‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)  (อ่าน 103071 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ขัดเขินอยู่หรอก เจอ คุณพี่~~  เข้าไปนี้หลอนเลยแอบเศร้าด้วยไม่รู้ว่าทั้งคู่ต้องเจออะไรบ้าง

ออฟไลน์ Cream A

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
มาร่วมหลอนไปกับพี่สน ถ้าเสียงลึกลับเรียก..คุณพี่ แสดงว่าคุณสินกับแก้วก็ได้รักกันอ่ะสิ

แต่ทว่าคินคือผู้ใดกันเนี่ย อยากรู้จังเลยย แอบชอบความทะเล้นของคินอยากให้พี่สนเอ็นดูน้องเร็วๆ  :mew1:

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1037
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
แรกๆก็ยิ้มๆกับพี่สนน้องคินที่แกล้งหยอกกัน นาคินกวนพี่สาว
แต่พอสนได้ยินคุณพี่แค่นั้นล่ะ o22 แล้วทำไมถึงเรียกคุณพี่ล่ะ
แก้วได้คบกับคุณสินหรอ แต่จะคบกันได้หรอ แล้วทำไมคินถึงโทรมลงล่ะ
เป็นผลมาจากเครียดที่เล่นดนตรีได้ไม่ดี หรือมีอะไรแฝงรึเปล่านะ :katai1:
รอตอนต่อไปนะคะ

 :mew1: :L2:

ออฟไลน์ 111223

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 909
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-5
อยากรู้ว่าในอดีต คินเคยไปทำอะไรไว้
แต่คงเกียวกับแม่แก้วแน่ๆ แล้วใครล่ะที่จมน้ำ

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2


๖.





   สายลมในยามสนธยาพัดโชยอ่อนมาต้องเนื้อให้รู้สึกเย็นชื่น เสียงพายจ้วงลงไปในผืนน้ำดำสนิทเป็นจังหวะคลอเคล้ากับเสียงเหล่าแมลงหรีดหริ่งเหนือทิวยอดไม้จากสองฝั่งคลอง มันช่วยให้ผู้โดยสารบนเรือแจวไม่เหงาหูจนเกินไปนัก ดวงตาคมสีน้ำตาลใสของทาสสาวในเรือนคหบดีใหญ่สอดส่ายสำรวจทัศนียภาพตลอดการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสได้ติดตามไปรับใช้ผู้เป็นนาย ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปเที่ยวชมงานฝังลูกนิมิตที่วัดใหญ่หัวตลาดเหนือคุ้งน้ำ


   ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตแก้วยังไม่เคยได้ออกไปเที่ยวชมงานรื่นเริงเช่นนี้เลยสักครั้ง ในอกจึงรู้สึกยินดีระคนตื่นเต้นอย่างที่สุด หากแต่ด้วยความที่เธอเป็นบ่าวจึงต้องสงวนท่าทีมิให้แสดงอาการดีใจเสียจนออกนอกหน้าเกินงามได้ หนำซ้ำเธอยังเกรงว่าจันทร์หอมเกลอรักจักเสียใจ เพราะแก้วเป็นบ่าวผู้หญิงคนเดียวที่ได้ติดตามคุณสินในครั้งนี้


   เรือจากบ้านคุณท่านแจวคู่กันมาสองลำ ลำหนึ่งเป็นลำที่คุณสินนั่งโดยมีนายพร้าวเป็นคนแจว อีกลำเป็นลำของแก้วมีนายกลอยเป็นนายท้าย ก่อนเรือจะเลยปากคลองไปอีกคุ้งน้ำคุณสินก็สั่งให้เทียบท่าแวะรับคุณทับทิมขึ้นมานั่งด้วยกัน บ่าวคนสนิทของเธอก็ขึ้นมานั่งบนเรือลำเดียวกับแก้วแล้วทั้งคณะจึงออกเดินทางต่อ


   คุณทับทิมเป็นลูกสาวของนายคหบดีใหญ่รองจากนายท่านเสืองไม่กี่มากน้อย และหญิงสาวก็เป็นสาเหตุให้คุณสินต้องออกมาเที่ยวชมงานมหรสพในคืนนี้ทั้งที่ไม่ใคร่จะนิยมเท่าใดนัก หากแต่ชายหนุ่มก็ยากจะปฏิเสธหรือขัดใจมารดาที่เจ้ากี้เจ้าการให้ตนและบุตรสาวคนสวยของนายคหบดีใหญ่ออกมาพบกันได้ ดังนั้นสินจึงต้องปล่อยให้เลยตามเลย


   กว่าเรือจะเทียบท่าหน้าวัดใหญ่ท้องฟ้าก็มืดครึ้มพอดี เมื่อนายพร้าวกับนายกลอยผูกเรือไว้กับหลักเรียบร้อยทั้งคณะจึงเข้าไปในวัด แก้วหิ้วตะกร้าใส่ธูปเทียนและดอกบัวหลวงกำใหญ่เดินตามคุณสินซึ่งมุ่งหน้าไปยังพระอุโบสถหลังงาม ภายในมีชาวบ้านมากมายเข้ามากราบองค์พระประธานเพื่อเป็นสิริมงคลก่อนจะออกไปเที่ยวชมงานมหรสพรื่นเริง


   ทาสสาวเลือกดอกบัวสีชมพูเรื่อชูก้านสดสวยและธูปเทียนส่งให้คุณสิน คุณทับทิม ก่อนจะแจกจ่ายที่เหลือให้พวกบ่าวด้วยกันเอง กลิ่นควันธูปลอยคลุ้งเข้าจมูกจนต้องหลับตา แก้วกราบพระสามหนแล้วท่องบทสวดอย่างง่ายที่จำได้ตั้งแต่เป็นเด็ก ตั้งจิตอธิษฐานขอให้บุญกุศลส่งไปถึงบิดามารดารวมถึงผู้มีพระคุณ ขอทุกคนให้พบแต่ความสุขความเจริญ


   ครั้นเมื่อเรียบร้อยแล้ว แก้วก็นำธูปเทียนดอกไม้ไปปักในกระถางและแจกันใหญ่ ด้วยความที่มีคนเบียดเสียดมาก ขณะที่หันหลังกลับมา หญิงสาวถูกปลายธูปของยายแก่คนหนึ่งจิ้มเข้าที่เนื้อเนียนตรงแผ่นหลัง เธอสะดุ้งกายด้วยความแสบร้อน เซถลาไปชนเข้ากับแผ่นหลังของใครอีกคนซึ่งยืนอยู่ไม่ห่าง


   "คุณสิน!" ไม่ถึงกับตกอยู่ในอ้อมกอด เพียงแต่ถูกมือนุ่มของผู้เป็นนายรั้งแขนไว้ไม่ให้ล้มลงไปเท่านั้น

   "เป็นอะไรแก้ว" สินทอดเสียงถามด้วยความเป็นห่วง นัยน์ตาสีนิลหรือก็อ่อนโยนจนหญิงสาวรู้สึกอุ่นวาบในทรวง

   "แก้วโดนธูปจี้หลัง ขอประธานโทษเจ้าค่ะ"

   "ขอโทษทำไมรึ ความผิดเธอเสียทีไหน แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า"

   "ไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ แสบแค่เพียงนิดเดียว เมื่อตะกี้บ่าวสะดุ้งเพราะตกใจ"

   "ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว" ชายหนุ่มว่าแล้วยิ้มบาง ก่อนจะปล่อยมือจากต้นแขนของหญิงสาว

   "มีอะไรกันหรือคะคุณพี่สิน" ทับทิมที่ยืนมองจากอีกด้านของกระถางธูป เห็นว่านายบ่าวทั้งสองยืนพูดคุยทั้งยังถึงเนื้อถึงตัวกันอยู่นานจึงเข้ามาแทรก

   "แม่แก้วเขาโดนธูปจี้หลัง" สินตอบเรียบๆ

   "แล้วเป็นกระไรมากหรือไม่แก้ว" ทับทิมถามพลางสำรวจด้วยสายตานิ่งๆ

   "บ่าวไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะคุณทับทิม"

   "อย่างนั้นเราออกไปชมงานด้านนอกดีไหมคะคุณพี่ ข้างในคนเยอะ ควันธูปหรือก็มาก ทับทิมแสบตาไปหมดแล้ว" เมื่อเห็นว่าแก้วไม่เป็นอะไร คุณทับทิมคนงามจึงหันไปยิ้มหวานหยดให้กับสินแล้วชวนออกไปด้านนอกด้วยกัน

   "ไปสิ" สินยิ้มตอบบางก่อนจะเดินนำออกไป






   แก้วเดินไปพลางมองร้านรวงสองข้างทางไปพลางด้วยความตื่นตา แผงขายของส่วนใหญ่จะเป็นพวกของแห้งและขนมหวานมากมายจนละลานตา มองทางใดก็ดูน่าชมน่าชิมไปเสียหมด แก้วเห็นกลุ่มเด็กน้อยผมจุกใช้เบี้ยอัฐแลกกับข้าวเกรียบว่าว ขนมถังแตกโรยมะพร้าวขูด ก็ต้องกลืนน้ำลาย มองไปอีกทางมีขนมตาลกับขนมถ้วยฟูสีหวานซึ่งแก้วก็ไม่ได้กินบ่อยนักหากเรือนคุณท่านไม่ทำบุญใหญ่ หญิงสาวนึกอยากกินแต่ก็ต้องถอนหายใจหงอยๆ เมื่อรำลึกได้ว่าตนเองเป็นบ่าวในเรือนไม่มีอัฐไว้ใช้สอย ดวงหน้าคมหันกลับมายังคณะของคุณสินจึงพบว่าเขาไปหยุดอยู่หน้าแผงน้ำตาลสดเธอจึงรีบวิ่งตามมา


   คุณสินซื้อน้ำตาลสดให้คุณทับทิม ทั้งยังมีน้ำใจแจกจ่ายให้บ่าวทุกคนเสมอท่านด้วย แก้วรับกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำตาลสดหอมหวานมาไว้ในมือก่อนเอ่ยขอบคุณ


   "ขอบพระคุณเจ้าค่ะ" ชายหนุ่มแย้มริมฝีปากนิดหน่อยให้เธอ ก่อนจะล้วงเอาอัฐให้เธอ 2 สลึงแล้วสั่ง

   "อยากกินอะไรก็ซื้อเถอะ เงินนี่ฉันให้ หากพบอันใดถูกใจก็บอกให้หยุดได้ อย่าแยกไปคนเดียวเชียวนา จะหลงเอา ประเดี๋ยวได้กันยุ่งใหญ่"

   "ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณสิน" แก้วกล่าวขอบคุณเป็นครั้งที่สอง เธอยิ้มกว้างและมองหน้าชายหนุ่มด้วยความตื้นตันใจ สินเพียงยิ้มอ่อนๆเช่นเดิมส่งคืนให้ก่อนที่เขาจะถูกเสียงกังวานหวานหูของคุณทับทิมเรียกให้หันกลับไป

   "คุณพี่สินคะ ทับทิมเห็นเขาว่าคืนนี้มีมอญรำดาบด้วย คุณพี่สินจะว่ากระไรไหมคะ ถ้าทับทิมอยากจะชม" หญิงสาวบอกเสียงอ้อมแอ้ม

   "ไปสิจ๊ะ ประเดี๋ยวพี่พาไป" สินว่าเรียบๆ ก่อนจะเดินนำทั้งคณะไปยังโรงรำมอญ






   หลังจากดูมอญรำดาบจบทับทิมก็ชี้ชวนให้สินพาไปดูมหรสพอีกหลายอย่าง แม่ปุ้นบ่าวของทับทิมหันมาเจรจากับแก้วและบ่าวผู้ชายทั้งสองอย่างออกรส เธอว่าคุณสินช่างเหมาะสมกับคุณทับทิมของเธอเสียเหลือเกิน ซ้ำยังคะเนไว้อีกว่า ดูจากอายุอานามของคุณสินกับคุณทับทิมแล้ว เห็นทีอีกไม่นานสองเรือนคงได้ดองกันเป็นแน่ หากความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่รุกคืบไปข้างหน้ามากกว่านี้


   แต่มันก็จริงดังเช่นที่ปุ้นว่า คุณสินรูปงาม อ่อนโยน ใจดี ทั้งยังน่าเกรงขามมีความเป็นผู้นำไปในคราวเดียวกัน หากได้คู่ครองเป็นหญิงเลอโฉมและเพียบพร้อมเช่นคุณทับทิม คงจะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก


   แก้วละสายตาจากผู้เป็นนายชายหญิงตรงหน้าเมื่อเห็นว่าถูกคุณสินจ้องกลับมา ดวงตาคู่คมของหญิงสาวหม่นแสงลงต่างจากแสงของดวงประทีปแก้วซึ่งห้อยระย้ายไม่ห่างจากแถวธงสีเบื้องบน แม้จักรู้ตัวว่าไม่อาจเอื้อม ทว่าเมื่อเห็นภาพบาดตานั้นแก้วก็อดที่จะรู้สึกเจ็บยอกในอกไม่ได้ แต่ก่อนเธอคิดว่าเพียงได้เฝ้ามองจากที่ไกลๆก็เป็นสุขใจที่สุดแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าอีกด้านหนึ่ง การทำได้เพียงเฝ้ามองมันก็ทำให้เจ็บปวดได้เฉกเช่นเดียวกัน


   แก้วเพิ่งได้เข้าใจอีกว่าโลกมีสองด้าน มีสุขก็ต้องมีทุกข์ มีสมหวังก็ต้องมีผิดหวัง และในกรณีของเธอ คำว่าสมหวังย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเพียงแค่ความแตกต่างของชนชั้น ก็ชัดเจนในตัวของมันแล้วว่าเรื่องราวต่อไปในภายหน้าจะดำเนินไปในทิศทางใด



   "มาเที่ยวงานวัดกับเขาด้วยหรือขอรับคุณหนูทับทิม" เสียงทุ้มห้าวของใครบางคนเรียกให้ทุกสายตาหันไปมอง รวมทั้งแก้วที่มัวแต่พะวงคิดถึงเรื่องของตนเองก่อนหน้านี้ด้วย

   "นายโชติ!" ทับทิบมองหน้าของคนที่เข้ามาขวางพร้อมกับสมัครพรรคพวกด้วยแววตาไม่ชอบใจระคนหวาดกลัว แล้วเธอก็ก้าวถอยลงมาแอบอยู่ด้านหลังของสินเพราะต้องการที่พึ่ง


   นายโชติเป็นลูกชายของนายบ้าน มีกิตติศัพท์ชอบตั้งตนเป็นนักเลงโต ระรานคนอื่นไปทั่วหัวระแหง ใช้แต่บารมีของผู้เป็นพ่อเข้าข่มคน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีชาวบ้านร้านตลาดคนใดกล้าต่อกร ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิงตัวฉกาจ มีเมียเล็กเมียน้อยเต็มบ้าน กระนั้น ใครๆก็รู้กันว่านายโชติหมายตาคุณทับทิมอยู่ ถึงขนาดประกาศไปทั่วคุ้งว่าจะไปขอตบขอแต่งมาเป็นเมียเอก ทว่าฝ่ายหญิงไม่เล่นด้วย จึงตามเทียวไล่เทียวขื่อกันมานานหลายปี


   "ไม่ยักรู้ว่าวันนี้ไอ้โชติจักได้มีโอกาสพบกับจางวางวิเศษไกรศิลป์มาเที่ยวงานวัดงานบุญกับเขาด้วย แต่ไหนแต่ไรก็เก็บตัวเงียบดีด สี ตี เป่า อยู่แต่ในเรือนในคุ้ม นึกอย่างไรวันนี้ถึงย่างเท้าออกจากเรือนได้เล่าพ่อ หรือว่าเบื่อร้องรำทำเพลงเป็นยี่เกเสียแล้ว จึงออกมาสำเริงสำราญเช่นพวกฉัน แหมช่างเป็นบุญของฉันจริงๆ" โชติจงใจเอ่ยทักทายด้วยวาจากระทบกระเทียบ เนื่องด้วยไม่พอใจที่เห็นว่าแม่ทับทิมคนงามรี่ไปหลบอยู่ด้านหลังจางวางมีชื่อ

   "ไม่ได้นึกครึ้มใจอันใดดอกนายโชติ ฉันได้หยุดราชการ จึงมีโอกาสมาทำบุญก็เท่านั้น" สินตอบด้วยท่าทางสงบ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจสักนิดที่ถูกอีกฝ่ายแดกดัน

   "แล้วไปอย่างไรมาอย่างไรถึงมากับคุณหนูทับทิมได้เล่า" นักเลงตัวโตถามต่อ หากแต่ดวงตาแฝงด้วยประกายวาววับของความไม่พอใจ

   "จะมาด้วยกันได้อย่างไร คงไม่ใช่ธุระที่ฉันจะตอบ หากนายโชติไม่มีอะไรแล้ว เพียงแค่เวียนมาทักทายเท่านั้น ฉันคงต้องขอตัวก่อน ดึกมากแล้ว" สินตัดบทเรียบๆเพราะไม่อยากต่อความยาวให้เกิดเรื่อง

   "เอ...มันก็ไม่ใช่ธุระของฉันจริงๆนั่นแล เพียงแต่ฉันขอบอกอะไรจางวางไว้ตรงนี้สักอย่างจะได้หรือไม่"

   "มีอะไรก็ว่ามาเถิด"

   "ใครเขาก็รู้ว่าฉันหมายใจผูกไมตรีกับคุณหนูทับทิมมานมนาน หวังว่าเพียงไม่กี่ชั่วคืนที่หยุดราชการงานหลวงเที่ยวนี้ จางวางสินจะไม่หักหน้าหยิบชิ้นปลามันไปจากฉันเสียล่ะ" โชติเว้นวรรคก่อนพาร่างใหญ่โตชิดเข้ามาเผชิญหน้ากับสินใกล้ๆ "เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ เราคงจะได้เห็นดีกันเป็นแน่"

   "ฉันไม่ใครชอบมีเรื่องกับใคร แต่ฉันก็อยากรู้ขึ้นมาแล้วสิว่า ไอ้'เห็นดี'ที่นายโชติว่า มันจะดีสักเท่าใด" สินจ้องตาดุกร้าวตรงหน้าด้วยแววตาเมินเฉยเยียบเย็น "เอาไว้กลับจากราชการคราวหน้า ฉันจะรอดูนะ"


   ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้ ร่างของผู้พูดก็ก้าวออกไปจากตรงนั้นทันที ทิ้งให้นักเลงโตยืนสั่นเทาด้วยโทสะ ไม่คิดว่าไอ้นักดนตรีหน้าอ่อนจะกล้าต่อคำกับเขาถึงเพียงนี้


   "ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้สิน หากมึงคิดจะแย่งทับทิมจากกูล่ะก็ ได้เห็นดีกันแน่!"






   สินเดินนำทุกคนกลับมาที่เรือด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาไม่ได้โกรธที่นายโชติแสดงท่าทีชัดเจนว่าเป็นปรปักษ์ ไม่ได้โกรธที่นายโชติชอบคุณหนูทับทิมคนงาม หากแต่เขาไม่พอใจที่นักเลงโตนั่นพูดจาดูถูกงานดนตรีที่เขารัก ซ้ำยังดูถูกผู้หญิงราวกับว่าเป็นผักปลาที่คิดจะยื้อแย้งอย่างไรก็ได้ มารยาทเช่นนี้จึงเกินที่เขาจะรับไหว แม้สินจะไม่ชอบมีเรื่องกับใคร ทว่าก็ไม่ชอบให้ใครมาพูดจาดูถูกลูบคมกันได้


   เรือแจวสองลำพายท่ามกลางลำคลองที่มืดมิดและเงียบสงบ ขากลับจากวัดให้ความรู้สึกแตกต่างจากตอนที่มาลิบลับ บรรยากาศอึมครึมแทรกซึมจนมิมีใครกล้าเอ่ยปาก น้อยครั้งนักที่บ่าวไพร่จะเห็นคุณสินหงุดหงิดหรือไม่พอใจ มีเพียงคนเดียวที่นั่งเงียบด้วยอารามยินดีปรีดา คนผู้นั้นก็คือทับทิม


   ในทีแรกหญิงสาวมิได้คิดเป็นจริงเป็นจังเท่าใดกับสินนัก เพียงเพราะบิดากับมารดาพร่ำบอกทุกเมื่อเชื่อวันว่าอยากให้ตบแต่งกับสิน เพราะสินเป็นคนดีเพียบพร้อมด้วยทรัพย์สิน ยศถา และรูปงาม เพียงเท่านั้นเธอจึงมิได้ขัดใจอันใด อย่างไรเสียก็ดีกว่าแต่งกับไอ้โชตินักเลงโตนั่น แต่ในตอนนี้การกระทำและคำพูดของสินเมื่อครู่ มันมีผลทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูว่าสินทำไปเพื่อปกป้องเธอคล้ายจะเสน่หา ความเป็นสุภาพบุรุษสมชายชาตรีของเขา ทำให้เธอรู้สึกอุ่นละมุนในหัวใจ คิดตัดสินใจด้วยความมาดหมายได้ว่าอย่างไรเสีย หากต้องออกเรือนแล้วไซร้ ชายเดียวในดวงใจของเธอก็จะเป็นจางวางสินเท่านั้น



   "ขอบคุณคุณพี่สินมากนะคะที่พาทับทิมเที่ยว หากไม่มีคุณพี่สิน คุณพ่อกับคุณแม่คงไม่ให้ทับทิมไป รบกวนคุณพี่สินจริงๆ" เมื่อถึงท่าน้ำหน้าบ้านหญิงสาวก็เอ่ยขอบคุณชายหนุ่ม

   "เรื่องเท่านี้ไม่รบกวนพี่หรอกทับทิม"

   "แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณค่ะ ไหนจะเรื่องที่คุณพี่สินช่วยปกป้องทับทิมจากนายโชตินั่นด้วย หาไม่แล้วทับทิมคงแย่แน่ๆค่ะ" เธอว่าด้วยแววตาและน้ำเสียงหวานหยดชวนเคลิ้มฝัน

   "เป็นใครก็ต้องทำอย่างพี่ทั้งนั้น ทับทิมไม่ต้องขอบคุณให้มากความ กลับเข้าเรือนเถิด ดึกมากแล้วประเดี๋ยวพ่อกับแม่จะเป็นห่วง"

   "แล้วพบกันค่ะ" หญิงสาวรับคำด้วยท่าทีเขินอาย แก้มขาวนวลขึ้นซับสีแดงเรื่อเพราะรอยยิ้มหวานเย็นของชายหนุ่มที่ส่งให้พร้อมกับถ้อยคำแสนห่วงใย สินยิ้มรับอีกครั้งก่อนจะสั่งให้ออกเรือ


   แก้วเก็บอาการเสียใจไว้ในอกอย่างมิดชิด เธอค่อนข้างแน่ใจทีเดียวว่าคุณสินมีใจให้คุณทับทิม หญิงสาวหลับตาช้าๆ ปล่อยให้สายลมเอื่อยปะทะใบหน้า แม้จะผิดหวังปานใด แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีโอกาสได้ดูแลปรนนิบัติรับใช้เจ้าของหัวใจ อย่างน้อยเพียงแค่ได้เฝ้ามองคุณสินมีความสุขเธอก็ควรจะพอใจแล้ว...








   สัมผัสเย็นๆ ที่ลากผ่านท้องแขนกระทั่งเรื่อยลงมาถึงหลังมือทำให้เปลือกตาหนาขยับเบิกขึ้นช้าๆ ชายหนุ่มต้องสู้กับความเมื่อยขบและอาการปวดหนึบตรงขมับอยู่นานกว่าจะตื่นได้เต็มตา ภาพตรงหน้าที่เห็นได้ในทันทีคือหัวเตียงในห้องส่วนตัวของเขาเอง คิ้วเข้มขมวดชนกันด้วยความสับสน เนื่องจากความมึนงงทำให้แยกไม่ถูกว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่ เพราะแม้ว่าเขาจะลืมตาเห็นภาพอื่น แต่ภาพที่ยังติดตาคือภาพของหญิงสาวผู้เป็นบ่าวในเรือนของคุณสินคนนั้น ดวงหน้าคมอย่างหญิงไทยโบราณแท้ๆดูเศร้าซึม แววตาคมหม่นหมองยังสะท้อนติดอยู่ในใจ


   แต่แล้วสถานการณ์ตอนนี้คืออะไร ความงุนงงที่ทำให้หัวแทบระเบิดเป็นเสี่ยงๆหายวับไป เมื่อดวงตาคู่คมเหลือบไปมองเสี้ยวหน้าใครอีกคนที่วางคางตนเองไว้บนไหล่เขา เพื่อประคองเช็ดซอกคอและแผ่นหลังให้เขาได้สะดวก จมูกรั้นน้อยๆนั้นพ่นลมหายใจอุ่นรดผิวเนื้อที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ชวนให้รู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งกายอย่างบอกไม่ถูก


   "...สน..." นาคินเค้นเสียงที่หายไปจนพบ แต่เสียงที่เค้นออกมาก็แผ่วเบาและแหบแห้งราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเอง


   คนถูกเรียกหันหน้ากลับมาหาเขาในระยะประชิด นัยน์ตากลมที่เคยนิ่งสนิทไหววูบเล็กน้อย ก่อนจะเสกลับไปก้มมองแผ่นหลังกว้างแล้วลงมือเช็ดจนถ้วนทั่ว ทันทีที่แน่ใจว่าทุกซอกทุกมุมถูกผ้าขนหนูลากผ่านหมดแล้ว ลูกชายคนโตของบ้านก็ค่อยๆ คลายวงแขนแล้วประคองให้นาคินนอนลงไปบนเตียงเช่นเดิม จากนั้นคนตัวเล็กกว่าก็เอาผ้าใส่ในกะละมังใบน้อย ขยี้มันเบาๆแล้วบิดให้หมาดก่อนจะหันกลับมา


   อาจเป็นเพราะนาคินมองใบหน้าเรียบๆ ของสนธยานานจนลืมตัว เมื่อผ้าชุบน้ำเย็นกลับมาสัมผัสที่หน้าท้องแกร่งชายหนุ่มจึงสะดุ้งตกใจ สนธยาตั้งหน้าตั้งตาเช็ดทั่วแผ่นอกและใต้ซอกรักแร้ จนคนถูกเช็ดรู้สึกกระดากอาย


   "เดี๋ยว...ผม...เช็ด...เอง"

   "รู้ตัวว่าไม่สบายก็อยู่เฉยๆไปเถอะน่า" สนธยาชิงบอกหลังจากที่นาคินเอ่ยจบประโยค

   "แต่...ผม"

   "บอกให้อยู่เฉยๆไง" ต้องส่งเสียงดุอีกครั้งนาคินจึงยอมแพ้

   "ครับ"

   "คราวหลังถ้ารู้สึกไม่ค่อยสบายก็ให้รีบบอก อย่าปล่อยให้เป็นอะไรหนักๆอย่างนี้อีก ดีแค่ไหนที่มีกุญแจสำรอง ถ้าไม่ได้เปิดเข้ามาดูจะรู้ไหมว่าสภาพใกล้ตายขนาดไหน ทั้งที่เมื่อวานยังเห็นดีๆอยู่แท้ๆ" เมื่อเห็นว่าได้ที คนดูแลก็บ่นเสียยาวยืดเพราะอารามเป็นห่วงและตกใจ


   จะไม่ให้ตกใจอย่างไรไหว ก็นาคินเล่นหายเงียบเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อวานตอนเที่ยงหลังจากเล่นดนตรีเสร็จ จนกระทั่งเกือบบ่ายสี่โมงของวันนี้ยังไม่ยอมออกมา ทั้งที่ไม่อยากสนใจผู้อาศัยแสนกวนประสาท แต่ปิดห้องเงียบไม่กินข้าวกินปลาจนข้ามวันเช่นนี้ สนธยาก็อดกังวลไม่ได้ว่าจะโดนใครฆ่าหมกห้องตายไปเสียก่อนน่ะสิ


   ซ้ำวันนี้ยังเป็นวันจันทร์วันที่ต้องไปเรียน ซึ่งโดยปรกตินาคินไม่เคยขาดสักวันเดียว แต่ตอนเช้าเมื่อเห็นว่าไม่ออกมาสนธยาจึงไม่อยากกวนและตัดสินใจไปเรียนคนเดียว ทว่าเมื่อเขากลับมาถึงในตอนเย็น ป้าปุกแม่บ้านก็รีบให้ก้อยเอากุญแจสำรองมาให้เขาเพราะไม่เห็นว่าคุณนาคินออกจากห้อง แถมเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ พ่อกับนายเสริมก็ไม่อยู่ ที่บ้านจึงเหลือแต่ผู้หญิง จะให้โผงผางเข้าห้องคุณนาคินก็คงไม่งามนัก ป้าปุกจึงรอกระทั่งสนธยากลับมาแล้วขอร้องแกมบังคับให้เข้าไปดู


   ทันทีที่เข้ามาได้ สนธยาก็ต้องตกใจกับสภาพเจ้าของห้อง ร่างของนาคินซุกอยู่ในผ้าห่มผืนหนา โผล่ออกมาเพียงแค่ใบหน้าที่ซีดเผือด เหงื่อกาฬไหลท่วมที่นอนจนชุ่ม ตัวหรือก็ร้อนราวกับไฟ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัว สนธยาจึงตัดสินใจเช็ดตัวให้ชายหนุ่มเพื่อบรรเทาไข้ คะเนว่าถ้าไม่ดีขึ้นหรือไม่ยอมรู้สึกตัว จะเอารถออกแล้วพาไปโรงพยาบาล โชคดีที่ยังไม่ทันเช็ดตัวเสร็จนาคินก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจ้องเขาตาแป๋ว


   "เสร็จแล้วล่ะ ใส่เสื้อผ้าเสีย เดี๋ยวจะไปเอาข้าวต้มกับยามาให้กิน แล้วคืนนี้จะมานอนด้วย เผื่อว่ากลางคืนเป็นอะไรขึ้นมาจะได้ช่วยกันทัน คุณพ่อกับลุงเสริมก็ไม่อยู่"

   "ครับ" เมื่อเห็นว่านาคินพยักหน้ารับแล้ว สนธยาก็รีบออกไปจากห้องพร้อมกับกะละมังและผ้าขนหนูที่ถือเข้ามาเช็ดตัวให้คนป่วย

   "ขอบคุณครับ" นาคินเอ่ยออกมาเสียงเบา ตามองตามร่างโปร่งบางหายออกไปจากห้องแล้วยกยิ้มบางๆ





V
V
V
(ยังมีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2








   ร่างสูงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงของตนเองด้วยความกระสับกระส่าย เพราะถูกบังคับให้ใช้ผ้าห่มเนื้อสำลีคลุมกายตั้งแต่ช่วงอกจรดปลายเท้า แม้จะมีสายลมเอื่อยๆ พัดเข้ามาทางหน้าต่างกับพัดลมใบทองเหลืองบนเพดาน ก็ยังไม่ช่วยคลายความร้อนอบอ้าวในเวลานี้ได้เลย ยิ่งนอนฟังเสียงเข็มนาฬิกาเคลื่อนที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอไปมาซ้ำๆ ยิ่งทำให้รู้สึกประสาทจนนอนไม่หลับ ก็จะให้หลับลงได้อย่างไร ในเมื่อเขานอนเต็มอิ่มมาข้ามวันข้ามคืน ซ้ำตอนนี้ก็เป็นเวลาแค่สองทุ่มเท่านั้นเอง


   ชายหนุ่มเหล่มองจอมบงการซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาพิมพ์งานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์บนโต๊ะเขียนหนังสือของเขาด้วยความตั้งใจ แล้วก็อดนึกถึงเสียงสั่งดุๆ ของเจ้าตัวเมื่อเย็นไม่ได้



   "อิ่มแล้วก็กินยา จะได้นอนพักผ่อน" สนธยาเอ่ยออกมาหลังจากบังคับป้อนข้าวต้มให้เขาจนเกือบหมดชาม

   "ผมยังไม่ง่วงเลยนะสน"

   "กินยาเสีย แล้วก็ทำตามที่สั่ง อย่าพูดมาก เสียงแหบอย่างกับเป็ดเทศ ไม่อยากได้ยิน" เจ้าตัวยื่นแก้วน้ำกับยามาบริการจ่อติดริมฝีปาก พร้อมกับบอกห้วนๆ



   หลังจากยอมทำตามโดยดุษณี สนธยาก็ถอยทัพกลับออกไปง่ายๆ ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในชุดนอนสีฟ้าอ่อนเต็มยศราวทุ่มตรง และก็นั่งทำงานอยู่ตรงนั้นนิ่งๆไม่ลุกไปไหนอีก ทว่ายังไม่วายหันมาสั่งให้นาคินหลับเสีย กระนั้น นาคินก็อดสงสัยไม่ได้ว่า หากเขาไม่สามารถทำตามที่คุณครูพี่สนสั่งได้ เขาจะถูกทำโทษเช่นไรกันนะ


   เมื่อได้แต่นอนอยู่เฉยๆสมองจึงกลับมาทำงานได้อีกครั้ง เนื่องจากหายมึนงงและสะลืมสะลือจากพิษไข้เพราะได้ฤทธิ์ของยาแก้ไข้ที่กินเข้าไปเมื่อตอนเย็น แม้สภาพจะไม่เต็มร้อยนักก็ตาม นาคินค่อยๆเรียงร้อยลำดับเหตุการณ์ความฝันยืดยาวราวมหากาพย์ของตนเองออกมาเป็นฉากๆ แล้วชายหนุ่มก็พบว่า เขาจำภาพของใครบางคนในฝันได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบ่าวสาวชื่อแก้วหรือผู้เป็นนายชื่อสิน


   ไม่รู้เพราะเหตุใด หรืออะไรดลจิต จึงทำให้เขาต้องนิมิตเห็นเหตุการณ์เหล่านั้น เหตุการณ์ที่คล้ายกับว่าเคยเกิดขึ้นมาเมื่อครั้งอดีต จะว่าคิดเลอะเทอะไปเอง ฝันละเมอเพ้อไปเพราะพิษไข้ หากแต่ก่อนหน้านี้เล่า ก่อนหน้าที่จะจับไข้และหลับไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว นาคินก็เคยฝันหรือเห็นอะไรแปลกๆทำนองนี้เช่นกัน


   อีกหนึ่งเรื่องที่ชวนให้คิดจินตนาการเป็นตุเป็นตะได้ก็คือสถานที่ สถานที่ซึ่งเป็นฉากหลังในความฝันมันพ้องกับที่ตั้งของบ้านเรือนไทยที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นแน่ ไม่ว่าอะไรๆจะเปลี่ยนไปมากเท่าใด แต่เรือนดอกแก้วที่ฝึกสอนดนตรีไทยให้กับเด็กนักเรียนบ่าวของคุณสิน มันก็เป็นที่ที่เดียวกันไม่ผิดกันเรือนดอกแก้วหลังเล็กของสนธยา



แล้วทำไมเราต้องฝันถึงเรื่องพวกนี้ด้วยล่ะ...



   คิ้วเข้มขมวดเป็นปมแน่นเนื่องจากต้องใช้ความคิดอย่างหนัก วิเคราะห์มาได้ถึงขั้นนี้ แต่มันยากจะเดาต่อได้อีก มันตันจนสุดทางเสียจริงๆ เขาไม่รู้ว่าทำไมต้องฝันถึง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จะถามหรือปรึกษาใครก็กลัวเขาจะว่าเก็บเรื่องไร้สาระมาคิดเป็นตุเป็นตะ


   ทว่าชั่ววูบหนึ่งของตะกอนความคิด นาคินกลับรู้สึกว่า บางทีนะ บางที เหตุการณ์กับบุคคลที่เขาฝันเห็นมาตลอดเป็นเวลานับเดือน อาจจะเคยเกิดขึ้นจริงๆ ใครคนใดคนหนึ่งในฝัน ที่เคยอยู่ ณ เรือนไทยแห่งนี้อาจ 'ยังอยู่' และต้องการบอกอะไรบางอย่างกับเขาก็เป็นได้


   คิดได้ถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จากตอนแรกที่รู้สึกร้อนอ้าว กลับกลายเป็นเยียบเย็นขึ้นมาเสียเฉย เหงื่อกาฬที่ผุดขึ้นมาเพราะความร้อนตอนนี้ดูเหมือนจะช่วยให้อุณหภูมิของร่างกายต่ำลงเมื่อต้องกับลม ลมที่ให้ความรู้สึกเสียวสันหลังคล้ายยืนอยู่ในที่วังเวง

ครืด~~

   เสียงเก้าอี้ไม้ครูดกับพื้นดังขึ้นจากมุมห้องทำให้นาคินสะดุ้งตกใจและหลุดออกจากภวังค์ของตนเอง กลับมาสู่โลกของความเป็นจริง ทิ้งความกลัวกับความคิดบ้าๆ ไปชั่วขณะ


   ผู้ป่วยรีบหลับตาปี๋ทันทีที่เห็นเงาของบุรุษพยาบาลจำเป็นทอดมาทาบทับกับเตียง และมันก็ทันเวลาพอดิบพอดี สนธยาไม่ทันเห็นหรือสังเกตว่านาคินเพียงแค่แกล้งหลับไปเท่านั้น ร่างบางนั่งลงบนเตียงหมิ่นๆจะตกขอบด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะก้มหน้าลงไปใกล้เพื่อสำรวจใบหน้าของผู้ป่วย สีหน้าของร่างสูงดูดีขึ้นมาก แต่มีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นประปรายตามตีนผมและปลายจมูก หลังมือเอื้อมไปแตะที่ซอกคอเพื่อวัดอุณหภูมิ ไอร้อนระคนอุ่นแทรกผ่านหลังมือบางพอให้รับรู้ได้ว่าผู้ป่วยสร่างไข้ลงไปบ้างแล้ว


   "ไข้ลดแล้ว"


เสียงนุ่มเอ่ยออกมาแผ่วเบาด้วยความยินดีอย่างไม่คิดปกปิดเช่นทุกที ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะกลัวว่าหากนาคินเป็นหนักขึ้นมากลางดึก คืนนี้คงต้องวุ่นวายเพราะหอบหิ้วกันไปส่งโรงพยาบาลเป็นแน่ เมื่อวัดอุณหภูมิเรียบร้อยแล้ว ร่างบางก็ลุกจากเตียง เพื่อออกไปหยิบกะละมังกับผ้าขนหนูสะอาดมาเตรียมไว้ ตั้งใจว่าจะเช็ดตัวให้กับนาคินตอนปลุกขึ้นมาให้กินยาอีกรอบ


   นาคินลืมตาขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าสนธยาลุกออกไปแล้ว เขาถอนลมหายใจพรูออกมาอย่างโล่งอก ไม่อยากคิดว่าถ้าสนธยาเห็นว่าเขายังไม่ยอมหลับตามคำสั่ง เจ้าตัวจะบ่นอะไรอีกบ้าง แต่ถึงกระนั้น ร่างสูงก็อดยิ้มนิดๆไม่ได้ หัวใจรู้สึกชุ่มชื่นรุ่มรวยอย่างที่ไม่เคยเป็น เพียงเพราะรับรู้ถึงกระแสความห่วงใยจากคุณครูสอนดนตรีแสนเคี่ยวคนนั้น


   หากว่ากันตามปรกติ สนธยาที่นาคินทำความรู้จักมาตลอดที่อยู่ที่นี่ไม่ได้มีท่าทีญาติดีกับเขาสักเท่าไหร่ เจ้าตัวค่อนข้างจะเป็นคนเฉยชา มึนตึง และที่สำคัญดูไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาเสียด้วย อาจเพราะไม่สนิทกันหรืออะไรก็แล้วแต่ ทว่าลึกๆ สิ่งที่นาคินสัมผัสรับรู้ คือสนธยาเป็นคนใจเย็น มีน้ำใจ และใจดีมากๆ แม้จะชอบแสดงท่าวางฟอร์มกลบเกลื่อนความใจดีมีน้ำใจเหล่านั้นก็ตาม


   ยิ่งนึกถึงเวลาเจ้าตัวพูดแก้ตัวกลบเกลื่อน ทำทีว่าไม่ได้ห่วงใย ทำอะไรๆไปเพราะหน้าที่ นาคินก็ยิ้มออกมาเต็มแก้ม ก็คุณครูพี่สนของเขาน่ะ น่ารักน้อยเสียที่ไหนล่ะ



ของเขา...งั้นหรือ?



   พินิจพิจารณาให้ถ้วนถี่แล้วนาคินก็ต้องแปลกใจ แค่เขาคิดว่าสนธยาที่เป็นผู้ชายเหมือนกันน่ารักนั่นก็ว่าแปลกแล้ว ทว่าเขายังคิดถึงคำว่าสนธยาของเขาอีกอย่างนั้นหรือ! ร่างสูงสะบัดหน้าสองสามครั้ง ไล่ความคิดแปลกประหลาดออกจากสมอง เป็นจังหวะพอดีกับที่สนธยากลับเข้ามาในห้องพอดี


   สนธยามองผู้ป่วยในความดูแลของตนเองด้วยความประหลาดใจ เพราะก่อนหน้าที่จะออกจากห้องไป ยังเห็นว่านาคินหลับสนิทอยู่เลย หากแต่ตอนนี้กลับลืมตาโพลงแล้วส่ายหัวเหลือกกลิ้งไปมาบนหมอนเหมือนคนเสียสติ ร่างบางรีบก้าวอย่างเงียบเชียบเข้าไปหยุดอยู่ข้างเตียง วางกะละมังบรรจุน้ำอุ่นกับผ้าขาวไว้บนพื้น ก่อนแตะที่ต้นแขนแล้วถาม


   "เป็นอะไร ละเมอหรือไง"

   "สน!" นาคินสะดุ้ง ไม่ทันสังเกตสักนิดว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้ว

   "ก็ใช่น่ะสิ เป็นอะไร ทำหน้าเหมือนเห็นผี"

   "ป...เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร สนไปไหนมา" รีบปฏิเสธ แล้วแสร้งยกคำถามอื่นขึ้นมาเบี่ยงเบนความสนใจ

   "ออกไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้ ตื่นก็ดีแล้ว ได้เวลากินยาพอดี" ว่าพลางหยิบยาจากกระปุกที่หัวเตียงพร้อมรินน้ำใสแก้วให้เสร็จสรรพ

   "ขอบคุณครับ" นาคินรับยากับน้ำมากินด้วยตัวเองอย่างไม่อิดออด

   "เอาล่ะ" รับแก้วน้ำไปเก็บแล้วจึงหันมาสั่ง "ถอดเสื้อออก เช็ดตัวสักหน่อยค่อยนอนต่อ เดี๋ยวฉันก็จะนอนแล้วเหมือนกัน"

   "ไม่ต้องก็ได้ล่ะมั้ง ผมว่าไข้ผมน่าจะลดไปบ้างแล้วนะ ลำบากเปล่าๆครับ" นาคินปฏิเสธเพราะเกรงใจ ทว่ามีหรือคนอย่างสนธยาจะยอมทำตาม

   "อุตส่าห์ลุกออกไปต้มน้ำมาให้เชียวนะ ถ้าเป็นปรกติฉันไม่ทำให้ใครถึงขั้นนี้หรอกจะบอกให้ เพราะฉะนั้นอย่ามาทำซ่ากล้าปฏิเสธฉัน"

   "ผมเกรงใจน่ะ"

   "ถอดเสื้อเร็วๆ ฉันง่วงแล้วนะ อย่ามากท่าได้ไหม เมื่อกี้เห็นเหงื่อออกเยอะ เช็ดตัวสักหน่อยจะได้นอนสบายๆ" ไม่ว่าเปล่า สนธยายังหันไปบิดผ้าขนหนูมาเตรียมพร้อมรอท่า คนป่วยจึงจำต้องถอดเสื้อยืดตัวโคร่งของตนเองออกอย่างช่วยไม่ได้


   อาจเป็นเพราะตอนนี้นาคินมีสติครบถ้วนดี การเช็ดตัวจึงไม่ทุลักทุเลนักดังคราแรกที่สนธยาเข้ามาพบ เช็ดตามท้องแขน แผ่นอก หน้าท้อง ทั่วทั้งแผ่นหลังและลำคอเรียบร้อยก็เป็นอันเสร็จพิธี บุรุษพยาบาลจำเป็นตั้งท่าจะหอบอุปกรณ์ไปเก็บเข้าที่ ทว่าถูกเสียงของผู้ป่วยตัวโตท้วงเอาไว้เสียก่อน


   "ไหนบอกว่าจะนอนแล้วไม่ใช่หรือครับ เข้านอนก่อนก็ได้ พรุ่งนี้ผมจะตื่นมาช่วยเก็บ ดึกแล้วอย่างเทียวไปเทียวมาเลยนะ" เพราะนาคินสังเกตเห็นนาฬิกาแขวนที่ข้างฝาบอกเวลาล่วงเลยมาเกือบห้าทุ่มแล้ว

   "เอางั้นก็ได้" และเป็นเพราะตัวของสนธยาเองช่วยพยาบาลคนป่วยมาตลอดบ่ายคล้อยจนค่ำมืด มิหนำซ้ำวันนี้ยังไปเรียนมาทั้งวัน ชายหนุ่มจึงรู้สึกเพลียเป็นพิเศษและไม่ปฏิเสธข้อเสนอของนาคินทิ้งไปด้วยอยากรั้นเช่นทุกที


   ร่างบางเดินไปปิดคอมพิวเตอร์และไฟที่โต๊ะเขียนหนังสือ ภายในห้องจึงเหลือเพียงดวงไฟที่หัวเตียงเท่านั้นที่ส่องสว่าง เนื่องจากเดิมทีสนธยาก็ไม่ได้เปิดไฟในห้องทิ้งไว้อยู่แล้วเนื่องจากต้องการให้นาคินพักผ่อน ทันทีที่นาคินสวมเสื้อให้ตัวเองเรียบร้อย เตียงทางด้านซ้ายก็ยวบยุบลงตามน้ำหนักของใครอีกคนในห้องที่เดินมาทิ้งตัวลงนอน


สนธยาเตรียมหมอนและผ้าห่มมาจากห้องของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ต้องรบกวนหมอนและผ้าห่มของนาคิน เมื่อล้มตัวลงนอนเรียบร้อยแล้ว ร่างบางกว่าก็ตะแคงหันหลังนอนเงียบ ทิ้งไว้เพียงความเคว้งคว้างเบื้องหลัง มันเคว้งคว้างจนเจ้าของห้องรู้สึกกลัวขึ้นมาอีกคำรบ ทั้งที่ตามปรกติก็สามารถนอนคนเดียวในห้องกว้างๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ทว่าในตอนนี้กลับรู้สึกหวาดกลัวเพียงเพราะใครอีกคนนอนหันหลังให้เท่านั้น


นาคินนอนกระสับกระส่าย ไม่อาจข่มตาให้หลับได้ลงสักครึ่งนาที ความรู้สึกอ่อนเพลียเพราะพิษไข้ราวกับหายไปเป็นปลิดทิ้ง ประสาทสัมผัสทุกส่วนตื่นตัว เหงื่อกาฬไหลออกมาแทบทุกรูขุมขน เพียงแค่ได้ยินเสียงนกกลางคืนร้องดังเหนือยอดไม้นอกหน้าต่าง เขารู้สึกเหมือนกับมีสายตาปริศนาจ้องมองมาที่ตนไม่ลดละ ประจวบเหมาะกับที่ลมเย็นๆพัดวูบเข้ามา เสียงบานหน้าต่างปิดกระทบตีเข้ากับฝาผนังดังโครมใหญ่ พาลให้คนขี้ตื่นสะดุ้งกาย พุ่งพรวดเสือกกายเข้ากอดหมอนข้างคั่นกลางระหว่างเขากับใครอีกคนแน่น


“เป็นอะไร” สนธยาหันกลับมาถามเพราะถูกคนตัวโตกระแทกหลังเข้าอย่างแรง

“ปะ…เปล่า แค่ตกใจนิดหน่อย” นาคินผ่อนลมหายใจแล้วบอกออกมาติดขัด

“เป็นไข้แล้วขี้ตื่นหรือไง แค่ลมพัดหน้าต่างเท่านั้นเอง” อีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะล้อเลียนเล็กน้อย ก่อนสังเกตเห็นลางๆ จากแสงไฟด้านนอกว่าคนป่วยมีสีหน้าแปลกๆ “เป็นอะไร ไข้ขึ้นหรือเปล่า”


ดวงหน้าติดจะหวานขยับโน้มเข้าไปชิดใกล้ใบหน้าของใครอีกคนเพื่อดูให้แน่ใจ บนหน้าผากของคนป่วยเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ อีกทั้งนาคินยังมีสีหน้าเจื่อนๆให้สังเกตได้โดยง่าย


“ไม่หรอก” ส่งเสียงปฏิเสธ ทว่าไม่ได้ขยับถอยหลังหนี ยอมอยู่นิ่งๆให้พยาบาลจำเป็นอยู่ใกล้จนลมหายใจรดรินใบหน้าเพื่อสำรวจอาการจนแน่ใจ

“ไม่ได้ปวดหัวหรืออะไรนะ เผื่อว่าเป็นมากจะได้เอารถออกไปโรงพยาบาลทัน”

“ไม่ครับ ไม่ได้เป็นอะไร” นาคินย้ำ

“งั้นก็หลับตาแล้วนอนเสียสิ”

“นอนไม่หลับ” คนถูกบังคับให้นอนตอบกลับทันที ทั้งดวงตาคมๆคู่นั้นก็ยังวาววับในเสียงสลัว ยืนยันชัดเจนว่านอนไม่หลับอย่างว่าจริงๆ

   “แล้วจะให้ทำยังไง เกาหลังให้แล้วร้องเพลงกล่อมไหมล่ะ”

   “ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นก็นอนเสีย อีกเดี๋ยวยาออกฤทธิ์ก็หลับเองแหละ”

   “อืม”


   นาคินส่งเสียงรับคำสั้นๆในลำคอ ก่อนจะนอนหลับตาอย่างที่อีกฝ่ายว่า แต่ผ่านไปชั่วอึดใจนาคินก็เผลอเปิดตาขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้สิ่งที่เขาพบเป็นดวงตาสีนิลใสราวกับลูกแก้ว ซึ่งเจ้าของดวงตาคู่นี้มองเขาอยู่ก่อนแล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่


   “จะอยู่เป็นเพื่อน รับรองว่าไม่ไปไหนหรอก หลับตานะ”


   ใช่แค่น้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยิน ทว่าแววตาของสนธยาก็ส่งผ่านความอบอุ่นมาโอบอุ้มร่างกายของคนฟัง ไม่ทันได้คิดว่าแววตาเช่นนี้ละม้ายคล้ายกับใครบางคนที่เขาฝันเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นาคินก็ผล่อยหลับไปเสียก่อน ทั้งยังไม่ฝันถึงเรื่องราวใดๆอีกตลอดทั้งค่ำคืน





‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧



หลังจากที่สับสนในตัวเอง ที่เคยบอกไว้ว่าจะลงทุกวันพุธ
ตอนที่แล้วกับตอนนี้ดันเปลี่ยนมาลงวันอังคารซะงั้น
แต่เอาเถอะค่ะ ต่อไปก็ประมาณอาทิตย์ละตอนไม่ขาดเหมือนเดิม
แต่จะลงวันไหนให้ถือเอาฤกษ์สะดวกเนอะ 55555

ตอนนี้ไม่มีผีนะ แต่มีตัวละครในอดีตเพิ่มมาอีกตัวหนึ่งแทน
เห็นหลายคนมาบอกว่าขอผ่านเรื่องนี้เพราะน่ากลัว
เค้าก็แอบเสียใจเล็กๆ แต่ไม่เป็นไร เราเข้าใจว่าคนเราชอบไม่เหมือนกัน
เอาไว้ฝนแต่งเรื่องรักใสๆไร้ผีอีกครั้งค่อยตามอ่านเรื่องถัดๆไปนั้นก็ได้

ส่วนใครที่ยังอ่านอยู่ ไม่ว่าคุณจะชอบ หรือเพราะคุณจิตแข็ง5555
ถ้ามีตรงไหนรู้สึกว่าแปลกๆ หรืออยากติติงอะไรก็คอมเม้นได้ตามสบายเลยนะจ้า
บางทีเราเขียนๆก็ไม่รู้ว่าตัวเองเขียนโอเคหรือเปล่า
ทุกคนอ่านแล้วเงียบกันไปหมด ไอ้เราก็ชักไม่มั่นใจ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันนะคะ
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

ละอองฝน
(๑๖/๐๖/๒๕๕๘ , ๒๒:๓๙)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เราชอบเรื่องนี้น่ะ และมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้น ติดจะเศร้ามากกว่า ยังคิดทุกครั้งที่อ่านคือ มันจะไปรักกันตอนไหนเนี่ย

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
สนุกนะ เเต่เราอ่านเเล้วหลอนหน่อยๆจริงๆอะ
ดีนะที่บ้านไม่ใช่บ้านทรงไทย เเถมเราก็เล่นดนตรีไทยไม่เป็น
ไม่งั้นมโนภาพนิจะหลอนหนักเลย


อ่านเเล้วยังจับทางไม่ถูกเลย
เหมือนเเม่เเก้วมาใหม่ในร่างคิน สินก็ได้เป็นสน
เเต่ตอนนั้นสินได้กับทับทิม เเก้วไม่สมหวัง
พอมาชาตินี้พอเห็นโอกาสว่าน่าจะมีหวังเลยให้คินได้รู้เรื่องเเต่ก่อน
หรือบางทีเเค่อยากให้รับรู้เฉยๆ งง
พ่อสินเเต่ก่อนนิหน้าหวานไหม หรือว่าเเค่นิสัยใจคอการกระทำคล้ายสน

รอๆๆ

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
เวลาที่ผู้ชายตัวโตๆ อย่างน่าคินขี้กลัวแบบนี้นี่น่าเอ็นดูจังเลยนะค้าา >.< สงสัยคงต้องรบกวนพี่สนมานอนเป็นเพื่อนน้องทุกคืนเสียแล้วล่ะค่ะ..เน้อ~

ออฟไลน์ IIIA

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
ไม่อยากบอกว่านี่อ่านไปสะดุ้งตามนาคินไป นี่อินจัดหรืออะไร 55555  :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เสียงลอย ๆ นี่คงเป็นแม่ทับทิม แล้วเงาที่ต้นแก้วก็คงเป็นแม่แก้ว หลอนสิคะงานนี้
พี่สนดูแลน้องคินดี๊ ดี

ออฟไลน์ p.spring

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 282
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
เราชอบแนวนี้มากกก เงาที่ต้องแก้วต้องเป็นแม่แก้วแน่ๆเลย

ออฟไลน์ Cream A

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
พอมีตัวละครใหม่เพิ่มเข้ามา ไม่กล้าเดาต่อไปแระ กลัวผิด :hao3:

แต่มาติดใจตรงที่ว่าน้องคินเนี่ยมองเหตุการณ์ด้วยการเป็นคนนอกหรือว่ามองผ่านร่างใคร

พี่สนดูแลน้องดีมากกก ชอบๆขอโมเม้นท์น่ารักแบบนี้อีกก

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1037
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
พี่สนดูแลคินดีมากๆ อยู่เป็นเพื่อนไม่ไปไหนด้วย
หรือเสียงที่พี่สนได้ยินคราวก่อนจะเป็นเสียงทับทิม
เดาไม่ออกเลยว่าพี่สนจะเป็นใครในชาติก่อน
แต่น่าจะเป็นคุณสินหรือเปล่า ไว้รอเฉลยในตอนต่อๆไป

 :mew1: :L2:

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
มันก็ไม่ได้น่ากลัวนะ อ่านแล้วลุ้นด้วยซ้ำ

สงสัยว่าทำไมต้องฝัน เกี่ยวข้องอะไรเหรอ หรือจะคือทับทิมชาติที่แล้ว

แต่ที่แน่ๆตอนนี้แม่แก้วโกรธแน่ ที่คุณสนมานอนเฝ้าไข้ กระแทกประตูซะแรงเชียว 55555

ออฟไลน์ Sugar_Halloween

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
นอนไม่หลับก็หากิจกรรมทำกันเลย ยุเต็มที่ คิกๆ  :-[
อารมณ์หวานในบรรยากาศหลอนๆ แต่ลุ้นดีอ่ะ

ออฟไลน์ little_nok

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-0
ยังสับสน ต่อไม่ค่อยติดเหมือนกันค่ะ
แต่ก็จะติดตามต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
คุณครูพี่สนใจดีมากกก

อยากอ่านต่อจัง

ออฟไลน์ aom2529

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 885
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0

ออฟไลน์ SiHong

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 484
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
ใครเป็นใครบ้างคะเนี่ย.....

ออฟไลน์ ขนมโก๋

  • เป็ดหัวเน่า
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
น่ากลัวที่ไหนค้าาาาาาาาาา. ลองไปอ่านเรื่อง อาจ..(ติ๊ดดดดดเซ็นเซอร์555)..ใหญ่. สิคะ หลอนกว่าเย้ออออออ อันนี้ดูนุ่มนวลดีออก

ออฟไลน์ chancha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
ชอบๆ ค่ะ รออ่านอยู่น้า

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2




๗.






   ตอนที่นาคินรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในยามเช้า ข้างกายของเขาก็ว่างเปล่าไร้เงาของคนที่นอนเฝ้าไข้เมื่อคืนเสียแล้ว ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาแขวนเห็นว่าสายมากแล้วจึงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาและจัดการทำธุระส่วนตัว ก่อนออกไปหาอาหารเช้าทาน บนบ้านเรือนไทยหลังใหญ่เงียบสนิทราวกับไม่มีใครอยู่นอกจากนาคินเพียงคนเดียว เขาจึงเดินลงไปที่เรือนทำครัว และที่นั่นนาคินก็ได้พบป้าปุกกับก้อยกำลังปอกฟักทอง ส่วนสาวนั่งอยู่บนกระต่ายเตรียมขูดมะพร้าว


   “ป้าปุกกับพวกพี่ๆอยู่กันที่นี่เอง ถึงว่าบนบ้านเงียบเชียว”

“ตายจริง! คุณคินลงมาได้ยังไงคะเนี่ย ป้าก็มัวแต่คุยกับแม่พวกนี้เพลิน ลืมขึ้นไปดูคุณคินเลย” หญิงชราวางมีดทิ้งฟักผุดลุกพรวด ก่อนจะเดินไปประคองให้นาคินมานั่งที่เก้าอี้ยาวด้วยกันราวกับชายหนุ่มเป็นคนป่วยอาการหนักก็ไม่ปาน

“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับป้า แค่เป็นไข้ ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วครับ”


นาคินตอบแทนความเป็นห่วงใยของป้าปุกด้วยรอยยิ้มแจ่มใส แม้ใบหน้าจะดูเซียวไปเล็กน้อย อีกทั้งเสียงยังคงแหบแห้งอยู่ แต่เมื่อป้าปุกเห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มเธอก็เบาใจลงไปได้มาก ก็เมื่อวานเธอเห็นคุณหนูสนร้อนใจเสียขนาดนั้น ร่ำๆว่าอาจจะต้องพากันไปโรงพยาบาล เธอเห็นก็อดไม่ได้ที่จะพลอยใจเสียไปด้วย


“ดีขึ้นก็ดีแล้วค่ะ แต่เสียงยังแหบๆอยู่เลย ประเดี๋ยวป้าให้แม่ก้อยทำน้ำผึ้งมะนาวอุ่นๆให้คุณคินจิบหลังทานข้าวดีกว่า”


ว่าแล้วป้าปุกก็หันไปสั่งให้สองสาวใช้วางมือจากงานแล้วจัดสำรับให้นาคิน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองดูความวุ่นวายเล็กๆที่เกิดขึ้นในครัวเพราะตัวเขา ในใจก็ยังอดรู้สึกเกรงใจไม่ได้ เขาเพียงมาอยู่ที่นี่ในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น แต่ทุกคนก็ดูแลและปฏิบัติต่อเขาดีเหลือเกิน


“ทานยาก่อนนะคะ” มืออูมวางถ้วยเล็กใส่ยาไว้ตรงหน้าชายหนุ่มพร้อมกับแก้วน้ำ แล้วว่าต่อ “คุณสนเธอเอามาฝากป้าไว้ตั้งแต่ก่อนออกไปเรียนน่ะค่ะ”

“เหรอครับ” แววตาคู่คมแสดงความประหลาดใจวูบหนึ่งก่อนเจ้าตัวจะยิ้มออกมาบางๆ

“เห็นเธอเงียบๆไม่ค่อยพูดค่อยจาแบบนั้น แต่คุณสนเธอจิตใจดีมากๆเลยนะคะ พอรู้ว่าคุณคินไม่สบาย เธอก็ร้อนใจน่าดู กำชับกำชาป้ากับพวกแม่สองคนนี้ให้หมั่นช่วยกันขึ้นไปดูอาการคุณคินแทนด้วยตอนเธอไม่อยู่ แต่ป้ามัวแต่ห่วงว่าจะทำขนมก็เลยลืมเวลาไปหน่อย”


นาคินเพียงฟังที่ป้าปุกเล่าแล้วยิ้มให้กับเรื่องเหล่านั้นเงียบๆ เพราะเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าสนธยาเป็นคนอย่างไร เห็นเก๊กท่าทำมึนตึงแบบนั้นแต่ก็แข็งนอกอ่อนใน หากจะบอกว่าเป็นประเภทซึนเดเระอย่างที่เขาเรียกกันก็คงไม่ผิดไปเท่าไหร่นัก


หมดจากเรื่องของสนธยา ป้าปุกแกก็คุยอะไรให้ฟังไปเรื่อยพร้อมกับทำขนมไม่ได้หยุดมือ ทานอาหารเช้าเสร็จนาคินก็อยู่นั่งดูแม่ครัวคนเก่งนึ่งฟักทองเพื่อเอามานวดผสมกับแป้งทำเม็ดบัวลอยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับขึ้นเรือนเพราะยาลดน้ำมูกที่ทานเริ่มออกฤทธิ์ให้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอน ทว่าก่อนจะล้มตัวนอนพักผ่อน นาคินก็ไม่ลืมที่จะโทรหาเพื่อนสนิทที่ทั้งโทรและส่งข้อความมาหาเขาตั้งแต่เมื่อวานเย็น รอสายไม่นาน ปลายสายก็กดรับพร้อมกับส่งเสียงโวยวายโหวกเหวก


‘ไอ้คุณนาคิน!! หายหัวไปไหนมา โทรไปไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่ตอบ นี่ว่าจะตามไปดูที่บ้านอยู่แล้วนะ’

“ใจเย็นไผ่ พอดีเราไม่สบาย” เสียงแหบที่ตอบกลับไปให้เพื่อนได้ยิน ทำให้อีกฝั่งลดดีกรีความเข้มข้นของอารมณ์หงุดหงิดปนโมโหลงไปมากโข

‘ก็เลยไม่ได้รับสายแล้วก็ไม่ได้ตอบไลน์งั้นสิ’

“อืม โทษทีนะ”

‘ไม่เป็นไรหรอก แต่คราวหลังจะหยุดก็โทรมาบอกกันบ้างสิ พวกเพื่อนเป็นห่วงนะเว้ย นี่โจ้มันก็เป็นห่วงคินจนแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยนะจะบอกให้’ นาคินรู้ว่าเพื่อนเป็นห่วง แต่ดูเหมือนต้นไผ่จะพูดเกินจริงไปนิดเพราะได้ยินเสียงโจ้แว่วๆมาตามสายบอกให้ต้นไผ่โม้น้อยๆลงหน่อย

“งั้นก็ฝากขอบใจโจ้มันด้วยแล้วกัน”

'จะคุยไหมล่ะ’ ต้นไผ่ว่า

“ไม่ล่ะ เราว่าจะนอนสักหน่อย กินยาเข้าไปแล้วง่วงสุดๆเลย”

‘เหรอ งั้นก็นอนเถอะ หายเร็วๆล่ะ’

“อื้ม ขอบใจนะ”


ขอบอกขอบใจกันเรียบร้อยนาคิดก็กดตัดสาย เขาวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนจากนั้นจึงเอนหลังลงให้หัวหนุนหมอน ตอนที่กำลังจะเคลิ้มหลับ นาคินมองไปที่หมอนอีกใบซึ่งวางไว้เคียงกันกับหมอนของเขา คิดไพล่ไปถึงเจ้าของดวงตาสุกสกาวกับคำพูดปลอบประโลม มันก็ทำให้ชายหนุ่มหลับไปด้วยความรู้สึกอุ่นใจ แม้ว่าเจ้าของคำพูดประโยคนั้นจะไม่อยู่ด้วยกันตอนนี้ก็ตามที


“จะอยู่เป็นเพื่อน รับรองว่าไม่ไปไหนหรอก หลับตานะ”









   เมื่อย่างเท้าก้าวแรกลงบนบันไดบ้าน สนธยาได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจของแม่บ้านสูงวัยกับเสียงพูดแหบๆของใครอีกคนดังแว่วมาตามลม พ้นซุ้มประตูบ้านเข้ามาบนชานเรือนสายตาก็สอดส่ายหาต้นเสียง แล้วสนธยาก็พบป้าปุกกับนาคินกำลังนั่งคุยกันอย่างออกรสชาติอยู่ที่ศาลาหอนกจริงๆ ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่บรรยากาศที่ห้อมล้อมอยู่ก็ให้ความรู้สึกสดใส สนุกสนาน และดูสนิทใจมากๆ


   อันที่จริงนายนาคินคนนี้ก็ถือว่าต่างจากคนวัยเดียวกันอยู่พอสมควร เพราะตามปรกติชายหนุ่มวัยนี้จะไม่ค่อยคลุกคลีกับผู้ใหญ่สักเท่าไหร่ ที่เห็นก็มักจะติดเพื่อน ติดโซเชียลเสียมากกว่า แต่นาคินกลับไม่ใช่แบบนั้น พ่อของเขาก็มักจะชวนนาคินคุยโน้นคุยนี่ด้วยกันประจำ แม้แต่กับลุงเสริมก็เห็นคุยเรื่องรถด้วยกันบ่อยๆ แล้วนี่ยังจะป้าปุกอีกคน แม้สนธยาจะรู้สึกหมั่นไส้นิดๆ แต่ว่าเด็กที่รู้จักเข้าหาผู้ใหญ่และไม่สร้างปัญหาแบบนี้ก็ถือว่าดีไม่น้อย


   จะมีเรื่องที่ขัดใจนิดหน่อยก็ตรงที่นาคินมักจะทำตัวกวนประสาทกับเขา แรกๆก็นึกว่าคิดไปเองคนเดียว หากแต่สายตาระยับที่เจ้าตัวมักจะแสดงออกมายามอยู่กับเขาลำพังสองคน มันยั่วเย้า ล้อเลียนแฝงไปด้วยความสนุกสนานยามเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มสติแตกที่ถูกล้อ อีกทั้งคำเรียกนำหน้าชื่อว่าพี่สน ก็จะเรียกเฉพาะอยู่ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น มันชี้ให้เห็นชัดเจนว่านายนาคินปฏิบัติต่อเขาต่างจากคนอื่นๆ แม้ว่าเขาจะอายุห่างกับเจ้าตัวแค่ปีเดียว หากนั้นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะเรียกชื่อด้วยความสนิทสนมตั้งแต่แรกเริ่มเสียหน่อย คิดถึงตรงนี้สนธยาก็อดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้จริงๆ


   ขณะที่สนธยายืนใจลอยตีหน้ายุ่งคิดอะไรในหัวอยู่คนเดียวหน้าซุ้มประตูเรือน นาคินที่เพิ่งเล่าวีรกรรมของตัวเองตอนเด็กๆให้ป้าปุกฟังก็สังเกตเห็นชายหนุ่มเข้า เขาเงียบเสียงเล่าเรื่อง ก่อนจะส่งเสียงอีกครั้งเพื่อเรียกลูกชายคนโตของเจ้าบ้าน


   “กลับมาแล้วเหรอครับพี่สน”

   “อ้าว! คุณสน กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ป้าไม่ได้ยินเสียงรถเลย” เสียงทักทายกับสายตาของนาคินทำให้ป้าปุกหยุดหัวเราะและหันไปหาร่างของชายหนุ่มอีกคน

   “เพิ่งมาถึงครับ” สนธยาดึงความคิดของตัวเองกลับมาและตอบคำถามป้าปุกเรียบๆ

   “เพิ่งถึงเหนื่อยๆ มานั่งนี่เถอะค่ะ เดี๋ยวป้าจะลงไปเตรียมขนมมาให้ วันนี้ป้าทำบัวลอยฟักทองไข่หวานของโปรดคุณสนด้วยนะคะ” ป้าปุกบอกคุณหนูคนโตของเธออย่างเอาใจ

   “ขอบคุณครับ” สนธยาเดินไปนั่งที่หอนกอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อร่างโปร่งบางนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ป้าปุกก็ขอตัวเดินลงจากเรือนเพื่อไปเตรียมน้ำเตรียมขนมให้


   บรรยากาศที่มีเสียงพูดคุยกับเสียงหัวเราะเมื่อครู่เงียบเหงาลงไปทันตาเมื่อเรือนไทยกว้างใหญ่เหลือแค่นาคินกับสนธยาสองคน สนธยาแสร้งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อยด้วยไม่รู้จะชวนคุยอะไร ผ่านไปสักครู่ก้อยก็เป็นคนยกน้ำเย็นกับขนมหวานถ้วยหนึ่งใส่ถาดมาให้สนธยาบนเรือน พร้อมกับบอกว่าป้าปุกจะเริ่มเตรียมอาหารเย็นแล้ว ให้คุณสนทานขนมรองท้องไปก่อน จากนั้นเธอก็ถอยลงจากเรือน ก่อนที่บนเรือนจะกลับมาเงียบอีกครั้ง เสียงแหบๆของนาคินก็เอ่ยขึ้น


   “ทานขนมด้วยกันสิครับ” ไม่ว่าเปล่ามือหนายังใช้ช้อนตักเม็ดบัวลอยสีเหลืองอ่อนในถ้วยของตัวเองขึ้น ทำท่าเหมือนจะตักขึ้นป้อนคนที่นั่งตรงข้ามอย่างไรอย่างนั้น

   “ไม่เอา” สนธยาจึงรีบปฏิเสธทันควัน

   “ไม่ชอบของหวานเหรอ แต่เมื่อกี้เห็นป้าปุกบอกว่าสนชอบบัวลอยนี่นา”

   “ไม่ใช่ไม่ชอบ”

   “แล้วทำไมไม่กินล่ะ”

   “ถ้าจะกินก็ตักเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาป้อน” มือเขาไม่ได้เสียสักหน่อย ขนมแค่นี้ก็ตักได้เองหรอก สนธยาได้แต่คิดต่อในใจ

   “หึๆ” นาคินอมยิ้มก่อนหลุดหัวเราะเบาๆ

   “หัวเราะอะไร” สนธยาถามด้วยความไม่เข้าใจ

   “สนคิดว่าผมจะป้อนเหรอ”

   “ห๊ะ?...เอ่อ…ปะ..เปล่าสักหน่อย ก็เห็นนายยกช้อนยื่นมาทางนี้…หึ้ย! ช่างเถอะ” ขัดใจอย่างที่สุดแต่ก็รู้ว่าแก้ตัวไปไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา จึงได้แต่ทำท่าฮึดฮัดขัดใจ

   “ผมแค่จะชวนเฉยๆนะ ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด แต่ถ้าสนอยากให้ป้อนก็ได้ ผมน่ะไม่มีปัญหาหรอก” ได้ทีคนช่างกวนก็เย้าไม่เลิก

   “ไม่จำเป็น” ตอบเสียงกระด้างก่อนจะคว้าแก้วน้ำเย็นขึ้นมาจิบแก้กระอักกระอ่วน


นาคินมองตามคิ้วเข้มที่ขมวดแสดงถึงความไม่พอใจ ก่อนสายตาจะพลันไปสะดุดเห็นว่าที่กกหูอีกฝ่ายขึ้นสีแดงก่ำ นั่นจึงทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเขินแค่ไหนที่เข้าใจผิดไปเอง


   “งั้นก็ลองกินดูสิครับ ผมเพิ่งเคยชิมบัวลอยฟักทองสูตรของป้าปุก อร่อยมากเลยเนอะ”

   “นายนี่เซ้าซี้จริง ถ้าฉันจะกิน ฉันก็จัดการเองแหละ พูดมากน่ารำคาญ” พูดจบดวงหน้าติดหวานก็เบือนไปด้านข้างไม่มองหน้าคนตรงข้ามตัดรำคาญ พอโดนคะยั้นคะยอมากๆเข้าสนธยาก็ชักจะเริ่มรำคาญ ไม่รู้ทำไมต้องวุ่นวายกับเขานัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหวังดีหรืออยากจะหาเรื่องแกล้งอะไรเขาอีก


   ทว่าผ่านไปสักพัก คนนั่งตรงข้ามก็ไม่ได้ส่งเสียงพูดอะไรให้เขารำคาญอีก สนธยาได้ยินแค่เสียงช้อนกระทบถ้วยแก้วเป็นช่วงๆเท่านั้น แล้วความอึดอัดที่ไม่รู้มาจากไหนเริ่มขยายตัวใหญ่มากขึ้น เมื่อใช้หางตาเหลือบมองแล้วเห็นว่าเจ้าคนชอบกวนประสาทก้มหน้าก้มตาอยู่กับถ้วยบัวลอย ทำท่าทางหางลู่หูตกราวกับลูกหมาถูกเจ้าของดุก็ไม่ปาน


   ร่างบางขยับไปมานิดๆบนที่นั่งของตนเอง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่เดินหนีเข้าห้องไปเสีย ทำไมต้องเลือกที่จะนั่งเผชิญหน้าอยู่เช่นนี้ก็ไม่รู้ สุดท้ายคนที่มักจะนิ่งอยู่เป็นนิจก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว แสร้งกระแอมในคอแล้วส่งเสียงออกไปก่อน เนื่องจากคิดว่าเขาผิดที่พูดว่ารำคาญ มันคงเป็นคำพูดที่แรงเกินไป เพราะถึงแม้ว่าจะรำคาญจริงๆแต่นาคินก็คงไม่ได้ตั้งใจแกล้งหรืออยากให้เขารู้สึกแบบนั้น


   “แล้วนี่เป็นยังไง ดีขึ้นบ้างหรือยัง” สนธยาหวังว่าตัวเองจะได้ยิน ว่าอีกฝ่ายบอกเกี่ยวกับอาการเจ็บไข้ที่เป็นอยู่ ทว่าเขากลับคิดผิด เพราะเมื่อนาคินเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ภาพเจ้าหมาถูกดุก็สลายหายไปในพริบตา

   “สนเป็นห่วงผมเหรอครับ”

   “ฉันห่วงว่าตัวเองต้องได้ไปนอนเฝ้าไข้นายอีกต่างหากถ้าคืนนี้ยังไม่ดีขึ้น แต่ดูจากอาการตอนนี้คิดว่าคงไม่ต้องถามแล้วล่ะใช่ไหม”

   “โถ่ ไอ้เราก็คิดว่าเป็นห่วงเสียอีก”

   “ฮึ” ร่างบางเค้นเสียงในลำคอกับน้ำเสียงผิดหวังปลอมๆนั่นไปทีหนึ่ง

   “ความจริงก็ดีขึ้นแล้วล่ะครับ แต่ไม่รู้ว่าคืนนี้ไข้จะขึ้นอีกหรือเปล่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากรบกวนให้คนใจดีมานอนเฝ้าอีก” คราวนี้นาคินเปลี่ยนจากน้ำเสียงผิดหวังปลอมๆมาเป็นเสียงออดอ้อนแบบที่คนฟังต้องแอบลูบแขนเพราะรู้สึกจั๊กจี้

   “เลิกพูดจาแบบนั้นเสียทีเถอะ ไม่ขนลุกบ้างหรือไง”

   “ก็นิดนึง ฮ่าๆๆ” คนตัวโตว่าพลางหัวเราะ ก่อนจะหันมาบอกด้วยท่าทางจริงจังกว่าเก่า ราวกับคนละคน “แต่อยากให้มานอนด้วยอีกจริงๆนะครับ”

   “เหตุผลล่ะ” เมื่อถามถึงเหตุผล สนธยาก็เห็นว่าหน่วยตาสีน้ำตาลเข้มนั้นวูบไหวทีหนึ่ง ในนั้นฉายความรู้สึกบางอย่างออกมาจางๆ แต่สนธยาก็ยังรู้สึกได้


   มันต้องมีเหตุผลอะไรนอกเหนือจากอาการเจ็บป่วยทางร่างกายแฝงอยู่ เหตุผลที่เขาบอกไมได้ว่ามันคืออะไร แต่เมื่อคิดถึงแววตาหวาดระแวงของคนป่วยเมื่อคืนกับตอนที่บอกประโยคเมื่อกี้ สนธยาคิดว่าบางทีมันอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ก็เป็นได้


   “ไว้ผมจะบอกคืนนี้ตอนสนมาหานะ” พอพูดจบ นาคินก็ผุดลุกขึ้น จากนั้นก็เดินออกจากหอนกไป แต่ยังไม่วายทิ้งท้ายเตือนให้สนธยาทานบัวลอยของป้าปุกด้วย

   “มัดมือชก เอาความมั่นใจมาจากไหนว่าคนเขาจะไปหา” ได้แต่พึมพำกับตัวเองเพราะคนที่อยากให้ฟังดันไม่อยู่แล้ว











ก๊อก ก๊อก!


   เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งก่อนจะหยุดไปเพราะนาคินรีบพุ่งไปที่ต้นเสียงอย่างรวดเร็ว แล้วเปิดบานประตูต้อนรับใครบางคนที่ยืนรออยู่ด้านนอกด้วยชุดนอนเต็มยศ เจ้าของห้องยิ้มกว้างที่เห็นว่าครูสอนดนตรีของเขายอมมาหาจริงๆ ก่อนจะหลีกไปด้านข้างให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้อง


   วันนี้ตอนเวลาอาหารเย็นมัทนาได้กลับมาทานด้วย นาคินจึงไม่ได้พูดอะไรกับสนธยาเรื่องขอให้มาค้างที่ห้องอีก ทีแรกก็ใจตุ้มๆต่อมๆอยู่เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะยอมเขาไหม แต่ตอนนี้ก็มั่นใจได้แล้วว่าคุณครูพี่สนของนาคินน่ะ เป็นคนใจดีจริงๆ


   สนธยาเดินไปหยุดที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนจะนั่งคร่อมโดยหันหน้ามาทางนาคินที่เดินไปนั่งบนเตียง ทั้งสองจ้องตากันท่ามกลางความเงียบอยู่ครู่ใหญ่ นาคินจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน


   “เอ่อ…นึกว่าสนจะไม่มา”

   “ก็ว่าจะไม่มา” ตอนแรกสนธยาคิดจะไม่มาจริงๆอย่างปากว่า

   “แล้วทำไมถึง…” ถามยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ตอบออกมาเสียก่อน

   “ก็เห็นนายท่าทางไม่ดีเท่าไหร่ก็เลยมา มันไม่ได้มีอะไรเสียหายสักหน่อยจริงไหม อีกอย่างก็สงสัยด้วย”

   “สงสัยเรื่องอะไรครับ”

   “ก็…จะพูดยังไงดี คือฉันรู้สึกว่านายแปลกๆ เหมือนกลัวอะไรสักอย่างเมื่อคืน แต่ตอนแรกก็คิดว่าแค่ขวัญอ่อนเพราะเป็นไข้ แต่เมื่อบ่าย ที่นายบอกว่าอยากให้ฉันมานอนเป็นเพื่อน ฉันรู้สึกว่านายยังกลัวอยู่”

   “สนรู้สึกเหรอ” คนตัวโตถามด้วยความแปลกใจนิดหน่อย เขาไม่คิดว่าเมื่อบ่ายเขาจะยังแสดงท่าทางเหมือนเมื่อคืนอยู่

   “อืม”


   นาคินเงียบเสียงลง ไม่พูด ไม่โต้ตอบ ไม่บอกอะไร เขากำลังคิด คิดว่าจะบอกเรื่องแปลกๆที่เขาเจอมาตลอดหลายเดือนให้สนธยาฟังดีไหม เจ้าตัวจะคิดว่าเขาบ้าหรือเปล่า เรื่องแบบนี้ใช่ว่าบอกไปใครจะเชื่อง่ายๆ แต่ถ้าไม่บอกมันก็อึดอัด เพราะตอนนี้ความฝันเหล่านั้น รวมทั้งเรื่องประหลาดที่พบเจอยามตื่นมีสติ เริ่มจะมีผลกระทบกับร่างกายของเขามากขึ้นทุกที


   เขาเริ่มกังวลใจจนไม่เป็นอันพักผ่อน พอได้นอนก็ฝันอยู่ประหลาดอยู่แทบทุกคืน ฝันติดต่อกันยาวนานจนล้มป่วยอย่างที่เห็น จะมีก็เมื่อคืนที่สนธยามานอนด้วยแล้วได้นอนจริงๆ ไม่ฝันประหลาด หลับสนิทเต็มอิ่มไปจนถึงเช้า


แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าคิดในอีกแง่ เขากับสนธยาสนิทกันพอที่จะให้รับรู้เรื่องนี้หรือยัง แม้นาคินจะอยากทำความรู้จักและสนิทกับสนธยาเร็วๆแค่ไหน แต่เจ้าตัวก็ยังดูเหมือนไม่อยากเสวนากับเขาเท่าไหร่เลย ซ้ำเรื่องนี้ยังเป็นปัญหาของเขา ปัญหาที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาบ้าไปเองหรือเปล่า จะเล่าออกมาให้คนอื่นเก็บไปคิดมากด้วยก็เห็นจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก

“ว่ายังไง จะบอกได้หรือยัง” พอเห็นว่าเจ้าหมาตัวโตนั่งทำหน้าครุ่นคิดนิ่งเงียบเนิ่นนานซึ่งไม่เหมาะกับบุคลิกเอาเสียเลย สนธยาจึงเอ่ยกระตุ้น

“ความจริงผมแค่ไม่ชอบนอนคนเดียวน่ะ” นาคินตัดสินใจพูดปดออกไปคำโต

“ไม่ชอบนอนคนเดียว?” เมื่อเห็นคนหน้าหวานทำท่าเหมือนจะไม่เชื่อ นาคินก็รีบสร้างคำโกหกขึ้นมาอีกหลายประโยค

“ใช่ ความจริงผมนอนคนเดียวไม่ได้ ตอนอยู่บ้านที่กาฬสินธุ์ผมนอนกับน้องๆตลอด แต่มาอยู่นี่กลับต้องนอนคนเดียว บ้านก็เป็นบ้านทรงไทย บรรยากาศตอนกลางคืนน่ากลัวออก ผมก็เลยนอนไม่หลับมานานแล้ว อาการเรื้อรังน่ะครับ สะสมจนป่วยนี่แหละ”


ได้ยินคำอธิบายยาวๆนั่น สนธยาก็เริ่มคิดปะติดปะต่อ อาจจะจริงอย่างที่ว่า เพราะหลังๆมานี่เขาเห็นว่านาคินดูโทรมลงๆ หน้าตาไม่แจ่มใสเหมือนเมื่อตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆเลย แต่จะให้แก้ปัญหาอย่างไรล่ะ โตจนป่านนี้นอนคนเดียวไม่ได้ ไอ้ความเห็นใจก็มีให้อยู่หรอก แต่จะให้เขาที่มีโลกส่วนตัวสูง ย้ายสำมะโนครัวมานอนที่ห้องนี้จนกว่านาคินเรียนจบน่ะหรือ ไม่มีทางเสียล่ะ


“คืนนี้ฉันก็พอจะนอนเป็นเพื่อนนายได้อยู่หรอก เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะคอยดูเผื่อไข้ขึ้น นี่ถือเป็นกรณีพิเศษ แต่ต่อไปคงไม่ได้หรอกนะ”

“ผมเข้าใจครับ” ดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มสลดวูบลงเมื่อได้ยิน ทำเอาสนธยารู้สึกผิดนิดๆ แต่ความจริงแล้วที่มันเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะสนธยาไม่มานอนด้วย แต่นาคินรู้สึกผิดที่ต้องโกหกออกไปทั้งที่สนธยามีน้ำใจให้เขาขนาดนี้

“แต่ความจริงนายควรจะทำตัวให้ชินนะ ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด รับประกันได้เลยว่าไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ถึงบ้านหลังนี้จะเป็นบ้านเก่า บรรยากาศชวนขนหัวลุก แต่มันไม่มีอะไรจริงๆ เพราะถ้ามีฉันก็ต้องเคยเจอแล้วสิ” สนธยาลดความกระด้างในการพูดลง เสียงของเขาจึงนุ่มน่าฟัง และคำพูดธรรมดาเหล่านั้นก็ทำให้คนฟังอุ่นใจขึ้นมาก

“ผมจะพยายามครับ” พยายามคิดว่าความฝันกับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อน่ะนะ นาคินทำได้แค่คิดแต่ไม่ได้พูดออกไป

“ดีแล้วล่ะ ถ้ากลัวมากๆจะเปิดไฟนอนก็ได้ พ่อคงไม่ว่าอะไรเรื่องค่าไฟที่เพิ่มขึ้นหรอก เพราะยังไงห้องนายก็ไม่มีแอร์” ไม่รู้ว่าคนพูดจงใจเล่นมุกหน้าตายหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจากนาคินหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อยทั้งๆที่มีเรื่องให้กังวลใจอยู่ในหัว

“ขอบคุณนะสน”

“ขอบคุณทำไม”

“ขอบคุณที่ดูแล แล้วก็ทำให้สบายใจขึ้นมากๆเลยล่ะ” ได้คุยกับสนธยา นาคินรู้สึกสบายใจขึ้นมากจริงๆ แม้จะไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดก็ตาม

“ฉันทำเพราะพ่อนายฝากไว้ต่างหาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องขอบคุณหรอก” คนพูด พูดทั้งๆที่เริ่มรู้สึกคันยุบยิบที่แก้มสองข้าง เจ้าตัวจึงรีบกลบเกลื่อนโดยการลุกขึ้น และเดินไปที่เตียงอีกฝั่ง

“ถึงยังไงก็ขอบคุณนะครับ”

“อืม” เจ้าของใบหน้าเรียบๆติดหวานพยักหน้ารับส่งๆ ก่อนถาม “นี่กินยาก่อนนอนแล้วใช่ไหม”

“เรียบร้อยแล้วครับ”

“นายจะทำอะไรอีกหรือเปล่า”

“ไม่ล่ะครับ สนมีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า แค่คิดว่าถ้าไม่ทำอะไรก็ควรจะนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ถ้าไม่ได้เป็นอะไรมากจะได้ไปเรียน หยุดมาสองวันแล้วนี่”

“นั่นสิ หยุดอยู่บ้านคนเดียววันนี้ เบื่อสุดๆเลย”


สนธยาส่ายหัวเบาๆกับคำบ่นกระปอดกระแปดของคนข้างๆ มือสองข้างพลางตบหมอนให้ฟูไปด้วย ก่อนนั่งทับส้นเรียบร้อยแล้วเริ่มสวดมนต์ เมื่อนาคินเห็นดังนั้นจึงทำตามบ้าง ทันทีที่สวดมนต์เสร็จทั้งคู่ เจ้าของห้องก็เอื้อมมือไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอน


เสียงใบพัดลมทองเหลืองหมุนในอากาศไม่ดังนัก ผนวกกับเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนข้างๆ มันชวนให้นาคินรู้สึกง่วงนอนได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่เมื่อกลางวันก็นอนเยอะเสียจนกังวลว่าคืนนี้จะนอนหลับหรือเปล่า


ก่อนหลับตา นาคินพลิกตัวหันไปกอดหมอนข้างที่คั่นกลางระหว่างตัวเขาและสนธยาเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองใบหน้าของคนที่หลับตาอยู่ไม่ไกล แล้วก็เผลอคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แต่ความคิดนั้นกลับเปล่งออกมาเป็นเสียงโดยที่นาคินไม่รู้ตัว เสียงที่ทำให้คนซึ่งยังไม่หลับได้ยินมันครบทุกคำ



“นอกจากตอนเด็กๆแล้ว เราเคยเจอกันมาก่อนหน้านั้นหรือเปล่านะพี่สน…”







‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧




แอบลงเงียบๆ แบบว่าหายไปนานจนคนอ่านจำหน้า จำเนื้อเรื่องไม่ได้
ต้องขอโทษด้วยที่ให้รอนะคะ
จะชดเชยด้วยการมาลงบ่อยๆ

ว่าด้วยเนื้อเรื่องตอนนี้
ออกจะเบาๆ คุยกันใสๆ เริ่มเปิดใจนิดๆ
ผีเผออะไรนาคินไม่รู้จัก จำไม่ได้ จำได้แต่พี่สนคนใจดี 55555
ช่วงนี้ก็จะเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ของสองคนไปเรื่อยๆก่อน
ถือว่าเอาพี่สนมาเป็นยันต์กันผีแล้วกันน้า
ส่วนปริศนาต่างๆ ค่อยลุ้นไปเรื่อยๆแล้วกันเนอะ อิอิ

ชอบไม่ชอบบอกได้ค่ะ
ฝนจะได้แก้ไขต่อไป
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
เจอกันตอนหน้าค่ะ

ละอองฝน

[๒๓:๓๕ , ๒๗/๐๗/๕๘]

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
แอบลุ้นให้นาคินเล่าเรื่องทั้งหมดให้สนฟังนะเนี่ย จะได้ช่วยกันสืบ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
อ่านจนลืมไปเเล้วฮะ จิ้มก่อน

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
ลุ้นให้นาคินเล่าให้พี่สนฟัง เผื่อมีรูปเก่าๆเก็บไว้อยู่ ^^

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
หลังจากวันนี้ก็ต้องนอนคนเดียวแล้วนะคะคิน ไม่ยอมเล่าความจริงให้พี่สนฟังแบบนี้จะดี
เหรอค้าา~ :try2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด