเที่ยวแบบนี้ มันต้องมีคู่มาด้วยครับถึงจะสนุก" สนพูด

"ครับ" ต้นเออออไปด้วย จากนั้นก็เงียบไป

"มีอะไรแนะนำผมไหมครับ ผมหมายถึง...ที่เที่ยวน่ะครับ แถวๆ นี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง"

"แถวนี้เหรอครับ ที่จริงก็เที่ยวได้เป็นวันสองวันเลย บ้านเมืองเขาสวย ตึกก็สวย เดินชมได้ไม่เบื่อ จากตรงนี้ ไปชมวิวแม่น้ำเธมส์ตรงสะพานเวสมินสเตอร์ แล้วก็เดินข้ามไปดูหอนาฬิกาบิ๊กเบน แล้วก็เดินไปพระราชวังบั๊กกิ้งแฮมส์ได้ ถ้ามาเช้าๆ หน่อย แล้วก็อากาศดีๆ จะได้ดูทหารสวนสนาม แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว ถ้าชอบพวกพิพิธภัณฑ์หรือแกลลอรี่ศิลปะ แถวนี้มีเยอะมากครับ ดูตามแผนที่ก็ได้ หรืออยากจะเดินชมตึกรามบ้านช่องไปตามริมแม่น้ำก็เพลินดี อากาศช่วงนี้กำลังดี น่าเดินมากครับ มาเดินฝั่งลอนดอนอายก็ได้ มีลานให้เดิน มีของขาย มีมายากลให้ดู เมื่อก่อนตอนผมมาเรียน ว่างๆ ผมก็จะมาเดินเที่ยวแถวๆ นี้แหละ อ้อ เขามีอควาเรียมด้วยนะครับ มีสัตว์ทะเลให้ดูเยอะเลย อลังการมาก ช่วงนี้ ไฮไลท์จะเป็นงานคริสต์มาส ประดับไฟสวยมาก ตอนเย็นๆ มาถ่ายรูปไฟแถวๆ นี้ได้ครับ โดยเฉพาะลอนดอนอาย เด่นสุดในงานเลย มีคนมาออกร้านขายของด้วย มาหาอะไรอร่อยๆ กินได้ครับ"

"โห น่าสนใจหลายอย่างเลย ไปตามที่ต้นบอกก็ดีเหมือนกัน แต่..." สนทำท่าลังเล

"อะไรครับ"

สนยิ้มเขินก่อนพูด "เที่ยวคนเดียวมันก็น่าเบื่อเหมือนกันนะครับ อีกอย่าง...ผมไม่ค่อยรู้ทางด้วย ถ้ามีคนรู้จักพื้นที่พาเที่ยวก็น่าจะดี ไม่รู้ว่า...ต้นสนใจ...หรือว่ามีเวลาหรือเปล่า"

ต้นทำหน้าเหลอ คล้ายกับไม่เข้าใจคำถาม สนจึงพูดต่อ

"ผมก็เจอคนไทยหลายคนนะ แต่ผมรู้สึกว่า...ถูกชะตากับต้นมากที่สุด ไปเที่ยวด้วยกันน่าจะสนุก"

ต้นยังคงไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มแปลกๆ

"หรือว่า...ต้นกลัวแฟนว่าเหรอ แย่จริง ผมก็ลืมถาม" สนหัวเราะแหะๆ "น่ารักแบบนี้ น่าจะมีแฟนแล้วแน่เลย"

"เปล่า" ต้นรีบบอก ถูกชมซึ่งหน้าอย่างนี้ ต้นถึงกับวางหน้าไม่ถูก

"เปล่านี่หมายถึง...ไม่มีแฟน หรือว่า...ไม่รังเกียจที่จะไปเที่ยวกับผมล่ะ" สนยิ้มกรุ้มกริ่ม ยิ่งเห็นคนข้างๆ เขินก็ยิ่งชอบแซะ

"ทั้งสองอย่างมั้ง" ต้นพูดทีเล่นทีจริง

สนยิ้มดีใจ "งั้น...ก็หมายความว่า...ต้นจะไปเที่ยวกับผมใช่ไหม แล้วก็...ไม่มีแฟนด้วย"

"ไม่มีแฟนเกี่ยวอะไรล่ะ" ต้นแย้งระคนขำ

"นั่นสิ" สนหัวเราะแหะๆ แต่สักพักก็หาคำอธิบายจนได้ "แต่ว่ามันก็เกี่ยวนะ ต้นจะได้ไม่ต้องกังวลไงเวลาไปเที่ยวกับเรา"

ต้นหัวเราะเบาๆ ก่อนเลื่อนสายตามองไกลออกไปสุดขอบฟ้า กระเช้าลอนดอนอายเลื่อนใกล้จะครบรอบในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว จากนั้นทุกคนจะต้องลง เวลาที่เหลือน้อยนิดตอนนี้จึงมีค่ายิ่ง ต้นต้องเลือกแล้วว่าจะสานสัมพันธ์ต่อกับชายหนุ่มคนนี้ หรือควรจะหยุดไว้แค่นี้ดี

"ต้นอยากรู้ไหมว่าทำไมผมถึงเลือกมาชวนต้น ไม่ชวนคนอื่น เนี่ยเห็นไหม มีคนไทยตั้งหลายคนบนกระเช้านี้"

"ไม่รู้ อยากบอกก็บอกสิ"

สนยิ้มเอ็นดู เลือดในกายสูบฉีดดีแท้เมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงและเขินอาย นานๆ สนจะได้เจอคนถูกใจและน่าจีบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นอย่างคนนี้สักที ของดีๆ แบบนี้...นานทีปีหน

แสงอาทิตย์อ่อนๆ ยามบ่ายสะท้อนเส้นผมคนข้างๆ จนเป็นประกายสีส้มทอง มีแม่น้ำเธมส์ไหลเอื่อยและตึกรามบ้านช่องสไตล์ยุโรปเป็นฉากหลัก ช่างเป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน นึกอยากหยุดเวลาไว้นานกว่านี้ เพื่อจะเก็บรายละเอียดทุกอย่างในภาพนี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุด

"เคยมีคนบอกต้นไหมว่า...ต้นเป็นคนที่ตาสวย สายตามีแรงดึงดูด คนจิตไม่แข็งเผลอมาจ้องตาเข้า ถูกสะกดจิตได้เลย"

"ขนาดนั้นเลยเหรอ" ต้นหัวเราะ ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ

"จริง ต้นรู้ไหมว่าผมน่ะ...ถูกสะกดจิตไปแล้ว" สนทำเสียงและท่าทางจริงจัง พร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ

สีหน้าและแววตามแบบนี้ ต้นรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่พูดเล่น เข้าหาแบบนี้คงกะจะมาจีบต้นแน่ แม้จะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็เถอะ

"เห็นครั้งแรก ก็เหมือนโดนสะกดจิตเลย ถึงได้เข้ามาคุยด้วยไง" สนสำทับ

"จะจีบเหรอ" ต้นตัดสินใจถามไปตรงๆ

สนเลิกคิ้ว แต่ก็ยังคงยิ้มอยู่ ก่อนพยักหน้าน้อยๆ "จีบได้ไหมล่ะ ไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอ"

"แล้วทำไมอยากจีบล่ะ"

"ก็..." สนทำท่านึก "ต้นเชื่อเรื่องรักแรกพบไหมล่ะ"

ต้นพยักหน้ายอมรับ สนยิ้มพอใจ

"นั่นแหละ...คือคำตอบ" ผู้เผยตัวว่าเข้ามาจีบส่งสายตากรุ้มกริ่ม ก่อนถาม "แล้วต้นชอบผู้ชายแบบไหนล่ะ แบบผมเนี่ย...ใช่สเปคต้นหรือเปล่า"

ต้นหัวเราะเขินๆ พลางพิศดูอีกฝ่ายอย่างละเอียดอีกครั้ง "โดยรวมแล้ว...ก็ใกล้เคียงมาก"

สนยิ้มดีใจ แววตาเป็นประกายมีความหวัง "งั้นผมขอจีบต้นอย่างเป็นทางการเลยนะ"

"เป็นทางการเลยเหรอ งั้น...ทำหนังสือขออนุญาตจีบมาก่อนสิ จะได้เป็นทางการ" ต้นยักคิ้วท้าทายพอสนุก

"ทำไงดีล่ะ กลับไปเขียนให้เย็นนี้ทันไหม ถ้าไม่ทัน จีบแบบไม่เป็นทางการก่อนได้ไหมล่ะ ถ้ามัวแต่รอจดหมาย ผมกลัวคนมาจีบตัดหน้าไปซะก่อน"

"อ้าว แล้วสนไม่คิดว่าตัวเองตัดหน้าคนอื่นบ้างเหรอ" ต้นย้อนเข้าให้

สนอึ้งไปชั่วคราว จากนั้นก็หัวเราะ "จริงด้วย แล้วต้น...ยอมให้เราตัดหน้าคนอื่นหรือเปล่า"

ต้นหัวเราะเบาๆ พร้อมกับหันไปมองวิวแม่น้ำ สักพักก็พูดโดยไม่หันมามองหน้า "ถ้าไม่ยอม ป่านนี้คงเลิกคุยด้วยไปตั้งนานแล้ว"

สนยิ้มดีใจ ก่อนเผลอดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้ด้วยความรักใคร่ "เย้! จีบต้นสำเร็จแล้ว!"

เพียงเสี้ยววินาที พลันเสียงคนพูดคุยรอบๆ ตัวก็เงียบสนิท สนจึงได้รู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในที่สาธารณะ เขาจึงปล่อยอ้อมแขนออกจากต้น ก่อนหันไปมองรอบๆ เมื่อเห็นคนสารพัดเชื้อชาติหันมามองด้วยความสงสัยก็หัวเราะเขินๆ ต้นก็พลอยเขินไปด้วย หรือที่จริงน่าจะอายมากกว่า ดีที่ว่ากระเช้าจอดให้คนลงพอดี คนที่ยืนมองอยู่จึงเลิกสนใจและพากันเดินลงไป

ต้นกับสนเดินจูงมือออกมาด้วยกันเป็นคนสุดท้าย จากนั้นก็เดินตรงไปยังลานในสวนในบริเวณลอนดอนอาย มีนักท่องเที่ยวเดินไปมาหนาตาเพราะเป็นช่วงเทศกาล บรรยากาศคึกคักมากทีเดียว

"พอได้ไหมต้น" สนหันไปถามขณะเดินทอดน่องอย่างสบายๆ จากนั้นก็หยิบมวกกันหนาวมาใส่

"ก็พอได้ นายนี่ก็แสดงเก่งนะ" ต้นชม หรือประชดก็ไม่รู้ จากนั้นก็หยิบหมวกมาใส่บ้าง

"นายก็ใช่ย่อยที่ไหน" สนหัวเราะ ก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อย "แล้วต้นชอบหรือเปล่า เมื่อกี้เราทำเต็มที่เลยนะ"

"ดีเลย" ต้นยิ้มกว้าง

"จะว่าไปเราก็เสียดายนะ เราน่าจะรู้ใจตัวเองเร็วกว่านี้ ถ้าตอนเรียนมัธยม เราจีบนายแบบนี้ ก็น่าจะดีนะ เสียดายจัง...เราไม่มีความทรงจำแบบปั๊บปี้เลิฟให้นายเลย ตอนวัยรุ่น ถ้าเราจีบนาย...เราว่ามันต้องน่ารักแน่ๆ เลย แต่เราดันไปจีบเฟิร์นก่อนซะงั้น นายนั่นแหละ ทำไมไม่บอกเราล่ะว่านายชอบเรา"

"อ้าว มาโทษเราอีก" ต้นขำเบาๆ "ใครจะกล้าบอกล่ะ คนยิ่งกลัวๆ อยู่"

"กลัวทำไม เราน่ะ...ถนอมนายจะตายไป รักยังกะไข่ในหินไม่รู้เหรอ"

"ไม่เอา เราไม่อยากอยู่ในหิน" ต้นหยอก

"งั้นอยู่ในใจสนละกันนะ"

"ภูคาด้วย" ต้นเสริม

"จริงด้วยๆ เดี๋ยวภูคาน้อยใจ" สนเออออด้วย

พูดถึงลูกชายแล้วก็คิดถึง แต่สนก็ไม่ได้พามาด้วย เพราะพ่อกับแม่อยากให้ต้นกับสนมาฮันนีมูนที่อังกฤษด้วยกันสองคน เพราะหลังจากนี้แล้วจะหาโอกาสแบบนี้ยาก คงต้องรอจนกว่าลูกจะโตพอดูแลตัวเองได้ถึงจะได้มาแบบนี้อีกครั้ง แต่ตอนนั้นคงอายุเยอะแล้ว ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ดีที่สุด

ต้นค่อยๆ เดินช้าลงและหยุด สนหยุดตามและมองอย่างสงสัย ท่าทางของต้นเหมือนมีบางอย่างที่สำคัญอยากจะบอก

ไหนๆ ก็มาฮันนีมูนด้วยกันแล้ว ก็ควรจะมีแต่เรื่องดีๆ หรือสิ่งพิเศษมอบให้แก่กัน จะได้เติมเต็มความรักที่มีต่อกันให้มากขึ้น ถือว่าช่วยชดเชยช่วงเวลาสามปีที่ต้นจากสนมาเรียนที่อังกฤษไปด้วย

"เรารู้สึกเหมือนกับว่า...เรากำลังตกหลุมรักนายอีกครั้งหนึ่ง เหมือนตอนที่เราเคยแอบรักนายตอนอยู่มอหนึ่งเลย"

สิ้นคำพูดของต้น ทั้งสองหนุ่มก็คลี่ยิ้มให้กัน ไม่นานสนก็สวมกอดต้นไว้อย่างรักใคร่ ผู้ชายกอดกันไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนที่นี่ สนจึงไม่กลัวสายตาใคร ถึงจะมีคนมองก็ไม่แคร์แล้ว แม้จะกอดบ่อยแค่ไหน แต่ก็ดูเหมือนไม่สาสมความคิดถึงที่คนๆ นี้เคยหายไปจากชีวิตสนนานเกือบสามปี ต้นของสน...ชีวิตทั้งชีวิตของสนมีแต่คนๆ นี้เท่านั้น

"เหมือนกันเลย เราก็รู้สึกอย่างนั้น ขอบคุณที่กลับมาหาเรานะต้น รักต้นนะ"

สองหนุ่มในชุดกันหนาวหนาเตอะปล่อยช่วงเวลาพิเศษนั้นไว้สักครู่ ไม่นานสนก็ปล่อยอ้อมแขนออก สบตากันอีกเล็กน้อย ซึมซาบความรู้สึกต่างๆ จากสายตาของกันและกัน เมื่อพอใจแล้วจึงค่อยเดินไปต่อ

สนมีแผนจะเซอร์ไพรส์ต้นสองสามอย่าง เขาจะค่อยๆ ทยอยปล่อยมาวันละเซอร์ไพรส์ พอมาถึงวันแรก สนก็ชวนต้นมาเล่นจีบกัน เพราะสนรู้สึกเสียดายที่เมื่อก่อนไม่เคยจีบต้นเลย รู้ตัวอีกทีก็รักไปแล้ว ก็เลยอยากลองจีบต้นดูบ้าง

ต้นนึกสนุกก็เลยเล่นด้วย แถมยังตั้งเงื่อนไขด้วยว่า ถ้าลีลาจีบของสนไม่ถูกใจ ต้นก็จะไม่ยอมรับขนมจีบของสน ดีที่สนทำได้สำเร็จ เพราะเคยมีประสบการณ์มาบ้าง จึงไม่ยากสำหรับสน

แม้ว่าจะแกล้งทำสนุกๆ แต่สนก็รับรู้ได้ว่าต้นมีความสุข เพราะมันช่วยเติมเต็มความฝันที่ขาดหายไปครั้งหนึ่งในชีวิตของต้น นี่คือความฝันของต้นที่สนละเลยมานานหลายปี

ต้นกับสนเดินเที่ยวด้วยกันตามเส้นทางที่ต้นแนะนำเมื่อตอนอยู่บนลอนดอนอาย มีที่ให้เดินเที่ยวหลากหลายอย่างที่ต้นว่า แต่ถึงจะเดินกันแทบไม่หยุด กลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลย คงเป็นเพราะอากาศดีนั่นเอง

จนกระทั่งเย็น ต้นกับสนจึงกลับมาแถวๆ ลอนดอนอายอีกครั้ง คราวนี้บรรยากาศดูน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้น แสงไฟหลากสีซึ่งประดับประดาตามต้นไม้และลอนดอนอาย แทบจะเปลี่ยนโลกมนุษย์ธรรมดาให้กลายเป็นดินแดนในฝันไปเลย เสียนิดเดียวตรงที่มีคนเยอะมากไปหน่อย แต่เมื่อเลือกมาช่วงนี้ก็ต้องทำใจ ช่วงคริสต์มาสข้ามไปถึงปีใหม่จะมีคนมาเที่ยวที่ลอนดอนมากเป็นพิเศษ

มีซุ้มสินค้าและขายของให้เดินดูหลายจุด มีซุ้มขายอาหารด้วย ทั้งสองหนุ่มจึงสนุกไปกับการเดินซื้อของ ชิมนั่นชิมนี่ไปหลายอย่าง ได้ของติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้านพอสมควร

ราวๆ สามทุ่ม ต้นก็ชวนกลับด้วยแท็กซี่ เพราะวันคริสต์มาสไม่มีบริการขนส่งสาธารณะใดๆ แม้จะแพงไปหน่อย แต่ก็ต้องยอมจ่ายเพราะไม่มีทางเลือกอื่น

เมื่อมาถึงโรงแรม ต้นกับสนก็รีบเข้ามาข้างในเพื่อหนีอากาศหนาว จังหวะนั้นสาวๆ ฝรั่งวัยยี่สิบต้นๆ สามสี่คนเดินสวนออกไปพอดี หนึ่งในนั้นมีผมสีทองและตาคมสวย สนถึงกับเผลอมองตามไปอย่างสนใจโดยไม่รู้ตัว แม้จะเกิดในเวลาสั้นๆ ต้นก็ยอมรับว่ามันมีผลต่อจิตใจของต้นไม่น้อย กระนั้นก็พยายามไม่คิดมากและเดินตามสนไปที่ลิฟต์

"นายอาบน้ำก่อนก็ได้นะสน เดี๋ยวเราจะจัดของเอง" ต้นบอกเมื่อเข้ามาในห้องพักแล้ว แม้จะเป็นห้องพักระดับกลางๆ แต่ราคาก็สูงเอาเรื่อง

สนพยักหน้า ก่อนเดินไปอีกมุมห้องเพื่อจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเอง ต้นถอดเสื้อกันหนาวตัวหนาออก ไม่ลืมเดินไปรับเสื้อกันหนาวที่สนถอดออกมาด้วย จากนั้นก็หาที่แขวนให้

สนเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำแล้ว ต้นจึงเอาของที่ซื้อมาจัดใส่กระเป๋าของฝากให้เรียบร้อย ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ ต้นจึงมานั่งบนเตียง เปิดทีวีในห้องดูไปด้วย แต่ก็เหมือนไม่มีสมาธิดูเท่าไหร่ ในหัวยังคอยคิดถึงภาพเมื่อสักครู่นี้อยู่

ก่อนมาฮันนีมูนไม่กี่วัน ซีลแวะมาคุยกับต้นที่บ้าน แรกๆ ก็ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามประสาเพื่อน แต่คุยไปคุยมา ซีลก็เผลอเล่าเรื่องหนึ่งให้ต้นฟัง

"กูเจอไอ้สนที่ตลาดเมื่อวานก่อน ก็เลยหยุดคุยกับมัน กูจะบอกมึงยังไงดีวะ" ซีลทำหน้ายุ่งยากใจ แต่ไม่นานก็พูดต่อ "กูก็ไม่อยากให้มึงระแวงไอ้สนมันนะเว้ย แต่...กูก็ไม่อยากให้มึงเสียใจทีหลังว่ะต้น ตอนที่กูคุยกับไอ้สนอยู่ กูเห็นมันแวบมองผู้หญิงบ่อยๆ ว่ะ มองเหมือนที่ผู้ชายมองผู้หญิงสวยเลย ยังไงๆ มึงก็ดูๆ มันหน่อย กูไม่รู้ว่ามันยังสนใจผู้หญิงอยู่หรือเปล่านะ กูก็บอกตามที่กูเห็นนั่นแหละ กูถามมึงจริงๆ นะเว้ย"

ซีลเว้นจังหวะ ก่อนถามคำถามเด็ดที่ทำให้ต้นถึงกับสะดุ้งในใจ "ถ้าวันหนึ่งไอ้สนมันมีผู้หญิงอื่น มึงจะทำไงวะต้น"

ต้นไม่ได้ตอบคำถามนั้น เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร อีกอย่าง ต้นไม่อยากเก็บเรื่องนั้นมาบั่นทอนจิตใจตัวเองและความรักของต้นกับสน ก็เลยพยายามลืมๆ มันไป จนกระทั่งมาเห็นกับตาตัวเองเมื่อกี้ คำถามของซีลก็ย้อนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง แม้ไม่ใช่เรื่องน่าเก็บมาคิด แต่มันก็ช่วยไม่ได้

ถ้าสนเกิดชอบผู้หญิงขึ้นมาในวันหนึ่ง ต้นจะทำอย่างไร?


TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2017 15:16:18 โดย sarawatta »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Magis

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
ผมว่าลงในเล้านี่แหละดีแล้ว คนจะได้เห็นแจ้งเตือนแล้วเข้ามาอ่าน

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ตอนพิเศษ 6: London Eye (Part 2)



ต้นหยิบมือถือของตัวเองแล้วเดินมานั่งที่เตียง ก่อนเปิดดูรูปที่ถ่ายไว้หลายรูปพอสมควร นอกจากรูปที่ถ่ายที่ลอนดอนแล้ว ยังมีบางส่วนที่ต้นถ่ายไว้ตอนอยู่บนเครื่องบินด้วย พอเลื่อนเจอรูปที่ต้องการ ต้นก็นั่งอมยิ้ม

"ปกติเวลานอน เราชอบกอดนายไง เราก็เลย...กลัวจะเผลอกอดนายบนเครื่อง อายเขา"

นั่นคือเหตุผลที่สนนอนกอดตุ๊กตาหมีบนเครื่อง ปกติสนเป็นผู้ชายขรึมๆ ขี้เล่นบ้าง แต่การจะเห็นผู้ชายอย่างสนอยู่กับตุ๊กตาไม่ใช่เรื่องปกติแน่ ต้นขำระคนเอ็นดูจนต้องหยิบกล้องมาถ่ายเก็บไว้

ต้นส่งภาพนั้นเข้าไปไลน์กลุ่มของครอบครัวต้นกับสน พรุ่งนี้เช้าทุกคนจะได้เห็นทั่วกัน คาดว่าทุกคนคงขำกลิ้ง ภูคาเห็นคงคิดถึงพ่อไม่น้อย และน่าจะงอแงบ้าง แต่ปู่กับย่าก็พอรับมือไหวเพราะภูคาไม่ดื้อมาก แต่ก็ซนตามประสา

จะว่าไป ชีวิตของต้นช่วงนี้ก็มีความสุขมาก ตั้งแต่กลับมาและแต่งงานกับสน สองครอบครัวก็กลับมาสนิทชิดเชื้อกันเหมือนเดิม ความรักของต้นกับสนก็แน่นแฟ้นมากขึ้น ภูคาก็เข้ากับต้นได้เป็นอย่างดี แถมยังติดต้นมากอีกต่างหาก ชีวิตตอนนี้จึงเหมือนความฝัน

แต่เรื่องที่ซีลเล่าให้ฟังวันนั้น บวกกับที่ต้นเห็นด้วยตาตัวเองเมื่อกี้นี้ ช่างรบกวนจิตใจของต้นอย่างร้ายกาจ คำถามของซีลเป็นสิ่งที่ต้นไม่อยากคิดถึงเลย แต่ตอนนี้กลับวนเวียนคิดนับร้อยพันรอบ

สนนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำพอดี ต้นจึงเลิกคิดฟุ้งซ่านและวางโทรศัพท์ไว้ตรงหัวเตียง พลันสนก็วิ่งมานั่งลงข้างๆ และกอดต้น

"อูย หนาวๆ ขอกอดหน่อยๆ"

ถ้าหากอยู่ในอารมณ์ปกติ ต้นคงจะหัวเราะและสนุกไปด้วย แต่ครั้งนี้ต้นกลับตัดบทดื้อๆ "นายก็ไปใส่เสื้อผ้าดิ เราจะไปอาบน้ำแล้ว"

สนปล่อยมือออกและมองต้นอย่างงงๆ ต้นลุกขึ้นแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป สนได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย กระนั้นเขาก็พยายามไม่คิดมาก ต้นเดินมาทั้งวันคงเหนื่อย น่าจะหงุดหงิดบ้างเป็นธรรมดา อาบน้ำสดชื่นดีแล้วก็น่าจะหายเป็นปกติ

คิดได้อย่างนั้น สนก็ลุกไปใส่เสื้อผ้า เขากับต้นเตรียมกางเกงขายาวและเสื้อแขนยาวสำหรับใส่นอนมาด้วย เนื้อผ้าหนานุ่มใส่สบาย แต่ก็แนบลำตัวและอวดรูปร่างเอาเรื่อง

ถ้าหากเวลาไม่ต่างกันมาก สนก็คงจะโทรไปคุยกับลูกชาย แต่ตอนนี้น่าจะยังไม่ตื่นเพราะเป็นช่วงเช้ามืด สนจึงเปิดทีวีดูฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งต้นออกมาจากห้องน้ำ สนจึงหันไปมองและยิ้มให้ ต้นยิ้มบางๆ ตอบรับ จากนั้นก็เดินไปใส่เสื้อผ้า นับว่าเป็นอาการที่ดูแปลกพอสมควร ปกติสนไม่ค่อยเห็นต้นทำท่าทางเฉยๆ ด้วยเท่าไหร่ กระนั้นก็ไม่อยากจับผิดและคิดมากเกินไป จึงนั่งรอจนกระทั่งต้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ

ต้นเดินมานั่งลงอีกฝั่งของเตียง ยังไม่ทันได้ขยับไปไหน สนก็กระโจนเข้ามากอดจากทางด้านหลัง ซุกหน้าลงสูดดมตรงซอกคอของต้น

"อาบน้ำแล้วตัวหอมจัง สงสัยคืนนี้เราจะนอนไม่หลับเพราะกลิ่นนี้แน่เลย" สนพูดหยอกอย่างอารมณ์ดี

ต้นเพียงแต่หัวเราะแห้งๆ ไปตามเรื่องตามราว สีหน้าไม่บ่งบอกว่ามีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น

"นอนยัง เราอยากนอนแล้ว เมื่อคืนนอนกอดตุ๊กตาหมีบนเครื่องทั้งคืนเลย คืนนี้...เราอยากนอนกอดเมียแล้ว" สนหยอกต่อ แต่พอต้นไม่ตลก แถมยังทำหน้ายิ้มยาก สนก็ยิ่งแปลกใจ

"มีอะไรหรือเปล่าต้น เราว่านายดูแปลกๆ นะ" สนถามหน้าเหลอ

ต้นค่อยๆ หันตัวมาเผชิญหน้ากับสน ก่อนจะส่ายหน้าไปมาอย่างช้าๆ และพยายามยิ้มกว้าง ที่จริงต้นไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้เป็นปัญหาในตอนนี้ เพราะต้นกับสนมาฮันนีมูนด้วยกัน ควรจะตักตวงความสุขด้วยกันอย่างเต็มที่

"ไม่มีอะไรหรอก เราแค่เหนื่อยๆ น่ะ เดินเยอะไปหน่อย" ต้นแก้ตัว

"เหรอ ให้เรานวดขาให้ไหม"

"ไม่เป็นไร นอนดีกว่า" ต้นตัดบทแล้วก็ล้มตัวลงนอน

สนหยิบรีโมทตรงหัวเตียงมากดปิดทีวี พอจะนอนลงไปบ้างก็หยุดชะงักเพราะต้นนอนหันหลังให้ ที่จริงต้นคงไม่ตั้งใจ แต่อารมณ์ภายในทำให้ต้นเผลอทำอย่างนั้นโดยไม่รู้ตัว

คราวนี้สีหน้าของสนเริ่มเปลี่ยนเป็นไม่สบายใจมากขึ้น ภาษากายของต้นส่งสัญญาณว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไม่ใช่เพราะสนคิดไปเองแน่ๆ คนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ย่อมรู้จักกันดี

สนนอนลงไปข้างๆ เขายังไม่ปิดไฟทันที แต่เขยิบตัวเข้าไปใกล้และเยี่ยมหน้าไปถามด้วยความเป็นห่วง "มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าต้น"

ต้นเหมือนจะรู้ตัว จึงหันมามองด้วยสีหน้าตื่นๆ พยายามเก็บซ่อนพิรุธด้วยรอยยิ้ม กำลังจะอ้าปากปฏิเสธ สนก็พูดสวนมาก่อน

"อย่าบอกเรานะว่าไม่มีอะไร เราอยู่กับนายมาตั้งแต่อายุสิบเอ็ดขวบแล้วนะต้น"

แม้จะพูดแค่นี้ ต้นก็คงรู้ว่าสนหมายถึงอะไร ทั้งสองคนรู้จักกันมานาน รู้ใจกันดีแทบทุกอย่าง ผิดปกติไปเพียงเล็กน้อยก็สามารถจับสังเกตได้ไม่ยาก ต้นจึงรู้ว่าการปฏิเสธคงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ เพราะสนจับอาการได้แล้ว กระนั้นต้นก็ทำได้เพียงแต่มองหน้าสนนิ่งๆ เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเรื่องอย่างไร อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องเปราะบางและละเอียดอ่อนด้วย

"โอเค นายไม่อยากบอกตอนนี้ก็ไม่เป็นไรหรอก พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกเราละกัน" สนบอกไปอย่างนั้นเพราะเห็นสีหน้าลำบากใจของต้น

เจอสนดักทางแบบนี้ ต้นคงไม่สามารถยิ้มกลบเกลื่อนได้ ซ้ำจะพูดแก้ตัวก็ไม่ได้ด้วย

"ถ้านายเหนื่อย งั้น...คืนนี้เราก็นอนพักผ่อนดีกว่านะ" สนยิ้ม ก่อนเขยิบกลับมานอนบนหมอนของตัวเองด้วยสีหน้าผิดหวัง เพราะตั้งใจว่าคืนนี้จะขอมีความสุขตามประสาคนรักกันกับต้นเสียหน่อย

สนกำลังจะเอื้อมมือไปกดปุ่มมาสเตอร์ปิดไฟทุกดวงในห้อง ต้นก็โพล่งออกมา

"เราไม่รู้จะบอกนายยังไงน่ะสน"

สนหยุดชะงัก สักพักก็ลุกขึ้นนั่ง ต้นลุกขึ้นตามมาติดๆ ดูเหมือนไม่กล้าสบตากับสนตรงๆ เสียด้วย

"มันเกี่ยวกับเราหรือเปล่าต้น" สนถาม

ต้นครุ่นคิด ครู่เดียวก็พยักหน้ายอมรับ

"ถ้าเราไม่เคลียร์กันให้เข้าใจ มันจะรบกวนจิตใจนายหรือเปล่า"

ต้นพยักหน้ายอมรับอีก

"งั้น...เราก็ต้องคุยกันนะต้น ไม่อย่างงั้น...ฮันนีมูนของเราคงไม่มีความสุขหรอก จริงไหม"

ต้นเถียงไม่ออก กระนั้นก็ยังไม่อยากพูดคุยตอนนี้อยู่ดี "แต่เราว่า...กลับไปค่อยคุยกันดีไหมสน"

"แต่มันรบกวนจิตใจนายไม่ใช่เหรอต้น" สนถามสวนมา

"แต่..."

"ไม่มีแต่หรอกต้น" สนพูดเสียงหนักแน่น ก่อนเปลี่ยนท่าทีให้ดูอ่อนโยนลง "เราไม่รู้ว่าเรื่องอะไรนะ แต่ถ้ามันรบกวนจิตใจนาย แล้วก็เกี่ยวกับเรา แสดงว่ามันต้องสำคัญมาก นายต้องเลือกแล้วล่ะว่านายจะปล่อยให้มันรบกวนจิตใจของนายต่อไป หรือว่าจะคุยกับเราให้เข้าใจ เรายินดีรับฟังปัญหาของนายทุกอย่าง ถ้าเกิดมีอะไรที่เราต้องปรับตัว เราก็ยินดี ไม่รู้ว่าเรากดดันนายหรือเปล่านะ ถ้านายจะไม่บอกตอนนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้รู้ว่าเราเป็นห่วง เราเป็นสามีของนาย ถ้าเรารู้ว่านายมีเรื่องไม่สบายใจ เราก็คงจะสบายใจอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก จริงไหม"

แม้ไม่อยากกดดันแต่ก็เหมือนกดดันไปแล้ว คนฟังจึงเครียดไม่น้อย เพราะรู้ว่าท้ายที่สุดต้องพูดออกไป

"นายจะทนยิ้ม ทนหัวเราะกับเราไปได้ยังไงล่ะต้น ถ้านายยังมีเรื่องไม่สบายใจ หรือนายกลัวเราจะทะเลาะกันหรือเปล่า เราว่ามันก็ต้องมีบ้างแหละ ลิ้นกับฟันมันยังกัดกันได้เลย แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่รักกันซะหน่อย ทะเลาะกันบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าผ่านไปได้ ก็จะเข้าใจกันมากขึ้นด้วยซ้ำ" สนพูด

ต้นคงจะคล้อยตามเหตุผลของสนไปแล้ว หลังครุ่นคิดสักพัก ต้นก็ตัดสินใจถามออกไป

"สน...นาย...ยังชอบผู้หญิงอยู่ใช่ไหม"

ไม่รู้ว่าคำถามจี้ใจดำหรือเปล่า แววตาของสนบ่งบอกว่าตกใจกับคำถามของต้นพอสมควร

"ทำไมนายถามแบบนั้นล่ะต้น" สนถามด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ

"นายตอบคำถามเรามาก่อนได้ไหม" ต้นขอร้อง

สนดูลำบากใจมากทีเดียว เขาเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดหนัก คิดอยู่นานพอสมควรทีเดียวจึงยอมเปิดปากพูด "ถ้าพูดตรงๆ เราเป็นผู้ชาย มันก็มีสนใจบ้าง แต่..."

อยู่ดีๆ สนก็หยุดพูดไปดื้อๆ เพราะเห็นสีหน้าของต้นเจื่อนลง

"นายกำลังสงสัยเราเหรอต้น" สนถามด้วยสีหน้าหวั่นๆ

ต้นนึกอยากจะร้องไห้ เมื่อได้ยินจากปากของสนแบบนี้ มันก็น่าตกใจไม่น้อย ต่อให้เป็นพ่อพระแม่พระมาจากไหนก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

"มีคนบอกเราว่า...นายชอบมองผู้หญิงบ่อยๆ เมื่อกี้...เราก็เห็น" ต้นไม่ตอบตรงๆ แต่ที่พูดไปก็มีคำตอบแฝงอยู่ในนั้น

"นายหมายความว่าไงน่ะต้น นายคิดว่าเราจะนอกใจนายงั้นเหรอ" สนถามเสียงเข้ม ท่าทางดูเหมือนไม่พอใจมากขึ้น

"เราก็ไม่คิดถึงขนาดนั้นหรอก"

"แล้วนายคิดขนาดไหนล่ะ"

"เราก็แค่กลัวน่ะสน"

"นายจะกลัวทำไมล่ะต้น เรารักนายมากแค่ไหนนายก็รู้ เราไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย ไม่เคยอยู่ในหัวเราด้วยซ้ำ" สนแย้ง

ต้นนิ่งไป พอเห็นสนทำท่าไม่พอใจก็ชักไม่แน่ใจว่าควรจะคุยต่อหรือหยุด

"เราเสียใจนะต้น ที่เรารอนายมาสามปี ไม่มีค่าพอให้นายเชื่อใจเราเลยเหรอต้น!"

เจอคำพูดนี้เข้าไป ต้นก็แทบจะน้ำตาตก กลายเป็นว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของต้นที่ไม่เชื่อใจคนรักเสียแล้ว

"สน...นายตั้งใจฟังที่เราพูดหรือเปล่า หรือนายแค่ต้องการจะปกป้องตัวเอง" ต้นถามไปด้วยริมฝีปากสั่น ไม่รู้ว่าโกรธหรืออะไรกันแน่

คำถามนี้ได้ผล สนเป็นฝ่ายอึ้งบ้าง เขาบอกต้นเองว่ายินดีรับฟังทุกเรื่อง แต่พอต้นพูดมาสนก็ปัดป้องเป็นพัลวัน แทบไม่ฟังและไม่ให้โอกาสต้นอธิบายเลยด้วยซ้ำ

"สรุปว่า...เราผิดที่เรากลัวใช่ไหมสน เราไม่มีสิทธิ์กลัวเลยเหรอ!" ต้นถามเสียงแข็ง

เมื่อสนไม่ตอบ ต้นก็ลุกจากเตียง ก่อนเดินไปยืนตรงกลางห้องและหันหลังให้ สนไม่ได้ลุกตามไปด้วย มีเพียงสายตาที่มองตามไปเท่านั้น

"ถ้านายกลัว ก็แปลว่านายไม่เชื่อใจเรา นายไม่เชื่อใจเราเลยเหรอต้น แล้วเราจะต้องพิสูจน์ตัวเองมากแค่ไหน ที่ผ่านมาเรายังพิสูจน์ตัวเองไม่พออีกเหรอ?"

สนยังคงไม่เลิกปัดป้องตัวเอง คราวนี้ต้นน้ำตาตกของจริง ยิ่งรู้ว่าสนไม่ฟัง แถมยังทำน้ำเสียงเหมือนไม่พอใจ ต้นก็ยิ่งรู้สึกเจ็บมากขึ้นไปอีก

"ก็แล้วแต่นายจะคิดละกัน" ต้นบอกเบาๆ โดยไม่หันมามอง นึกอยากจะวิ่งหนีออกไปจากห้องให้รู้แล้วรู้รอด

"แล้วแต่จะคิดได้ยังไล่ะต้น มันเป็นเรื่องสำคัญนะ" สนเถียง

"งั้นนายก็ฟังเราบ้างสิ!" ต้นหันมาพูดด้วยเสียงดังพอสมควร ริมฝีปากระริก

สนหยุดชะงัก เมื่อเห็นน้ำตาของต้นค่อยๆ ไหลลงมาเขาจึงพอได้สติขึ้นมาบ้าง มันเป็นเรื่องยากที่สนจะยอมรับว่าต้นไม่เชื่อใจเขา เขาไม่ต้องการให้ต้นคิดแบบนี้ จึงเผลอปัดป้องตัวเองเกินความจำเป็น

สนลงจากเตียง กำลังจะเดินไปหา ต้นก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

"ตอนที่เราหนีมาเรียนที่อังกฤษ นายรู้ไหมว่ามันทรมานแค่ไหนกับการที่รู้ว่า...คนที่เรารักและเชื่อใจมาตลอด อยู่ดีๆ ก็ไปมีอะไรกับผู้หญิงอีกคน จนต้องแต่งงานกัน ทั้งๆ ที่บอกเรามาตลอดว่าไม่เคยรักกัน สามปี...เรารู้ว่านายทรมานที่ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่รัก แต่สามปีของเรา...เราก็ทรมานเพราะถูกคนรักหักหลัง มันก็เจ็บมากเหมือนกันนะสน ทุกวันนี้...เราก็ยังกลัวอยู่เลย มันเป็นแผลในใจของเรา...นายรู้หรือเปล่า"

ถึงตรงนี้ต้นก็ปล่อยโฮออกมา สนเข่าอ่อนจนแทบทรุดเมื่อรู้ว่าทำผิดพลาดเข้าอย่างจัง เขารีบเดินเข้าไปหาต้นแล้วกอดไว้แน่น

"ต้น...เราขอโทษ"

คำขอโทษของสนคงไม่มีความหมายเสียแล้ว สนใจหายวาบเมื่อเห็นว่าสองมือของต้นยังคงตกนิ่ง ไม่กอดสนเหมือนอย่างเคย

"นายกอดเราสิต้น นายอย่าทำแบบนี้สิ เราขอโทษ เราขอโทษจริงๆ ต้น นายจะให้เราทำอะไรก็ได้ เรายอมทุกอย่าง บอกเรามาเลยต้น"

สนทำความรักเปื้อนอีกแล้ว แม้จะไม่ตั้งใจให้เกิด แต่มันก็เกิดอีกจนได้ ที่จริงสนก็น่าจะคิดเองได้ ต้นเป็นเกย์ ไหนเลยจะกล้าคิดว่าผู้ชายแท้ๆ อย่างสนจะมารัก ซ้ำตอนที่รักกัน สนก็เคยทำต้นเจ็บหนักมาแล้ว จนต้องระหกระเหินหนีมารักษาแผลใจไกลถึงนี่ มีชีวิตที่เจ็บปวดเพราะโดนคนรักหักหลังถึงสามปี แล้วทำไมสนถึงกล้าเรียกร้องความเชื่อใจ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เผลอมองผู้หญิงอื่นให้ต้นเห็น เท่ากับสะกิดแผลเก่าที่กำลังจะหายดีให้เป็นแผลอีกครั้ง

มือของต้นที่ตกนิ่งค่อยๆ เลื่อนขึ้น ก่อนมาหยุดที่กลางแผ่นหลังของสน ไม่นานต้นก็สวมกอดสนไว้แน่นพอกัน

"สน...เรารักนายมากนะ นายอย่างทิ้งเราไปนะสน เราอยากอยู่กับนาย อยากอยู่กับภูคา ถ้าไม่มีนาย เราก็ไม่รู้จะรักใคร เรามีแต่นายคนเดียว เราไม่เคยรักใครเลย นายอย่าทิ้งเรานะสน เราไม่อยากมีชีวิตเหมือนสามปีที่ผ่านมาอีกแล้ว"

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ต้นจะเผลอหลุดปากขอร้องสนแบบนี้ แสดงว่าคงถึงที่สุดแล้ว น้ำตาของสนไหลพราก รู้สึกผิดและสงสารคนรักจับจิตจับใจ กระนั้นก็รู้สึกว่าดีแล้วที่ต้นทำแบบนี้บ้าง ดีกว่าเก็บความรู้สึกไว้คนเดียว สนเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ย่อมมีความรู้สึกอยากปกป้องคนรัก จึงควรมีโอกาสให้สนทำแบบนี้บ้าง

"เราสัญญานะต้น เราจะไม่ทิ้งนาย นายไม่ต้องกลัวหรอก นายได้หัวใจเราไปหมดแล้ว เรารักใครไม่ได้อีกแล้ว เราจะขออยู่กับนายไปจนกว่าเราจะตายจากกัน ต่อไป...เราจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก ยกโทษให้เรานะต้น"

สนทรุดลงนั่งคุกเข่า ความผิดครั้งนี้สนคงจะให้อภัยตัวเองไม่ได้ ต้องร้องขอจากคนรักเท่านั้น กระนั้น ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำให้ความรู้สึกผิดในใจหายไปได้มากน้อยแค่ไหน ต้นเพิ่งกลับมาอยู่ด้วยไม่นานแท้ๆ แผลในใจคราวนั้นยังไม่หายดี สนกลับสะกิดให้เกิดแผลซ้ำอีก

สองมือของต้นถูกรวบมากอบกุมไว้ สนก้มลงจูบสองมือนั้นอย่างรักใคร่ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาอ้อนวอน

"ต้น...เราทำความรักของเราเปื้อนอีกแล้ว เราไม่ทันคิดน่ะต้น ไม่คิดถึงความรู้สึกของนายเลย ทั้งๆ ที่เราก็รู้ดีแก่ใจ เราไม่มีสิทธิ์เรียกร้องให้นายเชื่อใจเราด้วยซ้ำ เพราะเรา...ก็ยังทำให้นายเชื่อใจเราไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราเสียใจนะต้น เราจะไม่ให้มีแบบนี้อีก ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง ถ้านายเห็นเราเผลอมองผู้หญิงอีก นายว่าเราเลยนะต้น หยิกเราก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจเราหรอก"

ต้นค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าสน แม้จะมีน้ำตา แต่ก็มีรอยยิ้มปรากฎให้เห็นชัดเจน

"ยกโทษให้เราได้ไหมต้น ความรักที่เราทำเปื้อน เราจะซักมันเอง ถ้านายไม่ยกโทษให้เรา เราก็คงยกโทษให้ตัวเองไม่ได้" สนทำหน้าอ้อนวอน ทั้งดูน่าสงสารและน่าเอ็นดูไปพร้อมๆ กัน

รอยยิ้มของต้นกว้างขึ้น คงจะแอบขำที่สนเอาเรื่องเสื้อเปื้อนๆ มาเปรียบเทียบกับความรักอีกแล้ว แต่มันก็จริงอย่างที่สนว่า เสื้อที่ไม่เปื้อนก็คือเสื้อที่ไม่มีใครหยิบมาใส่ ความรักที่ไม่เปื้อนก็คือความรักที่ไม่มีอยู่จริง

"ไหนๆ เราสองคนก็เป็นคู่ชีวิตกันแล้ว ไม่ว่าใครจะทำเปื้อน เราก็ต้องช่วยกันซักไม่ใช่เหรอ วันไหนเราทำเปื้อนบ้าง นายก็อย่าปล่อยเราซักคนเดียวละกัน" ต้นพูดติดตลก แค่นี้ก็ทำให้สนพอยิ้มได้แล้ว

"เราไม่มีอะไรจะโทษนายหรอก" ต้นสบตากับสนนิ่งสักพัก ก่อนพูดสืบไป "คนเราน่ะ...ถ้ารักกันจริงก็ต้องให้อภัยกันได้ เรายกโทษให้นาย ถ้ามีอะไรที่เราทำให้นายไม่พอใจ นายก็ยกโทษให้เราด้วยนะ"

สนยิ้มดีใจสุดขีด ก่อนดึงต้นมากอดไว้แน่นอีกรอบ เพียงครู่เดียวก็ปล่อย เขาจับไหล่ต้นไว้แล้วพาลุกขึ้นยืน อาศัยจังหวะที่ต้นกำลังงงๆ ช้อนตัวต้นขึ้นมาอุ้มไว้

"นายจะทำอะไรน่ะสน" ต้นถามหน้าตื่น ไม่ถึงกับตกใจแต่ก็สงสัย

"ก็จะทำให้นายรู้ไงว่าเราน่ะรักนายมากแค่ไหน"

สนยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนพาร่างหนักๆ เดินกลับไปที่เตียง วางต้นลงนอนแล้วตามลงไปทาบทับทันที ต้นไม่ทันตั้งตัวก็โดนจู่โจมด้วยรสจูบหนักหน่วงเสียแล้ว อากาศอุ่นสบายกระตุ้นอารมณ์ปรารถนาให้ลุกฮือ บทเพลงรักเร่าร้อนเริ่มต้นขึ้นในทันทีทันใด เสียงร้องไห้กลายเป็นเสียงครางกระเส่าเสียวซ่าน หยดน้ำตากำลังจะกลายเป็นหยาดรักที่อบอุ่นในไม่ช้า ต่างคนต่างตักตวงและป้อนความสุขให้กันอย่างเต็มที่ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนกว่าพายุนั้นจะสงบลง รู้ตัวอีกทีก็ค่อนคืนไปแล้ว


"ในที่สุด คืนนี้เราก็ได้กอดต้นนอนแล้ว" เจ้าของอ้อมแขนซึ่งโอบรอบบอก "นายรู้เปล่าต้นว่าเราน่ะ...ชอบกอดนายมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว อยากรู้เปล่าว่าทำไม"

ต้นพยักหน้า พลางซุกหน้าลงบนอกอุ่นที่แสนคุ้นเคย

"ก็นายน่ะ...ผิวลื่น เย็น แล้วก็นุ่มดี เราชอบ อ้อ...เราน่ะ...เคยแอบจูบนายตอนนายหลับด้วย" สนบอกพลางหัวเราะเบาๆ

"โรคจิตหรือเปล่าเนี่ย" ต้นขำ

"ว่าแต่เรา แล้วนายล่ะ ไม่เคยแอบทำอะไรเรามั่งเหรอ อย่าบอกนะว่าไม่เคย อย่างน้อย...นายก็ชอบแอบมองเรา ตอนอารมณ์เปลี่ยว สงสัยนายต้องแอบเอาเราไปทำมิดีมิร้ายแน่ๆ เลย"

"หลงตัวเองมากไปเปล่า"

"หรือไม่จริง" สนย้อน "แต่เราไม่ว่าอะไรหรอก ถ้าเป็นนาย...เรายอม"

ต้นเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนเอามือเสยผมของสนให้เรียบร้อย ระหว่างนั้นก็โดนสนขโมยหอมแก้มทั้งซ้ายและขวา

"ถ้ากลัวโดนเอาเปรียบ ก็หอมคืนสิ" สนยักคิ้วท้าทาย

ต้นยิ้มมุมปาก ก่อนก้มลงไปหอมแก้มซ้ายและขวาของสนอย่างรักใคร่

"หอมไหม" สนถาม

ต้นพยักหน้ายิ้มๆ สักพักก็ทำท่าเหมือนอยากชวนคุยเรื่องสำคัญ "อืม...เราถามอะไรนายหน่อยได้ไหมสน เราจะถามครั้งนี้ครั้งเดียว แล้วก็จะไม่ถามอีก"

สนพยักหน้า "ได้สิ เราก็จะตอบทุกคำถามที่นายอยากรู้"

ต้นยิ้มพอใจ รู้สึกได้ว่าครั้งนี้ปลอดภัยที่จะพูดเปิดใจทุกเรื่อง ต้นจึงไม่รอช้าและถามคำถามแรกออกไป

"นายไม่อยากมีแฟนเป็นผู้หญิงสวยๆ น่ารักๆ บ้างเหรอ นายก็หล่อนะ หล่อมากด้วย ตอนเรียนก็มีสาวๆ มาชอบนายเยอะเลย มีแฟนเป็นผู้หญิง...ชีวิตนายคงจะง่ายกว่านี้ มีแฟน แต่งงาน มีครอบครัว มีลูก สร้างครอบครัวเหมือนผู้ชายทั่วไป"

สนดูเฉยๆ กับคำถามนั้น เขายิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วก็ตอบ "ที่ผ่านมา เราก็ทำมาครบแล้วนะ มีแฟนเป็นผู้หญิงตั้งหลายคน มีลูกแล้วด้วย"

"แต่นายไม่ได้รักนินาไง เราหมายถึง...ผู้หญิงคนอื่น" ต้นอธิบาย

"ถ้าเรารักผู้หญิงสักคนหนึ่งแบบนั้น เราก็คงไม่รักนายแบบนี้หรอก นายจำได้ไหม เราเคยบอกนายว่า...ไม่ใช่ทุกคนบนโลกนี้เกิดมาเพื่อเรา ต่อให้สวยหรือน่ารักแค่ไหน แต่ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเรา เราก็จะไม่ได้รักกัน แต่เรารู้ว่านายเกิดมาเพื่อเราแน่นอน ถึงนายจะไม่สวย ไปไหนมาไหนด้วยกันก็มีแต่คนมอง แต่เราก็รักนาย เราผูกพันกับนาย ชีวิตเราถูกผูกไว้ตรงนี้ เราไปไหนไม่ได้หรอก สามปีที่นายไม่อยู่ เราจะมีคนอื่นก็ได้ แต่เรารู้ว่าเราไม่ต้องการใคร เราถึงรอนายกลับมาไง เราเคยคิดจะหาแฟนใหม่เหมือนกันนะ เราก็เลยเผลอมองผู้หญิงบ้าง ที่เราชอบเผลอมองผู้หญิง ก็เป็นเพราะเรื่องนี้แหละ แต่ตอนนี้นายกลับมาหาเราแล้ว เราก็จะอยู่กับหัวใจของเรา เพราะนาย...เกิดมาเพื่อเรา แล้วเรา...ก็เกิดมาเพื่อนาย ถึงมันจะไม่ง่าย ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เพราะยังไง...อยู่กับคนที่รัก มันก็มีความสุขมากกว่าอยู่กับคนที่ไม่รัก เราได้มาแล้ว เราคงไม่โง่ที่จะเสียมันไป ความรักดีๆ แบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ นะต้น"

คำพูดของสนซาบซึ้งเหลือเกิน คนฟังนึกอยากจะร้องไห้ แต่ก็ไม่มีน้ำตาสักหยด นอกจากรอยยิ้มที่บ่งบอกความซาบซึ้งใจ

"ผู้หญิงน่ะเราก็ชอบ ผู้ชายที่ไหนก็ชอบมองผู้หญิงทั้งนั้น แต่เราไม่ได้มองเพราะเราอยากได้ ธรรมชาติสร้างเรามาให้เป็นแบบนี้ แต่ความรักของเราอยู่ที่นาย นายมีค่าสำหรับเรามาก เราเสียไปไม่ได้ เราจะไม่ยอมเสียไปด้วย" สนยืนยัน

"อืม..." ต้นพยักหน้าเข้าใจ "แล้วนายไม่คิดเหรอว่าบางที...มันก็อาจจะเป็นแค่ความรู้สึกผูกพันกันของเพื่อนสองคน นายอาจจะสับสนว่ามันเป็นความรักก็ได้" ต้นไม่วายสงสัย

"เพื่อนที่ไหนเขานอนคุยกันแบบนี้ล่ะ" สนย้อน แต่สีหน้าก็ยิ้ม "เราผ่านช่วงเวลาสับสนมาหมดแล้ว ที่จริง...เรารู้สึกแปลกๆ กับนายตั้งแต่เรียนมัธยมแล้วล่ะ แต่เราแค่ไม่รู้ใจตัวเอง นายรู้ไหม...ทุกครั้งที่เรามีแฟน เราจะรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ มันเหมือนเราทิ้งนายให้อยู่คนเดียว เพราะตอนเด็กๆ เราอยู่ด้วยกันตลอด เรากับนายเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง ตกเย็นก็อยู่บ้านเหงาๆ ไม่มีคนเล่นด้วย พอเราได้เจอนาย เราสองคนก็ไม่เคยอยู่บ้านคนเดียวเหงาๆ อีกเลย แต่พอเรามีแฟน เรากลับไม่ค่อยได้มาหานาย แล้วนายก็หลบหน้าเราด้วย มันทำให้เราต้องถามตัวเองหลายครั้งว่า...เราต้องการแฟน หรือต้องการนายกันแน่ แล้วเราก็ได้คำตอบเดิมทุกครั้งว่าเราต้องการนายมากกว่า เราเลิกกับผู้หญิงหลายคน เพราะเราอยากอยู่กับนายนี่แหละ"

คำอธิบายของสนชัดเจนและลึกซึ้ง ต้นรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกไปแล้ว ต่อไปนี้ ต้นคงจะรักสนได้โดยปราศจากความกลัวและกังวลเสียที

"นายจำได้ไหม มีอยู่วันหนึ่งเราป่วย แล้วเราก็ขอให้นายช่วยเช็ดตัวให้ เรารู้สึกดีมากเลย มือนายเย็น เบา แล้วเราก็รู้สึกได้ว่านายทำเพราะความรัก แต่ไม่รู้ว่ารักแบบไหน แต่มันทำให้เรารู้สึกดีมาก เราอยากให้นายดูแลเราแบบนี้ไปเรื่อยๆ ตอนหลัง เวลาป่วย เราก็เลยงอแงหาแต่นายไง"

ต้นนึกภาพตามแล้วอดขำเบาๆ ไม่ได้ ตอนนั้นสนโดนแม่ด่าบ่อยๆ ว่าชอบรบกวนเพื่อน บางครั้งก็ทำให้ต้นพลอยไม่สบายไปด้วย แต่สนก็ไม่เคยฟัง

"ตอนเรียนที่เชียงใหม่ เป็นครั้งแรกที่เรารู้ว่านายเป็นเกย์ เราก็ตกใจนะ แต่เราก็ไม่รู้สึกรังเกียจหรอก ปกติผู้ชายทั่วไป ถ้ารู้ว่าเพื่อนที่คบด้วยเป็นเกย์ ป่านนี้คงเลิกคบกันไปแล้ว แต่เรากลับรู้สึกตรงข้าม ตอนนายหายไป เราคิดถึงนายแทบจะเป็นบ้า ไอ้นิกกับไอ้จั่นมันก็ดูออก นายรู้ไหมว่าสองคนนั้นมันดูออกตั้งนานแล้ว ช่วงนั้นแหละเป็นช่วงที่เราได้คำตอบชัดเจนที่สุดว่าเราไม่ได้คิดกับนายแค่เพื่อน มันลึกซึ้งกว่านั้น เราคิดว่านายก็สัมผัสได้" สนหยุดเว้นจังหวะ ก่อนพูดสืบไป

"ก่อนที่นายจะกลับมา เราเอารูปของนายให้ภูคาดูทุกวัน เล่าเรื่องของนายให้ลูกชายเราฟัง เพราะเราอยากให้เขารักนายเหมือนเรา เราอยากให้เขารู้ว่าเรากับนาย...รู้สึกดีต่อกันมากแค่ไหน"

"มิน่าล่ะ เราก็สงสัยว่าทำไมภูคาถึงรู้จักชื่อเราตอนที่เจอกันครั้งแรก เขาวิ่งมาหาเรา แล้วก็เรียกเราว่าอาต้น"

"ใช่" สนนึกภาพลูกชายวิ่งไปกอดต้นตามไปด้วย "เราดีใจนะที่นายไม่รังเกียจภูคา"

"จะรังเกียจได้ไง ภูคาน่ารักจะตาย เขาเหมือนนายมาก เหมือนยังกับแกะ ตอนนี้...เรารักทั้งพ่อทั้งลูกเลย" ต้นพูดติดตลก

สนยิ้มพอใจ "ก็นั่นแหละ ทั้งหมดที่เราเล่าให้นายฟัง เราอยากให้นายสบายใจ ที่เราอยู่กับนายตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาก็เพราะความรัก นายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ขาดไม่ได้ นายดูแววตาเราสิ เราไม่เคยมองผู้หญิงที่ไหนด้วยสายตาแบบนี้ ไม่มีแม้แต่คนเดียว เราพอใจที่จะอยู่กับนาย ช่วยกันเลี้ยงดูภูคาให้เขาเติบโตเป็นคนดี เหมือนที่พ่อแม่เลี้ยงเราสองคนมา เราก็จะขอร้องนายเหมือนกันว่า...อย่าไปไหนจากเราอีกนะต้น นายต้องอยู่กับเราไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ โอเคไหม"

ต้นพยักหน้าตอบรับ รู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาแทบไหล ถ้าสนไม่พูดประโยคต่อไปก็คงจะไหลลงมาจริงๆ

"ลอนดอนอาย...มองเห็นเมืองทั้งเมือง แต่ทิวสนอาย...มองเห็นแต่ต้นคนเดียว จริงๆ นะ"

ต้นระเบิดเสียงหัวเราะ ทิ้งตัวลงนอนบนหมอนของตัวเอง รอจนกระทั่งหายขำจึงถาม "นายไม่ได้ใช้มุกแบบนี้จีบผู้หญิงที่ไหนมาก่อนใช่ไหม"

"ไม่เคยหรอก ก็ใช้จีบนายคนเดียวนี่แหละ ถึงมันจะเชย...แต่มันก็มาจากใจนะ" สนไม่วายเล่นมุกต่อ

ต้นยิ่งขำใหญ่ คงเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาสนไม่เคยเล่นมุกแบบนี้กับต้นเลย

"ขำอะไร" สนพูดพลางโถมตัวเข้ากอดและซุกไซร้เป็นเชิงหยอกเล่น "ขำแบบนี้ แสดงว่ายังมีแรงอยู่ งั้นเอาอีกสักรอบละกันนะ"

"ไม่เอา จะนอนแล้ว" ต้นบอกปัดพลางทำท่าจะดิ้นหนี แต่สนก็กอดรัดแน่นขึ้น

"เรารู้แล้วว่านายไม่เอา แต่เราจะเอาไง"

"ช่วยด้วย สนหื่นอีกแล้ว" ต้นแกล้งตะโกน

"เรานี่ไงจะช่วยนาย ช่วยให้มีความสุขไง ไม่ชอบเหรอ" สนบอกพลางสอดมือเข้าใต้ชายเสื้อของต้น ทำท่าจะถอดออก แต่ต้นก็พยายามขืนไว้

ไม่รู้ว่าคืนนี้จะมีอีกรอบหรือเปล่า แต่คืนนี้ก็มีความสุขสดใส แม้จะมีดราม่าบ้าง แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ แถมยังช่วยให้เรื่องคาใจหายไปหมดสิ้น

ยิ่งคิดก็ยิ่งขำ...

"ลอนดอนอาย" มองเห็นเมืองทั้งเมือง แต่ "ทิวสนอาย" มองเห็นต้นคนเดียว!


https://www.youtube.com/v/ZM8xZXeg-Ks
กด cc สำหรับเนื้อเพลง


TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2017 15:30:22 โดย sarawatta »

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
 เพิ่งได้อ่านตอนพิเศษ จบไปเป็นปีล่ะ แต่ก็ยังคงประทับใจอยู่ ดีใจได้อ่านตอนพิเศษเพิ่ม

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ตอนพิเศษ 7: จากเพื่อนสู่รัก (Part 1)



"ถามจริงๆ เริ่มรู้ตัวว่าชอบต้นจริงๆ ตั้งแต่ตอนไหน"

หลังจากฟังเรื่องรักแรกของต้นมาได้สักพัก บวกกับความงงๆ ของสนอีกนิดหน่อย ปั้นจั่นก็ยิงคำถามนี้ขึ้นมา เรียกเสียงฮือฮาจากคนที่มาร่วมงานครบรอบแต่งงานห้าปีต้น-สนได้เป็นอย่างดี

สนหันไปมองต้น เหมือนจะขอแรงคนช่วยคิด เพราะนี่เป็นคำถามที่สนตอบได้ยากที่สุด แม้กระทั่งตัวสนเองก็ยังนึกไม่ออก ความรักที่เขามีให้ต้นนั้นซ้อนทับกับความเป็นเพื่อน จนนึกไม่ออกว่าความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน

"ก็ตอบยากนะครับ" สนเกริ่น ที่ต้องพูดเพราะเพราะมีแขกเหรื่อผู้ใหญ่มาร่วมงานหลายคน "แต่เป็นไปได้ว่าน่าจะเกิดขึ้นตอนมอสี่"

"มอสี่เหรอ แล้วเรื่องมันเป็นยังไง เล่าให้ฟังหน่อย" นิกถามบ้าง

ภูคาทำตาโตด้วยความอยากรู้ ตอนนี้อายุเจ็ดขวบแล้ว ฟังเรื่องผู้ใหญ่เข้าใจมากขึ้น เด็กน้อยรีบหันไปรบเร้าพ่อทันที "พ่อสน ภูคาอยากฟังแล้ว"

สนหัวเราะเขินๆ ก่อนทำท่านึกอยู่สักพัก แม้จะนานแค่ไหน แต่สนก็ยังพอจำได้ เหตุการณ์ตอนมอสี่น่าจะเป็นช่วงที่ความรู้สึกซ้อนทับเริ่มแยกกันชัดขึ้น

... ... ...

มอสี่เทอมสองปีนั้น สนต้องซ้อมฟุตบอลกับครูพละอย่างจริงจังช่วงเย็นทุกวัน เพราะทางโรงเรียนจะส่งไปแข่งระดับจังหวัดอีกสองเดือนข้างหน้า พร้อมกับถือโอกาสส่งนักเรียนบางส่วนเข้าร่วมคัดเลือกนักฟุตบอลทีมชาติรุ่นอายุไม่เกินสิบหกปีในอีกสามเดือนด้วย คนที่มีแววมากที่สุดตอนนี้คือสนและเพื่อนร่วมชั้นอีกคนชื่อ "พระนาย" ครูจึงช่วยดูเป็นพิเศษ

ช่วงนั้นสนกลับบ้านราวๆ หกโมงเย็นหรือค่ำกว่านั้น เขาเริ่มซ้อมตั้งแต่บ่ายสามเศษๆ หรือเร็วที่สุดเท่าที่ครูจะปล่อยมาได้ พอต้นเลิกเรียนแล้วก็มักจะมานั่งดู พร้อมกับซื้อน้ำมาให้เหมือนเช่นเคย ดีที่ว่าช่วงนี้สนไม่มีแฟน ต้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีสาวที่ไหนเอาน้ำมาให้สนตัดหน้าเหมือนคราวนั้น

"เฮ้ยสน เมียมึงมารอกลับบ้านอีกแล้วว่ะ มาทุกวันเลย ห่างๆ กันบ้างก็ได้ เพราะงี้หรือเปล่าวะ กูถึงไม่เห็นมึงมีแฟนเลยช่วงนี้ หรือว่ามึงเปลี่ยนรสนิยมแล้ว"

เสียงเพื่อนๆ ในสนามผลัดกันพูดแซวสน ดังพอที่ต้นจะได้ยิน มีเสียงหัวเราะขบขันตามมาด้วย แทนที่สนจะกระอักกระอ่วนใจ เขากลับหันมาส่งยิ้มให้ต้น สนอาจจะชินแล้วก็ได้ เพราะเพื่อนๆ มักแซวแบบนี้เป็นประจำ

วันนี้ครูพละให้นักเรียนวิ่งรอบสนามก่อนลงซ้อม จากนั้นก็ให้ซ้อมเดาะบอล ซ้อมเตะชนคานและอื่นๆ อีกหลายอย่าง ส่วนมากเน้นพื้นฐานเพราะเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้

ในระหว่างรอต้นก็เล่นบาสเก็ตบอลกับเพื่อนๆ รุ่นน้องบ้าง รุ่นเดียวกันบ้าง รุ่นพี่บ้าง แล้วแต่ใครอยากมาเล่นด้วย

ไม่ถึงชั่วโมงหลังจากนั้น คนที่เล่นบาสด้วยกันก็ทยอยกลับไปทีละคนสองคนจนหมด ต้นจึงเลิกเล่นและกลับมานั่งรอสนอีกสักพัก วันนี้ต้นไม่มีการบ้าน วันไหนมีต้นก็จะนั่งทำที่โรงเรียนและรอกลับพร้อมสนอยู่ดี

เกือบหกโมงเย็น สนวิ่งตัวเปียกโซกด้วยเหงื่อมาหา ต้นรีบส่งขวดน้ำให้อย่างรู้ใจ "ทำไมวันนี้ซ้อมเสร็จเร็วล่ะ"

"ครูเขามีธุระ จะไปงานศพญาติ" สนบอก ก่อนเปิดขวดน้ำดื่มอึกใหญ่หลายอึกจนหมดขวด สักพักก็พูดต่อ "วันนี้เรามีการบ้านเยอะด้วย ไม่รู้คืนนี้จะทำทันหรือเปล่า"

"เดี๋ยวเราช่วยดูให้ วันนี้เราไม่มีการบ้าน" ต้นบอกพลางยิ้ม

สนพยักหน้ารับรู้ ก่อนหันไปมองรอบๆ พลันสายตาก็สะดุดกับอะไรบางอย่าง อยู่ดีๆ เขาก็พูดเหมือนเพ้อ "เฮ้ยต้น น่ารักว่ะ นายรู้เปล่าว่าใคร"

รอยยิ้มและแววตาเจ้าชู้ของสนพาต้นหวั่นใจอีกแล้ว เมื่อต้นหันไปมองตาม สิ่งที่เห็นก็ไม่ยากเกินจะคาดเดา สาวน้อยคนหนึ่งนั่นเองที่เป็นเป้าสายตาของสนอยู่ตอนนี้

ต้นยิ้มเจื่อน ก่อนตอบไปเบาๆ "ใบข้าวไง เขาเรียนห้องเดียวกับเฟิร์นนั่นแหละ"

"จริงเหรอ สวยขึ้นเยอะเลย" สนทำเสียงตื่นเต้น สายตายังคงไม่ละจากสาวน้อยรุ่นน้องมอสามคนนั้น

แม้ว่าจะเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ที่นี่ก็มีนักเรียนหลายร้อย บางคนเห็นหน้าแต่ไม่รู้จักชื่อ บางคนนานๆ ทีจะมาให้เห็น สาวน้อยคนนี้ก็เช่นกัน เมื่อก่อนไม่เคยอยู่ในสายตาสนเลย แต่ปีนี้เธอเริ่มโตเป็นสาวแล้ว จึงรักสวยรักงามมากขึ้นและหัดแต่งเนื้อแต่งตัวตามประสา

"ต้น ไปกับเราหน่อย" สนหันมาบอก ก่อนจะเดินดุ่มๆ นำไปก่อน

ต้นรีบเดินตามไปอย่างงงๆ พลันก็ถึงบางอ้อว่าสนต้องการทำเป็นเดินเฉียดไปทางสาวน้อยคนนั้น เพื่อหาทางทำความรู้จักนั่นเอง

"ใบข้าว ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ" สนร้องทัก

ใบข้าวหันมามอง เธอทำหน้าแปลกๆ เพราะไม่ค่อยสนิทกับสนมากนัก แทบไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำ อยู่ดีๆ วันนี้ก็มาทัก แถมยังยิ้มแปลกๆ ให้อีก

"อ๋อ...กำลังจะกลับ พ่อใกล้จะมาถึงแล้ว" ใบข้าวตอบ พอเห็นต้นเดินตามมาสมทบอีกคนก็หันไปมองด้วย เธอจำต้นได้ นอกจากนี้ก็ยังรู้ด้วยว่าต้นกับสนเป็นเพื่อนรักกัน เพราะที่จริงคนก็รู้ทั้งโรงเรียน

"ทำไมพ่อมารับค่ำจังล่ะ" สนถามต่อ

"ช่วงนี้พ่อมีงานเยอะ ก็เลยเลิกค่ำ อ้าว พ่อมาพอดีเลย ไปก่อนนะ"

สิ้นคำสาวน้อยก็วิ่งถือกระเป๋านักเรียนไปหารถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่สีน้ำเงินๆ คันหนึ่ง ไม่แสดงท่าทีสนใจชายหนุ่มที่มาคุยด้วยสักนิด

"น่ารักว่ะต้น พอเขาไว้ผมยาวแล้วน่ารักขึ้นเยอะเลย มีเขี้ยวด้วย อึ๋มอีกต่างหาก" สนทำหน้าทะเล้นตอนท้าย

"สงสัยเขาจะไม่ชอบนายหรือเปล่า วิ่งหนีไปเลย" ต้นแสร้งพูดเล่นสนุก แต่ความรู้สึกหวิวๆ ในใจเริ่มก่อตัวอีกแล้ว ทุกครั้งที่สนจีบสาว ต้นมักจะมีความรู้สึกแบบนี้เสมอ แต่ก็ใช่ว่าจะชิน

"แรกๆ ก็งี้แหละ" สนหัวเราะเบาๆ "แต่เชื่อมือเราดิ อีกไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ ใบข้าวจะต้องเป็นแฟนเรา" สนยิ้มอย่างมีหวัง แววตาเป็นประกาย เขามั่นใจเพราะมีสาวๆ คลั่งไคล้ความหล่อของเขาหลายคน

กระแสเสียวแปลบพุ่งทะลุเข้าสู่หัวใจ ต้นได้แต่ยิ้มเศร้า ปีนี้เป็นปีที่สี่แล้วที่ต้นอยู่กับการแอบรักเพื่อน แต่ความรักไม่เคยคืบหน้าไปถึงไหนเลย เพราะต้นรู้ว่ามีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น ทางเลือกที่หนึ่ง เจ็บต่อไปและเป็นเพื่อนกับสนต่อไป ส่วนทางเลือกที่สอง บอกให้สนรู้และจบความเป็นเพื่อนกัน

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้นเลือกทางเลือกไหน

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ด้วยซ้ำ สนก็จีบใบข้าวเป็นแฟนสำเร็จ วันหนึ่ง ต้นก็มีเพื่อนมานั่งรอสนซ้อมบอลเพิ่มอีกคน ถึงเธอจะคุยกับต้นระหว่างรอ แต่เป้าหมายของเธอไม่ใช่ต้น และต้นก็คงไม่คิดแย่งแฟนเพื่อนอย่างแน่นอน

ใบข้าวบอกต้นว่าช่วงนี้พ่อของเธอกลับบ้านค่ำทุกวัน เพราะที่ทำงานมีออร์เดอร์ด่วนเข้ามาจำนวนมาก และอาจจะเป็นอย่างนี้ไปเกือบทั้งเดือน ปกติเธอจะกลับบ้านกับพี่ชาย แต่ตอนนี้ย้ายไปเรียนมหาลัยที่กรุงเทพแล้ว เธอก็เลยต้องรอพ่อมารับ พ่อจะรับแม่ที่ทำงานก่อน จากนั้นถึงมารับเธอที่โรงเรียนและกลับบ้านพร้อมกัน

"พี่สนบอกข้าวว่าจะเอาเสื้อทีมชาติมาเป็นของขวัญวันเกิดให้ข้าวด้วย อยากเอามาใส่ไวๆ จัง คงเท่น่าดู" ใบข้าวยิ้มร่า สายตาของเธอจับจ้องไปที่ชายหนุ่มซึ่งกำลังซ้อมบอลกับเพื่อนๆ อย่างขะมักขเม้น แม้ว่าจะเคยทำเป็นไม่สนใจสนตอนแรกๆ แต่ตอนนี้เธอดูคลั่งไคล้สนมากทีเดียว

ต้นฟังแล้วก็อดน้อยใจไม่ได้ วันเกิดของต้นก็อยู่ถัดจากวันที่สนไปแข่งคัดเลือกไม่กี่วันแท้ๆ แต่สนกลับไม่เห็นเคยบอกต้นเลยว่าจะเอาเสื้อกีฬาทีมชาติมาเป็นของขวัญให้ต้นบ้าง

"ข้าวเกิดวันไหนเหรอ" ต้นหันไปถาม

"สิบสี่ธันวา" ใบข้าวตอบเสียงใส ก่อนเอ่ยชวน "พี่ต้นอย่าลืมไปงานวันเกิดข้าวด้วยนะ ปีนี้พ่อบอกให้ข้าวชวนเพื่อนๆ ทุกคนมาที่บ้านเลย"

ต้นพยักหน้ารับ เพราะตามมารยาทก็ต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้ว เขายุติการสนทนากับแฟนของเพื่อนไปสักพัก สายตามองไปยังคนสำคัญกลางสนาม แม้ไม่อยากน้อยใจ แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ

กว่าพ่อของใบข้าวจะมารับ สนก็เลิกซ้อมพอดี ต้นไม่ได้เอาน้ำเตรียมไว้ให้เพื่อนเหมือนอย่างเคย เพราะมีคนทำหน้าที่นั้นแทนอีกแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ ต้นคิดว่าเขาจะเลิกมานั่งรอ เจ็บปวดหัวใจก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือ ต้นอยากปลดพันธนการออกจากสนให้ได้ การที่มีคนอื่นมาสนใจสนบ้าง เอาเวลาบางส่วนของสนไปจากต้น น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่ต้นจะค่อยๆ ปลดพันธนาการรักที่เป็นไปไม่ได้นี้เสียที

แต่วันนี้ ต้นก็ยังนั่งมอเตอร์ไซค์กลับบ้านกับสนอยู่ดี แต่ต่อไปต้นคงไม่ได้ทำแบบนี้บ่อยๆ อีกแล้ว

"ใบข้าวบอกว่าอาทิตย์หน้าพ่อกับแม่เขาจะกลับดึกมาก เขาจะให้เราไปส่งที่บ้านน่ะต้น" สนบอกระหว่างทางที่ขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจกลับบ้าน พ่อซื้อให้สนใช้ขับไปโรงเรียนตอนอยู่มอสอง ต้นก็ได้อาศัยไปกลับด้วยเป็นประจำ

"ก็ไปส่งเขาดิ" ต้นบอกสั้นๆ

"นายจะโกรธเราหรือเปล่า" สนทำหน้ากังวล เพราะเขารับส่งต้นเป็นประจำก็เลยเกรงใจ

"โกรธทำไม เรากลับกับซีลก็ได้"

"แล้วนายจะน้อยใจเราหรือเปล่า"

"ไม่น้อยใจหรอก อย่าคิดมาก" ต้นแสร้งหัวเราะ

"ก็คราวที่แล้วนาย..." สนหยุดพูดไปดื้อๆ คล้ายกับไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือเปล่า

"เราบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ ไปเหอะ อีกอย่าง...นายมีแฟนก็ดีแล้ว เพื่อนๆ จะได้เลิกล้อเราสองคนไง" ต้นแสร้งตลกอีก

"นายจะไปสนใจทำไมต้น ล้อก็ล้อไปดิ ไม่เห็นมีอะไรเลย ก็เรากับนายไม่ได้เป็นอะไรอย่างงั้นซะหน่อย นายไม่ชอบเหรอ"

"เปล่า แต่ว่า...พ่อเราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ นายก็รู้ เราเป็นลูกชายคนเดียว พ่อเขาไม่ชอบให้ใครมาล้อเราแบบนั้น" ต้นอ้างพ่อ ที่จริงพ่อเพียงบอกให้ต้นไม่ต้องไปสนใจ ไม่ถึงกับบอกว่าไม่ชอบ

"นายก็เหมือนกันนะสน" ต้นพูดต่อเพราะเห็นว่าสนเงียบไป "พ่อนายก็ไม่ชอบเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ก็เหมือนเรานั่นแหละ"

"แล้วไง นายพูดอย่างนี้ แปลว่านายไม่อยากไปไหนมาไหนกับเราแล้วเหรอ" น้ำเสียงของสนฟังดูไม่ค่อยพอใจ

"ไม่ใช่อย่างงั้นซะหน่อย เราแค่จะบอกว่า...นายมีแฟนก็ดีแล้ว พวกเพื่อนๆ มันจะได้เลิกล้อ พ่อของเราสองคนก็จะได้สบายใจด้วยไง" ต้นอธิบาย

สีหน้าของสนยังคงดูเครียด แต่ต้นไม่เห็นเพราะนั่งซ้อนท้ายข้างหลัง กระนั้นก็รู้ว่าบรรยากาศเปลี่ยนไปเพราะสนดูเงียบ

"นาย...จะเอาเสื้อกีฬามาให้เป็นของขวัญวันเกิดข้าวเหรอ" ต้นตัดสินใจถามหลังผ่านไปสักพัก

"อ๋อ...ใช่" สนตอบอึกๆ อักๆ ก่อนถามกลับ "นายรู้ได้ไง"

"เขาบอกเราเมื่อกี้"

สนหน้าเจื่อนเพราะกลัวต้นน้อยใจ ที่จริงสนตั้งใจจะบอกต้นเหมือนกันว่าจะเอาเสื้อทีมชาติมาเป็นของขวัญวันเกิดให้ต้นด้วย แต่สนดันไปบอกใบข้าวก่อน ครั้นจะบอกต้นตอนนี้ สนก็รู้สึกไม่ค่อยดี เพราะปกติต้นจะเป็นคนแรกที่สนนึกถึงเสมอ คราวนี้กลับพลาดไปอย่างไม่น่าให้อภัย

"อ๋อ..." สนพูดแค่นั้น จากนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

"พรุ่งนี้เราจะกลับกับซีลนะ มีรายงานต้องทำด้วยกัน ก็...น่าจะกลับกับซีลทั้งอาทิตย์เลย" ต้นเปลี่ยนเรื่อง

ไม่รู้ว่าสนคิดอะไรกับเรื่องที่ต้นบอก เขาเงียบไปเลย กระนั้น ต้นก็ถือว่าสนรับรู้แล้ว ในที่สุด ช่วงเวลาที่ต้องห่างเหินกันก็จะกลับมาอีกครั้ง ต้นได้แต่ขอโทษสนในใจที่ต้องทำอย่างนี้ เพราะต้นเจ็บเหลือเกิน แค่สนมีแฟนก็เจ็บปวดพอแล้ว พอเจอเรื่องเสื้อทีมชาติก็ยิ่งเจ็บเข้าไปอีก

หลังจากวันนั้น ต้นกับสนก็ห่างเหินกัน แม้ไม่ถึงกับไม่เจอกันเลย แต่ช่วงสัปดาห์นี้ต้นกับสนก็เจอกันน้อยกว่าแต่ก่อน หลังเลิกเรียนต้นไม่ได้มานั่งรอสนซ้อมฟุตบอลเหมือนเคย เลิกเรียนเสร็จก็ออกไปกับซีล กลับมาถึงบ้านก็มืดค่ำจนพ่อแอ๊ดกับแม่เยาเริ่มบ่น ตามประสาคนมีลูกชายคนเดียวก็ห่วงมากเป็นธรรมดา ต้นได้แต่แก้ตัวว่าต้องทำงานกับเพื่อน อีกอย่าง ซีลก็ค่อนข้างเป็นเด็กดี ไม่ชวนต้นไปเกเร พ่อกับแม่ต้นจึงลดความกังวลไปได้บ้าง

ปกติสนจะมานอนบ้านต้น บางวันต้นก็จะสลับไปนอนบ้านสน แต่ในช่วงสัปดาห์นี้กลับไม่มีเลย กระนั้น ก็ยังไม่ถึงขั้นที่พ่อแม่ทั้งสองบ้านจะสงสัย เพราะเข้าใจว่าต่างคนต่างยุ่งกับงานของตนในช่วงนี้

เที่ยงวันหนึ่งที่โรงอาหารโรงเรียน ต้นลงมากินข้าวกับเพื่อนตามปกติ เขาลงมากับซีลและป้องซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่สุดในห้อง พอเดินผ่านโต๊ะหนึ่งก็มีเสียงแซวพร้อมกับเสียงหัวเราะ

"เฮ้ยไอ้ต้น มึงโดนผัวทิ้งแล้วเหรอวะ"

ต้นกับเพื่อนหยุดชะงัก พอหันไปมองก็เห็นพระนายและเพื่อนๆ ห้องมอสี่ทับสองนั่งอยู่ มีสนนั่งรวมอยู่ด้วย ถ้าไม่โกหกตัวเองจนเกินไป ต้นยอมรับว่าโกรธมาก จนนึกอยากกระชากคอเสื้อคนล้อขึ้นมาชกสักเปรี้ยง

"ก็ผัวไปมีเมียใหม่แล้วนี่หว่า ใช่ไหม อะไรก็น้องข้าวๆ ไปส่งน้องข้าวมืดๆ ค่ำๆ ทุกวัน ไม่รู้ไปส่งถึงไหน เมียเก่าก็เลยตกกระป๋อง" เพื่อนอีกคนเป็นลูกคู่รับ เรียกเสียงหัวเราะชอบใจได้เป็นอย่างดี ราวกับเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดา

ต้นโกรธจนมือไม้สั่น แววตาเจ็บปวดฉายชัดขึ้นในดวงตา สนเห็นแล้วก็ทนไม่ได้ ปกติเขาไม่เคยโกรธเวลาเพื่อนล้อ แต่ครั้งนี้สนรู้สึกว่ามากเกินไป

"ไอ้นาย มึงพูดอย่างงี้ได้ไงวะ!" สนลุกขึ้นชี้หน้าพระนายซึ่งนั่งตรงข้าม ท่าทางเอาเรื่อง

"อะไรวะไอ้สน กูก็แค่พูดเล่น มึงจะอะไรขนาดนั้นวะ" พระนายเถียง ดูเหมือนเขาไม่กินเส้นกับสนนัก โดยเฉพาะหลังจากที่เป็นตัวเต็งคัดทีมชาติของโรงเรียนเหมือนกัน

"พูดเล่นเหี้ยอะไรของมึงแบบนี้วะ!" สนว่าเสียงดัง มือไม้สั่น เพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ต้องรีบเข้ามาหย่าศึก เพราะดูท่าจะเกิดศึกกลางวงกินข้าว

"ต้นไปเหอะ" ป้องบอกพลางจับต้นแขนของต้นแล้วลากเดินออกไป สีหน้าของซีลและป้องดูไม่พอใจมากทีเดียว

"ต้น มันไม่ใช่แบบนั้นนะต้น" สนร้องบอก

ดูเหมือนต้นจะไม่ได้ยิน เพราะเดินห่างออกไปแล้ว สนมองตามตาละห้อย สายตาเจ็บปวดของต้นทำให้สนแทบอยู่ไม่ได้ แต่สนกลับได้แต่มองตามเพื่อนไปเท่านั้น ต้นทำตัวห่างเหินจนสนไม่กล้าแม้แต่จะไปหา เหมือนกับว่าไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับสนอีกแล้ว ทั้งสิ่งที่พูดและทำต่างก็ส่อไปในทางนั้น

ป้องกับซีลหน้าถมึง คงจะโกรธแทนเพื่อนมากพอดู พอหาที่นั่งกินข้าวได้ ป้องก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน เขากระแทกจานข้าวลงแล้วก็สบถ "แม่ง เมื่อกี้กูเกือบจะต่อยมันแล้ว ไอ้เหี้ยนายนี่แม่งปากหมาจริงๆ"

ซีลกระแทกจานข้าวอย่างอารมณ์เสียบ้าง พอจะสบถก็หยุดเพราะเห็นต้นหน้าเศร้า เขาจึงหันไปปลอบ "มึงไม่ต้องไปสนใจมันหรอกไอ้ต้น ไอ้นายมันก็ปากหมาแบบนี้แหละ"

ต้นพยักหน้า เพื่อนๆ สองคนค่อยๆ เปลี่ยนอาการขึงขังลง เมื่อหันไปมองโต๊ะที่สนนั่ง ก็เห็นสนคอยมองมาอย่างเป็นห่วง แต่น่าแปลกที่สนกลับไม่เดินมาหา ป้องกับซีลรู้ว่าต้นกับสนสนิทกันมาก สนไม่มาหาแบบนี้ต้นก็เลยเศร้าเป็นธรรมดา

"เฮ้ยไอ้ต้น มึงกับไอ้สนมีปัญหาอะไรกันเปล่าวะ กูว่าหลังๆ นี้ไม่ค่อยเห็นมึงกับไอ้สนอยู่ด้วยกันเลย" ป้องถามอย่างเป็นห่วง

"ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนี้สนเขาซ้อมหนักไง" ต้นยิ้มกลบเกลื่อน

ป้องกับซีลมองหน้ากัน คล้ายกับสงสัยบางอย่าง แต่สักพักก็เปลี่ยนไปสนใจอาหารเที่ยงและคุยเรื่องอื่น แต่คุยกันไปคุยกันมา ซีลก็วกกลับมาพูดเรื่องสนอีกจนได้

"กูว่านะ ไอ้นายน่ะมันอิจฉาไอ้สน มึงรู้เปล่าว่ามันจีบน้องข้าวแข่งกับไอ้สนแล้ว" ซีลบอก ทั้งต้นและป้องต่างก็ตกใจพอๆ กัน

"จริงเหรอวะ" ป้องถาม

"เออ เมื่อวานกูเห็นไอ้นายมันจีบน้องข้าวอยู่ที่ห้องสมุด เห็นกันตั้งหลายคน แล้วน้องข้าวก็ดูเหมือนจะเล่นด้วยนะเว้ย" ซีลยืนยัน

พักหนึ่งป้องก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ "ที่กูรู้มานะว้ย น้องข้าวนี่ไม่ใช่ย่อยนะมึง มึงระวังเพื่อนมึงให้ดีเหอะไอ้ต้น ไปส่งน้องเขาถึงบ้านมืดๆ ค่ำๆ บ่อยๆ เดี๋ยวจะเสร็จ หรือเสร็จไปแล้วก็ไม่รู้" ป้องขำเบาๆ เหมือนเห็นเป็นเรื่องตลกมากกว่าเรื่องเครียด เพราะผู้ชายก็ชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว

หัวใจของต้นกระตุกวาบอย่างหนักหน่วงราวกับเป็นโรคหัวใจ รู้สึกเจ็บเหมือนกับคนกำลังกระอักเลือด นี่คือเรื่องที่ต้นไม่อยากรับรู้มากที่สุด แม้รู้ว่ามันจะต้องเกิดขึ้น แต่ก็ยากที่จะรับได้ ต้นไม่อยากจินตนาการเลยว่าสนกับน้องคนนั้นทำอะไรกันไปบ้าง ช่างน่าอนาถแท้ ต้นรักของต้นมานานแค่ไหน แต่กลับไม่มีโอกาสแม้แต่จะพูดความในใจด้วยซ้ำ สุดท้ายก็ต้องเสียของรักให้คนอื่น

หลังเลิกเรียนวันนั้น สนไปส่งใบข้าวที่บ้านเหมือนเช่นเคย เธอบอกว่าวันนี้พ่อกับแม่จะกลับดึกมาก อยากให้สนอยู่เป็นเพื่อน ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่สนเป็นผู้ชายย่อมดูออกว่าฝ่ายหญิงกำลังเชิญชวน เพื่อนของสนมีประสบการณ์แบบนี้หลายคนแล้ว

ใจหนึ่งสนก็กังวล เพราะเขาไม่ได้เตรียมเครื่องป้องกันมาเลย แต่ด้วยพลังแห่งวัยหนุ่ม เขาก็ยอมรับว่าอยากรู้อยากลองไม่น้อย เมื่อสาวน้อยเชิญชวนขึ้นไปบนห้องนอน สนก็ถึงกับใจเต้นรัว

"ข้าวมีอะไรจะให้พี่สนดูแน่ะ ขึ้นมาสิ" สาวน้อยบอกพลางเดินถือกระเป๋าขึ้นบันไดบ้านนำไปก่อน พอเห็นสนยังเฉยก็หันมาเรียก "มาสิ พี่สนไม่อยากดูเหรอ"

หน้าสนแดงและดูประหม่า ความผิดชอบชั่วดีในใจตีกันจนมั่ว แต่ครั้งนี้ความดีน่าจะแพ้ เพราะสนค่อยๆ วางกระเป๋านักเรียนลงและสาวเท้าตามขึ้นไป

ใบข้าวยิ้มพอใจ ด้วยความที่พ่อแม่มักกลับบ้านดึกบ่อยๆ ตั้งแต่ขึ้นมอสามมา เธอจึงมีประสบการณ์พาหนุ่มๆ มาบ้านบ้างแล้ว สนไม่ใช่คนแรกอย่างแน่นอน

พอมาหยุดอยู่หน้าห้อง ใบข้าวก็ส่งยิ้มแปลกๆ มาให้ ภาษาชาวบ้านเรียกว่ายิ้มยั่ว หนุ่มไหนเจอสาวยิ้มแบบนี้ใส่ในที่ลับตาคน ก็ยากที่จะหนีรอดไปได้

สายตาคู่นั้นท้าทายให้สนเดินเข้าไปหา และเขาก็เดินเข้าไปหาเธอเสียด้วย สนยังไม่เคยจูบผู้หญิงเลยสักครั้ง คราวนี้คงจะเป็นครั้งแรกอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อมาหยุดตรงหน้าสาวน้อยแสนสวยที่ยืนอ่อยหน้าประตู สนยังพอมีสติชั่งใจอีกเป็นเวลาสั้นๆ แต่ท่าทางยั่วยวนนั้นช่างกระตุ้นความกำหนัดจนเกินจะห้ามใจได้ สนตัดสินใจแล้วว่าจะยอมแพ้

ยังไม่ทันที่สนจะยื่นใบหน้าเข้าไปหา เสียงโทรศัพท์ของสนก็ดังขึ้นขัดจังหวะ เขาหยุดชะงัก ลังเลว่าจะรับดีหรือไม่ กระนั้นก็ยังหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ามาเพื่อดูว่าใครโทรหา ชื่อพ่อปรากฎบนหน้าจอเล็กๆ โทรศัพท์ที่สนใช้ยังไม่ใช่สมาร์ทโฟน เพราะราคาแพงและยังไม่เป็นที่นิยมในยุคนั้น

สนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม ไม่นานมันก็เงียบเสียงไปเอง จากนั้นเขาจึงเริ่มต้นการจู่โจมอีกครั้ง สองมือเขาจับไหล่สาวน้อยไว้ ก่อนยื่นใบหน้าเข้าใกล้ริมฝีปากอิ่มที่ยิ้มยั่วอย่างช้าๆ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างหยุดชะงักเป็นรอบที่อง

"รับก่อนก็ได้" ใบข้าวบอกอย่างไม่สบอารมณ์นัก

สนหยิบโทรศัพท์ออกมา ยังคงเป็นพ่อที่โทรมาเหมือนเดิม สนกดรับแล้วกรอกเสียงลงไป "ครับพ่อ"

"สนอยู่ไหนลูก กลับมาบ้านเร็ว ต้นโดนเพื่อนต่อยปากแตก แม่เยากับพ่อแอ๊ดกำลังซักใหญ่เลยว่าต้นไปมีเรื่องกับใครมา" เสียงพ่อบอกมาอย่างร้อนรน

สนตกใจและเบิกตาโต สติสัมปชัญญะทั้งหมดกลับคืนมาทันที "จริงเหรอครับพ่อ เดี๋ยวผมไปเดี๋ยวนี้ครับ"

สนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป่า ก่อนรีบวิ่งลงบันไดไป ฉวยกระเป๋านักเรียนบนโต๊ะ ก่อนรีบวิ่งออกไปหน้าบ้าน สตาร์ทรถแล้วขี่มอร์เตอร์ไซค์ออกไปทันที ไม่ฟังเสียงเรียกของใบข้าวเลยแม้แต่น้อย

คิดแล้วสนก็นึกโมโหตัวเอง เพราะถ้าสนอยู่กับต้น จะไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นแน่นอน เขาห่างเหินกับเพื่อนจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น น่าแปลกใจไม่น้อย ต้นไม่เคยมีเรื่องกับใคร นึกไม่ออกเลยว่าจะชกต่อยกับใครได้

อีกเรื่องที่นึกโมโหตัวเองก็คือเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ ถ้าพ่อไม่โทรมาตามเสียก่อน สนคงเผลอมีความสัมพันธ์กับสาวน้อยคนนั้นไปแล้ว ถ้าไม่ระวังก็อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันที่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังได้ สนจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว เขารู้สึกผิดเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกผิดมากขนาดนั้น

ไม่นานนักสนก็ขับรถมอร์เตอร์ไซค์มาถึงบ้านต้น ประตูบ้านเปิดค้างไว้ สนจึงไม่ต้องกดเรียกและเอารถเข้าไปจอดได้เลย มีเสียงคนคุยกันในบ้าน แต่ไม่มีใครออกมาดู คงเป็นเพราะทุกคนจำเสียงรถของสนได้ ไม่จำเป็นต้องออกมาดูก็รู้

สนจอดรถแล้วก็เดินจนแทบจะเป็นวิ่งเข้าไปในบ้านต้น ทุกคนนั่งล้อมอยู่บนโซฟา ต้นนั่งก้มหน้าอยู่ตรงกลาง คงอยู่ระหว่างการสอบสอนหรือไม่ก็สอบสวนเสร็จแล้ว พ่อกับแม่ของสนก็มานั่งฟังด้วย

"ต้น!"

เสียงเรียกของสนทำให้ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวกัน แต่สนกลับมองเห็นเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เขารีบถลาเข้าไปนั่งข้างๆ เพื่อนรัก พ่อแอ๊ดกับแม่เยาแทบหลบให้ไม่ทัน

"ต้น ใครทำอะไรนาย" สนถามอย่างเป็นห่วง น้ำตาลูกผู้ชายร่วงเผาะ เขาไม่เคยเห็นต้นอยู่ในสภาพเจ็บตัวขนาดนี้เลย

"เข้าใจผิดกับเพื่อนนิดหน่อย" ต้นตอบเบาๆ เป็นเพราะเจ็บปากอยู่ มีเลือดออกและบวมเจ่อพอสมควร

"เพื่อนคนไหน บอกเรามา เดี๋ยวเราจะไปจัดการมัน!" สนคาดคั้นเสียงดัง

"ใจเย็นๆ สน" พ่อแอ๊ดตบไหล่สนเบาๆ เป็นการเตือนสติ

สนลดท่าทางขึงขังลง ก่อนถามต้นอย่างเป็นห่วง "นายเจ็บหรือเปล่าต้น ทำแผลหรือยัง"

ต้นส่ายหน้า เพราะเมื่อกี้พ่อกับแม่ซักถามใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น พอพ่อจะพาไปทำแผล สนก็มาถึงพอดี

"งั้นขึ้นไปบนห้อง เดี๋ยวเราทำให้"

สนบอกแล้วก็จูงมือต้นพาเดินออกไป ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ได้แต่มองตาม ทุกคนรู้ว่าสนรักเพื่อนมาก เขาดูแลต้นมาอย่างดีเสมอ ตั้งแต่ต้นถูกเพื่อนแกล้งเอาประทัดโยนใส่ขาตอนปอห้า ก็ไม่มีใครแกล้งต้นได้อีกเลย เพราะสนคอยปกป้องมาตลอด พอเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้ สนคงเสียใจที่เขาไม่ได้มาช่วย

ต้นเดินตามสนขึ้นบันไดไปอย่างว่าง่าย พอเห็นสนร้องไห้แล้ว ต้นก็ตระหนักว่าสนยังคงเป็นห่วงต้นอยู่เสมอ นี่เองที่ทำให้ต้นตัดใจได้ยาก หลายวันที่ห่างๆ กันไปนั้น แทบไม่ช่วยเลยด้วยซ้ำ

"นายกินข้าวหรือยัง" สนถาม

"ยัง"

"เดี๋ยวทำแผลเสร็จ เราจะทำข้าวต้มให้นายกินนะ นายจะได้ไม่ต้องเคี้ยวไง"

สนเดินมาส่งต้นที่ห้องนอน พลันก็วิ่งลงบันไดมาเอาชุดปฐมพยาบาลขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เขาเป็นห่วงต้นมากจนไม่สนใจใครเลย แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อกับแม่นั่งมองอยู่ ไม่รู้ว่าคิดอะไรกับสิ่งที่เห็น การแสดงออกถึงความห่วงใยของสนครั้งนี้ จะว่าธรรมดาก็ธรรมดา จะว่าแปลกก็แปลก

กลับเข้ามาในห้องแล้วสนก็ช่วยเอาสำลีชุบยาทาแผลให้ต้นทันที เช็ดแผลไปเช็ดก็น้ำตาตัวเองไปด้วย จนต้นอดขำไม่ได้

"นายร้องไห้ทำไมน่ะสน เราแค่ปากแตกนิดเดียวเอง"

คำทักท้วงเรียกสติสนกลับคืนมาได้บ้าง เขาคงไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน นอกจากสงสารแล้ว ก็คงเป็นเพราะสนรู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่ดูแลต้นจนเกิดเรื่องแบบนี้ แถมยังกลัวต้นน้อยใจด้วย เพราะเพื่อนๆ พากันล้อว่าสนไม่สนใจต้นแล้ว

"ก็เราเป็นห่วงนาย" สนยิ้มเก้อๆ "นายเจ็บหรือเปล่า เราทำเบามือที่สุดแล้วนะ"

"นิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก แผลแค่นี้เอง" ต้นบอก ในใจนึกอยากพูดต่อว่า "แผลแค่นี้ไม่เจ็บเท่าไรหรอก แต่ที่มันเจ็บยิ่งกว่าคือแผลในใจต่างหาก!"

แต่ถึงต้นไม่พูด สนก็เหมือนได้ยินเสียงในใจนั้น เพราะแววตาของต้นดูเศร้า คล้ายกับจะขอร้องอ้อนวอนหรือเรียกหาอะไรบางอย่างจากสน สนถูกสะกดด้วยความรู้สึกที่ส่งผ่านจากแววตาคู่นั้น เขาจ้องมองดวงตาของต้นนิ่ง ไม่นานมือที่ช่วยเช็ดแผลก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้ เขาไม่สามารถทานทนแรงดึงดูดจากต้นได้เลย

เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้น สนมักจะกอดเพื่อน เขารู้ว่าความขัดแย้งจะหายไปเสมอ เพราะอกอุ่นของเพื่อนรักอย่างสนคือยารักษาหัวใจอย่างดีสำหรับต้น เพียงแต่สนไม่รู้ความจริงเท่านั้นเอง

"เราขอโทษนะต้น ต่อไป...เราจะไม่ทิ้งนายแบบนี้ เราจะไม่ให้ใครมาทำร้ายนายอีก เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมนะต้น เราคิดถึงนายรู้เปล่า เป็นห่วงนายด้วย" อารมณ์ของสนพลุ่งพล่าน แม้กระทั่งต้นก็ไม่เข้าใจอาการนี้

"รู้" ต้นตอบสั้นๆ สองมือกอดกอบเพื่อนรัก รู้สึกอบอุ่นหัวใจจนอยากหยุดเวลาไว้

"แล้วน้อยใจเราหรือเปล่า" สนถามเสียงเครือ

"ก็...นิดหน่อย" ต้นยอมรับตามตรง

"อย่าน้อยใจเรานะต้น นายเห็นไหม...เรากลับมาหานายแล้ว นายน่ะ...สำคัญที่สุดนะ" สนบอกแล้วก็กอดเพื่อนแน่นขึ้นอีก

"นายเป็นอะไรน่ะสน" ต้นตัดสินใจถาม

สนชะงักไปชั่วครู่ พลันก็สงสัยตัวเองเหมือนที่ต้นสงสัย พอหาคำตอบไม่ได้ เขาจึงตอบส่งเดช "เราไม่รู้"

เมื่อสนไม่รู้ ต้นก็จนปัญญาจะเข้าใจ สุดท้ายก็เป็นอย่างนี้อีกแล้ว ทุกครั้งที่ต้นจะเดินหนี สนก็มักจะตามมาฉุดรั้งไว้ บางครั้งต้นก็มีความหวัง แต่ส่วนมากต้นก็ผิดหวัง เพราะสนไม่รู้ว่าต้นคิดอะไร ถึงรู้...สนก็คงช่วยต้นไม่ได้อยู่ดี วันหนึ่งสนก็จะกลับไปรักผู้หญิงเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของต้นมีทางเดียวคือ...ตัดใจ!


- ติดตามตอนต่อไป -


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2017 16:10:06 โดย sarawatta »

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ตอนพิเศษ 7: จากเพื่อนสู่รัก (Part 2)



"เมื่อวานก่อนเลิกเรียน ครูท็อปเดินมาคุยกับเรา คุยแป๊บเดียว ครูท็อปเขาก็ลงไปข้างล่าง แล้วยังไงไม่รู้ เขาจับได้ว่าไอ้ชินมันแอบสูบบุหรี่ในห้องน้ำ ครูท็อปก็เลยบังคับให้ไอ้ชินเอาบุหรี่ขยี้ใส่น้ำ แล้วก็ให้มันกินจนหมดแก้ว มันอ้วกใหญ่เลย" ต้นเล่าขณะที่สนกำลังต้มข้าวต้มในห้องครัว ต้นมานั่งรออยู่ด้วยเพราะสนอยากฟังเรื่องที่เกิดขึ้น

สนยังคงไม่เข้าใจนัก เขารู้ว่าโรงเรียนเข้มงวดเรื่องยาเสพติดมาก เพราะเพิ่งได้รางวัลโรงเรียนสีขาวดีเด่นประจำจังหวัดนครปฐมมา จึงต้องการรักษามาตรฐานและภาพลักษณ์ของโรงเรียนไว้ นักเรียนคนไหนถูกจับได้ว่าสูบบุหรี่ กินเหล้า เล่นการพนันหรืออบายมุขอื่นๆ จะโดนลงโทษหนัก ถูกให้ออกจากโรงเรียนก็มีมาแล้ว

"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายล่ะ" สนหันแวบมาถาม ก่อนหันกลับไปกวนข้าวต้มในหม้อต่อ

"เกี่ยวสิ ก็ไอ้ชินมันเข้าใจว่าเราเป็นคนไปฟ้องครูท็อปไง มีคนไปบอกมันว่าเห็นเราคุยกับครูท็อป แต่เราไม่ได้ฟ้องนะ เราแค่คุยเล่นเฉยๆ ตอนที่นายออกไปกับน้องข้าว ไอ้ชินมันมาหาเรื่องเรา เราก็บอกมันแล้วว่าเราไม่ได้ฟ้อง มันก็ไม่เชื่อ มันก็เลยต่อยเราเลย ดีนะไอ้ป้องกับไอ้ซีลมาช่วยห้ามไว้ทัน ก็เลยโดนแค่หมัดเดียว แต่แม่งต่อยหนักชิบเป๋งเลย" ต้นพูดติดตลกตอนท้าย

สนหยุดกวนข้าว หันมามองต้นพร้อมกับใช้ความคิด ผ่านมาสักพักสนก็ใจเย็นลง เพราะต้นเองก็ไม่ถึงกับเจ็บมาก ที่สนลนลานและร้องไห้เมื่อกี้เพราะสนรู้สึกผิดมากกว่า

"เอางี้ เราถามนายอย่างงี้ละกันต้น นายบอกเรามาเลย จะให้เราทำยังกับไอ้ชิน ถ้านายจะให้เราแก้แค้นให้ เราก็จะไปต่อยมันให้นาย แต่ถ้านายไม่อยากแก้แค้น เราก็จะปล่อยมันไป"

ต้นทำหน้าแปลกใจ ปกติสนจะอารมณ์ร้อนเวลาเจอเรื่องแบบนี้ คราวนี้กลับดูใจเย็นขึ้น แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว

"ช่างมันเหอะ เราไม่อยากมีเรื่องกับใคร นายไปต่อยมัน มันก็จะต่อยนายคืน เราไม่อยากให้นายปากแตกเหมือนเราหรอก"

สนยิ้มและพยักหน้าเห็นด้วย "โอเค นายว่าไง...เราก็ว่าตามนั้น เราเชื่อฟังนายคนเดียวอยู่แล้ว"

... ... ...

เมื่ออาหารเสร็จเรียบร้อย สนก็ตักข้าวต้มหมูสับใส่ชามและยกมาเสิร์ฟให้ต้นก่อน ก่อนนั่งลงข้างๆ พร้อมกับโอ้อวดสรรพคุณอาหารไปด้วย

"มาแล้ว ข้าวต้มหมูสับหอมๆ ฝีมือเพื่อนสน ไม่ใส่ผงชูรส กินง่าย เหมาะสำหรับคนป่วย"

"เราไม่ได้ป่วยซะหน่อย แค่โดนต่อยเฉยๆ" ต้นว่า พลันก็ทำหน้าสงสัย "อ้าว แล้วทำไมตักมาแค่ชามเดียวล่ะ นายไม่กินเหรอ"

"เดี๋ยวกิน ป้อนนายก่อน"

"เฮ้ย ไม่ต้องป้อนหรอก เรากินเองได้" ต้นทำหน้าตกใจ

"เรารู้ว่านายกินเองได้ เราก็ไม่คิดจะป้อนนายทุกวันอยู่แล้ว แต่วันนี้นายเจ็บ เราก็อยากดูแลไง ให้เราดูแลนายได้เปล่า" สนทำท่าเว้าวอน

"เอางั้นเหรอ" ต้นทวนถาม สีหน้ายังดูไม่แน่ใจ เพราะปกติไม่เคยดูแลกันถึงขนาดป้อนข้าวป้อนน้ำ

สนพยักหน้าเร็วๆ จากนั้นก็ทำมึนด้วยการตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าสองสามที พอเห็นว่าน่าจะกินได้จึงส่งไปจ่อที่ปากของเพื่อน ต้นจึงต้องตกกระไดพลอยโจน ยอมอ้าปากรับอาหารแต่โดยดี

"อร่อยไหม ร้อนเปล่า" สนถามอย่างเป็นห่วง

"อร่อยดี" ต้นพยักหน้าไปด้วย "ปกตินายก็ทำอาหารอร่อยอยู่แล้วนี่ หลับตาทำยังอร่อยเลย"

"ขนาดนั้นเลยเหรอ" สนหัวเราะ ก่อนตักข้าวขึ้นมาเป่าสองสามครั้งและส่งเข้าปากต้น

"ตายจริง! นี่ถึงกับต้องป้อนข้าวป้อนน้ำกันเลยเหรอลูก"

แม่ของต้นมาเห็นเข้าพอดี ต้นกับสนหยุดชะงักและหันไปมองพร้อมกัน ต้นกลืนข้าวลงคออย่างเร็ว แล้วก็รีบบอก

"ต้นบอกสนแล้วน่ะแม่ว่าต้นจะกินเอง แต่สนเขาไม่ยอม"

สีหน้าแปลกใจพลันเปลี่ยนเป็นตลก แม่ของต้นหัวเราะชอบใจเบาๆ พอหยุดหัวเราะเธอก็บอก "เดี๋ยวแม่กับพ่อจะไปบ้านผู้ใหญ่แป๊บนึงนะลูก พอดีเขาจะขอให้พ่อกับแม่ไปเป็นกรรมการหมู่บ้าน"

"แม่เยากับพ่อแอ๊ดกินข้าวแล้วเหรอครับ" สนถาม

"กินแล้วลูก กินก่อนต้นจะกลับนั่นแหละ พอดีมีเรื่องซะก่อนก็เลยยังไม่ได้ไป แม่ฝากดูต้นด้วยนะสน แม่ไปละ"

"ครับแม่เยา" สนรับปากและยิ้มให้กับผู้สูงวัยกว่า

สนกับต้นหันกลับมาสนใจอาหารตามเดิม ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถยนต์แล่นออกไปจากบ้าน พ่อแอ๊ดกับแม่เยาคงออกไปแล้ว

... ... ...

กินข้าวเสร็จ ต้นก็ขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนสนนั่งกินข้าวอยู่ในครัวข้างล่าง ขณะที่ต้นถอดกางเกงออก ประตูห้องก็พลันเปิดออก เขาตกใจจนต้องรีบหันไปมอง สนนั่นเอง

"อาบน้ำได้เปล่า ให้เราช่วยไหม" สนถามพลางเดินเข้ามาในห้อง

"โธ่ นึกว่าอะไร เราอาบเองก็ได้ แขนขาเราไม่ได้เป็นไรซะหน่อย" ต้นบอก รู้สึกเขินเล็กน้อยที่ยืนอวดรูปร่างต่อหน้าเพื่อน มีเพียงกางเกงในสีขาวๆ ตัวเดียวปกปิดส่วนนั้น

"เออ จริงด้วย" สนหัวเราะเก้อๆ ยืนหันรีหันขวาง สักพักก็เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ตากไว้ตรงระเบียงมาส่งให้ถึงมือต้น ขณะยื่นให้ก็มองต่ำลงไป

"มองอะไร" ต้นถาม ท่าทางดูไม่ค่อยมั่นใจ

"เปล่า" สนพูดยิ้มๆ "มันโตขึ้นเยอะเลยนะ"

ต้นรีบเอาผ้าเช็ดตัวมาพันกาย ก่อนจะไล่เพื่อนไปกินข้าว "ไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก"

สนหัวเราะชอบใจ จากนั้นจึงเดินออกไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข

... ... ...

หลังกินข้าวสนก็ไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านตัวเองมา เอาชุดนักเรียนมาด้วยเพราะจะได้ใส่ไปเรียนพรุ่งนี้เลย มาถึงต้นก็อาบน้ำเสร็จพอดี สนจึงสลับไปอาบน้ำบ้าง เขามานอนห้องต้นบ่อยๆ จึงคุ้นชินกับการใช้ชีวิตที่นี่เป็นอย่างดี ตั้งแต่ย้ายมาอยู่กำแพงแสน สนก็แทบไม่เคยนอนคนเดียวเลย ต่างคนต่างก็สลับไปนอนบ้านอีกฝ่ายตลอดมา

อาบน้ำเสร็จสนก็ทำการบ้านวิชาฟิสิกส์ เป็นเรื่องทฤษฎีจลน์ของก๊าซ เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก ยิ่งหลังๆ โฟกัสการเล่นฟุตบอลมากขึ้น เขาก็เริ่มมีปัญหากับวิชายากๆ พวกนี้ ดีทีว่ามีต้นคอยช่วยติวให้

ระหว่างทำการบ้าน ต้นก็หานมอุ่นๆ มาให้สนดื่ม สนชอบดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอนมาก เพราะดื่มแล้วช่วยให้หลับสบาย ปกติแม่ของต้นจะเป็นคนทำให้ วันไหนแม่ไม่อยู่ต้นก็จะทำให้สนเอง

ที่จริงสนเป็นคนหลับง่ายพอสมควร เคยนั่งหลับในร้านเกมส์มาแล้ว เพราะสนมักจะง่วงไวถ้าอยู่ในที่ที่มีแสงสลัวๆ เขาจึงไม่ค่อยไปเล่นเกมส์ในร้าน ถ้าอยากเล่นก็จะมาบ้านต้น พ่อของต้นซื้อเกมส์เพลย์สเตชั่นมาไว้ให้เล่นที่บ้าน ด้วยความที่ทั้งสองบ้านต่างมีลูกชายคนเดียว ต้นกับสนจึงถูกเลี้ยงมาแบบกึ่งปิด ไม่ถึงกับไม่ให้ไปไหน แต่จะไปไหนพ่อแม่ต้องรับรู้ ที่สำคัญ ต้นกับสนมักจะไปด้วยกันเสมอ เขาสองคนจึงผูกพันกันมาก

กว่าการบ้านจะเสร็จก็เลยสี่ทุ่มไปหน่อย ทำเสร็จสนก็กระโดดขึ้นเตียงนอน ต้นแอบโวยเล็กน้อยที่สนไม่ยอมดูแล ปล่อยให้เขาปิดไฟให้

"อะไรเนี่ย เสร็จแล้วก็นอนก่อนเลย ไหนว่าจะมาดูแลเราไง"

"ก็เราง่วงน่ะ นอนดีกว่า ปิดไฟเร็ว" สนเร่ง

ต้นส่ายหน้าไปมา ก่อนเดินไปปิดไฟและกลับมาที่เตียงนอน พอต้นขึ้นมานอน สนกลับชวนคุยด้วย

"เวลาป่วย เราต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น จะได้หายไวๆ รู้เปล่า"

"ไหนว่าง่วงไง" ต้นย้อน แต่สีหน้าก็ยิ้ม "ก็นี่ไง ห่มผ้าแล้ว"

"แล้วมันอุ่นพอหรือเปล่า"

"ก็อุ่นอยู่นะ อีกอย่างเราก็ไม่ได้ป่วยด้วย แค่ปากแตกเฉยๆ" ต้นเถียง

"นั่นแหละ ปากแตกก็ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น จะได้หายไวๆ ไง" สนแย้ง

ต้นขมวดคิ้ว เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าสนต้องการอะไร เขาห่มผ้าแล้ว แอร์ก็ไม่ได้เปิดเย็นมาก ผ้าห่มก็หนานุ่มพอสมควร เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

"นายจะให้เรานอนกอดนายเลยไหมล่ะ" ต้นพูดเล่น แต่ถ้าห้องยังสว่างอยู่ ต้นอาจจะเห็นแววตาที่แปลกไปของสนแล้ว

น่าแปลกที่สนเงียบไป ไม่ใช่เพราะหลับไปแล้ว แต่เหมือนกำลังคิดหรือตัดสินใจบางอย่าง ทว่าต้นก็ไม่รับรู้ นึกว่าสนง่วงและไม่อยากคุย ต้นจึงหันหน้ากลับไปตามเดิม พักหนึ่งต้นก็นอนตะแคงและหันหน้าไปอีกด้าน เขาอยากใช้ความคิดกับตัวเองเงียบๆ

พลันต้นก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหว เพราะมีเสียงผ้าห่มเสียดสีกันสวบสาบ พอจะหันไปมอง ร่างส่วนอกของเขาก็ถูกใครบางคนดึงรวบเข้าหา ต้นเบิกตาโตด้วยความตกใจ เมื่ออยู่กันสองคนก็คงจะเป็นใครอื่นไม่ได้

"แบบนี้อุ่นพอหรือยัง" เสียงนุ่มๆ ถามมา แหล่งกำเนิดเสียงนั้นอยู่ใกล้หูมากทีเดียว น้ำเสียงคนพูดก็ดูสั่นๆ คล้ายกับประหม่าหรือตื่นเต้น

อกอุ่นแนบประทับอยู่ด้านหลัง สัมผัสแนบชิดช่างให้ความรู้สึกประหลาดล้ำ ต้นใจสั่นเต้นรัว หายใจไม่ทั่วท้อง ทั้งอบอุ่นและวาบหวามใจไปพร้อมๆ กัน ในหัวคิดไปต่างๆ นาๆ แต่ออกจะไปในทางงุนงงสงสัยมากกว่า ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา สนไม่เคยกอดต้นแบบนี้เลย

'สน...นายก็โตเป็นหนุ่มแล้ว กอดเราแบบนี้ นายจะให้เราคิดว่ายังไง'

ต้นคิดในใจ แต่จะให้พูดอย่างนี้จริงๆ ก็คงไม่กล้า

"ร้อนแล้ว" ต้นบอก พอทำท่าจะดิ้นหนี สนก็กลับกอดรัดไว้แน่นขึ้น

"หายน้อยใจเราหรือยัง" สนถามด้วยเสียงที่ยังสั่นอยู่ จะว่าไปเขาก็รู้สึกปั่นป่วน กลิ่นกายของต้นติดจมูกจนนึกอยากซุกหน้าลงสูดดมกลิ่นหอมเฉพาะตัวให้รู้แล้วรู้รอด ผิวของต้นนั้นเล่าก็เนียนลื่นมือจนอยากลูบไล้ไปทั่วสรรพางกาย

"หายแล้ว" ต้นตอบโดยไม่หันไปมองหน้า

"ขอโทษนะที่เราไม่ได้มาดูแลนายเลย"

"ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าใจ"

"นายพูดแบบนี้ แสดงว่านายยังไม่หายน้อยใจใช่ไหมล่ะ" สนท้วง

"เปล่า" ต้นตอบสั้นๆ ยิ่งโดนกอดไม่ปล่อยก็ยิ่งใจเต้น

"งั้นพรุ่งนี้ ไปโรงเรียนกับเราเหมือนเดิมนะ"

"อืม"

"ตอนเย็นๆ ไปนั่งดูเราซ้อม แล้วก็กลับบ้านด้วยกัน โอเคไหม"

"แล้วแฟนนายล่ะ"

"แฟนก็ส่วนแฟนสิ ก็นายเป็นเพื่อนของเรา ถึงเราจะมีแฟน เรากับนายก็จำเป็นต้องห่างกันก็ได้ จริงไหม"

"แล้วนายต้องไปส่งข้าวที่บ้านหรือเปล่า"

"ไม่ไปแล้ว เดี๋ยวพ่อเขาก็มารับ ช่วงนี้เขาไม่กลับเย็นแล้ว ตกลงตามนี้นะต้น" สนทำเสียงเว้าวอน

"อืม" ต้นตอบยิ้มๆ

"เย้" สนทำเสียงดีใจ พลันกอดต้นแน่นขึ้นอย่างลืมตัว

"เราหายใจไม่ออก" ต้นว่า กระนั้นก็หัวเราะชอบใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย

สนพลิกตัวต้นให้หันมามองหน้ากัน แม้ในความมืดสลัว ดวงตาของมนุษย์ก็ยังสื่อสารความรู้สึกให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ กระนั้นก็ยากที่จะตีความ หรืออาจจะไม่กล้าก็ได้

"หายเจ็บยัง" สนถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง อยู่ๆ ก็นึกอยากจะเอานิ้วมือไปแตะที่ริมฝีปากนั้น ช่วงหลังๆ มานี้ เขาชอบอยู่ใกล้ๆ ต้น ให้ร่างกายได้สัมผัสกัน เขาชอบบรรยากาศที่อบอุ่นระหว่างเขากับต้นแบบนี้

"ไม่ค่อยเจ็บแล้ว" ต้นบอก พลันก็นึกสนุก "เราว่าเราหาแฟนมั่งดีกว่า ต่อไปจะได้ให้แฟนมาดูแล"

"อ้าว แล้วเราล่ะ" สนรีบท้วง

"นายเหรอ" ต้นทำท่านึก "ก็ไปดูแลแฟนนายดิ"

"อ้าว จะไปดูแลได้ไงตอนกลางคืน นายจะให้แฟนนายมาดูแลนายตอนกลางคืนด้วยเหรอ แม่นายเอาตายเลย" สนหัวเราะ ก่อนถามด้วยสีหน้าทะเล้น "พูดแบบนี้...แสดงว่ามองสาวที่ไหนไว้แล้วใช่ไหมล่ะ"

"โธ่ ไม่อยากจะคุย เราก็มีคนมาชอบเหมือนกัน แต่เราไม่เล่นด้วยเท่านั้นแหละ" ต้นโว

"เล่นตัวเหรอ" สนแหย่

"ก็ยังไม่ถูกใจไง"

"แล้วนายชอบสาวแบบไหน ขาวๆ อึ๋มๆ ผมยาว ตาโต สวยคม สวยหวานหรือสวยแบบน่ารักล่ะ"

"ไม่บอก ไม่ใช่แบบที่นายชอบก็แล้วกัน" ต้นเฉไฉ

"โธ่ อะไรเนี่ย เป็นเพื่อนกันทำไมไม่บอกกันล่ะ เรายังกล้าบอกนายเลยนะว่าเราชอบสาวแบบไหน" สนท้วง

"ไม่บอก จะนอนแล้ว"

ว่าแล้วต้นก็พลิกตัวหนี สนกลับตามมารวบกอดทางด้านหลังไว้อีก จากนั้นเขาก็ขู่

"ถ้าไม่บอก เราก็จะไม่ปล่อยนาย"

ต้นแอบขำเบาๆ จากนั้นก็เงียบ ไม่มีเสียงพูดใดๆ ระหว่างสองคน สนขู่แบบนี้ก็ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นต้นก็จะไม่บอก เพราะนี่คือโอกาสที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ต้นเคยฝันไว้ว่าวันหนึ่งจะได้อยู่ในอ้อมกอดของคนรักแบบนี้ คืนนี้มันก็เป็นจริงแล้ว แม้ว่าตื่นมาจะพบความจริงอีกอย่าง ต้นก็พอใจกับความสุขสั้นๆ ที่ได้รับ

ไม่รู้ว่าสนต้องการคำตอบจากเพื่อนหรือเปล่า เขาดูเหมือนพอใจที่อีกฝ่ายเงียบ เมื่อต้นอยู่ในอ้อมแขน เขาก็ไม่ต้องการสิ่งใด เพียงแต่เขาไม่รู้คำตอบในหัวใจของตัวเองเท่านั้น หากเขาเอะใจสักนิด ก็คงจะรู้ว่าความรู้สึกที่เขามีให้ต้นเริ่มเลยจากความเป็นเพื่อนไปไกลแล้ว

... ... ...

กลิ่นคาวๆ และคราบขาวขุ่นบนเป้ากางเกงในสีขาวพาให้นึกฉงน ไม่นานสนก็นึกออกว่ามันคืออะไร เขาตกใจไม่น้อยที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น

ฝันเปียก!!!

เขาจำได้ว่าเคยฝันเปียกเมื่อตอนเป็นวัยรุ่นใหม่ๆ แต่ไม่นานก็รู้วิธีจัดการความต้องการของตัวเองจากเพื่อนๆ และหนังสือ จากนั้นก็แทบไม่เคยฝันเปียกอีกเลย

เมื่อนึกทบทวน สนก็สงสัยว่าเป็นเพราะเขานอนกอดต้นเมื่อคืนหรือเปล่า ความแนบชิดเสียดสีคงทำให้ร่างกายเกิดความต้องการในยามหลับใหล จึงต้องหาทางปลดปล่อย ที่จริงมันก็ไม่ควรจะเป็นเรื่องแปลก แต่ที่มันแปลกเพราะต้นเป็นเพื่อน ทำไมสนจึงฝันเปียกกับเพื่อนไปได้!?

"เฮ้ย! อะไรวะเนี่ย" สนรำพึงกับตัวเองเบาๆ

เขาไม่รู้ว่าจะตอบตัวเองอย่างไร จึงหยิบกางเกงใส่นอนที่ถอดออกเมื่อครู่มาใส่ใหม่ ก่อนใส่เสื้อตัวเดิมตามไปด้วย เมื่อเรียบร้อยเขาก็วิ่งไปคว้าชุดนักเรียนและกระเป๋ามาถือไว้

"ต้น เดี๋ยวเราไปอาบน้ำที่บ้านเรานะ เดี๋ยวมา" สนตะโกนบอก

"อ้าว ทำไมล่ะ เรากำลังจะอาบเสร็จแล้ว" ต้นตะโกนออกมาจากในห้องน้ำ

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรามา"

สนบอกแล้วก็หอบเสื้อผ้าและกระเป๋าวิ่งออกไป เพราะเขาไม่สามารถใส่กางเกงในตัวนี้ต่อได้ จึงต้องเอาไปเปลี่ยนที่บ้าน

... ... ...

พอได้มาโรงเรียนด้วยกันอีกครั้ง สนก็ยิ้มแป้นมีความสุข แม้ว่าเพื่อนๆ จะแซวเรื่องเมียน้อยเมียหลวง เขาก็ไม่เก็บมาใส่ใจ ขณะที่กำลังจะเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้อง เสียงใครบางคนก็เรียกชื่อเขามาจากข้างหลัง

"พี่สน รอข้าวด้วย"

เมื่อหันไปมอง ก็เห็นใบข้าวเดินแกมวิ่งตามมา สีหน้าของเธอดูดีใจมากทีเดียวที่ได้เจอสน สองหนุ่มจึงหยุดยืนรอก่อนขึ้นบันไดชั้นเรียน

"อ้าวข้าว มีอะไรหรือเปล่า" สนถามพลางยิ้ม

เมื่อตามมาทัน สาวน้อยก็ยิ้มร่าพร้อมกับยื่นบางอย่างให้ "ข้าวเอานี่มาให้"

ต้นกับสนมองไปที่ของสิ่งนั้นพร้อมกัน ในมือของใบข้าวมีรูปใบเล็กๆ เมื่อดูดีๆ ก็เห็นว่าเป็นรูปของเธอเอง

"พี่สนเอากระเป๋าตังค์มาสิ" ใบข้าวบอก เมื่อเห็นปากต้นเจ่อๆ เธอก็สงสัย "อ้าวพี่ต้น ปากไปโดนอะไรมา"

"หกล้มเมื่อวาน" ต้นตอบสั้นๆ

"อ้าวเหรอ เป็นไรมากหรือเปล่า"

ต้นส่ายหน้า ใบข้าวจึงเลิกสนใจและหันไปรบเร้าแฟนหนุ่ม "พี่สนเอากระเป๋าตังค์มา"

เมื่อโดนเร่ง สนจึงต้องควักกระเป๋าสตางค์จากกางเกงนักเรียนส่งให้ ใบข้าวรับไปแล้วก็รีบเปิดดู

"นึกว่าจะมีรูปใครอยู่ซะอีก" ใบข้าวหัวเราะ จากนั้นก็เอารูปที่เธอเตรียมมาสอดเข้าไปในช่องใส่รูปใสๆ ในกระเป๋าสตางค์ใบนั้น "เอาไว้ให้พี่สนดู เวลาไปแข่ง จะได้มีกำลังใจไง"

"อ้อ" สนรับคำอย่างงงๆ

"ต้องเอาเสื้อทีมชาติมาให้ข้าวให้ได้ด้วยน้า เนี่ย...ข้าวบอกเพื่อนๆ ในห้องแล้วว่าพี่สนจะเอาเสื้อทีมชาติมาให้" สาวน้อยบอกอย่างอารมณ์ดี

"เดี๋ยวเราเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องก่อนนะสน นายคุยกับข้าวไปก่อนละกัน" อีกคนที่ยืนอยู่บอก เขารู้สึกเหมือนเป็นอากาศธาตุ สุดท้ายจึงทนไม่ไหวจนต้องขอหลบหน้าหนีไปก่อน

สนทำท่าจะเรียกไว้ แต่ต้นก็วิ่งขึ้นบันไดไปเสียก่อน เขาจะวิ่งตามไปก็เกรงใจแฟนสาว จึงต้องอยู่คุยกับเธอ กระนั้น สีหน้าก็ดูไม่ค่อยเป็นสุขนัก

"พี่ต้นเขารีบเหรอ" ใบข้าวถามพลางมองตามด้วยความสงสัย คำถามนี้เปิดช่องให้สนแก้ตัวได้อย่างเหมาะเจาะ

"ใช่ๆ พี่ก็ต้องรีบไปเหมือนกัน ต้องรีบเอาการบ้านไปส่งน่ะ งั้นพี่ไปก่อนนะ"

ใบข้าวยังไม่ทันตอบ สนก็วิ่งปรื๋อตามต้นขึ้นไป ไม่ฟังเสียงทัดทานจากสาวน้อย เมื่อขึ้นมาชั้นสอง สนก็เห็นต้นเดินช้าๆ ตรงไปที่ห้องเรียน เขาจึงรีบวิ่งไปดักหน้าไว้

"มา เดี๋ยวเราช่วยถือ" สนบอกพลางคว้ากระเป๋าเรียนจากมือต้นมาถือไว้ แต่อีกฝ่ายก็แย้ง

"ไม่ต้องหรอก เราถือเองได้"

"รู้ แต่เราบริการเพื่อนไม่ได้เหรอ ไปเร็ว เดี๋ยวจะได้ไปเล่นบาสกัน"

สนรุนหลังเพื่อนให้เดินตาม จากนั้นก็กอดคอ พอมาถึงห้องก็เอากระเป๋าไปเก็บที่โต๊ะให้ต้น พูดคุยทักทายกับเพื่อนๆ ในห้องของต้นไปด้วย ที่แน่ๆ ก็โดนแซวเหมือนเดิม ไม่พ้นเรื่องผัวเมียที่เขาได้ยินมาจนชิน

ไม่ถึงห้านาทีสนกับต้นก็มาอยู่ที่สนามบาสของโรงเรียน มีคนเล่นอยู่ก่อนแล้วสามสี่คน ต้นกับสนจึงขอเข้าไปเล่นด้วย วันนี้ไม่มีเวรทำความสะอาดจึงไม่ต้องกังวล

พอเล่นกีฬาต้นก็มีรอยยิ้ม ใบหน้าเศร้าเมื่อสักครู่นี้หายไปแทบไม่เหลือร่องรอยแล้ว สนพอใจมากทีเดียว เมื่อกี้เขาไม่รู้ว่าต้นคิดอะไรบ้างตอนที่ใบข้าวเอารูปของเธอมาใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ แต่สนก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าต้นเปลี่ยนไป แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้สนอยู่ไม่สุขแล้ว

ระหว่างที่เล่น สนคอยจับตามองเพื่อนรักแทบตลอดเวลา เขาดีใจและมีความสุขที่ได้เห็นต้นยิ้มและหัวเราะ แม้ว่าความสัมพันธ์ที่ใครรับรู้จะเป็นเพียงเพื่อน กระนั้น สนก็พบว่าตั้งแต่รู้จักต้นมา บางอย่างบอกเขาให้คอยดูแลและปกป้องผู้ชายคนนี้ เขาจึงทำอย่างนั้นมาตลอด พ่อแม่ก็มักบอกเสมอว่าให้ดูแลต้นเวลาไปไหนด้วยกัน นานเข้าความเชื่อนี้ก็ฝังอยู่ในจิตสำนึก

คราวนี้สนคงกลัวต้นน้อยใจและห่างเหินไปอีก เขาจึงตามต้นไม่ห่าง แถมยังคอยหลบหน้าใบข้าว ตอนไปเข้าแถวสนก็ไปกับต้น เลิกแถวสนก็เดินมาส่งต้นที่ห้องเรียนก่อนจะไปห้องของตัวเอง แต่ก่อนแยกกันสนก็คุยกับต้นสั้นๆ

"อย่าลืมนะต้น ตอนเที่ยงเราจะมากินข้าวด้วย แล้วก็...ตอนเย็นๆ รอกลับกับเรานะ"

ต้นพยักหน้าตกลง "อืม"

"อ้อ" สนทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ "เย็นนี้กลับบ้าน นายหารูปเล็กๆ ให้เราด้วยนะ"

ต้นเอียงคอ "นายจะเอาไปทำอะไร"

สนไม่ตอบด้วยคำพูด เขาตบลงไปที่กระเป๋ากางเกงข้างที่มีกระเป๋าสตางค์อยู่ แค่นี้ต้นก็น่าจะรู้ รอยยิ้มของต้นจึงปรากฎขึ้นที่ใบหน้า เรื่องนี้สนยังพอหาทางแก้ปัญหาได้ แต่เรื่องเสื้อทีมชาติสนยังนึกไม่ออก เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่อยากบอกต้นเป็นคนที่สอง ไม่อย่างนั้นเขาก็ต้องเลิกคิดเรื่องนี้ไปเลย หาอย่างอื่นมาเป็นของขวัญให้ต้นดีกว่า

"เราไปก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน" สนตบไหล่ต้นเบาๆ

"อืม" ต้นส่งยิ้มให้อีกครั้ง ไม่เห็นความเศร้าในรอยยิ้มนั้นแล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวก็คงเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดี

รอยยิ้มของต้นประทับลงในใจของสนครั้งแล้วครั้งเล่า วันแล้ววันเล่า สาวยิ้มอาจทำให้สนอ่อนระทวย แต่ยิ้มของต้นทำให้สนอิ่มสุข สนไม่เข้าใจ ได้แต่ยอมจำนนกับรอยยิ้มนี้เรื่อยมา หวังว่าวันหนึ่งสนคงจะรู้คำตอบ แต่สนคงไม่รู้ว่า...

นั่นคือวันที่สนจะไปไหนจากต้นไม่ได้อีกแล้ว!


- ติดตามตอนต่อไป -


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2017 16:17:18 โดย sarawatta »

ออฟไลน์ [x]-SayHi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษครับ ^^-

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
จากตอนพิเศษ: 5 - 1
แอบมาทิ้งทุ่นระเบิดให้หน่วงอีกแล้วนะคะ จริงๆ เรื่องที่ต้นเอามาเก็บมาคิดมันเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นะ แต่ว่า ชีวิตจริง เรื่องเล็กๆ นี่แหละ ที่เป็นสาเหตุให้คนเข้มแข็งต้องทุกข์มานักต่อนัก เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่จะเอามาพูดก็ดูหยุมหยิมเกิน แต่พอไม่พูด ตะกอนความคิดมันก็เกิดการสะสม แต่เชื่อว่า จริงๆ แล้วสนอาจจะอยากทำอะไรเซอร์ไพรส์ต้นเสียมากกว่า +เป็ด ค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2017 15:20:08 โดย กบกระชายไทยนิยม »

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
จากตอนพิเศษที่ 5 - 2
นิยายของคุณ Sarawatta มักจะชอบทำให้ผิดคาดในความ naturalistic ของตัวละครซึ่งมีความใกล้เคียงกับธรรมชาติของคนจริงๆ อยู่มาก โดยมีการทำผิดพลาดทั้งในด้านความคิดและการกระทำ ร้ายในขอบเขตที่เป็นไปได้ และความไม่ละอายที่จะปกป้องตัวเองแม้จะรู้ว่าตนผิด ในความคิดของเรา มันเป็นเรื่องที่ยากมากทีเดียวที่จะทำให้ตัวละครมีความเหมือนจริงได้ขนาดนี้
แต่อย่างนั้น... เราก็อดโมโหสนไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีใครเชื่อมั้ยว่า ความรักที่ไม่เปื้อนแม้มีคนหยิบมาใช้นั้นมีอยู่จริงๆ เราได้เห็นมาแล้ว แม้ไม่ใช่ความรักของเรา แต่เราเห็นและรู้ว่ามีอยู่จริง
ดีใจที่จบตอนก็แฮปปี้พอดี +เป็ด

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
จากตอนพิเศษที่ 6 - 1
สนนะสน มันน่านัก! ใจนึงก็รู้สึกหมั่นไส้ ใจนึงก็ทราบว่า มันช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะ สนไม่ใช่คนที่มีจิตใจแบบเพศที่สาม สงสารก็แต่ต้นนี่แหละที่ต้องช้ำใจซ้ำแล้ว ซ้ำเล่ากับรักที่แอบซ่อนเอาไว้ในใจ ชอบงานเขียนหน่วงๆ แบบนี้ +เป็ด ค่ะ

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
จากตอนพิเศษที่ 6 - 2
จริงๆ เราแอบอยากรู้นะว่า ถ้าหากต้นได้คบกับผู้หญิงจริงๆ สนจะทำใจรับได้ไม่หึงไม่หวงอย่างที่สนคิดหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ดีเท่าไหร่หรอกหากต้นจะใช้ใครสักคนเพื่อทำให้ตัวเองลืมสน หรือ ห่างจากสน อ่านตอนนี้แล้วอบอุ่นหัวใจ +เป็ด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
จากตอนพิเศษที่ 6 - 2
จริงๆ เราแอบอยากรู้นะว่า ถ้าหากต้นได้คบกับผู้หญิงจริงๆ สนจะทำใจรับได้ไม่หึงไม่หวงอย่างที่สนคิดหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ดีเท่าไหร่หรอกหากต้นจะใช้ใครสักคนเพื่อทำให้ตัวเองลืมสน หรือ ห่างจากสน อ่านตอนนี้แล้วอบอุ่นหัวใจ +เป็ด

ดีใจมากครับที่คุณ "กบกระชายไทยนิยม" มาอ่านเรื่องนี้ คิดถึงคนเก่าๆ หลายคนเลย ดีใจที่ไม่ลืมกันนะครับ
กำลังคิดว่าจะเอาเวอร์ชั่นที่ปรับใหม่ (อีกรอบ) มาให้อ่านดีไหม อยากให้ได้อ่าน ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมากเลยครับ

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
แล้วจะรอติดตาม ต้น - สน เวอร์ใหม่นะคะ
ที่แอบสงสัยคือ ยังมีเวอร์ชั่นงานดีกว่านี้อีกเหรอ

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
แล้วจะรอติดตาม ต้น - สน เวอร์ใหม่นะคะ
ที่แอบสงสัยคือ ยังมีเวอร์ชั่นงานดีกว่านี้อีกเหรอ

จริงๆ ก็ใกล้เคียงกับเวอร์ชั่น 2015 ที่ลงในเล้าครับ แต่หลังจากเวอร์ชั่น 2015 จบลง ผมก็ได้ประมวลความคิดเห็นต่างๆ ของคนอ่าน เห็นจุดที่ต้องแก้ไขบางจุด ก็เลยมีเวอร์ชั่น 2016 แต่ไม่ได้ลงที่นี่ มี minor revisions และเก็บตกรายละเอียดเล็กน้อย เช่น การมาถึงของ "นินา" ก็มีที่มาที่ไปที่ชัดเจนขึ้น บทบาทของครอบครัวที่มีต่อความรักทั้งสองคนก็เพิ่มขึ้น ภาษากระชับขึ้น เมื่อก่อนผมติดใช้ประโยคยาวๆ แต่ถ้าสังเกต จะเห็นว่าในตอนพิเศษผมใช้ภาษาสั้นกระชับขึ้นกว่าเดิมมาก ถ้าจะเทียบเคียงความต่างก็น่าจะต่างกันประมาณ 10-15% ครับ

อ้อ ตอนนี้มี "เซ็ตรัก ส่งฝัน" ให้อ่าน เป็นเรื่องราวดราม่าในวงการวอลเลย์บอลชายครับ ถ้าสนใจก็ตามไปอ่านได้ :)

ออฟไลน์ Siran

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ฮือออ แรกๆแบบสงสารต้นมากๆอ่ะ สักพักหมั่นไส้สนแทนละ 5555
แต่ก็ชอบอยู่ดีอ่ะ อิอิ

ออฟไลน์ mentholss

  • "เหตุผล" หรือ "ข้ออ้าง"
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1

ออฟไลน์ TonyPat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด