▓ ▒ ░ ต้น-สน∞ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย ░ ▒ ▓CHAPTER 09: สามทางเลือกของสน ทุ่งนาเขียวขจีที่แลเห็นอยู่ไกลๆ ช่วยให้บรรยากาศสองข้างทางขบวนรถไฟที่กำลังแล่นผ่านไปดูสดชื่นและมีชีวิตชีวามากขึ้น แม้ว่าตะวันจะใกล้ตกดินแล้วแต่ก็พอมองเห็นความเขียวขจีอยู่ทุกหนแห่งได้ชัดเจนอยู่ หลังจากที่วิ่งผ่านช่วงป่าเขาในแถบภาคเหนือตอนบนมาสู่ภาคเหนือตอนล่าง พื้นที่โล่งๆ กว้างๆ ที่มองเห็นได้ไกลสุดลูกหูลูกตาก็มีให้เห็นมากขึ้น แต่ดูเหมือนเจ้าของร่างที่นั่งอยู่ในโบกี้ที่โดดเดี่ยวเดียวดายจะไม่ได้รับรู้ถึงความสวยงามใดๆ ที่ปรากฎขึ้นแก่สายตาเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนและกำลังจะไปไหน
หลังจากที่มองเหม่ออยู่นาน ต้นก็ค่อยๆ หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกพ่อกับแม่เลย ป่านนี้ท่านทั้งสองคนอาจเป็นห่วงที่โทรติดต่อต้นไม่ได้ ต้นกดปุ่มเปิดเครื่อง เมื่อโทรศัพท์พร้อมแล้วก็กดโทรหาแม่
"แม่ครับ ต้นจะไปทำกิจกรรมที่ต่างจังหวัดซักสี่ห้าวันนะครับแม่" ต้นกรอกเสียงลงไปเมื่อแม่รับสาย พยายามปรับเสียงไม่ให้ฟังดูอ่อนล้ามากเกินไป
"เหรอลูก แล้วนี่บอกสนหรือยังล่ะ เมื่อตอนเที่ยงๆ แม่คุยกับสน เห็นสนบอกว่ายังไม่เจอต้นเลย สนเขารู้ใช่ไหมลูกว่าต้นไม่อยู่"
ได้ยินชื่อเพื่อนรักแล้วต้นก็เกิดความรู้สึกแสลงใจ
"รู้แล้วครับแม่" ต้นเสียงเบาลง "ถ้าแม่ติดต่อต้นไม่ได้ แม่ไม่ต้องห่วงต้นนะครับ เดี๋ยวต้นจะโทรกลับเอง"
"อ้อ...กิจกรรมเยอะจนไม่มีเวลาเลยเหรอลูก แล้วนี่ต้นจะไปทำกิจกรรมที่จังหวัดไหนล่ะ กำลังเดินทางอยู่หรือเปล่า"
"อยู่บนรถไฟครับแม่ พรุ่งนี้เช้าคงถึง ต้นจะไปใกล้ๆ กรุงเทพ ตรงไหนต้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ค่อยรู้จักแถวนั้นเท่าไหร่ครับ"
"อ้อ" แม่ต้นก็ขำเล็กน้อย "ไว้ต้นไปทำงานที่กรุงเทพก็จะรู้เอง อ้อ...เดี๋ยวอีกสองวันพ่อจะไปโอนตังค์ให้นะลูก ตอนนี้ต้นมีเงินพอใช้อยู่ใช่ไหม"
"พอครับแม่ ขอบคุณพ่อกับแม่มากนะครับ" แล้วต้นก็รีบวางสายไปก่อนที่จะเผลอร้องไห้ให้แม่ได้ยิน ในยามที่รู้สึกเศร้าๆ แบบนี้ ถ้ามีพ่อกับแม่มาอยู่ใกล้ๆ คงจะดีไม่น้อยเลย
ก่อนที่ต้นจะปิดเครื่องก็เห็นมิสคอลจากสนหลายครั้ง มีข้อความด้วย แต่ต้นก็ไม่ได้เปิดอ่าน เขาปิดเครื่องแล้วก็นั่งเหม่ออย่างเดิม แล้วก็เผลอหลับไปจนถึงเช้าโดยไม่ได้กินอะไรแม้แต่คำเดียว
ซีลขับรถมารับต้นที่สถานีหัวลำโพงตั้งแต่เช้า จากนั้นก็พาต้นไปที่ที่พักของซีลที่อยู่รังสิตอีกที ตอนแรกซีลบอกให้ต้นลงสถานีที่จังหวัดปทุมธานีเพราะไม่ไกลจากที่พักนัก แต่ต้นไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีสติมากพอที่จะรับรู้ได้ว่าสถานีไหนเป็นสถานีไหนหรือเปล่า ถ้าไม่ดูให้ดีก็จะหลงทางได้ จึงบอกซีลว่าจะขอลงที่สถานีปลายทางที่กรุงเทพ จะได้ไม่ต้องคอยกังวลเพราะผู้โดยสารที่เหลือทั้งหมดต้องลงสถานีปลายทางอยู่แล้ว
วันนี้ซีลยอมขาดเรียนหนึ่งวันเพื่อมาดูแลเพื่อนที่มาเยี่ยมเยียนโดยไม่คาดฝันเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ต้นมาหาถึงที่ซีลก็ดีใจแล้ว แม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่อยู่ดีๆ ต้นก็ขอมาพักด้วยหลายวัน
ต้นมาถึงที่พักของซีลตอนสายๆ ที่บ้านของซีลมีฐานะค่อนข้างดีซึลจึงไม่ได้พักหอพักนักศึกษาเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ แต่ซีลก็เลือกที่พักที่อยู่ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ จะได้ไม่ต้องใช้เวลาเดินทางมาก
"นั่งก่อนต้น"
ซีลบอกให้ต้นนั่งลงบนเตียงแล้วก็เขาก็ช่วยเอากระเป๋าเสื้อผ้าของต้นไปวางไว้ตรงตู้เสื้อผ้า ก่อนจะเดินกลับมานั่งลงข้างๆ ต้นแลดูอิดโรยมากทีเดียว สายตาดูเหม่อลอยเหมือนคิดอะไรบางอย่างตลอดเวลา
"บอกได้หรือยังต้นว่ามึงมีปัญหาอะไรหรือเปล่า กูไม่คิดว่ามึงจะคิดถึงกูจนทนไม่ไหวขนาดนี้หรอก คุยกันอยู่แหม็บๆ เมื่อวาน วันนี้มาหากูละ มีอะไรก็บอกนะเว้ย ถ้ากูช่วยได้กูก็จะช่วย" ซีลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ต้นพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ แล้วก็เล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานตอนเช้าให้ซีลฟัง ฟังจบแล้วซีลก็อึ้งไปและรู้สึกผิดมากทีเดียว ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาพูดจะทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาได้
"กูขอโทษจริงๆ ว่ะต้น กูไม่น่าเลย..." ซีลอดโทษตัวเองไม่ได้ที่เป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องนี้ ถ้ารู้เสียก่อนก็คงไม่พูดอย่างแน่นอน เพราะความไม่ระวังถึงต้องทำให้เพื่อนเดือดร้อน
"มึงไม่ผิดหรอกซีล อย่าโทษตัวเองเลย กูไม่โทษมึงหรอก ไม่เกี่ยวกับมึง จริงๆ...ความลับมันไม่มีในโลกหรอก ถ้าไม่รู้ตอนนี้ ต่อไปก็ต้องรู้" ต้นบอกไปอย่างที่ใจคิด เขาไม่เคยคิดจะโทษซีล ไม่อยากให้ซีลต้องรู้สึกผิด มันเป็นแค่อุบัติเหตุที่ไม่มีใครตั้งใจจะให้เกิดขึ้น
ซีลถอนหายใจ "ถึงอย่างนั้นก็เหอะ กูก็รู้สึกผิดอยู่ดีว่ะต้น เอาเป็นว่ากูเสียใจว่ะต้นที่กูปากไม่ดีทำให้มึงต้องเดือดร้อน เฮ้อ..." ซีลถอนหายใจยาวอีก เห็นหน้าเศร้าๆ ของต้นแล้วซีลก็ได้แต่สงสารเพื่อน "แต่กูไม่อยากเชื่อเลยว่าไอ้สนมันจะรับไม่ได้ ทำไมมันเป็นคนแบบนี้วะ มึงดีกับมันขนาดไหน รักมันมากขนาดไหน มันไม่เคยมองเห็นเลยเหรอวะ"
ต้นเงียบไป เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเขาไม่อยากฟังให้เจ็บช้ำใจอีก
"ขอโทษเว้ยต้น เออๆ กูจะไม่พูดถึงมันละ มึงกินอะไรหน่อยไหม เดี๋ยวกูไปหาซื้ออะไรแถวนี้มาให้มึงกิน ดูท่าทางมึงจะยังไม่ได้กินอะไรมาเลย ดูดิ หน้าซีดหน้าเซียวไปหมด กินข้าวก่อนละกันนะ กูก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน จะได้กินด้วยกัน"
ต้นพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงตอบรับ ถึงจะไม่อยากกินก็คงต้องกินบ้าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะมาป่วยให้เดือดร้อนเพื่อนอีก มาอาศัยเพื่อนอยู่แล้วต้นก็ไม่อยากให้เพื่อนเดือดร้อนมากเกินไป ต้นหยิบกระเป๋าสตางค์มาแล้วก็หยิบธนบัตรหนึ่งร้อยบาทส่งให้ซีลหนึ่งใบ
"ไม่เป็นไร มื้อแรกถือว่ากูเลี้ยงละกัน เพื่อนมาหาทั้งที แค่นี้กูเลี้ยงได้ มื้อต่อไปมึงค่อยออก อ้อ... เดี๋ยวมึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวก่อน ห้องน้ำอยู่ตรงนั้นน่ะ เดี๋ยวกูมา จะเอาอะไรเป็นพิเศษไหม"
ต้นเก็บเงินใส่กระเป๋าไว้ตามเดิมเมื่อซีลไม่ยอมรับ "ซื้อมาเหอะ อะไรก็ได้ ขอบใจมากนะเพื่อน"
"เออ ไม่เป็นไร เพื่อนกันขอกันกินมากกว่านี้" ว่าแล้วซีลก็ลุกขึ้น เดินออกไปจากห้อง
ต้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จซีลก็กลับมาพอดี ตอนนี้ต้นค่อยแลดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย ต้นเห็นซีลถือถุงอาหารมาก็รีบเข้าไปช่วยเทอาหารใส่จาน เขาไม่ชอบที่จะมาอยู่เฉยๆ เป็นภาระของเพื่อน
"มีผัดนี้ด้วยเหรอ"
ต้นถามในขณะที่แกะผัดผักรวมที่มีบร็อคโคลี่และดอกกะหล่ำสีขาวรวมอยู่ด้วยใส่จาน สงสัยซีลจะจำไม่ได้ว่าต้นไม่ชอบกิน แต่คนที่จำได้และรู้ดีที่สุดก็คือคนที่เพิ่งมีเรื่องกับต้นเมื่อวานนั่นแหละ ต้นไม่ชอบกินผักที่คล้ายๆ ดอกกะหล่ำเพราะไม่ชอบกลิ่นมัน ยิ่งบร็อคโคลี่ยิ่งไม่ชอบใหญ่ แต่ถึงจะรู้ว่าต้นไม่ชอบกิน สนก็มักจะคะยั้นคะยอให้ต้นกินบ่อยๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า "ถ้าไม่กินผักเดี๋ยวเป็นมะเร็งนะ" ความจริงต้นก็พอกินได้ แต่ต้นแค่ไม่ชอบผักบางชนิดเท่านั้นเอง
"เออว่ะ กูลืมไปว่ามึงไม่ชอบกิน งั้นมึงกินไก่ทอดกับต้มจืดละกันนะ เดี๋ยวผัดผักกูกินเอง" ซีลทำสีหน้ารู้สึกผิดที่ดันจำไม่ได้ว่าต้นไม่ชอบกินอะไรบ้าง
"เออไม่เป็นไรหรอก กูพอกินได้อยู่ เดี๋ยวจะกินทุกอย่างที่มึงซื้อมานั่นแหละ กูแค่อยากรู้ว่ามึงจำได้หรือเปล่าว่ากูไม่ชอบกินอะไร แต่กูรู้ว่ามึง...กินได้ทุกอย่าง" ต้นพูดแล้วก็ขำเบาๆ ดูเหมือนต้นจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างเมื่ออยู่ในบรรยากาศใหม่
"อ้อ แหะๆ คนเรามันก็มีลืมกันบ้าง" ซีลยิ้มอายๆ "อ้อ...มึงกินข้าวเสร็จแล้วจะนอนพักสักหน่อยก็ได้นะ เดี๋ยวบ่ายๆ กูจะพามึงไปเที่ยว อยู่ในห้องนานๆ ไม่ดีหรอก ไปเปิดหูเปิดตาจะได้สดชื่น ว่าแต่มึงอยากไปไหนเป็นพิเศษไหม"
"ดรีมเวิร์ล" ต้นรีบบอกทันที เขาอยากไปเล่นเครื่องเล่นที่มันผาดโผนปลดปล่อยอารมณ์บ้าง คงจะดีไม่น้อยเลย ตอนเด็กๆ เคยมาเล่นครั้งหนึ่ง ยังติดใจอยู่จนทุกวันนี้
"ได้ๆ อยู่ใกล้ๆ แถวนี้เอง เดี๋ยวกูพาไป" ซีลบอกพลางยิ้ม
ทินรู้สึกหงุดหงิดมากทีเดียวที่อยู่ดีๆ ต้นก็หายไปไม่บอกไม่กล่าว เขาโทรหาหลายรอบจนเหนื่อยอกเหนื่อยใจ คิดไปต่างๆ นาๆ ว่าต้นไม่พอใจเขาตรงไหนหรือเปล่า แต่ก็นึกไม่ออกว่าเขาไปทำอะไรให้ต้นไม่พอใจ ด้วยความร้อนใจเขาจึงต้องตามมาหาต้นจนถึงที่ตึกเรียนที่อยู่ใกล้ๆ กัน ไม่งั้นเขาก็คงอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ เลย เขารู้สึกว้าวุ่นใจจริงๆ ถ้าต้นไม่อยากให้เขายุ่งด้วยก็น่าจะบอกกันดีๆ
ทินเห็นเจนี่นั่งคุยกับเพื่อนๆ ตรงม้าหินอ่อนหน้าตึกพอดีจึงรีบเดินแกมวิ่งเข้าไปหา เขารู้มาว่าเจนี่สนิทกับต้นอยู่บ้าง อาจจะพอบอกได้ว่าต้นหายไปไหน
"เจนี่"
"อ้าวพี่ทิน มาหาต้นเหรอคะ" เจนี่ร้องถามเมื่อเห็นพี่รหัสของต้นเดินมาหาอย่างรีบร้อน
"นิกกับจั่นบอกว่าต้นไม่สบายค่ะพี่ น่าจะอีกสามสี่วันถึงจะกลับมาเรียน" เจนี่บอกเมื่อทินเดินมาถึง
"อ้าวจริงเหรอ" ทินทำหน้าแปลกใจ "ต้นไม่สบายเป็นอะไร แล้วทำไมเขาต้องปิดเครื่องด้วยล่ะ พี่โทรหาเท่าไหร่ก็ไม่ติด"
เจนี่ทำหน้าแปลกใจเช่นเดียวกัน "เอ...นั่นสิคะ ทำไมต้นต้องปิดโทรศัพท์ด้วย เจนี่โทรหาตั้งหลายครั้งก็ไม่ติดเหมือนกัน พวกแกได้โทรหาต้นบ้างป่าววะ" เจนี่หันไปถามเพื่อนสาวๆ ที่นั่งอยู่ด้วยกันบ้าง
"เมื่อวานตอนเย็นก็โทรนะ ว่าจะถามว่าเป็นไงบ้าง ก็โทรไม่ติด เหมือนปิดเครื่องน่ะ" หนึ่งในเพื่อนของเจนี่บอก
"ต้นไม่ได้ไปไหนใช่ไหม หรือว่าเขากลับบ้านไปหรือเปล่า" ทินถาม
"อืม...ไม่รู้จริงๆ ค่ะ อ้าว นิกกับจั่นมาพอดีเลย นิกกกกก จั่นนนนนนนนน มานี่แป๊บนึง" เจนี่ร้องเรียกเสียงดังพร้อมกับกวักมือเรียกเพื่อนหนุ่มสองคนที่กำลังเดินผ่านมาพอดี
นิกกับปั้นจั่นหันมามอง พอเห็นว่ามีพี่ทินอยู่ด้วยก็เริ่มลังเลเพราะกลัวว่าจะถูกถามเรื่องต้น
"มีไรป่าวเจนี่ พอดีเราต้องรีบไปส่งงานอาจารย์น่ะ" ปั้นจั่นตะโกนถามมา แต่ไม่ยอมเดินเข้ามาหา
"ส่งงานไรอะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย มานี่แป๊บนึง จะถามเรื่องต้นหน่อย" เจนี่ตะโกนบอกไป
นิกกับปั้นจั่นมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินมาหาเจนี่กับเพื่อนๆ และพี่รหัสของต้นที่เหมือนจะรอฟังข่าวของต้นอยู่ด้วยความอยากรู้
"เนี่ย พี่ทินบอกว่าโทรหาต้นเท่าไหร่ก็ไม่ติด เจนี่ก็โทรหาตั้งหลายครั้งแน่ะ ตกลงว่าต้นไม่สบายหรือว่าไปไหนหรือเปล่า ถ้าแค่ไม่สบายก็ไม่น่าจะต้องปิดเครื่องนะ เจนี่ก็โทรไปตอนเย็นๆ ไม่ได้โทรรบกวนตอนกลางวันซะหน่อย"
นิกกับปั่นจั่นทำสีหน้ายุ่งยากใจ รู้สึกหนักใจที่จะต้องตอบคำถามเรื่องของต้นกับสนในเวลานี้ เกิดพูดอะไรออกไปแล้วทำให้เพื่อนๆ รู้ว่าต้นกับสนมีปัญหากันเรื่องอะไร ต้นจะแย่เอาได้ ต้นอาจจะยังไม่อยากให้ใครรู้ตอนนี้ก็ได้ว่าเขาเป็น "แบบไหน"
พอหันไปเห็นทินที่รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อก็เลยรู้สึกกดดันตัวเองจนต้องยอมพูดอะไรสักอย่างบ้าง
"อ๋อ...พอดีต้นกลับไปพักที่บ้านที่กำแพงแสนน่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว" ปั้นจั่นพูดเป็นคนแรก
"ใช่ๆๆ พอดีแม่ต้นเขาโทรมาบอกว่าให้ต้นกลับไปพักที่บ้านดีกว่า เห็นว่าแม่ต้นเขามีหมอประจำอะไรสักอย่างนี่แหละ"
ดูเหมือนคำตอบที่บอกไปจะไม่ได้ทำให้เจนี่และทินหายสงสัยนัก แต่กลับทำให้สงสัยมากขึ้น
"เหรอ..." ทินทำหน้ามุ่ย ขมวดคิ้วอย่างสงสัย "กลับบ้านแล้วทำไมต้องปิดโทรศัพท์ด้วยล่ะ แล้วจะเดินทางไกลให้เหนื่อยทำไม ไหนจะไป ไหนจะกลับ ก็ไม่ได้พักกันพอดี นครปฐมไม่ใช่ใกล้ๆ ซะหน่อย แล้วต้นป่วยเป็นอะไรเหรอถึงต้องกลับไปหาหมอที่บ้าน หมอที่นี่รักษาไม่ได้เหรอ"
นิกกับปั้นจั่นมองหน้ากันเลิ่กลั่กอีกรอบ
"มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าเขาทะเลาะอะไรกับสนไหม" ทินถาม เขาคิดว่าเรื่องนี้น่าจะพอมีความพอเป็นไปได้เพราะวันนั้นสนมาหาเขาที่คณะ ไม่รู้กลับไปแล้วสนไปพูดอะไรกับต้นจนผิดใจกันหรือเปล่า ต้นก็เลยอาจจะหนีไป
นิกกับปั้นจั่นแอบสะดุ้ง
"เออนั่นสิ..." เจนี่พึมพำ เธอก็สงสัยเหมือนกับที่ทินสงสัย
"เอาไงวะ" ปั้นจั่นสะกิดนิกเหมือนกับจะให้นิกพูดอะไรแก้สถานการณ์บ้าง
"เฮ้ย ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก ไม่มีอะไร ต้นมันกลับไปพักที่บ้านที่ต่างจังหวัดจริงๆ เมื่อวานยังโทรหามันได้อยู่เลย สงสัยสัญญาณจะไม่ดีมั้ง เห็นต้นมันบอกว่าแถวบ้านมันค่อนข้างอับสัญญาณน่ะ ถ้าจะโทรมันต้องเดินออกมานอกบ้านหาสัญญาณหน่อย"
แม้ว่าข้อมูลที่นิกกับปั้นจั่นพยายามบอกจะฟังดูแปลกๆ แถมสองคนนี้ก็แสดงท่าทางมีพิรุธ แต่ทินก็เริ่มไม่อยากเซ้าซี้ถามให้มากความ
"อืมๆ ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวพี่จะพยายามโทรหาต้นบ่อยๆ ก็แล้วกัน ถ้านิกกับจั่นโทรติด ฝากบอกต้นให้โทรหาพี่ด้วยละกันนะ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย"
"ครับพี่ทิน ถ้าผมโทรติดแล้วจะบอกต้นให้ครับ เดี๋ยวผมกับจั่นขอตัวไปส่งงานก่อนนะครับ" นิกหันไปบอกรุ่นพี่
"ตามสบายครับ พี่ก็จะไปแล้วเหมือนกัน พี่ไปแล้วนะเจนี่" ทินบอก แล้วหันมาโบกมือให้เจนี่ก่อนเดินออกไป
นิกกับปั้นจั่นเห็นทินเดินออกไปแล้วก็รีบเดินแกมวิ่งออกไปบ้าง ขืนอยู่นานคงถูกซักไม่จบ เกิดเผลอตอบไม่เหมือนเดิมก็จะถูกจับได้
"อะไรของเค้านะ ทำตัวมีพิรุธจัง แล้วส่งงานอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย" เจนี่บ่นพึมพำเบาๆ แล้วก็หันมาคุยกับเพื่อนๆ ต่อ
"เฮ้ยสน กินข้าว"
เสียงปั้นจั่นดังขึ้นพร้อมกับที่เขาเปิดประตูห้องสนแล้วโผล่แต่ศีรษะเข้ามา สนค่อยๆ พลิกตัวหันมามองเจ้าของเสียง ขมวดคิ้วแล้วก็ถอนหายใจ
"ไม่กิน กูไม่หิว พวกมึงกินไปเหอะ" สนตอบแล้วก็หันกลับมาตามเดิม ผ่านไปสามวันแล้ว สนไม่ได้ข่าวคราวของต้นเลย รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนเสียจนไม่เป็นอันทำอะไร จะเรียกว่าตรอมใจก็คงไม่ผิดนัก สภาพของสนตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังตรอมใจอย่างหนักเลย กลับมาถึงบ้านเขาก็นอนซมทั้งชุดนักศึกษา บางทีก็ลงมานั่งที่โต๊ะข้างล่างคอยชะเง้อมองว่าเมื่อไหร่ต้นจะกลับมา ดึกดื่นถึงกลับขึ้นไปนอน บางวันก็เผลอหลับคาโต๊ะ นิกกับปั้นจั่นต้องปลุกให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปเรียนในตอนเช้า
"เออๆ ไม่กินก็ไม่เป็นไร แต่มึงมาคุยกับพวกกูหน่อยได้ไหม กูสองคนมีอะไรจะคุยด้วย"
สนพลิกตัวหันกลับมามองเพื่อนอีกรอบ ชั่งใจอยู่สักพักก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงนอน แล้วก็เดินตามปั้นจั่นลงไปข้างล่าง มีนิกที่นั่งรอกินข้าวอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวพร้อมกับเปิดทีวีไว้ด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจดูเท่าไหร่นัก
ปั้นจั่นนั่งลงที่เดิมข้างๆ นิก ส่วนสนก็นั่งลงที่เดิมตรงข้ามกับนิก สิ่งที่ต่างไปในหลายวันมานี้ก็คือไม่มีต้นมานั่งอยู่ข้างๆ ด้วยนั่นเอง
"พวกมึงกินกันเลยนะ กูไม่หิว ไม่อยากกิน" สนบอกเมื่อเห็นนิกและปั้นจั่นทำท่าเหมือนจะรอให้เขากินข้าวพร้อมกับเพื่อนๆ
"กินหน่อยก็ดีนะสน ดูสภาพมึงดิ โทรมหมดแล้ว" นิกบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
แต่ก็ดูเหมือนสนจะไม่อินังขังขอบเท่าไหร่ นิกกับปั้นจั่นจึงไม่รอ ส่วนสนก็นั่งดูทีวีรอไปเรื่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นมีใครจะบอกอะไรเขาเลย ไหนว่ามีเรื่องจะคุยกันไงล่ะ
เมื่ออดรนทนไม่ไหว สนจึงเป็นฝ่ายถามขึ้นเอง "ต้นโทรมาหาพวกมึงมั่งป่าววะ"
นิกกับปั้นจั่นมองหน้ากันเหมือนกับจะถามกันเองว่าควรจะบอกดีไหม
"เอางี้...ให้พวกกูกินข้าวเสร็จก่อน เดี๋ยวกูจะเล่าอะไรให้มึงฟัง" นิกบอก
สนพยักหน้าเข้าใจ ตอนนี้เขาหยุดโทรศัพท์หาต้นไปแล้ว เพราะรู้ว่าโทรไปยังไงต้นก็ไม่รับ สนรู้สึกว่าเขาทำผิดบาปกับเพื่อนมากเหลือเกิน ทำให้เพื่อนต้องเสียใจแล้วก็หายตัวไปไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไง
หลังจากที่นิกกับปั้นจั่นกินข้าวเสร็จ ปั้นจั่นเป็นคนอาสาเอาจานชามไปเก็บที่อ่างล้างจานไว้ก่อน แล้วก็กลับมานั่งที่โต๊ะเพื่อคุยกับสน
"ต้นโทรมาบอกพวกกูว่า...อีกวันสองวันมันจะกลับ แล้วก็...มันจะย้ายไปอยู่หอพักมหาลัย"
สนเบิกตาโพลง รู้สึกใจหายวาบ "จริงเหรอนิก ทำไมล่ะ"
"แล้วมึงจะถามทำไมวะ มึงก็รู้อยู่" นิกว่า มองดูสนด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็เอาเถอะ มันคงสำนึกได้แล้วล่ะ ต้นหายไปสามวันแล้วก็ทำเอาสนไม่เป็นอันกินอันนอน นั่งรอนอนรอไม่เป็นอันทำอะไร ข้าวปลาไม่กิน หน้าตาซีดเซียว ผมเผ้าไม่ดูแล หนวดเคราก็ไม่โกน แต่ก็ยังไม่ถึงกับจะดูแย่อะไรมาก แต่ดูก็รู้ว่าไม่ดูแลตัวเองเลย
สนเงียบไปเมื่อนึกขึ้นมาได้ เขาเป็นคนทำให้ต้นเสียใจเองจะถามไปทำไม แต่ตอนนี้ สิ่งที่เขากลัวกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
"กูถามตรงๆ นะสน มึงรับไม่ได้จริงๆ เหรอวะที่ต้นมันเป็นเกย์" ปั้นจั่นถามบ้าง สีหน้าเขาดูจริงจังมากทีเดียว อันที่จริง เขากับนิกปรึกษากันมาหลายวันแล้วเพื่อที่จะหาทางช่วยเพื่อนสองคนนี้ให้กลับมาดีกันเหมือนเดิม แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นไปได้มากแค่ไหน อย่างไรก็ตาม คนแรกที่จะต้องจัดการก่อนก็คือสนนี่แหละ สนต้องเปลี่ยนทัศนคติของตัวเองก่อนเท่านั้น ถ้าสนไม่ยอมเข้าใจหรือไม่ยอมเปลี่ยนก็ไม่มีประโยชน์ที่จะช่วย
"เอ่อ..." สนเกิดอาการไม่มั่นใจว่าจะตอบดีไหม เขาถามตัวเองมาหลายวันแล้ว คำตอบก็ยังดูคลุมเครืออยู่ดี
"กูไม่รู้ว่ะ แต่กู...กูไม่อยากให้ต้นเป็นแบบนี้เลย" นั่นคือสิ่งแรกที่สนพอจะบอกได้
"เป็นแบบไหนวะ" นิกถามทันที
"ก็..." สนดูเหมือนจะไม่อยากพูดคำนั้นนัก "เป็นเกย์ไง" เขาพูดด้วยเสียงเบาจนแทบฟังไม่ได้ยิน
นิกกับปั้นจั่นทำท่าครุ่นคิด เขาพยายามช่วยกันคิดแล้วล่ะว่าถ้าสนตอบกลับมาแบบนี้จะต้องตอบแบบไหน เรื่องนี้ก็อยู่ในประเด็นที่สองคนนี้เตรียมตัวกันไว้พอดิบพอดี นิกขอรับผิดชอบประเด็นนี้เองละกัน
"แล้วมึงจะให้ต้นเป็นแบบไหนล่ะวะ ต้นมันต้องเป็นแบบไหนถึงจะคบกับมึงได้ ที่มึงคบกับมันมาตั้งเกือบสิบปีก็เพราะต้นมันเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่เพราะต้นมันเป็นแบบนี้หรอกเหรอมึงถึงได้ยอมรับมันเป็นเพื่อน มึงถึงได้รักได้ห่วงมันขนาดนี้ มึงลองถามตัวเองดีๆ นะสน มึงจะให้ต้นมันเป็นแบบไหนอีก มึงรักเพื่อนของมึงเพราะอะไร แล้วมึงคิดว่าอยู่ดีๆ จะให้ต้นเป็นแบบไหนตามใจมึงก็ได้เหรอวะ คนนะเว้ย ไม่ใช่ดินเหนียว ปัญหาอยู่ที่มึงนั่นแหละ ไม่ใช่ต้น มึงยอมรับที่มันเป็นได้หรือเปล่า แค่นั้นแหละ"
สนรู้สึกเจ็บแปลบเหมือนมีใครเอามีดมากรีดหัวใจก็ไม่ปาน ก็เพราะต้นเป็นเพื่อนที่ดีแบบนี้เสมอมานั่นไงที่ทำให้สนรักเพื่อนมากขนาดนี้ แล้วสนอยากจะให้ต้นเป็นแบบไหนอีกล่ะ
"แต่..." สนพยายามคิดหาคำพูดที่จะสื่อสาร "ก็เมื่อก่อนกูไม่รู้ว่าต้น...ชอบกูนี่หว่า กูก็นึกว่าต้นเป็นแค่เพื่อนกูธรรมดาๆ"
"แล้วไงวะสน" ปั้นจั่นสลับขึ้นมาพูดบ้าง "ต้นมันแอบชอบมึงก็จริงนะเว้ย แต่มันเคยคิดจะบอกมึงหรือเปล่าวะ มันเคยคิดอยากจะเป็นเจ้าของมึงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องบังเอิญวันนั้น กูว่ามึงก็ไม่มีวันรู้หรอก เผลอๆ ต้นมันก็จะเก็บเรื่องนี้ไว้จนตายนั่นแหละ มันไม่อยากให้มึงลำบากใจที่จะเป็นเพื่อนกับมันไง มึงดูเพื่อนมึงไม่ออกเหรอสน ที่ต้นมันไม่เคยบอกมึงก็เพราะมันไม่อยากให้มึงต้องห่วงมันไง มึงไม่เห็นความเสียสละของมันบ้างเหรอวะสน มึงเห็นไหมว่าไอ้ต้นมันรักมึงขนาดไหน"
สนน้ำตาซึมทันทีที่ได้ยิน ถ้าต้นอยู่ตรงหน้าเขาคงกอดต้นแล้วก็ร้องไห้ไปแล้วล่ะ
"แล้วมึงคิดดูดีๆ นะ ที่ผ่านมาที่มึงมีแฟนมั่ง จีบหญิงไปทั่วมั่ง ต้นมันก็ทนเจ็บของมันอยู่คนเดียว มันไม่เคยคิดจะทำให้มึงต้องลำบากใจไม่ใช่เหรอวะ กูก็เพิ่งรู้จักกับมันได้ไม่นานหรอก แต่กูก็เห็นว่าต้นมันเป็นคนแบบนั้น ต้นเป็นคนดีมากนะสน มึงจะไปหาเพื่อนดีๆ อย่างต้นที่ไหนอีกวะ มีเพื่อนดีๆ แบบนี้แล้วทำไมมึงถึงยอมรับมันไม่ได้ ต้นมันไม่ดีตรงไหนวะ"
สนยกมือขึ้นมาป้ายน้ำตาที่รินไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายราวกับเป็นเด็กน้อย เขาเริ่มร้องไห้หนักขึ้น ยิ่งฟังที่ปั้นจั่นพูดสนก็ยิ่งเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นมากขึ้น ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเขาทำให้ต้นเจ็บไปมากแค่ไหนแล้ว ต้นก็ไม่เคยพูดสักคำ ไม่เคยที่จะบอกว่าเจ็บแค่ไหน ไม่เคยแม้แต่จะร้องขอความรักความเห็นใจจากเขาแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยขอให้เขารักตอบแม้แต่น้อยแม้ว่าจะมีโอกาสมากแค่ไหนก็ตาม
นิกกับปั้นจั่นเองก็รู้สึกเศร้าไปด้วย ทั้งสองคนปล่อยให้สนสงบสติอารมณ์สักพัก นานทีเดียวกว่าสนจะค่อยๆ หยุดร้องไห้
"แล้วมึงจะให้กูทำไง กูจะต้องทำตัวยังไงวะไอ้นิก ไอ้จั่น มึงลองคิดดูสิวะ ถ้าอยู่ดีๆ ไอ้จั่นมันเป็นเหมือนต้น มึงจะทำไงวะนิก มึงจะคบกันต่อไปยังไงวะ มึงจะมองหน้ากันยังไง ถ้ามึงรู้ว่าเพื่อนมึงไม่ได้คิดกับมึง...เหมือนที่มึงเคยเข้าใจ" ถามไปแล้วสนก็อดที่จะสะเทือนใจอีกไม่ได้ แต่ก็พยายามที่จะไม่ร้องไห้อีก
สองหนุ่มคู่ซี้อึ้งไปเหมือนกัน นั่นสิ เขาทั้งสองคนมัวแต่คิดหาคำตอบแทนสน แต่กลับลืมคิดไปว่าถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเขาสองคนบ้าง นิกกับปั้นจั่นจะทำอย่างไร
"ถ้าเป็นมึง มึงจะทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไหม ใช้ชีวิตเหมือนเดิม เหมือนผู้ชายปกติทั่วไป แล้วก็ปล่อยให้เพื่อนที่แอบรักมึงเจ็บปวดอย่างงั้นเหรอวะ ตอนนี้กูทำอย่างนั้นไม่ได้ว่ะ กูสงสารต้น กูถึงไม่อยากให้ต้นเป็นแบบนี้" พูดชื่อเพื่อนขึ้นมาแล้วสุดท้ายสนก็ไม่อาจห้ามน้ำตาที่ปริ่มๆ ขอบตาอยู่อีกได้ เขาร้องไห้อีกแล้ว
นิกกับปั้นจั่นถอนหายใจใหญ่ นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ซะแล้ว
"เอาไงดีวะจั่น" นิกถามเพื่อนด้วยเสียงที่เบา ปั้นจั่นทำท่าครุ่นคิด สักพักใหญ่ๆ ทีเดียวที่ปั้นจั่นพอจะนึกหาทางออกให้สนได้
"เอางี้ละกันสน กูกับนิกก็ยอมรับนะเว้ยว่ามันไม่ง่ายสำหรับพวกมึงสองคนหรอก พวกกูก็ไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ แต่พวกกูก็อยากช่วยมึงสองคนว่ะ" ปั้นจั่นเว้นจังหวะ เมื่อเห็นสนหันมามองอย่างสนใจแล้วก็เลยพูดต่อ
"มึงต้องเลือกแล้วนะสน ตอนนี้ไม่มีอะไรให้มึงเลือกมากนักหรอก มึงก็น่าจะรู้ดีว่าทำไม เอาอย่างงี้ละกัน กูมีสามทางเลือกให้มึง อย่างแรก...มึงเลิกคบกันต้นไปเลย มีชีวิตใหม่ของตัวเอง ต่างคนต่างอยู่ มันอาจจะโหดไปสักหน่อย แต่มันจบว่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะมองหน้ากันไม่ติด ไม่ต้องมีปัญหาอะไรอีก เผื่อบางที ผ่านไปสองสามปี พวกมึงสองคนอาจจะทำใจได้ แล้วก็ค่อยคิดละกันว่าจะกลับมาคบกันเป็นเพื่อนอีกดีไหม ถ้าไม่งั้นก็เลิกคบกันถาวรไปเลย"
แค่ได้ฟังตัวเลือกนี้สนก็เจ็บแปลบขึ้นมาทันที แค่ต้นหายไปไม่กี่วันสนก็แทบจะบ้าอยู่แล้ว ถ้าจะต้องเลิกคบกันไปเลยสนคงเสียสติเป็นแน่ แต่ก็จริงอย่างที่ปั้นจั่นบอก ข้อดีของมันก็คือมันจะจบจริงๆ จบทุกสิ่งทุกอย่าง แน่นอนว่ามันคงเป็นไปได้ยากที่จะกลับมาคบกันเหมือนเดิม
"ทางเลือกที่สอง...พวกมึงก็คบกันต่อไป แต่มึงก็ต้องตกลงกับต้นเอาเองนะว่าจะเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่มีอะไรเกินเลย ถ้าต้นมันโอเค ไม่มีปัญหาอะไร รับได้ มึงจะมีฟงมีแฟนแต่งงงแต่งงานต้นมันก็รับได้ ก็คบกันไปเหมือนเดิม แต่ถ้าต้นมันไม่โอเค ก็...อาจจะเหมือนตัวเลือกแรก หรือยังไงกูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แล้วแต่มึงสองคนจะตกลงกันเองละกัน"
อันนี้ฟังดูดีขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยถ้าสนบอกกับต้นว่าเขาให้ได้แค่ความเป็นเพื่อน ถ้าต้นเข้าใจ ไม่คิดทำอะไรเกินเลย ก็น่าจะคบกันไปต่อได้ แต่ต้นก็คงต้องทนเจ็บน่าดู สนเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ยังไงวันหนึ่งก็ต้องแต่งงานมีครอบครัว มีทายาทสืบสกุล เขาคงไม่สามารถที่จะอยู่เป็นโสดเป็นเพื่อนกับต้นไปจนตายได้ พ่อกับแม่ของเขาคงไม่ยอมแน่ๆ อย่าว่าแต่เขาเลย พ่อกับแม่ของต้นก็คงไม่ยอมให้ต้นเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
แต่ถ้าต้นเลือกข้อนี้จริงๆ สนจะพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะชดเชยให้กับความเจ็บปวดของต้น แม้ว่าจะรักต้นอย่างนั้นไม่ได้เขาก็จะให้ความรักอย่างเพื่อนที่ดีที่สุดกับต้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถทดแทนกันได้ แต่อย่างน้อยต้นก็จะไม่ต้องน้อยใจว่าสนไม่ให้ความสำคัญ ต้นสำคัญเป็นพิเศษกว่าเพื่อนคนไหนที่สนมีเลยล่ะ
"ส่วนทางเลือกสุดท้ายที่กูนึกออก มึงฟังดีๆ นะ" ปั้นจั่นเรียกร้องความสนใจ แล้วก็ได้ผล สนดูสนใจฟังมากขึ้นกว่าเดิมมากทีเดียว บางทีตัวเลือกที่สามที่ปั้นจั่นกำลังจะพูดอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดก็ได้ ไม่งั้นก็คงไม่เอามาพูดตอนท้ายหรอก
"มึงกับต้นก็รักกันไปซะ จบเรื่องเลย ไม่ต้องยุ่งยาก ไม่ต้องมีใครเจ็บปวด โอเคไหม!?"
"เฮ้ย!?" สนร้องอุทาน อ้าปากค้าง ตาเบิกกว้าง ไม่คาดคิดว่าปั้นจั่นจะคิดทางเลือกแบบนี้ขึ้นมาได้
TBC