‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)  (อ่าน 103225 ครั้ง)

ออฟไลน์ lahlunla

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อยากรู้เรื่องในอดีตก็อยาก

อยากให้อยู่แต่ปัจจุบันก็อยาก

มาต่อเถอะค่ะ รออยู่นะ

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
นาคินนี่เหมือนกับโกลเด้นรีทรีพเวอร์ตัวใหญ่เห็นเจ้าของเลย

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1037
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
คินน่ารัก พอรู้ว่าพี่สนมาดูและซื้อน้ำมาให้ก็ดีใจใหญ่เลยน้า
พี่สนก็น่าทำซึน แต่ซื้อน้ำมาให้แถมนั่งรอด้วย น่ารักไปแล้วพี่สน :-[

 :pig4: :L2:

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2
๑๐.

   




   เมื่อยามรุ่งอรุณมาเยือน สายลมรำเพยพัดใบไม้ให้พลิ้วไหวเป็นทิวดั่งระรอกคลื่น อาณาบริเวณของเรือนดอกแก้วนั้นเงียบสงบต่างจากอีกส่วนในเรือนทาสที่เสียงดังโฉงเฉงกันตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ทาสสาวนัยน์ตาโศกรีบเร่งทำงานตามที่แม่สั่งให้เรียบร้อย ก่อนจะหลบหลีกความวุ่นวายมารดน้ำพรวนดินให้ต้นดอกแก้วเจ้าจอมของคุณสิน มองดูสีท้องฟ้าเห็นว่ายังไม่สายนัก สาวเจ้าจึงถางหญ้าตรงลานไม่ให้สูงเลยตาตุ่ม จากนั้นก็ขึ้นไปปัดกวาดเช็ดถูบนตัวเรือนหลังเล็กจนสะอาดเอี่ยม


กว่าจะเสร็จงานก็พอดีกับที่คุณท่านบนเรือนทานอาหารเช้าเรียบร้อย ที่แก้วรู้เพราะจันทร์หอมยกสำรับขนมหวานมาหยุดที่หน้าเรือนดอกแก้วแล้วเรียกให้เธอกลับไปกินข้าวที่โรงครัวด้วยกัน


   ชีวิตข้าทาสก็เป็นเช่นนี้ คือ ต้องตื่นขึ้นมาทำงานก่อนค่อยกินข้าวที่หลังนาย หากเผลอไผลลืมเวลาไปไม่ทันข้าวเช้า ก็จะต้องทนหิวหิ้วท้องไปจนถึงเย็นเพราะพวกทาสได้กินเพียงวันละสองมื้อเท่านั้น แต่สองมื้อนั่นก็ถือว่าดีมากโขแล้วเพราะแก้วเคยได้ยินคนเขาลือกันมาว่า บ้านพระยาที่อยู่หัวคุ้งน้ำท่านให้ทาสกินข้าวเพียงมื้อเดียวเท่านั้น แก้วยังเคยคิดตำหนิในใจว่าเป็นถึงพระน้ำพระยาใยใจคอคับแคบนัก ตระหนี่แม้กระทั่งกับข้าบาทรองมือรองตีน เช่นนี้แล้วเหล่าทาสบ้านนั้นจะมีเรี่ยวแรงทำงานให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยได้อย่างไร


   มัวหลงคิดอะไรไปเพลิน ระหว่างทางแก้วจึงไม่ได้คุยกับจันทร์หอมมากนัก พอโผล่หน้าเข้าไปในโรงครัว ลำเจียกผู้ตั้งตนเป็นแม่ครัวเอกประจำเรือนคุณท่านเสืองก็กวักมือเรียกแก้วกับจันทร์หอมให้ไปนั่งร่วมวงกินข้าว ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องบนเรือนใหญ่จากสองสาว


   “เห็นคุณนายท่านว่า คุณสินเธอจะกลับมาวันนี้รึแก้ว ถ้าคุณเขากลับมาตอนเย็น ข้าจะได้ทำบัวลอยไข่หวานขึ้นสำรับให้คุณสินเธอ”

   “ไม่รู้สิจ๊ะป้าเจียก ฉันไม่ได้ขึ้นไปรับใช้บนเรือน ป้าเจียกได้ยินคุณนายท่านว่าอย่างนั้นหรือจ๊ะ” แก้วถามกลับตาใส

   “ก็เออน่ะซี คุณนายท่านสั่งให้ข้าบอกเด็กๆ เตรียมทำความสะอาดที่หลับที่นอนในเรือนหลังเล็ก ข้าก็เลยคิดว่าคุณสินคงจะกลับเพราะหากว่าเธอไม่กลับ คุณนายท่านจะสั่งให้ทำทำไมเล่า” หญิงสูงวัยว่า ก่อนขยุ้มข้าวเข้าปากอีกคำ

   “ถ้าท่านว่าอย่างนั้นคุณสินก็คงจะกลับจริงๆล่ะจ้ะป้า เธอคงมีธุระต้องทำอะไรกระมังเพราะนี่ยังไม่ถึงกำหนดรอบที่คุณสินจะได้พัก” แก้วคำนวณรอบวันที่คุณสินจะกลับในใจแล้วก็พบว่ายังไม่ถึงรอบหยุดราชการของนายตนจริงๆ หากแต่จะถามเหตุผลว่าทำไมคุณสินต้องกลับก่อน ข้อนี้แก้วก็ไม่อาจรู้ได้ เนื่องจากก่อนไปคุณสินไม่ได้บอกไว้

   “พิโธ่เอ้ย ข้าก็นึกว่าคนสนิทอย่างเอ็งจะรู้” ลำเจียกถอนหายใจด้วยความเสียดาย

   “แก้วมันจะไปรู้ได้อย่างไรเล่าจ๊ะป้า ในเมื่อมันทำงานอยู่แต่ในเรือนหลังเล็ก ฉันนี่สิรู้ดีเพราะฉันรับใช้คุณนายเธอทุกวัน” จันทร์หอมพูดขึ้นกลางวง ทำเอามือของป้าเจียกที่กำลังคดข้าวให้สองสาวหยุดชะงัก

   “ก็จริงของจันทร์หอมมันนะจ๊ะป้าเจียก แล้วคุณนายท่านบอกหรือไม่ ว่าเหตุใดคุณสินถึงกลับเร็วนักรอบนี้” แก้วบอกกับลำเจียกก่อนในประโยคแรก ส่วนประโยคหลังเธอหันมาพูดกับเพื่อนสนิทของเธอโดยตรง

   “เห็นคุณนายท่านว่า ผู้ใหญ่จะมาคุยกันที่บ้านเรื่องงานหมั้นหมายคุณสินกับคุณทับทิมน่ะแก้ว ท่านก็เลยอยากให้คุณสินอยู่ด้วย ไม่อยากเป็นธุระให้เธอเสียทุกเรื่องโดยไม่บอกคุณสินก่อน แต่ข้าว่าผู้ใหญ่ทางฝั่งคุณทับทิมคงอยากจะพบคุณสินเสียมากกว่า” เมื่อได้ยินจันทร์หอมเล่า ป้าลำเจียกก็มองซ้ายมองขวาแล้วกระซิบกระซาบให้ได้ยินแค่ในวงสำรับ

   “จะว่าเป็นข่าวดีมันก็ดีอยู่หรอก คุณสินเธอก็มีอายุอานามพอสมควรจะออกเรือนได้ตั้งนานแล้ว แต่มีอย่างที่ไหนกัน คุยเรื่องหมั้นเรื่องแต่งงานผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงจึงได้มาถึงที่บ้านผู้ชายเขาเอง ข้าว่าไม่งามเอาเสียเลย”

   “อย่าเพิ่งตั้งแง่กับเขาสิพี่ลำเจียก ฉันได้ยินใครๆเขาพูดกันว่าคุณหนูทับทิมทั้งสวย ทั้งเรียบร้อย ทางผู้ใหญ่เขาคงถือฤกษ์สะดวกมากกว่า ก็บ้านคุณท่านเสืองของเรากว้างขวางออกขนาดนี้” แม่บุ้งทาสอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆลำเจียกว่า

   “ไว้พวกเราค่อยคอยดูให้เห็นกับตาตอนที่คุณทับทิมเธอมาก็แล้วกัน” ลำเจียกสรุปเท่านั้น ก่อนจะกินข้าวต่อ ส่วนคนอื่นๆก็แอบคุยกันเบาๆและคาดเดากันไปต่างๆนาๆ ว่าคุณหนูมีชื่อคนนั้นตัวตนจริงๆจะเป็นเช่นไร ระหว่างนั้นจึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นสีหน้าที่สลดเศร้าหมองลงของผู้ที่เคยพบคุณทับทิมคนสวยมาแล้วอย่างแก้วสักคน






    ค่ำวันเดียวกันนั้นสินลาพักจากราชการกลับบ้านมาจริงๆอย่างที่นายหญิงของบ้านบอก แต่จางวางหนุ่มกลับไม่ได้ลงมานอนที่เรือนดอกแก้วเช่นทุกที เนื่องจากคุยธุระสำคัญเรื่องแขกเรื่อที่จะมาเยี่ยมเยือนกับพ่อแม่อยู่บนเรือนจนดึกดื่น แก้วไม่ได้เสนอหน้าขึ้นไปรับใช้บนเรือนเพราะไม่ใช่หน้าที่ ทว่าเช้าวันต่อมาบ่าวในเรือนกลับเล่ากันให้แซดว่าเมื่อคืนคุณสินมีปากเสียงกับคุณแม่ของเธอสองสามประโยค ก่อนคุณท่านเสืองจะห้ามทัพแล้วบอกให้แยกกันไปนอน


   พอสายเข้าหน่อยขณะที่แก้วกำลังง่วนอยู่กับการหาบน้ำเติมโอ่งในโรงครัวให้เต็ม หูก็ได้ยินเสียงของกระถินหลานป้าลำเจียกร้องเรียกตนดังเอ็ดตะโร เด็กหญิงเอาความจากคุณสินมาสั่งว่าให้แก้วขึ้นไปรับใช้บนเรือนดอกแก้ว หญิงสาวจึงรีบวางทุ้มน้ำทิ้งไว้ข้างโอ่ง ก่อนกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากโรงครัวไป แต่ก็ต้องเลี้ยวกลับมาที่โรงครัวแทบไม่ทันเพราะแม่ก้อยร้องว่าให้ยกถาดขนมกลีบลำดวนกับน้ำมะตูมไปด้วย


   เมื่อมาถึงเรือนไทยหลังน้อยแก้วกลับพบว่าบนเรือนไม่ได้มีเพียงแค่คุณสินเดียวเท่านั้น แต่กลับมีคุณทับทิมคนสวยอีกคน แก้วรู้สึกประหลาดใจเนื่องจากไม่คิดว่าคุณทับทิมจะอยู่บนเรือน ด้วยอารามดีใจที่จะได้พบคุณสินสาวเจ้าจึงไม่ทันสังเกตอีกนิดก็ว่าแก้วน้ำมะตูมมีด้วยกันสองแก้วแต่แรก


   “เหตุใดจึงยืนขวางประตูเรือนอยู่เช่นนั้นเล่าแก้ว เข้ามาในเรือนสิ” คุณสินยิ้มเอ็นดูก่อนทักขึ้นเมื่อเห็นแก้วยืนนิ่งอยู่บนบันไดขั้นบนสุด

   “เจ้าค่ะ” หญิงสาวเดินตัวลีบก่อนหยุดที่ระยะขอบชานเรือนชั้นในเพื่อคลานเข่าเข้าไปจัดขนมกับน้ำหวานขึ้นโต๊ะ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแก้วก็รวมถาดทองเหลืองไว้กับอกแล้วคลานออกมานั่งพับเพียบห่างๆ เพื่อคอยท่าเผื่อนายเรียกใช้

   “แม่แก้ว”

   “เจ้าคะคุณทับทิม” นั่งก้มหน้ามองพื้นอยู่อึดใจเดียว เสียงหวานของหญิงสาวอีกคนก็ดังขึ้น แก้วได้ยินจึงเงยหน้ามองพร้อมตอบรับนอบน้อม

   “ประเดี๋ยวฉันจะอยู่ดูคุณพี่สินเล่นดนตรี เธอจะไปไหนก็ไปเถิด ฉันไม่มีอะไรเรียกใช้แม่แก้วแล้วล่ะจ้ะ” แม้คุณทับทิมจะยิ้มอารีให้แก้วขณะที่สั่งความ ทว่าคำสั่งนั้นกลับทำให้รู้สึกเจ็บหน่วงในอก เมื่อยามเริ่มรักแก้วรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่มีวันสมหวัง แต่แก้วไม่รู้เลยว่าความผิดหวังจะทำให้ทรมานเช่นนี้

   “เจ้าค่ะคุณทับทิม” เธอรับคำอย่างพินอบพิเทาก่อนลงจากเรือนไป โดยไม่รู้เลยว่าสินมองตามแผ่นหลังบางด้วยสายตาทอดอาลัยเพียงไหน หูของเธอได้ยินเพลงเสียงแว่วหวานที่ดังลอกออกมาจากเรือนไทยหลังน้อย ฟังดูก็รู้ว่าคุณสินเป็นคนเล่นให้ว่าที่คู่หมั้นของเขาฟัง...ไม่ใช่แก้ว


   ในทีแรกสินตั้งใจว่าจะเรียกให้แก้วมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยอีกคนเพราะเขาลำบากใจที่จะอยู่กับทับทิมเพียงลำพังตามความตั้งใจที่พวกผู้ใหญ่นั้นเปิดทางสะดวกให้ แต่ชายหนุ่มไม่นึกว่าคุณหนูทับทิมจะกล้าไล่แก้วออกไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น เขามองภาพทับทิมผิดไปถึงได้นึกว่าเธอจะกระดากอายที่ต้องอยู่ด้วยกันกับเขาแค่สองคน ยิ่งเมื่อสังเกตจากอากัปกิริยาเอียงอายแต่ก็คอยส่งสายตาเว้าวอนเป็นระยะของสาวเจ้าแล้ว สินคิดว่าบางทีทับทิมอาจจะสมัครใจเห็นด้วยกับการคลุมถุงชนครั้งนี้ก็เป็นได้


   ระหว่างที่เดี่ยวระนาดเอกให้ทับทิมฟังตามคำวอนขอของเธอ จางวางหนุ่มจึงได้แอบคิดคะเนในใจว่า หากต้องการยกเลิกการแต่งงานที่จะมีในอนาคตระหว่างเขากับทับทิมเห็นทีคงจะไม่ง่ายเสียแล้ว








   นาคินตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่หอพักของเพื่อนสนิทอย่างโจ้ พอลุกขึ้นนั่งในหัวก็ปวดจี๊ดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เขาจำได้ลางๆว่าเมื่อคืนโดนกลุ่มเพื่อนบังคับให้ดื่มหนักมากๆในงานเลี้ยง แต่กลับจำไม่ได้ว่าตัวเองเมาไม่รู้เรื่องแล้วหมดสติไปตอนไหน แล้วโจ้พาเขากลับมาที่นี่ได้อย่างไร พยายามรวบรวมสติแล้วนั่งหลับตานวดขมับของตัวเองไปพลางๆ เมื่อรู้สึกดีขึ้นนาคินจึงลุกไปอาบน้ำ แต่ก่อนจะเข้าห้องน้ำเจ้าของห้องก็กลับมาพร้อมกับอาหารและเครื่องดื่มแก้เมาค้างสองขวด


   “ตื่นแล้วเหรอวะคิน”

   “อืม” นาคินตอบรับเสียงแหบ

   “เป็นไงบ้าง ท่าทางดูไม่ดีเลย” ตั้งแต่คบกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่นาคินเมาหมดสภาพขนาดนี้ ถ้ารู้ว่านาคินคออ่อน โจ้ก็คงปรามพวกเพื่อนให้ยั้งมือสักหน่อยเมื่อคืน

   “ปวดหัวว่ะ มึนสุดๆเลยด้วย” นาคินบอกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร แต่นั่นก็ไม่ใช่ความรู้สึกทั้งหมด เพราะถ้าแค่เมาค้างเขาคงไม่รู้สึกปวดหน่วงในหัวใจแบบนี้ ภาพความฝันที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาสักระยะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่ดีและอ่อนล้าราวกับเรื่องที่ฝันทั้งหมดเป็นเรื่องของตัวเขาเอง

   “แฮ๊งค์หนักเลยล่ะสิ ไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยมากินข้าวกินยา” โจ้ว่า

   “อืม ขอบใจนะโจ้” พอรับคำเสร็จก็หันหลังเดินเข้าห้องน้ำ แต่โจ้กลับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงรีบรายงานนาคินทันที

   “อ้อ! ลืมบอกไป”

   “อะไรเหรอ” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มหันมาเลิกคิ้วถาม

   “เมื่อคืนมีคนโทรมาหาด้วย รู้สึกจะหลายสายเลยนะ แต่เมามากเหมือนกันก็เลยไม่ได้กดรับให้ สงสัยที่บ้านน่ะ”

   “ขอบใจมากนะ คงเป็นที่บ้านจริงๆนั่นแหละ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จค่อยโทรไปบอก” ตอนนี้อยากล้างหน้าอาบน้ำแล้วทำหัวให้โล่งก่อนนาคินจึงเลือกเดินเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำ


   หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย นาคินก็พาตัวเองไปที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กซึ่งมีข้าวต้มหมูอุ่นๆวางอยู่ แต่ก็ไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ติดมือมาด้วย เขาเปิดดูข้อความและสายที่ไม่ได้รับค้างอยู่ห้าหกสาย จึงเห็นว่าแม่โทรมาสายหนึ่งตอนสี่ทุ่ม ตอนนั้นนาคินยังอยู่ที่ร้านเสียงคงดังมากจนไม่ได้ยิน ส่วนที่เหลือเป็นเบอร์ของสนธยาโทรมาตอนเที่ยงคืนเว้นระยะไปจนถึงตีสอง บวกกับข้อความอีกสองสามข้อความถามว่าอยู่ไหนและจะกลับกี่โมง เมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงทั้งหมดนั้นทำให้นาคินต้องรีบวางช้อนทั้งที่ยังไม่ได้ตักเข้าปากแล้วกดต่อสายหาสนธยาทันที


   “สนครับ” ทันที่ที่อีกฝ่ายรับสาย นาคินก็รีบกรอกเสียงร้อนรนลงไปทันที

   ‘ว่าไง' สนธยาเอ่ยออกมาเรียบๆ

   “ขอโทษที่เมื่อคืนไม่ได้รับสายนะครับ พอดีผมเมามากเลย”

   ‘ช่างเถอะ นายจะทำอะไรก็เรื่องของนายสิ แต่คราวหลังจะไปค้างที่อื่นก็โทรมาบอกพ่อก่อน เขาจะได้ไม่เป็นห่วง แค่นี้นะ หมอเรียกแล้ว’  พูดเพียงเท่านั้นปลายสายก็ถูกตัดทิ้งไปทันที นาคินนั่งหน้าเครียดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นเดินไปคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นบ่า

   “เอ้ย! จะไปไหนวะคิน ข้าวยังไม่ทันได้กินเลย” โจ้ถามเสียงตระหนก

   “ต้องไปแล้วว่ะ มีปัญหานิดหน่อย ขอโทษนะเว้ยอุตส่าห์ซื้อมาให้ แล้วก็ขอบใจมากที่ดูแลเมื่อคืน เอาไว้จะเลี้ยงตอบแทน ไปล่ะ” นาคินพูดรัวเร็วจนคนฟังพยักหงึกหงักรับแทบไม่ทัน เผลอแวบเดียวคนมีปัญหาก็แผลวออกจากห้องไป ทิ้งโจ้ไว้กับข้าวต้มสองชามใหญ่

   “แล้วจะกินได้ยังไงหมดวะเนี่ย”






   เมื่อนาคินมาถึงโรงพยาบาลเขาก็พบสนธยาอยู่ที่หน้าทางเข้าออกแล้วพอดี โดยมีลุงเสริมเดินตามมาข้างหลัง พอสนธยามองเห็นนาคินตามมาหาถึงที่ก็ชักสีหน้าใส่ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

   “มาทำไม”

   “ก็มาหาพี่สนไงครับ ขอโทษนะ ทั้งที่เป็นคนบอกเองว่าวันนี้จะมาโรงพยาบาลเป็นเพื่อน”


เมื่อวานตอนที่เดินไปส่งสนธยาที่หน้าคณะฯ สนธยาถามนาคินว่าไปกับเพื่อนต้องใช้รถไหมและต้องกลับดึกหรือเปล่า นาคินก็เลยบอกไปว่ากลับไม่เกินห้าทุ่มเพราะวันรุ่งขึ้นต้องตื่นเช้าเพื่อขับรถไปส่งสนธยาที่โรงพยาบาล สนธยาจึงให้ยืมรถไปใช้เพราะตอนกลับจะได้ไม่ลำบาก แต่นี่เจ้าตัวดีกลับไม่ทำตามที่บอกเอาไว้ เช้าวันนี้ลุงเสริมจึงต้องเอารถของพ่อมนตรีมาส่งสนธยาที่โรงพยาบาลแทน


“ไม่ต้องมาขอโทษหรอก ฉันผิดเองที่เชื่อนาย” สนธยาเบี่ยงตัวเดินหนีนาคินไปที่ลานจอดรถ คนมีความผิดจึงรีบตามไปทันที ทำเอาลุงเสริมยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ที่หน้าทางเข้า

“โธ่~ พี่สนอย่างอนสิครับ” เมื่อตามมาทันนาคินก็ว่าเสียงอ่อน

“ไม่ได้งอน” คนตัวเล็กกว่าแหวกลับ

“แล้วทำไมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนั้นล่ะครับ”

“จะให้ยิ้มเป็นคนบ้าเหมือนนายหรือไง ในเมื่อนายกำลังทำให้ฉันหงุดหงิด”

“เมื่อคืนผมโดนเพื่อนแกล้ง ก็เลยเมาไม่รู้เรื่องเลย ขับรถกลับก็ไม่ได้ โชคดีที่เพื่อนพากลับไปนอนที่ห้องด้วย ไม่งั้นตายแน่เลย” คนตัวโตพูดอธิบายไปเรื่อยๆในขณะที่สนธยาเดินจ้ำอ้าวไปจนถึงรถพอดี แต่จะเข้ารถก็ไม่ได้เพราะลุงเสริมยังมาไม่ถึง นาคินจึงขยับเข้าไปเผชิญหน้าแล้วเอื้อมมือไปกระตุกแขนให้อีกฝ่ายหันมา

“ปล่อย” สนธยาทำเสียงเข้ม นาคินจึงยอมปล่อยมือ

“สนครับ” พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ เจ้าตัวดีก็กลับมาใช้คำเรียกแทนอย่างเดิม “ผมขอโทษ อย่าโกรธผมเลยนะ ผมผิดเองที่ไม่รักษาคำพูด ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้เลยสักนิด ผมอยากจะเป็นคนขับรถพาสนมาเอง สนก็รู้ว่าผมตั้งใจจะทำอย่างนั้น”

“…” สนธยาไม่ตอบ ได้แต่จ้องตาคมสีน้ำตาเข้มคู่นั้นนิ่งๆ

“ขอโทษจริงๆนะครับ ยกโทษให้ผมเถอะ” อ้อนวอนน้ำเสียงระห้อยอีกคำ สุดท้ายสนธยาก็ต้องยอมแพ้

“ก็ได้ แต่คราวหน้าอย่าให้มีอีก”

“ไม่มีอีกแล้วครับ สัญญาเลย” เมื่อได้รับการให้อภัยนาคินก็ตอบรับระริกระรี้ดังเดิม พอดีกับที่ลุงเสริมมาถึงรถ สนธยาจึงเปิดประตูขึ้นไปนั่ง แต่ยังไม่วายที่จะสั่งให้คนที่ยืนอยู่ข้างรีบตามกลับบ้าน

“เอารถมาใช่ไหม”

“ครับ” นาคินพยักหน้ารับ

“ขับกลับบ้านเลยนะ วันนี้จะไปซ้อมดนตรี”

“อะไรนะ! หมอให้สนเล่นดนตรีได้แล้วเหรอครับ” นาคินถามอย่างไม่เชื่อหู

“ใช่” สนธยาเลิกทำหน้าตึงแล้วยิ้มน้อยๆ “ไปเจอกันที่เรือนดอกแก้ว”

“ครับ” หลังจากได้ยินนาคินตอบรับเสียงใสสนธยาก็ปิดประตูแล้วบอกให้ลุงเสริมออกรถ นาคินเห็นดังนั้นจึงเดินกลับไปขึ้นรถอีกคันขับตามกลับบ้าน






แม้วันนี้จะเป็นวันที่เด็กๆมาเรียนดนตรีไทยกัน แต่กว่าสนธยาจะกลับมาจากโรงพยาบาลเด็กนักเรียนก็กลับบ้านกันหมดแล้ว ชายหนุ่มเอายาขึ้นไปเก็บบนห้องก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองแล้วตรงไปที่เรือนดอกแก้วทันที ตอนที่ขึ้นไปถึงบนเรือนหลังเล็ก สนธยาพบผู้เป็นพ่อกำลังคุยกับนาคินอยู่ที่ระเบียงรับลม นาคินยังคงอยู่ในชุดเดิมไม่เปลี่ยน นั่นแสดงว่าพอเจ้าตัวมาถึงก็คงจะตรงมาที่นี่เลย ไม่แวะขึ้นเรือนใหญ่ก่อนเหมือนสนธยา


“อ้าว! สนมาพอดี เห็นน้องบอกหมออนุญาตให้เล่นดนตรีได้แล้วจริงๆเหรอลูก” มนตรีเดินตรงเข้ามาหาลูกชายพลางไถ่ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ครับพ่อ” สนธยายิ้มรับ

“ว่าแต่สนไม่ได้เจ็บแผลหรือปวดข้อมือแล้วใช่ไหมลูก” ถึงแม้หมอจะยืนยันอย่างนั้น แต่คนเป็นพ่อก็ยังอดห่วงไม่ได้

“ไม่เจ็บแล้วครับ” ชายหนุ่มยืนยัน

“งั้นลองเล่นดูเลยไหมครับพี่สน” นาคินแทรกขึ้นทันทีที่รู้แน่ชัดว่าสนธยาหาดีแล้ว เขาคิดถึงเสียงดนตรีของสนธยาจะแย่ แค่คิดว่ากำลังจะได้ฟังมันอีกครั้งก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจแล้ว

“อื้ม” สนธยาพยักหน้า ก่อนจะเดินไปนั่งที่อยู่หลังระนาดเอกบนแท่นประจำตัว


ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อเรียกสมาธิและขวัญกำลังใจ ก่อนจะประนมมือไหว้ครูบาอาจารย์จรดหน้าผากแล้วจากนั้นจึงจับไม้นวมขึ้นมา เขายังอดรู้สึกตื่นๆในใจไม่ได้ ดังนั้นเรียวมือสวยดุจลำเทียนจึงสั่นไหวน้อยๆ สนธยากลัวความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งนั้นมันจะย้อนกลับมาอีก แต่ที่กลัวที่สุด คือ กลัวว่าจะเล่นดนตรีไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว


คงเพราะนาคินสัมผัสได้ถึงความเครียดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวคุณครูหนุ่ม เขาจึงเผลอส่งเสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปทั้งๆที่ลุงมนตรีนั้นนั่งอยู่ไม่ห่าง


“พี่สน”

“หืม?” สนธยาเงยหน้าขึ้นมาจากรางลูกระนาด ดวงตาของทั้งสองประสานกันพอดีอย่างมีความหมาย

“ต้องทำได้สิครับ เชื่อผม”

“อืม รู้แล้วล่ะ”


หลังจากนั้นไม้นวมก็จรดลงบนลูกระนาดอีกครั้ง แล้วเสียงดนตรีแว่วหวานระรื่นหูก็ดังก้องไปทั่วทั้งเรือนดอกแก้ว ทำเอาคนฟังถึงกับเคลิบเคลิ้ม ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นถึงกับน้ำตาไหลลงมาที่ข้างแก้มหยดหนึ่งด้วยความตื้นตัน สนธยาบรรเลงเพลงเถาต่อเนื่องสองเพลงรวด เขารู้สึกราวกับตัวเองกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เหมือนกับต้นไม้เหี่ยวเฉาได้รับน้ำฝนชุ่มชื่นหัวใจอย่างไรอย่างนั้น กระทั่งบทเพลงแห่งการเริ่มต้นใหม่จบลง ทุกคนบนเรือนดอกแก้วจึงยิ้มให้กันด้วยความอิ่มเอม


“พ่อดีใจนะสนที่ลูกหายดี” มนตรีว่า

“ผมก็ดีใจเหมือนกันครับ” สนธยากล่าวกับพ่อ

“ต่อไปเราต้องดูแลตัวเองให้มากกว่านี้นะลูก อย่าหักโหมมากจนเกินไปนักเข้าใจหรือเปล่า” ผู้เป็นพ่อกำชับด้วยความเป็นห่วง

“ผมรู้แล้วครับพ่อ” สนธยาเองก็ยอมรับปากดีๆ เพราะเขาเข็ดเหลือเกินแล้วกับบทเรียนที่ได้รับ

“แล้วนี่จะอยู่ต่อไหม หรือจะไปทำธุระเป็นเพื่อนพ่อที่อยุธยา”

“อยากอยู่เล่นต่ออีกสักหน่อย พ่อไปคนเดียวได้หรือเปล่าครับ” ถ้าให้เลือกตอนนี้ สนธยาก็อยากจะอยู่บ้านเล่นดนตรีที่คิดถึงมากกว่า

“ฮ่าๆๆ ไปได้สิ พ่อไม่ใช่เด็กนะ ยังไงพ่อก็บอกนายเสริมขับรถให้อยู่แล้ว” มนตรีพูดพลางหัวเราะชอบใจ อันที่จริงเขารู้อยู่แล้วว่าลูกชายจะตอบอย่างไร เพียงต้องการถามให้แน่ใจเท่านั้น

“ก็ผมเป็นห่วงนี่ครับ” ลูกชายสุดที่รักว่า

“เอาน่าๆ ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อหรอก ดูแลบ้านให้พ่อดีๆก็แล้วกัน”

“ลุงมนจะกลับวันไหนครับ” นาคินถามขึ้น

“คงพรุ่งนี้เย็นๆนั่นล่ะ คินก็ช่วยพี่เขาดูบ้านด้วยนะ ลุงไปก่อนล่ะ สนพ่อไปนะลูก” ประโยคหลังมนตรีหันไปบอกกับสนธยา ชายหนุ่มทั้งสองจึงยกมือไหว้ลาก่อนส่งมนตรีลงจากเรือนดอกแก้วไป

“สนจะเล่นดนตรีอยู่นี่ก่อนใช่ไหม” ลับหลังมนตรีไปแล้ว นาคินจึงหันมาหาคนตัวเล็กกว่าที่ยืนอยู่ข้างตัว

“ใช่”

“งั้นผมไปเอาขิมมาเล่นด้วยนะ”

“ก็ต้องอย่างนั้นสิ นี่มันชั่วโมงเรียนของนายแล้วนี่” คนเป็นครูพูดอย่างไว้ท่า ทำเอานาคินหลุดหัวเราะออกมาพรวดหนึ่ง ก่อนจะตอบรับเสียงใสแล้ววิ่งเข้าไปยกขิมประจำตัวที่ห้องเล็กด้านในตัวเรือน

“ครับคุณครูพี่สน”






   ห้องเก็บเครื่องดนตรีห้องเล็กยังคงสภาพเหมือนเช่นเก่าทุกครั้งที่เหยียบย่างเข้ามา ตู้ โต๊ะและชั้นวางเครื่องดนตรีถูกจัดวางอยู่เป็นระเบียบและมีเครื่องดนตรีวางเรียงอยู่เต็มไปหมด แม้ขนาดของห้องนั้นจะไม่กว้างเท่าไหร่ แต่เมื่อหลบจากด้านนอกเข้ามาข้างใน นาคินมันจะรู้สึกวังเวงและชวนให้ขนลุกวาบทุกที ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบตรงไปยังที่ที่เก็บกล่องขิมตัวประจำของตนเองก่อนจะยกออกไปจากห้องโดยเร็ว


   เมื่อออกมาเจอแสงแดดข้างนอก นาคินยิ่งรู้สึกยินดีไม่อนาทรต่อความร้อนราวกับหลุดพ้นจากมวลความอึดอัดมหาสาร ร่างสูงยกกล่องขิมเดินไปหยุดตรงหน้าคุณครู ก่อนเปิดฝากล่องแล้วยกขิมโบราณออกมา


   สนธยามองลูกศิษย์ตัวโตบรรจงวางเครื่องดนตรีอย่างทะนุถนอมก็อดเกิดความสงสัยในใจไม่ได้ ว่าทำไมนาคินถึงถูกใจขิมโป๊ยเซียนโบราณตัวนี้นัก เขาเข้าใจอยู่หรอกว่ามันสวยดี แต่อายุของมันก็นานเกินกว่าที่ใครจะหยิบออกมาเล่น


   “ทำไมนายถึงชอบใช้ขิมตัวนี้ล่ะ” เพราะอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ในที่สุดสนธยาจึงเอ่ยถามออกไป

   “ไม่รู้สิครับ…” นาคินตอบแล้วหยุดครุ่นคิดสักพักจึงว่าต่อ “ผมรู้สึกชอบมันมากๆเลยตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ในสายตาผมมันสวยนะ สวยมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ผมรู้สึกหรอก ไม่รู้สิ ผมว่าคงให้อารมณ์ถูกชะตาเหมือนเจอกีต้าร์ตัวโปรดอะไรแบบนั้นล่ะมั้ง ต่างกันที่ของผมเป็นขิม”


   คนพูดพูดพลางลูบมือไปบนสายทองเหลืองและหมอนขิมแผ่วเบา สนธยามองตามมือหนาข้างนั้นไปโดยที่ในใจไม่ได้คิดอะไร กระทั่งสายตาเลยไปหยุดที่กล่องเก็บที่เปิดอ้าเอาไว้ข้างตัวนาคิน กำลังจะเอ่ยปากบอกให้ปิดฝาแล้วเก็บไว้ให้ห่างตัวหน่อย พอหันกลับมาเขาก็บังเอิญเห็นปลายขอบสามเหลี่ยมเล็กๆของผ้าอะไรสักอย่างโผล่ออกมาจากตรงซอกรอยต่อด้านล่างของขิมโป๊ยเซียน สนธยาจึงชี้ให้นาคินดู


   “นั่นเศษผ้าอะไรน่ะคิน”

   “ไหนครับ”

   “ตรงขอบล่าง ด้านหน้าของตัวขิม”


   นาคินขยับตัวก้มมองตามก็เห็นริมผ้าอย่างที่สนธยาว่าจริงๆ เขาจึงใช้มือดึงออกเพราะคิดว่าเป็นเศษผ้า ทว่ามันกลับไม่หลุดอย่างใจนึก ชายหนุ่มจึงพลิกตัวขิมขึ้นแล้วดึง หากแต่ท้องขิมด้านล่างที่ถูกไม้ปิดเอาไว้กลับหลุดผลัวะออกมาทันที

   “เอ้ย!” คนตัวโตร้องด้วยความตกใจแต่ก็เงียบเสียงไปเมื่อเห็นว่าอะไรหลุดติดมือออกมา

   “เบามือหน่อยสิ! ของพังหมดเห็นไหม” แต่สนธยาที่ยังไม่ทันเห็นก็ส่งเสียดุออกไปก่อน จากนั้นจึงรีบลุกพรวดจากที่นั่งแล้วไปหยุดตรงหน้านาคิน


   คุณครูสนธยากำลังจะเอ็ดออกมาอีกคำเมื่อเห็นสภาพท้องขิมตัวเก่าชัดๆ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเขาก็ต้องตกใจอีกระลอก เพราะนักเรียนหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้ากำลังร้องไห้ออกมา!


   ไม่ผิด แม้จะกระพริบตาแล้วดูอีกครั้งก็ยังเห็นหยดน้ำเม็ดใสไหลออกจากหางตาคมนั่น เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่หนึ่ง ช่วงเวลาที่ต่างก็นิ่งเงียบกันนั้นดูเหมือนนาคินจะร้องไห้หนักมากยิ่งขึ้น ราวกับว่าเรื่องที่พบเจอเป็นเรื่องที่ทำให้ใจสลายไปแล้วก็ว่าได้


   “คิน…นาคิน นายเป็นอะไรไป” สนธยาเอามือจับต้นแขนหนาแล้วถามอย่างใจเสีย

   “ยังเก็บไว้…เขายังเก็บไว้” เสียงของลูกศิษย์หนุ่มว่าอย่างนั้น ขณะที่กำของที่ดึงออกมาจากขิมไว้แนบอก

   “ใครเก็บอะไรไว้”

   “เขาคนนั้น” นาคินตอบด้วยดวงตาเหม่อลอยราวกับไม่ใช่ตัวเอง

   “ใคร?”

   “คุณ”


แววตาสีน้ำตาลคู่นั้นคล้ายมีแววตาของใครบางคนซ้อนทับอยู่ในชั่วพริบตาเดียวที่ประสานสายตากับสนธยา พอครูหนุ่มกำลังจะดูให้แน่ใจอีกครั้ง ทว่าอยู่ๆนาคินก็หลับตาแล้วหงายหลังล้มตึงหมดสติไปทันที






‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧


ห่างหายจากอดีตชาติไปนาน ตอนนี้เริ่มกลับมาอีกแล้วค่ะ
อ่านตอนนี้แล้วอาจจะพอเดาอะไรได้บ้างหรือเปล่า
ใครพอจับเค้าลางอะไรได้แล้ว มาเม้นเดากันได้นะคะ
ลงคีตมาลาทีไรเงียบกันตลอดเลย
คนเขียนชักใจฝ่อแล้วว่ามันโอเคหรือเปล่า  :mew6:
ยังไงจะรีบมาลงตอนต่อไปค่ะ
เจอกันตอนหน้าน้าาา  :katai5: :katai5:

ปล.ขอบคุณที่ช่วยตรวจจับคำผิดนะคะ  :กอด1:


ละอองฝน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-09-2015 00:10:39 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
คุณสนก็มีใจปฏิพัทธ์ต่อแม่แก้วเหมือนกันเลยนะคะ ติดก็ตรงคำว่า 'ฐานะ' และ 'ยศฐาบรรดาศักดิ์' ที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดนั่นล่ะที่เข้ามาขัดขวางเส้นทางรักไปเสียได้

ส่วนคุณทับทิม ผู้หญิงที่เรียบร้อยอ่อนหวานแค่เพียงภายนอกเท่านั้น ถ้าได้มาที่เรือนหลังนี้บ่อยๆ ก็คงจะระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณสนกับแม่แก้วที่ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่านั้น โดยเฉพาะเวลาที่ทั้งสองคนใช้สายตามองกันและกัน ยิ่งปิดบังความสงสัยให้ไม่ทวีคูณไม่ได้เข้าไปใหญ่ จนอาจกลายเป็นชนวนเหตุของสิ่งต่างๆ ก็เป็นได้

ทางด้านนาคิน..ตอนร้องไห้ ให้อารมณ์อาลัยอาวรณ์ต่อของสิ่งนั้นคล้ายๆ กับว่าคนที่พี่สนได้สบตาด้วยจะเป็นแม่แก้วเสียเองเลยค่ะ

รอตอนต่อไปจ้า ^^

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
หรือว่าคิน จะคือแม่แก้วในอดีต?

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ได้เวลาเล่าแล้วมั่งคิน

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
คินต้องเป็นแก้วนั้นแหละ ที่จำใจต้องจากกันหรือมีเหตุให้จากกัน

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Cream A

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
นาคินคือแม่แก้วในอดีตหรอเนี่ยย แสดงว่าทั้งคู่แอบมีใจให้กันอยู่

แต่จางวางต้องหมั้นกับคุณทับทิม :katai1: ไม่กล้าเดาจุดจบของความรักคนทั้งคู่เลย

วิญญาณแก้วยังไม่ไปไหน เอ๊ะ แต่ถ้าวิญญาณยังไม่ไปไหน แล้วน้องหมาคินของเราคือใครล่ะเนี่ย

เรื่องในอดีตก็อยากรู้ เรื่องปัจจุบันก็รอลุ้น ชอบที่คินคอยเอาอกเอาใจพี่สน รังสีความฟรุ้งฟริ้ง

มันแผ่กระจายมากอ่ะ รอตอนต่อไปจ้า เชียร์อัพคนแต่งเสมอ ไม่ต้องใจฝ่อน้าาา อันที่จริงสไตล์คนแต่ง

คือค่อยเป็นค่อยไป แถมเรื่องนี้มันลึกลับ มีปมอดีตชาติ คนอ่านเลยรอให้ตอนมันเยอะๆก่อนแล้วค่อย

อ่านรวดเดียวมากกว่าไม่ใช่แต่งไม่ดีหรอกค่ะ ยังไงก็สู้สู้นะ  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
พาทอดีตโผล่
พัฒนาถึงขั้นเข้าสิง(?)
แล้ว..ความสัมพันธ์ของพี่สนน้องคินล่ะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อดีตยังวนเวียนอยู่ที่บ้านหลังนี้
ใครเก็บอะไรของใครไว้นะ

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2
บทที่ ๑๑





   ตั้งแต่ถูกคุณทับทิมไล่ออกมาจากเรือนดอกแก้วในวันนั้น แก้วก็ไม่ได้พบหน้าคุณสินอีกเลย เนื่องจากจางวางหนุ่มต้องเดินทางกลับวังท่าเตียนด้วยขอลาราชการมาเพียงสามวัน ยิ่งข่าวลือหนาหูว่าคุณนายได้ตระเตรียมแม่สื่อไปช่วยสู่ขอคุณหนูทับทิมแล้ว หัวอกบ่าวก้นเรือนอย่างแก้วยิ่งตรอมตรมหนัก ไม่ว่าจะเป็นแม่ พ่อ จันทร์หอม หรือแม้กระทั่งไม้เบื่อไม้เมาอย่างเจ้าแดงก็ยังสังเกตเห็นได้ถึงอาการหมองเศร้าและทุกข์โศกของหญิงสาว แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใดแก้วจึงมีสภาพเช่นนั้น จะมีก็แต่เจ้าตัวที่รู้ตนเองดีที่สุด



   จวบจนกระทั่งวันเดือนเคลื่อนคล้อยไป คุณสินก็ยังไม่ได้กลับบ้านเพราะตามสมเด็จฯ ประพาสที่วังหัวหิน ระหว่างนั้นแก้วจึงพอมีเวลาให้ย้ำคิดใคร่ควรและระลึกว่า ตนนั้นเป็นเพียงบ่าว เป็นทาสที่ไม่อาจเผยอขึ้นไปยืนเทียบเคียงอยู่ข้างๆ คุณสินได้ ต่อให้รักเขามากเพียงไหนก็ทำได้แค่ฝัน แต่สิ่งที่เธอทำได้คืออยู่รับใช้คุณสินไปจวบจนสิ้นอายุขัย



ถึงแม้จะเป็นแค่บ่าว แต่ถ้าคุณสินเอ็นดูแก้วไปเรื่อยๆ เช่นนี้ เธอจะได้เห็นคนที่เธอรักและเทิดทูลบูชามีความสุข ได้เห็นเขาแต่งงานกับผู้หญิงที่สวยเพียบพร้อมทั้งฐานะและชาติกำเนิด ได้เห็นเขามีลูกหลานสืบสกุลให้คุณท่าน และที่สำคัญ แก้วจะได้เห็นคุณสินเล่นดนตรีที่รักไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่



แก้วจึงตัดอกจัดใจกับตนเองว่า ถ้าชั่วชีวิตนี้ได้เห็นคนที่เธอรักมีความสุข เท่านั้นก็คงจะเพียงพอสำหรับคนอย่างเธอแล้ว แม้นไม่สมหวังก็ช่างปะไร



หญิงสาวมองมือหยาบกระด้างและเปื้อนดินทรายของตัวเองเงียบๆ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยกมือเปื้อนดินนั้นเช็ดหยาดน้ำตาออกจากแก้ม เช็ดอยู่ซ้ำๆ จนไม่ให้เหลือร่องรอย จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วหยิบทุ้งน้ำกับผ้าขี้ริ้วไปเช็ดถูทำความสะอาดเรือนหลังเล็กตามหน้าที่ที่สมควรกระทำ



แก้วปัดกวาดเช็ดถูทำงานจุกจิกกระทั่งลืมเวลาจนยามบ่ายคล้อยเข้ามาถึงได้ลงจากเรือน ขณะที่หญิงสาวยกทุ้งน้ำซักผ้าขี้ริ้วไปทิ้งที่ท่า เธอได้เดินผ่านต้นแก้วเจ้าจอมที่ปลูกเอาไว้มานานปี จากต้นไม้ต้นเล็กๆ บัดนี้สูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาไว้พักเมื่อล้าจากแดดร้อนแรงยามเที่ยง


ขณะที่กำลังจะเดินผ่านไป ดวงตาคมก็สังเกตเห็นช่อดอกเล็กๆ สีม่วงอ่อนอยู่เกือบปลายยอด ด้วยความตกใจเธอจึงปล่อยทุ้งน้ำหลุดมือ ก่อนจะกระโดดโหยงเหยงเพื่อดูให้แน่ชัดว่าตาสองข้างไม่ได้ฝาดจากแดดที่แยงลงมา แต่เมื่อมองดูทุกมุมจนถี่ถ้วนแล้วแก้วก็พบว่าตนเองตาไม่ได้ฝาดไปจริงๆ เพราะบัดนี้ต้นไม้ที่เฝ้าดูแลได้ผลิดอกบากสะพรั่งอยู่บนนั้น แม้จะมีดอกเพียงแค่น้อยนิด แต่ว่าคุณสินได้เห็นคงจะยินดีมากเป็นแน่ หากวันที่คุณสินกลับมาจากราชการ เธอจะได้บอกกับเขาว่า เธอสามารถดูแลต้นไม้ของคุณสินให้ออกดอกชื่นชมจนสำเร็จแล้ว



ทว่าแก้วรอแล้วรอเล่าจวบจนหลายวันผ่านไปคุณสินก็ยังไม่กลับมา เพราะเธอไม่รู้ว่าคุณสินตามสมเด็จฯ ท่านไปวังที่หัวหินด้วย แก้วเจ้าจอมดอกน้อยที่เพียรพยายามดูแลนั้นร่วงโรยลงไปทุกวัน จนตอนนี้เหลือไม่ถึงห้าช่อแล้ว ด้วยความที่ไม่รู้จะรักษาให้ดอกไม้ยังคงอยู่รอเจ้าของกลับมาเห็นได้อย่างไร แก้วจึงตัดสินใจเก็บดอกแก้วเจ้าจอมที่เหลือมาทำถุงบุหงารำไป เผื่อตอนคุณสินกลับมาจะได้ชื่นชมมันให้สมกับการรอคอย



ทาสสาวเก็บดอกไม้ใส่กระด้งแล้วนำไปตากในร่มจนแห้ง ก่อนนำมาเคล้าน้ำมันหอมระเหยและอบซ้ำหลายรอบ ระหว่างนั้นก็เจียดอัฐจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อผ้าลูกไม้มาเย็บเป็นถุงใส่ แต่ละขั้นตอนแก้วตั้งใจทำอย่างเต็มที่โดยมีจันทร์หอมเป็นผู้ช่วยกระทั่งเสร็จเรียบร้อย ที่เหลือก็รอแค่คุณสินกลับมาเท่านั้น


o-----------------------o



   แล้วในที่สุดคุณสินก็กลับมาจากราชการ แต่เขาก็ต้องติดพันอยู่กับคุณทับทิม เนื่องจากพอทราบข่าวว่าคุณสินกลับมา ฝ่ายนั้นก็แวะเวียนมาหาไม่เว้นแต่ละวัน สองสามวันที่มาถึงคุณสินจึงไม่ได้ลงมาที่เรือนเล็กเลย แก้วได้ฟังบ่าวไพร่พูดถึงนายบนเรือนใหญ่ก็ทำได้เพียงแต่ตั้งตารอที่จะได้พบ



ในบ่ายคล้อยของวันหนึ่ง หลังจากที่แก้วกลับมาจากออกไปช่วยคนอื่นเกี่ยวข้าวที่ที่นาของนายท่านเสือง คุณสินก็เรียกหาเธอ หญิงสาวจึงเตรียมถุงหอมที่เก็บเอาไว้ออกมา ขณะกำลังเดินไปที่เรือนดอกแก้ว ระหว่างทางแก้วได้พบกับจันทร์หอมมารอไปกินข้าวพร้อมกันที่โรงครัว แก้วจึงบอกกับเพื่อนว่าเธอกำลังจะไปพบคุณสิน



จันทร์หอมได้ยินก็มีสีหน้าที่บ่งบอกถึงความไม่สบายใจ ทำท่าอึกๆ อักๆ ราวกับมีบางอย่างจะพูด แก้วเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามออกมาเสียเอง



“มีอะไรจะพูดกับข้ารึจันทร์หอม”
“เอ็งจะเอาถุงบุหงาไปให้คุณสินจริงๆ รึแก้ว”
“อืม ทำไมรึ” แก้วมองถุงหอมในมือก่อนเงยหน้ามองจันทร์หอม
“เปล่าหรอก ข้าแค่คิดว่ามันอาจจะไม่เหมาะน่ะซี ถ้าหากคุณทับทิมเธอรู้เข้า เธออาจจะไม่ชอบใจที่บ่าวทำถุงหอมให้คุณสิน ข้ากลัวเอ็งเดือดร้อน”
“แต่ข้าแค่ทำให้เพราะคุณสินเธอรอดูมันมาหลายปีแล้ว ข้ามิได้คิดอะไรเกินเลยสักหน่อย” เสียงของแก้วเบาลงกึ่งหนึ่งในประโยคหลัง
“เอ็งจะคิดหรือไม่คิด ข้ามิได้ว่าอะไรเอ็งหรอกแก้ว แต่ข้ากลัวคนอื่นจะไม่เข้าเจตนาของเอ็งก็เท่านั้น” เมื่อจันทร์หอมพูดจบเธอก็เงียบเสียงลง แก้วเองก็เงียบแล้วคิดตามไปด้วย
แก้วเริ่มกลัวและระลึกขึ้นมาได้อีกครั้งว่า บางทีสิ่งที่เธอกำลังทำมันอาจจะไม่เหมาะก็ได้ ความจริงแล้วเธอไม่ควรทำอะไรเกินหน้าที่บ่าว อย่างเรื่องที่ไปเรียนดนตรีกับคุณสินนั่นก็ไม่ควร หรือแม้แต่เรื่องทำถุงหอมให้คุณสินด้วย ขณะที่แก้วกำลังจะเอาบุหงารำไปไปเก็บ เสียงทุ้มของใครอีกคนก็หยุดทุกความเคลื่อนไหวของเธอและจันทร์หอม
“แก้ว”
“คุณสิน!” แก้วกับจันทร์หอมทำตาโตก่อนนั่งลงก้มหน้ามองพื้น
“ลุกขึ้นเถอะ” คนเป็นนายว่าอย่างอารี “ฉันมาตาม เห็นเรียกตั้งนานแล้วเธอไม่มาเสียที”
“แก้วขอโทษเจ้าค่ะ พอดีแก้วเพิ่งกลับมาจากไปช่วยเขาเกี่ยวข้าว”
“อย่างนั้นรึ แล้วนี่ทำงานเสร็จแล้วใช่หรือไม่”
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปที่เรือนดอกแก้วเถิด ฉันมีอะไรจะให้เธอดู”
“เจ้าค่ะ” แก้วรับคำก่อนจะตามหลังผู้เป็นนายไปที่เรือนดอกแก้ว โดยที่ในมือยังมีถุงบุหงารำไปซึ่งยังไม่ทันได้เอาไปเก็บอย่างที่จันทร์หอมแนะ




จันทร์หอมมองตามเพื่อนรักไปจนสุดสายตา เธอรู้มานานแล้วว่าแก้วแอบรักคุณสิน แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร เนื่องจากเห็นแก้วเจียมเนื้อเจียมตัวด้วยรู้ถึงฐานะที่แตกต่างของตนเองกับผู้เป็นนายดี อีกทั้งคิดว่าคนอย่างคุณสินก็คงไม่สนใจบ่าวไพร่อย่างแก้ว
ทว่าในตอนนี้ ยามเห็นแววตาที่คุณสินมองแก้ว จันทร์หอมก็ชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นถูกหรือไม่ บางทีการที่เธอออกปากห้ามปรามเพื่อนในครั้งนี้มันอาจจะสายเกินไปเสียแล้วก็เป็นได้ แต่ถ้าหากหนึ่งนายหนึ่งบ่าวมีใจให้กันจริง จันทร์หอมก็ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี อย่าให้มีสิ่งใดมาทำให้เพื่อนรักของเธอต้องทุกข์ใจเลย


o-----------------------o


ในอีกด้านหนึ่ง จางวางสินก็กำลังเดินนำทาสสาวไปถึงเรือนดอกแก้ว ระหว่างทางทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันสักประโยคเดียว ทำเพียงเดินตามกันไปเงียบๆ เท่านั้น เมื่อมาถึงบนตัวเรือนแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินผ่านชานระเบียงเข้าไปที่แท่นซึ่งเขาใช้เป็นบริเวณสำหรับฝึกซ้อมให้ลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเขาอยู่เป็นประจำ ตรงนั้นมีกล่องบรรจุขิมไม้สักเงาวับกล่องหนึ่งวางอยู่ สินเบี่ยงตัวไปนั่งที่เบาะก่อนแล้วเรียกให้แก้วให้เข้ามาประจำที่ จากนั้นจึงว่า



“เธอลองเปิดดูสิ”
“เจ้าค่ะ”
แก้ววางถุงบุหงาไว้ที่ด้านข้างลำตัวก่อนปลดสลักเปิดฝากล่อง ภายในกล่องไม้บุนวมกำมะหยี่สีม่วงดูสูงค่า ทว่ามันก็เหมาะสมกับเครื่องขิมโป๊ยเซียนตัวงามที่มีลายวาดเขียนอ่อนช้อยซึ่งนอนนิ่งสนิทอยู่ในนั้น
“ชอบไหม” ชายหนุ่มถาม
“ชอบเจ้าค่ะ เป็นขิมงามที่สุดเท่าที่แก้วเคยเห็นมาในชีวิตเลยเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบตามตรง แม้ว่าในชีวิตนี้เธอจะเคยเห็นเพียงขิมในเรือนเล็กของคุณสินแค่ที่เดียวก็ตาม
“ถ้าชอบก็ดีแล้ว เพราะมันเป็นของเธอ รักษาให้ดีล่ะ”
“อะไรนะเจ้าคะ!” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะละลักละล้ำถาม “คุณสิน…ให้ขิมตัวนี้แก่แก้วหรือเจ้าคะ”
“ใช่น่ะซี ทำหน้าอะไรอย่างนั้นเล่า” ชายหนุ่มว่าพลางกลั้นยิ้ม เขาไม่ได้เห็นท่าทางตื่นเต้นตกใจระคนดีใจแบบเด็กๆ เช่นนี้ของแก้วมานานมากแล้ว เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเขาคิดถึงมันเหลือเกิน
“แก้ว…แก้วขอบพระคุณคุณสินมากนะเจ้าคะ” เธอประนมมือไหว้ท่วมหัวด้วยความนอบน้อม ก่อนว่าต่อ “แต่แก้วคงรับไว้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ มันมากเกินไปสำหรับบ่าวอย่างแก้ว”
“ไม่มากเกินไปหรอก เธอเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของฉันนะ เพียงแค่ขิมตัวเดียวเท่านี้ ทำไมฉันจะให้เธอไม่ได้” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แก้วรับไว้ไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ เพราะเพียงแค่คุณสินเมตตาแก้วอย่างทุกวันนี้ ก็ถือเป็นพระคุณท่วมหัวแก้วแล้วเจ้าค่ะ”
“ถ้าเธอเห็นฉันเป็นผู้มีพระคุณ เธอก็ต้องเชื่อในสิ่งที่ฉันบอกเธอสิ รับมันไว้เถิด จะเก็บไว้ที่นี่ก็ได้ แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่มันก็ถือว่าเป็นของที่ฉันตั้งใจให้เธอ อย่าให้ฉันต้องเสียความตั้งใจเลย” ได้ฟังเช่นนั้นแก้วก็ยิ่งรู้สึกลำบากใจ หากไม่รับก็คงไม่ได้ เพราะคุณสินตั้งใจทำเพื่อเธอขนาดนี้แล้ว เธอลังเลอยู่ชั่วอึดใจแต่ในที่สุดก็ยอมรับของชิ้นสำคัญ
“เจ้าค่ะ แก้วจะรับไว้ ขอบพระคุณคุณสินมากนเจ้าคะ คุณสินช่างดีกับแก้วเหลือเกิน แก้วไม่รู้จะตอบแทบคุณสินได้อย่างไรเลย”
“ตั้งแต่นี้ไป เธอก็เล่นมันให้ฉันฟังสิ” เสียงนุ่มทุ่มเอ่ยออกมาอย่างมีความหมาย แต่แก้วหลับไม่ได้สะดุดใจ
“เจ้าค่ะ ไม่ว่าคราวใดที่คุณสินต้องการฟัง แก้วก็จะเล่นให้คุณสินฟังเจ้าทุกเมื่อเจ้าค่ะ” ทาสสาวตกปากรับคำหนักแน่น ก่อนจะถูกขอให้เล่นให้ฟังเสียตอนนี้เลย เธอจึงนั่งจัดท่าจัดทางให้ดี จากนั้นจึงหยิบไม้ตีขิมขึ้นมาตีบรรเลงเพลง



แม้เพลงขิมของแก้วจะไม่ได้ไพเราะที่สุด แต่สำหรับสินแล้ว บทเพลงที่เขาได้รับจากแก้วนั้นช่วยเติมช่องว่างในหัวใจของเขาให้ได้เต็มพอดี ไม่มาก ไม่น้อย แต่เขาสุขใจที่ได้ฟังและมองดูรอยยิ้มของแก้ว มันเป็นภาพที่งดงามที่สุดจนจางวางหนุ่มคิดว่า เขาอยากเห็นแก้วยิ้มให้เขาเช่นนี้ตราบชั่วชีวิต


สินรู้ว่าความคิดนี้เห็นแก่ตัวเพียงใด ทว่าตั้งแต่ที่คุณแม่เป็นธุระมัดมือชกให้เขาไปสู้ขอทับทิม ความรู้สึกที่อยากจะรัก อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับคนที่รักก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นจนยากจะระงับไว้ได้อีกต่อไป แต่ที่สินยังไม่พูดให้แน่ชัดก็เพราะเขาไม่รู้ว่าลูกศิษย์ตัวน้อยรู้สึกกับเขาเช่นไร ถ้าแก้วไม่ได้คิดเหมือนกัน เขาก็คงไม่รู้จะทำอย่างไร แต่หากว่าแก้วรักเขาเหมือนที่เขารักแก้ว สินก็พร้อมจะทำทุกอย่างให้ผู้เป็นแม่ยอมรับในการตัดสินใจของเขา


ขอเพียงรู้สึกนิดว่าแก้วรักเขาเท่านั้น



V
V
V
(ต่อด้านล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-03-2017 13:25:27 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2






แก้วอยู่เล่นดนตรีให้สินฟังจนโพล้เพล้ สินจึงอนุญาตให้เธอกลับไปพักผ่อนได้ ส่วนชายหนุ่มก็ถูกเรียกขึ้นไปทานอาหารบนเรือนใหญ่ ชายหนุ่มทำนายได้เลยว่าผู้เป็นแม่นั้นต้องการจะพูดอะไรกับเขา เพราะตั้งแต่กลับมา ท่านก็พูดอยู่เรื่องเดิมไม่ได้หยุด


ทั้งคู่ลงจากเรือนพร้อมกัน เมื่อเดินมาจนถึงต้นแก้วเจ้าจอมต้นใหญ่ ขณะที่แก้วกำลังจะแยกไปทางโรงครัว อยู่ๆสินก็เรียกเธอไว้อีกครั้ง เพราะเขาสังเกตเห็นสิ่งของบางอย่างในมือของทาสสาว แต่อันที่จริงเขาเห็นมันก่อนหน้านี้บนเรือนแล้วทว่าไม่ได้ถามออกไป


“ประเดี๋ยวสิแก้ว”

“เจ้าคะคุณสิ” ดวงตาสีน้ำตาลมองกลับมาที่ผู้เป็นนายอย่างใสซื่อ

“ขอถามได้ไหมว่าในมือเธอนั่นคืออะไร” ปากพูดไปดวงตาก็มองไปหยุดที่ถุงในมือเล็ก

“นี่ถุงบุหงารำไปที่แก้วทำไว้ให้คุณสินเจ้าค่ะ”

“ให้ฉันรึ?” แก้วก็นิ่งงันไปในทันทีพอถูกทวงถาม เพราะเธอเผลอลืมไปว่าตั้งใจจะเก็บเอาไว้ตามที่จันทร์หอมบอก ไม่ได้ตั้งใจให้คุณสินรู้ เมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าอึกอักมีพิรุธสินจึงยื่นมือออกมาตรงหน้า แล้วว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ส่งมาสิ”

“เจ้าค่ะ” หญิงสาวจำใจส่งถุงบุหงาให้แก่ผู้เป็นนาย


ชายหนุ่มรับไปพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง มองระบายน้อยๆของลูกไม้สีขาวที่คนให้ตั้งใจเย็บ ก่อนยกขึ้นสูดกลิ่นของดอกไม้ข้างใน กลิ่นที่สัมผัสได้นั้นเป็นกลิ่นหอมเย็น คล้ายๆจำพวกดอกโมก ดอกแก้ว ดอกราตรี แต่กลิ่นมันแปลกว่านิดหน่อย เขาจึงไม่แน่ใจว่าดอกไม้ที่แก้วใช้ทำคือดอกอะไรกันแน่


“ถุงหอมนี่ทำจากดอกอะไรรึ”

“ดอกแก้วเจ้าจอมเจ้าค่ะ มันออกดอกช่วงที่คุณสินยังไม่กลับมา แต่ออกเพียงไม่กี่ช่อ แก้วจำได้ว่าคุณสินเคยบ่นว่ามันไม่ออกดอก นี่ก็เกือบสิบปีแล้วตั้งแต่ปลูกมา แก้วดูแลมันตามหน้าที่ที่คุณสินเคยมอบให้จนมันออกดอกขึ้นมาแล้ว แต่แก้วกลัวว่าคุณสินจะกลับมาดูไม่ทัน ก็เลยเด็ดไปทำบุหงารำไปเจ้าค่ะ”


จางวางหนุ่มเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งไป เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีคนใส่ใจกับแค่ต้นไม้เพียงต้นเดียวที่ดูไม่มีความหมาย ทว่ากับแก้วนั้นมันตรงกันข้าม เขาไม่รู้เลยว่าเธอเฝ้าดูแลและรอคอยให้มันออกดอกเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขา คำพูดที่ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยซึ่งเคยบ่นไปเมื่อหลายปีก่อน คำพูดที่สินลืมไปแล้ว แต่จนบัดนี้แก้วกลับยังจำได้


สายลมยามเย็นพัดมาโชยเอื่อย ใบแก้วเจ้าจอมปัดปลิวหล่นจากขั้นใบแล้วใบเล่า แสงตะเกียงที่ถูกจุดตามบริเวณบ้านส่องสว่างกระทบดวงตาสุกสกาวของทาสสาวซึ่งมองตรงมาที่สิน มันทำให้ในหัวใจของชายหนุ่มก็รู้สึกอุ่นซ่าน ปั่นป่วน ความหวังที่อยากจะให้แก้วรู้สึกอย่างเดียวกันกับเขาเพิ่มพูนมากขึ้น แต่บางทีนั่นอาจไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วก็เป็นได้ เนื่องจากในนาทีนี้ หากแก้วไม่ได้นึกรัก สินก็จะเป็นฝ่ายสารภาพความนัยที่เก็บงำมาเนินนาน หลังจากนั้นเขาจะพยายามทำให้เธอรักเขาให้ได้ในสักวัน


ขณะที่แก้วกำลังนึกสงสัยว่าเหตุใดคุณสินจึงมองหน้าเธอแล้วยกยิ้มค้างอยู่เช่นนั้นนานนัก อุ้งมืออบอุ่นของชายหนุ่มก็เอื้อมมาคว้ามือเล็กทว่าหยาบกระด้างของแก้วเอาไว้มั่น ถึงแม้นว่าแก้วจะตกใจจนเผลอสะบัด แต่มือที่กุมไว้ก็ยังไม่หลุดออก


“คุณสินทำอะไรเจ้าคะ ปล่อยเถิดเจ้าค่ะ หากผู้ใดมาเห็นเข้าคงไม่ดีแน่ๆเจ้าค่ะ”

“ใครจะเห็นก็ช่างปะไร ปล่อยให้เขาเห็นไปสิ” นี่เป็นครั้งแรกที่แก้วรู้สึกว่านายของตนเอาแต่ใจเช่นนี้

“ไม่ได้นะเจ้าคะ หากคุณนายรู้เข้าแก้วต้องแย่แน่ๆเจ้าค่ะ” หญิงสาวว่าอย่างร้อนรน

“ไม่มีใครว่าหรอก” สินเงียบไปครู่ ก่อนเปลี่ยนใจแล้วว่า “ไม่สิ หากคุณแม่รู้ คุณแม่ก็อาจจะเอ็ดเอา แต่เธอไม่ต้องกลัวนะ มีฉันอยู่ทั้งคน”

“ได้ที่ไหนกันเล่าเจ้าคะ อีกอย่าง หากคุณทับทิมรู้ เธอคงจะเสียใจนะเจ้าค่ะ” สินกระชับมือแน่นขึ้นแล้วดึงแก้วเข้ามาใกล้

“ช่างทับทิมเถอะ เขาไม่ได้เป็นอะไรกับฉันเสียหน่อย”

“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”

“ฉันก็หมายความตามที่พูด”

“เอ่อ…แต่คุณสินจะแต่งงานกับคุณทับทิมแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ”

“ใครบอกกัน” สินถาม

“คุณนายบอกทุกคนเช่นนั้นเจ้าค่ะ” แก้วว่าตามที่ได้ยินมา

“ถึงคุณแม่ว่าอย่างนั้น แต่ฉันไม่ได้เห็นด้วยอย่างที่ท่านบอกนี่ คนที่ต้องแต่งงานคือฉัน เพราะฉะนั้นคนที่ฉันจะแต่งด้วยย่อมเป็นคนที่ฉันรักเท่านั้น ขอเพียงคนคนนั้นยอมบอกว่ารักฉัน ฉันจะทำทุกอย่างให้เราได้อยู่ด้วยกัน แม้จะต้องขัดใจคุณแม่หรือใครๆก็ตาม”

“…” ได้ยินคำพูดแสนประหลาด กับท่าทางและสายตาที่คุณสินแสดงออกต่างไปจากทุกที แก้วยิ่งทำตัวไม่ถูก ทว่าในตอนนี้เธอยืนนิ่งและไม่สะบัดมือชายหนุ่มออกอีกแล้ว

“ว่าอย่างไร เธอรักฉันหรือเปล่าแม่แก้ว”

“หมะ…หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ” แก้วงงเป็นไก่ตาแตก ปรกติเธอมักจะถูกคนรอบข้างชมว่าเป็นเด็กหัวไว แต่ในนาทีนี้เธอกลับไม่เข้าใจ อันที่จริงแล้วเธอไม่อยากเชื่อมากกว่าว่าจู่ๆคุณสินจะพูดเช่นนี้

“นี่เธอยังไม่เข้าใจอีกรึ ทั้งที่เธอเป็นลูกศิษย์ที่เก่งที่สุดของฉันเชียวนา” สินบีบคลึงมือน้อยของลูกศิษย์ ก่อนจะก้มลงจูบที่หลังมือนั้นแผ่วเบา แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก  “คนที่ฉันอยากแต่งงานและอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตคือเธอแม่แก้ว”


เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นช่างกะทันหันเสียจนแก้วตั้งตัวไม่ติด ในชีวิตนี้เธอไม่เคยอาจเอื้อมหวังว่าจะได้ยินคำรักจากปากคุณสินเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว และแก้วก็รู้สึกมีความสุขที่สุดในชีวิต มีความสุขจนหลงลืมไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง น้ำตาหยดใสกลั้นออกมาด้วยภายในมันตื้นตันจนอยากอธิบายเป็นคำพูด จนตอนนี้เธอไม่อาจมองเห็นดวงหน้าที่เธอรักของคุณสินได้ถนัดตาเลย


สินเองก็ไม่รู้จักทำอย่างไร เขาตัดสินใจจากรอยยิ้มที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับหยดน้ำตาของหญิงสาว และคิดเอาเองว่าแก้วนั้นคงมีใจให้กับเขาเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มตระกองกอดร่างแน่งน้อยเอาไว้แนบอก และช่วยเกลี่ยซับน้ำตาที่ไหลรินลงมาไม่ขาดสายจนแห้งเหือด ก่อนกระซิบคำสั้นๆ ณ ใต้ต้นแก้วเจ้าจอมใหญ่นั่นเอง


ฉันรักเธอ










ตอนที่นาคินตื่นขึ้นมาอีกครั้งเขาพบว่าตัวเองยังอยู่ในเรือนดอกแก้วที่เดิม โดยตัวเขานอนราบอยู่บนพื้น ข้างกายมีสนธยาค่อยพัดอยู่ใกล้ๆไม่ห่าง เมื่อเห็นว่านาคินรู้สึกตัวแล้วพยายามลุกขึ้น สนธยาก็เลิกพัดแล้วช่วยพยุงนาคินขึ้นนั่ง


“เป็นยังไงบ้าง”

“ปวดหัวครับ” นาคินว่า

“นายเป็นอะไรน่ะ อยู่ๆก็วูบไป ฉันตกใจแทบแย่ ไปหาหมอไหม” สนธยาถามด้วยความเป็นห่วง แม้นาคินจะหลับไปไม่นานเท่าไหร่ แต่สนธยาก็ไม่อาจวางใจ

   “คงไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ ผมขอขึ้นไปพักบนห้องดีกว่า อีกเดี๋ยวก็คงดีขึ้น”

   “เอาอย่างนั้นเหรอ” คนที่ยังเป็นห่วงก็ไม่วายถามซ้ำ

   “ครับ” นาคินยืนยันพร้อมกับยิ้มบาง

   “งั้นก็ตามใจ แต่ถ้าไม่สบายตรงไหนก็รีบบอกแล้วกัน”

   “ขอบคุณนะสน ขอบคุณที่ช่วยอยู่เป็นเพื่อน เมื่อกี้ก็ด้วย”

   “เป็นใครก็ต้องอยู่ๆแล้วล่ะ จู่ๆก็เป็นลมไปแบบนั้น ฉันตกใจแทบแย่ แถมพูดอะไรแปลกๆอีก เหมือนนั่นไม่ใช่นายเลยสักนิด”

   “อย่างนั้นเหรอครับ” นาคินทำหน้าเจื่อน

   “ทำไม มีอะไรหรือไง”

   “จะว่ามีก็มีนั่นแหละ แต่ผมไม่รู้จะเริ่มยังไง…” ความฝันที่เคยพบเจอในยามหลับ บัดนี้ตามมามีผลกระทบกับนาคินแม้กระทั่งยามที่ตื่น เขาอยากบอกเรื่องนี้ อยากเล่าทั้งหมดให้สนธยาฟัง แต่ก็ยังรู้สึกวิงเวียนกับสิ่งที่ฉายในสมองเมื่อครู่ ทั้งยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เรียบเรียงให้ตัวเองเล่าออกมาก็ไม่ได้ ในหัวมันมีเรื่องราวมากมากวิ่งวุ่นวายอยู่เต็มไปหมด ตอนนี้จึงคิดอะไรไม่ออก เหมือนกับหัวจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆให้ได้

   “เอาเถอะ” เห็นหน้าตาซีดเซียวของเจ้าลูกศิษย์ตัวโต สนธยาก็ไม่อยากจะซักไซ้ไล่เรียงอีกต่อไป “เอาไว้พร้อมเมื่อไหร่ก็พูดแล้วกัน”

   “รอผมหน่อยนะครับ” นาคินคว้ามือเรียวของนักดนตรีหนุ่มมาแนบแก้ม “รับรองว่าผมจะบอกสนทั้งหมดเลย”

   “อ…อืม” แม้จะรู้สึกกระดากอายในใจ แต่สนธยาก็ปล่อยให้นาคินจับมือตัวเองแนบแก้มอยู่เช่นนั้นสักพัก ก่อนดึงออกมา “เราเก็บของแล้วกลับขึ้นไปบ้านกันเถอะ นายจะได้พักผ่อน”

   “ครับ”


   นาคินช่วยยกกล่องขิมไปเก็บในห้องเล็กก่อนลงจากเรือนดอกแก้วไปพร้อมๆกับสนธยา โดยลืมนึกถึงสิ่งของบางอย่างที่ตัวเองดึงออกมาจากท้องขิมก่อนที่จะหมดสติไปเสียสนิท


   เมื่อกลับเข้าห้องส่วนตัว สนธยาจึงหยิบเอาถุงผ้าลูกไม้เก่าคร่ำคร่าออกมาจากกางเกง เขาหยิบมาออกจากมือของนาคินตอนที่เจ้าตัวหมดสติ ดวงตาสีรัตติกาลมองเศษผงสีน้ำตาลที่แหลกละเอียดอยู่ภายในอย่างครุ่นคิด ไม่รู้ทำไม ในนาทีแรกที่เขาเห็นถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับถุงผ้าชิ้นเล็กนี้นัก เขาพิจารณาอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะนำมันไปวางไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วมองมันอยู่อย่างนั้นนิ่งๆ ยามเมื่อมอง สนธยารู้สึกว่าเขาได้ลืมเลือนบางสิ่งที่สำคัญไป



แล้วสิ่งสำคัญที่หลงลืมไปนั้น…คืออะไรกันนะ




‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧


มาแล้วจ้าาาา  :katai4: :katai4:

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นและขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
เจอกันตอนหน้าจ้า

ละอองฝน

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
ตอนที่คุณสนสารภาพรักกับแม่แก้วใต้ต้นแก้วเจ้าจอมบรรยากาศดูอ่อนหวานมากๆ เลยค่ะ แต่ก็น่ากลัวว่าอีกด้านหนึ่งจะมีคุณทับทิมยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคิดหาวิธีทำร้ายแม่แก้วลับหลังคุณสนอยู่ด้วยจังเลย ( . .  ')

ออฟไลน์ Cream A

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
พาร์ทอดีตเป็นอะไรที่ไม่กล้าคาดเดาเลย ไม่รู้แต่ะละคนจะมีจุดจบยังไง

แต่พาร์ทปัจจุบันเชียร์ให้พี่สนอยู่ดูแลคินต่อ น้องกำลังสับสนอยู่ พี่สนต้องดูแลอย่างใกล้ชิดน้าา


ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
นาคินนี่คงเป็นแม่แก้วสินะ
ความรักของนายกับบ่าวแทบจะเป็นไปไม่ได้ คงจบไม่สวย

ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1037
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
พี่สนคือคุณสิน คินคือแก้วในอดีตชาติแน่ๆ
แล้วทำไมคินถึงระลึกมองเห็นได้ แต่พี่สนไม่ล่ะ
แล้วในอดีตคุณสินกับแก้วเป็นยังไงบ้าง

คุณละอองฝนสู้ๆนะคะ จะเป็นกำลังใจให้และติดตามเสมอค่ะ :mew1:

 :pig4: :L2:

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
ชักน่าเป็นห่วง
นาคินเห็นอดีตมีไรเป็นวูบ ไม่ก็จิตหลุดตลอด


สู้ๆ นะจ้ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อ่านทั้งกลัวว่าจะเสียน้ำตาให้แม่แก้วกับคุณสินเป็นกระบุง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2



๑๒.







   หลังจากเหตุการณ์เมื่อบ่ายวันนั้นสนธยาสังเกตเห็นว่านาคินดูเซื่องซึมไป บางครั้งก็มักจะออกมานั่งเหม่อลอยอยู่ที่ศาลาท่าน้ำเพียงคนเดียวเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ความจริงเขาก็อยากเข้าไปแล้วถามตรงๆว่าอีกฝ่ายมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหนักหนา แต่ด้วยความที่เป็นคนปากหนักสนธยาจึงไม่ยอมถาม เพราะคิดในอีกแง่หนึ่ง นาคินก็เป็นคนพูดกับเขาเองว่าถึงเวลาแล้วจะเล่าให้ฟังทั้งหมด ดังนั้นสนธยาก็คงต้องปล่อยให้เลยตามเลย แม้จะรู้สึกอยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม


   กระทั่งถึงวันที่ครอบครัวของนาคินแวะมาเยี่ยมที่บ้านช่วงหยุดยาวสามวันชายหนุ่มจึงดูแจ่มใสขึ้นบ้าง นอกจากนั้นคชินทร์พ่อของนาคินยังชวนให้มนตรีไปพาคนในครอบครัวไปเที่ยวทะเลกับตนด้วย มนตรีเองก็เห็นด้วยกับเพื่อน ทว่าเขามีนัดอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วจึงหมดโอกาสรับข้อเสนอ ถึงอย่างนั้นคชินทร์ก็ยังไม่ไม่ยอมลดละ เขาขออนุญาตพามัทนากับสนธยาไปด้วยกัน ด้วยให้เหตุผลว่าคนยิ่งเยอะยิ่งสนุก มนตรีเห็นว่าไม่ได้เสียหายอะไรจึงอนุญาตให้ลูกๆไปได้


   ในตอนแรกสนธยาอิดออดนิดหน่อย ทำท่าจะไม่ไปเสียอย่างนั้น แต่นาคินก็เข้าไปพันแข้งพันขาขอร้องให้ไป สนธยาจึงยอมใจอ่อน ผิดกับมัทนาที่พอรู้ว่าจะได้ไปเที่ยวทะเล เธอก็หายผลุบเข้าไปในห้องเพื่อเก็บกระเป๋าทันที สุดท้ายเวลายังไม่พ้นช่วงสายของวันสักเท่าไหร่ทุกคนก็พร้อมเดินทาง การไปเที่ยวครั้งนี้มีจึงสมาชิกในทริปจำนวน 7 คน คือ คชินทร์ แพรไหม นาคิน สนธยา มัทนา และนาวินกับมิรินน้องชายน้องสาวของนาคินด้วย


   ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงสามชั่วโมงทุกคนก็ถึงบ้านพักตากอากาศที่หัวหิน บ้านหลังนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองหัวหินไม่มากนัก เพราะขับรถผ่านเขาตะเกียบมานิดหน่อยก็ถึง แม้จะเป็นบ้านส่วนบุคคลแต่ทางเข้าก็ไม่ได้สลับซับซ้อนเท่าไหร่ ระหว่างสองข้างทางตั้งแต่ปากทางเข้าจะมีต้นสนขึ้นเรียงรายยาวไปจนถึงรั้วบ้าน


   ส่วนตัวบ้านสีขาวสะอาดสร้างด้วยไม้มีสองชั้น ด้านบนมีระเบียงยื่นยาวออกไปมองเห็นทิวทัศน์หน้าหาดชัดเจน รอบๆบริเวณบ้านมีต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกเอาไว้แม้ไม่เป็นระเบียบมากนักแต่ก็ไม่ได้รกหูรกตา คะเนด้วยสายตาก็รู้ว่าเจ้าของหมั่นดูแลเป็นอย่างดี คชินทร์ก็เล่าให้ฟังว่านี่เป็นบ้านคุณตาของนาคิน แต่ตอนนี้ท่านเสียไปแล้ว ดังนั้นแม่ของนาคินจึงจ้างคนสวนดูแล นานๆครั้งจึงจะได้กลับมาพัก


สนธยามองบรรยากาศโดยรอบแล้วอมยิ้มออกมาบางๆ เพราะรู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ทว่าขณะที่กำลังชื่นชมความร่มรื่นของตัวบ้าน คุณป้าแพรไหมแม่ของนาคินก็บอกให้เด็กๆเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้อง


ห้องนอนในบ้านมีสามห้อง ห้องแรกเป็นห้องใหญ่ถูกจับจองโดยพ่อแม่และเจ้าตัวเล็กอีกสองคน ส่วนอีกห้องเป็นของมัทนาคนเดียวเพราะเธอเป็นผู้หญิงจะให้นอนรวมกับพี่ชายก็คงไม่เหมาะเท่าไหร่ ดังนั้นห้องสุดท้ายจึงตกเป็นของนาคินและสนธยาไปโดยปริยาย


ตอนแรกสนธยาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เนื่องจากเขากับนาคินก็เคยนอนด้วยกันมาแล้วเมื่อคราวที่อีกฝ่ายป่วย ทว่าเมื่อเขามาอยู่ในห้องด้วยกันสองคน ระหว่างที่สนธยากำลังเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ นาคินที่ลงไปนอนกลิ้งบนเตียงจนพอใจแล้วก็เปลี่ยนอิริยาบถมานอนตะแคงมองซ้ำยังเอาแต่จ้องไม่วางตา จนสนธยาต้องหันไปทำตาขวางใส่อย่างเหลืออด


“ทำหน้าอะไรอย่างนั้นครับ” นาคินว่าพลางกลั้วหัวเราะ

“ก็แล้วนายจ้องฉันทำไมล่ะ” สนธยาว่ากลับ

“รู้ได้ไงครับว่าผมจ้อง”

“ก็...” คุณครูคนเก่งอึกอัก ยังไม่ทันตอบนาคินก็พูดต่อ

“แหนะ! แอบมองผมอยู่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ” ไม่ว่าเปล่า มือหนายังชี้ไปที่กระจกในตู้เสื้อผ้าเพื่อบอกให้รู้ว่าเขาเห็นแต่แรกว่าสนธยามองจากตรงนั้น

“ไม่ใช่นะ…โว้ย!!” มือบางยกขึ้นขยี้หัวอย่างขัดใจ แก้มสองข้างขึ้นสีเรื่อนิดๆ นาคินคาดว่าเจ้าตัวคงจะอายที่ถูกจับได้ แต่อีกใจก็ยังคิดว่าไม่เห็นจะน่าอายตรงไหน

“อย่าโมโหสิครับ แค่ผมรู้ทันเท่านี้เอง”

“นาคิน! หยุดพูดนะ” สนธยาว่าอย่างเหลืออด


ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาออกจะเป็นคนที่เยือกเย็น ไม่ยีหระสนใจอะไรทั้งนั้น แต่พอตอนนี้เมื่อถูกไอ้ตัวแสบยั่วประสาทเข้าหน่อย สนธยาก็ยากจะวิ่งเข้าไปบีบคอแล้วเขย่าแรงๆจนกว่านาคินจะหยุดหัวเราะ หรือไม่ก็หยุดมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ เพราะสายตาแบบนั้นมันไม่ดีต่อหัวใจของเขาเอาเสียเลย


“ฮ่าๆๆ ทำไมสนน่ารักนักนะ แล้วอย่างนี้จะให้เรียกพี่ได้ไงกัน

“ไอ้…ไอ้เด็กปีนเกลียว กวนประสาท” พอพูดจบสนธยาก็เดินหนีออกจากห้อง ทิ้งให้นาคินนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวในห้อง

“อย่าเพิ่งไปสิครับ รอด้วย” จากนั้นคนตัวสูงจึงวิ่งตามอีกฝ่ายลงไปข้างล่าง


เมื่อลงมาถึงข้างล่างนาคินก็เห็นแม่กำลังเตรียมตัวไปตลาดสดในหัวหิน เนื่องจากคืนนี้จะมีปาร์ตี้บาร์บีคิวเล็กๆริมหาด ดังนั้นแม่จึงตั้งใจออกไปหาซื้ออาหารทะเลสดๆมาเป็นวัตถุดิบเอาไว้ประกอบอาหารในตอนเย็น พ่อเป็นคนขับรถให้เหมือนเดิม มัทนาก็ของติดตามไปช่วยซื้อของด้วย ดังนั้นนาคินกับสนธยาจึงต้องอยู่ดูแลนาวินกับมิรินที่บ้าน เพราะน้องๆอยากเล่นน้ำทะเลจนใจแทบขาดอยู่รอมร่อ


“สนอยากได้อะไรไหมลูก” แพรไหมถามขึ้น

“ไม่ครับคุณป้า” สนธยายิ้มบางให้กับความใจดีของเธอ ก่อนปฏิเสธด้วยความเกรงใจ

“ถ้าอย่างนั้นป้าฝากดูน้องๆด้วยนะจ๊ะ จะฝากเจ้าคินคนเดียวป้าก็เป็นห่วง” เพราะเธอรู้ว่าลูกชายคนโตของเธอไม่ค่อยถูกโรคกับน้ำเท่าไหร่ พูดง่ายๆก็คือแพรไหมยังคงฝังใจเรื่องที่นาคินฝันร้ายว่าจมน้ำตั้งแต่เด็กๆ แม้มันจะผ่านมานานมากแล้ว แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ใครจะรู้

“ทำไมล่ะครับแม่ ผมโตแล้วนะ” เจ้าคนตัวโตเดินไปกอดอ้อนแม่นัวเนียอยู่พักหนึ่ง ก่อนถูกพ่อแท้ๆไล่ให้ออกห่างเพราะโรคห่วงภรรยากำเริบ

“ไปเลยเจ้าคิน ไปดูน้องโน้น วิ่งออกไปที่หาดกันหมดแล้ว”

“โธ่…พ่อ อย่าขี้หวงไปหน่อยเลยครับ อยู่กับแม่ทุกวัน”

“โตแล้วนะเรา ยังจะมาอ้อนแม่เป็นเด็กๆไปได้ อายพี่สนกับน้องพิมเขาหน่อยสิ” ผู้เป็นแม่ว่ายิ้มๆพลางพยักพเยิดไปทางที่สนธยากับพิมยืนอยู่ นาคินหันไปมองทางนั้นก่อนปล่อยแม่จากอ้อมแขน

“ไม่อ้อนแม่แล้วก็ได้ครับ” ว่าจบก็เดินไปหาสนธยาแล้วคว้ามือเรียวของนักดนตรีมากุมไว้ ก่อนฉุดให้เดินตามไป “ไปดูนาวินกันมิรินดีกว่าครับพี่สน”

“อ…อืม” สนธยามองพวกผู้ใหญ่สลับกับมือที่ถูกจับเอาไว้ อยากจะสะบัดออกจากการเกาะกุมทว่าเขาก็ไม่กล้า ดังนั้นจึงปล่อยให้นาคินจูงออกไปหาน้องฝาแฝดที่หาด

“ดูสิคุณ อยู่ที่ไหนลูกชายคุณก็มีคนให้อ้อนหมด” คชินทร์บอกกับภรรยา

“ดีนะคะที่คินสนิทกับสน ตอนแรกฉันก็กลัวว่าลูกจะอึดอัดที่ไปอยู่บ้านคุณมนตรี”

“ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ถึงพี่สนจะดูเงียบๆแบบนั้นแต่เขาก็ใจดี อีกอย่างพี่สนก็สนิทกับพี่คินมากๆเลยค่ะ แล้วในครอบครัวก็ชอบพี่คินทุกคน คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ” มัทนาเอ่ยขึ้นหลังจากที่แพรไหมพูดจบ

“ขอบใจหนูมากนะพิม งั้นเราไปซื้อของกันนะคะ ไหนหนูพิมอยากกินอะไรจ๊ะ เดี๋ยวป้าพาไปเลือกนะ”

“ขอบคุณค่ะ” มัทนายิ้มหวานเป็นการขอบคุณ ก่อนถูกจูงมือไปขึ้นรถ จากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางเข้าตัวเมืองหัวหิน ทิ้งให้คนที่เหลืออยู่เฝ้าบ้านไปตามระเบียบ








ตอนมาถึงที่หาดนาคินเห็นนาวินกับมิรินนั่งเล่นกองทรายอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงจูงมือพาสนธยาไปนั่งกับเด็กๆด้วย แต่สนธยาก็ดึงมือออกจากการเกาะกุมเสียก่อน


“ไม่ต้องจับก็ได้มั้ง”

“ก็ผมกลัวสนไม่มาด้วยกันนี่ครับ”

“เหตุผลอะไรไร้สาระ” สนธยาบ่นพึมพำ แต่ก็ยอมเดินเคียงรุ่นน้องผู้ตัวโตกว่ามาจนถึงจุดที่เด็กๆเล่นกันอยู่ นาคินยิ้มกับเสียงบ่นนั้นแต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพราะเท่านี้เขาก็แทบหาเห็นผลให้ตัวเองไม่ได้แล้วว่าทำไมต้องถึงเนื้อถึงตัวกับอีกฝ่าย


โชคดีที่วันนี้แดดไม่ร้อนมากแล้วจะเป็นช่วงบ่ายก็ตาม ดังนั้นทุกคนจึงนั่งอยู่บนหาดโดยไม่ต้องร้องหาร่มได้ แต่มันก็มีข้อเสียอยู่บ้าง เนื่องจากปลายฝนต้นหนาวแบบนี้บางทีก็กลัวว่าฝนจะตกลงมาทำลายบรรยากาศเหมือนกัน ใครใครก็รู้ว่าเด็กๆที่มาทะเลทุกคนก็อยากเล่นน้ำกันทั้งนั้น ถ้าหากว่าฝนเกิดตกขึ้นมาแล้วล่ะก็ พรุ่งนี้แม่กับพ่อคงไม่ยอมให้สองแฝดเล่นน้ำเป็นแน่ เพราะกลัวแมงกะพรุนจะขึ้นมาเกยตื้นในช่วงเวลาแบบนั้น


สนธยามองน้องชายและน้องสาวของนาคินเล่นก่อปราสาททรายโดยดีไม่มีการทะเลาะเบาแว้งกันสักนิด เขาเองก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงมักไม่ค่อยเล่นด้วยกันได้นานนัก ยิ่งเป็นเด็กในวัยเดียวกันยิ่งแล้วใหญ่ ขนาดเขากับมัทนายังเคยทะเลาะกันบ่อยๆ แม้จะไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากก็ตาม


มัวแต่คิดอะไรเสียเพลิน อยู่ๆมือเล็กของเด็กหญิงก็สะกิดที่ต้นแขน ใบหน้าเรียบติดจะหวานหันไปหาพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


“มีอะไรครับมิริน”

“มาเล่นด้วยกันสิคะพี่สน” สาวน้อยแก้มแดงว่าอายๆ

“เล่นอะไรดีล่ะครับ” สนธยาถามกลับ

“วินอยากเล่นฝังพี่คินค่ะ พี่สนมาช่วยกันนะคะ”

“ก็ได้ครับ” เมื่อมองแววตาออดอ้อนของเด็กน้อยสนธยาก็ทำใจปฏิเสธไม่ลง เขาจึงขยับลุกขึ้นไปนั่งใกล้ๆกับร่างของเจ้าลูกศิษย์ตัวโต

“สนก็เอากับเด็กๆด้วยเหรอ” นาคินถามยิ้มๆ

“ก็มิรินเขาชวนนี่”

“เป็นพี่ชายที่น่ารักจังนะครับ”

“พูดมากอีกแล้วนะ นอนนิ่งๆไปเลย” สนธยาไม่ว่าเปล่า เขายังใช้ถังใบเล็กตักทรายมาฝังบนตัวของนาคินเป็นการแก้แค้นอีกด้วย

“ใช่ค่ะ พี่คินนอนนิ่งๆ” มิรินสนับสนุน

“ฝังแล้วทำนูนๆตรงอกด้วยนะครับพี่สน วินอยากทำไอออนแมน” นาวินบอกอย่างนึกสนุก

“ได้สิครับ” สนธยาให้ไปยิ้มให้น้องชายตัวน้อย ก่อนหันมายิ้มร้ายให้คนที่กำลังจะถูกฝังตรงหน้า

“ทำหน้าเหมือนมีแผนร้ายเลยนะครับ”

“หึ” สนธยาแค่นยิ้มมุมปากทีหนึ่ง จากนั้นจึงตั้งใจโกยทรายฝังร่างสูง


นาคินมองอีกฝ่ายเล่นสนุกกับเด็กๆแล้วยิ้ม เขาไม่เคยเห็นด้านนี้ของสนธยาเลย ด้านที่เล่นสนุกเป็นเด็กเช่นนี้ เขาจึงพิจารณาคนตัวเล็กกว่าเงียบๆ แล้วอยู่ๆความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง



ถ้าอยากรู้จักคนคนนี้ให้ลึกซึ้งกว่าที่เป็น เขาควรจะต้องทำอย่างไรกันนะ



   หลังจากเล่นกันจนพอใจ เด็กๆก็ถูกเรียกให้ไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อมาย่างบาร์บีคิวทานพร้อมกัน นาคินที่โดนน้องๆรวมถึงสนธยาแกล้งจนตัวมีแต่ทรายได้รับสิทธิ์ให้ใช้ห้องน้ำก่อน ระหว่างนั้นสนธยาจึงออกไปยืนรับลมที่ระเบียง ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นความโชคดีได้ไหม แต่ห้องที่มีระเบียงเชื่อมต่อให้เห็นชายหาดกลับเป็นห้องนี้แทนที่จะเป็นห้องใหญ่ สองหนุ่มจึงได้พักในจุดที่วิวดีที่สุดของบ้านไป


   เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลยืนเท้ามือกับระเบียง ปล่อยความรู้สึกไปกับเสียงคลื่นซัดฝั่ง ปล่อยให้ลมทะเลโชยพัดผิว  ดวงตาก็จ้องมองแสงอาทิตย์ยามอัสดงเป็นสีส้มอมแดงสวย เขาร้องเพลงออกมาเบาๆอย่างอารมณ์ดี โดยไม่ทันรู้ตัวว่ามีคนมาหยุดยืนอยู่ด้านหลัง


   “นอกจากเล่นดนตรีเก่งแล้ว เสียงก็ดีด้วยนะครับ”


   “คิน” ตอนหันมา ใบหน้าเรียวเกือบปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้าง คนตัวเล็กกว่าจึงช้อนตาขึ้นมอง “มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

   “มาตั้งแต่นกขมิ้นเริ่มบินออกมาแล้วครับ” เพราะสนธยาฮัมเพลงนกขมิ้นเป็นเพลงแรก เจ้าตัวจึงรู้ว่านาคินยืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว

   “เหรอ” พูดได้แค่นั้น เพราะอีกฝ่ายยังยืนชิดไม่ผละตัวออกห่าง คนสองคนอยู่ใกล้กันมากจนสนธยารู้สึกแปลกๆ มันประหม่าขึ้นมาอย่าไรบอกไม่ถูก ทั้งที่ไม่ควรรู้สึกเช่นนี้แท้ๆ

“ครับ” นาคินตอบพร้อมจุดยิ้ม คนตัวโตมองสำรวจไปทั่วใบหน้ามน ในทีแรกก็เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อมาหยุดที่ดวงตาสีรัตติกาล ในหัวใจของนาคินก็กระตุกวูบก่อนเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ และหนักหน่วงขึ้นทุกที


   สนธยาเองก็ขยุกขยิกตัวไปมาอยู่ไม่สุข อยากเดินหนีจากสถานการณ์นี้เป็นที่สุด ทว่าก็ถูกดึงดูดด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มทรงเสน่ห์ จนยากจะถอนสายตาแล้วเดินจากไปได้ แต่สุดท้ายเขาก็รวบรวมสติแล้วขอให้นาคินถอยห่าง


”ช่วยหลีกหน่อย…ได้ไหม”

“อ่ะ…ครับ” คนตัวโตยอมผละไปง่ายๆเช่นทุกที สนธยาจึงรีบกลับเข้าห้องแล้วหลบไปอาบน้ำ


หลังจากที่อีกฝ่ายเดินหายลับจากสายตาไปแล้ว นาคินกลับเป็นคนที่ต้องมายืนแทนที่ที่สนธยายืนอยู่เมื่อครู่ ร่างสูงยืนนิ่งแล้วครุ่นคิดถึงความรู้สึกของตัวเองในสมอง เพราะตอนนี้เขากำลังเกิดอาการสับสนอย่างหนัก และเรื่องสับสนที่ว่าก็คือ



ความรู้สึกที่เขามีต่อสนธยา



ความรู้สึกชื่นชม อยากที่จะอยู่ใกล้ อยากแกล้งเพราะต้องการเห็นอีกฝ่ายในแบบต่างๆ อยากดูแล และเป็นห่วงเวลาสนธยาไม่สบายกายไม่สบายใจ ทั้งหมดที่คิดถึงนั้น บางทีมันอาจช่วยยืนยันได้แล้วว่า ความรู้สึกที่มีมันไม่ใช่แค่ความชอบอย่างคนธรรมดา ทว่าอาจเป็นความรู้สึกชอบอย่างที่ต้นไผ่เพื่อนของนาคินเคยบอกไว้ก็เป็นได้


นาคินเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนรัก เพียงแต่ที่ผ่านมาคนรักของเขาเป็นผู้หญิง ถ้าลองพิจารณาดูดีๆไอ้ความรู้สึกที่มีต่อสนธยาก็มีส่วนคล้ายคลึงอยู่เหมือนกัน แค่มีความชื่นชมผสมอยู่มากกว่าเท่านั้น


นาคินไม่ได้สนใจหากว่าตัวเองเกิดชอบผู้ชายด้วยกันเองขึ้นมา แต่ที่เขากลัวคือ ถ้าเขายอมรับว่าชอบสนธยาจริงๆ อีกฝ่ายอาจปฏิเสธและตีตัวออกห่างไปก็เป็นได้ เพราะเท่าที่ผ่านมาสนธยาก็ดูจะหมั่นไส้เขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้ารู้ว่าเขาคิดกับเจ้าตัวอย่างไม่บริสุทธิ์ใจ คุณครูพี่สนของเขาจะว่าอย่างไรกันนะ…





V
V
V
(ต่อด้านล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2016 20:32:00 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2







   ปาร์ตี้บาร์บีคิวริมหาดเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เพราะส่วนใหญ่ครอบครัวของนาคินค่อนข้างร่าเริงและอารมณ์ดีเป็นทุนเดิมกันอยู่แล้ว ระหว่างทานอาหารกันลุงคชินทร์ก็มีเรื่องเล่าให้ฟังมากมาย โดยส่วนใหญ่จะย้อนกันไปตั้งแต่สมัยที่ลุงคชินทร์ยังเรียนอยู่ ทั้งพ่อของสนธยาและลุงคชินทร์ต่างก็มีวีรกรรมแสบๆที่ทำร่วมกันมาหลายอย่าง ช่วยเรียกเสียงหัวเราะให้ทุกคนบนโต๊ะได้เป็นอย่างดี


    เล่าไปเรื่อยๆก็เริ่มโยงมาถึงเรื่องสมัยเมื่อนาคินยังเด็ก สนธยาก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองเคยมาที่บ้านพักตากอากาศหลังนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว เห็นลุงคชินทร์บอกว่าตอนนั้นมัทนากับเจ้าแฝดยังไม่เกิด ครอบครัวสองครอบครัวนัดมาเที่ยวกันเหมือนครั้งนี้ เด็กน้อยที่ต้องคอยดูแลในตอนนั้นจึงมีแค่สนธยากับนาคินสองคนเท่านั้น


   “ป้าก็ไม่คิดเลยนะว่าพวกลูกๆจะสนิทกัน เพราะถึงตอนเด็กๆจะเคยวิ่งเล่นด้วยกันอยู่บ้าง แต่มันก็นานมากแล้ว” แพรไหมว่าขณะแกะกุ้งให้ลูกชายคนเล็ก

   “นั่นสิ แต่นึกถึงตอนนั้นก็ขำเสียไม่มี เจ้าคินตัวเล็กกระจิดริดต่างกับสน ทั้งที่อายุห่างกันปีเดียวแท้ๆ แม่ไหมยังเป็นกังวลอยู่เลย กลัวเจ้าคินจะไม่โต ให้ดื่มนมแทนน้ำเชียวล่ะ” คชินทร์กล่าวเสริม

   “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พี่สนก็ต้องดื่มนมเยอะๆนะครับ” นาวินหันมาบอกกับสนธยาทั้งที่ในปากเคี้ยวกุ้งตุ้ยๆ

   “ทำไมล่ะครับ” สนธยาถามกลับ

   “ก็พี่สนตัวเล็กกว่าพี่คินแล้วนี่ครับ” ทุกคนหัวเราะร่วนไปกับคำตอบของเด็กน้อย แต่มัทนากลับทำให้สนธยาต้องหน้ามุ่ยลงไปกว่าเดิม

   “พี่คินคงไม่สูงขึ้นแล้วล่ะค่ะน้องวิน”

   “ทำไมล่ะครับพี่พิม”

   “ก็พี่เค้าแก่เลยวัยมาแล้วนี่คะ” ว่าจบทุกคนก็หัวเราะครืนอีกคำรบ สนธยาได้แต่ชี้หน้าคาดโทษน้องสาวของตัวเองก่อนทานอาหารต่อ


   หลังจากมื้ออาหารผ่านไป ทุกคนก็นั่งคุยกันต่ออีกสักพัก ก่อนช่วยกันเก็บของแล้วแยกย้ายไปพักผ่อน เนื่องจากวันรุ่งขึ้นคชินทร์สัญญาว่าจะพาขับรถไปเที่ยวหลายที่ ดังนั้นพรุ่งนี้จึงต้องตื่นนอนกันแต่เช้าสักหน่อย


   เมื่อสนธยาอาสาช่วยแพรไหมล้างจานอยู่ในครัวจนเสร็จก็เดินขึ้นห้องนอน ทว่าพอมาถึงใครอีกคนที่ควรจะอยู่ในห้องแต่แรกกลับไม่อยู่ ขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะเดินไปดูหรือนอนก่อนดี นาคินก็โผล่หน้าเข้ามาทางประตูเชื่อมออกไประเบียง


   “สนจะนอนหรือยังครับ”

   “ก็กำลังจะนอน” สนธยาตอบ

   “ง่วงแล้วเหรอครับ” นาคินถามอีกคำ

   “ก็…ยังไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่หรอก” ไม่รู้ว่าจะโกหกไปทำไมในเมื่อสนธยายังไม่รู้สึกง่วงจริงๆ ตามปรกติแล้วเขานอนดึกกว่านี้มาก อีกทั้งนี่ยังเพิ่งทานอาหารอิ่มๆ จะให้นอนเลยก็กลัวว่ากรดคงไหลย้อนกันพอดี

   “ถ้ายังไม่ง่วงสนออกมานั่งเล่นกับผมก่อนไหม”

   “นั่งเล่นตอนสี่ทุ่มครึ่งเนี่ยนะ”

   “ครับ” นาคินพยักหน้ารับ “ที่นี่มีดาวให้ดูด้วยนะ” ว่าจบคนตัวสูงก็เดินเข้ามาทำท่าราวกับจะจูงมืออีกฝ่ายออกไปเพื่อพิสูจน์ให้เห็น แต่สนธยาเลือกเดินออกไปที่ระเบียงด้วยตัวเองแทนอย่างรู้ทัน นาคินจึงได้แต่หัวเราะเก้อๆแล้วเดินตามออกไป


   ที่ระเบียงมีหมอนอิงกับผ้าห่มจัดเตรียมวางเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว สนธยาหันไปมองตัวการที่เดินมาด้านหลังเล็กน้อย แต่ก็แค่มองไม่ได้พูดอะไรออกไป แล้วเขาก็ทรุดนั่งลงบนผ้าห่มที่ถูกปูเอาไว้ นาคินยิ้มออกมาอย่างพอใจก่อนทรุดนั่งลงข้างๆกัน


   “สนเคยไปดูดาวที่ไหนไหม”

   “ไม่เคย”

   “งั้นเหรอ”

   “ถามทำไม”

   “ก็ผมอยากรู้ว่ากลุ่มไหนคือดาวลูกไก่ คิดว่าสนอาจรู้น่ะ”


   “ไม่รู้หรอก แต่ลองเปิดเว็บดูสิ เขาอาจบอกวิธีสังเกตก็ได้” พอได้ยินคำแนะนำนาคินก็เดินไปหยิบโทรศัพท์มาเปิดหาข้อมูลทันที แต่พอลองช่วยกันดูข้อมูลประกอบเขาก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าที่เห็นนั้นใช่กลุ่มดาวที่ตามหาหรือเปล่า แต่มีดาวอยู่กลุ่มนึ่งที่สนธยาออกความคิดเห็นว่าเหมือนกลุ่มดาวนายพราน


   จากที่นั่งดูไปแล้วก็คุยกันไปเรื่อยๆ พอเริ่มดึกขึ้นทั้งสองคนก็เริ่มเลื้อยตัวลงนอนกับผ้าห่มซึ่งนาคินปูเอาไว้ก่อนหน้า นอนพูดคุยบ้างก็ถกเถียงไปพร้อมๆกับมองท้องฟ้ายามราตรีที่ประดับประดาไปด้วยดวงดาว สนธยาปล่อยตัวตามสบายกว่าที่เคยเป็นจนนาคินเองก็รู้สึกได้ เนื่องจากดวงตาสีน้ำตาลเข้มคอยเหลือบมองดูคนข้างๆอยู่ตลอด


สนธยาไม่ใช่คนหน้าสวยมากมายนัก แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ชายที่มีเค้าหน้าหวานพอสมควร นาคินคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะขนตางอนยาวของเจ้าตัวที่ช่วยเสริมให้วงหน้าดูละมุนขึ้นก็เป็นได้ โดยไม่รู้ตัว จากที่มองดาวตอนนี้นาคินกลับหันมาสนใจดวงดาวที่อยู่ข้างๆมากกว่า ยิ่งจ้องมองก็ยิ่งไม่อยากเคลื่อนสายตาไปไหน บางทีเขาคงต้องยอมรับกับตัวเองว่า เขาหลงรักคนคนนี้เข้าให้แล้ว


“คิน”

“ครับ”


แต่จู่ๆเสียงนุ่มของสนธยาก็เอ่ยบางสิ่งบางอย่างออกมา ก่อนผุดลุกขึ้นนั่งกอดหันหน้ามาทางนาคิน คนตัวสูงจึงจำใจต้องลุกขึ้นนั่งหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายไปด้วย เพราะท่าทางสนธยาเหมือนอยากพูดอะไรที่ดูจริงๆจังๆกับเขา


“ก่อนหน้านี้น่ะ ที่นายเคยบอกว่าจะเล่าอะไรให้ฉันฟัง วันนี้นายพอจะเล่าได้หรือเปล่า”


ได้ยินสิ่งที่สนธยาพูดนาคินก็ถึงกับไปต่อไม่ถูก มันยากเหลือเกินที่กว่านาคินจะตัดสินใจยอมพูดเรื่องทั้งหมดที่เคยฝันและประสบพบเจอก่อนหน้านี้ให้ใครสักคนฟัง เขากลัวว่าถ้าใครได้ฟังคงคิดว่าเขาบ้าไปเสียก่อนจะเล่าจบ ทว่าเมื่อเขามองแววตาจริงจังของคนตรงหน้าเขาก็ตัดสินใจ



หากเป็นสนธยาแล้วล่ะก็…คงจะไม่เป็นไร



   “พี่สนเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติไหมครับ”

   “เหนือธรรมชาติในทำนองไหนล่ะ เรื่องผีอะไรเทือกนั้นหรือเปล่า”

   “อืม…จะว่าเรื่องผีก็ไม่เชิงหรอกครับ” นาคินไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งที่ตัวเองประสบว่าอะไร หากบอกว่าผีหลอกก็ดูไม่ใช่เสียทีเดียว

   “งั้นเรื่องแบบไหน ระบุให้ชัดเจนสิ แต่ถ้าเรื่องผีน่ะ ฉันไม่เชื่อหรอก”

   “ผมบอกไม่ถูก…มันเหมือนเรื่องชาติภพอะไรประมาณนั้น”

   “กลับชาติมาเกิดแล้วก็เจอเจ้ากรรมนายเวรเหมือนในนิยายเหรอ” สนธยาเดาสุ่มออกไปโดยไม่คิดอะไร แต่คำว่ากลับชาติมาเกิดและเจ้ากรรมนายเวรกลับทำให้นาคินรู้สึกตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

   “ผมก็…ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่าครับ” นาคินเค้นเสียงตอบ

   “คิน”

   “ครับ”

   “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าอย่างอย่างนั้น” เห็นอีกฝ่ายหน้าซีดลงเรื่อยๆ มือหรือก็สั่นจนต้องคอยบีบกันเอาไว้แน่นๆ สนธยาจึงอดรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้

   “พี่สน” นาคินเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

   “ว่าไง”

   “ตอนนี้…ถ้าผมเล่า พี่จะเชื่อผมไหม แล้วจะว่าผมบ้าหรือเปล่า”

   “ไม่รู้หรอกนะว่าจะเชื่อได้ไหม แต่คงไม่คิดว่านายบ้าแน่ๆ เพราะฉะนั้นเล่ามาสิ พี่คอยฟังอยู่






‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧



กลับมาแล้วค่ะ

ตอนนี้ก็ดูหวานๆ เบาๆ(?)
ความสัมพันธ์รุกคืบอะไรทำนองนั้น
ซึ่งมีคนถามว่าเรื่องนี้จะหวานแค่ไหน
จะเป็นไปในทิศทางใด
เอาจริงๆเรื่องนี้คงไม่หวานมากอะไรขนาดนั้น
ก็เป็นรักกุบกิบผมสมผสานกับเรื่องในอดีต
แต่ที่ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
อันนี้ก็บอกไม่ได้ค่ะ กลัวจะสปอยด์ตอนจบไปเสียก่อน
แต่เรื่องนี้คงไม่หนักแบบ หนักหน่วงมากกกกกกกก
แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแนวผีอะไรขนาดนั้น
บอกไม่ถูกจริงๆ 55555555
เอาเป็นว่าความสัมพันธ์ก็ไปเรื่อยๆแบบนี้
ไม่หวานจ๋า และไม่ผีจ๋า (มั้ง)
ฝากติดตามกันไปเรื่อยๆด้วยนะคะ
เดี๋ยวปริศนาก็จะค่อยๆคลายออกมาเองค่ะ

เจอกันตอนหน้า  :katai4:


ละอองฝน.

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
พี่สนทำน้องมิรินแก้มแดงด้วยนะคะนั่น ^^ เสน่ห์เหลือร้ายจริงๆ เลยน้า~ :-[ รอฟังความจริงจากคินตอนหน้าจ้า..

 

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
“สนอยากได้อะไรไหมลูก” ใยไหมถามขึ้น
พูดง่ายๆก็คือใยไหมยังคงฝังใจเรื่องที่นาคินฝันร้ายว่าจมน้ำตั้งแต่เด็กๆ

แม่น้องคินชื่อแพรไหม แต่มีใยไหมปะปนมาด้วยค่ะ

จะว่าไปสองคนนี้ก็ไม่เคยห่างกันเลย รู้จักกันตั้งแต่เด็กหรือจะพูดให้ถูกก็ตั้งแต่ชาติที่แล้ว


ออฟไลน์ GlassesgirL

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1037
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-2
ทั้งนาคินและพี่สนผูกพันกันมาแต่ชาติปางก่อนเลยนะ เด็กๆก็เล่นด้วยกันมา
คินจะเล่าให้พี่สนฟังแล้ว แต่มันจะผลกระทบอะไรต่อตัวคินไหม

 :pig4: :L2:

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2
“สนอยากได้อะไรไหมลูก” ใยไหมถามขึ้น
พูดง่ายๆก็คือใยไหมยังคงฝังใจเรื่องที่นาคินฝันร้ายว่าจมน้ำตั้งแต่เด็กๆ

แม่น้องคินชื่อแพรไหม แต่มีใยไหมปะปนมาด้วยค่ะ

จะว่าไปสองคนนี้ก็ไม่เคยห่างกันเลย รู้จักกันตั้งแต่เด็กหรือจะพูดให้ถูกก็ตั้งแต่ชาติที่แล้ว

โอ๊ะ! พลาดไปแล้ว  :hao5:
ขอบคุณมากนะคะ :กอด1:

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนที่สิบสองเลย แฮร่~
เราคิดว่าเรื่องนี้ไม่หลอนสำหรับเรานะคะแต่เจือกลิ่นเศร้า เหมือนกับรักแต่บอกไม่ได้ เราชอบนะคะ ไม่ได้หวานมากแต่อบอุ่น ติดตามต่อไปค่ะ :)

ปล.เราเห็นตอนนึงพิมพ์คำว่า 'ขี้เหร่' เป็น 'ขี้เหล่' ต้องใช้ ร.เรือ นะคะ

ออฟไลน์ mi22

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านรวดเลย ชอบมากค่ะ
ชอบความเรื่อยๆ ชอบภาษาคนเขียนด้วย
เนื้อเรื่องก็ดีค่ะ. น่าติดตาม
ชอบบทแม่แก้วมากค่ะ ชอบความละมุน เวลาพี่สนกับนาคินอยู่ด้วยกัน 5555
มีแต่ชอบเต็มไปหมดเลยเนอะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด