[โก้ - BAD ENDING]บ่ายวันต่อมาหลังจบคาบเรียนวิชามนุษยสัมพันธ์อาจารย์เรียกผมไปคุยเป็นการส่วนตัวและถามคำถามซึ่งทำให้ผมรู้ว่าผู้ชายชื่อมอลต์หายไปจากชีวิตผมแล้วจริงๆ
“ตอนแรกก็อุส่าห์คาดหวังไว้ว่าเพื่อนเธอน่าจะทำให้การเขียนสมุดบันทึกคลาสนี้คึกคักขึ้น แต่ถ้ามันลงเอยแบบนี้ก็คงช่วยไม่ได้แล้วล่ะนะ”
ผมเดินออกจากห้องด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง ในหัวยังคิดย้ำๆว่าไอ้มอลต์ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
หรือการที่ผมกับมอลต์มีอะไรกันทำให้มันรู้สึกแย่ยิ่งกว่าการที่รู้ว่าตัวเองอกหักจากเฮดว้ากเกษตร ผมคิดหาคำตอบจนไม่ได้สังเกตุเลยว่าใครบางคนกำลังดักรอผมอยู่ที่หน้าตึกเรียน
“โก้!” ชายผิวแทนส่งเสียงเรียกเสียงดังเมื่อเห็นว่าผมมองไม่เห็นเขาจริงๆ
เฮ้ดวากเกษตรและเพื่อนชายฉายาสปอตไลท์มองมาที่ผมซึ่งกำลังใจลอย ผมมองหน้าชายผิวแทนเพียงครู่เดียวก่อนพบว่าผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป
ผัวะ!!
“ถ้าไม่เพราะมึงไอ้มอลต์คงไม่ทำแบบนี้!” ผมต่อยเฮ้ดว้ากเต็มแรงจนเขาเสียหลักล้ม เพื่อนตัวเล็กของเขาใช้แรงทั้งหมดผลักผมออกแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังได้ชกใบหน้านั้นอีกครั้งอยู่ดี
“เลิกบ้าซะทีเถอะ!!” นายสปอตไลท์ร้องสุดเสียง “พวกกูแค่เอาข้อความของไอ้มอลต์มาส่งให้มึง”
ผมชะงักไปก่อนจะได้ต่อยเฮ้ดว้ากอีกเป็นครั้งที่สาม มองใบหน้าขาวที่กำลังขึ้นสีด้วยความโกรธ
“มึงก็รู้ใช่มั้ยเรื่องที่ไอ้มอลต์ได้สมุดเล่มเดิมไปเขียนซ้ำทุกวัน”
“...” ผมตอบคำถามของนายสปอตไลท์ไม่ได้เพราะผมไม่เคยใส่ใจเรื่องพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ” มือขาวขว้างสมุดบันทึกลงบนพื้นก่อนจะเข้าไปประคองเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น “ไปเหอะเชี่ยฟิว”
ผมนั่งนิ่งอยู่บนพื้นที่เย็นเยียบห่างออกไปเป็นสมุดบันทึกของวิชามนุษยสัมพันธ์ที่แสนคุ้นตา ใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าผมจะเอื้อมมือไปหยิบมาเปิดอ่านข้อความทีละหน้า
ช่วงแรกของสมุดบันทึกเป็นเป็นการเล่าเรื่องทั่วๆไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นบันทึกที่คล้ายกับแฝงการโต้ตอบระหว่างคนสองคน
เมื่อผมพลิกมาถึงไดอารี่หน้าล่าสุดซึ่งถูกเขียนวันนี้ น้ำตามากมายก็พรั่งพรูออกมาอย่างไม่อาจกลั้น
30/05
ครั้งสุดท้ายกับการเขียนไดอารี่ในวิชา HR
ขอฝากข้อความถึงใครบางคนที่เป็นเพื่อนคนสำคัญของเรา
ขอโทษนะที่ไม่กล้าพอจะอยู่สู้หน้านาย รู้ดีว่าเรามันขี้ขลาด
แต่ตอนนี้เราไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับนายจริงๆ ป๊อดง่ะ
นายคงอยากได้เหตุผลว่าที่เราทำไปทั้งหมดนี้มันเพราะอะไร
เราบอกนายได้แค่ว่า เราชอบนายเกินกว่าจะยอมให้
ความเป็นเพื่อนของเรามันพังลงแค่นี้ ยกโทษให้เราด้วย
แต่ที่เราทำไปทั้งหมดเพราะนายมีความสำคัญกับเรามากจริงๆ
“ถ้ากูสำคัญ...แล้วมึงทิ้งกูไปทำไม...”
เหตุทะเลาะวิวาทหน้าตึกคณะมนุษยศาสตร์ไปถึงหูอาจารย์ในที่สุด ผมแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกสโมสรนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์และมอบตำแหน่งรักษาการประธานรุ่นให้กับผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมซึ่งดูจะไม่เต็มใจรับมอบตำแหน่งนี้เท่าไร
“ถึงกูบอกว่าให้โทรหาตอนคิดว่ากูจำเป็น มึงก็ไม่น่าโทรมาบอกยกตำแหน่งให้กูแบบนี้นะ” ไอ้มิกซ์ถึงกับบ่นอุบก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง “แล้วเรื่องเรียนว่าไงวะ เกรดก็ร่อแร่แล้วยังเสือกโดนพักการเรียนอีกนะมึง”
“เรื่องพักการเรียนมีผลเทอมหน้า” ผมเว้นจังหวะถอนหายใจรู้สึกอ่อนล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ “เทอมนี้ก็เรียนให้จบๆไป”
“เออ เมื่อกี้กูได้ยินอาจารย์กอบกิจพูดว่าเมื่อเช้าไอ้มอลต์ก็มาทำเรื่องขอพักการเรียน คงไม่ใช่ว่ามึงไปหาเรื่องต่อยคนอื่นเพื่อหยุดเรียนเป็นเพื่อนไอ้มอลต์นะ” ไอ้มิกซ์พูดเจื้อแจ้วไปเรื่อย แต่พอเห็นว่าผมไม่ตอบอะไรมันจึงได้หันกลับมามองสีหน้าผมชัดๆ “อะไร...อย่าบอกนะว่าพวกมึงมีเรื่องหลบหน้ากันอยู่”
“ไม่เกี่ยวกับมึง” ผมตอบห้วนๆด้วยเสียงติดเย็นชา
“โยนภาระมาให้กูแล้วยังบอกว่าไม่เกี่ยวกับกูอีกหรอ” ไอ้มิกซ์กอดอกจ้องผมอย่างเอาเรื่อง
“ถ้ามึงทำไม่ได้ก็โยนไปให้คนอื่นสิ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องแคร์อีกแล้ว
“ทำตัวขวางโลกเหมือนคนโดนทิ้งไปได้”
“...”
ประโยคลอยๆของไอ้มิกซ์ทำผมสะอึก คำพูดอวดดีอันตรธานหายไปในอากาศเสียดื้อๆ
“จี้ใจดำสินะ” ไอ้มิกซ์เหยียดยิ้มขำก่อนจะเข้ามากอดคอเหมือนเราสองคนสนิทกันมาก “เอางี้มั้ย พวกเรากลับมาป็นเหมือนเดิมแล้วลืมเรื่องในอดีตไปให้หมด”
“พูดเหมือนกูจะลืมความเลวที่มึงทำไว้กับน้องพลอย”
“มึงไม่ต้องลืมก็ได้” ไอ้มิกซ์พูดพลางไหวไหล่ “แต่กูรับรองว่ามึงจะลืมเรื่องไอ้มอลต์ไปเลยถ้าได้อยู่กับกู”
ผมไม่ได้เล่าให้แม่ฟังเรื่องที่ถูกพักการเรียน ทุกวันผมออกจากบ้านด้วยชุดนักศึกษาตามปกติ ใช้เวลาเตร็ดเตร่ตามศูนย์การค้าเพื่อฆ่าเวลา
แรกๆมันก็น่าเบื่อ แต่หลังจากไอ้มิกซ์แนะนำหลายๆคนให้รู้จักผมก็มีอะไรให้ทำมากขึ้น
การกระทำที่เคยเป็นสาเหตุให้ผมและไอ้มิกซ์แตกหักกันกลายเป็นสิ่งที่ผมกลับทำเสียเอง หัวใจผมเหมือนตายด้านลงไปทุกทีเมื่อต้องมีเซ็กส์กับผู้หญิงที่เข้าหาและพร้อมจะอ้าขาให้ถ้าผมบอกว่าต้องการ
“ไงมึง” ไอ้มิกซ์ที่เพิ่งเลิกเรียนกลับมาถามผมที่กำลังนั่งเหม่ออยู่บนเตียง “เมื่อกี้เดินสวนที่ทางเดิน น้องปิงหัวเสียน่าดูเลย”
“หัวเสียที่ทำให้กูอยากเอาไม่ได้เนี่ยนะ...เฮ๊อะ”
“เรื่องนั้นช่างมันก่อน กูมีเรื่องจะบอก” ไอ้มิกซ์ทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียงก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ “วันนี้กูเจอไอ้มอลต์ที่คณะ”
มอลต์...คำสั้นๆที่สามารถทำให้หัวใจผมกลับมาเต้นโครมครามทั้งที่เคยตายด้านไปแล้วครั้งหนึ่ง
“มันมาทำไม”
“เห็นว่าทำเรื่องกลับมาเรียนเทอมหน้า ก็ไม่ค่อยรู้ละเอียดนักหรอก”
“งั้นหรอ...”
“ปฏิกิริยามึงนิ่งกว่าที่กูคิดนะ” ไอ้มิกซ์พูดด้วยน้ำเสียงคล้ายผิดหวัง “แต่ก็ดีแล้วล่ะ แสดงว่ากูทำให้มึงลืมมันได้แล้วส่วนนึง”
ไอ้มิกซ์เข้าใจผิดถนัด...เพราะความจริงคือผมไม่ได้ลืมเรื่องของไอ้มอลต์เลยแม้แต่เรื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตั้งแต่ที่ผมกับมันรู้จักกันใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งวินาทีที่มันทิ้งผมไป
ผมลงจากเตียงและหยิบเสื้อผ้าที่วางเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่ก่อนจะหันไปบอกไอ้มิกซ์ซึ่งเป็นเจ้าของห้องว่า
“ตั้งแต่พรุ่งนี้กูจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว”
“อ่าวเฮ้ย ใช้ห้องกูกกสาวมาตั้งนานคิดจะไปง่ายๆงี้หรอ” ไอ้มิกซ์โวย
“กูเบื่อแล้ว” ผมตอบไปตามตรง
“จะรีบกลับไปอ้อนผัวเก่ารึไง” ไอ้มิกซ์พูดด้วยน้ำเสียงเหยียดๆที่ผมไม่ได้ยินมานาน และเพียงเสี้ยววินาทีนั้นผมก็คว้าคอเสื้อไอ้มิกซ์ขึ้นอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าไม่ใช่เพราะสาวๆที่มึงแนะนำมันเริ่มไม่ได้เรื่องกูคงไม่เบื่อแบบนี้”
“หึ..ที่เบื่อเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงรึป่าว” ไอ้มิกซ์เหยียดยิ้ม “ถ้าอยากได้ผู้ชายก็ก็แนะนำให้ได้นะ อยากได้แบบไหนว่ามาเลย”
“ถ้ามึงยังพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก อย่าหวังว่ากูจะยอมคุยกับมึงอีกเป็นครั้งที่สอง” ผมพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินผละออกมาและไม่กลับไปเหยียบที่คอนโดของไอ้มิกซ์อีกเลย
กิจวัตรประจำวันของผมยังคงเป็นเหมือนเดิม จะแปลกไปก็ตรงที่ผมไม่ได้ใช้ห้องไอ้มิกซ์ไว้เป็นที่เผด็จศึกสาวๆก็เท่านั้น
“ห้องเค้าของเยอะหน่อยนะ พวกรองเท้ากับกระเป๋าอะไรงี้อ่ะ” น้ำเสียงหวานพูดเจื้อยแจ้วข้างหูขณะเดินแอบอิงไปตามทางเดินในตึก
“ไม่มีผู้ชายอยู่ในห้องก็ไม่เป็นปัญหาหรอก”
“แหม๋ เห็นเค้าอย่างนี้ก็ยอมให้โก้คนเดียวนะ”หญิงสาวพูดออดอ้อนก่อนจะหอมแก้มอย่างเอาใจ
“ถ้าโกหกล่ะจะจับตีก้นให้เข็ดเลย”
ผมกดปลายจมูกลงบนแก้มเนียนอย่างหมันเขี้ยว รู้สึกเห็นเงาคนเดินมาทางปลายหางตาจึงเอี้ยวตัวหลบให้ หากแต่เมื่อผมได้เห็นใบหน้าด้านข้างของคนที่เดินผ่านไปร่างกายผมก็เริ่มผิดเพี้ยนไปอีกครั้ง
หมับ!
“ไงมอลต์ ไม่เจอกันนานนะ” ผมเอ่ยทักก่อน
“ง...ไง”
“เพิ่งรู้ว่าอยู่หอนี้” ผมเว้นจังหวะและออกแรงบีบข้อมืออีกฝ่ายเล็กน้อย “บังเอิญจัง”
“อ่อ หอเก่าปัญหาเยอะเลยย้ายน่ะ” ไอ้มอลต์ตอบ “น..นี่แฟนโก้หรอ น่ารักดีนะ”
“ขอบใจ แต่ว่าไม่ใช่แฟนหรอก”ผมตอบอย่างไม่ไว้หน้าแม้ว่าคนที่ถูกพูดถึงจะกำลังยืนอยู่ข้างกายก็ตาม
“ทำไมโก้พูดไม่ไว้หน้าผิงแบบนี้ล่ะคะ” หญิงสาวขึ้นเสียงจนแทบจะเป็นเสียงกรี้ด
“ทุกครั้งที่เอาก็ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าเอาในฐานะไหน อย่ามาสะดิ้งได้มั้-”
ผัวะ!!
กำปั้นของไอ้มอลต์ต่อยเข้าเต็มแรงจนผมลอยไปกระแทกกับผนัง ไอ้มอลต์มองผมด้วยสายตาที่โกรธจัดก่อนจะพูดออกมาอย่างเดือดดาล
“ไอ้โก้ที่กูเคยรู้จักไม่ใช่คนที่จะเหี้ยกับผู้หญิงได้ขนาดนี้ ขอโทษเธอซะ!!”
“...คนที่ทิ้งกูไปอย่างมึง...มาเสือกอะไรด้วย!!”
ผมได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ ตอนนั้นสมองผมขาวโพลนจนนึกอะไรไม่ออก ความรู้สึกที่ซ่อนเร้นอยู่ข้างในกำลังทำให้ร่างกายนี้เคลื่อนไหว หมัดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกพุ่งปะทะใบหน้าที่ไม่คิดว่าจะได้เจออีกครั้ง แต่ในจังหวะที่ไม่ทันระวังกำปั้นของไอ้มอลต์ก็ซัดเข้ามาเต็มแรงอีกครั้งจนหงายหลังนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น
ความรู้สึกที่บิดเบี้ยวกลั่นตัวเป็นหยาดน้ำใส ในอกเจ็บแปลบราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ผมได้ยินเสียงหายใจหอบของไอ้มอลต์อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ผมใช้หลังมือเช็ดน้ำตาก่อนจะยันตัวเองลุกขึ้นอีกครั้ง มอลต์ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมขณะที่ผมเดินจากมา ไม่มีถ้อยคำใดๆมาเอ่ยรั้งหรือขอให้เราทั้งคู่กลับมาเป็นเหมือนเดิม
แล้วโลกของเราทั้งสองก็เหมือนถูกตัดขาดออกจากกัน
------------
เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่ผมถูกพักการเรียนผมก็กลับมาเรียนตามปกติ ทุกเย็นผมต้องอยู่ติวกับไอ้มิกซ์ที่ถูกอาจารย์กอบกิจไหว้วานให้มาอีกทีอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
เย็นวันหนึ่งไอ้มิกซ์ก็มีท่าทางแปลกไป มันเดินเข้ามาพร้อมกับความฉุนเฉียวเหมือนเพิ่งไปมีเรื่องขัดใจกับใครมา ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจแต่เหมือนไอ้มิกซ์จะอยากให้ผมมีส่วนรู้เห็นกับสิ่งที่มันจะทำต่อจากนี้ด้วย
“กูอุส่าหวังดีไปเตือนว่าไอ้เปรมกำลังโดนไอ้เด็กนั่นหลอก แต่ไอ้เปรมกลับเชื่อมันมากกว่ากู” น้ำเสียงไอ้มิกซ์เต็มไปด้วยความเดือดดาลแต่มันกลับพูดด้วยใบหน้าที่ดูนิ่งสงบกว่าทุกครั้ง “ไอ้เปรมต้องเสียใจที่เลือกมัน มึงสนใจจะมาร่วมวงกับกูมั้ยโก้”
“ขอผ่านแล้วกัน กูไม่อยากยุ่ง”
“ก็คิดไว้แล้วล่ะนะว่ามึงคงจะปอดแหกตามเคย” ไอ้มิกซ์แสยะยิ้มชั่ว “กูแค่คิดว่าจะหาอะไรให้มึงทำคลายเครียดก็เท่านั้น”
“ขอโทษทีว่ะ กูไม่นิยมคลายเครียดแบบนี้”
“ก็แค่จะกระทืบสั่งสอนเด็กเหลือขอให้รู้สำนึก ไม่ได้จะยกพวกไปรุมโทรมมันซะหน่อย”
“มึงลืมไปรึป่าวว่ากูโดนพักกวารเรียนไปเพราะอะไร” ผมพูดให้มันคิดก่อนจะเก็บของกลับบ้าน
“จะกลับเลยหรอวะ” มันร้องถาม
“วันนี้มึงไปทำหัวให้เย็นก่อน แล้วค่อยมาติวชดเชยให้กูแล้วกัน” ผมตอบโดยที่ไม่หันหลังกลับไปมอง
วันต่อมาโลกตัดสินใจเหวี่ยงไอ้มอลต์กลับเข้ามาในชีวิตผมอีกครั้ง ด้วยความบังเอิญที่ผมต้องอยู่เรียนเสริมและกลับเย็นกว่าปกติ ผมเจอไอ้มอลต์กำลังเดินลงบันไดอย่างรีบร้อน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมเดินตามไปอย่างไม่รอช้า ก่อนจะชะลอฝีเท้าลงเมื่อเห็นเงาคนสองคนยืนอยู่ที่หน้าตึก
ผมอยู่ไกลเกินกว่าจะได้ยินว่าทั้งสองคนกำลังพูดคุยเรื่องอะไรกันอยู่ แต่ท่าทางที่สนิทสนมและการหยอกล้อระหว่างมอลต์และชายตัวเล็กที่ผมจำได้แม่นว่าเป็นเด็กคณะเศรษฐศาสตร์ที่ไอ้เปรมเคยพามาเปิดตัวต่อหน้าเพื่อนๆ
คำพูดของไอ้มิกซ์เมื่อวานกลับเข้ามาในห้วงความคิดของผมอีกครั้งพร้อมกับอารมณ์ที่เริ่มครุกรุ่น ผมกำหมัดแน่นมองภาพรุ่นน้องคนนั้นเดินจูงมือไอ้มอลต์ไปต่อหน้าต่อตา
“ชดเซคก็บอกกันบ้างดิวะ กูก็นั่งรอติวให้มึงจนตูดบานหมดแล้วเนี่ย” เสียงไอ้มิกซ์บ่นกระปอดกระแปดดังมาจากทางด้านหลัง
“...กูทำเอง”
“ห๊ะ? พูดอะไรของมึงเนี่ย”
“เรื่องกระทืบเด็กไอ้เปรม...กูจะทำเอง”
“ผีเข้าหรอวะ...” ไอ้มิกซ์ที่เพิ่งเห็นสีหน้าของผมตอนนี้เงียบเสียงลงไปทันทีคล้ายจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างแล้วแม้ว่าผมจะยังไม่ได้อธิบายอะไรเลยก็ตาม “ฝากด้วยนะ”
ทุกอย่างง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อตอนที่ผมลากร่างเล็กๆไปในที่ลับตาคน เขาพยายามขัดขืนและต่อสู้ทำให้ถูกผมต่อจนเลือดกบปาก
ผมไม่สนใจเรื่องการแก้แค้นของไอ้มิกซ์แต่ผมอยากรู้เหลือเกินว่าเด็กคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกับไอ้มอลต์
“รู้มั้ยว่าทำไมถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้” ผมถามเสียงต่ำกดร่างเล็กติดพื้นและขึ้นคร่อมเพื่อกันอีกฝ่ายหนี แล้วก็ต้องรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเพราะตัวเองดันตาไวสังเกตเห็นรอยแดงเล็กๆสองสามรอยบริเวณต้นคอที่ซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้า
ฝีมือไอ้มอลต์?
“ม ไม่รู้...” ชายตัวเล็กตอบมาด้วยท่าทางหวาดกลัวน้ำตาคลอหน่วย ใบหน้าขาวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
“มึงมายุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่ง คนของกู!!” ผมตะคอกเสียงกร้าว
“ฮึก..ผม..ผมไม่รู้คุณพูดถึงเรื่องอะไร!”
ชายตัวเล็กร้องไห้หนักขึ้น นั่นยิ่งทำให้เขาดูบอบบางไร้ทางสู้จนน่าสงสาร แต่หากลองคิดในอีกแง่...ทั้งหมดอาจจะเป็นแค่การเสแสร้งเพื่อเอาตัวรอดก็ได้
“ไม่รู้งั้นหรอ...พูดง่ายดีนี่” ผมกัดฟันกรอดกระชากเสื้อคนตัวเล็กจนแทบขาดคามือ ผิวขาเนียนมีรอยที่ทำเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ “หลักฐานเต็มตัวขนาดนี้ยังบอกว่าไม่รู้อีกหรอ”
“นี่มัน ม ไม่ใช่นะ...”
“แก้ตัวตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะ”
ชายตัวเล็กหวีดร้องสุดเสียงด้วยความหวังว่าจะมีคนมาช่วยพาเขาออกไปจากฝันร้ายตรงหน้า แม้จะได้ยินเสียงเขาร้องอย่างเจ็บปวดแต่ผมก็ยังไม่หยุดสะโพกที่ขยับเข้าออกอย่างดุดัน
ไม่นานนักเสียงร้องขอความช่วยเหลือและอาการสะอื้นค่อยๆสงบลงอย่างผิดปกติ ชายตัวเล็กนอนนิ่งนัยน์ตาว่างเปล่า เขาพึมพำอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้ยินจึงต้องโน้มตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น
“บอ..ล...” เขาเพ้อแผ่วเบาในขณะที่น้ำตายังไหลไม่หยุด
ผมผละออกจากร่างเล็กและจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาไอ้มิกซ์
“เรียบร้อยแล้ว” น้ำเสียงผมเรียบเฉยไร้อารมณ์ ไอ้มิกซ์ส่งเสียงประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะพูดบางอย่างที่ผมไม่ได้ตั้งใจฟัง
ผมได้ยินเสีงฝีเท้าหนึ่งกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้จากด้านหลังก่อนที่เสียงนั้นจะหยุดลงห่างออกไปไม่ไกล ผมหันกลับไปเผชิญหากับผู้มาใหม่แล้วเผลอกำโทรศัพท์ในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
“แค่นี้ก่อนนะ” ผมพูดกับไอ้มิกซ์ก่อนจะถามชายที่อยู่เบื้องหน้า “มาทำอะไรแถวนี้”
“...มึงตอบกูมาก่อน...แฮ่ก...มึงทำอะไรกับน้องบาส...” ไอ้มอลต์ถามทั้งที่ยังหายใจหอบ
ผมปรายตามองชายตัวเล็กเล็กน้อยก่อนหันมาตอบ “แล้วคิดว่ากูทำอะไรล่ะ”
“มึงตอบกูมาเดี๋ยวนี้ว่ามึงทำอะไรลงไป” ไอ้มอลต์ตะโกนอย่างเหลืออด
“กูข่มขืนมัน ตอบแบบนี้พอใจมึงรึยัง”
คำตอบของผมคงจะทำให้เส้นความอดทนเส้นสุดท้ายของไอ้มอลต์ขาดลง หน้าผมสะบัดไปตามแรงซึ่งก็สมควรโดนแล้ว
“กูผิดหวังในตัวมึงจริงๆ...”
ไอ้มอลต์มองผมด้วยสายตาเจ็บปวดแล้วเดินผ่านผมไปช้อนร่างเล็กขึ้นจากพื้น อกซ้ายผมเจ็บจนรู้สึกเหมือนจะขาดใจตายซะให้ได้
“...แม้แต่มึงก็เลือกไอ้เด็กนั่น” เสี้ยววินาทีที่กำลังจะเดินจากไปคำพูดของผมก็ทำให้ไอ้มอลต์ชะงักงัน
“กลับบ้านซะโก้” ไอ้มอลต์พูดด้วยเสียงที่อ่อนลงแต่ยังเจอด้วยอารมณ์ครุกรุ่นอยู่บ้าง “กูจัดการทางนี้เสร็จแล้วจะตามไป”
เมื่อกลับมาถึงที่บ้านผมก็เห็นไอ้มอลต์นั่งรออยู่ก่อนแล้วที่หน้าประตู
“มาจบเรื่องนี้กันเถอะ” ไอ้มอลต์เป็นฝ่ายเริ่มก่อน “...กูขอโทษที่วันนั้นหนีไป”
เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำขอโทษจากปากของไอ้มอลต์ ผมจึงไม่รู้ว่าจะตอบรับกับคำขอโทษนั้นอย่างไร
ไอ้มอลต์มองหน้าผมก่อนจะพูดต่อ “วันนั้นความคิดกูมันยุ่งเหยิงไปหมด กูไม่เข้าใจการกระทำของมึงทั้งๆที่เคยเข้าใจว่ารู้จักมึงดีกว่าใคร...มึงที่ใจดีหาข้าวหายามาให้กูกินแต่ก็บ่นว่ากูเป็นภาระอย่างเย็นชา”
“แต่กูไม่เคยคิดว่ามึงเป็นภาระ!” ผมเถียงแต่มันก็เป็นความจริงตามที่ไอ้มอลต์พูดว่าผมบอกว่ามันทำตัวเป็นภาระสำหรับผม
“งั้นหรอ...โล่งอกไปที” ไอ้มอลต์ยิ้มบางๆอย่างขมขื่น “เรื่องในวันนี้กูจะรับผิดชอบเอง”
“ม..หมายความว่ายังไง?”
“ถ้าสิ่งที่ทำให้มึงเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้มีสาเหตุมาจากกู...ก็เอาทุกอย่างมาลงทีกูเถอะ” ไอ้มอลต์พูดด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว “อย่าลากคนอื่นเข้าเกี่ยวข้องกับความผิดพลาดของพวกเราอีกเลย”
ผมกำหมัดแน่นและถามตัวเองว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของไอ้มอลต์จริงๆอย่างนั้นหรอ หรือแท้จริงแล้วจะเป็นความผิดของผู้ชายปากแข็งอย่างผมที่ไม่กล้าจะพูดคำว่ารักออกมากันแน่
“...ทำไมต้องยอมทำถึงขนาดนี้” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ
“เพราะมึงเป็นคนสำคัญสำหรับกูไง” ไอ้มอลต์ตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“สำคัญแบบไหนถึงได้ทิ้งกูไปล่ะมอลต์”
“แต่เพราะกูทิ้งมึงไป กูถึงได้รู้ว่ากูรักมึงนะโก้”
คำง่ายๆที่ผมไม่เคยพูด คำสั้นๆกำลังทำลายทิฐิในใจและสั่นคลอนความรู้สึกจนน้ำตาผมร่วงเผาะ ผมดึงไอ้มอลต์เข้ามากอดและร้องไห้เหมือนเด็กขี้แย
หลังจากได้ปรับความเข้าใจกับไอ้มอลต์ผมก็สัญญาว่าจะเลิกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเที่ยวเตร่หรือเรื่องผู้หญิง
ปัญหาอีกอย่างที่ผมต้องไปสะสางด้วยตัวเองคือเรื่องที่ผมเข้าใจผิดว่าเด็กคนนั้นเป็นคนที่ไอ้มิกซ์พูดถึงและได้ข่มขืนเด็กคนนั้น ผมถูกกระทืบจนอ่วมโดยแฟนหนุ่มของเด็กคนนั้นทำให้ต้องรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอ้มอลต์อีกหลายวันกว่าจะโผล่หน้ากลับเข้าบ้านได้
ทุกอย่างเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้งจนผมเผลอนึกไปว่าผมจะมีความสุขกับชีวิตแบบนี้ได้ตลอดไป
ผมล้มลงบนพื้นที่เย็นเฉียบนั่นทำให้ผู้คนรอบข้างเสียงร้องด้วยความตกใจ หลายคนที่อยู่ห่างไม่ไกลมองมาทางผมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ไม่มีใครคิดจะเดินเข้ามาใกล้
ง่วงชะมัด...
เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อยๆปิดปรือจนโลกของผมมีแต่ความมืดกับเสียงอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์จากคนรอบข้าง
‘นี่ๆ ไปดูหนังกัน!’
ดูหนังอีกแล้วหรอ...
‘อย่าทำตัวน่าเบื่อสิ’
ก็อย่าเอาแต่ใจนักสิ...
“...โก้”
หืม..?
“ห้ามหลับนะ!”
ทำไมล่ะ...ทำไมมึงถึงทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ล่ะ..
“ถ้ามึงหลับกูจะไม่ยกโทษให้ตลอดชีวิต!!”
พูดจาเอาแต่ใจอีกแล้ว...ถ้าไม่ใช่กูใครจะทนความเอาแต่ใจของมึงได้..
“มึงอย่าทิ้งกูไปแบบนี้สิ กูขอโทษ...ฮึก...ได้โปรด...”
คนที่ต้องขอโทษมันน่าจะเป็นกูมากกว่า...
ขอโทษนะที่อยู่เคียงข้างมึงไม่ได้อีกแล้ว
-----[END]-----
ขออัพแค่แบบ Bad ก่อนนะคะ ตอนแรกก็ว่าจะรออัพพร้อมกัน
แต่แบบ Happy ยังไม่มีเวลาได้พิมพ์ต่อให้จบ และตอนนี้งานแน่นมาก
ต้องขออภัยจริงๆค่ะที่นอกจากจะหายหน้าไปนานแล้วยังมีตอนจบมาแค่แบบเดียว
ถ้าว่างจากภารกิจการงานเมื่อไรจะรีบพิมพ์แบบ Happy ให้จบค่ะ
ขออภัยในความล่าช้า และขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามอย่างสูง