๘.
หลังจากที่นาคินหายป่วยสนธยาก็กลับไปนอนที่ห้องของตัวเองอย่างที่ได้บอกเอาไว้แต่แรกจริงๆ ทว่าจนกระทั่งถึงวันนี้ นาคินก็ไม่ได้ฝันประหลาดหรือรู้สึกหนาวเยือกวูบวาบราวกับมีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลาอีก อาจจะเป็นเพราะวุ่นวายกับการหาข้อมูลทำรายงานส่งจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน อีกทั้งยังต้องไปซ้อมฟุตบอลทุกเย็น เนื่องจากพวกเพื่อนตัวดีใส่ชื่อให้ลงเป็นเล่นกีฬาเฟรชชี่ในตำแหน่งผู้รักษาประตู จะปฏิเสธก็ไม่ได้ ในเมื่อคณะบริหารมีประชากรชายน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ดังนั้นพอหัวถึงหมอนสติก็ดับไปเพราะความเหนื่อยล้า นาคินรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน กิจวัตรประจำวันเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น ไม่ต้องคอยพะวงกับเรื่องเหนือธรรมชาติที่พิสูจน์ไม่ได้ จะได้ใช้ชีวิตนักศึกษาปีหนึ่งธรรมดาๆอย่างคนอื่นเขาเสียที
เพราะยุ่งเอามากๆที่ผ่านมานาคินจึงไม่ค่อยได้พบหน้าสนธยาเลยแม้ว่าจะอยู่บ้านเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นนาคินก็พอจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้ นั่นคือหลายวันมานี้เมื่อเขากลับมาถึงห้อง แม้ดึกดื่นแค่ไหนเขาก็จะได้ยินเสียงดนตรีไทยของสนธยาดังมาจากเรือนดอกแก้วอยู่เสมอ เนื่องจากไม่มีเวลานาคินเองก็ไม่ได้ลงไปซ้อมขิมเลย เขาจึงไม่รับรู้ความเป็นไปของคุณครูคนเก่ง ดังนั้น คืนนี้ทันทีที่อาบน้ำเสร็จ นาคินจึงตัดสินใจเดินลงไปหาเจ้าของเสียงเพลงที่บรรเลงแว่วหวานอยู่ทุกค่ำคืน
เรือนดอกแก้วยังคงสภาพเหมือนเดิมกับทุกครั้งที่มา แต่สิ่งที่ทำให้นาคินประหลาดใจกลับไม่ใช่ใบหน้าไม่ใคร่พอใจของสนธยาที่คิดว่าจะเห็นยามเขาขึ้นมารบกวน แต่เป็นภาพของลุงมนตรีที่กำลังนั่งดูสนธยาบรรเลงเพลงระนาดอยู่ต่างหาก ตามปรกติภาพของลุงมนตรีในใจของนาคินจะดูใจดีอยู่เสมอ หากในตอนนี้กลับดูเคร่งขรึมจริงจัง บรรยากาศเข้มงวดที่แผ่กระจายอยู่รอบๆตัวทำให้คนที่ไม่เคยชินอย่างนาคินถึงกับทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเข้าไปนั่งดูสนธยาเล่นระนาดอย่างที่ตั้งใจ หรือลงจากเรือนดอกแล้วกลับขึ้นห้องไปเงียบๆดี
“พ่อว่าสนเล่นเพลงกราวในดีกว่าเพลงสุดสงวน ใช้เพลงนี้น่าจะดีกว่า”
“พ่อคิดอย่างนั้นเหรอครับ” สนธยาถามด้วยสีหน้าที่ดูก็รู้ว่ายังแคลงใจ เนื่องจากเจ้าตัวอยากเล่นเพลงสุดสงวน สามชั้นมากกว่า มนตรีจึงใช้ฐานะที่เป็นครู ไม่ใช่พ่อ ชี้แนะจุดบกพร่องที่จับได้ยามที่ชายหนุ่มเล่นเมื่อครู่
“สนตีกราวในสนุกและหวานหูกว่า ไม่เยอะ ไม่กระด้าง ต่างจากสุดสงวน พ่อไม่รู้ว่าสนตั้งใจเล่นมันมากจนเกร็งหรือว่าเพราะอะไร ฟังดูแล้วเสียงมันดุดัน แต่หนักเกินไป ลูกปลายที่ใช้ก็สะบัดแข็งหลายท่อน น่าจะโดนหักคะแนนตรงนั้นเยอะ”
“เหรอครับ”
“เวลามันกระชั้นนะสน อีกแค่สามอาทิตย์เอง ไหนจะต้องลองซ้อมคู่กลอง คู่ฉิ่งอีก อย่าเสียเวลานั่งแก้จุดด้อยอยู่ ไปพัฒนาที่เราทำได้ดีแล้วให้มันดีขึ้นไปพ่อว่าเข้าท่ากว่า”
คำพูดของมนตรีทำให้สนธยายอมตัดสินใจทำตามอย่างช่วยไม่ได้ แม้เขาอยากจะลองใช้เพลงที่ไม่ถนัดไปประกวดเดี่ยวระนาดเอกดูสักครั้ง หากแต่ด้วยเวลาอันจำกัดเขาก็ไม่ควรเสี่ยงอย่างที่พ่อแนะนำจริงๆ
“เอาอย่างพ่อว่าก็ได้ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับยอมจำนนในเหตุผล
“ถ้าอย่างนั้นพ่อขึ้นบ้านก่อนแล้วกันคืนนี้ พรุ่งนี้สนเลิกเรียนบ่ายๆใช่ไหม”
“ครับ”
“พอดีเลย พ่อจะไปทำธุระที่กรมที่ดิน เสร็จแล้วจะแวะไปบ้านครูเพียงออ สนเรียนเสร็จก็ตามไปที่นั่นแล้วกัน จะได้ไปคุยกับเขาเรื่องขอคนมาช่วยซ้อม” เมื่อสั่งธุระเรียบร้อย มนตรีก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ตั้งใจตรงกลับเรือน พอหันมาเห็นนาคินนั่งริมซุ้มประตูตรงบันไดก็ปรับสีหน้าแล้วส่งเสียงทัก
“อ้าว! คินมานั่งทำอะไรมืดๆตรงนี้” นอกจากมนตรีแล้ว นาคินแอบเห็นว่าสนธยาเองก็ทำหน้าประหลาดใจไม่แพ้กันที่เห็นเขาอยู่ตรงนี้
“ผมได้ยินเสียงพี่สนเล่นดนตรีทุกวัน คืนนี้ก็เลยตั้งใจลงมาดูน่ะครับ” นาคินว่า
“แล้วทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะลูก ยุงกัดขาลายหมด” ที่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากรู้ว่าแถวนี้ยุงชุมเพราะใกล้ท่าน้ำ
“ผมเห็นลุงมนกำลังสอนพี่สนอยู่ก็เลยไม่อยากเข้าไปกวนน่ะครับ กะว่าจะนั่งฟังอยู่ตรงนี้ให้จบสักเพลงสองเพลง ผมก็จะขึ้นนอนแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้า”
“อย่างนั้นเองเหรอ แต่ไหนๆก็มาแล้ว ถ้ายังไม่ไป เราก็เข้าไปนั่งกับพี่เขาข้างในเถอะคิน ลุงขึ้นนอนก่อนล่ะ ง่วง
เหลือเกิน” ลุงมนตรีหาวตบท้ายประโยคอีกคำรบก่อนจะเดินลงบันไดไป นาคินจึงเดินเข้าไปนั่งบนชานเรือนที่สนธยานั่งอยู่ ก่อนจะส่งยิ้มซื่อที่สนธยามองแล้วคิดว่ามันดูเหมือนยิ้มโง่ๆมากกว่า
“สนจะไปประกวดเหรอ เห็นเลือกเพลงกัน” นั่งเงียบอยู่ได้อึดใจเดียว นาคินก็เริ่มเปิดปากถาม
“อืม”
“ประกวดเมื่อไหร่ล่ะ ขอผมไปเชียร์ด้วยได้ไหม” คนตัวโตกว่าว่าอย่างกระตือรือร้น
“วันอาทิตย์ที่สามของเดือน แต่นายไม่ต้องไปหรอก ให้พ่อไปคนเดียวก็พอแล้ว” สนธยาปฏิเสธหน้านิ่งขณะตาไล่มองโน้ตเพลงในสมุดโน๊ตอย่างละเอียดอีกครั้ง
“อ้าว! ทำไมล่ะครับ” เมื่อได้ยินเสียงประท้วงมือเรียวก็ปิดสมุดโน๊ตดังฉับก่อนเงยหน้าขึ้นบอก
“เกะกะน่ะ”
“ใจร้ายจัง ไม่เห็นเหมือนพี่สนคนที่นอนเฝ้าไข้ผมเลย” นาคินทำหน้าย่นปากยู่ที่ดูยังไงก็ไม่เห็นจะน่ารักเหมือนเด็กเล็กๆทำสักนิด
“พูดมากจริง แล้วนี่มาทำไมเนี่ย”
“ก็มาดูสนเล่นดนตรีไง ได้ยินเสียง เห็นว่าเล่นจนดึกทุกคืน วันนี้ก็เลยมาดูก่อนไปนอน”
“มาดูฉันเล่น แล้วตัวเองไม่ซ้อมบ้างเหรอ ตั้งแต่หายป่วยก็ยังไม่เห็นแตะเลยนะ เดี๋ยวก็ลืมหมดหรอก”
“ก็ไม่ค่อยมีเวลานี่ครับ ช่วงนี้ทำงานดึกทุกคืนเลยนะ บางวันซ้อมบอลมาเหนื่อยพออาบน้ำเสร็จก็เผลอหลับไปเลย ผมถึงไม่ค่อยได้เจอสนเลยไง แต่ว่าที่สอนไปไม่ได้ลืมหรอกครับ เพลงนั้นจำได้ขึ้นใจแล้ว”
สนธยาได้ฟังคำพูดที่ว่าเจ้าตัวโตนั้นแสนจะยุ่งนักยุ่งหนา แต่ตอนนี้กลับทำตัวให้เห็นว่าเอ้อระเหยลอยชายเดินโฉบลงมาดูเขาถึงเรือนดอกแก้ว แล้วอย่างนี้จะเชื่อได้แค่ไหนว่ายุ่งวุ่นวายจริงดั่งคำที่พูด
“อย่าเอาแต่พูด ไหนไปยกขิมในห้องมาตีให้ดูสักรอบสิ ถึงจะบอกว่าจำได้ยังไง ดนตรีมันก็ต้องเล่นต้องซ้อมบ่อยๆ ไม่งั้นมือก็แข็งกันพอดี”
“โถ่…นี่ผมแค่แวะลงมาดูเพราะอยากจะเจอหน้ากันบ้างเท่านั้นนะครับ วันนี้ไม่พร้อมจะซ้อมให้ดูเสียหน่อย” นาคินเริ่มโอดครวญเพราะอันที่จริงก็เริ่มจะลืมโน้ตเพลงที่สนธยาเคยสอนให้ไปกว่าครึ่งแล้ว
“อย่าโยกโย้น่า นี่ฉันสั่งในฐานะครูนะ”
“สนอ่ะ”
“ไปยกขิมมา” สนธยากดเสียงเข้มให้รู้ว่า ไม่ว่าจะอ้อนเอาอย่างไรก็ไม่ได้ผล แต่นาคินก็ยังพยายามโยกไปถามอีกอย่างแทน
“แล้วสนไม่ซ้อมของตัวเองแล้วเหรอ”
“ไม่แล้ว ไปยกขิมมา อย่าให้ต้องพูดหลายรอบ” จนสุดท้ายคุณครูคนเก่งก็ต้องขึ้นเสียงเพราะทนไม่ไหว นาคินจึงได้แต่ตอบรับเสียงอ่อยแล้วลุกไปยกขิมประจำตัวในห้องเก็บเครื่องดนตรีออกมา
“ครับครู”
หลังจากเข้าไปยกเครื่องดนตรีออกมาเรียบร้อยแล้ว นาคินก็เริ่มจับไม้นวมตีขิมให้คุณครูฟังด้วยความตั้งใจ ผิดกับไอ้คนกวนประสาทคนก่อนหน้าลิบลับ แม้จะตีถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่กับคนเพิ่งหัดและร้างมือไปนาน ได้เท่านี้ก็ถือว่าไม่ขี้เหล่เท่าไหร่ สนธยาค่อนข้างพอใจในความสามารถของลูกศิษย์คนนี้พอประมาณทีเดียว แต่ก็ยังมีจุดที่อยากจะติอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าตัวมักทำผิดบ่อยเหลือเกิน สอนเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักจำ สักแต่ว่าเอาความถนัดของตัวเองเข้าว่าอย่างเดียว
“นายนี่จริงๆเลย”
“อะไรครับ ใช้ไม่ได้เหรอ” นาคินถามขณะที่มองร่างโปร่งบางลุกขึ้นก่อนเดินมานั่งซ้อนข้างหลังตน จากนั้นแขนทั้งสองข้างก็ค่อยๆโอบรอบตัวของนาคินแล้วเอื้อมมาจับทับมือหนา
“จะว่ามันไม่สำคัญก็ไม่ได้นะ ไอ้ท่าทางการจับการตีเนี่ย ถ้าทำถูกวิธีมันจะทำให้นักดนตรีดูสง่า”
ดวงตาคมมองเรียวปากบางเอ่ยถ้อยคำสั่งสอนด้วยเสียงนุ่มทุ้ม ถึงแม้จะติดห้วนสักหน่อยแต่ด้วยเนื้อเสียงของสนธยาก็ทำให้มันยังคงน่าฟัง ตอนแรกนาคินก็ยังตั้งใจฟังอยู่หรอก แต่พอหันมาเห็นความใกล้ชิดระดับที่ลมหายใจเป่ารดใบหน้าขนาดนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกวาบในอก สติสตังหลุดลอยไปไหนเสียแล้วก็ไม่รู้ เห็นแต่ปากขยับแต่จับใจความไม่ได้เลย
ส่วนสนธยาพูดๆไป มือก็จับบังคับให้ทำตามสิ่งที่ถูกต้องไปด้วย หากแต่ตอนหลังๆนาคินกลับนั่งแข็งเป็นท่อนไม้ ไม่หือไม่อือสักนิด คนหน้ามนจึงหันกลับไปมองด้วยตั้งใจจะถามว่าเป็นอะไรทำไมถึงเงียบไป ทว่ากลับพบประสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มกำลังจ้องหน้าเขาเขม็ง คราวนี้เป็นสนธยาเองที่พูดไม่ออก ได้แต่เงียบมองด้วยความประหลาดปนกระดากอายจนเกิดแวววูบไหวในหน่วยตา
เสียงสรรพสิ่งต่างๆในยามกลางคืนขับกล่อมครอบคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง สายลมเย็นพัดมาบางเบาพากิ่งไม้ไหว เมื่อได้ใกล้ชิดกัน คล้ายมีบางสิ่งหยุดกาลเวลาเอาไว้ ต่างคนต่างจ้องมอง มองกันอยู่เช่นนั้นราวได้เจอใครอีกคนซึ่งไม่ได้พบกันมาแสนนาน
ก่อนความรู้สึกแปลกประหลาดจะมัวเมาสติสัมปชัญญะไปจนหมดสิ้น ก็เกิดเสียงปริศนาดังตุบที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของเรือนหลังเล็ก นาคินกับสนธยาจึงผละแยกออกจากกันทันทีราวกับถูกของร้อน
ท่ามกลางคนสองคนเกิดความกระดากอายและสับสนอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายหนุ่มรุ่นน้องก็เป็นคนช่วยจัดการกับความรู้สึกนั้นเหล่านั้นก่อน โดยออกความเห็นให้ช่วยกันเก็บเครื่องดนตรีแล้วกลับขึ้นเรือนใหญ่ เนื่องจากตอนนี้เวลาคงจะล่วงเลยมาจนดึกมากแล้ว
สนธยาเองก็เห็นด้วยเพราะคิดอยากหลบหนีจากสถานการณ์เมื่อกี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงรีบช่วยกันยกระนาดกับขิมไปไว้ที่เดิม จากนั้นจึงเดินกลับไปที่เรือนใหญ่ ทว่าแม้ทั้งสองจะเดินมาด้วยกันตามลำพัง หากแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรเลยสักคำ จนกระทั่งก่อนแยกไปนอนที่ห้องของตัวเอง นาคินจึงเป็นฝ่ายทำใจกล้าเอ่ยราตรีสวัสดิ์กับหนุ่มรุ่นพี่ก่อน
“ฝันดีนะสน”
“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วทำท่าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยเสียงเบาๆ “ฝันดี…เหมือนกัน”
หลังจากได้ฟังคำว่าฝันดีจากสนธยาแล้ว นาคินก็ยังยืนมองอีกคนเดินเข้าไปในห้องจนลับตา ก่อนยกยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นจึงกลับเข้าห้องนอนของตัวเองบ้างเช่นกัน
เป็นเวลาสองอาทิตย์ติดต่อกันที่สนธยาฝึกซ้อมดนตรีอย่างหนักเพื่อที่จะได้เข้าร่วมการประกวดดนตรีรายการใหญ่ที่จะมีขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งนอกจากจะซ้อมกับคนที่พ่อหามาให้แล้ว ตัวสนธยาเองก็ยังกลับมาซ้อมที่เรือนดอกแก้วทุกคืน ความจริงจากผลการประเมินของพ่อและครูดนตรีอีกคน ความสามารถระดับสนธยาถือว่าเข้าขั้นดีเยี่ยมทีเดียว ทั้งเพลงที่เล่นและลูกล่อลูกชนที่ประดิษฐ์ขึ้นก็แพรวพราวเสียจนนับได้ว่าเป็นมือระนาดเอกวัยรุ่นที่ฝีไม้ลายมือเข้าขั้นหาตัวจับยาก
มีก็เพียงแต่สนธยาที่ยังรู้สึกว่าตัวเองยังตีไม่ดีพอ เพราะหลังจากที่โหมซ้อมหนักติดต่อกันมาหลายวัน เขาเริ่มรู้สึกว่าตอนที่สะบัดข้อตีระนาด มือของเขามันเจ็บขัดๆชอบกล ไม่คล่องแคล่วพลิ้วไหวเช่นทุกทีที่เคยเป็น ถึงแม้หลายๆคนจะดูไม่ออก แต่ตัวของสนธยาเองที่รู้สึกไม่ดีจนอดกังวลลึกๆไม่ได้ วันนี้เขาไม่มีตารางซ้อมกับคนของบ้านครูเพียงออ ดังนั้นหลังกลับจากมหาวิทยาลัยแล้วเขาจึงตรงไปเรือนดอกแก้วเพื่อเช็คตัวเองให้แน่ใจอีกครั้ง
แน่นอนว่าเขายังเล่นได้ดี แต่เริ่มรู้สึกปวดข้อมือมากขึ้นจนรู้สึกได้ ยิ่งยามที่เกร็งข้อมือมากๆช่วงท้ายเพลงก็ยิ่งปวด สนธยาจึดตัดสินใจเอายามานวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ โดยหวังว่าจะทำให้อาการดีขึ้น จากนั้นค่อยกลับมาซ้อมใหม่ตอนค่ำๆ
กระทั่งทานอาหารเย็นเรียบร้อย ลองหมุนข้อมือที่เคยปวดดูก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว สนธยาจึงหยิบสมุดโน้ตแล้วเดินลงไปซ้อมเพลงที่เรือนดอกแก้วอย่างที่ตั้งใจ แต่ก่อนจะได้ลงจากบ้าน เสียงของใครอีกคนก็หยุดเขาเอาไว้เสียก่อน
“สน! รอเดี๋ยวครับ”
“มีอะไร” สนธยาหันไปถามนาคินที่รีบปิดงับประตูห้องนอนของตนเองก่อนวิ่งเข้ามาหาเขา
“สนไปซ้อมดนตรีใช่ไหม”
“อืม” คนหน้ามนพยักหน้ารับ
“งั้นวันนี้ขอไปด้วยนะ”
"ไม่มีงานต้องทำหรือไง”
“เพิ่งส่งรายงานไปน่ะ ตอนนี้ว่างแล้ว ก็เลยอยากลงไปซ้อมสักหน่อย กลัวครูหาว่าทิ้งวิชา” เจ้าตัวดีว่าพลางยิ้มทะเล้น แม้จะนึกหมั่นไส้แต่สนธยาก็คร้านจะโต้เถียง
“อยากมาก็มา” ว่าเพียงเท่านั้นก็เป็นฝ่ายเดินนำออกไป นาคินเห็นดังนั้นก็ยิ้มบางก่อนจะรีบซอยเท้าเดินขึ้นไปตีคู่อยู่ข้างๆ จนกระทั่งถึงเรือนดอกแก้ว
เมื่อมาถึงทั้งคู่ก็ช่วยกันยกเครื่องดนตรีออกมาวางตรงตำแหน่งที่เล่นประจำ ลำพังขิมของนาคินนั้นก็ไม่เท่าไหร่ แต่ระนาดเอกต้องใช้แรงสองคนช่วยยก ตอนที่พากันยกตัวระนาดมาถึงชานเรือน นาคินสังเกตว่าคุณครูพี่สนของตัวเองดูหน้าซีดๆ แต่เจ้าตัวก็ยังคงสีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจ ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไรยามคุยโต้ตอบกัน นาคินจึงนึกว่าเพราะแสงโคมไฟบนเรือนทำให้มองผิดไป
จัดเตรียมเครื่องดนตรีเรียบร้อยทั้งสองก็แยกกันฝึกซ้อม สนธยาเป็นคนสมาธิดี เพราะยามที่ตีคนละเพลงกับนาคิน พ่อคนเก่งก็สามารถแยกประสาทได้ ไม่เหมือนนาคินที่พอตีขิมของตัวเองอยู่ก่อน แต่พออีกคนเขาเริ่มบรรเลงเพลงลูกระนาด นาคินก็ต้องหยุดดู หยุดฟังทุกทีไป
แต่จะโทษว่านาคินสมาธิแย่ก็คงไม่ถูกนัก เนื่องจากเพลงระนาดเอกของสนธยาช่างเพราะจับใจเหลือเกิน เพียงแค่หลับตาฟังก็สามารถทำให้คนหลงรักท่วงทำนองเหล่านั้นได้แล้ว หากยิ่งผนวกกับท่าทางและการจัดองค์ประกอบรูปร่างที่ทำให้ดูสง่างาม ทั้งอ่อนหวานด้วยแววตา มือที่ตีลูกระนาดพลิ้วไหว เป็นใครก็คงหักห้ามใจให้หยุดมองไม่ได้
กำลังนั่งฟังเพลงเพลินๆ อยู่ๆสนธยาก็หยุดตีเสียอย่างนั้น คนที่ดึงสีหน้าเรียบเฉยอยู่ตลอดยามนี้กลับขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ดวงตามองไปยังมือข้างขวาที่สั่นระริกไม่หยุดทั้งๆที่ยังกำไม้นวมตีลูกระนาดเอาไว้อยู่
ไวเท่าความคิด นาคินลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วตรงเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าสนธยาทันที ก่อนจะใช้มือของตัวเองประคองมือที่สั่นไม่หยุดของอีกฝ่ายไว้ แล้วแกะไม้นวมออกจากมือให้
“สนเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมมือสั่นอย่างนี้” พอก้มลงสังเกตดีๆ นาคินพบว่ามือของสนธยาไม่ใช่แค่สั่นไหวเหมือนกล้าเนื้อกระตุกเท่านั้น แต่มือข้างนั้นยังบวมกว่าอีกข้างอย่างเห็นได้ชัด “สน! มือเป็นอะไรน่ะ”
“ไม่รู้” สนธยาตอบด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
เขาไม่รู้จริงๆว่าตัวเองเป็นอะไร ในตอนแรกแค่ปวดหนึบๆธรรมดา แต่เมื่อกี้กลับเสียวแปลบๆไปถึงข้อศอก จากนั้นก็เจ็บจนบังคับกล้ามเนื้อที่มือให้หยุดไหวไม่ได้ นาคินพลิกมืออีกฝ่ายเพื่อสำรวจอย่างแผ่วเบา แต่ถึงจะแผ่วเบาแค่ไหน สนธยาก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดี
“เจ็บมากไหม”
“ก็เจ็บอ่ะ” ไม่มีประโยชน์ที่จะปกปิดหรือเก็บซ่อนอาการอีกต่อไป เพราะสนตกใจกับอาการที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและกะทันหันของตนเองตอนนี้มาก
“ไปหาหมอเถอะครับ ผมว่ามันบวมจริงๆนะ” นาคินเสนอ เนื่องจากสีหน้าของสนธยาดูไม่ดีเอาเสียเลย อีกทั้งมือก็สำคัญมากสำหรับนักดนตรี หากว่ามีอะไรผิดปรกติไปคงเป็นเรื่องใหญ่
“อืม”
สนธยายอมให้ลูกศิษย์หนุ่มจูงมือออกจากเรือนดอกแก้วเพื่อไปบอกพ่อที่เรือนใหญ่ ก่อนทั้งหมดจะนั่งรถไปโรงพยาบาลด้วยกันโดยมีนายเสริมเป็นพลขับ
บรรยากาศหน้าห้องตรวจภายในโรงพยาบาลนั้นตึงเครียดเป็นอย่างมาก ลุงมนตรีเดินวนไปวนมาเพราะไม่ได้รับอนุญาตจากคุณหมอให้เข้าไปกับลูกชายด้วย เดินไปมาอยู่สักพักก็นั่งลงแล้วถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนาคิน ก่อนจะลุกขึ้นเดินอีก ทำเช่นนี้อยู่หลายรอบจนนาคินเวียนหัว แล้วในที่สุดสนธยาก็ออกมาจากห้องตรวจ
ดวงหน้าของหนุ่มนักดนตรีดูไม่ดีเอามากๆ ผู้เป็นพ่อเห็นดังนั้นก็ไม่เร่งเร้า พาลูกมานั่งที่เก้าอี้ ก่อนจะเงียบรอให้ลูกเป็นคนบอกเอง ตอนที่สนธยาพูด นาคินสังเกตเห็นว่าในดวงตาสีรัตติกาลของอีกฝ่ายมีน้ำใสๆคลอหน่วยอยู่ แต่ด้วยความที่เจ้าตัวอดกลั้นเอาไว้ น้ำใสๆนั้นจึงไม่กลั่นไหลออกมาเป็นหยดน้ำตาให้ใครเห็น
“หมอบอกว่าเอ็นข้อมืออักเสบครับ ตอนนี้ฉีดยาเข้าไประงับอาการแล้ว แต่ต้องรอดูว่าจะดีขึ้นแค่ไหน ถ้าไม่ดีขึ้นยังไงก็คงต้องผ่าตัด”
“ต้องผ่ากันเลยเหรอ ทำไมอาการมันฉับพลันอย่างนั้นล่ะ” มนตรีถามด้วยน้ำเสียงตระหนกยากที่จะควบคุมได้อีกต่อไป
“หมอบอกว่าโหมใช้งานข้อมือหนักเกินไป แต่พ่อไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้าต้องผ่าจริงๆหลังจากนั้นก็ทำกายภาพบำบัดได้ พอหายดีเดี๋ยวก็กลับมาใช้ข้อมือได้เหมือนเดิมแล้วล่ะ”
“หมอว่าอย่างนั้นเหรอ”
“ครับ” สนธยาพยักหน้า “แต่ระหว่างนี้ก็ต้องพักกิจกรรมเกี่ยวกับการใช้ข้อมือข้างนี้ทั้งหมด รอดูว่ายาที่ฉีดจะได้ผลไหม ถ้าได้ก็ไม่ต้องผ่าหรอกครับ”
“พักก็พักนั่นแหละ เรื่องประกวดก็เลื่อนไปก่อน ยังมีอีกหลายรายการ ถ้าหายดีแล้วเราค่อยไปสมัครใหม่ก็ได้นะลูก”
“ครับ”
พูดคุยกันเรียบร้อยก็พอดีกับที่ห้องจ่ายยาเรียกให้ไปรับยาและคิดค่าบริการ จากนั้นทุกคนก็พากันกลับ ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรกันเลย มีเพียงลุงมนตรีที่โทรไปบอกข่าวร้ายกับครูเพียงออเท่านั้น แต่นาคินก็สังเกตเห็นว่าคุณครูพี่สนของเขานั่งกุมมือแล้วเบือนหน้าออกไปข้างทางตลอด แววตาคู่สวยนั้นกังวลและอมทุกข์จนเขาสัมผัสได้ คิดไปว่าอีกฝ่ายคงผิดหวังที่ไม่ได้ร่วมการประกวดทั้งที่ตั้งใจซ้อมขนาดนี้ แต่สิ่งที่เขาคิดกลับผิดหมดเมื่อได้รู้ความจริงบางอย่างจากลุงมนตรีตอนที่กลับถึงบ้านแล้ว
กลางดึกคืนนั้นนาคินลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำแล้วเผอิญเห็นลุงมนตรีกำลังนั่งเอนหลังอยู่ที่หอนกเพียงลำพัง เขาจึงเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง
“ลุงมนยังไม่นอนเหรอครับ”
“อ้าว! คิน” มนตรีเว้นจังหวะตกใจเล็กน้อยที่นาคินเข้ามาเงียบๆ ก่อนจะตอบ “ยังลูก ลุงนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“เรื่องพี่สนเหรอครับ”
“อืม…” ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวๆหนึ่งครั้งก่อนจะตอบรับ นาคินจึงเข้าไปนั่งใกล้ๆกับลุงเพื่อจะได้พูดคุยกันได้สะดวก
“ไหนเห็นพี่สนบอกว่าถึงจะผ่าแต่พอหายดีก็สามารถกลับมาใช้ข้อมือได้ตามปรกตินี่ครับ”
“เฮ้อ~ ขอให้มันจริงอย่างหมอว่าเถอะ” ครูดนตรีถอนหายใจอีกรอบแล้วบอกด้วยน้ำเสียงวิตก
“ถ้าหมอว่าอย่างนั้นลุงมนก็อย่าคิดมากเลยนะครับ”
“ลุงก็อดคิดไม่ได้น่ะนะ คินรู้ไหมสำหรับนักดนตรีที่เล่นระนาดเอกเป็นหลัก ข้อมือของนักดนตรีพวกนั้นจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าพี่สนเขาหายดีเหมือนเดิมลุงก็โล่งใจ แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปสักนิด พี่เขาคงเสียใจมาก เพราะเขาทุ่มเทให้เรื่องนี้มาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว เราก็เห็นว่าเขาเป็นแบบนั้น แบบที่จริงจังกับทุกสิ่งที่ตัวเองทำ ทุ่มเทให้กับทุกอย่างที่ตัวเองรัก ตอนนี้พี่สนเขาคงรู้สึกผิดกับตัวเองไม่น้อยล่ะ เพราะเขาคงโทษว่าตัวเองซ้อมจนทำให้ร่างกายพัง”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
“ความจริงที่มานั่งอยู่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ลุงแค่กังวลเพราะเป็นห่วงเขานั่นแหละ”
นาคินรู้ ถึงแม้ลุงมนตรีจะไม่พูดออกมา แต่เขาก็ดูออกว่าลุงห่วงลูกชายคนโตของตัวเองมากแค่ไหน สนธยาเป็นลูกที่ดี เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ และที่สำคัญที่สุด สนธยายังเป็นแก้วตาดวงใจของผู้เป็นพ่ออีกต่างหาก ถ้าคิดดูให้ดี คำว่าเป็นห่วงและเป็นกังวลอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำกับความรู้สึกจริงๆในใจของคนที่เป็นพ่ออย่างลุงมนตรี
“อย่าคิดมากเลยนะครับ ผมเชื่อว่าพี่สนต้องหายดี เขาจะต้องกลับมาเล่นดนตรีที่เขารักให้ลุงฟังได้เหมือนเดิมแน่ๆครับ”
“ขอบใจนะคิน”
นาคินยิ้มรับคำขอบคุณนั้น เขารู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมันอาจจะดูเหมือนคำปลอบใจธรรมดา แต่ลึกๆแล้วเขาก็มั่นใจว่าสนธยาจะต้องหายเป็นปรกติและจะต้องกลับมาเล่นดนตรีได้ไพเราะเหมือนเดิมแน่นอน
‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧
มาแล้วค่าาาา
หลังจากนี้จะมาเร็วขึ้นนะ อันนี้เอาจริงแล้วค่ะ
เนื่องจากเราเขียนสต๊อกใกล้ถึงตอนจบแล้ว
ขอโทษที่ไม่ได้มาลงเลยนะคะ
เราอยากเขียนไปเยอะๆแล้วมองภาพรวมด้วยน่ะค่ะ
บางที่มันมีจุดที่อยากเปลี่ยน เป็นปริศนาบางอย่าง คือจะได้เปลี่ยนทันก่อนเอาลง
ขอบคุณคนที่ยังเข้ามาทวงนะคะ
คิดถึงคนอ่านมากๆค่ะ ^__^
ละอองฝน
(๑๙/๐๘/๒๕๕๘ , ๑๙:๓๓)