▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ โก้ - Bad Ending (#58) - 19/09/15
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ โก้ - Bad Ending (#58) - 19/09/15  (อ่าน 14119 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8

ออฟไลน์ ชอร์ปสติ๊ก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เรชอบแบบตอนพิเศษมากกว่าค่ะ เรารู้สึกว่ากาฟิวกับเอเวอร์กรีนทำให้เราอิ่มแล้ว  :-[ มีตอนพิเศษพอกรุบกริบๆ เป็นของหวาน ถ้าเป็นตอน 11 12 13... อาจจะเยอะเกินไปสำหรับเราค่ะ แล้วเราก็จะทานไม่ไหว ถ้าให้เลือก อยากเลือกทานจานใหม่เลยมากกว่าค่ะ เช่น เรื่องของมอลต์ เป็นต้น ครุคริ  :ruready

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกดีนะครับ ลุ้นไปกับตัวละครมาก

ตอนแรกก็เดาว่าใครจะรักใคร
สุดท้ายเพื่อนก็แอบรักเพื่อนนี่เอง 5555+

รอตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ tempo_oil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
อ่าาาา ส่วนตัวชอบอ่านเรื่องยาวค่ะ

เราว่าต่อไปอีกก็ได้แล้วค่อยมีตอนพิเศษ

ตามแต่ใจคนแต่งเลยค่ะ ออกมากี่ตอนเราก็ชอบก็อ่านหมด

รอมาต่อนะคะ สู้ๆๆๆๆๆๆ


ออฟไลน์ shichina

  • Hina-Chang
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
วันที่ 10 - 06/07/15
«ตอบ #34 เมื่อ06-07-2015 14:57:59 »

วันที่ 10


“เชี่ยกรีน อย่าทำเหมือนกูจะข่มขืนมึงได้มั้ย กูยังมีส่วนที่เป็นผู้ชายอยู่นะเว้ย”


“แสดงว่าที่หอมแก้มกูนี่ไม่ใช่ส่วนที่เป็นผู้ชายของมึงสินะ” ผมสวนกลับพลางกระชับผ้าห่มในมือให้แน่นขึ้น


“กูเหนื่อยจะเถียงกับมึงแล้ว” ไอ้ฟิวทิ้งตัวลงบนที่นอนก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายอย่างไม่ยี่หระ “ตามใจมึงแล้วกัน กูขอตัวไปเฝ้าพระอินทร์ก่อนละ ฮ้าววว...”


ขณะนี้เวลา 2 นาฬิกา หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘ตีสอง’


ผมซึ่งเป็นเจ้าของห้องนั่งคุดคู้อยู่ในผ้าห่มมองเพื่อนสนิทที่เพิ่งสารภาพรักกับผมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงนอนแสนอบอุ่นของผม ดีนะที่ช่วงหัวค่ำผมได้หลับจนเต็มอิ่มไปแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงได้นั่งสัปหงกแบบในละครหลังข่าวแน่ๆ


ในระหว่างที่กำลังนั่งจ้องไอ้ฟิวอยู่ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าผมยังไม่ได้เขียนไดอารี่ซึ่งเป็นการบ้านของวิชามนุษยสัมพันธ์เลย


เมื่อเปิดสมุดออกก็เป็นตามคาด วันนี้ผมได้สมุดเล่มเดิมกลับมาเขียนอีกครั้ง


22 พ.ค.

อาจดูเหมือนเสียมารยาท แต่ผมเพิ่งสังเกตว่าลายมือของคุณ
เป็นลายมือเดียวกันกับที่เขียนในสมุดบันทึกอีกเล่ม
วันนี้มีคนดรอปไปหลายคน ตอนแรกผมแอบภาวนาให้
คุณเป็นหนึ่งในคนที่เลือกดรอปวิชานี้ไป แต่คุณก็ยังอยู่ (ฮ่ะๆ)
จริงๆผมว่าตอนนี้ก็เริ่มทำใจกับเรื่องเขียนไดอารี่ซ้ำๆได้แล้ว
ถ้าหากพรุ่งนี้เป็นคุณคนเดิมที่ได้ไปเขียนอีก คราวหน้าผมจะ
เขียนเล่าเรื่องที่มันมหัศจรรย์กว่าเรื่องบันทึกของเราสองคน
ให้คุณอ่านดีมั้ย?


23/05

เราแทบจะอดใจรออ่านเรื่องมหัศจรรย์ที่นายจะเล่าไม่ไหว
วันนี้ในคลาสครึกครื้นและสนุกกว่าทุกวันเลยนายคิดว่างั้นมั้ย
กลุ่มสุดท้ายทำเราช๊อกสุดๆไปเลย ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าทำ
อย่างนั้นในห้องเรียน ถึงมันจะเป็นแค่การแสดงก็เถอะ
สงสัยจังว่าพรุ่งนี้นายวางแผนจะทำอะไรบ้าง
ไว้เราจะรออ่านวันจันทร์นะ อิอิ (จะเป็นไปได้รึเปล่านะ)


24/05

เรื่องเมื่อวานกลายเป็นหัวข้อพูดคุยของทุกคนไปซะแล้ว
เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นใครถ่ายรูปเอาไว้ (มุมดีซะด้วย)
แต่ที่เราสงสัยมากกว่าคืออีกรูปนึงที่แชร์มาในวันเดียวกัน
รูปที่นาย A (นามสมมติ) เดินถอดเสื้ออุ้มผู้หญิงคนนึง
ที่หน้าตึกอักษร รูปนี้ทำให้เราค่อนข้างมีความหวัง...


“นี่มึงได้สมุดเล่มเดิมกลับมาเขียนอีกแล้วหรอ” เสียงไอ้ฟิวที่ดังอยู่ข้างหูทำเอาผมตกใจจนเกือบตกเก้าอี้


“เชี่ยฟิว โผล่มายังกับผีเดี๋ยวกูหัวใจวายทำไง”


“เดี๋ยวกูผายปอดให้ไม่ต้องห่วง” ไอ้ฟิวยิ้มทะเล้นแบบทุกครั้งแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงเชื่อว่ามันจะทำอย่างที่มันพูดจริงๆ


“หัวใจวายใครเขาผายปอดวะ...” เสียงผมอู้อี้อยู่ในลำคอ รู้สึกไม่กล้ามองหน้าไอ้ฟิวตรงๆเพราะกลัวมันจะรู้ว่าผมกำลังหน้าแดง


“มึงอยากรู้ป่ะว่าใครเขียน” ไอ้ฟิวพูดลอยๆ


ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตามันตรงๆได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ถูกไอ้ฟิวสารภาพความในใจ และพยักหน้าแรงๆแทนคำตอบ


“ไอ้มอลต์”


“ห๊ะ!? พูดจริงดิ”


“กูคิดว่าเป็นมัน” ไอ้ฟิวไหวไหล่


“คำตอบมึงโคตรเลื่อนลอย”


แล้วทำไมถึงต้องคิดว่าไอ้มอลต์เป็นคนเขียนด้วยวะ คนในคลาสมีเยอะแยะ


“ทำหน้าเหมือนอยากถามว่าทำไมถึงคิดว่าไอ้มอลต์เป็นคนเขียนสินะ” ไอ้ฟิวพูดอย่างรู้ใจ “จำวันที่ไปหาอาจารย์ได้มั้ย”


“ลางๆ ” ผมตอบ


“วันนั้นไอ้มอลต์ไปคุยกับอาจารย์เหมือนกันแต่มันไปหลังพวกเรา ตอนเดินสวนกันที่ระเบียงกูเห็นมันถือบันทึกอยู่ด้วย กูเลยเดาว่าเป็นมัน”


“อ้อหรอ...” ทำไมผมรู้สึกว่าเหตุผลมันฟังไม่ค่อยขึ้นยังไงก็ไม่รู้


“ทำเสียงเหมือนกำลังหึงกูอีกแล้ว ขี้หึงนะมึงเนี่ย” ไอ้ฟิวพูดแหย่พลางเอานิ้วจิ้มแก้มผม


“อย่ามาขี้ตู่ ใครหึงมึง”


“ก็มึงไง” ไอ้ฟิวยักคิ้วกวน


“มึงไม่นอนรึไง” ผมรู้สึกเหมือนยิ่งเถียงยิ่งแพ้ ก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยซะดื้อๆ


“กูว่าจะไปเคาะห้องไอ้เทพ” มันยิ้มให้ด้วยสีหน้าสบายๆ “ขืนกูอยู่วันนี้มึงคงไม่ได้นอน”


ไอ้ฟิวเดินไปที่ประตูอย่างไม่รีบร้อน ทั้งที่เป็นภาพที่ผมเห็นจนชินตาแต่ร่างกายกับตอบสนองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


บานประตูที่กำลังจะเปิดออกถูกปิดลงอีกครั้ง ไอ้ฟิวหันมามองการกระทำของผมอึ้งๆ


“..นอนหอกูนี่แหล่ะ” ผมพูดตัดบท ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้พยายามรั้งไอ้ฟิวไว้แบบนี้


“ไม่กลัวกูปล้ำหรอ” ไอ้ฟิวถามเรียบๆ แต่ผมรู้ว่ามันแค่พูดเล่น


“มึงไม่ทำหรอก”


“รู้ได้ไง”


“กูเชื่อแบบนั้น” ผมตอบไปแบบกำปั้นทุบดิน


“แสนรู้” ไอ้ฟิวพูดแค่นั้นก่อนจะกดริมฝีปากได้รูปลงมา


---------------


ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งไอ้ฟิวก็ไม่อยู่แล้ว จะมีก็แต่โพสอิทสีบานเย็นบนกระจกในห้องน้ำเท่านั้นที่ช่วยยืนยันได้ว่าเมื่อคืนผมอยู่กับไอ้ฟิวจริงๆ


‘เจอกันคาบบ่าย My evergreen
อย่าลืมกินข้าวเที่ยงด้วย ไปธุระด่วน
                           จาก กูเอง’



ผมไม่รู้ว่าไอ้ฟิวหายไปไหนตั้งแต่เช้า แต่การที่มันเขียนโน้ตทิ้งไว้แบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจไปอีกแบบ


ผมยังสรุปความรู้สึกตัวเองออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรไม่ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยผมก็มั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ผมไม่ได้รังเกียจที่ไอ้ฟิวชอบผม


ปึงๆๆๆๆ


ใครสักคนทุบประตูห้องผมรัวๆราวกับกำลังหนีตายจากฝูงซอมบี้ และใครที่ว่านั่นก็คือ...


“น้องส้ม?”


“พี่กรีนมัวทำอะไรอยู่คะ ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่อีก” น้องส้มขึ้นเสียงใส่ผมอย่างไม่พอใจ “มากับส้มเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”


“เฮ้ย เดี๋ยวๆ จะพาพี่ไปไหน” ผมพยามขืนตัวแต่แรงน้องส้มก็เยอะใช่ย่อย


“ส้มจะพาพี่กรีนไปเคลียร์กับพี่ฟิว” เธอออกแรงดึงอย่างไม่ยอมแพ้


“เคลียร์อะไรอีกล่ะ”


“ก็พวกพี่ทะเลาะอะไรกันเมื่อวานล่ะคะ” น้องส้มออกแรงดึงจนผมกลัวเธอจะลื่นหงายหลังตกส้นสูงจนขาแพลงตามแบบฉบับละครหลังข่าวซะจริงๆ


“เมื่อวานพี่ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันนะ เมื่อคืนไอ้ฟิวก็ค้างที่นี่ด้วย” ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งน้องส้มก็แค่ทำตาโตมองผมด้วยความประหลาดใจ


“แน่นะคะ”


“จริงๆ”


“โอเคค่ะ เห็นแก่รอยคิสมาร์คบนคอพี่กรีน ส้มจะยอมเชื่อก็ได้” เธอผ่อนแรงลงในที่สุด


เดี๋ยวก่อนนะ...คิสมาร์คงั้นหรอ!?


ผมยกมือขึ้นปิดต้นคอโดยอัตโนมัติ และเพิ่งมาได้สติตอนเห็นดวงตาเป็นประกายของน้องส้มที่จ้องมาอย่างคาดหวังว่าตัวเองพลาดตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว


“เห๋~ ไม่เถียงหรอคะ”


“...จะให้ถียงเรื่องอะไรล่ะ”


“ก็คิสมาร์คอะไรนั่นไม่มีซะหน่อย” น้ำเสียงเธอดูสนุกสนานเหมือนทุกทีที่แกล้งผมได้ “ส้มแค่พูดเล่นเฉยๆ”


“ยอมแล้วครับ” ผมถอนหายใจยกมือยอมแพ้ก่อนจะเอะใจเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “ว่าแต่น้องส้มขึ้นหอพี่ได้ไง ป้าข้างล่างไม่ว่าหรอ”


หอพักที่ผมอยู่เป็นหอชายล้วนและมีกฎว่าห้ามพาผู้หญิงขึ้นก่อนได้รับอนุญาต เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องชู้สาวซึ่งอาจนำพาความยุ่งยากต่างๆมาหาเจ้าของหอพักแห่งนี้


“อ๋อ...ตอนแรกป้าเขาก็ไม่ยอมให้ส้มขึ้นมาหรอกค่ะ แต่พอส้มบอกว่าจะมาเคลียร์เรื่องเด็กในท้อง ป้าเขาก็ปล่อยส้มขึ้นมาเลย”


หมดกันชีวิตกู...


---------------


“ไง พ่อหนุ่มเพลย์บอย ได้ข่าวทำน้องส้มท้องหรอวะ” น้ำเสียงกวนๆของไอ้ฟิวทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ


“ท้องพ่อง”


“แล้วนี่ส่งสมุดยัง” ไอ้ฟิวเปลี่ยนเรื่อง


“ยังไม่ได้เขียนเลยด้วยซ้ำ” ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกครั้ง รู้สึกเหนื่อยไปทั้งกายและใจ


“แสดงว่ายังไม่เห็นสินะ...” ไอ้ฟิวพูดเสียงเบา ก่อนจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนน่าหมันไส้ “เมื่อเช้ากูเขียนแทนให้แล้ว”


“ขี้เสือกอีกแล้วนะไอ้คุณฟิว”


“ด้วยความยินดีครับ My evergreen” ไอ้ฟิวยิ้มรับหน้าบาน


26 พ.ค.

ตอนนายเปิดอ่านแล้วเจอลายมือฉันจะทำหน้ายังไงนะ
จะทำหน้าเหมือนตอนที่ฉันสารภาพความในใจรึเปล่า
ก็ไม่ได้อยากจะทำให้นายรู้สึกอึดอัด แต่พอได้พูดแล้ว
มันก็รู้สึกโล่งใจดีเหมือนกัน ขอโทษนะที่ปิดปังมาตลอด
และก็ขอโทษด้วยถ้าฉันเป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยดีเท่าไร
แต่ฉันสัญญานะว่าถ้าได้เป็นแฟนกัน ฉันจะทำให้ดีที่สุด
ถ้าอ่านจบแล้วนายจะตกหลุมรักฉันบ้างมั้ยนะ


บนหน้ากระดาษของไดอารี่ลูกโซ่ปรากฏข้อความต่างจากทุกครั้ง มันทำให้ผมหัวใจเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและตั้งคำถามกับตัวเอง


คนเราจะตกหลุมรักใครสักคนผ่านตัวอักษรได้จริงๆหรอ…


ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะตอบคำถามนี้ว่ายังไง แต่สำหรับผม...รอยยิ้มกวนๆของชายผิวแทนที่อยู่ข้างผมต่างหากที่จะทำให้ผมตกหลุมรัก


--------------------------------------[END]-----------------------------------
  :pig4: ขอบคุณทุกความเห็นและทุกโหวดมากๆค่ะ
สรุปว่าสุดท้ายแล้วก็เลือกแบบ 10 ตอนจบ
บอกตามตรงว่าตอนแรกตั้งใจจะให้กรีนคู่กับมอลต์
แต่สุดท้ายก็ให้กาฟิวเป็นคนได้หัวใจของกรีนไป
ถ้าแต่งกรีนคู่มอลต์ 30 ตอนก็คงไม่จบ  :hao3:
สุดท้ายนี้ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านอีกครั้งที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงวันนี้
ขอบคุณมากๆค่ะ
o1 o1

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :ling1: :ling1:

ขออภัยอย่างยิ่งที่ทิ้งช่วงการติดตามไป กว่าจะมาเห็นอีกทีก็จบแล้ว

รู้สึกไปเองหรือเปล่าที่ว่าช่วงท้ายๆมันรีบไปนิดนึงอ่ะค่ะ  :mew2:

เรื่องนี้น่ารักดี ชอบเวลาการ์ฟิลด์เรียก "My Evergreen" ^^


 :กอด1:

ขอบคุณมากๆนะค้าาาาา (อยากอ่านมอลต์ด้วยนะ ;p)

ออฟไลน์ mizzmizz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 477
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
เหมือนตอนจบมันเร่งๆ รีบๆ ไงไม่รู้จิ
อยากให้มันละเอียดกว่านี้อีกสักกะติ้ด ลิ้ตเติ้ลนิด ลิตเติ้ลมอ แฮร่ๆๆๆ
ปล. ขอจบเลยแต่ละเอียดอีกนิด + ตอนพิเศษแบบเพิ่มเส้นเพิ่มเนื้อค่ะ

ออฟไลน์ tempo_oil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
มารอต่อคิวขอตอนพิเศษได้ม๊ายยยยยยยยย

ขอบคุณที่แต่งนิยายน่ารักๆให้อ่านนะคะ  :pig4: :L1: :3123: :L2:

ออฟไลน์ ชอร์ปสติ๊ก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
น่ารักมากกกกกกกกกกก(ก.ไก่ล้านตัวว) อิอิอิอิ โอ้โหหห ถ้าตอนแรกกรีนคู่มอลต์........................  o22 โอเคค่ะ เอาเป็นว่าเป็นกาฟิวโอเคแล้ว 55555555 น่ารักน่าหยิก ที่น่ารักมากๆ สุดๆ เลยคือคำที่เขียนว่า My Evergreen อ่านแล้วอมยิ้ม อบอุ่น เป็นกรีนเราคงเขินกาฟิวตาย พร้อมตีแขนแล้วพูดว่า " คนบร้า... " 555555 ไม่หรอกค่ะ... เอเวอร์กรีนตัวจริงคงไม่ทำแบบเรา  :laugh: คิดถึงคนเขียน รอคอยตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อนะคะ

ออฟไลน์ shichina

  • Hina-Chang
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ร่วมแสดงความคิดเห็นและถามถึงตอนพิเศษทุกท่านนะคะ

ตอนนี้ยังไม่คอนเฟิร์มค่ะว่าจะมาต่อให้ได้ตอนไหน แต่ว่าเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาเราก็ได้ทวิตข้อความไปตามนี้...



เรียกว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับนักอ่านก็คงได้ล่ะมั้ง  :hao7:

 :-[ :L2: :L1: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ shichina

  • Hina-Chang
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
บันทึกของโก้ (1) - 19/07/15
«ตอบ #40 เมื่อ19-07-2015 09:31:49 »

หน้า 1


คลาสเรียนวิชามนุษยสัมพันธ์แสนน่าเบื่อที่ต้องเจอทุกวันของซัมเมอร์นี้ทำให้ผมใช้เวลากว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในการไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ ตรงข้ามกับไอ้มอลต์เพื่อนสนิทของผมที่ใช้เวลาเกือบร้อบเปอร์เซ็นต์ของคาบไปกับการนั่งมองเฮดว้ากของคณะเกษตรที่มันหลงนักหลงหนา


เมื่อก่อนผมมีความคิดว่ากลุ่มคนที่เรียกว่าเกย์จะต้องตัวเล็กและดูบอบบางไม่สมชายชาตรี ไอ้มอลต์เป็นอะไรที่ฉีกกฎทุกอย่างที่ผมเคยตั้งเอาไว้แบบไม่เหลือชิ้นดี เพราะไอ้มอลต์เป็นผู้ชายตัวโตหุ่นโคตรควาย ถ้าเทียบแล้วผมซะอีกที่ดูเหมาะจะเป็นเกย์มากกว่ามัน


“หมดคาบแล้ว” ไอ้มอลต์สะกิดเรียกแบบที่ทำทุกครั้ง


ผมลืมตาขึ้นช้าๆเห็นเพื่อนใหม่สองคนที่ไอ้มอลต์ไปผูกมิตรไว้เมื่อวันก่อนกำลังเก็บของใส่กระเป๋าอย่างไม่รีบร้อน คนหนึ่งคือเฮดว้ากคณะเกษตรชื่อกาฟิว และอีกคนคือเพื่อนสนิทของเขาชื่อกรีน


สองคนนี้มีเรียนต่ออีกหนึ่งวิชาต่างจากพวกผมสองคนที่มีเรียนแค่วิชาเดียวทุกวัน แต่ถึงจะไม่มีเรียนแล้วผมก็ยังมีหน้าที่อย่างอื่นต้องหลังเลิกเรียนทุกวัน


“วันนี้ไปดูหนังกันนะ” ไอ้มอลต์ชวน


“กูมีประชุมสโม”


“พูดแต่เรื่องน่าเบื่อตลอดเลยมึงอ่ะ”


“ช่วยไม่ได้ ก็ประธานรุ่นเสือกเป็นพวกชอบโดดร่ม” ผมเหล่มองมันทางหางตา “กูเลยต้องซวยควบสองตำแหน่งแบบนี้ไง”


“จงใจพูดให้รู้สึกผิดป่ะเนี่ย”


“เปล๊า” ผมตอบเสียงสูงเห็นเฮดว้ากส่งสายตามองมาทางพวกผมเหมือนกำลังรอจังหวะแทรกบทสนทนาของเรา


“มอลต์” เฮดว้ากส่งเสียงเรียก


“อะไรหรอฟิว รึว่านายอยากไปดูหนังกับเรา” ไอ้มอลต์ยิ้มกว้าง มองเผินๆอาจจะคิดว่ามันเป็นพวกเข้าสังคมเก่งแต่เปล่าเลย เพราะความจริงแล้วไอ้มอลต์จะเข้าหาเฉพาะคนที่มันสนใจเท่านั้น


“เปล่าไม่ใช่แบบนั้น” นายกาฟิวลูบท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ เขาชำเลืองมองไปที่ชายตัวขาวข้างหลังที่เหมือนจะกำลังอารมณ์บูดอยู่เป็นระยะ “แค่มีเรื่องอยากคุยด้วย”


“อื้ม ได้สิ ว่ามาเลย” ไอ้มอลต์ที่เหมือนจะอ่านบรรยากาศไม่ออกพูดไปด้วยท่าทีสบายๆ


“กูไปประชุมก่อนล่ะ” ผมพูดตัดบทเอาตัวรอด ไม่ค่อยอยากเข้าไปพัวพันกันเรื่องรักๆใคร่ๆของไอ้มอลต์เท่าไร


“เออๆ เจอกัน” มอลต์โบกมือลา


-------


หัวข้อประชุมวันนี้เกี่ยวกับการจัดสรรงบและการขอใช้ห้องประชุมในการทำกิจกรรมรับน้องของเทอมหน้าทำให้ใช้เวลามากพอสมควรกว่าจะหาข้อสรุปที่ทุกฝ่ายพอใจ


“ผมขอจบการประชุมวันนี้แค่นี้ครับ” ผมกล่าวปิดประชุมอย่างสุภาพเพราะวันนี้นอกจากเฮดฝ่ายต่างๆแล้วยังมีอาจารย์เข้าร่วมประชุมด้วย


“โกสินทร์” อาจารย์กอบกิจเดินตรงเข้ามาหาทันทีที่คนเริ่มทยอยเดินออกจากห้องประชุม


“ครับอาจารย์?”


“เทอมนี้เธอลงวิชาอะไรเป็นวิชาเลือกเสรี”


“ลง HR ครับ”


“ไหวหรอ เกรดร่อแร่แบบเธอน่าจะลงวิชาที่ง่ายกว่านี้นะ” อาจารย์กอบกิจพูดอย่างเป็นกังวล


“ผมลง Human Relationships ของคณะมนุษย์ครับไม่ใช่ HR ของบริหาร” ผมรีบพูดแก้แต่ลึกๆก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ถูกอาจารย์พูดใส่ตรงๆ


“ถึงยังไงก็ตั้งใจล่ะ จริงๆก็อยากจะบอกให้เพลาๆเรื่องกิจกรรมลงบ้าง...แต่เธอคงแบ่งเวลาได้อยู่แล้วใช่มั้ย”


“อ่า...ครับ”


ไม่ผิดที่อาจารย์กอบกิจจะเป็นห่วงในความโง่ของผม แต่ก็อยากให้เข้าใจนะว่าไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับความจริงได้


“บางทีเธอน่าจะให้ชยากรช่วยติวให้ อาจารย์รู้มาว่าเทอมล่าสุดเขาได้บีแค่วิชาเดียว”


“ไว้ผมจะลองถามเขาดูนะครับ” ผมตอบด้วยความรู้สึกตายด้านก็ชื่อที่อาจารย์กอบกิจแนะนำมาเป็นชื่อคนที่ผมเกลียดที่สุด


“โก้~” ไอ้ตัวดีโบกมือหย๋อยๆเรียก


“ทำไมมาอยู่นี่” ผมถามพลางกรอกตา


“รอมึงไปดูหนังด้วย” ไอ้มอลต์ตอบ


ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาก่อนจะตอบ “ไม่น่าทัน”


“ทันดิ นี่เพิ่งหกโมงครึ่งเอง”


“กูต้องกลับไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นกับแม่”


“ทำวัตรเย็นครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ เอางี้วันนี้กูไปสวดด้วยอยากเจอแม่มึงอยู่พอดี”


“มอลต์”


“ว่าไง?”


“เฮดว้ากพูดอะไรกับมึง” ผมถามจี้ใจดำ “ไม่ต้องทำไขสือเพราะตอนนี้มึงทำตัวไม่ปกติสุดๆ”


“กูก็เป็นของกูอย่างนี้ มีอะไรผิดปกติ” ผู้ร้ายปากแข็งยังคงดื้อดึงไม่ยอมยอมรับสารภาพแต่โดยดี


“ถ้างั้นกูโทรถามเจ้าตัวเองก็ได้” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์เตรียมโทร


มือหนาคว้าเครื่องมือสื่อสารไปก่อนจะพูดอย่างยอมแพ้


“กูบอกก็ได้...อย่าโทรเลยนะ”


สิบห้านาทีต่อมาผมก็อยู่หน้าตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ ส่วนไอ้มอลต์กำลังไปซื้อเครื่องดื่มกับป๊อบคอร์น จริงๆเรื่องสวดมนต์ทำวัตรเย็นกับแม่มันเป็นแค่ข้ออ้างเวลาขี้เกียจตามใจไอ้มอลต์เท่านั้น


เมื่อไฟในโรงหนังค่อยๆมืดดับลงไอ้มอลต์ก็ทิ้งน้ำหนักส่วนหัวลงบนไหล่ผม


“เอ้าไอ้นี่...เป็นคนชวนมาดูแต่เสือกหลับตั้งแต่เริ่มเรื่อง”


“กูตื่นอยู่” ไอ้มอลต์พูดเบาๆ


“ตื่นอยู่แล้วจะมาซบกูทำไม เอาหัวมึงออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะถ้าคนอื่นเข้าใจว่ากูเป็นคู่ขามึงทำไง” ผมพยามดันหัวมันออกแต่ผลที่ได้คือมันดันใช้แขนตัวเองกอดแขนผมไว้แน่น “ปล่อย-แขน-กู”


“กูขอยืมแปบเดียว” ไอ้มอลต์พูดก่อนผมจะรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นบริเวณต้นแขนที่แนบอยู่กับหน้าของมัน ผมรู้ได้ในทันทีแม้จะมองไม่เห็นว่าตอนนี้ผู้ชายที่นั่งข้างผมกำลังร้องไห้


“ห้ามสั่งขี้มูกใส่เสื้อกูก็พอ” ผมพูดพลางตบหัวมันเบาๆเพื่อปลอบ


เป็นอีกครั้งที่มอลต์ไม่ได้พูดอะไร แต่ผมก็เข้าใจว่าตอนนั้นเฮดว้ากเรียกไอ้มอลต์ไปคุยเรื่องอะไร


--------------------------------------------------------
คือถ้ารออัพทีเดียวท่าทางเดือนหน้าก็คงไม่ได้อัพ
ก็เลยว่าจะทยอยอัพเป็นช่วงๆค่ะ

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :ling2:

สงสารมอลต์เล็กๆ

แต่คนที่โก้ไม่ชอบนั่นใครรรร

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
side story เหรอ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

ออฟไลน์ ชอร์ปสติ๊ก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เอ๊ะ อะไร ยังไง บอกทีค่ะ  :impress2:
ทำไมเรารู้สึกว่าโก้น่าแกล้ง 5555555 ดุไปงั้น จริงๆ ใจดี  o18
รอติดตามตอนต่อไปนะคะคนเขียน  :3123:

ออฟไลน์ shichina

  • Hina-Chang
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
หน้า 2 - 06/08/15
«ตอบ #44 เมื่อ06-08-2015 00:59:49 »

หน้า 2


ผมกับไอ้มอลต์ออกจากโรงหนังตอนประมาณสามทุ่ม ถ้าถามผมว่าหนังสนุกรึเปล่าผมตอบได้ทันทีเลยว่าไม่รู้เพราะผมหลับตั้งแต่สิบนาทีแรก ในขณะที่ไอ้มอลต์สามารถเล่าได้ทุกฉากว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง


“เหมือนจะสนุก แต่ยังไม่สุดว่ะ” ไอ้มอลต์ยืดตัวบิดขี้เกียจ “ร้องเกะต่อมะ”


“ห้างจะปิดแล้ว”


“กะแล้วว่าต้องพูดแบบนี้” ไอ้มอลต์ยิ้มอย่างรู้ทัน “กูรู้ว่าร้านไหนยังเปิดอยู่”


“เธอรู้บ้างม๊ายต้องใช้เวลาเท่ารายจึงจะลืมเธออออออ...ฮึก...” ไอ้มอลต์แหกปากร้องเพลงรักอกหักด้วยใบหน้าแดงก่ำ


“ถึงจะบ้าแค่ไหนก็น่าจะมีขอบเขตบ้างสิ” ผมคลึงขมับตัวเองเบาๆ ไม่อยากจะมองภาพไอ้มอลต์ที่ตอนนี้กำลังเมาไม่ได้สติ


“อย่าตอกย้ำให้ช้ามมานลืกกกโลงปายกว่าเดิมได้ม้ายเธออ...” ไอ้มอลต์กุมไมค์ด้วยมือข้างหนึ่งแล้วใช้มืออีกข้างชี้หน้าผม “หากไม่ร้ากก็อย่าซ้ำ โปรดอย่าทำเป็นสนจายยย ฮึก...”


“แค่อกหัก ฟูมฟายเป็นพ่อตายไปได้”


“กูไม่ได้ฟูมฟาย ฮึก...เค้าเรียกอินเน้ออออออ” พูดเสร็จไอ้มอลต์ก็กระดกน้ำผึ้งมะนาวโซดาที่ยังเหลืออยู่จนหมดแล้วกลับไปแหกปากครวญเพลงที่ยังร้องค้างไว้ต่อ


เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกนี่แหล่ะคนที่แพ้น้ำผึ้งแล้วมีอาการคล้ายคนเมาแบบนี้


“เอ่อ ขอโทษนะครับ จะสั่งอะไรเพิ่มอีกรึป่าวครับ เราจะปิดครัวแล้ว” พนักงานของร้านที่ผมสองคนกำลังนั่งอยู่เดินเข้ามาถาม ผมยกข้อมือขึ้นดูเวลาก่อนจะบอกเช็คบิลโดยไม่ถามขอความเห็นชอบจากคนเมาน้ำผึ้งที่ตอนนี้แทบจะทรงตัวไม่อยู่


“คืนนี้ค้างบ้านกูแล้วกัน” ผมหันไปบอก


“กั๊บป้ม”


ผมกลับถึงบ้านตอนเกือบตีหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นที่หน้าประตูก็ยังปรากฏภาพหญิงวัยกลางคนยืนรอรับด้วยรอยยิ้ม


“แม่ว่า...แม่ไม่เคยอนุญาตให้โก้กินเหล้านะ”


“โก้ก็ไม่ได้กินซะหน่อย” ผมตอบพลางลากร่างไอ้มอลต์ลงจากรถแท็กซี่ “ไอ้มอลต์ก็ไม่ได้กิน”


“ไหนขอแม่พิสูจน์หน่อย” แม่ผมเข้ามาประชิดตัวเราทั้งคู่และพยายามดมกลิ่นจากพวกเรา “อืม...มีกลิ่นเหมือนป๊อบคอร์น ไปดูหนังกันมาหรอ”


“ตั๋วอยู่ในกระเป๋า แม่อยากดูมั้ยล่ะ”


“ไม่ล่ะ พาเพื่อนไปนอนเถอะ อ้อ ให้เพื่อนอาบน้ำหน่อยก็ดีนะ..กลิ่นคนอกหักหึ่งเชียว” แม่ผมพูดพร้อมรอยยิ้มแล้วจึงกลับห้องนอนของตัวเองไป


ผมลากไอ้มอลต์ขึ้นชั้นสองอย่างทุลักทุเล กว่าจะเข้าห้องตัวเองได้ผมก็เหงื่อท่วมไปทั้งตัว จากนั้นผมก็ทิ้งไอ้มอลต์ให้นอนแผ่หลาอยู่กลางเตียงแล้วจัดการชำระเหงื่อไคลที่สะสมมาทั้งวันจนตัวหอมฟุ้ง


“มอลต์...ไอ้มอลต์...ลุกไปอาบน้ำก่อน” ไอ้มอลต์ยังคงนอนนิ่งจนผมต้องเขย่าตัวมันให้แรงขึ้นอีก “เชี่ยมอลต์ ถ้ามึงไม่ลุกกูจะถีบให้ตกเตียงเลย”


ไอ้มอลต์ส่งเสียงงึมงำประท้วงในลำคอบอกเป็นนัยว่ามันจะไม่ยอมลุกไปไหนทั้งนั้น ผมเองก็เหนื่อยเต็มทีแต่จะให้ล้มตัวลงนอนโดยที่ไม่สนใจกลิ่นเหม็นเปรี้ยวจางๆจากผู้ชายตัวขนาดน้องๆหมีกริซลี่ก็คงทำไม่ได้เช่นกัน สุดท้ายผมจึงต้องจำใจออกแรงลากมันเข้าห้องน้ำอีกครั้ง


ห้องน้ำของผมตกแต่งสไตล์โมเดิร์นขนาดไม่ใหญ่มาก มีฝักบัวและอ่างอาบน้ำอยู่ด้านในสุดคล้ายห้องน้ำในโรงแรม


“...หืม?” ไอ้มอลต์สะลึมสะลืมรู้สึกตัวตื่นขึ้นขณะที่ผมกำลังปลดกระดุมเสื้อนักศึกษามันออก ตอนนี้มันถูกผมจับวางให้นั่งกึ่งนอนอยู่ในอ่าง


“กูจะดีใจมากถ้ามึงช่วยกูอาบน้ำด้วยตัวเอง” ผมพูดบ่นไปทั้งๆที่ไอ้มอลต์ดูจะยังไม่ค่อยมีสติเท่าไร


ไอ้มอลต์ขยับตัวและจัดการถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออกด้วยตัวเอง ผมเห็นดังนั้นก็จัดการเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างและหยิบอุปกรณ์อาบน้ำมาตั้งไว้ข้างๆ


“อันนี้ยาสระผม อันนี้สบู่เหลว” ผมยกให้มันดูทีละขวดก่อนจะถามย้ำ “จำได้มั้ย?”


“..อืม ยาสระผมกับสบู่” ไอ้มอลต์พูดทวน


“ห้ามหลับคาอ่างนะ” ผมย้ำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะให้เวลาไอ้มอลต์ได้อาบน้ำด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันจะได้เดินไปไหนไกลไอ้มอลต์ก็คว้ามือผมไว้ “อะไร?”


“ไหนว่าจะอาบน้ำ” มันพูดด้วยหน้านิ่งๆ บอกตามตรงผมดูไม่ออกเลยว่าอาการเมาเพราะแพ้น้ำผึ้งของมันสร่างลงบ้างแล้วรึยัง


“กูอาบแล้ว เหลือแต่มึงอ่ะ” ผมแกะมือที่จับอยู่ออกและหันหลังให้มันอีกครั้ง


อยู่ๆมุมมองในสายตาผมก็หมุนคว้างอย่างฉับพลัน ผมเสียหลักหงายหลังไปตามแรงดึงและกว่าจะตั้งสติได้ผมก็ตัวเปียกไปทั้งตัว ดีที่ระดับน้ำในอ่างยังไม่สูงมากไม่งั้นผมอาจได้สำลักน้ำด้วยก็ได้


อีเหี้ยยยยยยยยยย” ผมหันไปร้องด่าสุดเสียงกับต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องตกอยู่ในสภาพนี้ก่อนจะถูกจู่โจมอีกครั้งด้วยริมฝีปากอุ่นร้อนที่บดเบียดลงมา “อื้อออ...”


ผมไม่รู้ว่าไอ้มอลต์แค่จะแกล้งให้ผมตกใจหรือมันโดนผีบ้าตัวไหนเข้าสิงไปแล้วจริงๆ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะถูกมันขืนใจถ้าผมไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง


มือข้างหนึ่งของผมถูกไอ้มอลต์ตรึงไว้เหนือหัวทำให้ผมไม่มีแรงพอจะผลักตัวไอ้มอลต์ที่ใหญ่กว่าออกไปจากตัวผมได้ ดังนั้นถ้าจะทำให้ผู้ชายตัวควายๆอย่างมันหมดแรงอ่อนระทวยผมจำเป็นจะต้องโจมตีจุดยุทธศาสตร์อย่างเลี่ยงไม่ได้


ไอ้มอลต์คงจะเข้าใจการกระทำของผมผิดไปเล็กน้อย เพราะแทนที่มันจะอ่อนระทวยมันกลับเต่งตึงเต็มมือขึ้นมาซะอย่างนั้น


“...แฮ่ก...แฮ่ก...” ทันทีที่ริมฝีปากผมเป็นอิสระผมก็หอบหนัก


ด้านมอลต์ที่เหมือนจะเครื่องกำลังติดก็เดินเกมต่อด้วยการใช้ฝ่ามือรุกรานจุดยุทธศาสตร์ของผมบ้าง อาจจะเพราะตอนนี้มีเพียงบ๊อกเซอร์เนื้อบางที่กำลังเปียกเป็นเกราะป้องกันผมจึงรู้สึกไม่ต่างกับกำลังถูกฝ่ามือหนาสัมผัสโดยตรง


ผมกัดปากแน่นพยามสะกดความเสียวกระสันที่กำลังโหมกระพืออยู่ข้างใน และก็เป็นอีกครั้งที่สมองผมประมวลผลช้ากว่าการกระทำของไอ้มอลต์ ร่างของผมถูกยกขึ้นให้นั่งบนขอบอ่างซึ่งอยู่ในระดับสายตาของมอลต์พอดี


นิ้วเกร็งดึงขอบบ๊อกเซอร์ของผมร่นลงไปจนส่วนที่อยู่ใต้ร่มผ้าโผล่ออกมา ไอ้มอลต์ไม่มีท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อยขณะโน้มหน้าเข้าหาส่วนที่กำลังชูชันหรือกระทั่งตอนที่ใช้ปากของตัวเองครอบครองส่วนปลายนั้นเอาไว้


นิ้วผมจิกเกร็งเมื่อลิ้นอุ่นตวัดหยอกเย้า รู้สึกเสียวสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมทุกครั้งที่ไอ้มอลต์ใช้ปากของมันปรนเปรอและมอบความสุขสมให้


ผมพยามคิดหาถ้อยคำที่จะพูดให้ไอ้มอลต์หยุดการกระทำของมันในตอนนี้แต่ก็เชื่อว่ามันคงจะไม่ฟัง แล้วสุดท้ายผมก็ต้องเสียเอกราชให้มันเพราะความใจอ่อนของผม


ครู่ต่อมาร่างกายของผมปลดปล่อยของเหลวปริมาณหนึ่งพร้อมกับการกระตุกเกร็งบริเวณท้องน้อย ตาผมพร่าลายและรู้สึกราวโลกกำลังหมุนคว้าง


ไอ้มอลต์ใช้หลังมือเช็ดปากและจูบผมอีกครั้งแบบไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พักหายใจ มือหนาลูบไล้แผ่นหลังแล้วเคลื่อนลงต่ำไปยังเป้าหมายต่อไปที่เจ้าตัวตั้งใจจะพิชิต


ตอนนี้เองที่ผมตัดสินใจได้ในที่สุดว่า...ถ้าไหนๆจะหยุดไม่ได้แล้วก็ขอเป็นฝ่ายกระทำซะยังจะดีกว่า


ผมรวบรวมแรงและสติที่เหลืออยู่ผลักจนไอ้มอลต์หงายหลังลงน้ำ ตอนนี้ผมสามารถเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองมาเป็นคนทำเกมรุกได้แล้วถึงแม้จะไม่มั่นใจกับวิธีการต่อจากนี้ก็ตาม


ให้ตายเถอะ...ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยมาถึงขั้นนี้กับใครสักคนไม่ว่ากับผู้หญิงรึกับผู้ชาย


หรือพูดอีกนัยคือ ไอ้มอลต์จะเป็นผู้ชายคนแรกและอาจจะเป็นคนเดียวที่ผมตัดสินใจ ‘เสียบ’ ก็ว่าได้


ไอ้มอลต์ดูงงๆที่อยู่ๆโดนผลักหลังจากที่ผมยอมเสร็จในปากมันไปรอบนึง และมันก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเมื่ออยู่ๆผมก็สอดนิ้วเข้าไปในประตูหลังของมัน


“อึก...มึงจะรุกหรอ” ไอ้มอลต์ถามด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ผมเดาว่ามันคงไม่เคยโดนใครรุกเล้าเข้าไปในส่วนนี้มาก่อน


“โทษทีนะที่กูไม่อยากอ้าขาให้มึงเสียบ” ผมตอบตรงจากใจ


“จะเสียบกูว่างั้น?” ไอ้มอลต์แสยะยิ้มกวนคล้ายจะท้าทาย “กูไม่ใช่ผู้หญิงนะ”


“ก็ไม่ได้มองว่ามึงเป็นซะหน่อย”


ช่องทางนั้นทั้งคับและแน่น ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะไอ้มอลต์ยังคงต่อต้านที่ผมจะเป็นฝ่ายรุก ผมไม่รู้หรอกว่าในสถานการณ์อย่างนี้ผมควรหรือไม่ควรทำอะไรบ้าง แต่ถ้าจะให้ยอมแพ้ตอนนี้ผมคงเป็นฝ่ายถูกไอ้มอลต์เสียบจนพรุน คิดแล้วผมก็ขยับนิ้วไปมาคล้ายกำลังควานหาอะไรสักอย่าง


“เชี่ย...นี่มึงเอาจริงหรอ” ไอ้มอลต์ขยับสะโพกถอยหนีพลางซีดปาก “บ เบาๆ...อ่ะ”


พอเริ่มเห็นว่าประตูหลังของไอ้มอลต์เริ่มขยับนิ้วเข้าออกได้สะดวกขึ้นผมก็สอดนิ้วเข้าไปเพิ่มอีกหนึ่งนิ้ว


“ได้คืบ..เอาศอก” ไอ้มอลต์นิ่วหน้าปากก็เอาแต่บ่นว่าผม “เชี่ยโก้..เบา..อ๊ะ..อ่า..ย หยุดก่อน...อืม..กูเสียว”


“จะครางรึจะพูดก็เอาสักอย่างดิวะ”พูดเสร็จผมก็จับมันพลิกตัวแล้วยกสะโพกขึ้นเหนือน้ำ ไอ้มอลต์เกาะยึดขอบอ่างอาบน้ำไว้มั่นเพราะคงพอเดาได้ว่าผมจะทำอะไรต่อจากนี้ ผมเลยใจดีพูดเตือนให้มันได้มีเวลาเตรียมใจก่อนเล็กน้อย “จะเสียบแล้วนะ”


“เดี๋ย- อ๊ะ...อึก..” ไอ้มอลต์กลืนคำพูดตัวเองลงคอนิ้วจิกเกร็งลงที่ขอบอ่างจนมือสั่นระริก


“...อย่าเกร็งดิวะ กูเจ็บ” ผมยึดสะโพกไอ้มอลต์ไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองเสียหลักล้ม เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะขยับเข้าหรือออกผมก็ไม่สามารถทำได้ทั้งนั้น


“ฮึก...กูก็เจ็บ” ไอ้มอลต์น้ำตาเล็ดร้องสะอื้อโยเยเป็นเด็กๆ “พอเถอะมึง...กูยอมแล้ว”


ผมมองเด็กตัวโตเกาะขอบอ่างน้ำตาร่วงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจกับความใจเสาะของมัน


“เข้าใจแล้ว” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวไอ้มอลต์เพื่อปลอบ


“ขอโทษนะที่พูดจาดูถูกมึง” ไอ้มอลต์พูดเสียงอ่อน


ในช่วงที่มอลต์ลดการป้องกันลงนี้เองที่เป็นโอกาสให้ผมสามารถดันสะโพกเข้าไปจนสุด ไอ้มอลต์หวีดร้องไม่เป็นภาษาน้ำตาไหลอาบสองแก้ม


“อ เอาออกไป กูไม่เอาแล้ว ฮื่อ...โก้กูเจ็บ..” ไอ้มอลต์โวยวายแต่เมื่อผมขยับสะโพกช้าๆถ้อยคำเหล่านั้นกลับกลายเป็นเสียงครางหวานหู “อ๊า...อ่ะ..”


“แน่นฉิบหาย...ซี๊ดดด...”


เมื่อผมเริ่มรู้สึกว่าการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดจังหวะการขยับสะโพกก็เริ่มเร่งขึ้นไปอีกขั้น


ช่วงล่างเราทั้งสองกระแทกกันจนเกิดเสียง ทั้งยังดูโงนเงกโยกไปมาคล้ายจะเสียหลักล้มได้ทุดเมื่อ แต่ผมกลับไม่มีความคิดที่จะหยุดเคลื่อนไหวร่างกายเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม...ผมอยากขยับสะโพกให้ถี่ขึ้น...เร็วขึ้น...และกดให้ลึกขึ้น


แรงปรารถนาของผมกำลังพุ่งขึ้นถึงขีดสุดจนสัญชาตญาณอยู่เหนือหลักการและเหตุผล


ตอนนี้เองที่ผมลืมคิดไปว่าความเป็นเพื่อนของผมและไอ้มอลต์จะเป็นอย่างไรต่อไป...



------------------------------------------------------------
มาถึงก็พลีชีพให้กับฉากในห้องน้ำก่อนเลย  :pighaun:
อาจจะบรรยายภาพและเสียงที่คิดเอาไว้ในหัวออกมาไม่ครบ 100%
แต่ก็หวังว่าจะบรรยายให้นักอ่านนึกภาพตามได้ทุกสเต็ปนะคะ :-[
ส่วนว่า...หลังจากนี้โก้และมอลต์จะเป็นอย่างไรต่อไป
คงต้องไว้มาติดตามอ่านต่อในตอนหน้าแล้วค่ะ  :pig4:
อย่าลืมบวกเป็ดหรือคอมเม้นให้กำลังใจเค้าด้วยนะ เลิฟๆ
  :กอด1:


ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ผิดคาดลิบลับ

มอลต์โดนรุกเหรอเนี่ย 555555555+


งานนี้โก้ได้ศรีภรรยาแล้ว แต่ว่าจะมองหน้ากันติดไหมนั่น??

ออฟไลน์ shichina

  • Hina-Chang
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
โก้ หน้า 3 - 08/08/15
«ตอบ #46 เมื่อ08-08-2015 16:21:28 »

หน้า 3


ถ้าผมไม่ตื่นขึ้นมาเจอไอ้มอลต์นอนขดอยู่ข้างๆผมคงจะคิดว่าเรื่องในห้องน้ำเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน


มันไม่ควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ...


ผมไม่ได้รู้สึกรักหรือชอบไอ้มอลต์ในลักษณะที่จะสามารถร่วมรักกับมันได้ ในความรู้สึกของผมตอนนี้มันก็ยังเป็นแค่เพื่อนสนิท เป็นแค่ประธานรุ่นที่ชอบทำตัวเป็นภาระให้ผมต้องดูแล...ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปมากกว่านั้น


โชคดีที่ทั้งผมและมันมีเรียนแค่คาบเดียวตอนบ่าย เพราะถ้าให้บอกตามตรงตอนนี้ผมรู้สึกไม่พร้อมจะไปมหาลัยเท่าไร ร่างกายมันรู้สึกปวดๆล้าๆอย่างบอกไม่ถูก


ภายในห้องน้ำยังคงชื้นแฉะและมีน้ำนองอยู่เล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นบริเวณใกล้อ่างอาบน้ำที่ยังไม่แห้งดี ภาพความทรงจำและเสียงครางกระเส่าที่สะท้อนกับผนังยังคงชัดเจนอยู่ในหัวเหมือนหนังฉายซ้ำไปมา


แม้จะหอบหนักผมก็ยังไม่หยุดกระแทก...ส่วนที่ร้อนระอุราวกับจะหลอมละลายร่างกายผมให้เป็นหนึ่งเดียวกับไอ้มอลต์ตอดรัดอย่างเย้ายวนหลอกล่อให้ผมดำดิ่งในกามราคะอย่างถอนตัวไม่ขึ้น


“...นี่กูเป็นเกย์แล้วสินะ” ผมคิดและปลงกับตัวเอง


เมื่อเดินลงมาที่ห้องครัวด้านล่างผมก็เจอโน้ตข้อความของแม่แปะไว้ที่ตู้เย็นเหมือนทุกครั้ง แต่เนื้อหาภายในต่างออกไปเล็กน้อย


‘มีกับข้าวในตู้ เอามาเวฟอุ่นกินกันสองคนกับเพื่อนก่อนไปเรียนนะ’


ผมจัดการอุ่นแกงและผัดผักในตู้เย็น จากนั้นจึงกลับห้องไปปลุกไอ้มอลต์ให้ลงมากินข้าวด้วยกัน ไอ้มอลต์ยังนอนขดนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่มเหมือนตอนก่อนที่ผมจะเดินออกไป


“มึง..ตื่นไปกินข้าว” ผมพูดโดยพยายามไม่สัมผัสตัวมัน เมื่อเห็นว่าไอ้มอลต์ยังนอนนิ่งผมก็ส่งเสียงดังขึ้นอีก “ไอ้มอลต์ตื่น”


มันนอนนิ่งไม่ตอบสนองกับเสียงเรียกของผมแม้แต่น้อยจนผมต้องเอื้อมมือไปจับตัวมันในที่สุด


“เชี่ยแล้ว...ตัวร้อนจี๋เลย” ผมร้องอุทานอย่างตกใจ ชักมือกลับแทบไม่ทันเมื่อสัมผัสกับความร้อนระอุที่แผ่ออกมาจากตัวไอ้มอลต์ที่กำลังมีไข้ขึ้นสูง


ผมเดินวนไปมารอบห้องครัวเพื่อหากล่องยาที่จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยอยู่ในนั้น แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ สุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจโทรไปถามแม่แทน


“แม่เก็บกล่องยาไว้ไหนอ่ะ” ผมถามทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย “ไอ้มอลต์มันตัวร้อนจี๋เลยตอนนี้”


(อยู่ในตู้เก็บจานชั้นสองไง เป็นหนักมากรึป่าว...ให้แม่กลับไปช่วยดูมั้ย) ปลายสายถามอย่างเป็นห่วง


“เดี๋ยวโก้ดูเอง แม่ทำงานต่อเถอะไม่ต้องห่วง” พูดจบผมก็กดตัดสาย เป็นจังหวะเดียวกันที่ภาพกล่องยาสามัญประจำบ้านปรากฏแก่สายตา


ถ้าคิดว่าผมจะใช้ปากป้อนยาให้ไอ้มอลต์ที่นอนป่วยอยู่แบบในหนังหรือละครล่ะก็บอกเลยว่าคุณคิดผิด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือผมบดยาลดไข้จนเป็นผง ใช้กำลังบีบปากไอ้มอลต์ให้เผยอออกจากนั้นจัดการกรอกยาลงไปพร้อมเทน้ำตาม


ไอ้มอลต์ทำหน้าเหย๋ทันทีที่รู้สึกถึงรสขมในปาก มันพยามจะบ้วนยาที่ผมตั้งใจบดให้อย่างดีทิ้ง ผมใช้สองมือปิดปากและบีบจมูกไว้จนมันดิ้นพราดๆต้องจำใจกลืนยาขมลงคอ


“ถือซะว่าเอาคืนที่ทำกูขาดอากาศเมื่อคืน” ผมพูดพลางเหยียดยิ้มให้คนป่วยที่พยายามปรือตามองผมด้วยแววตาหยาดเยิ้มจากพิษไข้ ผมคิดถึงส่งที่จะทำต่อไปหลังจากให้คนป่วยกินยาแล้วและลงมือทำทันที


พรึ่บ!!


ผ้าห่มผืนนุ่มที่ไอ้มอลต์ใช้ซุกร่างกายอันเปลือยเปล่าให้อบอุ่นถูกผมกระชากออกไปกองกับพื้น ไอ้มอลต์ตัวสั่นเทิ้มเมื่อไร้เครื่องป้องกันไอหนาว ร่างกายมันอ่อนปวกเปียกเป็นผักต้มไม่อาจขัดขืน ผมปล่อยให้คนป่วยนอนแผ่หลาอยู่กลางเตียงระหว่างเตรียมผ้าหมาดมาเช็ดตัวให้มัน


มอลต์สะดุ้งเฮือกเมื่อผมแตะผ้าหมาดลงบนผิวกายที่กำลังระอุร้อน


“น หนาว...” ไอ้มอลต์ประท้วงเสียงแผ่ว


“ใครใช้ให้มึงไม่สบาย” ผมสวนกลับพลางเช็ดตัวต่อโดยไม่สนใจว่าคนป่วยจะพูดอะไร “แล้วยังเสือกตัวใหญ่จนไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่อีกนะ เป็นภาระกูไหมมึงอ่ะ”


ไอ้มอลต์เบือนหน้าหลบตาทำหน้าคล้ายจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นให้ได้ยิน


เมื่อเช็ดตัวเสร็จผมก็นำผ้าขนหนูไปซักน้ำน้ำสะอาดและผึ่งไว้ในห้องน้ำ จากนั้นก็เดินมาห่มผ้าให้คนป่วยขี้น้อยใจ


“อุ่นขึ้นมั้ย?” ผมถาม อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆแทนคำตอบ “นอนพักซะตื่นมาน่าจะดีขึ้น เดี๋ยวกูไปซักชุดมึงให้จะได้มีอะไรใส่”


“...ก โก้...แค่ก...ข...” ยิ่งพยามจะพูดไอ้มอลต์ก็ยิ่งไอหนักผมเลยต้องเป็นฝ่ายพูดตัดบทมันอีกครั้ง


“ไม่ต้องขอบใจกูหรอก แค่มึงรีบๆหายป่วยก็พอ” ไอ้มอลต์พยักหน้าก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้าๆ


มอลต์หลับยาวจนถึงช่วงบ่าย ระหว่างที่มันนอนหลับไม่รู้เรื่องผมก็แวะมาวัดไข้มันเป็นระยะ มาคิดๆดูต้นเหตุที่ทำให้มันต้องนอนซมแบบนี้ครึ่งนึงก็มาจากผม ก็คงต้องเฝ้าไข้จนกว่ามันจะหายล่ะนะ


ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ผมก็เหลือเห็นหน้าจอโทรศัพท์ไอ้มอลต์กำลังส่องสว่างพร้อมการแจ้งเตือนว่ามีสายโทรเข้าจาก


กาฟิว


“มีอะไร” ผมถามเสียงห้วนทันทีที่กดรับสาย


(อ่ะ...โก้หรอ ตอนนี้อยู่กับมอลต์สินะ) ปลายสายทำเสียงประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อคนที่รับสายไม่ใช่เจ้าของเครื่อง (พอดีวันนี้มีภาคปฏิบัติ อาจารย์เลยให้โทรถามว่าพวกนายหายไปไหน จะมาเข้าคลาสรึป่าว)


“ไอ้มอลต์ไม่สบาย อาการไม่ค่อยดีตอนนี้กูเฝ้าไข้อยู่” ผมตอบห้วนๆหันไปเห็นคนบนเตียงกำลังสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาพอดี


(อ่อ แบบนี้นี่เอง เดี๋ยวเราบอกอาจารย์ให้นะ)


“ขอบใจ” ตอนที่จะกดวางสายอีกฝ่ายก็ร้องเรียกเหมือนมีเรื่องสำคัญจะบอก “จะพูดอะไรว่ามา”


(มอลต์ไม่สบาย...เพราะเรารึป่าว)


“ไม่ใช่เพราะนายหรอก สบายใจได้” ผมตอบไปตามจริงก่อนจะเผลอพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไป “อย่าสำคัญตัวผิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญนักเลย”


(...ง งั้นแค่นี้นะ) เฮ้ดว้ากเกษตรละล้ำละลักบอกลา


“..แค่ก...ค..ใครโทร...แค่ก..ใครโทรมาหรอ”


“กาฟิว” ตอบเสร็จผมก็โยนมือถือไปให้เจ้าตัวได้เช็คดูอีกครั้งด้วยตัวเอง “โทรมาบอกว่าอาจารย์ถามหา”


“แล้วทำไม...แค่ก..ถึงพูดแบบนั้น...แค่กๆ...” ไอ้มอลต์ไอหนักขึ้นจนผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิด


“คนป่วยมีหน้าที่กินยาและนอนพัก อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องรู้หรอก...แล้วนั่นจะไปไหน” ผมถามกึ่งไม่พอใจเมื่อคนป่วยไม่ได้ฟังสิ่งที่ผมพูดเมื่อครู่สักนิด ซ้ำยังพยายามตะเกียดตะกายลงจากที่นอนอย่างเอาเป็นเอาตาย


“..ไป.. ร เรียน” ไอ้มอลต์ตอบ


“ถ้าคิดว่ายืนไหวก็ไปสิ” ผมพูดท้ายืดกอดอกมองด้วยสายตาดูแคลน และไม่ทันได้ลุกยืนเต็มความสูงไอ้มอลต์ก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นตามคาด


ถ้าขนาดผมที่เป็นฝ่ายกระทำยังรู้สึกล้าไปทั้งตัว คนถูกกระทำเองก็คงจะมีสภาพไม่ต่างกันมากเท่าไร ที่จริงคือน่าจะหนักกว่าด้วยซ้ำ แล้วไหนจะยังอาการป่วยที่รุมเร้าอยู่นั่นอีกล่ะ


นี่มึงดูสภาพตัวเองบ้างรึป่าว...



ผมมองแล้วได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดกึ่งวอนขอให้ไอ้มอลต์ทำตัวเป็นเด็กดีให้ผมสักครั้ง


“กูขอล่ะมอลต์...ช่วยนอนพักให้ตัวเองหายดีก่อนได้มั้ย”


ไอ้มอลต์มองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะพูดเคล้าเสียงไอจับใจความได้ว่าให้ช่วยพยุงมันขึ้นเตียงหน่อย


“นอนที่พื้นนี่แหล่ะ ขืนพยุงมึงกูคงได้เสียหลักล้มแล้วตัดเข้าฉากเลิฟซีนอีกแน่ๆ” ผมพยายามพูดติดตลกเผื่อว่าไอ้มอลต์จะขำแบบทุกครั้ง แต่แทนที่มันจะขำมันดันทำหน้าแดงใส่ผมแทน


“พื้นเย็น...แค่กๆ...กูไม่สบาย...”


ผมกรอกตาหน่ายๆก่อนต้องช่วยจัดแจงเอาผ้าห่มมาพันรอบตัวมันไว้เหมือนห่อข้าวต้มมัดเตรียมนึ่ง


“แบบนี้โอเคมั้ย เอาหมอนรึป่าว อ่ะ อย่าเพิ่งหลับนะต้องกินยาก่อน” ผมร้องห้ามอย่างนึกขึ้นได้ก่อนจะวิ่งปรี่ลงมาที่ห้องครัวเพื่อหาอะไรง่ายๆให้ไอ้มอลต์กินก่อนจะกินยา


มอลต์พยายามกินข้าวราดแกงที่ผมตักมาให้อยู่สองสามคำก่อนจะวางช้อน ผมจึงส่งยาและน้ำให้ ดูเหมือนมันคงไม่อยากให้ผมป้อนยามันอีกหลังจากที่เจอผมทำแบบนั้นไปเมื่อช่วงเช้า


ผมนั่งเฝ้ามันจนหลับไปอีกครั้ง ในมือกำโทรศัพท์มือถือตัวเองไว้แน่นอย่างชั่งใจ ผมอ่านข้อความเรียกประชุมสโมฯด่วนเย็นนี้ตั้งแต่ตอนที่ลงไปเอาข้าวขึ้นมาให้ไอ้มอลต์กินแต่ยังไม่ได้ตอบกลับ


ถ้าผมไปตอนนี้ใครจะดูไอ้มอลต์ที่นอนซมอยู่ แต่ถ้าไม่ไปก็จะเสียงานเสียการณ์กันไปหมด...


"กูจะรีบกลับมานะ" ผมเอื้อมมือไปลูบเส้นผมสีดำขลับของไอ้มอลต์ด้วยความหวังว่าเมื่อผมกลับมามันคงจะหายดีและกลับมาร่าเริงได้อีกครั้ง


------------------------------------------------
ตอนที่แล้วแอบอัพซะดึกเลยไม่ค่อยมีคนอ่าน  :sad2:  เสียจุย
ตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้ตื่นเต้นเพราะงั้นอัพเวลาปกติละกัน
จากเนื้อเรื่องตอนนี้รู้สึกเหมือนโก้จะเผยด้านมืดออกมาเยอะเลย
มอลต์แลดูน่าสงสารมาก อกหัก อดรุก แล้วยังโดนโก้แกล้งอีก  :laugh:
ตอนต่อไปจะมาเปิดตัวคนที่โก้เกลียดเข้าไส้
แอบสปอยนิดนึง สาเหตุที่เกลียดส่วนนึงมาจากมอลต์
  :z1:
 

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :hao5:


มอลต์น่าสงสารอีกแล้วววว

โก้เกลียดใคร ทำไมเกี่ยวกับมอลต์????????



ออฟไลน์ Mikanchan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ทำร้ายมอลต์ตะมายยยยยยยยยยย  :ling1:

ออฟไลน์ mizzmizz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 477
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
น้ำผึ้งเป็นเหตุ 55555+
ปล. โก้หึงนะนั่นนนน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ชอร์ปสติ๊ก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
โก้มึนๆ อึนๆ แต่เราชอบนะคะ 5555 จะรอดูว่าหลังจากนี้โก้จะทำยังไงกับมอลต์ต่อไป  o18
เป้นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ shichina

  • Hina-Chang
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
หน้า 4 - 18/08/15
«ตอบ #51 เมื่อ18-08-2015 14:34:50 »

หน้าที่ 4


ผมใช้สองนิ้วนวดคลึงบริเวณขมับเบาๆขณะใช่ความคิดในการประชุมเรื่องกิจกรรมรับน้องเทอมหน้า มีคนหยิบยกเรื่องข้อกฎหมายเกี่ยวกับการรับน้องขึ้นมาพูดซึ่งทุกฝ่ายก็เห็นพ้องว่าเป็นประเด็นที่จะมองข้ามไม่ได้


ขึ้นชื่อว่าเป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ยังมีการระบบ SOTUS อยู่ก็ยิ่งเป็นที่จับตามองของพวกผู้ใหญ่เป็นธรรมดา


“แค่ใบยินยอมการเข้าร่วมกิจกรรมแบบปีก่อนก็คงไม่ช่วยอะไรมาก เดี๋ยวนี้แชร์ขึ้นโซเชียลแปบเดียวก็จบ”


“มนุษย์กล้องเดี๋ยวนี้แม่งก็ชอบแชร์ก่อนทำความเข้าใจด้วย”


“งั้นก็ยึดโทรศัพท์ก่อนเริ่มกิจกรรมเลยดีมะ”


“มึงก็คิดได้เน๊อะ เดี๋ยวก็ได้โดนร้องเรียนเพิ่มอีกเรื่อง”


ทุกคนต่างแสดงความคิดเห็นอย่างออกรสเนื่องจากการประชุมครั้งนี้ไม่มีคณะอาจารย์เข้าร่วมด้วย หนึ่งในกลุ่มนั้นคือตัวแทนพี่ว้ากอย่างมิกซ์และเปรม


“งั้นลองเปลี่ยนคำดูมั้ย แทนที่จะเรียกว่า ‘ว้ากน้อง’ เราก็ใช้คำว่า ‘พูดกับน้องด้วยเสียงดังอย่างมีเหตุผล’ อะไรงี้”


“มันต่างกันมั้ยเชี่ยมิกซ์ ยังไงก็ว้ากอยู่ดี”


“ก็ถ้าเปลี่ยนแล้วดีมันก็น่าลองใช่มั้ยล่ะ อ่อ แล้วก็ใช้คำว่า ‘ออกกำลังเพิ่มความสามัคคี’ แทนคำว่า ‘ทำโทษ’ ด้วยไง”


“กูว่าพวกมึงเริ่มจะหลงประเด็นกันแล้วนะ” ในที่สุดผมก็ตัดสินใจขัดขึ้น ทุกคนหันมามองผมที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเป็นตาเดียวและรอฟังว่าผมจะพูดอะไรต่อ “คุยกันมาเป็นชั่วโมงยังวนอยู่ที่เดิม กูว่าพอเถอะ”


“นายกสโมว่างั้นว่ะ” ไอ้เปรมที่เป็นเฮดว้ากกวาดสายตาไปรอบๆ


“งั้นก็แยกย้ายๆ” ไอ้มิกซ์ช่วยสรุปปิดท้าย


ทุกคนทยอยเดินออกจากห้องประชุมในขณะที่ผมยังคงนั่งคลึงขมับอยู่ที่เดิม


“อาจารย์กอบกิจบอกว่ามึงอยากให้กูช่วยติว” เสียงไอ้มิกซ์ดังกระทบโสตประสาทอีกครั้งและเมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบมันยืนห่างออกไปเล็กน้อย


“ไม่เคยพูดสักคำ”


“อ่อ อาจารย์บอกด้วยว่าเกรดมึงร่อแร่มาก”


“กูไหว” ผมเถียงสั้นๆนึกในใจว่าถ้าจะยอมให้คนตรงหน้ามาช่วยติวผมยอมไปกราบเท้าขอให้ไอ้มอลต์ช่วยยังจะดีกว่า


“นี่มึงยังโกรธกูอยู่อีกหรอ” มันพูดคล้ายจะรู้ว่าแม้เรื่องจะผ่านมาเป็นปีแล้วผมก็ยังไม่ยกโทษให้มัน


“เรื่องของกูอีกแหล่ะ”


“น้องมึงมาให้กูเอาเองแล้วจะโทษกูคนเดียวได้ไงวะ”


แม้คนที่ไอ้มิกซ์กำลังพูดถึงจะไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดกับผมจริงๆ แต่คำพูดของมันก็ทำให้ผมโกรธจัดได้ในพริบตา


ผมลุกพรวดกระชากคอเสื้อคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง ไอ้มิกซ์มองผมด้วยดวงตาว่างเปล่าแล้วยิ้มหยันที่มุมปาก


“กูพูดผิดหรอ”


“มึงนี่มันเหี้ยจริงๆ” ผมพูดเสียงต่ำรอดไรฟันแล้วคลายมือที่กำคอเสื้อมันออก


ผมไม่ชอบมีเรื่องชกต่อย ถ้าเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆผมจะยอมให้อภัย แต่ผมให้อภัยกับที่มันทำกับน้องรหัสผมไม่ได้จริงๆ


เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงรับน้องปีก่อน ตอนนั้นพวกเราเพิ่งขึ้นปีสองและได้รับหน้าที่ดูแลน้องปีหนึ่ง นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมและไอ้มอลต์ได้ทำงานร่วมกับไอ้มิกซ์และกลุ่มเพื่อนๆของมัน


กลุ่มของไอ้มิกซ์ส่วนใหญ่จะเลือกเทคแคร์น้องผู้หญิงเป็นพิเศษ ซึ่งก็เป็นธรรมดาตามประสาผู้ชายหน้าม่อ แต่ไอ้มิกซ์และเปรมไม่ใช่แบบนั้น


มิกซ์เป็นผู้ชายเงียบๆที่เหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางและดูจะไม่เลือกปฏิบัติกับน้องคนไหนเป็นพิเศษ ส่วนเปรมไม่ต้องพูดถึง หมอนี่ไม่นิยมฟีเจอริ่งกับผู้หญิงพูดง่ายๆก็คือเป็นเกย์นั่นแหล่ะ


สรุปสุดท้ายหลังหมดกิจกรรมรับน้องแก๊งเพื่อนมิกซ์ก็ไม่มีใครม่อรุ่นน้องมาเป็นแฟนได้สักคน มีก็แต่เปรมปริญที่สามารถพาเด็กคณะเศรษฐศาสตร์มาแนะนำกับเพื่อนๆได้


“โอเค มั่นใจละ” ไอ้มอลต์พูดออกมาวันหนึ่ง


“เรื่อง?” ผมย้อนถามสั้นๆ


“ไอ้มิกซ์ก็เป็นเกย์”


“ห๊ะ? ไอ้มิกซ์เนี่ยนะ” ผมย้อนถามอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหู “ดูตรงไหน??”


“นี่” ไอ้มอลต์พูดแล้วชี้นิ้วตัวเองบริเวณอกซ้าย


“เสื้อผ้าเนี่ยนะ” ผมแกล้งบื้อ


“ฟาย หัวใจเว้ย หัวใจ” ไอ้มอลต์ทำหน้าขัดใจก่อนจะพูดต่อ “ความรู้สึกกูบอกว่าใช่”


“ความรู้สึกมึงคงเชื่อไม่ได้ เจอหน้ากูครั้งแรกมึงก็ทักว่ากูเป็นเกย์จำได้มั้ย” ผมพูดค้านพร้อมหยิบยกเรื่องในอดีตมาอ้าง


“โดยทฤษฎีผู้ชายทุกคนเป็นเกย์ แม่งแค่ยังไม่รู้ตัวเฉยๆ” ไอ้มอลต์เถียงข้างๆคูๆ


“จะจำไว้แล้วกัน” ผมตอบอย่างขอไปที


เย็นวันนั้นไอ้มิกซ์กับมอลต์ก็แตกหักกันถึงขึ้นมีเรื่องชกต่อย และเมื่อถามผู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอดอย่างเปรมปริญก็ได้ความว่า ไอ้มอลต์อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่าไอ้มิกซ์เป็นเกย์ เหมือนจะเป็นแค่เรื่องขำๆประสาเพื่อนผู้ชายปากหมาแซวกันเล่นถ้าไม่ใช่ว่าไอ้มอลต์พูดล้ำเส้นมากไป


กลับมาที่ความเป็นจริงในปัจจุบัน ผมสาวท้าวก้าวออกจากห้องประชุมโดยไม่หันไปมองแต่ยังรู้สึกได้ว่าคนข้างหลังก็เดินตามมาไม่ห่าง


“ตามกูมาต้องการอะไร” ผมหันไปพูดอย่างหัวเสีย


“ใครตามมึง อย่ามโนได้ป่ะ”


“จะบอกว่ารถมึงบังเอิญจอดหลังตึกที่เดียวกับกูงั้นสิ”


“ถ้าใช่แล้วไง” ไอ้มิกซ์ยักคิ้วกวน


“ตอแหล”


“ด่าได้ตรง” ไอ้มิกซ์พูดเหมือนถูกใจ “กูแค่ตามมาเตือน”


“เรื่อง?”


“อยู่กับไอ้มอลต์มากๆระวังติดเชื้อเกย์ อ๊ะ...แต่ตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าพวกมึงเป็นคู่ขากันอยู่แล้วนี่นะ”


ผมรู้ว่าไอ้มิกซ์พยามพูดกวนประสาทให้ผมโกรธ ซึ่งถ้าถามว่าผมโกรธมั้ย?...ก็นิดๆนะ


“อย่ามาเสือกรู้ดีเรื่องพวกกูหน่อยเลย”


“โห...ทำหน้าแบบนี้อย่าบอกนะว่ามึงโดนไอ้มอลต์เสยตูดไปแล้ว” มิกซ์เหยียดยิ้ม


ผมอยากจะสวนกลับไปว่าไอ้มอลต์ต่างหาที่โดนผมเสย แต่พอได้ฉุดคิดสักนิดผมก็ได้สติว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะป่าวประกาศให้คนอื่นรู้


“มึงเหอะ..ยังตามตูดไอ้เปรมต้อยๆ หึ...” ผมจงใจพูดเว้นจังวะให้มันคิดเอาเองบ้างว่าผมจะพูดเรื่องอะไร


“คิดว่าแค่นี้ยั่วให้กูโมโหได้หรอ”


“มึงว่างมากรึไงถึงได้มาหาเรื่องกู” ผมถามหน่ายๆ เริ่มเบื่อจะต่อปากต่อคำกับไอ้มิกซ์เต็มที


“ก็ไม่ได้อยากมาต่อปากต่อคำกับมึงนักหรอก แค่จะบอกว่ากูยินดีช่วยติวให้มึงก็แค่นั้น”


“ถ้าเรื่องนั้นกูพูดไปแล้วว่าไม่จำเป็น ถ้าหมดเรื่องแล้วกูขอตัว” ผมพูดตัดบทเสียงห้วน


“ถ้าคิดว่ากูจำเป็นเมื่อไรก็โทรหากูแล้วกัน” ไอ้มิกซ์ยืนกอดอกพิงเสาพูดทิ้งท้ายขณะมองผมขึ้นควบรถจักรยานยนต์รุ่นเก่าสมัยคุณแม่ยังสาวขับออกไป


ผมกลับมาถึงบ้านพร้อมกับโจ๊กถุงหนึ่งที่แวะซื้อระหว่างทาง คิดในใจว่าหมีกริซลี่ที่นอนซมอยู่บนห้องคงกำลังหิวพอดี


“ไอ้มอลต์ลุกมากิน-” ผมกลืนคำพูดตัวเองลงคอเมื่อเห็นว่าในห้องนั้นว่างเปล่า จู่ๆก็รู้สึกว่าเลือดในกายเย็นวาบอย่างไม่มีสาเหตุ


ผมวิ่งลงไปดูเสื้อผ้าของไอ้มอลต์ที่ตากไว้...เป็นไปตามคาด บนราวว่างเปล่าเหลือเพียงไม้แขวนเสื้อ


“เชี่ยเอ้ย!” ผมสบถอย่างหัวเสียยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู ซึ่งผมไม่มีทางรู้เลยว่าเวลากว่าสี่ชั่วโมงที่ผมไม่อยู่ไอ้มอลต์ตัดสินใจที่จะหนีไปตอนไหน ผมไม่มีทางรู้เลยว่าตอนนี้มันหนีผมไปไกลแค่ไหนแล้ว


ไม่มีประโยชน์ที่จะโทรหา เพราะผมเห็นตั้งแต่เปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วว่าบนตู้ข้างหัวเตียงมีโทรศัพท์มือถือของไอ้มอลต์ถูกวางทิ้งไว้


ตอนนี้ผมถูกทิ้งให้จมอยู่กับคำถาม...เพราะอะไรไอ้มอลต์ถึงหนีไป?



-------------------------------------------------------------
ถ้าบอกว่าจบแค่นี้คงได้โดนนักอ่านปารองเท้าใส่แน่ๆ
ยังไม่จบนะคะ ยังค่ะ แต่ขอพักเบรกไว้ก่อนนิดนึง
ตอนนี้กำลังซุ่มเตรียมโปรเจคที่อาจทำให้หายหน้าไป
สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเราได้ทางแฟนเพจ Hina-Chang
และทาง twitter Hina-Chang(ที่ส่วนใหญ่เอาไว้เวิ่นเว้อบนโลก)
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่าน ไม่ว่าจะเรื่องนี้หรือเรื่องอื่นๆของเรา
เราอ่านทุกคอมเม้นและมันช่วยผลักดันเราได้มากทีเดียว
ยังไงก็อยากให้ติดตามอยู่ด้วยกันจนถึงตอนจบที่แท้จริงนะคะ
รักนักอ่านทุกท่านจากก้นบึ้งของหัวใจ
Hina  :กอด1:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :a5:


มอล์ตไหงทำตัวเป็นนางเอกล่ะคะเนี่ย อยู่เคลียร์กันแมนๆก่อนสิ  :z3:

ออฟไลน์ ชอร์ปสติ๊ก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
มิกซ์นี่วอแวพี่โก้จัง ฮันแน่ แอบคิดอะไรรึเปล่าาาา  :ruready

ออฟไลน์ shichina

  • Hina-Chang
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
แจ้งข่าว - 23/08/15
«ตอบ #54 เมื่อ23-08-2015 09:23:56 »

แจ้งข่าวนักอ่าน ว่าด้วยเรื่องตอนจบของโก้มอลต์


ตอนต่อไปจะเป็นตอนจบของเนื้อเรื่องด้านโก้กับมอลต์แล้วค่ะ จริงๆตอนนี้ถ้าจะอัพมันก็อัพได้แหล่ะ
ถ้าไม่ติดว่าเนื้อเรื่องที่อัพได้ในตอนนี้เป็นตอนจบแบบ Bad Ending ที่เนื้อหาค่อนข้างหนัก
เราไม่รู้ว่านักอ่านจะทำใจรับได้แค่ไหน จึงอยากจะอัพตอนจบทั้งสองแบบพร้อมกันทีเดียว
ใช่ค่ะ ตอนจบของโก้มอลต์จะมี 2 แบบ คือ Happy Ending และ Bad Ending
จะเลือกอ่านแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะอ่านทั้งสองแบบก็ได้ค่ะ

เพิ่มเติม...กระทู้พูดคุยเรื่องทั่วไป ไว้ไปตามจิก หรือคอมเม้นนอกรอบได้ทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ หรือเรื่องอื่นที่เราเขียน
จิบชานั่งคุย มุมสบาย By Hina

 :กอด1: ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด....Hina

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :call:

ขอลง 2 แบบพร้อมกันค่ะ ลง Sad Ending อันเดียวรับไม่ไหว ตับฉีกซะก่อน  :hao5:

ออฟไลน์ ชอร์ปสติ๊ก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
bad end ค่ะ

คนเขียนก็ตั้งใจไว้แล้ว จะจบยังไงเราไม่เกี่ยงค่ะ  o18 เขียนตามที่คนเขียนตั้งใจเลยนะคะ เรารับได้ เป็นกำลังใจให้จ้า  :katai2-1:

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Bad end มาเลยก็ได้ค่ะ ตามพล็อตที่วางมาเลยค่ะ อ่านได้หมดอยู่แล้ว~

ออฟไลน์ shichina

  • Hina-Chang
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
BAD END - 19/09/15
«ตอบ #58 เมื่อ19-09-2015 06:50:04 »

[โก้ - BAD ENDING]


บ่ายวันต่อมาหลังจบคาบเรียนวิชามนุษยสัมพันธ์อาจารย์เรียกผมไปคุยเป็นการส่วนตัวและถามคำถามซึ่งทำให้ผมรู้ว่าผู้ชายชื่อมอลต์หายไปจากชีวิตผมแล้วจริงๆ


“ตอนแรกก็อุส่าห์คาดหวังไว้ว่าเพื่อนเธอน่าจะทำให้การเขียนสมุดบันทึกคลาสนี้คึกคักขึ้น แต่ถ้ามันลงเอยแบบนี้ก็คงช่วยไม่ได้แล้วล่ะนะ”


ผมเดินออกจากห้องด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง ในหัวยังคิดย้ำๆว่าไอ้มอลต์ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร


หรือการที่ผมกับมอลต์มีอะไรกันทำให้มันรู้สึกแย่ยิ่งกว่าการที่รู้ว่าตัวเองอกหักจากเฮดว้ากเกษตร ผมคิดหาคำตอบจนไม่ได้สังเกตุเลยว่าใครบางคนกำลังดักรอผมอยู่ที่หน้าตึกเรียน


“โก้!” ชายผิวแทนส่งเสียงเรียกเสียงดังเมื่อเห็นว่าผมมองไม่เห็นเขาจริงๆ


เฮ้ดวากเกษตรและเพื่อนชายฉายาสปอตไลท์มองมาที่ผมซึ่งกำลังใจลอย ผมมองหน้าชายผิวแทนเพียงครู่เดียวก่อนพบว่าผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป


ผัวะ!!


“ถ้าไม่เพราะมึงไอ้มอลต์คงไม่ทำแบบนี้!” ผมต่อยเฮ้ดว้ากเต็มแรงจนเขาเสียหลักล้ม เพื่อนตัวเล็กของเขาใช้แรงทั้งหมดผลักผมออกแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังได้ชกใบหน้านั้นอีกครั้งอยู่ดี


“เลิกบ้าซะทีเถอะ!!” นายสปอตไลท์ร้องสุดเสียง “พวกกูแค่เอาข้อความของไอ้มอลต์มาส่งให้มึง”


ผมชะงักไปก่อนจะได้ต่อยเฮ้ดว้ากอีกเป็นครั้งที่สาม มองใบหน้าขาวที่กำลังขึ้นสีด้วยความโกรธ


“มึงก็รู้ใช่มั้ยเรื่องที่ไอ้มอลต์ได้สมุดเล่มเดิมไปเขียนซ้ำทุกวัน”


“...” ผมตอบคำถามของนายสปอตไลท์ไม่ได้เพราะผมไม่เคยใส่ใจเรื่องพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย


“ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ” มือขาวขว้างสมุดบันทึกลงบนพื้นก่อนจะเข้าไปประคองเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น “ไปเหอะเชี่ยฟิว”


ผมนั่งนิ่งอยู่บนพื้นที่เย็นเยียบห่างออกไปเป็นสมุดบันทึกของวิชามนุษยสัมพันธ์ที่แสนคุ้นตา ใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าผมจะเอื้อมมือไปหยิบมาเปิดอ่านข้อความทีละหน้า


ช่วงแรกของสมุดบันทึกเป็นเป็นการเล่าเรื่องทั่วๆไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นบันทึกที่คล้ายกับแฝงการโต้ตอบระหว่างคนสองคน
เมื่อผมพลิกมาถึงไดอารี่หน้าล่าสุดซึ่งถูกเขียนวันนี้ น้ำตามากมายก็พรั่งพรูออกมาอย่างไม่อาจกลั้น


30/05

ครั้งสุดท้ายกับการเขียนไดอารี่ในวิชา HR
ขอฝากข้อความถึงใครบางคนที่เป็นเพื่อนคนสำคัญของเรา
ขอโทษนะที่ไม่กล้าพอจะอยู่สู้หน้านาย รู้ดีว่าเรามันขี้ขลาด
แต่ตอนนี้เราไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับนายจริงๆ ป๊อดง่ะ
นายคงอยากได้เหตุผลว่าที่เราทำไปทั้งหมดนี้มันเพราะอะไร
เราบอกนายได้แค่ว่า เราชอบนายเกินกว่าจะยอมให้
ความเป็นเพื่อนของเรามันพังลงแค่นี้ ยกโทษให้เราด้วย
แต่ที่เราทำไปทั้งหมดเพราะนายมีความสำคัญกับเรามากจริงๆ



“ถ้ากูสำคัญ...แล้วมึงทิ้งกูไปทำไม...”


เหตุทะเลาะวิวาทหน้าตึกคณะมนุษยศาสตร์ไปถึงหูอาจารย์ในที่สุด ผมแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกสโมสรนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์และมอบตำแหน่งรักษาการประธานรุ่นให้กับผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมซึ่งดูจะไม่เต็มใจรับมอบตำแหน่งนี้เท่าไร


“ถึงกูบอกว่าให้โทรหาตอนคิดว่ากูจำเป็น มึงก็ไม่น่าโทรมาบอกยกตำแหน่งให้กูแบบนี้นะ” ไอ้มิกซ์ถึงกับบ่นอุบก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง “แล้วเรื่องเรียนว่าไงวะ เกรดก็ร่อแร่แล้วยังเสือกโดนพักการเรียนอีกนะมึง”


“เรื่องพักการเรียนมีผลเทอมหน้า” ผมเว้นจังหวะถอนหายใจรู้สึกอ่อนล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ “เทอมนี้ก็เรียนให้จบๆไป”


“เออ เมื่อกี้กูได้ยินอาจารย์กอบกิจพูดว่าเมื่อเช้าไอ้มอลต์ก็มาทำเรื่องขอพักการเรียน คงไม่ใช่ว่ามึงไปหาเรื่องต่อยคนอื่นเพื่อหยุดเรียนเป็นเพื่อนไอ้มอลต์นะ” ไอ้มิกซ์พูดเจื้อแจ้วไปเรื่อย แต่พอเห็นว่าผมไม่ตอบอะไรมันจึงได้หันกลับมามองสีหน้าผมชัดๆ “อะไร...อย่าบอกนะว่าพวกมึงมีเรื่องหลบหน้ากันอยู่”


“ไม่เกี่ยวกับมึง” ผมตอบห้วนๆด้วยเสียงติดเย็นชา


“โยนภาระมาให้กูแล้วยังบอกว่าไม่เกี่ยวกับกูอีกหรอ” ไอ้มิกซ์กอดอกจ้องผมอย่างเอาเรื่อง


“ถ้ามึงทำไม่ได้ก็โยนไปให้คนอื่นสิ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องแคร์อีกแล้ว


“ทำตัวขวางโลกเหมือนคนโดนทิ้งไปได้”


“...”


ประโยคลอยๆของไอ้มิกซ์ทำผมสะอึก คำพูดอวดดีอันตรธานหายไปในอากาศเสียดื้อๆ


“จี้ใจดำสินะ” ไอ้มิกซ์เหยียดยิ้มขำก่อนจะเข้ามากอดคอเหมือนเราสองคนสนิทกันมาก “เอางี้มั้ย พวกเรากลับมาป็นเหมือนเดิมแล้วลืมเรื่องในอดีตไปให้หมด”


“พูดเหมือนกูจะลืมความเลวที่มึงทำไว้กับน้องพลอย”


“มึงไม่ต้องลืมก็ได้” ไอ้มิกซ์พูดพลางไหวไหล่ “แต่กูรับรองว่ามึงจะลืมเรื่องไอ้มอลต์ไปเลยถ้าได้อยู่กับกู”


ผมไม่ได้เล่าให้แม่ฟังเรื่องที่ถูกพักการเรียน ทุกวันผมออกจากบ้านด้วยชุดนักศึกษาตามปกติ ใช้เวลาเตร็ดเตร่ตามศูนย์การค้าเพื่อฆ่าเวลา


แรกๆมันก็น่าเบื่อ แต่หลังจากไอ้มิกซ์แนะนำหลายๆคนให้รู้จักผมก็มีอะไรให้ทำมากขึ้น


การกระทำที่เคยเป็นสาเหตุให้ผมและไอ้มิกซ์แตกหักกันกลายเป็นสิ่งที่ผมกลับทำเสียเอง หัวใจผมเหมือนตายด้านลงไปทุกทีเมื่อต้องมีเซ็กส์กับผู้หญิงที่เข้าหาและพร้อมจะอ้าขาให้ถ้าผมบอกว่าต้องการ


“ไงมึง” ไอ้มิกซ์ที่เพิ่งเลิกเรียนกลับมาถามผมที่กำลังนั่งเหม่ออยู่บนเตียง “เมื่อกี้เดินสวนที่ทางเดิน น้องปิงหัวเสียน่าดูเลย”


“หัวเสียที่ทำให้กูอยากเอาไม่ได้เนี่ยนะ...เฮ๊อะ”


“เรื่องนั้นช่างมันก่อน กูมีเรื่องจะบอก” ไอ้มิกซ์ทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียงก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ “วันนี้กูเจอไอ้มอลต์ที่คณะ”


มอลต์...คำสั้นๆที่สามารถทำให้หัวใจผมกลับมาเต้นโครมครามทั้งที่เคยตายด้านไปแล้วครั้งหนึ่ง


“มันมาทำไม”


“เห็นว่าทำเรื่องกลับมาเรียนเทอมหน้า ก็ไม่ค่อยรู้ละเอียดนักหรอก”


“งั้นหรอ...”


“ปฏิกิริยามึงนิ่งกว่าที่กูคิดนะ” ไอ้มิกซ์พูดด้วยน้ำเสียงคล้ายผิดหวัง “แต่ก็ดีแล้วล่ะ แสดงว่ากูทำให้มึงลืมมันได้แล้วส่วนนึง”


ไอ้มิกซ์เข้าใจผิดถนัด...เพราะความจริงคือผมไม่ได้ลืมเรื่องของไอ้มอลต์เลยแม้แต่เรื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตั้งแต่ที่ผมกับมันรู้จักกันใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งวินาทีที่มันทิ้งผมไป


ผมลงจากเตียงและหยิบเสื้อผ้าที่วางเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่ก่อนจะหันไปบอกไอ้มิกซ์ซึ่งเป็นเจ้าของห้องว่า


“ตั้งแต่พรุ่งนี้กูจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว”


“อ่าวเฮ้ย ใช้ห้องกูกกสาวมาตั้งนานคิดจะไปง่ายๆงี้หรอ” ไอ้มิกซ์โวย


“กูเบื่อแล้ว” ผมตอบไปตามตรง


“จะรีบกลับไปอ้อนผัวเก่ารึไง” ไอ้มิกซ์พูดด้วยน้ำเสียงเหยียดๆที่ผมไม่ได้ยินมานาน และเพียงเสี้ยววินาทีนั้นผมก็คว้าคอเสื้อไอ้มิกซ์ขึ้นอย่างเอาเรื่อง


“ถ้าไม่ใช่เพราะสาวๆที่มึงแนะนำมันเริ่มไม่ได้เรื่องกูคงไม่เบื่อแบบนี้”


“หึ..ที่เบื่อเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงรึป่าว” ไอ้มิกซ์เหยียดยิ้ม “ถ้าอยากได้ผู้ชายก็ก็แนะนำให้ได้นะ อยากได้แบบไหนว่ามาเลย”


“ถ้ามึงยังพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก อย่าหวังว่ากูจะยอมคุยกับมึงอีกเป็นครั้งที่สอง” ผมพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินผละออกมาและไม่กลับไปเหยียบที่คอนโดของไอ้มิกซ์อีกเลย


กิจวัตรประจำวันของผมยังคงเป็นเหมือนเดิม จะแปลกไปก็ตรงที่ผมไม่ได้ใช้ห้องไอ้มิกซ์ไว้เป็นที่เผด็จศึกสาวๆก็เท่านั้น


“ห้องเค้าของเยอะหน่อยนะ พวกรองเท้ากับกระเป๋าอะไรงี้อ่ะ” น้ำเสียงหวานพูดเจื้อยแจ้วข้างหูขณะเดินแอบอิงไปตามทางเดินในตึก


“ไม่มีผู้ชายอยู่ในห้องก็ไม่เป็นปัญหาหรอก”


“แหม๋ เห็นเค้าอย่างนี้ก็ยอมให้โก้คนเดียวนะ”หญิงสาวพูดออดอ้อนก่อนจะหอมแก้มอย่างเอาใจ


“ถ้าโกหกล่ะจะจับตีก้นให้เข็ดเลย”


ผมกดปลายจมูกลงบนแก้มเนียนอย่างหมันเขี้ยว รู้สึกเห็นเงาคนเดินมาทางปลายหางตาจึงเอี้ยวตัวหลบให้ หากแต่เมื่อผมได้เห็นใบหน้าด้านข้างของคนที่เดินผ่านไปร่างกายผมก็เริ่มผิดเพี้ยนไปอีกครั้ง


หมับ!


“ไงมอลต์ ไม่เจอกันนานนะ” ผมเอ่ยทักก่อน


“ง...ไง”


“เพิ่งรู้ว่าอยู่หอนี้” ผมเว้นจังหวะและออกแรงบีบข้อมืออีกฝ่ายเล็กน้อย “บังเอิญจัง”


“อ่อ หอเก่าปัญหาเยอะเลยย้ายน่ะ” ไอ้มอลต์ตอบ “น..นี่แฟนโก้หรอ น่ารักดีนะ”


“ขอบใจ แต่ว่าไม่ใช่แฟนหรอก”ผมตอบอย่างไม่ไว้หน้าแม้ว่าคนที่ถูกพูดถึงจะกำลังยืนอยู่ข้างกายก็ตาม


“ทำไมโก้พูดไม่ไว้หน้าผิงแบบนี้ล่ะคะ” หญิงสาวขึ้นเสียงจนแทบจะเป็นเสียงกรี้ด


“ทุกครั้งที่เอาก็ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าเอาในฐานะไหน อย่ามาสะดิ้งได้มั้-”


ผัวะ!!


กำปั้นของไอ้มอลต์ต่อยเข้าเต็มแรงจนผมลอยไปกระแทกกับผนัง ไอ้มอลต์มองผมด้วยสายตาที่โกรธจัดก่อนจะพูดออกมาอย่างเดือดดาล


“ไอ้โก้ที่กูเคยรู้จักไม่ใช่คนที่จะเหี้ยกับผู้หญิงได้ขนาดนี้ ขอโทษเธอซะ!!”


“...คนที่ทิ้งกูไปอย่างมึง...มาเสือกอะไรด้วย!!”


ผมได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ ตอนนั้นสมองผมขาวโพลนจนนึกอะไรไม่ออก ความรู้สึกที่ซ่อนเร้นอยู่ข้างในกำลังทำให้ร่างกายนี้เคลื่อนไหว หมัดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกพุ่งปะทะใบหน้าที่ไม่คิดว่าจะได้เจออีกครั้ง แต่ในจังหวะที่ไม่ทันระวังกำปั้นของไอ้มอลต์ก็ซัดเข้ามาเต็มแรงอีกครั้งจนหงายหลังนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น


ความรู้สึกที่บิดเบี้ยวกลั่นตัวเป็นหยาดน้ำใส ในอกเจ็บแปลบราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ผมได้ยินเสียงหายใจหอบของไอ้มอลต์อยู่ใกล้แค่เอื้อม


ผมใช้หลังมือเช็ดน้ำตาก่อนจะยันตัวเองลุกขึ้นอีกครั้ง มอลต์ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมขณะที่ผมเดินจากมา ไม่มีถ้อยคำใดๆมาเอ่ยรั้งหรือขอให้เราทั้งคู่กลับมาเป็นเหมือนเดิม


แล้วโลกของเราทั้งสองก็เหมือนถูกตัดขาดออกจากกัน


------------


เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่ผมถูกพักการเรียนผมก็กลับมาเรียนตามปกติ ทุกเย็นผมต้องอยู่ติวกับไอ้มิกซ์ที่ถูกอาจารย์กอบกิจไหว้วานให้มาอีกทีอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก


เย็นวันหนึ่งไอ้มิกซ์ก็มีท่าทางแปลกไป มันเดินเข้ามาพร้อมกับความฉุนเฉียวเหมือนเพิ่งไปมีเรื่องขัดใจกับใครมา ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจแต่เหมือนไอ้มิกซ์จะอยากให้ผมมีส่วนรู้เห็นกับสิ่งที่มันจะทำต่อจากนี้ด้วย


“กูอุส่าหวังดีไปเตือนว่าไอ้เปรมกำลังโดนไอ้เด็กนั่นหลอก แต่ไอ้เปรมกลับเชื่อมันมากกว่ากู” น้ำเสียงไอ้มิกซ์เต็มไปด้วยความเดือดดาลแต่มันกลับพูดด้วยใบหน้าที่ดูนิ่งสงบกว่าทุกครั้ง “ไอ้เปรมต้องเสียใจที่เลือกมัน มึงสนใจจะมาร่วมวงกับกูมั้ยโก้”


“ขอผ่านแล้วกัน กูไม่อยากยุ่ง”


“ก็คิดไว้แล้วล่ะนะว่ามึงคงจะปอดแหกตามเคย” ไอ้มิกซ์แสยะยิ้มชั่ว “กูแค่คิดว่าจะหาอะไรให้มึงทำคลายเครียดก็เท่านั้น”


“ขอโทษทีว่ะ กูไม่นิยมคลายเครียดแบบนี้”


“ก็แค่จะกระทืบสั่งสอนเด็กเหลือขอให้รู้สำนึก ไม่ได้จะยกพวกไปรุมโทรมมันซะหน่อย”


“มึงลืมไปรึป่าวว่ากูโดนพักกวารเรียนไปเพราะอะไร” ผมพูดให้มันคิดก่อนจะเก็บของกลับบ้าน


“จะกลับเลยหรอวะ” มันร้องถาม


“วันนี้มึงไปทำหัวให้เย็นก่อน แล้วค่อยมาติวชดเชยให้กูแล้วกัน” ผมตอบโดยที่ไม่หันหลังกลับไปมอง


วันต่อมาโลกตัดสินใจเหวี่ยงไอ้มอลต์กลับเข้ามาในชีวิตผมอีกครั้ง ด้วยความบังเอิญที่ผมต้องอยู่เรียนเสริมและกลับเย็นกว่าปกติ ผมเจอไอ้มอลต์กำลังเดินลงบันไดอย่างรีบร้อน


ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมเดินตามไปอย่างไม่รอช้า ก่อนจะชะลอฝีเท้าลงเมื่อเห็นเงาคนสองคนยืนอยู่ที่หน้าตึก


ผมอยู่ไกลเกินกว่าจะได้ยินว่าทั้งสองคนกำลังพูดคุยเรื่องอะไรกันอยู่ แต่ท่าทางที่สนิทสนมและการหยอกล้อระหว่างมอลต์และชายตัวเล็กที่ผมจำได้แม่นว่าเป็นเด็กคณะเศรษฐศาสตร์ที่ไอ้เปรมเคยพามาเปิดตัวต่อหน้าเพื่อนๆ


คำพูดของไอ้มิกซ์เมื่อวานกลับเข้ามาในห้วงความคิดของผมอีกครั้งพร้อมกับอารมณ์ที่เริ่มครุกรุ่น ผมกำหมัดแน่นมองภาพรุ่นน้องคนนั้นเดินจูงมือไอ้มอลต์ไปต่อหน้าต่อตา


“ชดเซคก็บอกกันบ้างดิวะ กูก็นั่งรอติวให้มึงจนตูดบานหมดแล้วเนี่ย” เสียงไอ้มิกซ์บ่นกระปอดกระแปดดังมาจากทางด้านหลัง


“...กูทำเอง”


“ห๊ะ? พูดอะไรของมึงเนี่ย”


“เรื่องกระทืบเด็กไอ้เปรม...กูจะทำเอง”


“ผีเข้าหรอวะ...” ไอ้มิกซ์ที่เพิ่งเห็นสีหน้าของผมตอนนี้เงียบเสียงลงไปทันทีคล้ายจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างแล้วแม้ว่าผมจะยังไม่ได้อธิบายอะไรเลยก็ตาม “ฝากด้วยนะ”


ทุกอย่างง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อตอนที่ผมลากร่างเล็กๆไปในที่ลับตาคน เขาพยายามขัดขืนและต่อสู้ทำให้ถูกผมต่อจนเลือดกบปาก


ผมไม่สนใจเรื่องการแก้แค้นของไอ้มิกซ์แต่ผมอยากรู้เหลือเกินว่าเด็กคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกับไอ้มอลต์


“รู้มั้ยว่าทำไมถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้” ผมถามเสียงต่ำกดร่างเล็กติดพื้นและขึ้นคร่อมเพื่อกันอีกฝ่ายหนี แล้วก็ต้องรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเพราะตัวเองดันตาไวสังเกตเห็นรอยแดงเล็กๆสองสามรอยบริเวณต้นคอที่ซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้า


ฝีมือไอ้มอลต์?


“ม ไม่รู้...” ชายตัวเล็กตอบมาด้วยท่าทางหวาดกลัวน้ำตาคลอหน่วย ใบหน้าขาวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ


“มึงมายุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่ง คนของกู!!” ผมตะคอกเสียงกร้าว


“ฮึก..ผม..ผมไม่รู้คุณพูดถึงเรื่องอะไร!”


ชายตัวเล็กร้องไห้หนักขึ้น นั่นยิ่งทำให้เขาดูบอบบางไร้ทางสู้จนน่าสงสาร แต่หากลองคิดในอีกแง่...ทั้งหมดอาจจะเป็นแค่การเสแสร้งเพื่อเอาตัวรอดก็ได้


“ไม่รู้งั้นหรอ...พูดง่ายดีนี่” ผมกัดฟันกรอดกระชากเสื้อคนตัวเล็กจนแทบขาดคามือ ผิวขาเนียนมีรอยที่ทำเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ “หลักฐานเต็มตัวขนาดนี้ยังบอกว่าไม่รู้อีกหรอ”


“นี่มัน ม ไม่ใช่นะ...”


“แก้ตัวตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะ”


ชายตัวเล็กหวีดร้องสุดเสียงด้วยความหวังว่าจะมีคนมาช่วยพาเขาออกไปจากฝันร้ายตรงหน้า แม้จะได้ยินเสียงเขาร้องอย่างเจ็บปวดแต่ผมก็ยังไม่หยุดสะโพกที่ขยับเข้าออกอย่างดุดัน


ไม่นานนักเสียงร้องขอความช่วยเหลือและอาการสะอื้นค่อยๆสงบลงอย่างผิดปกติ ชายตัวเล็กนอนนิ่งนัยน์ตาว่างเปล่า เขาพึมพำอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้ยินจึงต้องโน้มตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น


“บอ..ล...” เขาเพ้อแผ่วเบาในขณะที่น้ำตายังไหลไม่หยุด


ผมผละออกจากร่างเล็กและจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาไอ้มิกซ์


“เรียบร้อยแล้ว” น้ำเสียงผมเรียบเฉยไร้อารมณ์ ไอ้มิกซ์ส่งเสียงประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะพูดบางอย่างที่ผมไม่ได้ตั้งใจฟัง


ผมได้ยินเสีงฝีเท้าหนึ่งกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้จากด้านหลังก่อนที่เสียงนั้นจะหยุดลงห่างออกไปไม่ไกล ผมหันกลับไปเผชิญหากับผู้มาใหม่แล้วเผลอกำโทรศัพท์ในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว


“แค่นี้ก่อนนะ” ผมพูดกับไอ้มิกซ์ก่อนจะถามชายที่อยู่เบื้องหน้า “มาทำอะไรแถวนี้”


“...มึงตอบกูมาก่อน...แฮ่ก...มึงทำอะไรกับน้องบาส...” ไอ้มอลต์ถามทั้งที่ยังหายใจหอบ


ผมปรายตามองชายตัวเล็กเล็กน้อยก่อนหันมาตอบ “แล้วคิดว่ากูทำอะไรล่ะ”


“มึงตอบกูมาเดี๋ยวนี้ว่ามึงทำอะไรลงไป” ไอ้มอลต์ตะโกนอย่างเหลืออด


“กูข่มขืนมัน ตอบแบบนี้พอใจมึงรึยัง”


คำตอบของผมคงจะทำให้เส้นความอดทนเส้นสุดท้ายของไอ้มอลต์ขาดลง หน้าผมสะบัดไปตามแรงซึ่งก็สมควรโดนแล้ว


“กูผิดหวังในตัวมึงจริงๆ...”


ไอ้มอลต์มองผมด้วยสายตาเจ็บปวดแล้วเดินผ่านผมไปช้อนร่างเล็กขึ้นจากพื้น อกซ้ายผมเจ็บจนรู้สึกเหมือนจะขาดใจตายซะให้ได้


“...แม้แต่มึงก็เลือกไอ้เด็กนั่น” เสี้ยววินาทีที่กำลังจะเดินจากไปคำพูดของผมก็ทำให้ไอ้มอลต์ชะงักงัน


“กลับบ้านซะโก้” ไอ้มอลต์พูดด้วยเสียงที่อ่อนลงแต่ยังเจอด้วยอารมณ์ครุกรุ่นอยู่บ้าง “กูจัดการทางนี้เสร็จแล้วจะตามไป”


เมื่อกลับมาถึงที่บ้านผมก็เห็นไอ้มอลต์นั่งรออยู่ก่อนแล้วที่หน้าประตู


“มาจบเรื่องนี้กันเถอะ” ไอ้มอลต์เป็นฝ่ายเริ่มก่อน “...กูขอโทษที่วันนั้นหนีไป”


เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำขอโทษจากปากของไอ้มอลต์ ผมจึงไม่รู้ว่าจะตอบรับกับคำขอโทษนั้นอย่างไร


ไอ้มอลต์มองหน้าผมก่อนจะพูดต่อ “วันนั้นความคิดกูมันยุ่งเหยิงไปหมด กูไม่เข้าใจการกระทำของมึงทั้งๆที่เคยเข้าใจว่ารู้จักมึงดีกว่าใคร...มึงที่ใจดีหาข้าวหายามาให้กูกินแต่ก็บ่นว่ากูเป็นภาระอย่างเย็นชา”


“แต่กูไม่เคยคิดว่ามึงเป็นภาระ!” ผมเถียงแต่มันก็เป็นความจริงตามที่ไอ้มอลต์พูดว่าผมบอกว่ามันทำตัวเป็นภาระสำหรับผม


“งั้นหรอ...โล่งอกไปที” ไอ้มอลต์ยิ้มบางๆอย่างขมขื่น “เรื่องในวันนี้กูจะรับผิดชอบเอง”


“ม..หมายความว่ายังไง?”


“ถ้าสิ่งที่ทำให้มึงเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้มีสาเหตุมาจากกู...ก็เอาทุกอย่างมาลงทีกูเถอะ” ไอ้มอลต์พูดด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว “อย่าลากคนอื่นเข้าเกี่ยวข้องกับความผิดพลาดของพวกเราอีกเลย”


ผมกำหมัดแน่นและถามตัวเองว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของไอ้มอลต์จริงๆอย่างนั้นหรอ หรือแท้จริงแล้วจะเป็นความผิดของผู้ชายปากแข็งอย่างผมที่ไม่กล้าจะพูดคำว่ารักออกมากันแน่


“...ทำไมต้องยอมทำถึงขนาดนี้” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ


“เพราะมึงเป็นคนสำคัญสำหรับกูไง” ไอ้มอลต์ตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


“สำคัญแบบไหนถึงได้ทิ้งกูไปล่ะมอลต์”


“แต่เพราะกูทิ้งมึงไป กูถึงได้รู้ว่ากูรักมึงนะโก้”


คำง่ายๆที่ผมไม่เคยพูด คำสั้นๆกำลังทำลายทิฐิในใจและสั่นคลอนความรู้สึกจนน้ำตาผมร่วงเผาะ ผมดึงไอ้มอลต์เข้ามากอดและร้องไห้เหมือนเด็กขี้แย


หลังจากได้ปรับความเข้าใจกับไอ้มอลต์ผมก็สัญญาว่าจะเลิกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเที่ยวเตร่หรือเรื่องผู้หญิง


ปัญหาอีกอย่างที่ผมต้องไปสะสางด้วยตัวเองคือเรื่องที่ผมเข้าใจผิดว่าเด็กคนนั้นเป็นคนที่ไอ้มิกซ์พูดถึงและได้ข่มขืนเด็กคนนั้น ผมถูกกระทืบจนอ่วมโดยแฟนหนุ่มของเด็กคนนั้นทำให้ต้องรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอ้มอลต์อีกหลายวันกว่าจะโผล่หน้ากลับเข้าบ้านได้


ทุกอย่างเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้งจนผมเผลอนึกไปว่าผมจะมีความสุขกับชีวิตแบบนี้ได้ตลอดไป


ผมล้มลงบนพื้นที่เย็นเฉียบนั่นทำให้ผู้คนรอบข้างเสียงร้องด้วยความตกใจ หลายคนที่อยู่ห่างไม่ไกลมองมาทางผมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ไม่มีใครคิดจะเดินเข้ามาใกล้


ง่วงชะมัด...


เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อยๆปิดปรือจนโลกของผมมีแต่ความมืดกับเสียงอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์จากคนรอบข้าง


‘นี่ๆ ไปดูหนังกัน!’


ดูหนังอีกแล้วหรอ...


‘อย่าทำตัวน่าเบื่อสิ’


ก็อย่าเอาแต่ใจนักสิ...


“...โก้”


หืม..?


“ห้ามหลับนะ!”


ทำไมล่ะ...ทำไมมึงถึงทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ล่ะ..


“ถ้ามึงหลับกูจะไม่ยกโทษให้ตลอดชีวิต!!”


พูดจาเอาแต่ใจอีกแล้ว...ถ้าไม่ใช่กูใครจะทนความเอาแต่ใจของมึงได้..


“มึงอย่าทิ้งกูไปแบบนี้สิ กูขอโทษ...ฮึก...ได้โปรด...”


คนที่ต้องขอโทษมันน่าจะเป็นกูมากกว่า...


ขอโทษนะที่อยู่เคียงข้างมึงไม่ได้อีกแล้ว


-----[END]-----

ขออัพแค่แบบ Bad ก่อนนะคะ ตอนแรกก็ว่าจะรออัพพร้อมกัน
แต่แบบ Happy ยังไม่มีเวลาได้พิมพ์ต่อให้จบ และตอนนี้งานแน่นมาก
ต้องขออภัยจริงๆค่ะที่นอกจากจะหายหน้าไปนานแล้วยังมีตอนจบมาแค่แบบเดียว
ถ้าว่างจากภารกิจการงานเมื่อไรจะรีบพิมพ์แบบ Happy ให้จบค่ะ
ขออภัยในความล่าช้า และขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามอย่างสูง  o1

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
งงตอนท้าย ทำไมโก้ถึงตายอ่ะคะ ตอนแรกโดนซ้อมแล้วก็รักษาตัวหายแล้วนี่นา??

หรืออริมาแทง?

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด