๑๐.
เมื่อยามรุ่งอรุณมาเยือน สายลมรำเพยพัดใบไม้ให้พลิ้วไหวเป็นทิวดั่งระรอกคลื่น อาณาบริเวณของเรือนดอกแก้วนั้นเงียบสงบต่างจากอีกส่วนในเรือนทาสที่เสียงดังโฉงเฉงกันตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ทาสสาวนัยน์ตาโศกรีบเร่งทำงานตามที่แม่สั่งให้เรียบร้อย ก่อนจะหลบหลีกความวุ่นวายมารดน้ำพรวนดินให้ต้นดอกแก้วเจ้าจอมของคุณสิน มองดูสีท้องฟ้าเห็นว่ายังไม่สายนัก สาวเจ้าจึงถางหญ้าตรงลานไม่ให้สูงเลยตาตุ่ม จากนั้นก็ขึ้นไปปัดกวาดเช็ดถูบนตัวเรือนหลังเล็กจนสะอาดเอี่ยม
กว่าจะเสร็จงานก็พอดีกับที่คุณท่านบนเรือนทานอาหารเช้าเรียบร้อย ที่แก้วรู้เพราะจันทร์หอมยกสำรับขนมหวานมาหยุดที่หน้าเรือนดอกแก้วแล้วเรียกให้เธอกลับไปกินข้าวที่โรงครัวด้วยกัน
ชีวิตข้าทาสก็เป็นเช่นนี้ คือ ต้องตื่นขึ้นมาทำงานก่อนค่อยกินข้าวที่หลังนาย หากเผลอไผลลืมเวลาไปไม่ทันข้าวเช้า ก็จะต้องทนหิวหิ้วท้องไปจนถึงเย็นเพราะพวกทาสได้กินเพียงวันละสองมื้อเท่านั้น แต่สองมื้อนั่นก็ถือว่าดีมากโขแล้วเพราะแก้วเคยได้ยินคนเขาลือกันมาว่า บ้านพระยาที่อยู่หัวคุ้งน้ำท่านให้ทาสกินข้าวเพียงมื้อเดียวเท่านั้น แก้วยังเคยคิดตำหนิในใจว่าเป็นถึงพระน้ำพระยาใยใจคอคับแคบนัก ตระหนี่แม้กระทั่งกับข้าบาทรองมือรองตีน เช่นนี้แล้วเหล่าทาสบ้านนั้นจะมีเรี่ยวแรงทำงานให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยได้อย่างไร
มัวหลงคิดอะไรไปเพลิน ระหว่างทางแก้วจึงไม่ได้คุยกับจันทร์หอมมากนัก พอโผล่หน้าเข้าไปในโรงครัว ลำเจียกผู้ตั้งตนเป็นแม่ครัวเอกประจำเรือนคุณท่านเสืองก็กวักมือเรียกแก้วกับจันทร์หอมให้ไปนั่งร่วมวงกินข้าว ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องบนเรือนใหญ่จากสองสาว
“เห็นคุณนายท่านว่า คุณสินเธอจะกลับมาวันนี้รึแก้ว ถ้าคุณเขากลับมาตอนเย็น ข้าจะได้ทำบัวลอยไข่หวานขึ้นสำรับให้คุณสินเธอ”
“ไม่รู้สิจ๊ะป้าเจียก ฉันไม่ได้ขึ้นไปรับใช้บนเรือน ป้าเจียกได้ยินคุณนายท่านว่าอย่างนั้นหรือจ๊ะ” แก้วถามกลับตาใส
“ก็เออน่ะซี คุณนายท่านสั่งให้ข้าบอกเด็กๆ เตรียมทำความสะอาดที่หลับที่นอนในเรือนหลังเล็ก ข้าก็เลยคิดว่าคุณสินคงจะกลับเพราะหากว่าเธอไม่กลับ คุณนายท่านจะสั่งให้ทำทำไมเล่า” หญิงสูงวัยว่า ก่อนขยุ้มข้าวเข้าปากอีกคำ
“ถ้าท่านว่าอย่างนั้นคุณสินก็คงจะกลับจริงๆล่ะจ้ะป้า เธอคงมีธุระต้องทำอะไรกระมังเพราะนี่ยังไม่ถึงกำหนดรอบที่คุณสินจะได้พัก” แก้วคำนวณรอบวันที่คุณสินจะกลับในใจแล้วก็พบว่ายังไม่ถึงรอบหยุดราชการของนายตนจริงๆ หากแต่จะถามเหตุผลว่าทำไมคุณสินต้องกลับก่อน ข้อนี้แก้วก็ไม่อาจรู้ได้ เนื่องจากก่อนไปคุณสินไม่ได้บอกไว้
“พิโธ่เอ้ย ข้าก็นึกว่าคนสนิทอย่างเอ็งจะรู้” ลำเจียกถอนหายใจด้วยความเสียดาย
“แก้วมันจะไปรู้ได้อย่างไรเล่าจ๊ะป้า ในเมื่อมันทำงานอยู่แต่ในเรือนหลังเล็ก ฉันนี่สิรู้ดีเพราะฉันรับใช้คุณนายเธอทุกวัน” จันทร์หอมพูดขึ้นกลางวง ทำเอามือของป้าเจียกที่กำลังคดข้าวให้สองสาวหยุดชะงัก
“ก็จริงของจันทร์หอมมันนะจ๊ะป้าเจียก แล้วคุณนายท่านบอกหรือไม่ ว่าเหตุใดคุณสินถึงกลับเร็วนักรอบนี้” แก้วบอกกับลำเจียกก่อนในประโยคแรก ส่วนประโยคหลังเธอหันมาพูดกับเพื่อนสนิทของเธอโดยตรง
“เห็นคุณนายท่านว่า ผู้ใหญ่จะมาคุยกันที่บ้านเรื่องงานหมั้นหมายคุณสินกับคุณทับทิมน่ะแก้ว ท่านก็เลยอยากให้คุณสินอยู่ด้วย ไม่อยากเป็นธุระให้เธอเสียทุกเรื่องโดยไม่บอกคุณสินก่อน แต่ข้าว่าผู้ใหญ่ทางฝั่งคุณทับทิมคงอยากจะพบคุณสินเสียมากกว่า” เมื่อได้ยินจันทร์หอมเล่า ป้าลำเจียกก็มองซ้ายมองขวาแล้วกระซิบกระซาบให้ได้ยินแค่ในวงสำรับ
“จะว่าเป็นข่าวดีมันก็ดีอยู่หรอก คุณสินเธอก็มีอายุอานามพอสมควรจะออกเรือนได้ตั้งนานแล้ว แต่มีอย่างที่ไหนกัน คุยเรื่องหมั้นเรื่องแต่งงานผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงจึงได้มาถึงที่บ้านผู้ชายเขาเอง ข้าว่าไม่งามเอาเสียเลย”
“อย่าเพิ่งตั้งแง่กับเขาสิพี่ลำเจียก ฉันได้ยินใครๆเขาพูดกันว่าคุณหนูทับทิมทั้งสวย ทั้งเรียบร้อย ทางผู้ใหญ่เขาคงถือฤกษ์สะดวกมากกว่า ก็บ้านคุณท่านเสืองของเรากว้างขวางออกขนาดนี้” แม่บุ้งทาสอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆลำเจียกว่า
“ไว้พวกเราค่อยคอยดูให้เห็นกับตาตอนที่คุณทับทิมเธอมาก็แล้วกัน” ลำเจียกสรุปเท่านั้น ก่อนจะกินข้าวต่อ ส่วนคนอื่นๆก็แอบคุยกันเบาๆและคาดเดากันไปต่างๆนาๆ ว่าคุณหนูมีชื่อคนนั้นตัวตนจริงๆจะเป็นเช่นไร ระหว่างนั้นจึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นสีหน้าที่สลดเศร้าหมองลงของผู้ที่เคยพบคุณทับทิมคนสวยมาแล้วอย่างแก้วสักคน
ค่ำวันเดียวกันนั้นสินลาพักจากราชการกลับบ้านมาจริงๆอย่างที่นายหญิงของบ้านบอก แต่จางวางหนุ่มกลับไม่ได้ลงมานอนที่เรือนดอกแก้วเช่นทุกที เนื่องจากคุยธุระสำคัญเรื่องแขกเรื่อที่จะมาเยี่ยมเยือนกับพ่อแม่อยู่บนเรือนจนดึกดื่น แก้วไม่ได้เสนอหน้าขึ้นไปรับใช้บนเรือนเพราะไม่ใช่หน้าที่ ทว่าเช้าวันต่อมาบ่าวในเรือนกลับเล่ากันให้แซดว่าเมื่อคืนคุณสินมีปากเสียงกับคุณแม่ของเธอสองสามประโยค ก่อนคุณท่านเสืองจะห้ามทัพแล้วบอกให้แยกกันไปนอน
พอสายเข้าหน่อยขณะที่แก้วกำลังง่วนอยู่กับการหาบน้ำเติมโอ่งในโรงครัวให้เต็ม หูก็ได้ยินเสียงของกระถินหลานป้าลำเจียกร้องเรียกตนดังเอ็ดตะโร เด็กหญิงเอาความจากคุณสินมาสั่งว่าให้แก้วขึ้นไปรับใช้บนเรือนดอกแก้ว หญิงสาวจึงรีบวางทุ้มน้ำทิ้งไว้ข้างโอ่ง ก่อนกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากโรงครัวไป แต่ก็ต้องเลี้ยวกลับมาที่โรงครัวแทบไม่ทันเพราะแม่ก้อยร้องว่าให้ยกถาดขนมกลีบลำดวนกับน้ำมะตูมไปด้วย
เมื่อมาถึงเรือนไทยหลังน้อยแก้วกลับพบว่าบนเรือนไม่ได้มีเพียงแค่คุณสินเดียวเท่านั้น แต่กลับมีคุณทับทิมคนสวยอีกคน แก้วรู้สึกประหลาดใจเนื่องจากไม่คิดว่าคุณทับทิมจะอยู่บนเรือน ด้วยอารามดีใจที่จะได้พบคุณสินสาวเจ้าจึงไม่ทันสังเกตอีกนิดก็ว่าแก้วน้ำมะตูมมีด้วยกันสองแก้วแต่แรก
“เหตุใดจึงยืนขวางประตูเรือนอยู่เช่นนั้นเล่าแก้ว เข้ามาในเรือนสิ” คุณสินยิ้มเอ็นดูก่อนทักขึ้นเมื่อเห็นแก้วยืนนิ่งอยู่บนบันไดขั้นบนสุด
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวเดินตัวลีบก่อนหยุดที่ระยะขอบชานเรือนชั้นในเพื่อคลานเข่าเข้าไปจัดขนมกับน้ำหวานขึ้นโต๊ะ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแก้วก็รวมถาดทองเหลืองไว้กับอกแล้วคลานออกมานั่งพับเพียบห่างๆ เพื่อคอยท่าเผื่อนายเรียกใช้
“แม่แก้ว”
“เจ้าคะคุณทับทิม” นั่งก้มหน้ามองพื้นอยู่อึดใจเดียว เสียงหวานของหญิงสาวอีกคนก็ดังขึ้น แก้วได้ยินจึงเงยหน้ามองพร้อมตอบรับนอบน้อม
“ประเดี๋ยวฉันจะอยู่ดูคุณพี่สินเล่นดนตรี เธอจะไปไหนก็ไปเถิด ฉันไม่มีอะไรเรียกใช้แม่แก้วแล้วล่ะจ้ะ” แม้คุณทับทิมจะยิ้มอารีให้แก้วขณะที่สั่งความ ทว่าคำสั่งนั้นกลับทำให้รู้สึกเจ็บหน่วงในอก เมื่อยามเริ่มรักแก้วรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่มีวันสมหวัง แต่แก้วไม่รู้เลยว่าความผิดหวังจะทำให้ทรมานเช่นนี้
“เจ้าค่ะคุณทับทิม” เธอรับคำอย่างพินอบพิเทาก่อนลงจากเรือนไป โดยไม่รู้เลยว่าสินมองตามแผ่นหลังบางด้วยสายตาทอดอาลัยเพียงไหน หูของเธอได้ยินเพลงเสียงแว่วหวานที่ดังลอกออกมาจากเรือนไทยหลังน้อย ฟังดูก็รู้ว่าคุณสินเป็นคนเล่นให้ว่าที่คู่หมั้นของเขาฟัง...ไม่ใช่แก้ว
ในทีแรกสินตั้งใจว่าจะเรียกให้แก้วมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยอีกคนเพราะเขาลำบากใจที่จะอยู่กับทับทิมเพียงลำพังตามความตั้งใจที่พวกผู้ใหญ่นั้นเปิดทางสะดวกให้ แต่ชายหนุ่มไม่นึกว่าคุณหนูทับทิมจะกล้าไล่แก้วออกไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น เขามองภาพทับทิมผิดไปถึงได้นึกว่าเธอจะกระดากอายที่ต้องอยู่ด้วยกันกับเขาแค่สองคน ยิ่งเมื่อสังเกตจากอากัปกิริยาเอียงอายแต่ก็คอยส่งสายตาเว้าวอนเป็นระยะของสาวเจ้าแล้ว สินคิดว่าบางทีทับทิมอาจจะสมัครใจเห็นด้วยกับการคลุมถุงชนครั้งนี้ก็เป็นได้
ระหว่างที่เดี่ยวระนาดเอกให้ทับทิมฟังตามคำวอนขอของเธอ จางวางหนุ่มจึงได้แอบคิดคะเนในใจว่า หากต้องการยกเลิกการแต่งงานที่จะมีในอนาคตระหว่างเขากับทับทิมเห็นทีคงจะไม่ง่ายเสียแล้ว
นาคินตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่หอพักของเพื่อนสนิทอย่างโจ้ พอลุกขึ้นนั่งในหัวก็ปวดจี๊ดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เขาจำได้ลางๆว่าเมื่อคืนโดนกลุ่มเพื่อนบังคับให้ดื่มหนักมากๆในงานเลี้ยง แต่กลับจำไม่ได้ว่าตัวเองเมาไม่รู้เรื่องแล้วหมดสติไปตอนไหน แล้วโจ้พาเขากลับมาที่นี่ได้อย่างไร พยายามรวบรวมสติแล้วนั่งหลับตานวดขมับของตัวเองไปพลางๆ เมื่อรู้สึกดีขึ้นนาคินจึงลุกไปอาบน้ำ แต่ก่อนจะเข้าห้องน้ำเจ้าของห้องก็กลับมาพร้อมกับอาหารและเครื่องดื่มแก้เมาค้างสองขวด
“ตื่นแล้วเหรอวะคิน”
“อืม” นาคินตอบรับเสียงแหบ
“เป็นไงบ้าง ท่าทางดูไม่ดีเลย” ตั้งแต่คบกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่นาคินเมาหมดสภาพขนาดนี้ ถ้ารู้ว่านาคินคออ่อน โจ้ก็คงปรามพวกเพื่อนให้ยั้งมือสักหน่อยเมื่อคืน
“ปวดหัวว่ะ มึนสุดๆเลยด้วย” นาคินบอกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร แต่นั่นก็ไม่ใช่ความรู้สึกทั้งหมด เพราะถ้าแค่เมาค้างเขาคงไม่รู้สึกปวดหน่วงในหัวใจแบบนี้ ภาพความฝันที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาสักระยะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่ดีและอ่อนล้าราวกับเรื่องที่ฝันทั้งหมดเป็นเรื่องของตัวเขาเอง
“แฮ๊งค์หนักเลยล่ะสิ ไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยมากินข้าวกินยา” โจ้ว่า
“อืม ขอบใจนะโจ้” พอรับคำเสร็จก็หันหลังเดินเข้าห้องน้ำ แต่โจ้กลับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงรีบรายงานนาคินทันที
“อ้อ! ลืมบอกไป”
“อะไรเหรอ” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มหันมาเลิกคิ้วถาม
“เมื่อคืนมีคนโทรมาหาด้วย รู้สึกจะหลายสายเลยนะ แต่เมามากเหมือนกันก็เลยไม่ได้กดรับให้ สงสัยที่บ้านน่ะ”
“ขอบใจมากนะ คงเป็นที่บ้านจริงๆนั่นแหละ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จค่อยโทรไปบอก” ตอนนี้อยากล้างหน้าอาบน้ำแล้วทำหัวให้โล่งก่อนนาคินจึงเลือกเดินเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำ
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย นาคินก็พาตัวเองไปที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กซึ่งมีข้าวต้มหมูอุ่นๆวางอยู่ แต่ก็ไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ติดมือมาด้วย เขาเปิดดูข้อความและสายที่ไม่ได้รับค้างอยู่ห้าหกสาย จึงเห็นว่าแม่โทรมาสายหนึ่งตอนสี่ทุ่ม ตอนนั้นนาคินยังอยู่ที่ร้านเสียงคงดังมากจนไม่ได้ยิน ส่วนที่เหลือเป็นเบอร์ของสนธยาโทรมาตอนเที่ยงคืนเว้นระยะไปจนถึงตีสอง บวกกับข้อความอีกสองสามข้อความถามว่าอยู่ไหนและจะกลับกี่โมง เมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงทั้งหมดนั้นทำให้นาคินต้องรีบวางช้อนทั้งที่ยังไม่ได้ตักเข้าปากแล้วกดต่อสายหาสนธยาทันที
“สนครับ” ทันที่ที่อีกฝ่ายรับสาย นาคินก็รีบกรอกเสียงร้อนรนลงไปทันที
‘ว่าไง' สนธยาเอ่ยออกมาเรียบๆ
“ขอโทษที่เมื่อคืนไม่ได้รับสายนะครับ พอดีผมเมามากเลย”
‘ช่างเถอะ นายจะทำอะไรก็เรื่องของนายสิ แต่คราวหลังจะไปค้างที่อื่นก็โทรมาบอกพ่อก่อน เขาจะได้ไม่เป็นห่วง แค่นี้นะ หมอเรียกแล้ว’ พูดเพียงเท่านั้นปลายสายก็ถูกตัดทิ้งไปทันที นาคินนั่งหน้าเครียดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นเดินไปคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นบ่า
“เอ้ย! จะไปไหนวะคิน ข้าวยังไม่ทันได้กินเลย” โจ้ถามเสียงตระหนก
“ต้องไปแล้วว่ะ มีปัญหานิดหน่อย ขอโทษนะเว้ยอุตส่าห์ซื้อมาให้ แล้วก็ขอบใจมากที่ดูแลเมื่อคืน เอาไว้จะเลี้ยงตอบแทน ไปล่ะ” นาคินพูดรัวเร็วจนคนฟังพยักหงึกหงักรับแทบไม่ทัน เผลอแวบเดียวคนมีปัญหาก็แผลวออกจากห้องไป ทิ้งโจ้ไว้กับข้าวต้มสองชามใหญ่
“แล้วจะกินได้ยังไงหมดวะเนี่ย”
เมื่อนาคินมาถึงโรงพยาบาลเขาก็พบสนธยาอยู่ที่หน้าทางเข้าออกแล้วพอดี โดยมีลุงเสริมเดินตามมาข้างหลัง พอสนธยามองเห็นนาคินตามมาหาถึงที่ก็ชักสีหน้าใส่ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“มาทำไม”
“ก็มาหาพี่สนไงครับ ขอโทษนะ ทั้งที่เป็นคนบอกเองว่าวันนี้จะมาโรงพยาบาลเป็นเพื่อน”
เมื่อวานตอนที่เดินไปส่งสนธยาที่หน้าคณะฯ สนธยาถามนาคินว่าไปกับเพื่อนต้องใช้รถไหมและต้องกลับดึกหรือเปล่า นาคินก็เลยบอกไปว่ากลับไม่เกินห้าทุ่มเพราะวันรุ่งขึ้นต้องตื่นเช้าเพื่อขับรถไปส่งสนธยาที่โรงพยาบาล สนธยาจึงให้ยืมรถไปใช้เพราะตอนกลับจะได้ไม่ลำบาก แต่นี่เจ้าตัวดีกลับไม่ทำตามที่บอกเอาไว้ เช้าวันนี้ลุงเสริมจึงต้องเอารถของพ่อมนตรีมาส่งสนธยาที่โรงพยาบาลแทน
“ไม่ต้องมาขอโทษหรอก ฉันผิดเองที่เชื่อนาย” สนธยาเบี่ยงตัวเดินหนีนาคินไปที่ลานจอดรถ คนมีความผิดจึงรีบตามไปทันที ทำเอาลุงเสริมยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ที่หน้าทางเข้า
“โธ่~ พี่สนอย่างอนสิครับ” เมื่อตามมาทันนาคินก็ว่าเสียงอ่อน
“ไม่ได้งอน” คนตัวเล็กกว่าแหวกลับ
“แล้วทำไมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนั้นล่ะครับ”
“จะให้ยิ้มเป็นคนบ้าเหมือนนายหรือไง ในเมื่อนายกำลังทำให้ฉันหงุดหงิด”
“เมื่อคืนผมโดนเพื่อนแกล้ง ก็เลยเมาไม่รู้เรื่องเลย ขับรถกลับก็ไม่ได้ โชคดีที่เพื่อนพากลับไปนอนที่ห้องด้วย ไม่งั้นตายแน่เลย” คนตัวโตพูดอธิบายไปเรื่อยๆในขณะที่สนธยาเดินจ้ำอ้าวไปจนถึงรถพอดี แต่จะเข้ารถก็ไม่ได้เพราะลุงเสริมยังมาไม่ถึง นาคินจึงขยับเข้าไปเผชิญหน้าแล้วเอื้อมมือไปกระตุกแขนให้อีกฝ่ายหันมา
“ปล่อย” สนธยาทำเสียงเข้ม นาคินจึงยอมปล่อยมือ
“สนครับ” พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ เจ้าตัวดีก็กลับมาใช้คำเรียกแทนอย่างเดิม “ผมขอโทษ อย่าโกรธผมเลยนะ ผมผิดเองที่ไม่รักษาคำพูด ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้เลยสักนิด ผมอยากจะเป็นคนขับรถพาสนมาเอง สนก็รู้ว่าผมตั้งใจจะทำอย่างนั้น”
“…” สนธยาไม่ตอบ ได้แต่จ้องตาคมสีน้ำตาเข้มคู่นั้นนิ่งๆ
“ขอโทษจริงๆนะครับ ยกโทษให้ผมเถอะ” อ้อนวอนน้ำเสียงระห้อยอีกคำ สุดท้ายสนธยาก็ต้องยอมแพ้
“ก็ได้ แต่คราวหน้าอย่าให้มีอีก”
“ไม่มีอีกแล้วครับ สัญญาเลย” เมื่อได้รับการให้อภัยนาคินก็ตอบรับระริกระรี้ดังเดิม พอดีกับที่ลุงเสริมมาถึงรถ สนธยาจึงเปิดประตูขึ้นไปนั่ง แต่ยังไม่วายที่จะสั่งให้คนที่ยืนอยู่ข้างรีบตามกลับบ้าน
“เอารถมาใช่ไหม”
“ครับ” นาคินพยักหน้ารับ
“ขับกลับบ้านเลยนะ วันนี้จะไปซ้อมดนตรี”
“อะไรนะ! หมอให้สนเล่นดนตรีได้แล้วเหรอครับ” นาคินถามอย่างไม่เชื่อหู
“ใช่” สนธยาเลิกทำหน้าตึงแล้วยิ้มน้อยๆ “ไปเจอกันที่เรือนดอกแก้ว”
“ครับ” หลังจากได้ยินนาคินตอบรับเสียงใสสนธยาก็ปิดประตูแล้วบอกให้ลุงเสริมออกรถ นาคินเห็นดังนั้นจึงเดินกลับไปขึ้นรถอีกคันขับตามกลับบ้าน
แม้วันนี้จะเป็นวันที่เด็กๆมาเรียนดนตรีไทยกัน แต่กว่าสนธยาจะกลับมาจากโรงพยาบาลเด็กนักเรียนก็กลับบ้านกันหมดแล้ว ชายหนุ่มเอายาขึ้นไปเก็บบนห้องก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองแล้วตรงไปที่เรือนดอกแก้วทันที ตอนที่ขึ้นไปถึงบนเรือนหลังเล็ก สนธยาพบผู้เป็นพ่อกำลังคุยกับนาคินอยู่ที่ระเบียงรับลม นาคินยังคงอยู่ในชุดเดิมไม่เปลี่ยน นั่นแสดงว่าพอเจ้าตัวมาถึงก็คงจะตรงมาที่นี่เลย ไม่แวะขึ้นเรือนใหญ่ก่อนเหมือนสนธยา
“อ้าว! สนมาพอดี เห็นน้องบอกหมออนุญาตให้เล่นดนตรีได้แล้วจริงๆเหรอลูก” มนตรีเดินตรงเข้ามาหาลูกชายพลางไถ่ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ครับพ่อ” สนธยายิ้มรับ
“ว่าแต่สนไม่ได้เจ็บแผลหรือปวดข้อมือแล้วใช่ไหมลูก” ถึงแม้หมอจะยืนยันอย่างนั้น แต่คนเป็นพ่อก็ยังอดห่วงไม่ได้
“ไม่เจ็บแล้วครับ” ชายหนุ่มยืนยัน
“งั้นลองเล่นดูเลยไหมครับพี่สน” นาคินแทรกขึ้นทันทีที่รู้แน่ชัดว่าสนธยาหาดีแล้ว เขาคิดถึงเสียงดนตรีของสนธยาจะแย่ แค่คิดว่ากำลังจะได้ฟังมันอีกครั้งก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจแล้ว
“อื้ม” สนธยาพยักหน้า ก่อนจะเดินไปนั่งที่อยู่หลังระนาดเอกบนแท่นประจำตัว
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อเรียกสมาธิและขวัญกำลังใจ ก่อนจะประนมมือไหว้ครูบาอาจารย์จรดหน้าผากแล้วจากนั้นจึงจับไม้นวมขึ้นมา เขายังอดรู้สึกตื่นๆในใจไม่ได้ ดังนั้นเรียวมือสวยดุจลำเทียนจึงสั่นไหวน้อยๆ สนธยากลัวความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งนั้นมันจะย้อนกลับมาอีก แต่ที่กลัวที่สุด คือ กลัวว่าจะเล่นดนตรีไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว
คงเพราะนาคินสัมผัสได้ถึงความเครียดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวคุณครูหนุ่ม เขาจึงเผลอส่งเสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปทั้งๆที่ลุงมนตรีนั้นนั่งอยู่ไม่ห่าง
“พี่สน”
“หืม?” สนธยาเงยหน้าขึ้นมาจากรางลูกระนาด ดวงตาของทั้งสองประสานกันพอดีอย่างมีความหมาย
“ต้องทำได้สิครับ เชื่อผม”
“อืม รู้แล้วล่ะ”
หลังจากนั้นไม้นวมก็จรดลงบนลูกระนาดอีกครั้ง แล้วเสียงดนตรีแว่วหวานระรื่นหูก็ดังก้องไปทั่วทั้งเรือนดอกแก้ว ทำเอาคนฟังถึงกับเคลิบเคลิ้ม ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นถึงกับน้ำตาไหลลงมาที่ข้างแก้มหยดหนึ่งด้วยความตื้นตัน สนธยาบรรเลงเพลงเถาต่อเนื่องสองเพลงรวด เขารู้สึกราวกับตัวเองกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เหมือนกับต้นไม้เหี่ยวเฉาได้รับน้ำฝนชุ่มชื่นหัวใจอย่างไรอย่างนั้น กระทั่งบทเพลงแห่งการเริ่มต้นใหม่จบลง ทุกคนบนเรือนดอกแก้วจึงยิ้มให้กันด้วยความอิ่มเอม
“พ่อดีใจนะสนที่ลูกหายดี” มนตรีว่า
“ผมก็ดีใจเหมือนกันครับ” สนธยากล่าวกับพ่อ
“ต่อไปเราต้องดูแลตัวเองให้มากกว่านี้นะลูก อย่าหักโหมมากจนเกินไปนักเข้าใจหรือเปล่า” ผู้เป็นพ่อกำชับด้วยความเป็นห่วง
“ผมรู้แล้วครับพ่อ” สนธยาเองก็ยอมรับปากดีๆ เพราะเขาเข็ดเหลือเกินแล้วกับบทเรียนที่ได้รับ
“แล้วนี่จะอยู่ต่อไหม หรือจะไปทำธุระเป็นเพื่อนพ่อที่อยุธยา”
“อยากอยู่เล่นต่ออีกสักหน่อย พ่อไปคนเดียวได้หรือเปล่าครับ” ถ้าให้เลือกตอนนี้ สนธยาก็อยากจะอยู่บ้านเล่นดนตรีที่คิดถึงมากกว่า
“ฮ่าๆๆ ไปได้สิ พ่อไม่ใช่เด็กนะ ยังไงพ่อก็บอกนายเสริมขับรถให้อยู่แล้ว” มนตรีพูดพลางหัวเราะชอบใจ อันที่จริงเขารู้อยู่แล้วว่าลูกชายจะตอบอย่างไร เพียงต้องการถามให้แน่ใจเท่านั้น
“ก็ผมเป็นห่วงนี่ครับ” ลูกชายสุดที่รักว่า
“เอาน่าๆ ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อหรอก ดูแลบ้านให้พ่อดีๆก็แล้วกัน”
“ลุงมนจะกลับวันไหนครับ” นาคินถามขึ้น
“คงพรุ่งนี้เย็นๆนั่นล่ะ คินก็ช่วยพี่เขาดูบ้านด้วยนะ ลุงไปก่อนล่ะ สนพ่อไปนะลูก” ประโยคหลังมนตรีหันไปบอกกับสนธยา ชายหนุ่มทั้งสองจึงยกมือไหว้ลาก่อนส่งมนตรีลงจากเรือนดอกแก้วไป
“สนจะเล่นดนตรีอยู่นี่ก่อนใช่ไหม” ลับหลังมนตรีไปแล้ว นาคินจึงหันมาหาคนตัวเล็กกว่าที่ยืนอยู่ข้างตัว
“ใช่”
“งั้นผมไปเอาขิมมาเล่นด้วยนะ”
“ก็ต้องอย่างนั้นสิ นี่มันชั่วโมงเรียนของนายแล้วนี่” คนเป็นครูพูดอย่างไว้ท่า ทำเอานาคินหลุดหัวเราะออกมาพรวดหนึ่ง ก่อนจะตอบรับเสียงใสแล้ววิ่งเข้าไปยกขิมประจำตัวที่ห้องเล็กด้านในตัวเรือน
“ครับคุณครูพี่สน”
ห้องเก็บเครื่องดนตรีห้องเล็กยังคงสภาพเหมือนเช่นเก่าทุกครั้งที่เหยียบย่างเข้ามา ตู้ โต๊ะและชั้นวางเครื่องดนตรีถูกจัดวางอยู่เป็นระเบียบและมีเครื่องดนตรีวางเรียงอยู่เต็มไปหมด แม้ขนาดของห้องนั้นจะไม่กว้างเท่าไหร่ แต่เมื่อหลบจากด้านนอกเข้ามาข้างใน นาคินมันจะรู้สึกวังเวงและชวนให้ขนลุกวาบทุกที ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบตรงไปยังที่ที่เก็บกล่องขิมตัวประจำของตนเองก่อนจะยกออกไปจากห้องโดยเร็ว
เมื่อออกมาเจอแสงแดดข้างนอก นาคินยิ่งรู้สึกยินดีไม่อนาทรต่อความร้อนราวกับหลุดพ้นจากมวลความอึดอัดมหาสาร ร่างสูงยกกล่องขิมเดินไปหยุดตรงหน้าคุณครู ก่อนเปิดฝากล่องแล้วยกขิมโบราณออกมา
สนธยามองลูกศิษย์ตัวโตบรรจงวางเครื่องดนตรีอย่างทะนุถนอมก็อดเกิดความสงสัยในใจไม่ได้ ว่าทำไมนาคินถึงถูกใจขิมโป๊ยเซียนโบราณตัวนี้นัก เขาเข้าใจอยู่หรอกว่ามันสวยดี แต่อายุของมันก็นานเกินกว่าที่ใครจะหยิบออกมาเล่น
“ทำไมนายถึงชอบใช้ขิมตัวนี้ล่ะ” เพราะอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ในที่สุดสนธยาจึงเอ่ยถามออกไป
“ไม่รู้สิครับ…” นาคินตอบแล้วหยุดครุ่นคิดสักพักจึงว่าต่อ “ผมรู้สึกชอบมันมากๆเลยตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ในสายตาผมมันสวยนะ สวยมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ผมรู้สึกหรอก ไม่รู้สิ ผมว่าคงให้อารมณ์ถูกชะตาเหมือนเจอกีต้าร์ตัวโปรดอะไรแบบนั้นล่ะมั้ง ต่างกันที่ของผมเป็นขิม”
คนพูดพูดพลางลูบมือไปบนสายทองเหลืองและหมอนขิมแผ่วเบา สนธยามองตามมือหนาข้างนั้นไปโดยที่ในใจไม่ได้คิดอะไร กระทั่งสายตาเลยไปหยุดที่กล่องเก็บที่เปิดอ้าเอาไว้ข้างตัวนาคิน กำลังจะเอ่ยปากบอกให้ปิดฝาแล้วเก็บไว้ให้ห่างตัวหน่อย พอหันกลับมาเขาก็บังเอิญเห็นปลายขอบสามเหลี่ยมเล็กๆของผ้าอะไรสักอย่างโผล่ออกมาจากตรงซอกรอยต่อด้านล่างของขิมโป๊ยเซียน สนธยาจึงชี้ให้นาคินดู
“นั่นเศษผ้าอะไรน่ะคิน”
“ไหนครับ”
“ตรงขอบล่าง ด้านหน้าของตัวขิม”
นาคินขยับตัวก้มมองตามก็เห็นริมผ้าอย่างที่สนธยาว่าจริงๆ เขาจึงใช้มือดึงออกเพราะคิดว่าเป็นเศษผ้า ทว่ามันกลับไม่หลุดอย่างใจนึก ชายหนุ่มจึงพลิกตัวขิมขึ้นแล้วดึง หากแต่ท้องขิมด้านล่างที่ถูกไม้ปิดเอาไว้กลับหลุดผลัวะออกมาทันที
“เอ้ย!” คนตัวโตร้องด้วยความตกใจแต่ก็เงียบเสียงไปเมื่อเห็นว่าอะไรหลุดติดมือออกมา
“เบามือหน่อยสิ! ของพังหมดเห็นไหม” แต่สนธยาที่ยังไม่ทันเห็นก็ส่งเสียดุออกไปก่อน จากนั้นจึงรีบลุกพรวดจากที่นั่งแล้วไปหยุดตรงหน้านาคิน
คุณครูสนธยากำลังจะเอ็ดออกมาอีกคำเมื่อเห็นสภาพท้องขิมตัวเก่าชัดๆ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเขาก็ต้องตกใจอีกระลอก เพราะนักเรียนหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้ากำลังร้องไห้ออกมา!
ไม่ผิด แม้จะกระพริบตาแล้วดูอีกครั้งก็ยังเห็นหยดน้ำเม็ดใสไหลออกจากหางตาคมนั่น เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่หนึ่ง ช่วงเวลาที่ต่างก็นิ่งเงียบกันนั้นดูเหมือนนาคินจะร้องไห้หนักมากยิ่งขึ้น ราวกับว่าเรื่องที่พบเจอเป็นเรื่องที่ทำให้ใจสลายไปแล้วก็ว่าได้
“คิน…นาคิน นายเป็นอะไรไป” สนธยาเอามือจับต้นแขนหนาแล้วถามอย่างใจเสีย
“
ยังเก็บไว้…เขายังเก็บไว้” เสียงของลูกศิษย์หนุ่มว่าอย่างนั้น ขณะที่กำของที่ดึงออกมาจากขิมไว้แนบอก
“ใครเก็บอะไรไว้”
“เขาคนนั้น” นาคินตอบด้วยดวงตาเหม่อลอยราวกับไม่ใช่ตัวเอง
“ใคร?”
“คุณ” แววตาสีน้ำตาลคู่นั้นคล้ายมีแววตาของใครบางคนซ้อนทับอยู่ในชั่วพริบตาเดียวที่ประสานสายตากับสนธยา พอครูหนุ่มกำลังจะดูให้แน่ใจอีกครั้ง ทว่าอยู่ๆนาคินก็หลับตาแล้วหงายหลังล้มตึงหมดสติไปทันที
‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧
ห่างหายจากอดีตชาติไปนาน ตอนนี้เริ่มกลับมาอีกแล้วค่ะ
อ่านตอนนี้แล้วอาจจะพอเดาอะไรได้บ้างหรือเปล่า
ใครพอจับเค้าลางอะไรได้แล้ว มาเม้นเดากันได้นะคะ
ลงคีตมาลาทีไรเงียบกันตลอดเลย
คนเขียนชักใจฝ่อแล้วว่ามันโอเคหรือเปล่า
ยังไงจะรีบมาลงตอนต่อไปค่ะ
เจอกันตอนหน้าน้าาา
ปล.ขอบคุณที่ช่วยตรวจจับคำผิดนะคะ
ละอองฝน