‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)  (อ่าน 103209 ครั้ง)

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
รอลุ้นต่อไป

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
ยัง
ตาม
เรื่อง
ความ
ฝัน
และอาการ
แปลกๆ
ที่พระเอกเจอ
และรู้สึก
มีอดีตอะไร
กับบ้าน
ริมน้ำนี้
หรือเปล่า

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2
๓.





   แสงสีส้มนวลตาจากหลอดไฟซึ่งถูกดัดแปลงในตะเกียงเจ้าพายุ จุดให้ห้องอาหารบนเรือนไทยหลังใหญ่สว่างไสวขึ้น สมาชิกในครอบครัวพร้อมทั้งผู้อาศัยจากกาฬสินธุ์นั่งทานอาหารเย็นกันตามปรกติเช่นทุกวัน อาจมีบ้างที่ผู้อาวุโสสูงสุดบนโต๊ะจะซักถามหรือชวนคุยเรื่อยเปื่อยตามประสา ทว่าวันนี้บรรยากาศบนโต๊ะกลับสลับคั่นด้วยความเงียบซึ่งดูจะยาวนานกว่า เสียงช้อนส้อมกระทบกันคล้ายเครื่องดนตรีประกอบจังหวะที่ทำให้ไม่รู้สึกเหงาหูจนเกินไปนัก


   "คิน...เป็นไงเรา วันนี้นั่งกินข้าวเงียบเชียว เปิดเรียนวันแรกไปเจออะไรมาไม่เห็นเล่าให้ลุงฟังบ้าง" มนตรีเอ่ยถามลูกชายเพื่อนสนิทที่นั่งกินข้าวเงียบไม่พูดไม่จา ผิดจากที่เคยช่างพูดช่างคุย

   "วันนี้ยังไม่มีอะไรมากครับลุง ตอนบ่ายก็มีรับน้องนิดหน่อย" ใบหน้าคมเงยขึ้นมาจากจานอาหารแล้วตอบพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ

   "ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าซีดๆล่ะเรา" เมื่อสังเกตเห็นใบหน้าที่ดูอ่อนล้า มนตรีจึงถามด้วยความเป็นห่วง

   "เหนื่อยนิดหน่อยครับลุง ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ"

   "ลุงว่ากินยาดักไว้ดีกว่านา เอาอย่างนี้" ว่าจบก็หันไปไปหาลูกชายคนโต "สน"

   "ครับพ่อ"

   "กินข้าวเสร็จเอายาให้น้องด้วยนะลูก" ผู้เป็นพ่อสั่ง

   "ไม่เป็นไรหรอกครับลุง รบกวนพี่เขาเปล่าๆ เดี๋ยวผมหากินเอาเองก็ได้ครับ" นาคินบอกอย่างเกรงใจ คนถูกเอ่ยถึงเองก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพียงแต่นั่งกินอาหารของตัวเองเงียบๆต่อไปเช่นเดิม

   "เอาๆ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเราแล้วกัน ตู้ยาก็อยู่หน้าห้องน้ำนั่นแหละ เราน่าจะเห็นแล้วใช่ไหม"

   "ครับลุงมน"








   หลังจากจัดการกับกล้วยบวชชีแสนอร่อยของป้าปุกเรียบร้อย ทุกคนบนโต๊ะก็แยกย้ายกันไป มนตรีไปสวดมนต์ในห้องพระ มัทนานั่งอยู่ที่เรือนขวางเพื่อรอดูละครหลังข่าว สนธยากลับเข้าห้องนอนของตน ส่วนนาคินนั้นมาอาบน้ำ วันนี้ตั้งใจจะเข้านอนเร็วสักนิด เมื่ออาบน้ำเสร็จก่อนกลับห้องเจ้าตัวก็ไม่ลืมหายาแก้ปวดไปกินตามที่มนตรีแนะ


   คนตัวสูงเปิดตู้ไม้ซึ่งติดกับผนังหน้าห้องน้ำด้านนอก ก่อนจะหากระปุกยาที่ตนเองต้องการ แต่เพราะโคมไฟหน้าห้องน้ำให้แสงค่อนข้างสลัว ชายหนุ่มจึงมองเห็นไม่ถนัดตานักว่ากระปุกไหนเป็นอะไร ซ้ำในตู้ก็มียาเยอะแยะไปหมด จึงจำใจต้องล้วงออกมาดูฉลากทีละกระปุก


   ระหว่างที่กำลังสนใจกับฉลากยาซึ่งพิมพ์กำกับด้วยตัวหนังสือตัวเล็กจิ๋ว ร่างสูงก็ไม่ทันสังเกตหรือได้ยินเสียงใครบางคนเคลื่อนที่มาหยุดเยื้องอยู่ข้างตน


   "วันนี้จะหาเจอไหม"

   "สน..!" นาคินสะดุ้งตกใจเพราะไม่รู้ตัวมาก่อนว่าสนธยายืนอยู่ข้างๆตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่

   "ทำขวัญอ่อนไปได้..." คนตัวเล็กกว่าว่าด้วยน้ำเสียงที่ติดจะล้อเลียนแต่ทำหน้าตายใส่ ก่อนจะเอาไหล่เบียดให้นาคินหลบไป "หลีกหน่อยสิ"

   "…" นาคินขยับหลีกทางให้ตามสัญญาณ ดวงตาคมมองดูสนธยาควานหากระปุกยาในตู้สักครู่หนึ่ง เมื่อพบมือเรียวก็หยิบออกมาหมุนเปิดกระปุก เทยาเม็ดกลมๆสีขาวออกมาด้วยกันสองเม็ด ก่อนจะส่งให้นาคิน

   "อ่ะนี่..."

   "ขอบคุณครับ...สน" นาคินเอ่ยขอบคุณแล้วรับยามา

   "…" สนธยาเก็บกระปุกยาทั้งหมดเรียงที่เดิมแล้วเข้าห้องน้ำไป แต่นาคินยังไม่ทันเคลื่อนที่ไปไหนจู่ๆประตูห้องน้ำก็เปิดอ้า พร้อมกับใบหน้าหวานเกินชายซึ่งโผล่ออกมานิดๆ "เออ...คราวหลังจะให้ช่วยก็บอก ไม่ได้ใจดำขนาดนั้น" ว่าจบเจ้าตัวก็ผลุบกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกหน ทิ้งให้ร่างสูงยืนแปลกใจกับพฤติกรรมนั้นอยู่เพียงลำพัง

   "น่ารักดีแฮะ..." นาคินว่าพลางอมยิ้มนิดๆ ก่อนจะเดินกลับห้องเพื่อพักผ่อน








   วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของนาคิน เขาต้องตื่นแต่เช้ากว่าทุกวันเพื่อที่จะได้ทำกิจวัตรของตนเองให้เสร็จโดยเร็ว เมื่อทานอาหารเช้าเรียบร้อยก็ออกจากบ้านไปเรียนพร้อมกับสนธยาซึ่งอยู่มหาลัยเดียวกัน แต่สนธยาอยู่ปีสอง ส่วนนาคินอยู่ปีหนึ่ง หลังจากถึงมหาวิทยาลัยแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปเรียน อย่างที่นาคินบอกลุงมนว่าวันนี้ไม่ได้เรียนอะไรมากนัก ส่วนใหญ่เป็นการแนะนำตัวเสียมากกว่า ช่วงบ่ายก็มีกิจกรรมรับน้องซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร หากแต่ทำไมเขาจึงรู้สึกเหนื่อยเช่นนี้ก็ไม่รู้


   แต่งตัวและกินยาเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงปิดไฟที่หัวเตียงแล้วล้มตัวลงนอน ทั้งที่ง่วงแสนง่วง หัวถึงหมอนก็ควรจะหลับไปในทันทีถึงจะถูก แต่ไม่รู้เพราะอะไรชายหนุ่มจึงรู้สึกร้อนอบอ้าวเหนียวตัวทั้งที่เพิ่งอาบน้ำมาหยกๆแท้ๆ


   นอนพลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบก็ข่มตาให้หลับไม่ลงสักที ในความมืดมิด มือหนาเอื้อมไปกระตุกสายโคมไฟที่หัวเตียงให้จุดสว่างขึ้นอีกครั้ง ดวงตาคมมองเหลือบไปที่นาฬิกาตรงโต๊ะไม้ข้างเตียง มันบอกเวลาดึกพอสมควรแล้ว อีกอย่างนาคินก็รับรู้ได้เองว่ามันค่อนข้างจะดึกมาก เนื่องจากเสียงทีวีที่เรือนขวางเงียบไปนานแล้ว


   ชายหนุ่มตัดสินใจผุดลุกขึ้นนั่ง เลิกผ้าห่มไว้ด้านข้างก่อนจะลงจากเตียงแล้วเดินมาที่หน้าต่าง พลางนึกในใจว่า คืนนี้คงต้องรับลมสักหน่อยเห็นจะดี


   ยืนสูดอากาศอยู่พักหนึ่ง สายลมเย็นเอื่อยๆก็พัดโชยมาต้องกายให้ชื่นใจ วันนี้เป็นคืนเดือนดับ บนท้องฟ้าอันมืดมิดไร้ซึ่งแสงจันทร์ แต่น่าแปลกที่แม้แต่ดวงดาราสักดวงก็ยังหลีกเร้นหายลับเข้ากลีบเมฆไปหมด ดวงตาคมทอดมองเรื่อย กระทั่งไปหยุดยังเรือนดอกแก้วที่อยู่ท้ายเรือนใหญ่ มองมันอยู่ครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกฉงนในใจว่าเรือนดนตรีไทยหลังน้อยซึ่งไม่มีคนอยู่อาศัยใยจึงต้องเปิดโคมไฟให้สว่างไปทั้งตัวเรือน


   ไม่ทันได้คำตอบ อยู่ๆเสียงบรรเลงเพลงไทยเสนาะหูก็ดังขึ้น นาคินไม่แน่ใจนักว่าเสียงเดี่ยวเครื่องดนตรีชิ้นเดียวที่แว่วให้ได้ยินนั่นคือเสียงเครื่องดนตรีอะไร หากแต่ถ้าจะให้เดาเขาว่ามันคือเสียงของขิม


   ทำนองเสนาะอ่อนหวาน ชวนฝัน ทำให้รู้สึกราวกับตกอยู่ในภวังค์ หากว่าหางตาของชายหนุ่มไม่เหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มๆของใครบางคนที่ต้นแก้วเจ้าจอมหน้าเรือนดอกแก้วเสียก่อน เงาของใครที่นาคินเห็นรางๆในความมืด คล้ายกำลังท่อมๆมองๆเหมือนแอบดูความเคลื่อนไหวที่อยู่บนเรือน


   เพราะบริเวณโดยรอบค่อนข้างมืดสนิทเช่นนี้ ทำให้นาคินมองเห็นไม่ชัดแม้จะเพ่งจ้องแค่ไหน ด้วยความอยากรู้ก็อดไม่ได้ที่อยากจะหาไฟฉายมาส่องดูให้รู้แล้วรู้รอดว่าเจ้าของเงานั่นคือใคร ทว่าเมื่อเพลงที่กำลังบรรเลงหยุดลงพร้อมกับไฟบนเรือนดอกแก้วที่มืดดับเหลือเพียงโคมด้านหน้าเพียงดวงเดียว เงาที่นาคินเห็นก็พลันหายวับไปต่อหน้าต่อตา!


   ร่างสูงรู้สึกชาดิกไปทั้งใบหน้า ตั้งแต่ไขสันหลังจรดขึ้นมาถึงศีรษะซึ่งเย็นวาบไปหมด ขนตามร่างกายลุกซู่ขึ้นพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย แต่ขาสองข้างที่สั่นระริกกลับไม่อาจเคลื่อนขยับถอยหนีไปไหนได้ดังใจปรารถนา


   ไม่นานต่อจากนั้นก็ปรากฏร่างเพรียวบางคุ้นตาของใครคนหนึ่งก็ลงมาจากเรือนดอกแก้ว ใครคนนั้นกำลังเดินจากมาและมุ่งหน้าสู่เรือนใหญ่ในท่าทางปรกติ หากเดาไม่ผิดใครคนนั้นคงจะเป็นเจ้าของบทเพลงแว่วหวานเมื่อครู่ ใครคนนั้นที่นาคินเห็นคือสนธยานั่นเอง


   เมื่อบังคับร่างกายได้ตามปรกติ ชายหนุ่มจึงรีบดึงบานหน้าต่างให้เหวี่ยงพับกลับเข้ามาในทันที เขาลงกลอนปิดสนิทพร้อมทั้งคลี่ผ้าม่านปิดทับ จากนั้นก็แทบจะกระโจนขึ้นเตียงด้วยความเร็วราวกับกำลังออกสตาร์ทแข่งวิ่งสี่คูณร้อยเมตร นาคินกระตุกผ้าห่มขึ้นมาจนมิดหัว ทั้งยังเปิดไฟหัวเตียงไว้เช่นนั้นไม่ยอมปิด ใครจะว่าปอดแหกก็ช่าง นาทีนี้เขาขออุ่นใจไว้ก่อนเป็นดี


   พยายามไล่ปัดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองว่าเจ้าของเงานั่นเป็นใคร มาทำเมียงๆมองๆขึ้นไปหาสนธยาที่อยู่บนเรือนดอกแก้วทำไมให้ออกไปจากหัวแล้วหลับตาปี๋ ริมฝีปากพึมพำบทสวดมนต์ที่เคยร่ำเรียนมาเมื่อครั้งไปบวชเณร บริกรรมคาถาซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน ก่อนอารมณ์ตื่นหลัวค่อยๆสงบลงแล้วดำดิ่งเข้าสู่นิทราไปโดยไม่รู้ตัว...







   กลิ่นไม้สักลงน้ำมันใหม่ๆกับภาพเรือนไทยหลังเล็กที่ผู้เป็นบิดาปลูกให้เป็นรางวัล ทำให้ 'จางวางวิเศษไกรศิลป์' หรือ 'จางวางศิลป์' ยกยิ้มด้วยความยินดี หลังจากชนะการประชันเดี่ยวระนาด จนกระทั่งได้รับเลือกให้เข้าร่วมวงปี่พาทย์ของพระองค์เพ็ญแห่งวังท่าเตียน ทั้งพระองค์ยังประทานชื่อให้ใหม่จากนายสินเป็นวิเศษไกรศิลป์ สร้างชื่อเสียงให้แก่นายเสือง พ่อผู้เป็นนายคหบดีเป็นอันมาก ด้วยมีลูกชายเป็นจางวางอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น


   เนื่องจากแรกเริ่มนายเสืองมิได้เห็นด้วยกับการที่ลูกชายคนโตเพียงคนเดียวจะเอาดีทางด้านร้องรำทำเพลงเช่นนี้ เมื่อสินเอ่ยขอให้บิดาปลูกเรือนเล็กสำหรับซ้อมดนตรี นายเสืองจึงทัดทานคัดค้านเรื่อยมา ทว่าวันนี้ ก่อนที่สินจะเข้าไปรับใช้พระองค์ท่านในวัง เรือนหลังน้อยที่เคยใฝ่ฝันว่าอยากจะได้มานานก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำพักน้ำแรงซึ่งมาจากความสามารถของตน ซึ่งแสดงให้พ่อได้ประจักษ์และยอมรับได้ในที่สุด


   หลังจากขึ้นไปชื่นชมเรือนใหม่ ทั้งยังกำกับดูแลให้บ่าวไพร่จัดเครื่องดนตรีกับเครื่องเรือนเรียบร้อยแล้ว สินก็สั่งให้บ่าวขุดดินเป็นหลุมหน้าเรือน เพื่อที่จะได้นำต้นแก้วเจ้าจอมลงปลูกในดิน แก้วเจ้าจอมเป็นต้นไม้ต่างแดน ที่พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ในวันที่เสด็จมาทอดพระเนตรการประชันเดี่ยวระนาดพร้อมกับพระองค์เพ็ญ


   "เวลาฉันไม่อยู่ อย่าลืมให้ใครหมั่นมาดูแลต้นแก้วของฉันบ้างนะเจ้าอ่ำ" เสียงทุ้มสั่ง ในขณะที่ยืนมองบ่าวคนสนิทพรวนดินที่โคนต้นไม้

   "ขอรับคุณสิน กระผมจะดูแลอย่างดีเลยขอรับ"

   "ดีมาก ถ้ากลับมาคราวหน้า มันออกดอกให้ฉันเห็นล่ะก็ ฉันจะตกรางวัลให้นายอ่ำอย่างงามเลยทีเดียว" ผู้เป็นนายว่า


   เมื่อดูแลให้เจ้าอ่ำปลูกต้นไม้เรียบร้อย ชายหนุ่มก็กลับขึ้นเรือนเนื่องจากมารดาให้เด็กมาตามไปทานอาหารเย็นด้วยกันพร้อมบิดาและน้องสาว ซึ่งรอเขาอยู่ก่อนหน้าแล้ว


   หลังจากที่สินขึ้นเรือนใหญ่ไปแล้ว เจ้าอ่ำก็เข้าไปสั่งให้ลูกบ่าวที่เล่นอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นนัก ไปตักน้ำมารดต้นแก้วเจ้าจอม เด็กหลายคนวิ่งหนีกลับเรือนทาสเพื่อไม่ให้ถูกบ่าวรุ่นพี่ใช้งานเอาได้


   "อีแก้ว!" เสียงเจ้าอ่ำเรียกเด็กหญิงเอาไว้

   "ว่าอย่างไรน้าอ่ำ"

   "ประเดี๋ยวเอ็งไปตักน้ำที่ท่ามารดต้นแก้วหน้าเรือนให้ข้าหน่อยนะ"

   "กระไรกัน หน้าที่น้าไม่ใช่รึ เหตุใดจึงใช้ข้า"

   "ไปให้ข้าหน่อยสิวะ ข้าทำงานมาตั้งกะเที่ยง ข้าวสักเม็ดยังมิตกถึงท้อง หิวไส้จะขาดอยู่รอนๆแล้วอีแก้วเอ้ย ช่วยข้าหน่อยเถอะ นั่นน่ะต้นไม้ของคุณสิน เธอกำชับกำชามาเชียวนะโว้ย จะขัดก็ไม่ได้ หิวจนตาลายแล้วข้า" ว่าไปก็กุมท้องไป แสร้งทำราวกับไส้จะขาดต่อหน้าเด็กน้อย

   "ต้นไม้ของคุณสินรึ" แก้วถามซ้ำให้แน่ใจ

   "ก็ใช่น่ะซี"

   "ถ้าหิวน้าก็ไปกินข้าวเถอะ ข้าจะไปรดน้ำต้นไม้ให้ประเดี๋ยวนี้ล่ะ"

   "ขอบใจเอ็งมากนะแก้ว" ความจริงอ่ำไม่ได้หิวขนาดนั้น หากแต่ความขี้เกียจ เมื่อเห็นนายไปแล้วจึงหันมาใช้เด็กลูกล้อแทน


   แก้วทำตามที่เจ้าอ่ำขอร้องให้โดยไม่เกี่ยงงอนเพราะนึกสงสาร และอีกเหตุผลเพราะสำนึกในบุญคุณของผู้ที่เคยช่วยชีวิตเธอไว้ แม้จะผ่านมาสองปี กระทั่งตอนนี้แก้วอายุ 10 ขวบแล้วก็ตาม แต่แก้วก็ไม่เคยลืมวินาทีนั้นเลยสักครั้งเดียว หากไม่ได้คุณสิน ป่านนี้แก้วคงตายไปนานแล้ว ตามวิสัยของคุณสิน เธอไม่เคยสั่งหรือกำชับอะไรกับข้าทาสนัก ทว่าเจ้าต้นไม้นี่คงสำคัญ ไม่เช่นนั้นคงยอมปล่อยให้น้าอ่ำไปกินข้าวเสียก่อนแล้วค่อยมาดูแล







   หลายเดือนผ่านไป

   ตั้งแต่วันที่อ่ำใช้ให้แก้วรดน้ำต้นแก้วเจ้าจอมให้ ทุกวันนี้แก้วก็กลายเป็นคนที่มีหน้าที่ดูแล้วต้นไม้ต้นนี้ไปโดยปริยาย ทุกเช้าเย็นเธอจะต้องทำหน้าที่รดน้ำพรวนดิน เอาปุ๋ยคอกจากลุงชุ่มมาใส่โคนต้นสามวันครั้ง คอยดูแลกำจัดวัชพืชไม่ให้ขึ้นรกรุงรัง จนต้นแก้วพระราชทานเติบโตหยั่งรากลึกลงดินออกใบมันเงาเขียวชอุ่มไปทั้งต้น


   กระทั่งเย็นวันหนึ่ง หลังจากที่แก้วรดน้ำต้นไม้เสร็จ ก่อนเด็กน้อยจะกลับไปกินข้าวกับแม่ เธอก็ได้ยินเสียงเพลงแว่วหวานบรรเลงขึ้น เสียงนั้นดังมาจากเรือนดอกแก้วข้างหลังเธอ ด้วยความไพเราะเสนาะหูอย่างที่ไม่เคยได้ยินที่ไหน เด็กน้อยจึงแอบย่องขึ้นไปตรงบันได แล้วลอดมองผ่านช่องเล็กๆ เหนือธรณีประตู


   ภาพที่เห็นคือคุณสินกำลังนั่งตีเครื่องดนตรีอะไรสักอย่างซึ่งเด็กหญิงไม่เคยพบพานมาก่อนในชีวิต ใช้ไม้เล็กๆ ตีอย่างระนาด แต่มีสายคล้ายจะเข้ ขอบเครื่องถูกวาดประดับไว้ด้วยลวดลายงามตา ทุกครั้งที่เส้นสายทองเหลืองถูกไม้ตีจนสั่นสะเทือน เสียงเสนาะหวานกว่าแก้วกังสดาลก็ดังขึ้น


   แสงตะวันสีส้มอ่อนยามสนธยาสะท้อนภาพนัยน์ตาให้ทุกอย่างดูอ่อนละมุน งดงามทั้งท่วงทำนองเพลงและบุคคลซึ่งนั่งบรรเลงอยู่ ประกายตาของเขาผู้นั้นช่างอ่อนโยนจนสัมผัสได้ อ่อนโยนเสียจนเด็กหญิงตัวน้อยเก็บภาพนั้นประทับในดวงใจ เจียรสลักไว้ไม่ลืมเลือน...


   "ผู้ใดอยู่ตรงนั้น!" เสียงที่เอ่ยถามดังขึ้นมาไม่ทันตั้งตัว เด็กหญิงสะดุ้งกายแล้วตั้งท่าจะหนีไป หากแต่เมื่อได้ยินประโยคถัดมา แก้วจึงจำใจต้องกระทำตามอย่างโดยไม่อาจเลี่ยงได้ "ขึ้นมาหาฉันข้างบนนี่เร็ว ฉันเห็นด่อมๆมองๆ อยู่ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว อย่าคิดหนีเชียว"


   ดวงหน้าเล็กๆ มอมแมมไปด้วยเศษดินเปรอะแก้มกับนัยน์ตาสีน้ำตาลใสแจ๋ว ค่อยๆโผล่พ้นขอบประตูขึ้นมาให้เห็นได้ถนัดชัดเจน เด็กหญิงก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ก่อนจะหยุดอยู่แค่ชานกว้างด้านนอก นั่งพับเพียบเรียบร้อยแล้วก้มหน้าลง


   "ลูกเต้าเหล่าใครนะเรา เย็นย่ำจนป่านนี้แล้ว ใยจึงไม่กลับเรือนอีก มาแอบทำอะไรอยู่แถวนี้" สินเอ่ยถาม

   "หนูมารดน้ำต้นไม้เจ้าค่ะคุณสิน" แก้วตอบไปตามตรง แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก ซ้ำยังไม่เคยมีใครสอนให้พูดอย่างไรกับเจ้านาย แก้วจึงเลือกใช้คำแทนตนเองเหมือนกับเวลาที่ที่คุยกับพ่อแม่ สินยกยิ้มนิดๆก่อนจะว่าต่อ

   "รดน้ำต้นไม้รึ แต่ฉันเห็นว่าเธอมานั่งแอบเมียงมองอยู่ที่บันไดเสียมากกว่า บอกมาเสียดีๆว่ามาทำอะไรที่เรือนของฉันกันแน่"

   "หนูเปล่านะเจ้าคะ หนูมารดน้ำต้นไม้จริงๆ" แก้วรีบโต้กลับทันใด เนื่องด้วยกลัวว่าคุณสินจะเข้าใจผิด คิดว่าเธออาจริเป็นขโมย เข้ามาหยิบฉวยข้าวของบนเรือน ใครๆก็รู้ว่านี่เป็นเรือนของคุณสิน และคุณสินก็เข้าไปรับใช้พระองค์ท่านในพระนคร ดังนั้นตามปรกติแล้วเรือนหลังนี้จึงไม่มีคนอยู่

   "แต่เมื่อกี้ฉันเห็นเธอแอบอยู่ที่บันไดนา ไม่ได้รดน้ำต้นไม้อย่างที่ว่าสักหน่อย"

   "ก็หนูรดน้ำต้นไม้เสร็จแล้วนี่เจ้าคะ จะกลับเรือนอยู่รอมร่อ แต่ได้ยินเสียงเพลงเพราะจับใจเหลือเกิน หนูก็เลย..." แก้ต่างให้ตนเองเสียฉะฉาน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าจงใจมาแอบอยู่ตรงนั้นจริงๆ หากแต่ก็เพราะความบริสุทธิ์ใจทั้งสิ้น

   "แอบฟังใช่หรือไม่" ชายหนุ่มต่อประโยคให้จบความ

   "เจ้าค่ะ" เด็กน้อยก้มหน้ายอมรับสารภาพ

   "แล้วเธอว่าเพลงของฉันเพราะไหม"

   "เพราะมากเจ้าค่ะ" เธอเงยหน้าขึ้นตอบทันควันด้วยแววตาเปล่งประกายอย่างลืมตัว

   "หึ..." ชายหนุ่มยิ้มกว้างเพราะไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกต่อไป จริงๆ แล้วเขาแค่ต้องการจะแกล้งแม่เด็กน้อยคนคนนี้เท่านั้น ที่ซักไซ้หาความแต่แรกก็ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังอะไรเลยแม้แต่น้อย


   กลับมาจากท่าเตียนคราวนี้ สินได้เครื่องดนตรีชิ้นใหม่มาจากในวังด้วย พระองค์เพ็ญประทานให้เขานำมาทดลองเล่นให้เป็นเสียก่อน กลับไปคราวหน้าเขาจึงมีหน้าที่ต้องบรรเลงขิมโป๊ยเซียนของคหบดีชาวจีนให้พระองค์ท่านฟัง นึกไม่ถึงว่าการซักซ้อมคราวแรกจะมีผู้ชมตัวน้อยมานั่งทัศนาด้วย


   "ไหนขยับเข้ามาใกล้ๆ ฉันหน่อยซิ นั่งเสียไกลฉันเห็นหน้าไม่ถนัดเลย"

   "เจ้าค่ะ" เมื่อได้ยินคำสั่ง แก้วก็คลานเข่าเข้าไปใกล้ เดิมทีแก้วมิใช่คนกลัวเกรงใครเท่าใดนัก ออกจะกล้าเกินเด็กหญิงทั่วไปเสียด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าท่าทางของคุณสินมิได้ดูคล้ายจะติดใจเอาความเธอเรื่องที่มาแอบฟัง เธอจึงไม่คิดประหวั่นใดๆ อีก

   "ไหนเมื่อกี้เธอว่าเธอมารดน้ำต้นไม้ให้ฉันรึ"

   "เจ้าค่ะ" แก้วพยักหน้ารับ

   "ต้นแก้วหน้าเรือนนั่นใช่หรือไม่" สินถามอีกคำ

   "เจ้าค่ะคุณสิน"

   "อืม" เขาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในตัวเรือน รออยู่ครู่หนึ่งก็กลับออกมาพร้อมกับโหลแก้วซึ่งด้านในบรรจุขนมผิงจากในวังอยู่เต็มโหล เขาส่งโหลแก้วนั้นให้เด็กน้อย แล้วว่า "เอานี่ไป ฉันให้ เป็นสินน้ำใจที่เธออุตส่าห์ดูแลต้นแก้วเจ้าจอมให้ฉัน"

   "..." เด็กหญิงมีท่าทางลังเล แต่ชายหนุ่มพยักหน้าเร่งเร้า เธอจึงคลานเข้าไปรับขนมมา พร้อมกับรอยยิ้มสดใส "ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณสิน"

   "อืม..." สินยิ้มตอบละไม "กลับเรือนได้แล้ว ฟ้ามืดแล้วนะ พ่อแม่เขาจะเป็นห่วงเอา" แก้วพยักหน้ารับ ก่อนจะถดตัวถอยหลังกลับไปแต่โดยดี หากแต่ยังไม่ทันลงจากเรือน เสียงของคุณสินก็ดังขึ้นอีกคำรบ "ประเดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป!"

   "มีอะไรเจ้าคะคุณสิน" เด็กน้อยหันหลังกลับมาถาม

   "เธอชื่ออะไร"

   "ชื่อแก้วเจ้าค่ะ" เด็กหญิงตอบ ชายหนุ่มยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณให้เธอกลับไปได้...





v
v
v
(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2015 13:30:23 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2





   ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

   เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังลั่นปลุกให้ร่างสูงตื่นขึ้นจากนิทรารมย์ เปลือกตาหนักอึ้งลืมขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเสียงรัวมือที่หน้าประตูดังสำทับอีกครา ร่างกายที่ปวดเมื่อยอ่อนล้ารีบลุกจากเตียง แล้วเร่งรุดไปที่ประตูห้องโดยไว กลอนประตูถูกเลื่อนให้เปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าถมึงทึงของใครคนหนึ่ง ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองมาที่เขาด้วยแววหงุดหงิดไม่น้อย


   “สน...” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยชื่อบุคคลที่มาปลุกตนเช้านี้

   "เพิ่งตื่นเหรอเนี่ย!?" น้ำเสียงไม่ค่อยจะสบอารมณ์พอๆกับหน้าตาเอ่ยถาม

   "เอ่อ...ครับ" นาคินพยักหน้ารับ

   "รู้ไหมว่านี่กี่โมงแล้ว จะไปพร้อมกันก็ตื่นให้มันเช้าๆ หน่อยไม่ได้หรือไง"

   "ขอโทษ" นาคินเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงสลด

   "เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า...?" คนตัวเล็กกว่ามองคนตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ เนื่องจากแววตาและใบหน้าของนาคินดูอิดโรยเหมือนคนไม่สบายหรือไม่ก็อดนอน

   "ปวดหัวนิดหน่อยน่ะ แต่เดี๋ยวกินยาคงดีขึ้น สนรอไหวไหม ผมจะรีบอาบน้ำแล้วแต่งตัวไม่เกินสิบนาที แต่ถ้ารีบ สนจะไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมขึ้นรถเมล์ไปเอง"

   "จะรอที่รถ รีบตามมาล่ะ"

   "ครับๆ" รับคำสั่งเสร็จ ชายหนุ่มก็รีบปฏิบัติตามทันที








   เสียงบันไดลั่นตึงตังเมื่อครั้นร่างสูงในชุดนักศึกษาซอยเท้าวิ่งลงมา กระเป๋าหนังสีน้ำตาลใบใหม่ถูกตวัดคาดบนร่างรวดเร็ว เมื่อลงมาถึงขั้นล่างสุดของบันไดชายหนุ่มก็ย่อตัวลงนั่งแล้วใส่รองเท้าผ้าใบลวกๆ ก่อนจะรีบออกวิ่งไปยังโรงรถข้างเรือนใหญ่ เนื่องจากไม่อยากให้ใครอีกคนรอนานไปมากกว่านี้


   ประตูรถด้านข้างคนขับถูกเหวี่ยงปิดอย่างแรงเมื่อนาคินเข้ามานั่งเรียบร้อยแล้ว สนธยาสะดุ้งกายน้อยๆ เปลือกตาที่เดิมปิดอยู่เปิดขึ้นมาทันที เรียวคิ้วขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจนิดๆ เพราะตั้งใจจะเอนหลังสักหน่อย เหลือบตามองที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือของตนแล้วต้องขมวดคิ้วมากขึ้นอีกปม


   "อาบน้ำหรือเปล่าเนี่ย" ว่าจะไม่ทักแต่มันก็อดไม่ได้ สนธยาจึงหันไปถามคนข้างๆ ที่นั่งหอบหายใจเหนื่อยๆ ดูท่าว่าคงจะรีบวิ่งลงมาจากเรือนมากทีเดียว

   "..." นาคินหันมามองหน้าก่อนจะควบคุมจังหวะลมหายใจให้เป็นปรกติ แล้วจึงตอบออกไป "อาบสิครับ"

   "ทำไมถึงเร็วนัก" ทั้งที่ยังไม่ถึงสิบนาทีอย่างที่บอกเลยด้วยซ้ำ เจ้าตัวกลับมานั่งเรียบร้อยอยู่ข้างๆแล้ว หากแต่จะว่าเรียบร้อยก็ดูจะไม่เป็นเช่นนั้นเท่าใดนัก เนื่องจากคลื่นผมหยักศกของนาคินยังคงกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง นาคินใช้มือใหญ่สางแบบขอไปทีเมื่อสนธยาปรายตามอง ทั้งชายเสื้อนักศึกษาก็ไม่ได้ถูกเหน็บเข้าไปในกางเกงอย่างเมื่อวาน

   "ก็มันสายแล้ว ผมไม่อยากทำให้สนต้องสายไปด้วย" นาคินตอบ

   "อืม...รู้ก็ดี" บอกเสียงเรียบก่อนจะหันหน้ากลับมาสตาร์ทรถ


   หากแต่ความวุ่นวายในเช้านี้ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด คล้ายกับอะไรบางอย่างดลบันดาลให้ลูกชายคนโตของมนตรีต้องเกิดอารมณ์หงุดหงิดอีกระลอก รถญี่ปุ่นคันเก่ามรดกตกทอดจากผู้เป็นพ่อเกิดพยศไม่ยอมทำงานตามปรกติเสียได้


   "รถเป็นอะไร" นาคินหันมาถาม

   "ไม่รู้ สตาร์ทไม่ติด" สนธยาตอบห้วนๆ ลองพยายามอีกสองครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลเจ้าตัวจึงลงไปเปิดกระโปรงรถเพื่อตรวจสอบดู นาคินเองก็ลงจากรถมาช่วยดูด้วยเหมือนกัน

   "มาเป็นอะไรตอนนี้วะ!" เสียงบ่นงึมงำดังขึ้นเป็นระยะ ในขณะที่มือเรียวสำรวจเครื่องยนต์ว่าเกิดผิดปรกติตรงไหน ยังไม่ทันที่นาคินจะเอ่ยปากเพื่อยื่นความช่วยเหลือ เสียงของนายเสริมคนสวนของบ้านก็ดังขึ้นด้านหลัง

   "รถเป็นอะไรครับคุณสน"

   "ไม่รู้สิ กำลังดูอยู่ มันสตาร์ทไม่ติด" ร่างโปร่งขยับตัวหันหลังกลับมาบอก

   "ผมดูให้ดีกว่าครับ คุณสนกับคุณคินรอสักประเดี๋ยว"


   เมื่อเสริมว่าจบนักศึกษาทั้งสองก็หลีกทางให้เขาเข้าไปตรวจเช็คเครื่องยนต์ ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเสริมก็ขอให้สนธยาลองสตาร์ทรถดูอีกครั้ง แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้ารถคันเก่าก็ยังพยศไม่ยอมติดสักที ในที่สุดคุณหนูคนโตจึงเป็นฝ่ายยอมถอดใจ


   "ผมไม่รอแล้ว นั่งรถเมล์ไปเองเลยดีกว่า นี่ก็สายมากแล้ว วานลุงเสริมช่วยดูไอ้แก่ให้ผมด้วยนะ"

   "ครับคุณสน"

   ทันทีที่นายเสริมพยักหน้ารับคำ สนธยาก็เดินอ้อมมาหยิบกระเป๋าของตนในรถก่อนจะเดินออกจากบ้าน โดยมีร่างสูงของผู้อาศัยจากกาฬสินธุ์วิ่งตามหลังมา







   พ้นจากรั้วกระดังงาเป็นถนนทอดยาว นาคินเคยแต่นั่งรถเข้าออก ไม่เคยเดินออกไปปากซอยเองสักครั้งเดียว คะเนจากสายตาท่าทางเช้านี้เขาคงจะได้เหงื่อพอสมควร ดวงตาสีน้ำตาเข้มมองดูแผ่นหลังบางที่เดินนำห่างจากตนไปค่อนข้างไกล สองขาจึงรีบก้าวให้ยาวขึ้นเพื่อที่จะตามคนข้างหน้าให้ทัน


   รองเท้าผ้าใบเหยียบลงบนกลีบดอกหางนกยูงที่หล่นอยู่เกลื่อนถนน เมื่อลมโชยมาคราวใดกลีบสีส้มสดใสก็ยิ่งร่วงกราวลงมามากเท่านั้น บ้างก็ตกลงบนพื้นดิน บ้างก็ตกลงบนผิวน้ำคลองสายเล็กริมถนน มันเป็นสัญญาณให้รู้ว่าตอนนี้หมดฤดูร้อนแล้ว และฤดูฝนก็กำลังจะมาเยือน เห็นทีนาคินคงต้องพกร่มไว้ในกระเป๋าสักคัน เผื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน


   ฝีเท้าค่อยชะลอลงจากที่เร่งรีบเป็นเดินเรื่อยๆ รู้สึกปวดหนึบที่ขมับเหลือเกินคล้ายว่าจะเป็นไข้ เมื่อคืนกว่าจะข่มตาให้หลับลงได้ก็ดึกดื่น ภาพน่ากลัวที่เห็นทำให้นึกหวาดหวั่นไม่หาย อีกทั้งเมื่อหลับไปแล้วยังจะฝันประหลาดยืดยาว แม้จะตื่นสายแต่นาคินกลับรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้พักผ่อนเต็มที่เอาเสียเลย


   เดินไปใจลอยเพราะคิดคำนึงและนึกฉงนในภาพนิมิตฝันของตัวเอง สองครั้งสองคราแล้วที่นาคินเห็นเด็กผู้หญิงเกล้าจุกคนนั้น ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับเงาของใครที่เขาเห็นหรือเปล่า ทั้งยังไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไร เหตุใดเขาจึงฝันถึงเธอเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวจนคิ้วเข้มขมวดเป็นเส้นเดียวกัน ผิดจากลักษณะประจำกายที่ปรกติเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส


   มัวแต่มองข้างทางและคิดเรื่อยเปื่อยเสียเพลิน จนลืมมองว่าแผ่นหลังบางที่เดินนำลิ่วไปแต่แรกบัดนี้หยุดอยู่กับที่แล้ว ร่างสูงกว่าเกือบจะเบรกตัวเองไม่ทัน เล่นเอาเกือบพุ่งชนสนธยาเข้าเสียแล้ว เมื่อหยุดเดินแล้วเงยหน้าขึ้นมองว่าทำไมสนธยาจึงหยุด ก็ต้องแปลกใจขึ้นมาอีกคำรบ คิ้วเข้มคลายปมออกจากกันแล้วเลิกขึ้น เนื่องจากดวงตาคมสบเข้ากับกิริยาของคนตรงหน้า ซึ่งกำลังยื่นถุงที่บรรจุข้าวเหนียวหมูปิ้งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอมาให้ตน เมื่อเห็นว่านาคินทำหน้าเป็นหมางง สนธยาจึงเสมองไปด้านข้างก่อนจะบอกเรียบๆ ว่า


   "ไม่ได้กินข้าวเช้าไม่ใช่หรือไง"

   "อืม" นาคินพยักหน้า

   "ก็รับไปสิ"

   "ขอบคุณครับ" นาคินกล่าวขอบคุณแล้วรับถุงข้าวเหนียวร้อนๆกับหมูปิ้งมาถือไว้


   สนธยาหันกลับไปเดินต่อทันทีเมื่อนาคินเอ่ยขอบคุณพร้อมกับยิ้มกว้างแบบที่เห็นแล้วรู้สึกขัดใจเล็กๆ ไม่ใช่จะอยากทำดีอะไรด้วยหรอกนะ ที่ซื้อให้ก็เพราะกลัวเดี๋ยวพ่อจะหาว่าไปเร่งเสียจนเจ้าคนข้างหลังไม่ได้กินข้าวกินปลา มาอาศัยอยู่บ้านเขา เขาก็ไม่อยากจะถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าบ้านที่แย่หรือใจดำ แม้จะไม่ได้ทำตัวสนิทสนมเล่นหัวได้อย่างรวดเร็วเหมือนที่น้องสาวเขาเป็น แต่ก็ใช่ว่าสนธยาจะเกลียดเจ้าคนข้างหลังนี่เสียหน่อย


   กว่าจะเดินมาถึงปากซอย กว่าจะรอรถเมล์สายที่ผ่านหน้ามหาวิทยาลัยมาถึง ข้าวเหนียวหมูปิ้งของนาคินก็อันตรธานหายไปทันท่วงที น่าแปลกที่นอกจากจะช่วยให้อิ่มท้องแล้ว อาหารเช้าแสนธรรมดาของสนธยายังช่วยทำให้สมองปลอดโปร่งอีกด้วย อาจเพราะร่างกายได้สารอาหารไปเปลี่ยนเป็นพลังงานกระมัง แม้จะยังคงปวดหัวอยู่นิดหน่อย แต่นาคินก็รู้สึกดีขึ้นเยอะ เดี๋ยวนั่งรถจนถึงที่หมายค่อยเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อหายาลดไข้กินสักเม็ดสองเม็ด วันนี้ก็คงจะอยู่ได้ทั้งวัน


   ระหว่างอยู่บนรถจนกระทั่งลงรถ สนธยากับนาคินก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกสักคำเดียว ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้น แต่เมื่อต้องแยกย้ายกันไปเรียน หนุ่มรุ่นน้องก็ไม่ลืมที่จะหันมาลาและส่งยิ้มการค้าของตัวเองให้ สนธยาเพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะจากไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนกลุ่มใหญ่ แม้นาคินจะหันหลังจากมาแล้ว เขาก็ยังได้ยินโหวกเหวกและเสียงหยอกล้อดังขึ้น ก่อนจะจบด้วยเสียงตวาดแบบเย็นๆให้หลายคนพากันหยุดแซวเสียที


   "เด็กมึงเหรอไอ้เตี้ย!"

   "เด็กพ่อมึงสิ"

   "เขินเหรอมึง?"

   "เงียบปากไป น่ารำคาญ"


   แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เสียงหัวเราะดังขรมจนฟังบทสนทนาต่อไปไม่ออก นาคินเองได้แต่ยิ้มขำลับหลังและเดินห่างออกมาเรื่อยจนไม่ได้ยินอะไรอีกต่อไป







   กว่ารุ่นพี่จะปล่อยกลับบ้านเล่นเอาเหนื่อยแทบแย่ นาคินเดินออกจากใต้ถุนคณะพร้อมกับเพื่อนใหม่ แต่ทุกคนมีรถส่วนตัวมาเอง บ้างก็อยู่หอพักนักศึกษาในมหาวิทยาลัย จึงแยกย้ายกันไปคนละทาง เหลือเพียงนาคินกับเพื่อนตัวเล็กที่วันนี้ถูกพี่ๆแกล้งจนสะบักสะบอมไม่แพ้กัน


   "คินกลับไงอ่ะ" ดวงตากลมโตโดดเด่นผิดแผกจากลักษณะทางพันธุกรรมของญาติพี่น้องที่สืบเชื้อสายจีนแท้ๆ บวกกับแก้มยุ้ยๆ ทำให้นาคินนึกชื่นชมอยู่ในใจว่าเพื่อนใหม่ของเขาช่างเหมาะสมกับคำว่าน่ารักน่าหยิกเสียจริง

   "รถเมล์" นาคินตอบก่อนจะถามกลับ "แล้วไผ่กลับไง"

   "เฮียมารับ... มั้ง" เจ้าตัวว่าพลางอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะเบิ่งตาโตมากกว่าเดิม เมื่อเห็นรถขายโรตีจอดอยู่ไม่ไกล ไม่ต้องรอให้เอ่ยถาม ต้นไผ่ก็วิ่งไปต่อคิวซื้อทันที เมื่อซื้อเสร็จก็เดินเคี้ยวโรตีไส้ไข่จนแก้มตุ่ยกลับมา "กินป่ะ?"

   "ไม่ล่ะ ขอบใจนะ" เพื่อนตัวโตส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วจึงพากันเดินไปยังหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อรอรถประจำทางที่ยังมาไม่ถึง เมื่อรถสายที่นาคินจะนั่งมาถึงก่อนพี่ชายของต้นไผ่ นาคินจึงโบกมือลาแล้วของตัวกลับก่อน เนื่องจากวันนี้รู้สึกเพลียมากจริงๆ


   โชคดีที่วันนี้คนบนรถมีไม่มาก ชายหนุ่มจึงได้นั่งมาตลอดทาง แอบเผลอหลับนิดหน่อยก่อนถึงปากซอยบ้านแต่ก็รู้สึกตัวได้ทันเพราะกระเป๋ารถเมล์ขานบอกชื่อป้ายเสียงดัง


   เวลาโพล้เพล้เช่นนี้ ในซอยที่ไม่ค่อยจะมีบ้านคนมากนักจึงดูเงียบเหงามากขึ้นไปอีก เมื่อเดินผ่านร้านขายของเล็กๆ ตรงกลางซอยมาแล้วก็ไม่มีบ้านคนอีกเลย นาคินเดินเรื่อยๆไม่รีบเร่งเช่นตอนเช้า ลมเย็นพัดมาพอให้ไม่เหนียวตัว มองตรงไปบนถนนข้างหน้าแล้วก็แอบเผลอคิดถึงแผ่นหลังเพรียวบางกับไหล่แคบของลูกชายลุงมน ถึงแม้สนธยาจะเดินไว ไม่ได้ยั้งฝีเท้ารอเขาเลยเลยสักนิดเหมือนไม่ได้มาด้วยกัน แต่เมื่อจ้องมามองแผ่นหลังนั้น มันก็ทำให้นาคินรู้สึกว่าไม่ได้มีเขาเดินอยู่คนเดียวเช่นตอนนี้...


   ไม่ทันได้เหงาเพราะต้องเดินคนเดียวนานนักร่างสูงก็มาถึงรั้วหน้าบ้านพอดี มือหนาสอดเข้าไปเปิดกลอนประตูเล็กข้างรั้วใหญ่ ทันทีที่ดึงประตูให้เปิดออก ขอบด้านบนประตูรั้งก็เกี่ยวเอาดอกกระดังงาให้ร่วงลงมาบนพื้นข้างปลายเท้า นาคินมองมันอยู่ครู่ก่อนจะก้มตัวลงเก็บ แต่ในจังหวะที่เงยหน้าขึ้นมานั้น หางตาพลันรู้สึกคล้ายกับมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกล ใกล้กับพุ่งดอกหงอนไก่สีม่วงกำมะหยี่


   นาคินไม่รู้ว่าอะไรที่เขาเห็นแวบๆ มันคืออะไร และก็ไม่คิดสงสัยอยากรู้เท่าไรนัก เพราะความทรงจำของเงาดำประหลาดเมื่อคืนมันแล่นเข้ามาในสมองอีกครั้ง ไม่ต้องคิดอะไรเพิ่มเติม ชายหนุ่มรีบงับประตูรั้วแล้วลงกลอนเช่นเก่า ก่อนจะจ้ำอ้าวขึ้นเรือนใหญ่ไปโดยไม่หยุดเหลียวมองบริเวณโดยรอบสักวินาที






‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧


มาแล้วค่ะ
ตอนนี้อืม..ค่อนข้างยากสำหรับเรา ที่จะรวบเอาเหตุการณ์ยาวๆ ตัดทอนให้กระชับ
เรื่องจะค่อยๆ ดำเนินไปเรื่อยๆ อาจมีบางอย่างให้สงสัย โปรดใจเย็นๆ 555
มารับรู้ข้อมูลกันที่กว่า เผื่อว่ามีคนสงสัย
-เรื่องราวอีกด้านเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕
-พระองค์เพ็ญแห่งวังท่าเตียน ผู้เขียนยืมพระนามมาจาก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม
-วังท่าเตียนที่กล่าวถึงก็คือวังจักรพงษ์ในปัจจุบัน
-ต้นดอกแก้วเจ้าจอมที่ว่าเป็นต้นไม้ต่างแดนนั้น มีประวัติอยู่ว่ารัชกาลที่ ๕ ทรงนำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้นไม้ที่ค่อนข้างดูแลยาก ออกดอกช้า บางครั้งเป็นสิบปีกว่าจะได้ชมดอกแก้วเจ้าจอม ดอกมีสีม่วงอมน้ำเงิน กลิ่นหอมหวานมีเอกลักษณ์
-ขิมโป๊ยเซียนเป็นขิมในยุคแรกที่นำเข้ามาในไทย ปะเทศที่นำเข้าคือประเทศจีน บนตัวเครื่องจะมีลวดลายของเทพเจ้าทั้งแปด จึงมีชื่อเรียกว่าขิมโป๊ยเซียนนั่นเอง สมัยก่อนวงปี่พาทย์จะไม่มีขิมประกอบนะคะ ความจริงขิมโป๊ยเซียนเข้ามาในรัชกาลที่ ๖ แต่ผู้เขียนนำมาดัดแปลงเล็กน้อยเพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง
   สรุปคือยุคอดีตเป็นรัชกาลที่ ๕ ยุคของนาคินกับสนธยาก็เป็นยุคปัจจุบันนี่แหละค่ะ ส่วนใครเป็นใครอะไรยังไงก็รอตอนต่อๆ ไปค่ะ คนเขียนตั้งใจมาก ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ หากแปลกประหลาดไปบ้างในบางคำพูดหรืออะไรก็ตาม ยังไงก็ฝากติชมด้วยค่ะ ขอบคุณที่อ่านจนจบทุกบรรทัด เจอกันตอนหน้าเร็วๆ นี้ ^^

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
ลึก~ ลับ~ :sad3: .. หลอนตามคินเหมือนกันนะคะเนี่ย เพราะมาอยู่ไม่ทันไรก็ได้เจอเหตุการณ์ระทึกใจถึงสองรอบในวันเดียวเลย~

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เป็นใครก็ต้องหลอนเล่นหายไปต่อหน้าต่อตาอย่างนี้

ออฟไลน์ Cream A

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
พึมพำตามคินว่า พี่สนน่ารักอ๊ะ ส่วนเรื่องหลอนๆที่คินเจอ

คนอ่านก็เริ่มหลอนตาม  o22 รอติดตามตอนต่อไปค่าา

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
เด็กแก้ว นี่ต้องมีอะไรแน่นอน ?

ติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
บ้านเรือนไทยริมน้ำ

บรรยากาศสลัวๆ

ไม้ดอกหอมหวน   

เสียงประตู หน้าต่าง ดังออดแอด

บรึ๊ย...คืนทั้งคืนไม่ต้องหลับละ

นอนระแวงกลัวผีไปเถอะ หู๊ยยยย ขนลุก

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
หลอนม้ายยยยยยยยยย  :sad2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
อยากบอกว่าอ่านตอนกลางคืนแล้วยิ่งขนลุก หลอนมากๆเจ้าค่ะ 

สนุก  น่าติดตามมาก  ขอบคุณมากๆนะคะ :L2:

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
หลอนนน เบาๆ

ออฟไลน์ IIIA

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
แอบหลอนตามนาคิน นี่ปิดไฟอ่านด้วย เสียวหลังเบาๆ 5555555

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
กลัวแทนนาคินเลย ตอนเย็นจะไม่เปิดหน้าต่างเลย  :ling3:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เด็กแก้วยังอยู่ที่พุ่มดอกแก้วเจ้าจอมนั่นหรือเปล่า อื๋อ...ขนลุก

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
หลอนเบาเบา

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1037
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
แอบหลอนตามนาคิน o21 แก้วเป็นใคร เดาว่าอาจจะเป็นได้ทั้งนาคินหรือสน
หรืออาจจะเป็นเงานั้นก็ได้ เพราะที่ย้อนอดีตไปก็มาแอบมองคุณสินเล่นดนตรี
เริ่มอยากรู้ที่มาที่ไปว่าทำไมคินถึงฝันแบบนี้แล้ว รอติดตามนะคะ :pig4:

 :mew1: :L2:

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2
๔.






   เสียงพลิกหน้ากระดาษกับเสียงขีดเขียนดินสอลงสมุดผลัดกันดังไปมาในความเงียบ นานๆทีจึงจะมีเสียงเอ่ยถามข้อที่สงสัยสักครา แม้ตอนแรกตั้งใจว่าจะมาติวหนังสือเตรียมสอบเก็บคะแนนด้วยกัน แต่เอาเข้าจริงต่างคนต่างก็อ่านหนังสือและจมอยู่ในโลกของตัวเองมากกว่า ทว่าสุดท้ายเสียงโครกครากในกระเพาะของชายหนุ่มตัวเล็กสุดก็ดังขึ้นเตือนสติทุกคนว่าเลยเวลาอาหารกลางวันมานานมากแล้ว


   "ถึงว่าทำไมท้องร้อง นี่มันเกือบบ่ายสี่โมงแล้วนะ" ต้นไผ่ว่าหลังจากกดมองเวลาบนหน้าจอมือถือ

   "โซ่โล่กันไม่ลืมหูลืมตาขนาดนี้สงสัยจะเอาท็อป" หนุ่มคิ้วเข้มแว่นหนาอีกคนว่าพลางหัวเราะ แต่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่างจึงว่าต่อ "จะสี่โมงแล้ว เราว่าเรากลับแล้วดีกว่า ไม่อยากกลับเย็นกว่านี้รบกวนบ้านคินมานานแล้ว อีกอย่างพอตกเย็นบรรยากาศบ้านคินก็น่ากลัวชิบเลย"

   "อย่าพูดอย่างนั้นสิโจ้ เรายิ่งหลอนๆอยู่" นาคินว่าพลางปิดหนังสือ เก็บสมุดพร้อมกับดินสอและปากกาเน้นข้อความเรียบร้อย

   "ทำไมล่ะ นายเคยเจออะไรเหรอคิน" ต้นไผ่ทำตาโตด้วยความอยากรู้อยากเห็น

   "ไม่รู้สิ...เราไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่ เพราะนึกแล้วสยอง" แววตาประหวั่นพรั่นพรึงของนาคินทำให้เพื่อนทั้งสองขนหัวลุกขึ้นมาตามๆกันโดยไม่ต้องขู่ซ้ำให้มากความ

   "งั้นเราว่าพวกเรารีบเก็บของเหอะนะ อยู่นานๆชักจะเสียวสันหลังขึ้นมายังไงบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนมีใครจ้องอยู่ตลอดเวลาเลย" หน่วยตาคู่โตกวาดมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง อีกทั้งยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาลูบแขนประกอบ

   "ไผ่อย่ามาปอดแหก ตะวันยังไม่ตกดินเลย พูดให้กลัวอยู่ได้" โจ้จัดการตบหัวเป็นรางวัลให้เพื่อนไปงามๆหนึ่งที ข้อหาพูดไม่คิด

   "นั่นสิ เลิกพูดเถอะ เราต้องอยู่ที่นี่นะเว้ย หนักกว่าพวกนายอีก ไปๆเดี๋ยวเราเอาของขึ้นไปเก็บแล้วจะเดินไปส่งขึ้นรถ" นาคินรีบตัดบทก่อนเพื่อนจะพูดให้กลัวมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ก่อนจะรวบสัมภาระแล้วลุกขึ้น


เมื่อเห็นนาคินลุก หนุ่มอีกสองคนก็ลุกออกจากศาลาริมน้ำตามกัน นาคินขอเวลาเอาของขึ้นไปเก็บในห้องส่วนตัวบนเรือนก่อนจะกลับลงมาหาเพื่อนแล้วพากันไปที่รถ ยืนร่ำลากันได้ไม่นานโจ้กับต้นไผ่ก็ขอตัวกลับ โดยโจ้อาสาไปส่งต้นไผ่เองเนื่องจากเป็นคนไปรับมาจากบ้านแต่แรก หากยังไม่ทันที่ต้นไผ่จะเปิดประตูเข้าไปในรถ ใครคนหนึ่งก็ปราดผ่านหน้านาคินไปอย่างรวดเร็วจนเกือบจะมองไม่ทัน แล้วข้อมือของต้นไผ่ก็ถูกใครคนนั้นกระตุกแรงๆให้ออกห่างจากรถ พร้อมกับเสียงสั่งเข้มๆเจือจะดุเกินไปเสียด้วยซ้ำ


   "จะไปไหน"

   "พ...พี่ลม!" ต้นไผ่ตกใจกับการมาของคนตรงหน้าไม่ต่างจากนาคินเลย "มาได้ไง"

   "ถามว่าจะไปไหน" หากแต่ดูเหมือนผู้ชายที่ต้นไผ่เรียกว่าลมจะไม่สนใจในคำถามของต้นไผ่เลยสักนิด

   "จะ...จะกลับบ้านครับ" ต้นไผ่ตอบงงๆ

   "กลับด้วยกัน บอกลาเพื่อนซะ" ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ยังไม่ทันที่ต้นไผ่จะได้บอกลาโจ้หรือนาคิน ร่างเล็กๆก็ถูกฉุดให้เดินตามไปขึ้นรถอีกคันเสียแล้ว แต่ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของหนุ่มรุ่นพี่จะตามขึ้นรถไปอีกฝั่ง เขาก็หันมาบอกกับลูกชายเจ้าของบ้านซึ่งนาคินเองก็ไม่ทันสังเกตว่ามายืนใกล้ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่า

   "กลับก่อนนะสน"

   "อืม...เจอกันที่มหาลัยฯ" สนธยาพยักหน้าเรียบๆราวชาชินและไม่รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์ฉุดกระชากกันตรงหน้าเมื่อครู่ ส่วนนาคินยังคงยืนทื่อมองตามรถหรูสีดำสนิทคันนั้นเคลื่อนที่ไปจนไกลลับตา

   "อะไรน่ะคิน" โจ้เปิดกระจกแล้วถามนาคินด้วยความงงงวยไม่ต่างกัน

   "ไม่รู้สิ เขาคงรู้จักกับไผ่ล่ะมั้ง เห็นไผ่ไม่ได้แย้งอะไร ยังไงนายก็กลับเถอะโจ้"

   "โอเคๆ เราก็งงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ยังไงก็ไปก่อนนะ"

“อืม กลับบ้านดีๆ” ชายหนุ่มโบกมือให้เพื่อนที่ขับรถออกจากบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ไปอีกคัน

   "คนนั้นน่ะไอ้ลม เป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัย มันพาน้องมาเรียนดนตรี บ้านมันอยู่ใกล้กับน้องไผ่ เดี๋ยวมันก็ไปส่งเอง ไม่มีอะไรหรอก" เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

   "…" นาคินเอี้ยวตัวกลับมามองหน้าคนข้างๆก่อนจะยิ้มออกมา

   "ยิ้มอะไร…?"

   "ยิ้มให้คนใจดีครับ" ว่าจบชายหนุ่มร่างสูงก็รีบเดินออกไปจากตรงนั้น ทิ้งให้สนธยายืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ครู่หนึ่งจึงเข้าใจในความหมาย ระหว่างทางเดินกลับไปที่เรือนดอกแก้วจึงอดไม่ได้ที่จะทำท่าฮึดฮัดขัดใจและบ่นพึมพำอยู่คนเดียว

   "ใจดีบ้าอะไรเล่า เห็นทำหน้างงหรอกถึงบอก"






   หลังจากเดินหนีขึ้นเรือนมาแล้วนาคินก็แอบลอบมองผลของการพูดจายั่วประสาทสนธยา แล้วเขาก็ต้องยิ้มขำเมื่อเห็นว่าใบหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจตอนนี้บูดบึ้งราวกับเด็กถูกขัดใจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังดูดีไม่เปลี่ยน มิหนำซ้ำนาคินยังรู้สึกว่าแบบนี้ดีกว่าหน้าเรียบตึงเหมือนรูปสลักน้ำแข็งเป็นไหนๆ เขายืนมองจนอยู่จนกระทั่งเห็นว่าสนธยากำลังเดินกลับไปที่เรือนดอกแก้วจึงหมุนตัวกลับไปยังห้องส่วนตัวของตนเองบ้าง


   เป็นเวลาร่วมสามเดือนที่นาคินย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านทรงไทยของลุงมนตรีผู้เป็นเพื่อนสนิทของพ่อ แม้ว่าเขาจะปรับตัวเข้ากับสถานที่และสมาชิกในบ้านเกือบทุกคนได้แล้ว แต่นาคินก็ยังรู้สึกกังวลไม่หาย แม้นใจหนึ่งจะมีความรู้สึกสบายใจและคุ้นเคยกับบ้านได้อย่างรวดเร็ว แต่อีกใจกลับกระสับกระส่ายเนื่องจากอะไรบางอย่างกระตุ้นให้รู้สึกเช่นนั้น ยิ่งในสัปดาห์หนึ่งเขาจะต้องฝันเห็นเหตุการณ์แปลกๆที่เหมือนกับว่าเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้เมื่อนานมาแล้ว ฝันซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้น นาคินก็ยิ่งไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น


ครั้นจะบอกเล่าเรื่องราวให้กับครอบครัวได้รับรู้ เขาก็กลัวว่าคนทางบ้านจะคิดมากเพราะเป็นห่วง จะให้พูดกับใครคนอื่นเขาก็คงจะหาว่าเหลวไหล ดังนั้นเรื่องที่คิดไม่ตกก็ยังต้องคั่งค้างอยู่ในใจ เพราะน้ำท่วมปากบอกใครไม่ได้ ที่ทำได้ก็มีเพียงแค่แกล้งทำเฉย ไม่สนใจ และพยายามคิดว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันเลอะเทอะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะอดทนมองว่าสิ่งที่ฝันมันไม่มีความหมายได้อีกนานสักแค่ไหน








   "แก้ว!"


   ใบหน้าสวยคมกับผิวขาวดั่งจันทร์กระจ่างผิดจากฐานะผินกลับมาตามเสียงหวานที่เรียกหาตน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงซึ่งฟังดูฉะฉาน


"ว่าอย่างไรจันทร์หอม มีอะไรให้ข้าช่วยรึ"

   "ข้าจะมาตามแก้วไปทำความสะอาดเรือนคุณสิน บนเรือนใหญ่ท่านสั่งมา เห็นว่าอีกสองสามวันคุณสินเธอจะกลับมาแล้ว" จันทร์หอมว่า

   "อย่างนั้นรึ เอาสิข้ากำลังว่างอยู่พอดี" สาวหน้าคมตอบกลับก่อนจะเก็บงอบที่ยังเย็บไม่เสร็จไว้ในกระบุงพร้อมกับเข็มเล่มใหญ่

   "ยังเย็บไม่เสร็จอีกหรือแก้ว ระวังจะโดนป้าแช่มเอ็ดเอานา" จันทร์หอมเห็นงอบที่ยังไม่เสร็จของเกลอรักจึงเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง

   "ใกล้เสร็จเต็มทีแล้วล่ะ เอ็งก็รู้ว่าข้ามิถนัดดอกงานเช่นนี้ ข้าถนัดแต่งานใช้กำลัง" ก่อนลงจากเรือนหลังน้อยแก้วก็ไม่ลืมที่จะนำน้ำทุ้งติดมือมาด้วย กว่าจะทำความสะอาดเรือนดอกแก้วเสร็จ คะเนว่าคงจะประจวบเหมาะกับเวลารดน้ำต้นแก้วเจ้าจอมให้คุณสินพอดี

   "ดูพูดเข้าสิ เอ็งเป็นสาวเป็นนางนะแก้ว ระวังเถิด ประเดี๋ยวคุณท่านมาได้ยินเข้าเอ็งจะถูกเกณฑ์ไปช่วยตาช้อยกับพวกไอ้แดงทำนา" จันทร์หอมว่าไปพลางเดินไปพลาง

   "บ่นเป็นแม่ข้าเชียว" แก้วกรอกตาเหนื่อยหน่ายไม่อยากฟัง

   "ก็น้าก้อยเขาว่าถูก แต่จะว่าไป ให้เอ็งไปช่วยไอ้แดงทำนา นาคงล่มหมดกระมังเพราะตีกันตาย" จันทร์หอมว่าอย่างนึกขัน ก็แต่ไหนแต่ไรมาแก้วกับแดงเคยพูดดีๆกันได้เกินสามคำเสียที่ไหน เจอหน้าทีไรก็ขู่ฟ่อๆใส่กันอยู่ร่ำไป

   "หัวร่อชอบใจไปเถอะแม่เจ้าประคุณ จำมิได้รึ ตอนเด็กๆใครนะมันเคยโดยไอ้แดงแกล้งอยู่เป็นประจำ ซ้ำยังชอบร้องไห้ให้ข้าช่วย"

   "เอาล่ะๆ ข้าไม่ว่าเอ็งก็ได้แก้ว พิโธ่...เท่านี้ก็ทำเป็นทวงบุญคุณ" ดวงหน้าสวยหวานของจันทร์หอมมุ่ยลง ส่วนแม่แก้วตัวดีก็ยิ้มชอบอกชอบใจที่สาวเจ้ายอมจำนน


   เมื่อเดินมาถึงหน้าเรือนดนตรีของคุณสิน แก้วก็วางน้ำทุ้งไว้โคนต้นแก้วเจ้าจอมใหญ่ ทว่าก่อนจะเดินนำจันทร์หอมขึ้นไปบนเรือน เสียงของเกลอรักก็ดังขึ้นด้วยแววฉงน


   "เอ…แก้ว ต้นไม้ของคุณสินนี่มันยังไงๆอยู่นา"

   "ยังไงที่เอ็งว่านั่นมันยังไงเล่าจันทร์หอม"

   "ก็ข้าไม่เห็นว่ามันจะออกดอกออกดวงให้ได้ชมเลยสักดอก มันยังไงกันฮึ"

   "ข้าก็ไม่รู้ รดน้ำมาตั้งหลายปี ดูแลใส่ปุ๋ยพรวนดินก็ไม่เห็นจะมีดอกอย่างเขาว่า คุณสินเองก็คงจะรอชมดอกของมันอยู่ ข้าแอบเห็นบางทีเธอก็มายืนเหม่อๆ เมียงมองมันเสียนาน"

   "ลางทีมันอาจมิถูกกับดินบ้านเราเมืองเรา เห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านเอามาจากประเทศนอกมิใช่รึ"

   "ก็เห็นคุณเธอว่าอย่างนั้นนะ ข้าเองก็มิรู้จริงเท็จเช่นไรนักหรอก" ดวงตาคมสีน้ำตาลแก่ทอดมองใบเข้มครึ้มไหวไปตามแรงลมแล้วนึกถอนใจ ก่อนจะตัดใจแล้วหันไปบอกเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ "ขึ้นไปทำความสะอาดเรือนกันเถอะจันทร์หอม ประเดี๋ยวเย็นย่ำจะไม่เสร็จเอา"


   กวาดถูเรือนจนถ้วนทั่ว เครื่องเรือนก็นำลงมาเช็ดจนสะอาดเอี่ยม เหลือเพียงก็แต่โต๊ะวางเครื่องดนตรีเท่านั้นที่ยังไม่ได้รื้อลงมาทำความสะอาด จันทร์หอมถูกเรียกให้ไปเป็นลูกมือในครัวตามหน้าที่ประจำ แก้วจึงอยู่ทำความสะอาดขั้นสุดท้ายเพียงลำพัง เครื่องระนาดและอื่นๆหญิงสาวมิได้แตะต้อง ได้แต่ใช้ผ้าขี้ริ้วชุบน้ำหมาดๆเช็ดไล่ไปตามผิวเนื้อโต๊ะวางเท่านั้น ฝุ่นผงละเอียดเมื่อถูกกำจัดไปโต๊ะไม้สักก็ขึ้นเงาวาววาบเช่นเดิม


   สาวเจ้ายืนมองผลงานตนก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพอใจพลางเช็ดเหงื่อเม็ดใสที่หน้าผากด้วยชายผ้าแถบรัดอก เก็บอุปกรณ์เรียบร้อยเตรียมตัวจะลงไปรดน้ำต้นไม้แล้วกลับเรือน ทว่าดวงตาก็พลันเหลือบไปเห็นกล่องไม้งามซึ่งมีขิมโป้ยเซียนบรรจุอยู่ ด้วยความใจกล้าและซุกซนเป็นทุนเดิมแม้วันนี้อายุจะย่างเข้าสิบแปดปีเต็มแล้ว แต่อุปนิสัยของเธอก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หญิงสาวเอื้อมมือไปเปิดฝากล่องไม้แล้วหยิบไม้ซี่เล็กคู่นั้นออกมา หลับตานึกย้อนไปถึงภาพที่เธอมักแอบดูคุณสินเวลาเล่นเครื่องดนตรีนี้เป็นประจำเมื่อกลับมา แล้วก็ตีลงบนสายเส้นทองเหลือง เสียงใสดังกังวานไปทั่วเรือนดอกแก้วที่ร้างไร้ผู้คน เสียงเพราะจับใจนั้นทำให้ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มขึ้นอย่างพอใจ


   ทว่าก่อนที่จะได้ตีลงไปอีกครั้ง เสียงนุ่มทุ้มหากแต่ฟังดูกดต่ำคล้ายไม่พอใจแบบที่แก้วไม่เคยได้ยินก็ดังขึ้นเบื้องหลัง นั่นทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันกลับมามองอย่างเร็วรี่


   "ทำอะไรน่ะ!"

   "คุณสิน..." ดวงตาสีน้ำตาลคมเข้มเบิกกว้าง ก่อนจะรีบเก็บไม้ซี่เล็กลงไปนอนนิ่งที่เดิมแล้วปิดฝากล่องทันที พลางนึกฉงนในใจ ไหนว่าอีกสองสามวันจึงจะกลับ แล้วด้วยเหตุไฉนคุณสินจึงมายืนอยู่บนเรือนในขณะนี้ได้กันเล่า

   "ฉันเคยบอกแล้วใช่หรือไม่ ว่าห้ามไม่ให้ใครมาหยิบจับเครื่องดนตรีของฉันโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต"

   "แก้ว...แก้วขอโทษเจ้าค่ะ" เธอคลานเข่าออกห่างจากจุดนั้น ก่อนจะกราบขอโทษจนหน้าชิดกระดาน

   "ทำงานเสร็จก็ลงไปจากเรือนได้แล้ว"

   "คุณสิน...แก้วขอโทษเจ้าค่ะ" ดวงตาที่เคยฉายแววใจดีอยู่เป็นนิจ บัดนี้แปรเปลี่ยนไปเป็นแข็งกร้าวจนน่ากลัว เผลอสบมองเพียงชั่วครู่ก็รู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ

   "ไปสิ" น้ำเสียงเย็นชาดังเตือนขึ้นอีกคำรบ

   "เจ้าค่ะ..." แก้วหมอบกราบอีกครั้งก่อนจะคลานออกไปจากเรือน




v
v
v
(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-03-2017 13:34:05 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2




หลายวันต่อมา

   แก้วถูกเรียกขึ้นไปพบบนเรือนดอกแก้วอีกครั้ง ทั้งที่หลายวันที่ผ่านมาเธอนั้นกลัวจนหัวหด ไม่กล้าโผล่หน้าไปเฉียดกรายเข้าใกล้เรือนดนตรี แม้แต่ต้นแก้วเจ้าจอมยังขอให้จันทร์หอมไปดูแลแทน แต่วันนี้จะหลีกลี้ไปที่ใดได้เมื่อเจ้าตัวท่านเป็นคนเรียกให้หาเองเช่นนี้ เห็นทีเธอคงจะโดนดุด่าและกล่าวโทษที่กระทำอุกอาจวันนั้นเป็นแน่


   แต่กลับกันจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทันทีที่ก้าวขึ้นเรือนดอกแก้ว หญิงสาวก็ได้กลิ่นหอมของดอกมะลิ มองปราดเดียวก็เห็นว่าเป็นพวงมาลัยซึ่งวางไว้บนพานทอง ยังไม่ทันได้เรียก คุณสินที่ยืนไพล่หลังรออยู่ก็หันกลับมาพร้อมกับถามคำถามที่ได้ตระเตรียมเอาไว้แล้ว


   "เธออยากเรียนดนตรีหรือเปล่า"

   "อ...อะไรนะเจ้าคะ"

   "ฉันถามว่าเธออยากเรียนดนตรีหรือเปล่า" คราวนี้น้ำเสียงที่เรียบนิ่งฟังดูอ่อนลงกว่าเดิม

   "อยากเจ้าค่ะ" แก้วตอบทันทีโดยที่ไม่ต้องคิด เธอชอบเสียงดนตรีของคุณสิน และเธอก็อยากจะเล่นมันได้อย่างที่คุณสินเล่น

   "ดี" สินพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มอ่อน "อย่างนั้นฉันจะสอนให้เธอเอง"

   "อะไรนะเจ้าคะ!!" น้ำเสียงตระหนกระคนดีใจนั้นเกือบทำให้ชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมา

   "ฉันจะสอนให้เธอเล่นดนตรีเอาไหม"   

   "แต่...มันจะดีหรือเจ้าคะคุณสิน แก้วเป็นเพียงบ่าวในเรือน แก้วว่าคงจะมิเหมาะมิควรเท่าใดนักนะเจ้าคะ" หญิงสาวว่าอย่างเจียมตัว

   "แต่เธอเองที่เป็นคนบอกว่าอยากเรียนมิใช่รึ"

   "เจ้าค่ะ แก้วอยากเรียน แต่ว่า…" หญิงสาวอ้ำอึ้งชั่วครู่แต่ก็ตอบตามจริง

   "ตัวฉันเองก็อยากสอน แล้วจะเป็นไรไปเล่า ในเมื่อถึงเวลาเธอก็เป็นลูกศิษย์ จะเป็นบ่าวหรือลูกพ่อค้าคหบดีฉันก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์เช่นเดียวกันหมด เข้าใจหรือไม่"

   "พ...พอเข้าใจอยู่บ้างเจ้าค่ะ"

   "เช่นนั้นเป็นอันตกลงตามที่ฉันว่าก็แล้วกันนะแม่แก้ว" ชายหนุ่มรวบรัดตอบเสียเองเสร็จสรรพเรียบร้อย

   "เจ้าค่ะ" ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าคุณสินว่าดีแก้วก็จะคิดว่ามันดีเช่นกัน ในความรู้สึกช่วงวูบหนึ่ง หญิงสาวก็อดนึกแปลกใจตนเองไม่ได้ว่าเธอเป็นคนหัวอ่อนเช่นนี้เสียตั้งแต่เมือไหร่กัน

   "แต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องไม่ทำอะไรนอกเหนือคำสั่งฉันอีก ลูกศิษย์ต้องเชื่อฟังครูเข้าใจหรือไม่ ทำได้หรือเปล่า"

   "เข้าใจเจ้าค่ะ แก้วทำได้เจ้าค่ะ"

   "ดีมากแม่ลูกศิษย์ ถ้าเช่นนั้นก็มานี่ มาไหว้ครูเสียก่อน เครื่องดนตรีที่เธอจับเล่นนั้นมีครูรู้ไหม จะเล่นจะเรียนโดยที่ไม่ไหว้ครูไม่ได้"

   "เจ้าค่ะ" หญิงสาวคลานเข่าเข้าไปกราบแทบเท้าครูดนตรีของเธอ หากแต่นั่นทำให้สินต้องหัวเราะออกมาจนได้

   "ฉันไม่ได้หมายถึงตัวฉัน ฉันหมายถึงพ่อครู"


   เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทำหน้าฉงนหนักกว่าเก่า ชายหนุ่มจึงพาลูกศิษย์หมาดๆ ของตนเข้าไปด้านในห้องเล็กซึ่งมีโต๊ะหมู่บูชาอยู่ เขาจัดการให้แก้วไหว้ครูบาอาจารย์เสียเรียบร้อย เครื่องไหว้หรือก็เตรียมไว้พร้อมสรรพแต่แรก เขาไม่รู้ว่าทำไมต้องทำแบบนี้ ทั้งที่เขาเองไม่เคยมีลูกศิษย์ แม้จะเคยสอนคนมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้นับว่าเป็นศิษย์เช่นหญิงสาวตรงหน้า ยิ่งเห็นแววตาจริงจังกว่าผู้หญิงทั่วไปของหล่อน เขาก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู หากมองไม่ผิด สินเห็นแววตาที่ฉายไปด้วยความรัก เขาคิดว่าแก้วคงจะเป็นคนหนึ่งที่รักในเสียงดนตรีเฉกเช่นเดียวกันกับตน




   ทว่าสิ่งหนึ่งที่สินยังไม่รู้ จริงอยู่ที่ความรักในเสียงดนตรีของแก้วนั้นมีเต็มเปี่ยม หากแต่ดนตรีที่แก้วรักคือดนตรีของสิน เสียงดนตรีของผู้ซึ่ง ณ ขณะนี้เป็นครูของเธอนั่นเอง








มือหนาลากผ้าขนหนูผืนเล็กไปตามโครงหน้าขาวซีด กดซับเม็ดเหงื่อออกไปจากตีนผมก่อนที่มันจะไหลหยดเข้าตา เพราะกิจกรรมที่ทำต้องออกแรงมาก ซ้ำวันนี้อากาศก็ร้อนอบอ้าวเหมือนฝนจะตก จึงไม่แปลกที่ผ้าสีขาวผืนเล็กจะเปียกโชกชุ่ม


   เมื่อออกแรงช่วยลุงเสริมยกตู้ไม้สักออกมาจากห้องเล็กในเรือนดนตรีเรียบร้อยตามเสียงกำกับของลุงมน นาคินก็เข้าไปช่วยยกเครื่องดนตรีเก่าเก็บด้านในออกมาจนหมดเพื่อให้ป้าปุก สนธยาและเด็กรับใช้อีกสองคนทำความสะอาด ส่วนมัทนามีเรียนพิเศษจึงไม่ได้อยู่ช่วย ทันทีที่เรียบร้อยจากหน้าที่ใช้แรงงานร่างสูงก็ทิ้งตัวนั่งพิงเสาเรือนอย่างหมดแรง


   วันนี้ตอนเช้าตรู่หลังจากที่ทุกคนตื่นนอนเรียบร้อยแล้ว มนตรีก็ประกาศกลางโต๊ะอาหารว่าจะทำความสะอาดเรือนดนตรีครั้งใหญ่ ทันทีที่เด็กๆซึ่งมาเรียนดนตรีในวันอาทิตย์กลับบ้านกันหมดแล้วงานทำความสะอาดก็เริ่มขึ้น นาคินกับลุงเสริมมีหน้าที่ยกของหนักออกมาข้างนอกเพื่อให้ป้าปุกกับสองสาวทำความสะอาด สนธยามีหน้าที่ดูแลเครื่องดนตรีเก่าทั้งหมด ช่วยยกไม่ได้เพราะต้องดูแลข้อมือเนื่องจากเป็นนักดนตรี ส่วนมนตรีเองเป็นคนคอยสั่งการยกอะไรมากไม่ได้เพราะหลังไม่ค่อยดีเหมือนตอนหนุ่มๆ อีกทั้งต้องรักษาข้อมือเหมือนกับสนธยา


   นาคินแอบเสียดายหากว่าเป็นเมื่อวานคงจะมีต้นไผ่กับโจ้ช่วยกันยกอีกแรง ร่างสูงนั่งพักแล้วจิบน้ำเย็นในขันลอยมะลิอยู่ชั่วครู่ มองทุกคนทำงานไปเรื่อยแล้วตั้งใจจะไปช่วยป้าปุกเช็ดเครื่องเรือนต่อ เพราะกลัวจะกินแรงคนอื่นเกินไปถ้ายังนั่งแช่อยู่ตรงนี้ หากว่าดวงตาคมไม่หันไปสะดุดกับกล่องไม้ที่มีลวดลายคุ้นตาเหลือแสน แทนที่จะเดินไปช่วยเช็ดเครื่องเรือน นาคินกลับเดินไปหยุดตรงหน้ากองเครื่องดนตรีเก่าที่วางเรียงรายอยู่กินพื้นเต็มระเบียงขวาง ก่อนจะย่อตัวนั่งลงตรงหน้ากล่องไม้ศีซีดซึ่งมีลายเทพเจ้าของจีนประดับอยู่ ปลายนิ้วสั่นเทายื่นไปแตะไล้ฝากล่อง ลากเอาฝุ่นละเอียดติดนิ้วมาเป็นจำนวนไม่น้อย กระนั้นมันก็ทำให้เห็นลายรูปวาดชัดเจนยิ่งขึ้น


   คิ้วเข้มขมวดมุ่น นึกถึงความฝันของตนอยู่ชั่วอึดใจ ไม่ใช่แค่ภาพฝันเมื่อคืน หากแต่หลายครั้งแล้วที่เขาฝันเห็นชายที่ชื่อสินกับกล่องใส่ขิมลายนี้ ลายเดียวกันไม่มีทางที่จำผิดเป็นอันขาด หากจะพิสูจน์ให้แน่ก็ต้องเปิดดูภายใน เมื่อตัดสินใจได้มือหนาก็ดันสลักล็อคออกแล้วเปิดฝากล่องให้เห็นประจักษ์ว่าข้างในมีสิ่งที่เขาคาดไว้หรือไม่


   ขิมโป๊ยเซียนนอนสงบนิ่งเหมือนในภาพนิมิตฝัน ด้านข้างมีไม้ตีซี่เล็กสองอันวางคู่ สายเส้นทองเหลืองแม้จะดูเก่าคร่ำคร่าแต่ก็ยังคงส่องประกายวามวับไร้ฝุ่นไรเกาะ



มันอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและมันมีอยู่จริงได้อย่างไร?



   คำถามแรกยังพอที่จะสอบถามหรือหาคำตอบได้ แต่คำถามที่สองนั้นยากเหลือเกินที่นาคินจะคาดเดา สิ่งที่เห็นมีอยู่จริง ความฝันที่คอยหลอกหลอนเป็นเรื่องเป็นราวเหล่านั้นกำลังจะบอกอะไรกับเขากันแน่ เพียงแค่คิดเท่านั้นก็เริ่มจะปวดหัวตุบๆขึ้นมาอย่างเสียมิได้ ทุกอย่างช่างดูประจวบเหมาะเกินไป ทั้งเรือนดอกแก้วนี้ ต้นแก้วเจ้าจอมต้นใหญ่ข้างหน้าเรือนนั่น และยังมีขิมโป๊ยเซียนโบราณนี่อีก ไม่อยากจะคิดเลยว่าบางที…แค่บางที



บุคคลที่เขาเห็นในฝันนั้นอาจจะมีตัวตนอยู่จริงๆก็เป็นได้!



   "เป็นอะไรไปคิน" น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามขึ้นมา ทำให้นาคินหลุดจากภวังค์ความคิดของตนเอง

   "ป...เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร" นาคินเงยขึ้นสบมองคนถามที่มองหน้าเขาอยู่ก่อนแล้ว

   "เห็นนั่งนิ่ง นึกว่าหลับในเสียอีก"

   "หึๆ...เปล่าหรอก แค่คิดอะไรเพลินๆน่ะ" นาคินยิ้มแล้วส่ายหน้ากับความคิดของสนธยา

   "จะช่วยก็มาเอาผ้านี่ อย่ามัวแต่อู้ คิดจะกินแรงคนอื่นหรือไง"

   "ครับๆ" นาคินรับผ้าที่สนธยาโยนมาให้ก่อนจะเช็ดที่ฝากล่องฝุ่นเขรอะอย่างเบามือ แต่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้จึงถามออกไป "สน...ถามอะไรหน่อยสิ"

   "อะไรล่ะ" แก้วตาสีดำสนิทมองชายหนุ่มรุ่นน้องนิ่ง ส่วนมือเรียวที่เช็ดเครื่องดนตรีไปด้วยก็ทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่อง

   "ขิมนี่ของใครเหรอ"

   "ของพ่อมั้ง ไม่รู้เหมือนกัน เห็นอยู่มานานแล้วล่ะ แต่มันเป็นของเก่าเลยไม่ได้เอาออกมาเล่น" คนตัวเล็กกว่าตอบตามจริง

   "อ๋อ..." นาคินไม่ได้ผิดหวังกับคำตอบนั้นนัก อย่างน้อยถ้ารู้ว่าเป็นของลุงมนก็ทำให้สบายใจขึ้นนิดหน่อย ขิมแบบนี้ก็คงจะมีเหมือนๆกันหลายตัวนั่นแหละ และก็ไม่แปลกที่ครูสอนดนตรีไทยอย่างลุงมนจะมีไว้ในครอบครองบ้างเหมือนกัน

   "ถามทำไมล่ะ"

   "ก็แค่อยากรู้น่ะ เห็นมันเป็นของเก่า ก็เลย...สงสัยว่าลุงมนสะสมของเก่าแบบนี้ด้วย" ชายหนุ่มพยายามสร้างเหตุผลปลอมๆออกมาให้ดูน่าเชื่อถือมากที่สุด

   "อืม..." สนธยาพยักหน้ารับแบบไม่สนใจ แล้วก็ก้มหน้าทำงานของตนเองต่อ

   "เป็นไงคิน เหนื่อยไหมลูก" ผ่านไปพักใหญ่ มนตรีก็เดินมาแตะไหล่หนาของนาคินก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากวันนี้ใช้งานเสียหนักพอควร

   "นิดหน่อยครับ แต่ได้ออกกำลังบ้างก็ดีครับ" ชายหนุ่มยิ้มหวาน

   "ดีๆ คนหนุ่มก็ดีแบบนี้ล่ะนะ" ชายสูงวัยพยักหน้ารับยิ้มๆ จากนั้นจึงถามบางอย่างออกมาเนื่องจากสังเกตเห็นพฤติกรรมของนาคินมานานแล้ว "ว่าแต่คินอยากเล่นดนตรีบ้างไหมลูก ลุงเห็นเราชอบมานั่งฟัง แล้วก็เห็นจับๆมันหลายทีแล้ว"

   "ผม..." ชายหนุ่มหยุดคิดนิดหน่อย "ก็อยากลองเล่นครับ แต่ไม่ค่อยมีหัวทางดนตรีเท่าไหร่ เคยเล่นกีต้าร์กับเบสแต่ก็ไม่ได้เก่งอะไรเลย"

   "เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่การฝึกฝนแล้วก็ซ้อมบ่อยๆ ด้วย เอาไหมล่ะถ้าคินอยากเล่นลุงจะให้เจ้าสนสอนให้" ลุงมนเสนอ

   "ไหงงั้นล่ะพ่อ พ่ออยากให้เล่นก็สอนเองสิ เกี่ยวอะไรกับสนล่ะ" คนที่ถูกเอ่ยถึงรีบท้วงขึ้นทันควัน

   "เอ้า! ก็เราน่ะเก่ง แถมยังอยู่ในวัยเดียวกันคุยกันง่าย สอนน้องสักหน่อยจะเป็นไรไป จะได้สนิทกันเร็วๆ"

   "ไม่เอาด้วยหรอก" สนธยาส่ายหน้าทันที


ด้วยท่าทางที่สนธยาแสดงออกทำให้นาคินเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ทั้งที่นาคินเองก็ไม่ค่อยชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เท่าไหร่ แต่เวลาเจอเหตุการณ์อย่างนี้ทีไรก็อยากจะท้าทายมันทุกทีไป ยิ่งท่าทางไม่ยอมรับแบบนั้นเขาล่ะอยากจะทำให้สนธยายอมอ่อนให้เขาขึ้นมาเสียดื้อๆ


   "อย่าลำบากพี่เขาเลยครับลุง ผมน่ะเป็นพวกหัวช้า ถึงให้คนสอนเก่งๆบางทีก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่หรอกครับ ถ้าเล่นไม่ได้จะขายหน้าพี่เขาเปล่าๆ" คำพูดของนาคินทำให้สนธยาฮึดฮัดขึ้นมาทันที

   "นี่นายหาว่าฉันไม่เก่งพอจะสอนนายได้หรือไง" เสียงนุ่มว่าอย่างหาเรื่อง

   "เปล่านะครับ" นาคินยกมือขึ้นแก้ตัวเป็นพัลวันแล้วว่าต่อ "ผมแค่กลัวว่าจะทำให้เสียเวลา ถ้าเกิดสอนแล้วผมก็ยังเล่นไม่ได้ขึ้นมา อีกอย่างพี่สนจะเสียชื่อด้วยน่ะครับ" นาคินกล่าวยิ้มๆ และเป็นรอยยิ้มที่สนธยาคิดว่ามันกวนประสาทที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา

   "ได้...ถ้าอย่างนั้นฉันจะเป็นคนสอนนายเอง เตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน" สนธยาว่าเสียงเย็น หากแต่นาคินเองก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆตามแบบฉบับ ซ้ำยังเน้นในจุดที่ไม่ควรเน้นในเวลานี้อีกด้วย


   "แล้วผมจะรอนะครับ คุณครูพี่สน"






‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧


มาต่อแล้วค่าาาา 
ชอบไม่ชอบยังไงฝากติชมกันได้นะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ :katai4: :katai4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-03-2017 13:35:11 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
รอติดตามคุณครูพี่สนต่อไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
พี่สนถูกคินหลอกแล้วล่ะค่า~ :laugh: โดนยั่วโมโหจนลืมตัวรับคำท้าไปแบบเต็มที่เลยเชียวน้า~ ^^ .. ส่วนเรื่องในความฝันของคิน เหมือนกับว่าแก้วแอบหลงรักคุณสนอยู่เลยนะคะน่ะ อืม~ น่าสงสัยจริงๆ เลยค่ะ

รอตอนต่อไปนะค้าา.. ><

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
นั่นนางกำลังหยอดพี่สนใช่มะ
 :hao7:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Cream A

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
อยากรู้เรื่องราวต่อไปใจจะขาด อะไรดลใจให้คินฝันถึงเหตุการณ์ช่วงนั้น

แล้วก็คินเป็นใครอีก โอยย อยากรู้เยอะแยะไปหมด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-06-2015 12:42:44 โดย Cream A »

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1037
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
มีอะไรที่อยากรู้ปมต่างๆที่ ยากหาคำตอบมากมาย
แต่ตอนนี้พี่สนกลับหลงกลนาคินซะแล้ว 5555
เวลาที่พี่สนหงุดหงิดแบบนี้มันก็น่ารักดีนะ

 :mew1: :L2:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
แก้วเนี่ยะเป็นคินหรือเปล่า

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2
๕.





   เช้าวันเสาร์ของอาทิตย์ถัดมาเป็นเสาร์แรกในกำหนดการของสนธยาที่จะเริ่มต้นสอนดนตรีให้กับนาคิน ชายหนุ่มร่างโปร่งตื่นขึ้นมาเปิดตู้เก็บเครื่องดนตรีในเรือนดอกแก้วแต่เช้าตรู่ ก่อนจะยกขิมตัวหนึ่งออกมาทำความสะอาดและตรวจสอบกวดขันดูเส้นลวดไม่ให้ตึงหรือหย่อนจนเกินไป เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีจึงยกไปวางไว้ด้านหลังสุดของชานเรือนซึ่งเป็นพื้นที่เรียนดนตรีไทยของเด็กนักเรียนตัวน้อยในวันนี้ จากนั้นจึงกลับขึ้นเรือนใหญ่เพื่อเตรียมโน๊ตดนตรีฉบับฝึกหัดขั้นพื้นฐานให้นักเรียนคนใหม่ของเขาอีกหนึ่งฉบับ


ดวงตาสุกใสจ้องมองแผ่นกระดาษในมืออยู่ครู่หนึ่งจึงถอนหายใจออกมาแผ่วเบา จะว่าเหนื่อยหน่ายก็ไม่ใช่ จะว่ารำคาญก็ไม่เชิง ออกจะรู้สึกดีทุกครั้งที่มีคนสนใจเรียนดนตรีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหรือสองคน ทว่านายนาคินคนนี้กลับทำให้สนธยารู้สึกกังวลใจและหนักใจเสียตั้งแต่ยังไม่เริ่มสอนกันด้วยซ้ำ เพราะเขาสังหรณ์ใจว่านาคินจะเป็นลูกศิษย์ที่รับมือได้ยากกว่าลูกศิษย์คนไหนๆที่เคยเจอมา


   "พี่สน พี่สนคะ!" เสียงเรียกแหวแหวกอากาศของน้องสาวตัวดีทำเอาเจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้ง อีกทั้งเสียงของหล่อนยังผลักความกังวลใจของสนธยาเสียกระเด็นกระดอน

   "มีอะไร?" สนธยาเดินมาเปิดประตูห้องนอนเพื่อเผชิญหน้ากับสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม


   "พ่อให้มาเรียกไปกินข้าวเช้า" เธอตอบ

   "อืม เดี๋ยวพี่ตามไป" สนธยาว่า

   "นั่นกระดาษอะไรน่ะพี่สน?" มัทนาถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นโน๊ตเพลงในมือของสนธยา

   "โน๊ตเพลงน่ะ"

   "อ๋อ...ที่จะเอาไปสอนพี่คินวันนี้หรือเปล่า"

   "อืม  รู้ได้ไง" สนธยาถามพลางเก็บข้าวของอีกนิดหน่อยก่อนจะเดินออกมาจากห้อง

   "พิมก็เดาๆเอาน่ะสิ...เห็นพ่อบอกว่าวันนี้พี่คินจะเรียนดนตรีกับพี่สน พิมก็เลยคิดว่าน่าจะใช่ ว่าแต่พิมเดาถูกไหมล่ะคะ" มัทนาอธิบายเสียยืดยาวก่อนจะปิดท้ายด้วยคำถามขณะเดินเคียงไปกับพี่ชาย

   "อืม" สนธยาได้แต่พยักหน้ารับและไม่พูดอะไรต่อ เนื่องจากเดินมาถึงโต๊ะกินข้าวพอดี โดยที่โต๊ะมีมนตรีกับนาคินนั่งคุยกันอยู่ก่อนแล้ว ดูท่าทางคงจะกำลังคุยกันออกรสเพราะเขาเห็นพ่อหัวเราะชอบใจใหญ่

   "อ้าว! มากันแล้วๆรีบกินข้าวกันเถอะ อีกเดี๋ยวเด็กๆคงจะเริ่มทยอยมากันแล้วล่ะ นี่พิมก็ต้องไปเรียนพิเศษด้วยใช่ไหมลูก รีบๆเข้า เดี๋ยวก็ไปเรียนสายกันพอดี" มนตรีหันมาพูดกับลูกสาวคนเล็ก

   "อันที่จริงพิมมีเรียนสายค่ะพ่อ ไม่รีบหรอก" สาวน้อยคนเดียวของบ้านบอกก่อนจะตักข้าวต้มเครื่องเข้าปาก

   "อย่างนั้นเหรอ พอดีเลย วันนี้พ่อจะออกไปทำธุระ พิมออกไปพร้อมพ่อเลยก็แล้วกัน พ่อจะได้ให้ลุงเสริมไปส่งพิมที่โรงเรียนก่อน" ผู้เป็นพ่อแจงกับลูกสาว

   "ค่ะพ่อ" มัทนาพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการข้าวต้มของตนเองต่อจนหมด

   "สน”

“ครับพ่อ”

“ประเดี๋ยวพ่อจะไม่อยู่สามสี่วัน ดูแลบ้านด้วยนะลูก"

   "ไปไหนหรือครับ" สนธยาเงยหน้ามาจากจานอาหารแล้วขมวดคิ้วถาม

   "พ่อต้องไปทำธุระเรื่องที่ดินที่อยุธยาน่ะลูก พอดีว่ามีคนเขามาติดต่อของซื้อ คงต้องพากันไปดูที่ แล้วว่าจะแวะไปเยี่ยมยายช้อยแกด้วย ไม่ได้ไปหาแกมานานแล้ว"

   "ครับ" สนธยาพยักรับรู้ และไม่สืบเท้าเอาความอันใดต่อ


เป็นที่เข้าใจตรงกันเมื่อเอ่ยถึงที่ดินมรดกตกทอดของตระกูลกับญาติผู้ใหญ่ที่ไม่ใคร่จะน่าพิสมัยเท่าใดนัก เนื่องจากรู้กันกับมัทนาว่าถ้าพูดถึงยายช้อย ทั้งสนธยาและมัทนาก็จะไม่มีใครปริปากถามอะไรให้มากความ ด้วยเพราะกลัวว่าจะถูกพ่อชวนให้ไปเยี่ยมเยียนแกเป็นเพื่อน


   "พ่อให้เสริมไปส่งแล้วก็กลับเพราะรถของสนยังอยู่ในอู่ พิมกับสนจะได้มีคนรับส่งตอนไปเรียน เอาไว้วันที่พ่อกลับค่อยโทรให้เสริมไปรับอีกที" มนตรีอธิบายกำหนดการณ์ทั้งหมดให้ลูกชายลูกสาวรวมถึงนาคินฟังด้วยกัน

   "ไม่เป็นไรหรอกครับพ่อ ให้ลุงแกไปอยู่ที่นั่นกับพ่อก็ได้ ลุงเสริมจะได้ไม่ต้องขับกลับไปกลับมา อีกอย่างถ้าเกิดจะต้องไปไหนพ่อจะได้เรียกใช้ได้สะดวก ไม่ต้องลำบากหารถอีก ผมกับพิมไม่เป็นไรหรอกครับ โตๆกันแล้ว ไปเรียนแค่นี้ก็ไปกันเองได้ พ่อไม่ต้องห่วง"

   "เอาอย่างนั้นหรือ" ผู้เป็นพ่อมีท่าทีลำบากใจ ก่อนจะหันไปถามความเห็นจากลูกสาว "แล้วเราว่ายังไงล่ะพิม"

   "เอาอย่างที่พี่สนว่าก็ได้ค่ะพ่อ โรงเรียนอยู่ใกล้แค่นี้ พิมไปเรียนเองได้สบายมาก" มัทนายืนยันเหมือนที่พี่ชายว่าอีกเสียง ถึงแม้จะลำบากกว่าปกติแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้พ่อต้องลำบากหากมีธุระต้องใช้รถ

   "ถ้าลูกๆว่าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ ยังไงพ่อฝากดูบ้าน ดูน้องด้วยนะสน คิน"

   "ครับ/ครับ" คนถูกสั่งตอบรับและพยักหน้าพร้อมกัน แล้วหัวข้อสนทนายืดยาวก็จบลง ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาทานอาหารของตนเองต่อไปโดยที่ไม่พูดคุยอะไรกันอีก








   หลังจากมื้อเช้าผ่านไป มนตรีกับมัทนาก็เดินทางไปทำธุระของตนเอง ส่วนลูกชายคนโตของบ้านตอนนี้ก็แยกตัวออกมามาทำหน้าที่ของตนเองที่ทำอยู่เป็นกิจวัตรทุกวันเสาร์-วันอาทิตย์ ชายหนุ่มเดินหอบแฟ้มที่เต็มไปด้วยโน๊ตเพลงเพื่อไปยังเรือนดอกแก้วซึ่งในขณะนี้เด็กๆเริ่มทยอยมากันแล้ว แต่ร่างสูงของหนุ่มรุ่นน้องก็ดันวิ่งตึงๆลงบันไดตามหลังมา เป็นจังหวะเดี๋ยวกับที่สนธยาสวมรองเท้าเสร็จพอดี ทันทีที่ออกเดินร่างสูงก็เร่งตีฝีเท้ามาเดินข้างๆกับสนธยา


   "ให้ช่วยถือไหมครับ" นาคินว่าพลางมองแฟ้มหนาในอ้อมแขนของสนธยา

   "ไม่ได้หนักอะไร ฉันถือเองได้" สนธยาบอกเรียบๆ

   "..." นาคินไม่ได้ต่อความเพียงแต่พยักหน้ารับ และเดินตามหลังร่างโปร่งบางไปเงียบๆเท่านั้น



   เสียงดนตรีไทยของเด็กๆถูกบรรเลงขึ้นพาคนฟังให้รู้สึกสดชื่นเหมาะกับยามสายที่มีแดดอบอุ่นท้องฟ้าสดใส ถือว่าโชคดีที่เรือนดอกแก้วเป็นเรือนไทยแบบเปิดโล่งด้านในแทบจะทั้งหมด สายลมเย็นสบายจึงพัดมาช่วยไม่ให้อากาศร้อนมากนัก


   การเรียนการสอนเป็นไปอย่างปรกติสุขดี แม้เด็กๆจะคอยแอบชำเลืองมองนักเรียนคนใหม่ของคุณครูพี่สนด้วยความสงสัยระคนสนใจบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเพราะต้องซ้อมเพลงของตัวเองตามที่คุณครูสั่งด้วย ระหว่างที่เด็กๆกำลังซ้อมเพลงอย่างขะมักเขม้น สนธยาก็ใช้โอกาสนี้เพื่อแวะเวียนมาสอนนักเรียนตัวโตของตัวเองตัวต่อตัว เพื่อให้นาคินสามารถเริ่มเล่นได้ถูกทางถูกวิธี สนธยาจึงเริ่มใช้แบบฝึกหัดอย่างง่ายๆในการสอนเป็นลำดับแรกก่อน


ขณะที่เด็กนักเรียนทุกคนกำลังหยุดพักสิบห้านาทีเพื่อดื่มน้ำดื่มท่าและเข้าห้องน้ำ สนธยาก็ฉวยโอกาสนี้เร่งสอนนาคินเพิ่มเป็นพิเศษด้วย


   หากแต่สนธยาไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่เจ้าตัวเคยว่าไว้ ดูเหมือนนาคินจะไม่ค่อยมีหัวทางด้านนี้เท่าใดนัก ขนาดวิธีจับไม้ที่เพิ่งสอนไปเมื่อชั่วโมงก่อนหน้า พอเผลอเข้าหน่อยเจ้านักเรียนตัวโตก็จับเอาอย่างที่ตนเองถนัดไปเสียอย่างนั้น ทั้งน้ำหนักในการตีสายไล่โน๊ตก็แรงเสียจนกลัวว่าสายลวดจะขาดผึ่ง เสียงที่ตีออกมาดังโด่งฟังดูแข็งเสียจนแสบแก้วหู อยากจะส่ายหน้าด้วยความระอา แต่พอเห็นหน้าตาจริงจังกับคิ้วเข้มที่ขมวดเป็นเส้นเดียวของพ่อนักเรียกตัวโตแล้ว คุณครูสนธยาก็ยั้งใจไม่ให้ตนเองแสดงท่าทางหักหาญน้ำใจเช่นนั้นออกไปได้ แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องเตือนกันสักหน่อย พอคิดได้เสียงเรียบๆตามแบบฉบับก็ถูกส่งออกไปในทันที


   "จับไม้ดีๆสิ แบบนั้นมันผิด เมื่อกี้ก็บอกแล้ว"

   "ครับๆ"


นาคินพยักหน้ารับก่อนจะเปลี่ยนท่าให้ถูก ผ่านไปสักพักเสียงของสนธยาก็เตือนออกมาอีกรอบ หากแต่ครั้งนี้ติดจะดุไปสักหน่อยตามอารมณ์ เมื่อนักเรียนทำตามที่สอนได้ไม่นานสักที


   "เบา! บอกให้ตีเบาหน่อย"


   "ก็เบาแล้วนะ" นาคินเถียงเพราะคิดว่าตนเองเบามือกว่าเดิมมากแล้ว

   "เบากว่านี้อีก ตีแรงจนเสียงแหลมโด่แล้วเห็นไหมเนี่ย"

   “ก็ผม…”

“อย่าเถียง”

   "ครับๆ" ร่างสูงยอมพยายามทำตาม และไม่ออกเสียงเถียงโต้ตอบ เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้คุณครูหงุดหงิด

   "สอนไม่จำสักที" ริมฝีปากสีอ่อนแอบบ่นขมุบขมิบ

   "โธ่...ผมก็พยายามอยู่นะครับ ทำไมคุณครูพี่สนถึงดุจังเลยล่ะครับ"


อาจเพราะอยู่ใกล้กันเกินไปนิด ประโยคที่บ่นพึมพำคนเดียวจึงไปเข้าหูของร่างสูงจนถูกแซวแบบนี้ ยิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นรอยยิ้มติดจะล้อเลียนอยู่กลายๆ นั่นยิ่งทำให้สนธยานึกฉุนเข้าไปใหญ่

   "หัดตั้งใจเล่นให้ได้ดีสักครึ่งหนึ่งอย่างปากจะไม่ว่าเลย" สนธยาตอกกลับ


นาคินมองตามปากยื่นๆของอีกฝ่ายอย่างนึกขำ ยิ่งผนวกกับใบหน้างอง้ำและคิ้วผูกโบยิ่งดูน่าขันมากขึ้นไปอีก คิดดูให้ดีสนธยาเองก็มีด้านที่คล้ายกับเด็กอยู่หลายส่วนเหมือนกัน นี่อาจเป็นเหตุผลที่เขาไม่รู้สึกกลัวคุณครูจำเป็นคนนี้เลยสักนิด มัวแต่คิดเพลินจนไม่ได้สนใจว่าคุณครูนั่งรอชมอยู่ ร่างสูงจึงถูกสะกิดด้วยน้ำเสียงดุๆอีกคำรบ

   "มัวเหม่ออะไร ทำไมไม่เล่นล่ะ"

   "อ๋อ...อ่า...ครับๆ คุณครูพี่สน" นาคินพยักหน้ารับรู้และยังไม่วายจะเอ่ยสัพยอกให้อีกคนหงุดหงิดเล่น

   "นายนี่มัน!” สนธยาขู่ฟ่อลอดไรฟัน ก่อนจะถอนหายใจทิ้งแล้วออกคำสั่ง “ซ้อมไปเลยนะ ฉันจะไปสอนเด็กแล้ว ถ้ากลับมาแล้วยังทำไม่ได้ก็ไม่ต้องเล่นมันแล้ว จะถือซะว่าไม่มีหัวทางนี้" พูดจบคุณครูคนเก่งก็เดินตึงๆไปเรียกเด็กๆมาเริ่มเรียนกันต่อ และการเรียนการสอนตลอดชั่วโมงนั้น สนธยาก็ไม่ได้แวะเวียนหรือเฉียดกรายเข้ามาใกล้ลูกศิษย์เจ้าปัญหาของเขาอีกเลย








   ภาพของครูเพลงคนเก่งสอนลูกศิษย์บ่าวคนงามเล่นดนตรีเป็นประจำทุกครั้งที่กลับมาจากในวัง เป็นภาพที่คนในเรือนคหบดีเสืองเห็นจนชินตา แม้ผู้เป็นแม่จะเอ่ยทัดทานถึงความไม่เหมาะสม ทว่าพ่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก็หาฟังคำทัดทานนั้นไม่ ทั้งพ่อเสืองยังไม่ได้ห้ามปรามอันใดปล่อยให้สินทำตามใจ นายหญิงบนเรือนใหญ่จึงจนปัญญาจะค้านอันใดได้อีก


หากแต่ด้วยสินเป็นคนมีความคิดจึงระแวดระวังตนไม่ให้ใครเอาไปพูดถึงเสียหายได้ว่าหมกตัวอยู่กับบ่าวในเรือนสองต่อสอง หลังจากหัดให้แก้วเล่นดนตรีได้ไม่นาน สินจึงเอ่ยปากถามความสมัครใจของลูกบ่าวคนอื่นๆ ว่ามีผู้ใดอยากจะหัดเล่นดนตรีด้วยหรือไม่ เวลาต่อมาจากนั้น เรือนดอกแก้วจึงมีเด็กๆขึ้นเรือนมาเรียนกับสินด้วย หากแต่ก็มีไม่มากนัก เนื่องจากเด็กๆ ส่วนใหญ่จะติดเล่นตามประสา ยิงนก ตกปลาเสียมากกว่านั่งสงบเรียนดนตรีอยู่บนเรือน
   

นับวันผ่านพ้น เป็นเดือนเป็นปี ความใกล้ชิดสนิทสนมของแก้วและคุณสินก็มีแต่จะเพิ่มพูนมากขึ้น แม้หนุ่มสาวทั้งสองจะไม่เคยเจรจากันเหมือนชายเกี้ยวหญิง หากแต่ก็เรียนรู้นิสัยใจคอกันมากขึ้น สินนั้นมองว่าแก้วเป็นหญิงสาวที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนใดที่ตนเคยประสบพบเจอ เพราะเธอเป็นคนที่สดใส ใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีความกล้าที่จะซักถามไม่ได้เหนียมอายอย่างหญิงทั่วไป หากแต่ก็รู้จักเจียมตนและสำนึกว่าเป็นบ่าวอยู่เสมอ แม้อายุอานามจะย่างเข้าสิบแปดปี โตพอจะเรียกได้ว่าเป็นสาวสะพรั่ง ทว่าอุปนิสัยกลับคล้ายกับเด็กน้อย ทำให้สินรู้สึกเอ็นดูแม่ลูกศิษย์คนนี้ขึ้นอีกหลายส่วน
   

ในอีกด้านหนึ่ง สำหรับแก้วนั้น คุณสินเป็นทั้งครูและผู้มีพระคุณของเธอ หญิงสาวจึงรักและบูชาเจ้านายคนนี้ยิ่งนัก เมื่อพิศดูลักษณะที่แสนจะใจดี เยือกเย็นและอบอุ่นไปในคราวเดียวกัน มันยิ่งทำให้แก้วผูกใจสมัครรักใคร่ในตัวของคุณสินมากยิ่งขึ้น ถึงกระนั้น หญิงสาวก็เก็บเอาความรู้สึกของตนเองข่มไว้ภายใน ด้วยเจียมกะลาหัวว่าตนเป็นเพียงบ่าว ไม่เคยริอาจจะคิดฝันการใดๆที่ไกลเกินเอื้อมเลยสักครั้ง ชีวิตนี้ขอเพียงได้รับใช้ ได้เฝ้ามองรอยยิ้มสุขใจของคุณสิน เพียงเท่านั้นก็ถือว่าเป็นบุญวาสนาของเธอแล้ว


   "คุณสินเจ้าคะ แก้วเล่นได้แล้วเจ้าค่ะ เพลงเถาที่คุณสินสอนคราวที่แล้ว" หญิงสาวว่าหน้าตายิ้มแย้มทันทีที่โผล่ขึ้นเรือนมาพบนาย

   "ไหนลองแสดงฝีมือให้ชมเป็นขวัญตาหน่อยซี"

   "เจ้าค่ะ"


   ชายหนุ่มเดินไปหยุดที่หน้าตั่งวางขิมเพื่อฟังบ่าวสาวบรรเลงเพลง เมื่อเสียงไพเราะหวานหูตามแบบฉบับที่เขาเคยสอนจบลง สาวหน้าคมก็ยิ้มร่ารอรับคำชมจากอาจารย์ รอยยิ้มนั้นช่างกระตุกให้หัวใจสั่นไหว ทั้งยังพาให้รู้สึกซาบซ่านในหัวใจแทบจะลอยลมจนตัวเขาเองเผลอยิ้มกว้างตามไปด้วย


   แน่นอนว่าสินเป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกนึกคิดใดๆย่อมประจักษ์แก่ใจตนเองดีที่สุด หากแต่ด้วยเส้นบางๆที่ขีดไว้ของคำว่าครูกับลูกศิษย์ ทำให้เขากระดากอายที่จะแสดงออกว่าตนเองคิดเกินเลยกว่านั้นเสียแล้ว ความสุขที่มีอยู่ทุกครั้งที่กลับมาบ้านจึงเป็นการเฝ้ามองรอยยิ้มสดใสซึ่งไม่คู่ควรแก่การทำลายนี้ เพราะชายหนุ่มรู้ว่าถ้าเขากับแก้วรักกัน แก้วคงต้องพบเจอกับอะไรๆที่จะคืบคลานมาบั่นทอนความสดใสในตัวเธอไปเป็นแน่ และปราการด่านแรกที่ต้องเจอคือผู้เป็นแม่ของเขาเอง คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะหักห้ามใจของตนเองเอาไว้


ทว่าเขาจะทนได้นานเพียงใด ใครเล่าจะรู้...









   คุณครูหนุ่มยืนกอดอกมองดูเด็กตัวน้อยๆ เดินเรียงแถวเข้ามาเรียนดนตรีไทยที่บ้านคุณครูมนตรีพร้อมหน้า ทุกคนต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใสและทักทายกันโหวกเหวกไปหมด เนื่องจากไม่ได้พบกันมากว่าครึ่งเดือน เหตุเพราะเมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นวันหยุดเข้าพรรษา โรงเรียนสอนดนตรีไทยจึงปิดให้เด็กๆได้ไปทำบุญกับผู้ปกครอง


   หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของแต่ละคนกันพอหอมปากหอมคอ ทุกคนก็นั่งสงบพร้อมจะเริ่มต้นเรียนกันได้สักที หากแต่ก่อนที่สนธยาจะเริ่มสอน สายตาก็พลันเคลื่อนไปหยุดที่นักเรียนตัวโตซึ่งมีท่าทีอิดโรยและดูเคร่งเครียดกว่าที่เคยเห็น ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานาคินกลับไปเยี่ยมที่บ้านเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพ พอกลับมาก็ไปเรียนพร้อมกันตามปรกติ ซ้ำบางวันนาคินก็จะลงมาซ้อมดนตรีตอนเย็นพร้อมกับตนด้วย นั่นทำให้ร่างสูงพัฒนาฝีมือขึ้นไปได้อีกนิด ทว่าที่แปลกใจคือสนธยาไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของนาคินเลยกระทั่งตอนนี้ว่าลูกศิษย์ตัวโตดูทรุดโทรมลงไปแค่ไหน


   ระหว่างที่เรียนดนตรีกันไปอาการเคร่งเครียดและเหม่อลอยของนาคินยิ่งแสดงออกมาให้เห็นชัดเจน จนสนธยาที่เผลอมองชายหนุ่มบ่อยครั้งพาลไม่มีสมาธิไปด้วย ในที่สุดการเรียนการสอนก็จบลง นักเรียนทุกคนพากันกลับบ้านเรียนร้อย ตัวสนธยาเองก็กำลังจะไปกินข้าวกลางวัน แต่เป็นเพราะยังเหลือนักเรียนอีกคนที่กำลังนั่งตีขิมโดยไม่สนใจใครอยู่ตรงด้านหลังสุดของชานเรือน จึงทำให้คุณครูสนธยาไม่อาจละลงไปจากเรือนดอกแก้วได้


   นาคินรู้สึกอ่อนเพลียมากในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรหักโหมเลยสักนิดซ้ำเขาเองก็เป็นคนที่เล่นกีฬาเป็นประจำไม่น่าจะป่วยอย่างไม่มีสาเหตุได้ ถึงอย่างนั้นนาคินก็รู้สึกเหมือนตัวเองนอนไม่พอและไม่ค่อยมีแรงอยู่ตลอดเวลา หรืออาจจะเป็นเพราะความฝันที่คอยตามมาฉายภาพซ้ำให้เห็นทุกค่ำคืนติดต่อกัน ภาพความสัมพันธ์ของหญิงชายคู่หนึ่งที่ตอนนี้เพียงแค่หลับตาใบหน้าของคนทั้งคู่ก็ปรากฏให้เห็นชัดเจน นั่นอาจเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของเขาอยู่ก็เป็นได้


   "ไม่สบายแล้วทำไมไม่กลับไปพัก"


เสียงนุ่มๆฟังดูอ่อนลงอย่างที่ไม่เคยได้ยิน พร้อมกับสัมผัสเบาๆบนหลังมือทำให้ร่างสูงหยุดคิดฟุ้งซ่าน ดวงตาคมมองมือเรียวที่แตะบนหลังมือของเขาก่อนจะเคลื่อนขึ้นมาสบกับใบหน้านิ่งๆของสนธยา นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นฉายแววอาทรอยู่น้อยๆ และนั่นทำให้นาคินยิ่งนั่งนิ่งไม่โต้ตอบอะไรออกไปสักคำ


เหมือน...เหมือนกันเกินไป ร่างสูงได้แต่อุทานขึ้นมาในใจ


   "ถามทำไมไม่ตอบ เป็นอะไรหรือเปล่า" เสียงของสนธยาย้ำถามอีกครั้ง

   "เอ่อ...ไม่ได้เป็นอะไรครับ" นาคินตอบ

   "แต่สีหน้าดูไม่ค่อยดี วันนี้ไม่ต้องซ้อมหรอก ไปพักเถอะ เดี๋ยวเป็นอะไรขึ้นมาจะแย่" คำพูดนั้นแม้จะพูดออกมาเรียบๆ แต่คนฟังก็รู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าเป็นห่วงเขาอยู่ไม่น้อย

   "..." ร่างสูงยิ้มบางที่มุมปากโดยไม่ต่อความอะไร แต่ภาพนั้นทำให้สนธยารู้สึกร้อนรนขึ้นมาเสียดื้อๆ
   "ไม่ใช่อะไรนะ...แค่...แค่กลัวว่าถ้าเป็นอะไรหนักขึ้นมาพ่อจะว่า ว่าไม่ยอมดูแลลูกศิษย์ให้ดี" คนพูด พูดไปพลางมือก็เกาแก้มไปพลาง การกระทำนั้นมันทำให้นาคินยิ้มกว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว

   "คุณครูพี่สนเนี่ย ความจริงอ่อนโยนแล้วก็ใจดีมากเลยนะครับ ถึงไม่ค่อยชอบใจดีกับผมเท่าไหร่นักก็เถอะ"


ท่าทางผ่อนคลายลงของนาคินทำให้ลักษณะประจำตัวและรอยยิ้มการค้าฉบับเดิมๆกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกชวนให้ปั่นป่วนพุ่งตรงเข้าเล่นงานสนธยาเข้าอย่างจัง เมื่อมองเห็นรอยยิ้มนี้ใกล้ๆ มันยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดแต่ก็เก้อเขินอย่างไรบอกไม่ถูก นั่นทำให้สนธยาต้องแสร้งขมวดคิ้วเก๊กขรึมเพื่อกลบเกลื่อนอาการต่างๆ ที่กำลังจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า
   
"อ...อ่อนโยนบ้าอะไร แล้วก็ไม่ได้ใจดีด้วย แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นแหละ อย่ามาพูดมั่วๆ" คนเคร่งครัดในหน้าที่ว่าอย่างติดๆขัดๆ และยังไม่ลืมทิ้งหางเสียงเหวี่ยงๆแบบที่เคยทำบ่อยๆด้วย
   
"ว้า...ไอ้เราก็นึกว่าเป็นห่วง ที่แท้ก็ทำตามหน้าที่ แต่ก็ต้องขอบคุณนะครับ ผมแค่ปวดหัวนิดหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก งั้นขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ คุณครูพี่สน"
   

สนธยานั่งอ้าปากค้างคิดจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก นึกเจ็บใจตัวเองขึ้นมาว่าไม่น่าไปนึกเป็นห่วงหรือเวทนาสงสารไอ้คนตัวโตนั่นเลยจริงๆ
   

"กวนประสาทที่สุด!...ให้ตายสิ ชอบพูดเป็นเล่นอย่างนี้อยู่เรื่อย" มือเรียวขยี้หัวแรงๆ อย่างนึกขัดใจพลางบ่นพึมพำเมื่อนาคินเดินลงจากเรือนดอกแก้วไปแล้ว





   หลังจากที่สนธยานั่งซ้อมมือตีขิมอยู่บนเรือนดอกแก้วเพียงลำพังเกือบชั่วโมง ในที่สุดชายหนุ่มก็รู้สึกสงบใจลง ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร ทั้งที่ตามปรกติเขาออกจะเป็นคนไม่คิดอะไรมาก ไม่ค่อยเก็บเรื่องของใครๆมาใส่ใจ ทว่าตั้งแต่ที่ได้พบกับนาคิน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร ก็ดูจะขวางหูขวางตาเขาไปหมด แต่หากสนธยาใคร่ครวญดูดีๆสักนิด เจ้าตัวอาจรู้ ที่ว่าขวางหูขวางตานั้น บางทีอาจไม่ไกลกับคำว่าอยู่ในสายตาสักเท่าไหร่


   ระหว่างที่โน้ตตัวสุดท้ายจบลง มือเรียวก็รวบไม้ตีมารวมกันตรงกลาง ร่างที่ตั้งตรงสง่างามค่อยๆผ่อนคลายลง  ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มออกมาบางๆอย่างพอใจ เครื่องสายชนิดนี้ช่วยทำให้เขารู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้เล่น แม้เพลงเหล่านั้นจะจบแล้ว แต่เหมือนกับเสียงสะท้อนของเพลงครวญยังคงกังวานแว่วหวานล่องลอยอยู่ในอากาศ


   สนธยาดื่มด่ำกับความรู้สึกรักในการเล่นดนตรีเงียบๆ กระทั่งมีเสียงบางอย่างดังผ่านสายลมมาต้องหู หูของนักดนตรีที่ไม่ว่าตัวโน๊ตไหนเล่นผิดเพี้ยนก็จะแยกออกเสมอ


“คุณพี่”


   ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองหูแว่ว แต่เขาก็ยังหันมองเหลียวซ้ายแลขวาไปรอบๆเรือนไม้หลังเก่า และสิ่งที่มองเห็นมีเพียงใบไม้แห้งที่ปลิวมาตกอยู่ทั่วชานเรือนด้านนอก ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆส่ายไหวไปมาตามสายลมอ่อน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน


ชายหนุ่มส่ายหัวเบาๆแล้วคิดในใจว่า วันนี้ฟังดนตรีมากไปทำให้หูฝาดเสียแล้วกระมัง ทว่าเมื่อหันหน้ากลับมา เสียงร้องเรียกเบาๆเสียงเก่าก็ดังขึ้นอีกคำรบ และคราวนี้สนธยาสามารถบอกได้แล้วว่าเสียงนั้นดังมากจากทิศทางไหน


“คุณพี่…”


    ดวงตาคู่สวยตวัดมองไปที่ประตูบานน้อยที่ปิดผนึกห้องที่มีเพียงห้องเดียวของเรือนหลังนี้เอาไว้ เขาจ้องมองมันอยู่นาน กระทั่งในที่สุดก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องนั้น สนธยาไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางหรือวิญญาณ แต่เขาก็เชื่อว่าหูเขาไม่ได้เพี้ยนไปเช่นกัน เนื่องจากเขาได้ยินถึงสองครั้งสองครา ยืนมองบานประตูอยู่อึดใจ ก่อนจะผลักให้มันเปิดออกแล้วก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปภาย


   แสงในห้องน้อยไม่สว่างนัก เพราะแหล่งที่มามีเพียงบานประตูที่เปิดกว้างเอาไว้เพียงแห่งเดียว หน้าต่างทุกบานในห้องถูกปิดสนิททั้งหมด สนธยาหยุดยืนอยู่กลางห้อง มองไปรอบๆชั้นต่างๆที่พ่อขนเข้ามาไว้ใช้จัดวางเครื่องดนตรี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมกับเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนตอนที่เขาเข้ามาปัดกวาดเช็ดถูกพร้อมคนอื่นๆ แต่อาจเป็นเพราะครั้งนี้ไม่มีใคร มีเพียงเขาคนเดียวที่อยู่ในห้องเก็บของปิดทึบนี้ ดังนั้นบรรยากาศภายในจึงเงียบสงัดวังเวงนัก


   ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆอีกครั้ง ไม่ขยับตัวไปไหนให้กระดานลั่น เพราะต้องการดักฟังเสียงปริศนา แต่จนแล้วจนรอด เมื่อผ่านไปนานหลายนาที ทุกอย่างก็ยังสงบเงียบเช่นเดิม สนธยาจึงถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วก้าวออกจากห้อง พร้อมกับบอกตัวเองให้เชื่อว่าเมื่อกี้คงหูฝาดจริงๆ





‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧




สวัสดีผู้อ่านที่รัก
การดำเนินเรื่องจะพยายามปรับให้ไม่ยืดยาดเกินไปนัก แม้ช่วงรอยต่อบางช่วงไม่ได้ใส่คำอธิบายชัดเจน แต่ก็หวังว่าท่านผู้อ่านจะเข้าใจกันนะคะ 5555 ในส่วนของภาษาก็จะพยายามเขียนไม่ให้มันดูแปลกเกินไปอีกนั่นแหละ บางที่เราอาจจะมีการใช้คำที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก หรือบางครั้งก็วนไปวนมา(อย่างหลังกำลังพยายามปรับปรุง) ท่านผู้อ่านก็อย่าได้ถือสาเราเลยนะคะ จุดไหนที่งงๆ ก็ถามกันได้ค่ะ

ในขณะที่นาคินหลอนมาหลายตอน ตอนนี้พี่สนก็รวมด้วยช่วยกันหลอนนิดๆแล้วล่ะค่ะ 55555
แต่เอาจริงๆเห็นมีหลายคนบอกว่าเรื่องนี้น่ากลัว แต่ฝนเขียนไปก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่ากลัวเท่าไหร่นี่นา
หรือมัวแต่ไปโฟกัสความช่างหยอดของนาคินก็ไม่รู้สิเนอะ
บางคนอาจไม่ถูกใจที่หลายตอนแล้วก็ยังเรื่อยๆอยู่ อันนี้หมายถึงความสัมพันธ์ของตัวเอก
แต่เราว่านี่ก็ไม่เรื่อยเท่าไหร่นะ เอาเป็นว่าสไตล์เรามันค่อยเป็นค่อยไปอย่างนี้ล่ะมั้ง ต้องทำใจหน่อยนะคะ T^T
ถึงยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยอ่านและช่วยคอมเม้นให้นะคะ เป็นกำลังใจที่ดีสำหรับนักเขียนแบบเรามากๆ เลย ^^

พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ

ละอองฝน
(๐๙/๐๖/๒๕๕๘ , ๑๙:๓๓)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-03-2017 13:59:35 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
เสียงแม่แก้วหรือเปล่าคะนั่น? ไม่แน่ว่าในอดีตคินอาจจะไปแย่งคุณสนมาจากแก้วก็ได้ละมั้งเนี่ย ส่วนเรื่องที่คินฝันก็คงจะประมาณว่า แก้วแค่อยากจะบอกและย้ำให้คินได้รู้เอาไว้เสียว่า 'หัวใจของแก้วกับคุณสนนั้นผูกพันกันมากเพียงใด' ใครก็อย่ามาแทรกแซง อร๊างงง~ คนอะไรขี้มโนเหลือเกิน :laugh: รอตอนต่อไปจ้า ^^

ออฟไลน์ IIIA

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
แรกๆก็ดีนะ แต่พอ คุณพี่... ขนลุกซู่เลย 5555555555  :katai5:

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
ไม่หลอน แต่ขนลุกเลยค่ะ ยิ่งอ่านตอนกลางคืนอย่างนี้ o22

พ่อคินต้องแย่งคุณสนมาจากแม่แก้วแน่เลย เดาๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด