๗.
ตอนที่นาคินรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในยามเช้า ข้างกายของเขาก็ว่างเปล่าไร้เงาของคนที่นอนเฝ้าไข้เมื่อคืนเสียแล้ว ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาแขวนเห็นว่าสายมากแล้วจึงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาและจัดการทำธุระส่วนตัว ก่อนออกไปหาอาหารเช้าทาน บนบ้านเรือนไทยหลังใหญ่เงียบสนิทราวกับไม่มีใครอยู่นอกจากนาคินเพียงคนเดียว เขาจึงเดินลงไปที่เรือนทำครัว และที่นั่นนาคินก็ได้พบป้าปุกกับก้อยกำลังปอกฟักทอง ส่วนสาวนั่งอยู่บนกระต่ายเตรียมขูดมะพร้าว
“ป้าปุกกับพวกพี่ๆอยู่กันที่นี่เอง ถึงว่าบนบ้านเงียบเชียว”
“ตายจริง! คุณคินลงมาได้ยังไงคะเนี่ย ป้าก็มัวแต่คุยกับแม่พวกนี้เพลิน ลืมขึ้นไปดูคุณคินเลย” หญิงชราวางมีดทิ้งฟักผุดลุกพรวด ก่อนจะเดินไปประคองให้นาคินมานั่งที่เก้าอี้ยาวด้วยกันราวกับชายหนุ่มเป็นคนป่วยอาการหนักก็ไม่ปาน
“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับป้า แค่เป็นไข้ ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วครับ”
นาคินตอบแทนความเป็นห่วงใยของป้าปุกด้วยรอยยิ้มแจ่มใส แม้ใบหน้าจะดูเซียวไปเล็กน้อย อีกทั้งเสียงยังคงแหบแห้งอยู่ แต่เมื่อป้าปุกเห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มเธอก็เบาใจลงไปได้มาก ก็เมื่อวานเธอเห็นคุณหนูสนร้อนใจเสียขนาดนั้น ร่ำๆว่าอาจจะต้องพากันไปโรงพยาบาล เธอเห็นก็อดไม่ได้ที่จะพลอยใจเสียไปด้วย
“ดีขึ้นก็ดีแล้วค่ะ แต่เสียงยังแหบๆอยู่เลย ประเดี๋ยวป้าให้แม่ก้อยทำน้ำผึ้งมะนาวอุ่นๆให้คุณคินจิบหลังทานข้าวดีกว่า”
ว่าแล้วป้าปุกก็หันไปสั่งให้สองสาวใช้วางมือจากงานแล้วจัดสำรับให้นาคิน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองดูความวุ่นวายเล็กๆที่เกิดขึ้นในครัวเพราะตัวเขา ในใจก็ยังอดรู้สึกเกรงใจไม่ได้ เขาเพียงมาอยู่ที่นี่ในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น แต่ทุกคนก็ดูแลและปฏิบัติต่อเขาดีเหลือเกิน
“ทานยาก่อนนะคะ” มืออูมวางถ้วยเล็กใส่ยาไว้ตรงหน้าชายหนุ่มพร้อมกับแก้วน้ำ แล้วว่าต่อ “คุณสนเธอเอามาฝากป้าไว้ตั้งแต่ก่อนออกไปเรียนน่ะค่ะ”
“เหรอครับ” แววตาคู่คมแสดงความประหลาดใจวูบหนึ่งก่อนเจ้าตัวจะยิ้มออกมาบางๆ
“เห็นเธอเงียบๆไม่ค่อยพูดค่อยจาแบบนั้น แต่คุณสนเธอจิตใจดีมากๆเลยนะคะ พอรู้ว่าคุณคินไม่สบาย เธอก็ร้อนใจน่าดู กำชับกำชาป้ากับพวกแม่สองคนนี้ให้หมั่นช่วยกันขึ้นไปดูอาการคุณคินแทนด้วยตอนเธอไม่อยู่ แต่ป้ามัวแต่ห่วงว่าจะทำขนมก็เลยลืมเวลาไปหน่อย”
นาคินเพียงฟังที่ป้าปุกเล่าแล้วยิ้มให้กับเรื่องเหล่านั้นเงียบๆ เพราะเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าสนธยาเป็นคนอย่างไร เห็นเก๊กท่าทำมึนตึงแบบนั้นแต่ก็แข็งนอกอ่อนใน หากจะบอกว่าเป็นประเภทซึนเดเระอย่างที่เขาเรียกกันก็คงไม่ผิดไปเท่าไหร่นัก
หมดจากเรื่องของสนธยา ป้าปุกแกก็คุยอะไรให้ฟังไปเรื่อยพร้อมกับทำขนมไม่ได้หยุดมือ ทานอาหารเช้าเสร็จนาคินก็อยู่นั่งดูแม่ครัวคนเก่งนึ่งฟักทองเพื่อเอามานวดผสมกับแป้งทำเม็ดบัวลอยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับขึ้นเรือนเพราะยาลดน้ำมูกที่ทานเริ่มออกฤทธิ์ให้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอน ทว่าก่อนจะล้มตัวนอนพักผ่อน นาคินก็ไม่ลืมที่จะโทรหาเพื่อนสนิทที่ทั้งโทรและส่งข้อความมาหาเขาตั้งแต่เมื่อวานเย็น รอสายไม่นาน ปลายสายก็กดรับพร้อมกับส่งเสียงโวยวายโหวกเหวก
‘ไอ้คุณนาคิน!! หายหัวไปไหนมา โทรไปไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่ตอบ นี่ว่าจะตามไปดูที่บ้านอยู่แล้วนะ’
“ใจเย็นไผ่ พอดีเราไม่สบาย” เสียงแหบที่ตอบกลับไปให้เพื่อนได้ยิน ทำให้อีกฝั่งลดดีกรีความเข้มข้นของอารมณ์หงุดหงิดปนโมโหลงไปมากโข
‘ก็เลยไม่ได้รับสายแล้วก็ไม่ได้ตอบไลน์งั้นสิ’
“อืม โทษทีนะ”
‘ไม่เป็นไรหรอก แต่คราวหลังจะหยุดก็โทรมาบอกกันบ้างสิ พวกเพื่อนเป็นห่วงนะเว้ย นี่โจ้มันก็เป็นห่วงคินจนแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยนะจะบอกให้’ นาคินรู้ว่าเพื่อนเป็นห่วง แต่ดูเหมือนต้นไผ่จะพูดเกินจริงไปนิดเพราะได้ยินเสียงโจ้แว่วๆมาตามสายบอกให้ต้นไผ่โม้น้อยๆลงหน่อย
“งั้นก็ฝากขอบใจโจ้มันด้วยแล้วกัน”
'จะคุยไหมล่ะ’ ต้นไผ่ว่า
“ไม่ล่ะ เราว่าจะนอนสักหน่อย กินยาเข้าไปแล้วง่วงสุดๆเลย”
‘เหรอ งั้นก็นอนเถอะ หายเร็วๆล่ะ’
“อื้ม ขอบใจนะ”
ขอบอกขอบใจกันเรียบร้อยนาคิดก็กดตัดสาย เขาวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนจากนั้นจึงเอนหลังลงให้หัวหนุนหมอน ตอนที่กำลังจะเคลิ้มหลับ นาคินมองไปที่หมอนอีกใบซึ่งวางไว้เคียงกันกับหมอนของเขา คิดไพล่ไปถึงเจ้าของดวงตาสุกสกาวกับคำพูดปลอบประโลม มันก็ทำให้ชายหนุ่มหลับไปด้วยความรู้สึกอุ่นใจ แม้ว่าเจ้าของคำพูดประโยคนั้นจะไม่อยู่ด้วยกันตอนนี้ก็ตามที
“จะอยู่เป็นเพื่อน รับรองว่าไม่ไปไหนหรอก หลับตานะ”
เมื่อย่างเท้าก้าวแรกลงบนบันไดบ้าน สนธยาได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจของแม่บ้านสูงวัยกับเสียงพูดแหบๆของใครอีกคนดังแว่วมาตามลม พ้นซุ้มประตูบ้านเข้ามาบนชานเรือนสายตาก็สอดส่ายหาต้นเสียง แล้วสนธยาก็พบป้าปุกกับนาคินกำลังนั่งคุยกันอย่างออกรสชาติอยู่ที่ศาลาหอนกจริงๆ ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่บรรยากาศที่ห้อมล้อมอยู่ก็ให้ความรู้สึกสดใส สนุกสนาน และดูสนิทใจมากๆ
อันที่จริงนายนาคินคนนี้ก็ถือว่าต่างจากคนวัยเดียวกันอยู่พอสมควร เพราะตามปรกติชายหนุ่มวัยนี้จะไม่ค่อยคลุกคลีกับผู้ใหญ่สักเท่าไหร่ ที่เห็นก็มักจะติดเพื่อน ติดโซเชียลเสียมากกว่า แต่นาคินกลับไม่ใช่แบบนั้น พ่อของเขาก็มักจะชวนนาคินคุยโน้นคุยนี่ด้วยกันประจำ แม้แต่กับลุงเสริมก็เห็นคุยเรื่องรถด้วยกันบ่อยๆ แล้วนี่ยังจะป้าปุกอีกคน แม้สนธยาจะรู้สึกหมั่นไส้นิดๆ แต่ว่าเด็กที่รู้จักเข้าหาผู้ใหญ่และไม่สร้างปัญหาแบบนี้ก็ถือว่าดีไม่น้อย
จะมีเรื่องที่ขัดใจนิดหน่อยก็ตรงที่นาคินมักจะทำตัวกวนประสาทกับเขา แรกๆก็นึกว่าคิดไปเองคนเดียว หากแต่สายตาระยับที่เจ้าตัวมักจะแสดงออกมายามอยู่กับเขาลำพังสองคน มันยั่วเย้า ล้อเลียนแฝงไปด้วยความสนุกสนานยามเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มสติแตกที่ถูกล้อ อีกทั้งคำเรียกนำหน้าชื่อว่าพี่สน ก็จะเรียกเฉพาะอยู่ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น มันชี้ให้เห็นชัดเจนว่านายนาคินปฏิบัติต่อเขาต่างจากคนอื่นๆ แม้ว่าเขาจะอายุห่างกับเจ้าตัวแค่ปีเดียว หากนั้นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะเรียกชื่อด้วยความสนิทสนมตั้งแต่แรกเริ่มเสียหน่อย คิดถึงตรงนี้สนธยาก็อดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้จริงๆ
ขณะที่สนธยายืนใจลอยตีหน้ายุ่งคิดอะไรในหัวอยู่คนเดียวหน้าซุ้มประตูเรือน นาคินที่เพิ่งเล่าวีรกรรมของตัวเองตอนเด็กๆให้ป้าปุกฟังก็สังเกตเห็นชายหนุ่มเข้า เขาเงียบเสียงเล่าเรื่อง ก่อนจะส่งเสียงอีกครั้งเพื่อเรียกลูกชายคนโตของเจ้าบ้าน
“กลับมาแล้วเหรอครับพี่สน”
“อ้าว! คุณสน กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ป้าไม่ได้ยินเสียงรถเลย” เสียงทักทายกับสายตาของนาคินทำให้ป้าปุกหยุดหัวเราะและหันไปหาร่างของชายหนุ่มอีกคน
“เพิ่งมาถึงครับ” สนธยาดึงความคิดของตัวเองกลับมาและตอบคำถามป้าปุกเรียบๆ
“เพิ่งถึงเหนื่อยๆ มานั่งนี่เถอะค่ะ เดี๋ยวป้าจะลงไปเตรียมขนมมาให้ วันนี้ป้าทำบัวลอยฟักทองไข่หวานของโปรดคุณสนด้วยนะคะ” ป้าปุกบอกคุณหนูคนโตของเธออย่างเอาใจ
“ขอบคุณครับ” สนธยาเดินไปนั่งที่หอนกอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อร่างโปร่งบางนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ป้าปุกก็ขอตัวเดินลงจากเรือนเพื่อไปเตรียมน้ำเตรียมขนมให้
บรรยากาศที่มีเสียงพูดคุยกับเสียงหัวเราะเมื่อครู่เงียบเหงาลงไปทันตาเมื่อเรือนไทยกว้างใหญ่เหลือแค่นาคินกับสนธยาสองคน สนธยาแสร้งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อยด้วยไม่รู้จะชวนคุยอะไร ผ่านไปสักครู่ก้อยก็เป็นคนยกน้ำเย็นกับขนมหวานถ้วยหนึ่งใส่ถาดมาให้สนธยาบนเรือน พร้อมกับบอกว่าป้าปุกจะเริ่มเตรียมอาหารเย็นแล้ว ให้คุณสนทานขนมรองท้องไปก่อน จากนั้นเธอก็ถอยลงจากเรือน ก่อนที่บนเรือนจะกลับมาเงียบอีกครั้ง เสียงแหบๆของนาคินก็เอ่ยขึ้น
“ทานขนมด้วยกันสิครับ” ไม่ว่าเปล่ามือหนายังใช้ช้อนตักเม็ดบัวลอยสีเหลืองอ่อนในถ้วยของตัวเองขึ้น ทำท่าเหมือนจะตักขึ้นป้อนคนที่นั่งตรงข้ามอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่เอา” สนธยาจึงรีบปฏิเสธทันควัน
“ไม่ชอบของหวานเหรอ แต่เมื่อกี้เห็นป้าปุกบอกว่าสนชอบบัวลอยนี่นา”
“ไม่ใช่ไม่ชอบ”
“แล้วทำไมไม่กินล่ะ”
“ถ้าจะกินก็ตักเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาป้อน” มือเขาไม่ได้เสียสักหน่อย ขนมแค่นี้ก็ตักได้เองหรอก สนธยาได้แต่คิดต่อในใจ
“หึๆ” นาคินอมยิ้มก่อนหลุดหัวเราะเบาๆ
“หัวเราะอะไร” สนธยาถามด้วยความไม่เข้าใจ
“สนคิดว่าผมจะป้อนเหรอ”
“ห๊ะ?...เอ่อ…ปะ..เปล่าสักหน่อย ก็เห็นนายยกช้อนยื่นมาทางนี้…หึ้ย! ช่างเถอะ” ขัดใจอย่างที่สุดแต่ก็รู้ว่าแก้ตัวไปไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา จึงได้แต่ทำท่าฮึดฮัดขัดใจ
“ผมแค่จะชวนเฉยๆนะ ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด แต่ถ้าสนอยากให้ป้อนก็ได้ ผมน่ะไม่มีปัญหาหรอก” ได้ทีคนช่างกวนก็เย้าไม่เลิก
“ไม่จำเป็น” ตอบเสียงกระด้างก่อนจะคว้าแก้วน้ำเย็นขึ้นมาจิบแก้กระอักกระอ่วน
นาคินมองตามคิ้วเข้มที่ขมวดแสดงถึงความไม่พอใจ ก่อนสายตาจะพลันไปสะดุดเห็นว่าที่กกหูอีกฝ่ายขึ้นสีแดงก่ำ นั่นจึงทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเขินแค่ไหนที่เข้าใจผิดไปเอง
“งั้นก็ลองกินดูสิครับ ผมเพิ่งเคยชิมบัวลอยฟักทองสูตรของป้าปุก อร่อยมากเลยเนอะ”
“นายนี่เซ้าซี้จริง ถ้าฉันจะกิน ฉันก็จัดการเองแหละ พูดมากน่ารำคาญ” พูดจบดวงหน้าติดหวานก็เบือนไปด้านข้างไม่มองหน้าคนตรงข้ามตัดรำคาญ พอโดนคะยั้นคะยอมากๆเข้าสนธยาก็ชักจะเริ่มรำคาญ ไม่รู้ทำไมต้องวุ่นวายกับเขานัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหวังดีหรืออยากจะหาเรื่องแกล้งอะไรเขาอีก
ทว่าผ่านไปสักพัก คนนั่งตรงข้ามก็ไม่ได้ส่งเสียงพูดอะไรให้เขารำคาญอีก สนธยาได้ยินแค่เสียงช้อนกระทบถ้วยแก้วเป็นช่วงๆเท่านั้น แล้วความอึดอัดที่ไม่รู้มาจากไหนเริ่มขยายตัวใหญ่มากขึ้น เมื่อใช้หางตาเหลือบมองแล้วเห็นว่าเจ้าคนชอบกวนประสาทก้มหน้าก้มตาอยู่กับถ้วยบัวลอย ทำท่าทางหางลู่หูตกราวกับลูกหมาถูกเจ้าของดุก็ไม่ปาน
ร่างบางขยับไปมานิดๆบนที่นั่งของตนเอง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่เดินหนีเข้าห้องไปเสีย ทำไมต้องเลือกที่จะนั่งเผชิญหน้าอยู่เช่นนี้ก็ไม่รู้ สุดท้ายคนที่มักจะนิ่งอยู่เป็นนิจก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว แสร้งกระแอมในคอแล้วส่งเสียงออกไปก่อน เนื่องจากคิดว่าเขาผิดที่พูดว่ารำคาญ มันคงเป็นคำพูดที่แรงเกินไป เพราะถึงแม้ว่าจะรำคาญจริงๆแต่นาคินก็คงไม่ได้ตั้งใจแกล้งหรืออยากให้เขารู้สึกแบบนั้น
“แล้วนี่เป็นยังไง ดีขึ้นบ้างหรือยัง” สนธยาหวังว่าตัวเองจะได้ยิน ว่าอีกฝ่ายบอกเกี่ยวกับอาการเจ็บไข้ที่เป็นอยู่ ทว่าเขากลับคิดผิด เพราะเมื่อนาคินเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ภาพเจ้าหมาถูกดุก็สลายหายไปในพริบตา
“สนเป็นห่วงผมเหรอครับ”
“ฉันห่วงว่าตัวเองต้องได้ไปนอนเฝ้าไข้นายอีกต่างหากถ้าคืนนี้ยังไม่ดีขึ้น แต่ดูจากอาการตอนนี้คิดว่าคงไม่ต้องถามแล้วล่ะใช่ไหม”
“โถ่ ไอ้เราก็คิดว่าเป็นห่วงเสียอีก”
“ฮึ” ร่างบางเค้นเสียงในลำคอกับน้ำเสียงผิดหวังปลอมๆนั่นไปทีหนึ่ง
“ความจริงก็ดีขึ้นแล้วล่ะครับ แต่ไม่รู้ว่าคืนนี้ไข้จะขึ้นอีกหรือเปล่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากรบกวนให้คนใจดีมานอนเฝ้าอีก” คราวนี้นาคินเปลี่ยนจากน้ำเสียงผิดหวังปลอมๆมาเป็นเสียงออดอ้อนแบบที่คนฟังต้องแอบลูบแขนเพราะรู้สึกจั๊กจี้
“เลิกพูดจาแบบนั้นเสียทีเถอะ ไม่ขนลุกบ้างหรือไง”
“ก็นิดนึง ฮ่าๆๆ” คนตัวโตว่าพลางหัวเราะ ก่อนจะหันมาบอกด้วยท่าทางจริงจังกว่าเก่า ราวกับคนละคน
“แต่อยากให้มานอนด้วยอีกจริงๆนะครับ” “เหตุผลล่ะ” เมื่อถามถึงเหตุผล สนธยาก็เห็นว่าหน่วยตาสีน้ำตาลเข้มนั้นวูบไหวทีหนึ่ง ในนั้นฉายความรู้สึกบางอย่างออกมาจางๆ แต่สนธยาก็ยังรู้สึกได้
มันต้องมีเหตุผลอะไรนอกเหนือจากอาการเจ็บป่วยทางร่างกายแฝงอยู่ เหตุผลที่เขาบอกไมได้ว่ามันคืออะไร แต่เมื่อคิดถึงแววตาหวาดระแวงของคนป่วยเมื่อคืนกับตอนที่บอกประโยคเมื่อกี้ สนธยาคิดว่าบางทีมันอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ก็เป็นได้
“ไว้ผมจะบอกคืนนี้ตอนสนมาหานะ” พอพูดจบ นาคินก็ผุดลุกขึ้น จากนั้นก็เดินออกจากหอนกไป แต่ยังไม่วายทิ้งท้ายเตือนให้สนธยาทานบัวลอยของป้าปุกด้วย
“มัดมือชก เอาความมั่นใจมาจากไหนว่าคนเขาจะไปหา” ได้แต่พึมพำกับตัวเองเพราะคนที่อยากให้ฟังดันไม่อยู่แล้ว
ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งก่อนจะหยุดไปเพราะนาคินรีบพุ่งไปที่ต้นเสียงอย่างรวดเร็ว แล้วเปิดบานประตูต้อนรับใครบางคนที่ยืนรออยู่ด้านนอกด้วยชุดนอนเต็มยศ เจ้าของห้องยิ้มกว้างที่เห็นว่าครูสอนดนตรีของเขายอมมาหาจริงๆ ก่อนจะหลีกไปด้านข้างให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้อง
วันนี้ตอนเวลาอาหารเย็นมัทนาได้กลับมาทานด้วย นาคินจึงไม่ได้พูดอะไรกับสนธยาเรื่องขอให้มาค้างที่ห้องอีก ทีแรกก็ใจตุ้มๆต่อมๆอยู่เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะยอมเขาไหม แต่ตอนนี้ก็มั่นใจได้แล้วว่าคุณครูพี่สนของนาคินน่ะ เป็นคนใจดีจริงๆ
สนธยาเดินไปหยุดที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนจะนั่งคร่อมโดยหันหน้ามาทางนาคินที่เดินไปนั่งบนเตียง ทั้งสองจ้องตากันท่ามกลางความเงียบอยู่ครู่ใหญ่ นาคินจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
“เอ่อ…นึกว่าสนจะไม่มา”
“ก็ว่าจะไม่มา” ตอนแรกสนธยาคิดจะไม่มาจริงๆอย่างปากว่า
“แล้วทำไมถึง…” ถามยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ตอบออกมาเสียก่อน
“ก็เห็นนายท่าทางไม่ดีเท่าไหร่ก็เลยมา มันไม่ได้มีอะไรเสียหายสักหน่อยจริงไหม อีกอย่างก็สงสัยด้วย”
“สงสัยเรื่องอะไรครับ”
“ก็…จะพูดยังไงดี คือฉันรู้สึกว่านายแปลกๆ เหมือนกลัวอะไรสักอย่างเมื่อคืน แต่ตอนแรกก็คิดว่าแค่ขวัญอ่อนเพราะเป็นไข้ แต่เมื่อบ่าย ที่นายบอกว่าอยากให้ฉันมานอนเป็นเพื่อน ฉันรู้สึกว่านายยังกลัวอยู่”
“สนรู้สึกเหรอ” คนตัวโตถามด้วยความแปลกใจนิดหน่อย เขาไม่คิดว่าเมื่อบ่ายเขาจะยังแสดงท่าทางเหมือนเมื่อคืนอยู่
“อืม”
นาคินเงียบเสียงลง ไม่พูด ไม่โต้ตอบ ไม่บอกอะไร เขากำลังคิด คิดว่าจะบอกเรื่องแปลกๆที่เขาเจอมาตลอดหลายเดือนให้สนธยาฟังดีไหม เจ้าตัวจะคิดว่าเขาบ้าหรือเปล่า เรื่องแบบนี้ใช่ว่าบอกไปใครจะเชื่อง่ายๆ แต่ถ้าไม่บอกมันก็อึดอัด เพราะตอนนี้ความฝันเหล่านั้น รวมทั้งเรื่องประหลาดที่พบเจอยามตื่นมีสติ เริ่มจะมีผลกระทบกับร่างกายของเขามากขึ้นทุกที
เขาเริ่มกังวลใจจนไม่เป็นอันพักผ่อน พอได้นอนก็ฝันอยู่ประหลาดอยู่แทบทุกคืน ฝันติดต่อกันยาวนานจนล้มป่วยอย่างที่เห็น จะมีก็เมื่อคืนที่สนธยามานอนด้วยแล้วได้นอนจริงๆ ไม่ฝันประหลาด หลับสนิทเต็มอิ่มไปจนถึงเช้า
แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าคิดในอีกแง่ เขากับสนธยาสนิทกันพอที่จะให้รับรู้เรื่องนี้หรือยัง แม้นาคินจะอยากทำความรู้จักและสนิทกับสนธยาเร็วๆแค่ไหน แต่เจ้าตัวก็ยังดูเหมือนไม่อยากเสวนากับเขาเท่าไหร่เลย ซ้ำเรื่องนี้ยังเป็นปัญหาของเขา ปัญหาที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาบ้าไปเองหรือเปล่า จะเล่าออกมาให้คนอื่นเก็บไปคิดมากด้วยก็เห็นจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
“ว่ายังไง จะบอกได้หรือยัง” พอเห็นว่าเจ้าหมาตัวโตนั่งทำหน้าครุ่นคิดนิ่งเงียบเนิ่นนานซึ่งไม่เหมาะกับบุคลิกเอาเสียเลย สนธยาจึงเอ่ยกระตุ้น
“ความจริงผมแค่ไม่ชอบนอนคนเดียวน่ะ” นาคินตัดสินใจพูดปดออกไปคำโต
“ไม่ชอบนอนคนเดียว?” เมื่อเห็นคนหน้าหวานทำท่าเหมือนจะไม่เชื่อ นาคินก็รีบสร้างคำโกหกขึ้นมาอีกหลายประโยค
“ใช่ ความจริงผมนอนคนเดียวไม่ได้ ตอนอยู่บ้านที่กาฬสินธุ์ผมนอนกับน้องๆตลอด แต่มาอยู่นี่กลับต้องนอนคนเดียว บ้านก็เป็นบ้านทรงไทย บรรยากาศตอนกลางคืนน่ากลัวออก ผมก็เลยนอนไม่หลับมานานแล้ว อาการเรื้อรังน่ะครับ สะสมจนป่วยนี่แหละ”
ได้ยินคำอธิบายยาวๆนั่น สนธยาก็เริ่มคิดปะติดปะต่อ อาจจะจริงอย่างที่ว่า เพราะหลังๆมานี่เขาเห็นว่านาคินดูโทรมลงๆ หน้าตาไม่แจ่มใสเหมือนเมื่อตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆเลย แต่จะให้แก้ปัญหาอย่างไรล่ะ โตจนป่านนี้นอนคนเดียวไม่ได้ ไอ้ความเห็นใจก็มีให้อยู่หรอก แต่จะให้เขาที่มีโลกส่วนตัวสูง ย้ายสำมะโนครัวมานอนที่ห้องนี้จนกว่านาคินเรียนจบน่ะหรือ ไม่มีทางเสียล่ะ
“คืนนี้ฉันก็พอจะนอนเป็นเพื่อนนายได้อยู่หรอก เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะคอยดูเผื่อไข้ขึ้น นี่ถือเป็นกรณีพิเศษ แต่ต่อไปคงไม่ได้หรอกนะ”
“ผมเข้าใจครับ” ดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มสลดวูบลงเมื่อได้ยิน ทำเอาสนธยารู้สึกผิดนิดๆ แต่ความจริงแล้วที่มันเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะสนธยาไม่มานอนด้วย แต่นาคินรู้สึกผิดที่ต้องโกหกออกไปทั้งที่สนธยามีน้ำใจให้เขาขนาดนี้
“แต่ความจริงนายควรจะทำตัวให้ชินนะ ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด รับประกันได้เลยว่าไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ถึงบ้านหลังนี้จะเป็นบ้านเก่า บรรยากาศชวนขนหัวลุก แต่มันไม่มีอะไรจริงๆ เพราะถ้ามีฉันก็ต้องเคยเจอแล้วสิ” สนธยาลดความกระด้างในการพูดลง เสียงของเขาจึงนุ่มน่าฟัง และคำพูดธรรมดาเหล่านั้นก็ทำให้คนฟังอุ่นใจขึ้นมาก
“ผมจะพยายามครับ” พยายามคิดว่าความฝันกับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อน่ะนะ นาคินทำได้แค่คิดแต่ไม่ได้พูดออกไป
“ดีแล้วล่ะ ถ้ากลัวมากๆจะเปิดไฟนอนก็ได้ พ่อคงไม่ว่าอะไรเรื่องค่าไฟที่เพิ่มขึ้นหรอก เพราะยังไงห้องนายก็ไม่มีแอร์” ไม่รู้ว่าคนพูดจงใจเล่นมุกหน้าตายหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจากนาคินหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อยทั้งๆที่มีเรื่องให้กังวลใจอยู่ในหัว
“ขอบคุณนะสน”
“ขอบคุณทำไม”
“ขอบคุณที่ดูแล แล้วก็ทำให้สบายใจขึ้นมากๆเลยล่ะ” ได้คุยกับสนธยา นาคินรู้สึกสบายใจขึ้นมากจริงๆ แม้จะไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดก็ตาม
“ฉันทำเพราะพ่อนายฝากไว้ต่างหาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องขอบคุณหรอก” คนพูด พูดทั้งๆที่เริ่มรู้สึกคันยุบยิบที่แก้มสองข้าง เจ้าตัวจึงรีบกลบเกลื่อนโดยการลุกขึ้น และเดินไปที่เตียงอีกฝั่ง
“ถึงยังไงก็ขอบคุณนะครับ”
“อืม” เจ้าของใบหน้าเรียบๆติดหวานพยักหน้ารับส่งๆ ก่อนถาม “นี่กินยาก่อนนอนแล้วใช่ไหม”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“นายจะทำอะไรอีกหรือเปล่า”
“ไม่ล่ะครับ สนมีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า แค่คิดว่าถ้าไม่ทำอะไรก็ควรจะนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ถ้าไม่ได้เป็นอะไรมากจะได้ไปเรียน หยุดมาสองวันแล้วนี่”
“นั่นสิ หยุดอยู่บ้านคนเดียววันนี้ เบื่อสุดๆเลย”
สนธยาส่ายหัวเบาๆกับคำบ่นกระปอดกระแปดของคนข้างๆ มือสองข้างพลางตบหมอนให้ฟูไปด้วย ก่อนนั่งทับส้นเรียบร้อยแล้วเริ่มสวดมนต์ เมื่อนาคินเห็นดังนั้นจึงทำตามบ้าง ทันทีที่สวดมนต์เสร็จทั้งคู่ เจ้าของห้องก็เอื้อมมือไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอน
เสียงใบพัดลมทองเหลืองหมุนในอากาศไม่ดังนัก ผนวกกับเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนข้างๆ มันชวนให้นาคินรู้สึกง่วงนอนได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่เมื่อกลางวันก็นอนเยอะเสียจนกังวลว่าคืนนี้จะนอนหลับหรือเปล่า
ก่อนหลับตา นาคินพลิกตัวหันไปกอดหมอนข้างที่คั่นกลางระหว่างตัวเขาและสนธยาเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองใบหน้าของคนที่หลับตาอยู่ไม่ไกล แล้วก็เผลอคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แต่ความคิดนั้นกลับเปล่งออกมาเป็นเสียงโดยที่นาคินไม่รู้ตัว เสียงที่ทำให้คนซึ่งยังไม่หลับได้ยินมันครบทุกคำ
“นอกจากตอนเด็กๆแล้ว เราเคยเจอกันมาก่อนหน้านั้นหรือเปล่านะพี่สน…”‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧
แอบลงเงียบๆ แบบว่าหายไปนานจนคนอ่านจำหน้า จำเนื้อเรื่องไม่ได้
ต้องขอโทษด้วยที่ให้รอนะคะ
จะชดเชยด้วยการมาลงบ่อยๆ
ว่าด้วยเนื้อเรื่องตอนนี้
ออกจะเบาๆ คุยกันใสๆ เริ่มเปิดใจนิดๆ
ผีเผออะไรนาคินไม่รู้จัก จำไม่ได้ จำได้แต่พี่สนคนใจดี 55555
ช่วงนี้ก็จะเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ของสองคนไปเรื่อยๆก่อน
ถือว่าเอาพี่สนมาเป็นยันต์กันผีแล้วกันน้า
ส่วนปริศนาต่างๆ ค่อยลุ้นไปเรื่อยๆแล้วกันเนอะ อิอิ
ชอบไม่ชอบบอกได้ค่ะ
ฝนจะได้แก้ไขต่อไป
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
เจอกันตอนหน้าค่ะ
ละอองฝน
[๒๓:๓๕ , ๒๗/๐๗/๕๘]