๑๔.
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านม่านขาวที่ปลิวไสวเพราะลมทะเลเผยให้เห็นสองร่างที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงกว้าง นาคินและสนธยาต่างก็จมอยู่ในห้วงนิทราไม่รู้สึกตัวทั้งที่คนในบ้านตื่นนอนกันหมดแล้ว จนกระทั่งแพรไหมวานให้มัทนาขึ้นมาเคาะประตูห้องเรียกให้ลงไปทานอาหารเช้านาคินจึงรู้สึกตัว
สนธยาตั้งใจจะลุกไปเปิดประตูแล้วบอกกล่าวกับน้องสาวว่าตนเองตื่นนอนแล้ว แต่ข้างกายกับมีอุปสรรคชิ้นโตขวางเอาไว้ ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงตะโกนโต้ตอบกับมัทนาเท่านั้น
เมื่อมัทนาถอยกลับลงไปทานอาหารข้างล่างเรียบร้อย คนที่เพิ่งตื่นนอนก็ก้มหน้ามองศีรษะของใครอีกคนซึ่งพาดอยู่บนหน้าท้องของตน ชายหนุ่มนึกขำกึ่งฉุนเจ้าลูกศิษย์ตัวโตที่นอนดิ้นจนลงไปคู้ตัวหนุนท้องเขาแบบนั้น พลางคิดในใจว่าควรจะปลุกดีๆ หรือผลักหัวออกไปเลยจะได้ตื่นเต็มตา แต่ขณะที่กำลังนึกลังเลตัวเจ้าปัญหาก็รู้สึกตัวเสียก่อน
นาคินขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งทันทีเมื่อรู้ว่าตนนอนท่าไหน ชายหนุ่มหันกลับมามองสนธยาเลิกลัก เมื่อพบว่าคุณครูพี่สนตื่นอยู่ก่อนแล้วก็เผยยิ้มแหยออกมา แล้วว่า
“ตื่นนานหรือยังครับ”
“เพิ่งตื่นเมื่อกี้” สนธยาตอบขณะกระถดตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง “นายนี่นอนดิ้นไม่ใช่เล่นนะ”
“พี่สนหนักไหม”
“หนักและเมื่อยมากกก” เขาลากเสียงยาวคำหลังอย่างจงใจ
“ขอโทษครับ”
“ไม่ยกโทษให้” ชายหนุ่มยิ้มอย่างเหนือกว่า
“ใจร้ายจัง ถ้าขอโทษแล้วยังไม่ยกโทษให้ พี่จะให้ผมไถ่โทษยังไงดีล่ะครับ” เจ้าตัวดีแสร้งทำเป็นหูลู่หางตก แต่นัยน์ตากลับประกายระยับต่างจากท่าทางสลดสุดกู่
“นายคิดสิ”
“งั้น…ผมนวดให้ดีไหม” ไม่ว่าเปล่า นาคินยังยื่นมือออกมาแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น กระทั่งสนธยาต้องขยับหนี
“ไม่ต้อง ฉันแค่ล้อเล่น” เห็นนาคินดูจริงจังที่จะแกล้งตนเองมากกว่าสำนึกผิด ความรู้สึกเหนือกว่าก็ลดลงไปจนติดลบ อะไรๆ ก็ชักไม่สนุกอย่างที่คิดเสียแล้ว
“ไม่ได้สิครับ ผมต้องทำอะไรสักอย่างไถ่โทษ ไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกผิดมาก” เว้นวรรคเพียงแค่นิดเดียว ยังไม่ทันที่สนธยาจะเอ่ยปฏิเสธอีกรอบ นาคินก็ว่าต่อ “ ผมคิดออกแล้ว ในเมื่อไม่อยากให้นวดให้ ถ้างั้นพี่สินก็นอนทับพุงผมแทนดีกว่า เราจะหายกัน”
“ไม่เอาๆ เมื่อกี้ที่ว่านั่นฉันแค่ล้อเล่น ฉันไม่ได้ติดใจอะไรสักหน่อย”
“ไม่ได้ครับ ผมต้องรับผิดชอบพี่” ร่างโตกว่าของรุ่นน้องเข้าไปคลุกวงใน พยายามบังคับขู่เข็นด้วยร่างกายให้รุ่นพี่ล้มตัวลงนอนหนุนตัวเอง
“ไม่เอา อย่าเล่นบ้าๆ นะคิน!” สนธยาปัดป้อง สู้กันชุลมุนชุนละเก จนหนุ่มรุ่นพี่กระโดดลงจากเตียงได้ เจ้าตัวจึงสบถออกมาหนึ่งคำ
“โธ่ ไม่ได้เล่นสักหน่อยครับ” ชายหนุ่มว่าอย่างแสนเสียดายที่คว้าตัวสนธยาเอาไว้ไม่ได้
“ยังจะมาแก้ตัวอีก” สนธยามุ่ยหน้า ก่อนเปลี่ยนสีหน้ามาอยู่ในโหมดจริงจัง “แล้วเมื่อคืนฝันอะไรแปลกๆ อีกไหม”
“ไม่นะครับ หลับสนิทเลยล่ะ”
“ดีแล้ว”
“นั่นแน่! พี่สนเป็นห่วงผมเหรอครับ”
“ไม่เลย แค่ถามเฉยๆ”
“แหมใจร้ายจัง ผมเสียใจเลยนะเนี่ย”
“เรื่องของนายสิ” ว่าจบหนุ่มรุ่นพี่ก็คว้าผ้าเช็ดตัวหนีเข้าห้องน้ำทันที
นาคินได้แต่นั่งหัวเราะในท่าทางนั่น รู้สึกสนุกสดชื่นที่ตื่นขึ้นมาก็แกล้งให้คุณครูพี่สนแหวใส่ได้สองสามประโยค เขาชอบความสัมพันธ์ของตนเองกับสนธยาในเวลานี้เหลือเกิน แม้เมื่ออยู่ในอารมณ์ปรกติสนธยาจะพูดคุยกับเขาในรูปประโยคเหมือนๆ เดิมไม่เปลี่ยน แต่นาคินก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะเปิดใจรับเขาได้แล้ว ซ้ำยังคอยเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าแต่ก่อนอีกด้วย เขารู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกจริงๆ ที่เลือกบอกเรื่องความฝันลึกลับนั้นกับสนธยา
เมื่อทำกิจวัตรส่วนตัวในตอนเช้าเสร็จเรียบร้อย ทั้งสนธยาและนาคินก็ลงไปทานอาหารข้างล่างซึ่งทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทันทีที่เห็นสองหนุ่มลงมาจากห้องคชินทร์ก็แจงโปรแกรมทัวร์ของวันนี้ให้ฟัง ซึ่งมีทั้งไปไหว้พระขอพรที่วัดเขาตะเกียบซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก แล้วก็ยังไปตลาดน้ำสามพันนามก่อนจะพาเด็กๆ แวะสวนน้ำเป็นที่สุดท้ายค่อยกลับเข้ามาพักผ่อน เพื่อวันรุ่งขึ้นจะได้เดินทางกลับกรุงเทพ
ดังนั้นหลังจัดการกับอาหารเช้าเสร็จ สนธยากับนาคินจึงต้องเดินขึ้นไปเตรียมชุดที่จะเอาไว้ผลัดเปลี่ยนหลังเล่นที่สวนน้ำ เมื่อเรียบร้อยเตรียมของเรียบร้อยแล้วก็พากันลงมาสมทบกับทุกคนแล้วพากันออกเดินทาง
ขับรถไม่ถึงสิบห้านาทีนาคินก็พากทุกคนมาถึงวัดเขาตะเกียบ เขาจอดรถห่างจากทางเข้าวัดพอสมควรเพราะก่อนทางขึ้นวัดเป็นชายหาด ที่จอดรถจึงถูกสร้างให้อยู่ห่างออกมาหน่อย
แม้วันนี้จะเป็นวันหยุด แต่ที่วัดกลับไม่มีนักท่องเที่ยวมากอย่างที่คิด พวกนาคินพากันเดินขึ้นเขาไปสบายๆ ไม่เร่งรีบ วัดเขาตะเกียบนั้นแบ่งออกเป็นสองตอน เดินมาช่วงครึ่งแรกจะมีพระพุทธรูปให้สักการบูชา มีตู้บริจาค จุดเซียมซี และวัตถุมงคลให้เช่าเหมือนวัดทั่วๆ ไป
แม่แพรไหมหยิบเงินให้นาคินไปซื้อดอกไม้และธูปเทียนมาให้ทุกคน เมื่อได้รับแจกธูปเทียนจากนาคินแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกกันไปจุดธูปเทียนกราบไหว้กัน
นาคินเดินมาต่อแถวจุดเทียนที่ตะเกียงน้ำมันตะเกียงเดียวกับสนธยา เมื่อสนธยาจุดเสร็จแล้วหันมาเจอนาคิน ชายหนุ่มก็ยื่นธูปกับเทียนที่จุดแล้วของตนเองให้หนุ่มรุ่นน้อง ก่อนดึงเอาเทียนกับธูปของอีกฝ่ายมาจุดต่อ พอเรียบร้อยก็ตั้งท่าจะเดินไปไหว้ที่แท่นบูชา แต่ปรากฏว่าเจ้าหนุ่มรุ่นน้องยังคงยืนรออยู่ที่เก่า พวกเขาจึงต้องเดินไปไหว้พระข้างๆ กัน
ด้วยทั้งคณะมากันหลายคน ผนวกกับลมบนเขา ทำให้ควันธูปขาวลอยตลบอบอวนชวนให้แสบตา นาคินรีบสวดรีบไหว้แล้วคลานไปปักธูป ตั้งเทียนและปักดอกไม้ในกระถาง ก่อนถอยออกมายืนรอสนธยาที่ยังนั่งสวดมนต์ตามแผ่นป้ายไม่เสร็จ
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองแผ่นหลังตั้งตรงของคนตรงหน้าเงียบๆ แล้วอยู่ๆ ภาพของใครคนหนึ่งในความฝันก็ซ้อนทับเข้ามา แม้จะต่างที่ ต่างเวลา แต่ด้วยลักษณ์ท่าทางกลับทำให้คนสองคนดูละม้ายคล้ายคลึงราวคนเดียวกัน นาคินเพ่งพิจารณาอยู่เช่นนั้นดั่งตกอยู่ในภวังค์ กระทั่งสนธยาปักธูปเทียนเรียบร้อยแล้วหันกลับมา ภาพที่ซ้อนเข้ามาทับเมื่อครู่จึงถูกสลัดออกไปได้
“ทุกคนล่ะ” เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งเป็นนิจถามขึ้น เมื่อไม่เห็นคนอื่นๆ อยู่ในสายตา
“เอ่อ…ไม่รู้สิครับ” นาคินที่ไม่ได้สนใจใครอื่นเลยเพราะเอาแต่มองสนธยา ไม่สามารถตอบได้ว่าคนอื่นๆ ในครอบครัวไปไหน แต่คาดว่าคงขึ้นไปสักการะด้านบนต่อแล้ว เขาจึงว่า “เจ้าสองแฝดกับแม่ไหว้เสร็จก่อนใคร สงสัยพากันขึ้นไปด้านบนแล้วมั้งครับ”
“งั้นเรารีบตามไปเถอะ”
“ครับ” นาคินพยักหน้า ก่อนเดินนำสนธยาออกไป
ก่อนถึงช่วงบนของวัดเขาตะเกียบต้องเดินขึ้นเขาด้านบันไดเล็กและชันพอสมควร นาคินจึงให้สนธยาเดินนำขึ้นไปก่อน ตัวเองจะได้คอยระวังหลังให้ เผื่อว่าคุณครูพี่สนของนักเรียนตัวโตก้าวพลาด เขาจะได้คอยรับทัน แต่อะไรที่นาคินกลัวก็ไม่เกิดขึ้น เพราะสนธยาเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง มิหนำซ้ำยังเดินเร็วกว่านาคินเสียอีก
ครั้นขึ้นมาถึงบริเวณวัดส่วนบน พวกเขาทั้งสองคนก็พบคนอื่นๆ อยู่กันที่ระเบียงใหญ่ซึ่งเป็นจุดชมวิวของวัดเขาตะเกียบ นาคินเร่งฝีเท้าให้เท่าเทียมคนข้างหน้า เพื่อเดินเคียงกันไปหาพ่อ แม่และน้องๆ พวกเขาพักเหนื่อยและถ่ายรูปที่จุดชมวิวกันจนพอใจ คชินทร์จึงเสนอให้ไปยังสถานที่ถัดไป เนื่องจากเด็กๆ อยากเล่นน้ำที่สวนน้ำกันเต็มที
ระหว่างเดินลงเขาเพื่อกลับไปที่รถ นาคินก็นึกไม่อยากไปเล่นน้ำกับพวกน้องๆ ขึ้นมา เขาจึงกระซิบถามสนธยาว่าอีกฝ่ายคิดเห็นยังไง
“พี่สนอยากเล่นน้ำไหมครับ”
“เฉยๆ เล่นก็ได้ ไม่เล่นก็ได้” นาคินตอบตามจริง แม้จะค่อนไปทางไม่อยากมากกว่า เพราะเขาก็โตแล้ว ไม่ค่อยชอบเล่นอะไรเหมือนเด็กๆ ทั้งสวนน้ำก็มีเด็กเยอะและวุ่นวายไปหมดอีกด้วย
“งั้นเราไปเที่ยวที่อื่นกันไหมครับ ผมไม่ค่อยอยากเล่นน้ำเลย”
“พ่อกับแม่นายจะไม่ว่าอะไรหรือไง”
“ไม่หรอกครับ เดี๋ยวผมขอเอง”
“แล้วนายอยากไปไหนล่ะ”
“ตลาดน้ำไหมครับ อยู่ไม่ไกลจากสวนน้ำที่เด็กๆ จะไปเท่าไหร่ ไปเดินเล่น หาอะไรกินกัน เดี๋ยวบ่ายนิดๆ ค่อยซื้ออาหารมาฝากทุกคนที่สวนน้ำด้วย” ครั้นได้ยินคำตอบ นาคินก็รีบเสนอทันที
“เอางั้นก็ได้” สนธยาพยักหน้า ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แล้วเราจะไปกันสองคนเหรอ”
“ก็ไปกันสองคนสิครับ เด็กๆ น่าจะอยากเล่นน้ำนะผมว่า พ่อกับแม่เองก็คงอยู่คอยเฝ้าน้องๆ”
“อืม” สนธยาพยักหน้าเข้าใจ เพราะนอกจากเด็กๆ แล้ว ดูเหมือนน้องสาวของเขาก็อยากไปที่สวนน้ำนั่นด้วยเหมือนกัน
“ทำไมล่ะครับ พี่สนไม่อยากไปกับผมสองคนเหรอ” คนตัวโตไม่ได้ว่าอย่างแง่งอน แต่ก็อดรู้สึกใจเสียไม่ได้
“เปล่า แค่กลัวว่าพ่อกับแม่ของนายจะน้อยใจที่เราขอแยกไปเที่ยวกันเอง เพราะยังไงก็มาเที่ยวทริปครอบครัว”
“พวกท่านไม่ว่าหรอกครับ เดี๋ยวผมพูดเอง พี่สนไม่ต้องห่วง”
“ตามใจนาย”
ตกลงกันเสร็จนาคินก็วิ่งไปหาพ่อกับแม่ที่เดินอยู่ด้านหน้าเพื่อเอ่ยขอแยกไปเที่ยวอีกที่หนึ่ง คชินทร์กับแพรไหมไม่ได้ว่าอะไรเหมือนกับที่สนธยาคิด เพราะทั้งสองเข้าใจว่าหนุ่มๆ สองคนไม่ได้อยากเล่นน้ำเหมือนเด็กๆ อีกแล้ว ซ้ำการที่ลูกชายจะไปเที่ยวตลาดยังเป็นโอกาสเหมาะที่จะสั่งซื้อขอฝากเสียเลย เมื่อเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้นจะได้ไม่ต้องแวะที่ไหนอีก
กลับจากวัดเขาตะเกียบนาคินก็พาทุกคนไปส่งที่สวนน้ำ และนัดเจอกับครอบครัวอีกครั้งตอนบ่ายสาม สนธยาเป็นคนเก็บใบรายการของฝากที่แพรไหมต้องการเอาไว้ จากนั้นทั้งคู่จึงพากันเดินทางต่อไปยังตลาดน้ำมีชื่อที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่นมากนัก
บรรยากาศยามไปถึงตลาดน้ำนั้นต่างกับตอนไปถึงวัดเขาตะเกียบลิบลับ อาจเพราะเป็นช่วงเวลาเกือบเที่ยงวันจึงทำให้ที่นี่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนซึ่งมาจับจ่ายใช้สอยและหาอาหารกลางวันทาน นาคินกับสนธยาตกลงกันว่าจะเดินเล่นกันก่อน ใกล้กลับค่อยเดินหาซื้อของฝากตามรายการ
ตัวตลาดถูกออกแบบมาให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในตลาดโบราณ ทั้งข้าวของและตัวอาคาร รวมถึงจุดที่จัดเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป นาคินเองก็ดูจะชอบสถานีรถไฟหัวหินจำลองมากเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวใช้เวลาถ่ายรูปอยู่ตรงนั้นนานสองนาน หากแต่สนธยาก็ไม่ได้ว่าอะไร เนื่องจากเขาเองก็ใช้เวลาเดินดูร้านรวงต่างๆ มากเหมือนกัน
พอแดดเริ่มแรงขึ้นสองหนุ่มก็เริ่มมองหาเครื่องดื่มดับกระหาย กระทั่งเดินผ่านร้านน้ำตาลสดร้านหนึ่ง สนธยาจึงแวะหยุดแล้วหันมาหาคนที่เดินตาม
“นายจะเอาด้วยไหม”
“มีน้ำอะไรบ้างครับ”
“มีแต่น้ำตาลสดอย่างเดียว หรือจะลองไปดูร้านอื่น”
“ไม่ล่ะครับ เอาน้ำตาลสดก็ได้”
ได้ยินอย่างนั้นสนธยาก็สั่งกับแม่ค้าแล้วจ่ายเงินให้เสร็จสรรพ ก่อนหันหลับมายื่นน้ำตาลสดในโถดินเผาให้แก่นาคิน เมื่อได้น้ำแล้วทั้งคู่ก็พากันไปนั่งหลบมุมที่เก้าอี้ไม้ริมสระเพื่อพักเหนื่อย
นาคินดูดน้ำตาลสดเย็นๆ เข้าไปอึกใหญ่ ความหวานของมันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสดชื่น อาการเมื่อยล้าจากแดดและความความร้อนหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“วันนี้ร้อนเนอะ”
“ครับ” นาคินเห็นด้วย “แต่ดีที่เราได้ที่นั่งตรงนี้นะครับ ใกล้ริมน้ำ มีที่บังแดด แถมลมดีด้วย”
“อืม” สนธยาครางอย่างเห็นด้วย ก่อนสังเกตว่าน้ำในโถดินเผาของนาคินพร่องลงไปจนเหลือแต่เกร็ดน้ำแข็งให้ได้ยินเสียงหลอดสูดอากาศดังฟืดๆ ทุกครั้งที่นาคิดดูด หนุ่มรุ่นพี่จึงยื่นโถดินเผาของตัวเองไปตรงหน้าของนาคินแทน
“พี่สนไม่เอาแล้วเหรอ”
“ก็ของนายหมดแล้วนี่ แบ่งกันไปสิ นายจะได้ไม่ต้องดูดแต่น้ำแข็ง”
“ขอบคุณครับ” คนตัวโตเอ่ยขอบคุณพลางยิ้มกว้าง ก่อนก้มลงดูดจากมือเรียวแทนการคว้ามาถือไว้เอง
ตอนแรกสนธยาก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นเหลือบขึ้นมอง ในขณะที่ตัวก็โน้นลงดูดน้ำใกล้ๆ มันก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา มือเรียวที่ถือโถดินเผาเสียศูนย์ไปจังหวะหนึ่งที่เจ้าตัวถูกจ้องเอามากๆ อุ้งมืออุ่นของนาคินจึงรีบช้อนประคองเอาไว้กันโถดินเผาร่วงได้ทันท่วงที แต่กระกระทำนี้กลับยิ่งทำให้สนธยาประหม่ามากกว่าเดิม นึกอยากจะดึงมือกลับ แต่มือใหญ่ก็กระชับจับเอาไว้แน่น ดวงตาร้ายกาจคู่นี้ตรึงเขาเอาไว้จนสุดท้ายก็ต้องยอมให้เป็นไปเช่นนั้น กระทั่งนาคินดื่มเสร็จจึงยอมปล่อยมือของเขาเป็นอิสระอีกครั้ง
สนธยานั่งเงียบไม่พูดไม่จา ซ้ำยังผินหน้าไปมองผิวน้ำในสระ จับจ้องราวกับกลัวว่าอะไรจะโผล่ขึ้นมา ซึ่งดูก็รู้ว่าพฤติกรรมเช่นนี้มันไม่เป็นธรรมชาติสักนิด
นาคินมองเสี้ยวหน้าติดหวานและใบหูขึ้นสีแดงยิ้มๆ เมื่อสนธยาไม่ยอมพูด เขาก็ไม่เร้าหรือ ขอแค่ได้มองแบบนี้ก็ดีมากแล้ว นาคินรู้ตัวแน่ชัดว่าตนเองคิดกับคนๆ นี้อย่างไร แต่เขาก็ไม่ได้อยากยัดเหยียดความรู้สึกให้อีกฝ่ายต้องรับเอาไว้รวดเร็วขนาดนั้น เขาคิดว่าถ้ามันเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ขยับเข้าหาทีละก้าวหรือครึ่งก้าว ย่อมต้องดีกว่ารีบกระโจนเข้าไปหา แล้วทำให้อีกฝ่ายเตลิดหนีไปเลยเป็นไหนๆ
ทั้งคู่นั่งข้างกันอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่ ก่อนท้องจะร้องขึ้นมา เป็นสัญญาณให้ลุกไปหาอะไรทานเป็นมื้อกลางวัน อากาศร้อนๆ เช่นนี้ สนธยาออกความคิดว่าควรทานข้าวแช่น่าจะดีกว่า เพราะนอกจากจะอิ่มท้องแล้ว ยังสดชื่นคลายร้อนได้ดีอีกด้วย โชคดีที่เมื่อครู่ตอนเดินเล่นพวกเขาผ่านหน้าร้าน ชายหนุ่มจึงพอจำได้ว่าต้องมุ่งไปทางไหนไม่ให้เสียเวลา
ข้าวแช่หอมๆ กับเครื่องเคียงหลากหลาย ทั้งหวาน ทั้งเค็ม เป็นสำรับชั้นยอดที่ช่วยเติมพลังให้สามารถเดินท่ามกลางอากาศร้อนเพื่อซื้อของตามรายการที่ถูกสั่งมาโดยไม่เหน็ดเหนื่อย เมื่อภารกิจซื้อของฝากเสร็จสิ้น สองหนุ่มจึงพากันกลับไปพบกับครอบครัวตามเวลานัดพอดี
ในขณะที่นาคินขับรถ สนธยาก็จัดเก็บข้าวของที่ซื้อมาให้เป็นระเบียบ ทั้งของฝากตามสั่ง และของที่ตั้งใจซื้อไปฝากคนที่บ้าน มิหนำซ้ำยังมีขนมไทยหลายชนิดที่ซื้อมาลองทานเอง ถุงใส่ของจึงแยกย่อยกันหลายถุงเต็มไปหมด เมื่อจัดเรียบร้อยเขาก็หยิบกล่องขนมกล่องหนึ่งขึ้นมาเปิดลองทานระหว่างทางนั่งรถ มันเป็นขนมสีขาวนวล เม็ดกลม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้น้ำลายสอ
“ขนมอะไรครับ หน้าตาคุ้นๆ แต่ผมนึกชื่อไม่ออก”
“ขนมผิงน่ะ กินไหม” สนธยาถามสารถีอย่างเอื้อเฟื้อ
“กินครับ” คนตัวโตพยักหน้า แต่คิ้วเข้มกลับขมวดมุ่นคล้ายมีอะไรในใจสักอย่าง และสนธยาก็สังเกตเห็นมันเสียด้วย
“เป็นอะไร”
“เปล่าหรอกครับ ผมแค่รู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นขนมนี่ที่ไหน”
“มีขายเยอะแยะไป” สนธยาว่า
“ไม่ครับๆ มันเหมือน…” มันไม่ใช่แค่เคยเห็นธรรมดา ขนมนี่กลับมีความหมายบางอย่างที่ทำให้เขาคุ้นเคย นาคินนิ่งไปเพราะพยายามเพื่อทบทวนความทรงจำ สนธยาเห็นท่าทางเหม่อลอยนั้นจึงตัดบท
“เห็นที่ไหนก็ช่าง กินเถอะ” สนธยาว่าพลางยื่นเม็ดขนมผิงไปจ่อที่ริมฝีปากคนขับรถ นาคินจึงต้องอ้าปากงับอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าทันทีที่ได้ลิ้มรสของมัน ความทรงจำเมื่อฝันครั้งนั้นก็ไหลทะลักเข้ามาในสมอง ภาพแม่แก้วยิ้มยินดีที่คุณสินให้ขนมผิงเป็นรางวัลยังแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้น
“อร่อยไหม”
น้ำเสียงทุ้มลึกสะกิดให้นาคินหันไปมองหน้าคนถาม แล้วก็เป็นอีกครั้งในรอบหนึ่งวัน ที่ใบหน้าของครูดนตรีในอดีตเข้ามาซ้อนทับกับครูดนตรีในปัจจุบัน ยิ่งเพ่งพิศ ยิ่งละม้ายเสียจนอุปมาว่าเป็นคนคนเดียวกัน
“พี่สน”
“มีอะไรก็พูด แล้วก็มองทางตอนขับรถด้วย” สนธยาเตือน
“ผมว่าพี่เหมือนคุณสินมากเลย”
“ทำไมจู่ๆ ถึงพูดขึ้นมา”
“ไม่รู้สิครับ คือผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่พี่เหมือนเขาจริงๆ นะ ให้ความรู้สึกอย่างกับคนเดียวกัน” เงียบไปอึดใจ ชายหนุ่มก็ว่าต่อ “
หรือว่าพี่จะเป็นคุณสินกลับชาติมาเกิด”
“บ้าเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง นายคิดไปถึงไหนกันเนี่ย” พอได้ยินเช่นนั้นนาคินจึงได้สติ แล้วก็เห็นด้วยกับคำพูดของสนธยา
“นั่นสิครับ ผมคงคิดมากไป
มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧
สวัสดีค่ะ
กลับมาต่อแล้วนะคะ
ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร ยังคงดูสบายๆ เรื่อยๆ ตามสไตล์การเขียนของฝน
แต่จะบอกว่า แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไร มันยังยังมีอะไรแฝงอยู่นะคะ งงไหม 55555
แต่บอกเลยว่าหลังจากตอนนี้เป็นต้นไป ทุกๆ อย่างจะเริ่มพีคขึ้น!
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ ดีใจที่มีคนเข้ามาอ่าน มีเข้าไปทวงในเพจบ้าง หรือแม้แต่ติดแท็คในทวิตเตอร์
ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าฝนจะทิ้งเรื่องนี้ไปนะคะ เพราะสัญญาแล้ว่าจะลงจนจบ ไม่มีทางทิ้งแน่นอนค่ะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ
ละอองฝน.