‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)  (อ่าน 102690 ครั้ง)

ออฟไลน์ Cream A

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
นาคินคนเจ้าเล่ห์ แอบเต๊าะพี่สนด้วยคำพูดคำจาน่าหยิกเป็นที่สุด

คิดถึงคู่นี้มากกก ยังไงรอตอนต่อไปนะคะ ไม่รู้พี่สนจะใจอ่อนหรืออ่อนใจ

กับสภาพหางลู่หูตกของน้องคินจนยอมมานอนเป็นเพื่อนอีกไม๊ อั้ยย  :impress2:

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :laugh: หลอนนิดๆเวลาอ่านภาคอดีตแต่ตามต่อจ้า

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1038
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
พี่สนคนซึนแต่ใจดีมาก มานอนเป็นเพื่อนด้วย
แต่คืนต่อไปคินต้องนอนคนเดียวแล้วจะหลับลงไหม
บอกพี่สนไปคงดีกว่านะ

 :pig4: :L2:

ออฟไลน์ ขนมโก๋

  • เป็ดหัวเน่า
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
น่าจะเล่าให้พี่สนฟังจะได้ร่วมด้วยช่วยกันหลอน...อ๊ะ ล้อเล่น
แต่มันก็น่ากลัวจริงนี่นา กลัวจนป่วย ไม่ธรรมดานะ ต้องหาทางแก้ไข
พี่สนใจดีจังเลยน้า มานอนเฝ้าสองคืนเลย

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
โปรดจงรักมาแบบใสๆ แต่ไหงเรื่องนี้ออกแนวเศร้าชวนขนลุกแบบนี้ล่ะเจ้าคะ
แอบคิดในใจว่าเสียง 'คุณพี่' ที่พี่สนได้ยินจะเป็นเสียงของแม่ทับทิมหรือเปล่า
...เรื่องนี้มีเงื่อนงำ!!...

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
นั้นดิ เสียงนั้นเป็นเสียงใคร

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2



๘.




   หลังจากที่นาคินหายป่วยสนธยาก็กลับไปนอนที่ห้องของตัวเองอย่างที่ได้บอกเอาไว้แต่แรกจริงๆ ทว่าจนกระทั่งถึงวันนี้ นาคินก็ไม่ได้ฝันประหลาดหรือรู้สึกหนาวเยือกวูบวาบราวกับมีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลาอีก อาจจะเป็นเพราะวุ่นวายกับการหาข้อมูลทำรายงานส่งจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน อีกทั้งยังต้องไปซ้อมฟุตบอลทุกเย็น เนื่องจากพวกเพื่อนตัวดีใส่ชื่อให้ลงเป็นเล่นกีฬาเฟรชชี่ในตำแหน่งผู้รักษาประตู จะปฏิเสธก็ไม่ได้ ในเมื่อคณะบริหารมีประชากรชายน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ดังนั้นพอหัวถึงหมอนสติก็ดับไปเพราะความเหนื่อยล้า นาคินรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน กิจวัตรประจำวันเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น ไม่ต้องคอยพะวงกับเรื่องเหนือธรรมชาติที่พิสูจน์ไม่ได้ จะได้ใช้ชีวิตนักศึกษาปีหนึ่งธรรมดาๆอย่างคนอื่นเขาเสียที


   เพราะยุ่งเอามากๆที่ผ่านมานาคินจึงไม่ค่อยได้พบหน้าสนธยาเลยแม้ว่าจะอยู่บ้านเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นนาคินก็พอจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้ นั่นคือหลายวันมานี้เมื่อเขากลับมาถึงห้อง แม้ดึกดื่นแค่ไหนเขาก็จะได้ยินเสียงดนตรีไทยของสนธยาดังมาจากเรือนดอกแก้วอยู่เสมอ เนื่องจากไม่มีเวลานาคินเองก็ไม่ได้ลงไปซ้อมขิมเลย เขาจึงไม่รับรู้ความเป็นไปของคุณครูคนเก่ง ดังนั้น คืนนี้ทันทีที่อาบน้ำเสร็จ นาคินจึงตัดสินใจเดินลงไปหาเจ้าของเสียงเพลงที่บรรเลงแว่วหวานอยู่ทุกค่ำคืน


   เรือนดอกแก้วยังคงสภาพเหมือนเดิมกับทุกครั้งที่มา แต่สิ่งที่ทำให้นาคินประหลาดใจกลับไม่ใช่ใบหน้าไม่ใคร่พอใจของสนธยาที่คิดว่าจะเห็นยามเขาขึ้นมารบกวน แต่เป็นภาพของลุงมนตรีที่กำลังนั่งดูสนธยาบรรเลงเพลงระนาดอยู่ต่างหาก ตามปรกติภาพของลุงมนตรีในใจของนาคินจะดูใจดีอยู่เสมอ หากในตอนนี้กลับดูเคร่งขรึมจริงจัง บรรยากาศเข้มงวดที่แผ่กระจายอยู่รอบๆตัวทำให้คนที่ไม่เคยชินอย่างนาคินถึงกับทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเข้าไปนั่งดูสนธยาเล่นระนาดอย่างที่ตั้งใจ หรือลงจากเรือนดอกแล้วกลับขึ้นห้องไปเงียบๆดี


   “พ่อว่าสนเล่นเพลงกราวในดีกว่าเพลงสุดสงวน ใช้เพลงนี้น่าจะดีกว่า”

   “พ่อคิดอย่างนั้นเหรอครับ” สนธยาถามด้วยสีหน้าที่ดูก็รู้ว่ายังแคลงใจ เนื่องจากเจ้าตัวอยากเล่นเพลงสุดสงวน สามชั้นมากกว่า มนตรีจึงใช้ฐานะที่เป็นครู ไม่ใช่พ่อ ชี้แนะจุดบกพร่องที่จับได้ยามที่ชายหนุ่มเล่นเมื่อครู่

   “สนตีกราวในสนุกและหวานหูกว่า ไม่เยอะ ไม่กระด้าง ต่างจากสุดสงวน พ่อไม่รู้ว่าสนตั้งใจเล่นมันมากจนเกร็งหรือว่าเพราะอะไร ฟังดูแล้วเสียงมันดุดัน แต่หนักเกินไป ลูกปลายที่ใช้ก็สะบัดแข็งหลายท่อน น่าจะโดนหักคะแนนตรงนั้นเยอะ”

   “เหรอครับ”

   “เวลามันกระชั้นนะสน อีกแค่สามอาทิตย์เอง ไหนจะต้องลองซ้อมคู่กลอง คู่ฉิ่งอีก อย่าเสียเวลานั่งแก้จุดด้อยอยู่ ไปพัฒนาที่เราทำได้ดีแล้วให้มันดีขึ้นไปพ่อว่าเข้าท่ากว่า”


   คำพูดของมนตรีทำให้สนธยายอมตัดสินใจทำตามอย่างช่วยไม่ได้ แม้เขาอยากจะลองใช้เพลงที่ไม่ถนัดไปประกวดเดี่ยวระนาดเอกดูสักครั้ง หากแต่ด้วยเวลาอันจำกัดเขาก็ไม่ควรเสี่ยงอย่างที่พ่อแนะนำจริงๆ


   “เอาอย่างพ่อว่าก็ได้ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับยอมจำนนในเหตุผล

   “ถ้าอย่างนั้นพ่อขึ้นบ้านก่อนแล้วกันคืนนี้ พรุ่งนี้สนเลิกเรียนบ่ายๆใช่ไหม”

   “ครับ”

   “พอดีเลย พ่อจะไปทำธุระที่กรมที่ดิน เสร็จแล้วจะแวะไปบ้านครูเพียงออ สนเรียนเสร็จก็ตามไปที่นั่นแล้วกัน จะได้ไปคุยกับเขาเรื่องขอคนมาช่วยซ้อม” เมื่อสั่งธุระเรียบร้อย มนตรีก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ตั้งใจตรงกลับเรือน พอหันมาเห็นนาคินนั่งริมซุ้มประตูตรงบันไดก็ปรับสีหน้าแล้วส่งเสียงทัก

   “อ้าว! คินมานั่งทำอะไรมืดๆตรงนี้” นอกจากมนตรีแล้ว นาคินแอบเห็นว่าสนธยาเองก็ทำหน้าประหลาดใจไม่แพ้กันที่เห็นเขาอยู่ตรงนี้

   “ผมได้ยินเสียงพี่สนเล่นดนตรีทุกวัน คืนนี้ก็เลยตั้งใจลงมาดูน่ะครับ” นาคินว่า

   “แล้วทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะลูก ยุงกัดขาลายหมด” ที่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากรู้ว่าแถวนี้ยุงชุมเพราะใกล้ท่าน้ำ

   “ผมเห็นลุงมนกำลังสอนพี่สนอยู่ก็เลยไม่อยากเข้าไปกวนน่ะครับ กะว่าจะนั่งฟังอยู่ตรงนี้ให้จบสักเพลงสองเพลง ผมก็จะขึ้นนอนแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้า”

   “อย่างนั้นเองเหรอ แต่ไหนๆก็มาแล้ว ถ้ายังไม่ไป เราก็เข้าไปนั่งกับพี่เขาข้างในเถอะคิน ลุงขึ้นนอนก่อนล่ะ ง่วง
เหลือเกิน” ลุงมนตรีหาวตบท้ายประโยคอีกคำรบก่อนจะเดินลงบันไดไป นาคินจึงเดินเข้าไปนั่งบนชานเรือนที่สนธยานั่งอยู่ ก่อนจะส่งยิ้มซื่อที่สนธยามองแล้วคิดว่ามันดูเหมือนยิ้มโง่ๆมากกว่า

   “สนจะไปประกวดเหรอ เห็นเลือกเพลงกัน” นั่งเงียบอยู่ได้อึดใจเดียว นาคินก็เริ่มเปิดปากถาม

   “อืม”

   “ประกวดเมื่อไหร่ล่ะ ขอผมไปเชียร์ด้วยได้ไหม” คนตัวโตกว่าว่าอย่างกระตือรือร้น

   “วันอาทิตย์ที่สามของเดือน แต่นายไม่ต้องไปหรอก ให้พ่อไปคนเดียวก็พอแล้ว” สนธยาปฏิเสธหน้านิ่งขณะตาไล่มองโน้ตเพลงในสมุดโน๊ตอย่างละเอียดอีกครั้ง

   “อ้าว! ทำไมล่ะครับ” เมื่อได้ยินเสียงประท้วงมือเรียวก็ปิดสมุดโน๊ตดังฉับก่อนเงยหน้าขึ้นบอก

   “เกะกะน่ะ”

   “ใจร้ายจัง ไม่เห็นเหมือนพี่สนคนที่นอนเฝ้าไข้ผมเลย” นาคินทำหน้าย่นปากยู่ที่ดูยังไงก็ไม่เห็นจะน่ารักเหมือนเด็กเล็กๆทำสักนิด

   “พูดมากจริง แล้วนี่มาทำไมเนี่ย”

   “ก็มาดูสนเล่นดนตรีไง ได้ยินเสียง เห็นว่าเล่นจนดึกทุกคืน วันนี้ก็เลยมาดูก่อนไปนอน”

   “มาดูฉันเล่น แล้วตัวเองไม่ซ้อมบ้างเหรอ ตั้งแต่หายป่วยก็ยังไม่เห็นแตะเลยนะ เดี๋ยวก็ลืมหมดหรอก”

   “ก็ไม่ค่อยมีเวลานี่ครับ ช่วงนี้ทำงานดึกทุกคืนเลยนะ บางวันซ้อมบอลมาเหนื่อยพออาบน้ำเสร็จก็เผลอหลับไปเลย ผมถึงไม่ค่อยได้เจอสนเลยไง แต่ว่าที่สอนไปไม่ได้ลืมหรอกครับ เพลงนั้นจำได้ขึ้นใจแล้ว”


สนธยาได้ฟังคำพูดที่ว่าเจ้าตัวโตนั้นแสนจะยุ่งนักยุ่งหนา แต่ตอนนี้กลับทำตัวให้เห็นว่าเอ้อระเหยลอยชายเดินโฉบลงมาดูเขาถึงเรือนดอกแก้ว แล้วอย่างนี้จะเชื่อได้แค่ไหนว่ายุ่งวุ่นวายจริงดั่งคำที่พูด


   “อย่าเอาแต่พูด ไหนไปยกขิมในห้องมาตีให้ดูสักรอบสิ ถึงจะบอกว่าจำได้ยังไง ดนตรีมันก็ต้องเล่นต้องซ้อมบ่อยๆ ไม่งั้นมือก็แข็งกันพอดี”

   “โถ่…นี่ผมแค่แวะลงมาดูเพราะอยากจะเจอหน้ากันบ้างเท่านั้นนะครับ วันนี้ไม่พร้อมจะซ้อมให้ดูเสียหน่อย” นาคินเริ่มโอดครวญเพราะอันที่จริงก็เริ่มจะลืมโน้ตเพลงที่สนธยาเคยสอนให้ไปกว่าครึ่งแล้ว

“อย่าโยกโย้น่า นี่ฉันสั่งในฐานะครูนะ”

“สนอ่ะ”

“ไปยกขิมมา” สนธยากดเสียงเข้มให้รู้ว่า ไม่ว่าจะอ้อนเอาอย่างไรก็ไม่ได้ผล แต่นาคินก็ยังพยายามโยกไปถามอีกอย่างแทน

“แล้วสนไม่ซ้อมของตัวเองแล้วเหรอ”

“ไม่แล้ว ไปยกขิมมา อย่าให้ต้องพูดหลายรอบ” จนสุดท้ายคุณครูคนเก่งก็ต้องขึ้นเสียงเพราะทนไม่ไหว นาคินจึงได้แต่ตอบรับเสียงอ่อยแล้วลุกไปยกขิมประจำตัวในห้องเก็บเครื่องดนตรีออกมา

“ครับครู”


หลังจากเข้าไปยกเครื่องดนตรีออกมาเรียบร้อยแล้ว นาคินก็เริ่มจับไม้นวมตีขิมให้คุณครูฟังด้วยความตั้งใจ ผิดกับไอ้คนกวนประสาทคนก่อนหน้าลิบลับ แม้จะตีถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่กับคนเพิ่งหัดและร้างมือไปนาน ได้เท่านี้ก็ถือว่าไม่ขี้เหล่เท่าไหร่ สนธยาค่อนข้างพอใจในความสามารถของลูกศิษย์คนนี้พอประมาณทีเดียว แต่ก็ยังมีจุดที่อยากจะติอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าตัวมักทำผิดบ่อยเหลือเกิน สอนเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักจำ สักแต่ว่าเอาความถนัดของตัวเองเข้าว่าอย่างเดียว


“นายนี่จริงๆเลย”

“อะไรครับ ใช้ไม่ได้เหรอ” นาคินถามขณะที่มองร่างโปร่งบางลุกขึ้นก่อนเดินมานั่งซ้อนข้างหลังตน จากนั้นแขนทั้งสองข้างก็ค่อยๆโอบรอบตัวของนาคินแล้วเอื้อมมาจับทับมือหนา

“จะว่ามันไม่สำคัญก็ไม่ได้นะ ไอ้ท่าทางการจับการตีเนี่ย ถ้าทำถูกวิธีมันจะทำให้นักดนตรีดูสง่า”


ดวงตาคมมองเรียวปากบางเอ่ยถ้อยคำสั่งสอนด้วยเสียงนุ่มทุ้ม ถึงแม้จะติดห้วนสักหน่อยแต่ด้วยเนื้อเสียงของสนธยาก็ทำให้มันยังคงน่าฟัง ตอนแรกนาคินก็ยังตั้งใจฟังอยู่หรอก แต่พอหันมาเห็นความใกล้ชิดระดับที่ลมหายใจเป่ารดใบหน้าขนาดนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกวาบในอก สติสตังหลุดลอยไปไหนเสียแล้วก็ไม่รู้ เห็นแต่ปากขยับแต่จับใจความไม่ได้เลย


ส่วนสนธยาพูดๆไป มือก็จับบังคับให้ทำตามสิ่งที่ถูกต้องไปด้วย หากแต่ตอนหลังๆนาคินกลับนั่งแข็งเป็นท่อนไม้ ไม่หือไม่อือสักนิด คนหน้ามนจึงหันกลับไปมองด้วยตั้งใจจะถามว่าเป็นอะไรทำไมถึงเงียบไป ทว่ากลับพบประสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มกำลังจ้องหน้าเขาเขม็ง คราวนี้เป็นสนธยาเองที่พูดไม่ออก ได้แต่เงียบมองด้วยความประหลาดปนกระดากอายจนเกิดแวววูบไหวในหน่วยตา


เสียงสรรพสิ่งต่างๆในยามกลางคืนขับกล่อมครอบคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง สายลมเย็นพัดมาบางเบาพากิ่งไม้ไหว เมื่อได้ใกล้ชิดกัน คล้ายมีบางสิ่งหยุดกาลเวลาเอาไว้ ต่างคนต่างจ้องมอง มองกันอยู่เช่นนั้นราวได้เจอใครอีกคนซึ่งไม่ได้พบกันมาแสนนาน


ก่อนความรู้สึกแปลกประหลาดจะมัวเมาสติสัมปชัญญะไปจนหมดสิ้น ก็เกิดเสียงปริศนาดังตุบที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของเรือนหลังเล็ก นาคินกับสนธยาจึงผละแยกออกจากกันทันทีราวกับถูกของร้อน


ท่ามกลางคนสองคนเกิดความกระดากอายและสับสนอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายหนุ่มรุ่นน้องก็เป็นคนช่วยจัดการกับความรู้สึกนั้นเหล่านั้นก่อน โดยออกความเห็นให้ช่วยกันเก็บเครื่องดนตรีแล้วกลับขึ้นเรือนใหญ่ เนื่องจากตอนนี้เวลาคงจะล่วงเลยมาจนดึกมากแล้ว


สนธยาเองก็เห็นด้วยเพราะคิดอยากหลบหนีจากสถานการณ์เมื่อกี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงรีบช่วยกันยกระนาดกับขิมไปไว้ที่เดิม จากนั้นจึงเดินกลับไปที่เรือนใหญ่ ทว่าแม้ทั้งสองจะเดินมาด้วยกันตามลำพัง หากแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรเลยสักคำ จนกระทั่งก่อนแยกไปนอนที่ห้องของตัวเอง นาคินจึงเป็นฝ่ายทำใจกล้าเอ่ยราตรีสวัสดิ์กับหนุ่มรุ่นพี่ก่อน


“ฝันดีนะสน”

“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วทำท่าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยเสียงเบาๆ “ฝันดี…เหมือนกัน”


หลังจากได้ฟังคำว่าฝันดีจากสนธยาแล้ว นาคินก็ยังยืนมองอีกคนเดินเข้าไปในห้องจนลับตา ก่อนยกยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นจึงกลับเข้าห้องนอนของตัวเองบ้างเช่นกัน








เป็นเวลาสองอาทิตย์ติดต่อกันที่สนธยาฝึกซ้อมดนตรีอย่างหนักเพื่อที่จะได้เข้าร่วมการประกวดดนตรีรายการใหญ่ที่จะมีขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งนอกจากจะซ้อมกับคนที่พ่อหามาให้แล้ว ตัวสนธยาเองก็ยังกลับมาซ้อมที่เรือนดอกแก้วทุกคืน ความจริงจากผลการประเมินของพ่อและครูดนตรีอีกคน ความสามารถระดับสนธยาถือว่าเข้าขั้นดีเยี่ยมทีเดียว ทั้งเพลงที่เล่นและลูกล่อลูกชนที่ประดิษฐ์ขึ้นก็แพรวพราวเสียจนนับได้ว่าเป็นมือระนาดเอกวัยรุ่นที่ฝีไม้ลายมือเข้าขั้นหาตัวจับยาก


มีก็เพียงแต่สนธยาที่ยังรู้สึกว่าตัวเองยังตีไม่ดีพอ เพราะหลังจากที่โหมซ้อมหนักติดต่อกันมาหลายวัน เขาเริ่มรู้สึกว่าตอนที่สะบัดข้อตีระนาด มือของเขามันเจ็บขัดๆชอบกล ไม่คล่องแคล่วพลิ้วไหวเช่นทุกทีที่เคยเป็น ถึงแม้หลายๆคนจะดูไม่ออก แต่ตัวของสนธยาเองที่รู้สึกไม่ดีจนอดกังวลลึกๆไม่ได้ วันนี้เขาไม่มีตารางซ้อมกับคนของบ้านครูเพียงออ ดังนั้นหลังกลับจากมหาวิทยาลัยแล้วเขาจึงตรงไปเรือนดอกแก้วเพื่อเช็คตัวเองให้แน่ใจอีกครั้ง


แน่นอนว่าเขายังเล่นได้ดี แต่เริ่มรู้สึกปวดข้อมือมากขึ้นจนรู้สึกได้ ยิ่งยามที่เกร็งข้อมือมากๆช่วงท้ายเพลงก็ยิ่งปวด สนธยาจึดตัดสินใจเอายามานวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ โดยหวังว่าจะทำให้อาการดีขึ้น จากนั้นค่อยกลับมาซ้อมใหม่ตอนค่ำๆ


กระทั่งทานอาหารเย็นเรียบร้อย ลองหมุนข้อมือที่เคยปวดดูก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว สนธยาจึงหยิบสมุดโน้ตแล้วเดินลงไปซ้อมเพลงที่เรือนดอกแก้วอย่างที่ตั้งใจ แต่ก่อนจะได้ลงจากบ้าน เสียงของใครอีกคนก็หยุดเขาเอาไว้เสียก่อน


“สน! รอเดี๋ยวครับ”

“มีอะไร” สนธยาหันไปถามนาคินที่รีบปิดงับประตูห้องนอนของตนเองก่อนวิ่งเข้ามาหาเขา

“สนไปซ้อมดนตรีใช่ไหม”

“อืม” คนหน้ามนพยักหน้ารับ

“งั้นวันนี้ขอไปด้วยนะ”

"ไม่มีงานต้องทำหรือไง”

“เพิ่งส่งรายงานไปน่ะ ตอนนี้ว่างแล้ว ก็เลยอยากลงไปซ้อมสักหน่อย กลัวครูหาว่าทิ้งวิชา” เจ้าตัวดีว่าพลางยิ้มทะเล้น แม้จะนึกหมั่นไส้แต่สนธยาก็คร้านจะโต้เถียง

“อยากมาก็มา” ว่าเพียงเท่านั้นก็เป็นฝ่ายเดินนำออกไป นาคินเห็นดังนั้นก็ยิ้มบางก่อนจะรีบซอยเท้าเดินขึ้นไปตีคู่อยู่ข้างๆ จนกระทั่งถึงเรือนดอกแก้ว


เมื่อมาถึงทั้งคู่ก็ช่วยกันยกเครื่องดนตรีออกมาวางตรงตำแหน่งที่เล่นประจำ ลำพังขิมของนาคินนั้นก็ไม่เท่าไหร่ แต่ระนาดเอกต้องใช้แรงสองคนช่วยยก ตอนที่พากันยกตัวระนาดมาถึงชานเรือน นาคินสังเกตว่าคุณครูพี่สนของตัวเองดูหน้าซีดๆ แต่เจ้าตัวก็ยังคงสีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจ ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไรยามคุยโต้ตอบกัน นาคินจึงนึกว่าเพราะแสงโคมไฟบนเรือนทำให้มองผิดไป


จัดเตรียมเครื่องดนตรีเรียบร้อยทั้งสองก็แยกกันฝึกซ้อม สนธยาเป็นคนสมาธิดี เพราะยามที่ตีคนละเพลงกับนาคิน พ่อคนเก่งก็สามารถแยกประสาทได้ ไม่เหมือนนาคินที่พอตีขิมของตัวเองอยู่ก่อน แต่พออีกคนเขาเริ่มบรรเลงเพลงลูกระนาด นาคินก็ต้องหยุดดู หยุดฟังทุกทีไป


แต่จะโทษว่านาคินสมาธิแย่ก็คงไม่ถูกนัก เนื่องจากเพลงระนาดเอกของสนธยาช่างเพราะจับใจเหลือเกิน เพียงแค่หลับตาฟังก็สามารถทำให้คนหลงรักท่วงทำนองเหล่านั้นได้แล้ว หากยิ่งผนวกกับท่าทางและการจัดองค์ประกอบรูปร่างที่ทำให้ดูสง่างาม ทั้งอ่อนหวานด้วยแววตา มือที่ตีลูกระนาดพลิ้วไหว เป็นใครก็คงหักห้ามใจให้หยุดมองไม่ได้


กำลังนั่งฟังเพลงเพลินๆ อยู่ๆสนธยาก็หยุดตีเสียอย่างนั้น คนที่ดึงสีหน้าเรียบเฉยอยู่ตลอดยามนี้กลับขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ดวงตามองไปยังมือข้างขวาที่สั่นระริกไม่หยุดทั้งๆที่ยังกำไม้นวมตีลูกระนาดเอาไว้อยู่


ไวเท่าความคิด นาคินลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วตรงเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าสนธยาทันที ก่อนจะใช้มือของตัวเองประคองมือที่สั่นไม่หยุดของอีกฝ่ายไว้ แล้วแกะไม้นวมออกจากมือให้


“สนเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมมือสั่นอย่างนี้” พอก้มลงสังเกตดีๆ นาคินพบว่ามือของสนธยาไม่ใช่แค่สั่นไหวเหมือนกล้าเนื้อกระตุกเท่านั้น แต่มือข้างนั้นยังบวมกว่าอีกข้างอย่างเห็นได้ชัด “สน! มือเป็นอะไรน่ะ”

“ไม่รู้” สนธยาตอบด้วยน้ำเสียงเบาหวิว


เขาไม่รู้จริงๆว่าตัวเองเป็นอะไร ในตอนแรกแค่ปวดหนึบๆธรรมดา แต่เมื่อกี้กลับเสียวแปลบๆไปถึงข้อศอก จากนั้นก็เจ็บจนบังคับกล้ามเนื้อที่มือให้หยุดไหวไม่ได้ นาคินพลิกมืออีกฝ่ายเพื่อสำรวจอย่างแผ่วเบา แต่ถึงจะแผ่วเบาแค่ไหน สนธยาก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดี


“เจ็บมากไหม”

“ก็เจ็บอ่ะ” ไม่มีประโยชน์ที่จะปกปิดหรือเก็บซ่อนอาการอีกต่อไป เพราะสนตกใจกับอาการที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและกะทันหันของตนเองตอนนี้มาก

“ไปหาหมอเถอะครับ ผมว่ามันบวมจริงๆนะ” นาคินเสนอ เนื่องจากสีหน้าของสนธยาดูไม่ดีเอาเสียเลย อีกทั้งมือก็สำคัญมากสำหรับนักดนตรี หากว่ามีอะไรผิดปรกติไปคงเป็นเรื่องใหญ่

“อืม”


สนธยายอมให้ลูกศิษย์หนุ่มจูงมือออกจากเรือนดอกแก้วเพื่อไปบอกพ่อที่เรือนใหญ่ ก่อนทั้งหมดจะนั่งรถไปโรงพยาบาลด้วยกันโดยมีนายเสริมเป็นพลขับ









บรรยากาศหน้าห้องตรวจภายในโรงพยาบาลนั้นตึงเครียดเป็นอย่างมาก ลุงมนตรีเดินวนไปวนมาเพราะไม่ได้รับอนุญาตจากคุณหมอให้เข้าไปกับลูกชายด้วย เดินไปมาอยู่สักพักก็นั่งลงแล้วถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนาคิน ก่อนจะลุกขึ้นเดินอีก ทำเช่นนี้อยู่หลายรอบจนนาคินเวียนหัว แล้วในที่สุดสนธยาก็ออกมาจากห้องตรวจ


ดวงหน้าของหนุ่มนักดนตรีดูไม่ดีเอามากๆ ผู้เป็นพ่อเห็นดังนั้นก็ไม่เร่งเร้า พาลูกมานั่งที่เก้าอี้ ก่อนจะเงียบรอให้ลูกเป็นคนบอกเอง ตอนที่สนธยาพูด นาคินสังเกตเห็นว่าในดวงตาสีรัตติกาลของอีกฝ่ายมีน้ำใสๆคลอหน่วยอยู่ แต่ด้วยความที่เจ้าตัวอดกลั้นเอาไว้ น้ำใสๆนั้นจึงไม่กลั่นไหลออกมาเป็นหยดน้ำตาให้ใครเห็น


“หมอบอกว่าเอ็นข้อมืออักเสบครับ ตอนนี้ฉีดยาเข้าไประงับอาการแล้ว แต่ต้องรอดูว่าจะดีขึ้นแค่ไหน ถ้าไม่ดีขึ้นยังไงก็คงต้องผ่าตัด”

“ต้องผ่ากันเลยเหรอ ทำไมอาการมันฉับพลันอย่างนั้นล่ะ” มนตรีถามด้วยน้ำเสียงตระหนกยากที่จะควบคุมได้อีกต่อไป

“หมอบอกว่าโหมใช้งานข้อมือหนักเกินไป แต่พ่อไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้าต้องผ่าจริงๆหลังจากนั้นก็ทำกายภาพบำบัดได้ พอหายดีเดี๋ยวก็กลับมาใช้ข้อมือได้เหมือนเดิมแล้วล่ะ”

“หมอว่าอย่างนั้นเหรอ”

“ครับ” สนธยาพยักหน้า “แต่ระหว่างนี้ก็ต้องพักกิจกรรมเกี่ยวกับการใช้ข้อมือข้างนี้ทั้งหมด รอดูว่ายาที่ฉีดจะได้ผลไหม ถ้าได้ก็ไม่ต้องผ่าหรอกครับ”

“พักก็พักนั่นแหละ เรื่องประกวดก็เลื่อนไปก่อน ยังมีอีกหลายรายการ ถ้าหายดีแล้วเราค่อยไปสมัครใหม่ก็ได้นะลูก”

“ครับ”


พูดคุยกันเรียบร้อยก็พอดีกับที่ห้องจ่ายยาเรียกให้ไปรับยาและคิดค่าบริการ จากนั้นทุกคนก็พากันกลับ ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรกันเลย มีเพียงลุงมนตรีที่โทรไปบอกข่าวร้ายกับครูเพียงออเท่านั้น แต่นาคินก็สังเกตเห็นว่าคุณครูพี่สนของเขานั่งกุมมือแล้วเบือนหน้าออกไปข้างทางตลอด แววตาคู่สวยนั้นกังวลและอมทุกข์จนเขาสัมผัสได้ คิดไปว่าอีกฝ่ายคงผิดหวังที่ไม่ได้ร่วมการประกวดทั้งที่ตั้งใจซ้อมขนาดนี้ แต่สิ่งที่เขาคิดกลับผิดหมดเมื่อได้รู้ความจริงบางอย่างจากลุงมนตรีตอนที่กลับถึงบ้านแล้ว


กลางดึกคืนนั้นนาคินลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำแล้วเผอิญเห็นลุงมนตรีกำลังนั่งเอนหลังอยู่ที่หอนกเพียงลำพัง เขาจึงเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง

“ลุงมนยังไม่นอนเหรอครับ”

“อ้าว! คิน” มนตรีเว้นจังหวะตกใจเล็กน้อยที่นาคินเข้ามาเงียบๆ ก่อนจะตอบ “ยังลูก ลุงนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”

“เรื่องพี่สนเหรอครับ”

“อืม…” ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวๆหนึ่งครั้งก่อนจะตอบรับ นาคินจึงเข้าไปนั่งใกล้ๆกับลุงเพื่อจะได้พูดคุยกันได้สะดวก

“ไหนเห็นพี่สนบอกว่าถึงจะผ่าแต่พอหายดีก็สามารถกลับมาใช้ข้อมือได้ตามปรกตินี่ครับ”

“เฮ้อ~ ขอให้มันจริงอย่างหมอว่าเถอะ” ครูดนตรีถอนหายใจอีกรอบแล้วบอกด้วยน้ำเสียงวิตก

“ถ้าหมอว่าอย่างนั้นลุงมนก็อย่าคิดมากเลยนะครับ”

“ลุงก็อดคิดไม่ได้น่ะนะ คินรู้ไหมสำหรับนักดนตรีที่เล่นระนาดเอกเป็นหลัก ข้อมือของนักดนตรีพวกนั้นจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าพี่สนเขาหายดีเหมือนเดิมลุงก็โล่งใจ แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปสักนิด พี่เขาคงเสียใจมาก เพราะเขาทุ่มเทให้เรื่องนี้มาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว เราก็เห็นว่าเขาเป็นแบบนั้น แบบที่จริงจังกับทุกสิ่งที่ตัวเองทำ ทุ่มเทให้กับทุกอย่างที่ตัวเองรัก ตอนนี้พี่สนเขาคงรู้สึกผิดกับตัวเองไม่น้อยล่ะ เพราะเขาคงโทษว่าตัวเองซ้อมจนทำให้ร่างกายพัง”

“อย่างนั้นเหรอครับ”

“ความจริงที่มานั่งอยู่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ลุงแค่กังวลเพราะเป็นห่วงเขานั่นแหละ”


นาคินรู้ ถึงแม้ลุงมนตรีจะไม่พูดออกมา แต่เขาก็ดูออกว่าลุงห่วงลูกชายคนโตของตัวเองมากแค่ไหน สนธยาเป็นลูกที่ดี เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ และที่สำคัญที่สุด สนธยายังเป็นแก้วตาดวงใจของผู้เป็นพ่ออีกต่างหาก ถ้าคิดดูให้ดี คำว่าเป็นห่วงและเป็นกังวลอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำกับความรู้สึกจริงๆในใจของคนที่เป็นพ่ออย่างลุงมนตรี


“อย่าคิดมากเลยนะครับ ผมเชื่อว่าพี่สนต้องหายดี เขาจะต้องกลับมาเล่นดนตรีที่เขารักให้ลุงฟังได้เหมือนเดิมแน่ๆครับ”

“ขอบใจนะคิน”


นาคินยิ้มรับคำขอบคุณนั้น เขารู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมันอาจจะดูเหมือนคำปลอบใจธรรมดา แต่ลึกๆแล้วเขาก็มั่นใจว่าสนธยาจะต้องหายเป็นปรกติและจะต้องกลับมาเล่นดนตรีได้ไพเราะเหมือนเดิมแน่นอน





‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧


มาแล้วค่าาาา
หลังจากนี้จะมาเร็วขึ้นนะ อันนี้เอาจริงแล้วค่ะ
เนื่องจากเราเขียนสต๊อกใกล้ถึงตอนจบแล้ว
ขอโทษที่ไม่ได้มาลงเลยนะคะ
เราอยากเขียนไปเยอะๆแล้วมองภาพรวมด้วยน่ะค่ะ
บางที่มันมีจุดที่อยากเปลี่ยน เป็นปริศนาบางอย่าง คือจะได้เปลี่ยนทันก่อนเอาลง
ขอบคุณคนที่ยังเข้ามาทวงนะคะ
คิดถึงคนอ่านมากๆค่ะ ^__^
ละอองฝน
(๑๙/๐๘/๒๕๕๘ , ๑๙:๓๓)

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2

^
^
^
^
^
 :z13:
คึคึ
 :mew4: :mew4:
คิดถึงจังเลยค่ะ
รออยู่นะ ดูเหมือนว่าความผูกพันในอดีตเร่ิมแสดงตัวแล้วสินะ
ว่าแต่มือพี่สนจะเป็นไรมากป่ะเนี่ย

รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
 :กอด1: :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2015 22:00:06 โดย klaew »

ออฟไลน์ Cream A

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
ฮูเล่ กลับมาแล้วพี่สนน้องคิน  :heaven

ตอนนี้ยังเดาทางเรื่องไม่ออกเลย รอติดตามตอนต่อไปนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
ยังดีนะคะที่พี่สนไม่ดื้อแพ่งและยอมมา ร.พ. กับคินง่ายๆ ดีแล้วจริงๆ ^^ อาการที่เป็นอยู่จะได้ไม่ลุกลาม..

ขอบคุณค่ะ o1

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
ดีนะที่มีคินอยู่ด้วย ยังรอพี่สนน้องคิน

ออฟไลน์ poterdow

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
คนที่มองคือแก้วป่ะ
คือแบบมาเข้าฝันคินให้ช่วยตัวที่โดนแม่นางทับทิมจับท่วงน้ำ
ละไปเกิดไม่ได้ งี้ป่ะ มโนไกลโครต 55555555555555

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เป็นกำลังใจให้ครูพี่สนหายไวไว

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ดันมาเจ็บตัวสะได้นะ  จะทำไงต่อล่ะที่นี้ ถ้าเล่นไม่ได้นี้คงแย่น่าดู

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1038
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
พี่สนมาแล้ว แต่พี่สนดันมาเจ็บอีกอดไปประกวดเลย อุตส่าห์ตั้งใจซ้อมหนักทุกวัน
หายเร็วๆนะพี่สน สู้ๆ

 :pig4: :L2:

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2




บทที่ ๙






   หลังจากไปโรงพยาบาลในคืนนั้น ตอนนี้ผ่านมาสี่วันแล้ว ทว่าสนธยากลับไม่รู้สึกว่าอาการของเขาดีขึ้นเท่าไหร่ แม้วันแรกจะปวดไม่มากแต่เขาคิดว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ฉีดมาคอยระงับอาการเอาไว้มากกว่า ถึงจะคอยภาวนามาหลายวันแต่ดูเหมือนคำขอของเขานั้นจะไม่เป็นผล เนื่องจากอาการไม่ดีขึ้นแบบนี้คงไม่แคล้วต้องผ่าตัดสถานเดียว
   เมื่อไปพบหมอตามนัด หมอก็ได้วินิจฉัยว่าควรผ่าตัดจริงๆ การผ่าใช้เวลาไม่นาน เป็นเคสเล็กๆ ความเสี่ยงไม่มาก ผลข้างเคียงก็ไม่น่ากลัวอย่างที่กังวล เสียอย่างเดียวคือต้องงดใช้ข้อมือและทำกายภาพบำบัดหลังแผลหาย ต่อมาหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้นสนธยาก็ได้รับการผ่าตัดแก้ไขปัญหาเอ็นข้อมืออักเสบ ซึ่งมันก็ผ่านไปด้วยดีไม่มีปัญหาอะไร
   จะมีก็แต่สนธยาที่ดูไม่ร่าเริงแจ่มใสเช่นเก่า อันที่จริงแม้จะเป็นชายหนุ่มที่มีบุคลิกเงียบขรึมอย่างไร ในยามปรกติสนธยาก็จะออกมาพูดคุยกับคนอื่นๆ ในบ้านบ้าง แต่นี่พอทานอาหารเสร็จ เจ้าตัวก็หลบเข้าห้องเงียบ ไม่ออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้างเลยแม้จะเป็นวันหยุดก็ตาม ยิ่งตอนนี้ครูมนตรีรับหน้าที่สอนเด็กๆ แทนให้ก่อนจนกว่าจะหายดี คนในบ้านก็ยิ่งแทบไม่เห็นแม้แต่เงาของสนธยา
   นาคินเองก็รู้สึกไม่สบายใจในการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เอาเข้าจริงบางทีก็รู้สึกเหงาเหมือนกันที่ไม่เห็นสนธยาในสายตา ทุกทีถึงจะไม่เจอ ไม่ได้พูดคุย แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงเพลงที่เล่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่รู้ว่าคุณครูพี่สนของเขาจะหลบพักอยู่หลังกำแพงนั่นอีกนานแค่ไหน การรอคอยให้เจ้าตัวยอมปรากฏกายออกมาแล้วทำตัวเป็นปรกติมันช่างยาวนานเหลือเกิน นานเกินกว่าที่เขาจะรออยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไป
ดังนั้นวันนี้นาคินจึงตัดสินใจใช้ความเป็นลูกศิษย์ เรียกร้องความสนใจจากเจ้าชายที่แอบอยู่ในปราสาทให้ออกมาดูโลกภายนอกบ้าง
   ก๊อก ก๊อก
   เสียงเคาะเรียกที่หน้าประตูดังขึ้นสองครั้งก่อนจะเงียบไป สนธยาละสายตาจากคอมพิวเตอร์เพื่อหันไปมองครู่หนึ่งแต่ไม่ได้ส่งเสียงขานรับ พอเห็นว่าคนข้างนอกเงียบไปเขาจึงหันกลับมาสนใจจอคอมพิวเตอร์ต่อ แต่คราวนี้เสียงเคาะกลับดังขึ้นอีกและดังรัวต่อกันเป็นชุดจนคนที่อยู่ในห้องต้องรีบลุกจากเก้าอี้ไปเปิดประตู
   “นึกว่าสนหลับเสียอีก” สนธยาจ้องมองโฉมหน้าคนไร้มารยาทที่ยืนยิ้มเผล่ราวกับไม่รู้สึกผิดที่กำลังรบกวนคนอื่นด้วยอารมณ์หงุดหงิดใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างฉุนๆ
   “มีธุระอะไร”
   “สนว่างอยู่หรือเปล่าครับ ผมไปได้ยินเพลงๆ หนึ่งมา เพราะมากเลยล่ะ สอนเล่นหน่อยสิครับ”
   “มีโน้ตมาไหม”
   “มีครับ” นาคินโชว์กระดาษโน้ตเพลงที่เพิ่งปริ้นมาสดๆ ร้อนๆ ให้สนธยาดู คุณครูหน้ามนเหลือบตามองนิดหน่อยก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
   “มีโน้ตก็น่าจะเล่นเองได้ไม่ใช่หรือ ฉันสอนอ่านโน้ตแล้วนี่”
   “โถ่~ คุณครูครับ เพลงมันซับซ้อนนะครับ แค่เพลงค้างคาวกินกล้วยผมยังเล่นง่อยๆ อยู่เลย” คนตัวโตโอดครวญด้วยท่าทางน่าสงสาร แม้สนธยาจะมองว่ามันดูเสแสร้งมากกว่า แต่เขาก็ยอมเดินเข้าไปปิดคอมพิวเตอร์ จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้อง
   “ไปสิ ยืนมองอยู่ได้ เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจซะหรอก”
   “ครับๆ”
นาคินรีบตอบด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นแล้วเดินตามหลังไป เขาแอบยิ้มโล่งใจอยู่ข้างหลังโดยไม่ให้สนธยาสังเกตเห็น เพราะอย่างน้อยแผนที่จะเรียกร้องความสนใจเพื่อให้อีกคนเลิกหมกตัวอยู่แต่ในห้องก็สำเร็จไปขั้นหนึ่ง



o-----------------------o




   เพลงที่นาคินเลือกมานั้นยากเกินความสามารถของชายหนุ่มไปมากจริงๆ เพราะถึงแม้จะได้รับการชี้แนะจากสนธยาแล้ว นาคินก็ยังเล่นได้แค่ท่อนแรกเท่านั้น ทำไปทำมาคนที่บากหน้าไปชวนคนอื่นแต่แรกก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ คงต้องฝึกอีกมากกว่าที่เขาจะเล่นได้ทั้งเพลง เผลอๆ อาจต้องใช้เวลาเป็นปีหรือครึ่งปีเลยก็ได้
   “แบบนี้คงไม่ไหวครับ โน้ตมันยากเกินไป”
เห็นนักเรียนตัวโตรวบไม้เก็บ ทำหน้ามุ่ยยอมถอดใจเมื่อลองดูแล้วรู้สึกว่าทำไม่ได้จริงๆ สนธยาจึงยิ้มออกมาบางๆ ณ ตอนนั้นมีความรู้สึกเอ็นดูคนๆ นี้เหมือนตอนที่สอนนักเรียนเด็กๆ ของตัวเองขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาจึงลุกเข้าไปนั่งใกล้ ก่อนส่งสายตาแทนความหมายว่าให้ขยับไป นาคินก็ยอมขยับเลี่ยงที่ให้คุณครูนั่งหน้าขิมแทนอย่างว่าง่าย
   “มันยากเกินไปจริงๆ นั่นแหละ แต่ถ้าพยายามฝึกบ่อยๆ จนชำนาญ อีกหน่อยก็จะเล่นได้เอง เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวฉันลองเล่น…”
   ทว่าเมื่อพูดถึงตรงนี้สนธยาก็เงียบเสียงไป ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นาคินมองรอยยิ้มน้อยๆ ค่อยๆ เลือนหายไปแล้วนึกไม่สบายใจ เพราะรู้ว่าภายใต้สีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นมากะทันหันนั้นคงจะมีความเจ็บปวดซุกซ่อนอยู่ หากถามว่าเขารู้ได้อย่างไร นาคินคงจะตอบว่าเขาไม่รู้ เขาเพียงแค่เดาจากแววตาหม่นหมองที่มองขิมโป๊ยเซียนนิ่งนานเท่านั้น
   “สน” นาคินเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่ดังนัก เขาจึงไม่รู้ว่าเพราะเหตุนั้นสนธยาจึงไม่ตอบเขาหรือเปล่า
   “…”
   “สนครับ”
แต่นาคินก็ยังเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเดิม และคราวนี้เจ้าของเสียงนุ่มก็ยอมเอ่ยปาก ซ้ำยังเป็นประโยคคำถามที่ทำให้คนฟังอดนึกปวดแปลบในอกไปด้วยไม่ได้
   “นายว่าหลังจากนี้ ฉันจะยังเล่นดนตรีได้เหมือนเดิมไหม”
ขณะถามออกไป มือข้างที่ไม่ได้เจ็บก็ค่อยๆ ลูบไล้สายทองเหลืองของขิมตัวเก่าแผ่วเบา หลายวันมานี้สนธยาไม่อาจสงบจิตใจหรือทำให้ตัวเองนอนหลับสนิทได้เลย เพราะเขาต้องอยู่กับความเครียดที่อุ้งมือไม่อาจทำได้แม้กระทั่งจับช้อนกินข้าว อุ้งมือที่เผลอขยับนิดเดียวก็เจ็บระบมไปหมด
สนธยาไม่กล้าบอกใครว่าเขารู้สึกกลัวแค่ไหน เขากลัวเอฟเฟคหลังการผ่าตัด กลัวตัวเองจะหายไม่สนิทและกลัวว่าจะเล่นดนตรีได้ไม่ดีเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นกับขิมตัวนี้หรือจะเป็นเครื่องดนตรีชิ้นไหนๆ ก็ตาม ถ้าหากมันเป็นเช่นนั้นแล้วเขาจะทำอย่างไรดี
เกิดความเงียบขึ้นขณะที่นาคินใช้เวลาชั่วอึดใจในการมองมือที่เจ็บข้างนั้น แต่ความเงียบแค่นั้นก็สามารถทำให้ใครอีกคนที่รอฟังคำตอบใจเสียหนักกว่าเก่าได้แล้ว เขารู้ว่านาคินเองก็ไม่อาจให้คำตอบอะไรได้ ทว่าความอ่อนแอที่เกิดขึ้นทำให้สนธยาอยากฟังคำยืนยันสักนิดให้ใจชื้น แม้รู้ว่ามันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นจริงก็ตาม
ขณะที่สนธยากัดริมฝีปากสกัดกั้นน้ำตาที่ล้นขอบและความรู้สึกผิดหวังข้างในใจที่จะไม่ได้ยินเสียงทะเล้นตอบอะไรกลับมา อยู่ๆ นาคินก็ยื่นมือทั้งคู่ของตนเองมาคว้ามือข้างที่เจ็บของสนธยาเอาไว้แล้วประคองอย่างทะนุถนอม ก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมาบางประโยค เป็นประโยคที่หนักแน่นแต่ก็อ่อนโยน จนทำให้คนฟังเกิดความรู้สึกเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“พี่ต้องหายดี แล้วกลับมาเล่นดนตรีให้ผมฟังได้เหมือนเดิมแน่ๆ ครับ พี่สน”


o-----------------------o


ตั้งแต่วันนั้นกระทั่งวันนี้เป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์ นาคินตามติดสนธยาเหมือนลูกเป็ดติดแม่ ไม่ว่าสนธยาจะอยู่ที่ไหนก็จะเห็นนาคินเป็นเงาตามตัวไม่ห่าง ราวกับกลัวว่าหากปล่อยเอาไว้คนเดียวสักครึ่งนาที สนธยาอาจจะจิตตกฟุ้งซ่าน นั่งร้องห่มร้องไห้คิดมากเรื่องมือขึ้นมาอีกอย่างไรอย่างนั้น
แม้แต่ตอนที่นั่งทำกายภาพบำบัดอยู่ที่บ้าน เจ้าคนตัวโตนั่นก็ยังหาเวลามานั่งดูนั่งมอง นานๆ ทียังยื่นมือเข้ามาช่วยจับมือเรียวสวยของหนุ่มนักดนตรีให้วุ่นวายเล่นอีกด้วย
“อย่ายุ่งนักได้ไหม มีอะไรไปทำก็ไปทำเถอะ ไม่ต้องมานั่งเฝ้าตลอดก็ได้”
“ก็ผมไม่มีอะไรต้องทำนี่ครับ” ไอ้ประโยคแบบนี้ก็มักจะมาพร้อมกับยิ้มทะเล้นซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าเช่นทุกที
“ไม่มีอะไรทำสักอย่างเลยหรือไง เพื่อนล่ะ วันหยุดอย่างนี้ไม่คิดจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างหรือ”
ช่วงหลังๆ มานี้สนธยาเคยเจอเพื่อนของนาคินที่มหาวิทยาลัยบ่อยครั้ง เนื่องจากเจ้าจอมวุ่นวายชอบแวะไปนั่งรอเขาเลิกเรียนเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน
“เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยไปครับ”
“ไปทำอะไร”
“แหนะ! อยากรู้เรื่องผมเหมือนกันหรือครับ”
“ไม่สักหน่อย ฉันก็ถามไปงั้น ตามมารยาทน่ะรู้จักไหม” ได้ยินอย่างนั้นแทนที่นาคินจะสลด แต่ก็ไม่เลย เจ้าตัวยังยิ้มกวนประสาทแล้วบอกเสียเสร็จสรรพว่าต้องไปทำอะไรในตอนเย็น
“นัดซ้อมบอลครับ”
“จริงสิ อาทิตย์หน้าก็มีกีฬาเฟรชชี่แล้วนี่” สนธยาว่าเมื่อนึกขึ้นได้
“สนต้องทำอะไรหรือเปล่าช่วงนั้น”
“ก็ไม่นี่ ทำไมล่ะ”
“ไปเชียร์ผมหน่อยสิ” เสียงทุ้มบอกอ้อนๆ
“จำเป็นหรือไง” ดวงหน้าเรียบเฉยเงยขึ้นมามองขณะถามกลับ
“จำเป็นสิครับ นะๆ ไปเชียร์ผมหน่อย” คราวนี้ไม่พูดเปล่า ดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มนั่นยังทำหน้าที่ออดอ้อนเสียจนหน้าหมั่นไส้มากกว่าหน้าเอ็นดู
“ไม่ล่ะ ถ้าจะเชียร์นาย ฉันไปเชียร์รุ่นน้องคณะเดียวกันไม่ดีกว่าหรือไง” พอพูดจบยังไม่ทันที่นาคินจะแย้ง เสียงของบุคคลที่สามก็ดังขึ้นเสียก่อน
“นั่งทำอะไรกันคะพี่ๆ” มัทนาเดินเข้ามาพร้อมกับวางโทรศัพท์เครื่องสีขาวไว้บนโต๊ะกลาง “พิมได้ยินเสียงมันดังตั้งนานแล้วค่ะ เห็นว่าพี่สนไม่รับสักทีก็เลยคิดว่าคงไม่ได้อยู่ในห้องแน่ๆ”
“ขอบใจนะ” สนธยาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองไปกดดู ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อปลีกตัวไปคุยธุระส่วนตัวที่อื่น ที่โต๊ะจึงเหลือแค่มัทนาและนาคินสองคน
“เดี๋ยวนี้พี่คินสนิทกับพี่สนจังนะคะ”
“พวกพี่ดูเหมือนอย่างนั้นหรือ” นาคินเลิกคิ้วแปลกใจ เขาไม่คิดว่าความพยายามที่จะสนิทสนมกับสนธยาของเขาจะมีคนสังเกตเห็นด้วย
“ใช่ค่ะ ทำไมคะ พวกพี่ไม่ได้สนิทกันเหรอ เห็นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ นี่”
“ก็ไม่รู้จะเรียกสนิทได้ไหมนะ แต่ก็คุยกับเขามากกว่าตอนแรกๆ นั่นแหละ” มาคิดๆ ดูแล้วเขาก็พูดว่าสนิทสนมกันไม่ได้เต็มปากหรอก เพราะดูเหมือนเขาจะเข้าหาสนธยาข้างเดียวเสียมากกว่า
“แต่พิมว่าเท่านี้ก็เรียกสนิทกันแล้วล่ะค่ะ เพราะปรกติพี่สนเขาคุยกับใครง่ายๆ ที่ไหน รายนั้นน่ะไม่ชอบให้ใครวุ่นวายด้วยเท่าไหร่หรอก โลกส่วนตัวสูงจะตาย”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย จะนินทาอะไรก็ดูเสียบ้างว่าเจ้าตัวเขาอยู่ใกล้ๆ หรือเปล่า” มัทนาถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงพี่ชายอยู่ข้างหลัง เธอหันไปยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“พี่สนมาเมื่อไหร่คะเนี่ย พิมไม่ทันเห็นเลย”
“มาตั้งแต่ได้ยินเราถามเรื่องสนิทไม่สนิทอะไรนั่นแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งแต่แรกเลยสิ แล้วทำไมพี่คินไม่บอกพิมเลยละคะ ปล่อยให้พิมนั่งนินทาพี่ชายตัวเองอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” มัทนาทำหน้ายู่เสียน่ารักยามเมื่อพูดตัดพ้อ นาคินไม่ได้ตอบเธอแต่หัวเราะชอบใจเมื่อได้แกล้งหญิงสาวเล็กๆ น้อยๆ
“นายจะไปมหาวิทยาลัยตอนกี่โมง” แล้วนาคินก็หยุดหัวเราะเมื่ออยู่ๆ สนธยาหันมาเอ่ยถามตน
“สักประมาณบ่ายสามครับ”
“ตอนนี้บ่ายสองแล้ว ไปเตรียมของสิ เดี๋ยวไปด้วยกัน” เมื่อได้ยินคำสั่งนาคินก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี
“จะไปส่งผมหรือครับ”
“ต้องไปทำงานที่มหาวิทยาลัยพอดีก็เลยจะให้ขับรถให้ ไปด้วยกันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยลุงเสริม” เพราะมือยังไม่หายดี มนตรีก็เลยสั่งห้ามไม่ให้ลูกชายขับรถจนกว่าจะแน่ใจว่าหายดีแล้วจริงๆ
“ไปครับๆ” หนุ่มรุ่นน้องพยักหน้าเร็วๆ
“งั้นก็ไปเตรียมตัวสิ” สั่งย้ำอีกคำ นาคินจึงลุกขึ้นแล้วกลับเข้าไปเตรียมกระเป๋าในห้องทันที มัทนามองพี่ชายอีกคนหายลับเข้าไปในห้องก่อนจะหันกลับมามองพี่ชายตัวเองอีกครั้ง
“พิมว่าพี่สองคนดูสนิทกันมากขึ้นจริงๆ นั่นแหละค่ะ แต่แบบนี้ก็ดีแล้วเนอะ” เธอว่าก่อนเดินกลับห้องของตัวเองไปเช่นกัน ทิ้งให้สนธยาได้แต่ยืนใคร่ครวญบางอย่างเพียงลำพัง
เขาเองก็ไม่รู้จะใช้คำว่าสนิทสนมได้ไหม ทว่าตั้งแต่วันที่เขายอมแสดงด้านที่อ่อนแอออกมาให้นาคินเห็นวันนั้น สนธยาคิดว่าตัวเองได้เปิดใจให้กับนาคินมากขึ้นจริงๆ ซึ่งหากคิดดูแล้วเขาเองก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปนี้มันจะดีจริงๆ หรือเปล่า


o-----------------------o



นาคินขับรถพาสนธยามาส่งที่คณะก่อนค่อยพาตัวเองเดินทางไปยังสนามฝึกซ้อม โดยนัดหมายไว้ว่าหลังจากซ้อมฟุตบอลเสร็จจะไปรับ เมื่อตกลงกันเสร็จสรรพทั้งสองคนจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน จนกระทั่งนาคินซ้อมเสร็จ ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ สายตาก็เหลือบเห็นร่างคุ้นตานั่งอยู่ที่อัศจรรย์ สองเท้าจึงเปลี่ยนเส้นทางเดินออกนอกลู่ไปหา
“สนมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“สักพักแล้ว” อีกฝ่ายตอบ
“แล้วมายังไงครับ นี่อย่าบอกนะว่าเดินมาเอง” คนตัวโตถามด้วยความเป็นห่วง
“เพื่อนขับรถมาส่ง” สนธยาตอบเรียบๆ แต่นาคินกลับท้วงถึงคำที่ตนเองได้บอกเอาไว้แต่แรก
“แต่ผมบอกแล้วว่าจะไปรับนี่ครับ”
“ก็งานมันเสร็จเร็ว นายจะให้ฉันรออยู่ที่ตึกคณะคนเดียวหรือไง”
“ใครจะอยากให้เป็นอย่างนั้นละครับ ผมไม่ถามเซ้าซี้ก็ได้ เอาเป็นว่าไม่ต้องเดินมาเองก็ดีแล้วครับ” นาคินยอมให้ง่ายๆ ไม่พูดจากวนประสาทเช่นทุกทีเพราะเหนื่อยจากการซ้อมกีฬา สนธยาจึงรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ตัวเองตั้งท่าพูดจาไม่ค่อยดีใส่อีกฝ่าย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง คนหน้ามนจึงถามด้วยเสียงอ่อนลง
“นี่ซ้อมเสร็จแล้วหรือ”
“ครับ” นาคินพยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวต้องไปซื้อของกันต่ออีก”
“ซื้อของหรือครับ” คิดแปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่ทราบมาก่อน นาคินจึงทวนประโยคซ้ำ
“อืม เอากลับไปทำงานน่ะ”
“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นรอหน่อยนะ ผมขอเปลี่ยนชุดเดี๋ยวเดียว” พูดกันเพียงเท่านั้นคนตัวสูงก็รีบวิ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีเพราะกลัวอีกฝ่ายต้องคอยนาน
ใช้เวลาครู่เดียวนาคินก็กลับมา เขาขับรถพาสนธยาไปซื้อของใช้ที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ มหาวิทยาลัย กว่าจะเดินหาอุปกรณ์ทำงานครบก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม สนธยาจึงตัดสินใจเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นในห้างเพื่อหาอาหารเย็นทานกันเสียเลย
“ยิ้มอะไรน่ะ” คิดอยู่นานว่าจะเอ่ยถามดีไหม แต่สุดท้ายสนธยาก็อดทนกับความอยากรู้ไม่ไหว เพราะตั้งแต่เดินเข้าร้านอาหารมา นาคินก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่แทบจะตลอดเวลาราวกับคนบ้าก็ไม่ปาน
“ยิ้มเฉยๆ ครับ ไม่มีอะไรสักหน่อย” เจ้าตัวดีว่าก่อนยิ้มให้เขาอีกรอบ
“…” แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่สนธยาก็ไม่ถามซ้ำอีก ทว่านาคินกลับเปลี่ยนมาเป็นคนถามแทน
“ทำไมหรือ”
“เปล่า ก็แค่เห็นนายนั่งยิ้มอย่างกับคนบ้า ฉันเลยสงสัย”
“ความจริงผมแค่ดีใจที่มีคนพามากินข้าวด้วย เพิ่งเคยมาสองคนครั้งแรก เหมือนมาเดทเลยเนอะ”
“ไม่เห็น…” กำลังจะโวยวายใส่คนชอบหยอกก็เป็นจังหวะพอดีที่อาหารมาเสิร์ฟ สนธยาจึงหุบปากฉับแล้วเบนความสนใจทั้งหมดไปหยุดที่อาหาร สงครามที่ควรจะเริ่มจึงดับมอดลงเพียงเท่านั้น
ระหว่างมื้ออาหารทั้งสองคนก็คุยกันบ้างนิดหน่อย แต่นาคินดูเหมือนเหนื่อยๆ จึงเอาแต่ทานเสียส่วนใหญ่ ไม่คอยพูดคอยกวนประสาทเช่นก่อนหน้า ครั้นอิ่มกันแล้วสนธยาก็อาสาจ่ายเงินเองเพราะวันนี้ได้นาคินช่วยหลายอย่าง ทั้งขับรถและมาเดินถือของให้อีกต่างหาก จนกระทั่งกลับถึงบ้าน นาคินก็ยังช่วยยกของเข้าไปเก็บในห้องให้ สนธยาจึงต้องอ้าปากขอบอกขอบใจกันอีกคำ
“ขอบใจนะ” ร่างโปร่งยืนพิงกรอบประตูห้องนอนขณะออกมาส่ง
“ขอบใจทำไมครับ” แม้จะถามออกไปอย่างนั้นแต่ก็ยังอดดีใจนิดๆ ไม่ได้ คนอย่างสนธยาในยามปรกติมีที่ไหนจะยอมพูดกับนาคินดีๆ
“ก็วันนี้ฉันรบกวนนายหลายอย่าง” เสียงนุ่มว่า
“นิดหน่อยเองครับ ผมไม่สบายสนยังคอยดูแลเลย เท่านี้เล็กน้อยน่า” คนตัวทำท่าทำทางประกอบพร้อมแนบยิ้มการค้าเสร็จสรรพ
“เอาเถอะ จะมากจะน้อยยังไงก็ต้องขอบใจนั่นแหละ นายไปอาบน้ำนอนเถอะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนี่” สนธยาบอกก่อนยกมือโบกไล่
“ครับๆ” พยักหน้ารับคำแล้วนาคินก็กลับห้อง ทว่าบังเอิญนึกบางอย่างขึ้นได้พอดีคนตัวสูงจึงหันหลังกลับมามองคนที่ยืนข้างหลัง
“มีอะไร” สนธยาถามอย่างแปลกใจ
“ไม่มีอะไรมากหรอก”
“ไม่มีอะไรมากแล้วกลับมาทำไม”
“ผมแค่อยากบอกว่า ผมดีใจนะที่เราคุยกันดีๆ ได้เท่านั้นแหละ”
ไม่รู้เพราะแสงในคืนจันทร์เต็มดวงหรือแสงไฟจากโคมโบราณที่ระเบียงกันแน่ ดวงตาของนาคินจึงส่องประกายวิบวับราวจะเผยให้เห็นอะไรบางอย่างซึ่งแอบซ่อนเอาไว้ลึกๆ ในหัวของสนธยามีภาพเลือนรางของใครสักคนซ้อนทับตรงหน้า แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวมันก็สลายหายไป เป็นสัญญาณให้รู้สึกตัวว่าต้องตอบอะไรสักอย่างกับคนตรงหน้า
“อยากคุยดีก็เลิกกวนประสาทสิ”
“คงแก้ยากแล้วครับรุ่นนี้” คนตัวสูงว่าพลางหัวเราะชอบใจ จากนั้นจึงลาไปพักผ่อนจริงๆ เสียที “ฝันดีครับ”
สนธยาไม่ได้ตอบอะไรอีก เขายืนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งนาคินเข้าห้องไป คำพูดที่ได้ยินยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวราวกับเสียงผสานไปในอากาศ แต่สิ่งที่ติดใจยิ่งกว่าคือดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นต่างหาก แววตาที่นาคินใช้มองเขาตอนที่พูดเมื่อครู่ เขารู้สึกคุ้นเคยกับมันเหลือเกิน คุ้นเคยมากจนทำให้หัวใจกระตุกวูบ แต่เพราะเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนั้นสนธยาก็ไม่อาจรู้ได้





‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧


มาต่อแล้วจ้าาาา
ช่วงนี้ยุ่งๆเดินทางบ่อยมาก แต่จะพยายามมาลงบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ

ละอองฝน
[๐๑:๑๘ , ๐๘/๐๙/๒๕๕๘]


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-03-2017 13:18:28 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เรื่อยๆตอนนี้ ปริศนาหลอนๆยังไม่มา

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
นาคินจะจีบคุณครูพี่สนหรือ

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
ถึงพี่สนจะทำท่าทางเหมือนรำคาญกันนิดๆ แต่ลึกๆ แล้วก็รู้สึกดีใช่ไหมล่ะคะที่คินชอบเข้ามาพันแข้งพันขา~~ :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ก็ต้องเป็นอดีตเมียในชาติที่แล้ว แต่ชาตินี้จะมาเป็นสามีแท้ คึคึ

ออฟไลน์ Cream A

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังพัฒนาควบคู่ไปกับเรื่องราวในอดีตที่กำลังจะหวนกลับคืนมา รอค่าา

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
ก้าวหน้าขึ้นนะ แต่ทำไมแววตาถึงคุ้นหล่ะ

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1038
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
ทั้งคู่สนิทพูดคุยกันมากขึ้น ความสัมพันธ์พัฒนาไปในทางที่ดิน
นาคินน่ารัก มากวนมาคุยเพื่อไม่ให้พี่สนคิดมาก สนก็น่ารัก ^^

 :pig4: :L2:

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2




(เพิ่มเติม)






   วันนี้อากาศแจ่มใสมากกว่าทุกวันซึ่งเหมาะแก่การแข่งขันกีฬาเป็นอย่างมาก ยิ่งช่วงบ่ายเมฆก็ไม่มีทีท่าเคลื่อนคล้อยมาบดบังดวงอาทิตย์เลยสักนิด นักศึกษาที่รวมตัวอยู่บนอัฒจันทร์เพื่อเชียร์นักกีฬาประจำคณะของตัวเองก็ยิ่งคึกคัก เสียงรัวกลองประกอบกับเสียงร้องเพลงที่ดังกระหึ่มสนามช่วยให้กำลังใจของนักกีฬาที่เก็บตัวอยู่เอ่อล้นเต็มเปี่ยมขึ้นมาเกินร้อย


   นาคินเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดแข่งขันประจำคณะเรียบร้อยแล้วก็เก็บตัวอยู่ในห้องพักนักกีฬา ใกล้ถึงเวลาแข่งกัปตันทีมก็เรียกให้ออกไปวอร์มร่างกายเล็กน้อย ก่อนเรียกรวมตัวเพื่อซักซ้อมแผนการเล่นที่ได้วางเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้า ไม่รู้ว่าเป็นโชคช่วยหรือฝีมือของเด็กเฟรชชี่หนุ่มคณะบริหารกันแน่ เพราะพวกเขาเข้ารอบจากการเตะกับคณะเกษตรศาสตร์มาได้อย่างหวุดหวิด 3 ประตูต่อ 2 เมื่อรอบที่แล้ว ครั้งนี้จึงต้องเจอกับทีมหินอย่างคณะสถาปัตยกรรม ยิ่งถ้าหากผ่านรอบนี้ไปได้พวกเขาก็ยังต้องชิงชนะเลิศกับทีมที่หินยิ่งกว่า ซึ่งเข้ารอบไปคอยอยู่แล้วอย่างทีมของคณะวิศวกรรมศาสตร์


   ทว่าพูดกันตามจริงนี่ก็ถือว่าทีมของนาคินทำผลงานเป็นที่น่าพอใจมากแล้ว ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะพ่ายให้ทีมเกษตรศาสตร์ตั้งแต่นัดที่แล้วเพราะในคณะบริหารแทบไม่มีผู้ชายอยู่เลย ที่พอลงแข่งได้ก็อ่อนปวกเปียกไปเกือบครึ่ง


   “เล่นให้เต็มที่ แพ้ชนะก็ไม่เป็นไร ขอแค่ตั้งใจก็พอ” สายฟ้าผู้เป็นกัปตันทีมเอ่ยออกมาแบบนั้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกให้นักกีฬาลงสนาม


   นาคินถึงกับส่ายหัวเมื่อมองต้นไผ่ทำท่าผวาตอนเห็นนักกีฬาสถาปัตย์ฯข่มโดยการทำท่าเชือดคอใส่ งานนี้คงจะหนักกว่าที่เขาคิดไว้แต่แรกเสียแล้วกระมัง


ผลการแข่งขันเป็นดังที่หลายๆคนคาด คณะสถาปัตยกรรมเอาชนะคณะบริหารไปได้อย่างขาดลอยด้วยสกอร์ 4 ประตูต่อ 1 แต่ทุกคนในทีมก็ไม่ได้ผิดหวังมากนัก ซ้ำยังนัดกันไปเลี้ยงฉลองที่ไม่ต้องซ้อมบอลกันในวันหยุดอีก และพูดขำๆว่าคราวที่แล้วสงสัยจะโชคช่วยให้ผ่านเข้ามาได้จริงๆ


นาคินเดินเงียบๆไปล้างหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะออกมาสมทบกับเพื่อนๆ เพื่อรอไปร้านอาหารพร้อมกัน ต้นไผ่ที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จก็ออกมานั่งข้างๆกันกับนาคิน ดวงตารีคู่นั้นมองมาที่เพื่อนตัวโตนิ่งคล้ายกับกำลังวิเคราะห์บางอย่าง จากนั้นก็เงียบอยู่อีกพักแล้วจึงเอ่ยออกมา


“ทำไมซึมๆล่ะคิน เสียใจที่แพ้เหรอ”

“เปล่าหรอก รู้อยู่แล้วว่าสู้ทางนั้นไม่ได้แน่ จัดชุดใหญ่มาเต็มขนาดนั้น รูปร่างอย่างกับไม่ใช่ปีหนึ่งเหมือนพวกเราแหน่ะ” นาคินส่ายหัวแล้วว่าปลงๆ

“แล้วนายเป็นอะไรล่ะ”

“เปล่านี่” นาคินปฏิเสธอีกครั้ง แต่ต้นไผ่ก็ไม่ยอมแพ้

“เชื่อตายล่ะ หน้านายดูเศร้าๆนะ บอกเรามาเหอะเผื่อเราช่วยได้” เพื่อนที่แสนดีพูดพลางยิ้ม ก่อนกระซิบเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน “รีบพูดกับเราก่อนดีกว่านะ ถ้าโจ้มาล่ะก็ เรื่องของคินจะไม่ได้มีแค่เราสองคนที่รู้แน่ๆ” ได้ยินอย่างนั้นนาคินก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ เมื่อนึกถึงเพื่อนปากสว่างของตน

“ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไรมากหรอก คือเราคิดว่าจะมีคนมาดูเราเล่นวันนี้น่ะ” คนพูดสลดลงเป็นหมาหงอย ก่อนจะหันมายิ้มแหย่แล้วว่า “แต่ไม่มาก็ดีแล้วล่ะ แพ้หมดรูปกันขนาดนั้น”

“ก็ไม่หมดรูปขนาดนั้นสักหน่อย อย่างน้อยคินก็ยิงได้ตั้งลูกนึง เท่จะตาย” คนตัวเล็กปลอบใจเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่ดูภูมิอกภูมิใจเสียเต็มประดา ก่อนปรับเสียงให้เบาลงแล้วถามด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “ว่าแต่คนที่อยากให้มาน่ะ ใช่พี่สนหรือเปล่า”


“เอ้ย! รู้ได้ไง” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

“ก็เดาเอาน่ะ เห็นตอนเล่นนายมองข้างสนามบ่อย แล้วนี่เราก็ยังไม่เห็นพี่สนเลยด้วย”


ไม่ต้องให้ต้นไผ่ช่วยยืนยันนาคินก็รู้ตัวว่าตนเองมองหาใคร แม้ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงอยากเห็นสนธยาที่ข้างสนาม เขารู้เพียงอยากมองเห็นสนธยายืนดูเขาอยู่เท่านั้น แค่แวบเดียวก็ยังดี แต่นี่ไม่เห็นแม้แต่เงา นาคินจึงอดรู้สึกผิดหวังลึกๆไม่ได้


“ตกลงว่าใช่หรือเปล่า” เห็นเพื่อนเงียบไปนาน ต้นไผ่จึงถามกระตุ้น

“ก็มองหาเขานั่นแหละ” ในเมื่อถูกมองจนทะลุปรุโปร่งขนาดนี้ นาคินก็ไม่มีความจำเป็นที่จะปิดบังเพื่อนอีกต่อไป

“คิน”

“หืม?”

“ถ้าเราถามอะไรสักอย่าง นายอย่าโกรธเราได้ไหม” เพื่อนตัวเล็กถามอย่างระมัดระวัง

“ไม่โกรธหรอก อะไรล่ะ” นาคินยิ้มกว้างเป็นการยืนยันว่าเขาไม่มีทางโกรธ ไม่ว่าต้นไผ่จะถามอะไรก็ตาม

“คินแอบชอบพี่สนเหรอ”

“แอบชอบ? หมายความว่าไง” คนตัวดูจะตกใจกับคำถามนั้นพอดู เขาจึงถามย้ำความหมายที่ต้นไผ่ถามให้แน่ใจ

“ก็…” ดวงตารีกรอกขึ้นอย่างใช้ความคิด ก่อนอธิบาย “ก็แบบแอบรัก แอบชอบ เหมือนที่คนทั่วๆไปเขาชอบ ชอบเหมือนอยากได้พี่สนมาเป็นแฟนอะไรแบบนั้นน่ะ เข้าใจหรือเปล่า”

“เอ้ย! บ้าแล้วไผ่ จะเป็นอย่างนั้นได้ไง เรากับพี่เขาเป็นผู้ชายทั้งคู่นะ” นาคินอุทานเสียงดัง ก่อนปรับลดเสียงให้เบาลงเพราะทุกคนหันมามอง

“เอ้า ไม่เห็นแปลก เราก็เป็นผู้ชายเหมือนคิน เรายังชอบพี่ลมเลย” ต้นไผ่เผลอหลุดปากออกไป

“ห๊ะ! อะไรนะ” นาคินอุทานอีกรอบ แต่ต้นไผ่ก็ปิดปากฉับแล้วแสร้งปัดเรื่องตัวเองให้พ้นจากความสนใจของนาคินไปก่อน

“อ่ะ! …ปะ..เปล่า ไม่มีอะไร ช่างเรื่องเราก่อนเหอะ เอาเรื่องคินก่อนดีกว่า ตกลงว่าไง”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย เราอยากสนิทกับพี่สนเพราะเขาน่าสนใจ เป็นคนที่มีอะไรน่าค้นหา ประมาณนั้นต่างหาก อีกอย่างพี่เขายังใจดีกับเรามาก เป็นพี่ที่ดีเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรอย่างที่นายว่าสักนิด” คนตัวโตอธิบายความรู้สึกตามที่ตัวเองเข้าใจให้เพื่อนฟัง แต่เพื่อนตัวดีก็ดูเหมือนจะไม่เชื่อเท่าไหร่นัก

“ไม่มีเลยจริงเหรอ”

“ไม่มี”


“ไม่ได้แอบใจเต้นเวลาอยู่ใกล้หรือเป็นห่วงกระวนกระวายเวลาเขาไม่สบาย ไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิดจริงๆเหรอ” ได้ยินคำอธิบายมาถึงตรงนี้ นาคินชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองเคยรู้สึกแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า

“ก็…เป็นห่วงนะ แต่ว่า…” เขาตอบอย่างตะกุกตะกัก แต่ไม่ทันพูดจบ ต้นไผ่ก็ลุกขึ้นสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าแล้วโบกมือลาเมื่อเห็นพี่ชายของตัวเองมายืนรอหน้าห้องพักนักกีฬา

“ไปคิดดูให้ดีๆนะคิน โอ๊ะ! พี่ชายเรามาพอดี  เรากลับไปเปลี่ยนเสื้อที่บ้านก่อน เดี๋ยวเราตามไปที่ร้านนะ”


นาคินนั่งอยู่ครู่หนึ่ง จมไปกับความคิดสับสนในหัวที่เกิดขึ้นเพราะเพื่อนมาสะกิดให้คิด แล้วโจ้ก็ออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า


“ไอ้ไผ่ล่ะคิน”

“พี่มารับไปแล้ว บอกว่าจะไปเจอที่ร้าน”

“อ๋อ งั้นเราไปกันเลยไหม”

“อืม”


นาคินลุกขึ้นสะพายกระเป๋า ก่อนจะปิดไฟปิดพัดลมในห้องเพราะพวกเขาเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ใช้ห้องนี้ หนุ่มๆบริหารคุยกันเฮฮาไปตามทาง ตั้งใจว่าจะไปขึ้นรถแท็กซี่ด้วยกันที่หน้ามหาวิทยาลัย


ขณะที่นาคินกำลังฟังเพื่อนวิเคราะห์เกมวันนี้อย่างออกรส สายตาก็พลันสะดุดกับใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ไม่ไกลจากทางออกสนามฟุตบอลเท่าไหร่นัก บนโต๊ะมีแก้วน้ำเก๊กฮวยสีเหลืองฉ่ำไปด้วยหยดน้ำที่เกาะพราวตรงผิวนอกแก้ววางอยู่ เร็วเท่าความคิดนาคินรีบบอกเพื่อนให้ไปกันก่อน จากนั้นก็วิ่งไปหาใครคนนั้นที่โต๊ะ


“สน!” น้ำเสียงดีใจมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของนาคิน

“ไม่ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนเหรอ” สนธยาถามเรียบๆ

“ไปครับ แต่เดี๋ยวค่อยตามไป”

“อืม” พอสนธยาตอบแล้วนาคินก็หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามเงียบๆ

“สนได้เข้าไปดูผมเล่นไหม” พอเปิดฉากถามออกไปตรงๆ สนธยาจึงไม่อาจปฏิเสธได้

“ก็…อืม”

“จริงเหรอ ดีใจจัง” นาคินยิ้มกว้างอีกครั้ง

“ดีใจอะไร แพ้ราบคาบขนาดนั้น” คนหน้านิ่งแอบเบาะเย้ยอีกฝ่ายนิดๆ แต่ดูเหมือนว่านาคินจะไม่สะทกสะท้านสักนิดเดียว

“แหมอย่างน้อยก็ยิงได้ตั้งลูกหนึ่งนะ” มิหนำซ้ำยังแอบอวดอ้างสรรพคุณเสียด้วย

“ก็งั้นๆแหละ” หนุ่มรุ่นพี่ยักไหล่

“แล้วนี่รอผมเหรอครับ” ทว่าพอนาคินถามคำถามนี้ สนธยากลับตอบเสียงเบาแล้วแสร้งเสมองไปทางอื่นอย่างแนบเนียน

“ไม่ได้รอ แต่แดดมันร้อนก็เลยนั่งเล่นก่อน อีกเดี๋ยวก็จะไปเรียนต่อแล้ว”

“อย่างนั้นเหรอครับ” นาคินพยักหน้ารับรู้ แต่แววตาพราวระยับของเจ้าตัวดูก็รู้ว่าไม่เชื่อคำที่สนธยาพูด

“ทำหน้าอย่างนั้นหมายความว่าอะไร”

“เปล่าครับ”

“นายนี่มันกวนประสาท” ไม่รู้ว่าสนธยาจะหงุดหงิดเพราะถูกจับได้เรื่องมารอหรือเปล่า แต่ถ้าหงุดหงิดแล้วแก้มขาวๆนั่นมีเลือดฝาดระเรื่อน่ารักแบบนั้น นาคินก็อยากเห็นคุณครูพี่สนหงุดหงิดมากขึ้นและนานขึ้นอีกสักหน่อย

“สน”

“มีอะไร”


“ผมขอน้ำเก๊กฮวยนี่ได้ไหม” นาคินชี้ไปที่แก้วเก๊กฮวยที่ละลายจนน้ำเกือบล้นออกจากแก้ว

“ขอทำไม ก็ฉันซื้อมาให้—“ กว่าจะรู้ว่าตัวเองเผลอหลุดปากบอกความลับสุดยอดออกมาก็สายไปเสียแล้ว

“นี่ซื้อมาให้ผมจริงๆเหรอครับ!” นาคินคว้าแก้วน้ำไว้ในมือแล้วถามเสียงดี้ด้าก่อนดูดเข้าไปอึกใหญ่

“ฉันไปเรียนดีกว่า” ดูเหมือนคำขอของนาคินจะเป็นจริง เพราะตอนนี้สนธยาแก้มสีระเรื่อเปลี่ยนเป็นแดงก่ำน่าหยิก พาลให้หัวใจของคนมองเต้นไม่เป็นจังหวะ กว่าจะหลุดจากภวังค์ได้ก็ตอนที่สนธยาเก็บกระเป๋าแล้วก้าวๆฉับๆจากไป นาคินจึงต้องรีบลุกขึ้นวิ่งตาม

“เดี๋ยวสิครับ!”


นาคินไม่รู้ว่าจะนิยามความรู้สึกนี้อย่างไร แต่ไอ้หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะแปลกๆเมื่อครู่จะพิสูจน์ว่าเขาชอบสนธยาอย่างที่ต้นไผ่บอกได้ไหม นาคินก็ยังไม่แน่ใจในตัวเองสักเท่าไหร่ แต่บางทีถ้าเขาอยู่ใกล้สนธยามากขึ้นอีกนิด มันอาจจะพิสูจน์ให้เห็นอะไรชัดเจนขึ้นก็ได้







‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧

อยากจะตัดช่วงนี้ไปตอนที่ 10 แต่รู้สึกว่ามันคาบเกี่ยวกับตอนที่ 9 มากกว่า
ตอนหน้าคือขึ้นเรื่องใหม่ๆนิดนึงด้วย ไม่อยากเอามารวมมาก กลัวตัดอารมณ์มุ้งมิ้งที่หาได้ไม่มากของเรื่อง 555

เจอกันตอนหน้าค่ะ

 :katai4:

ละอองฝน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2015 23:27:41 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
พอรู้ว่าพี่สนก็มาดูตัวเองแข่งบอลด้วยก็สดใสขึ้นทันตาเห็นเลยนะคะคิน~~ :-[

ออฟไลน์ Cream A

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
งื้อออ สองคนนี้มุ้งมิ้งกันน่ารักเชียว มารอลุ้นว่าจะรู้ใจกันเมื่อไหร่  :mew3:

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :hao3: คินเริ่มรู้สึกแล้วสิ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เกือบจะจูบกันแล้วด้วยซ้ำ ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าคิดยังไงกับอีกฝ่าย

ปล.อัฒจันทร์ คือที่นั่งในสนามกีฬา ไม่ใช่อัศจรรย์นะคะ

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2
เกือบจะจูบกันแล้วด้วยซ้ำ ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าคิดยังไงกับอีกฝ่าย

ปล.อัฒจันทร์ คือที่นั่งในสนามกีฬา ไม่ใช่อัศจรรย์นะคะ

ขอบคุณที่ช่วยดูคำผิดให้นะค้าาา  :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด