‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)  (อ่าน 103200 ครั้ง)

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
อยากรู้ว่าภาคอดีตจะเป็นไงส่งผลอะไรถึงปัจจุบัน
มีวิญญาณอยู่ในบ้านหรือเปล่า?
ถ้ามีคือวิญญาณใคร?สงสัย?ในเมื่อแก้วก็มาเกิดเป็นนาคิน
ส่วนสินก็มาเกิดเป็นสนแล้วนิ่?
(ใช่หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เดาไปเรื่อย5555)

ออฟไลน์ kedtawan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตามหาตั้งนาน เคยลงในเด็กดี แล้วจู่จู่ก็หายไป มาเจอที่นี่ สุดจะดีมากกกก

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2




๑๓.







   นาคินรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมาเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นกับตนเองให้คนอื่นฟัง แต่เมื่อสนธยาบอกว่าจะฟัง เจ้าตัวก็นั่งฟังอย่างตั้งใจจริงๆ ผ่านไปสักพักหนึ่งนาคินจึงสามารถเล่าได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจอีก



ความฝันผนวกกับความจริงที่ประสบพบเจอตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ค่อยๆ ร้อยเรียงลำดับออกมาเป็นเรื่องราวที่ชวนให้คนฟังรู้สึกอัศจรรย์ใจ หากสนธยาก็ไม่ได้ทักท้วงหรือพูดแทรก เขารอจนกระทั่งนาคินเล่าออกมาจนหมดก๊อก ชายหนุ่มจึงเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง



“นายเคยเล่าเรื่องนี้ให้พ่อกับแม่ฟังหรือเปล่า”

“ผม…ไม่ได้เล่า”

“ทำไมล่ะ” ที่ต้องถามก็เพราะคิดว่าพ่อแม่ควรเป็นคนที่นาคินให้ความไว้วางใจมากที่สุด

“ผมไม่อยากให้ท่านต้องคิดมาก”

“แค่นั้นเหรอ” เพราะเห็นนาคินทำสีหน้าแปลกๆ สนธยาจึงถามย้ำด้วยความเคลือบแคลง

“คือ…” ชายหนุ่มหยุดคิด ก่อนเอ่ยปากเล่า “คือตอนเด็กๆ ผมเคยมีประเด็นที่ฝันถึงเรื่องอะไรแปลกๆ บ่อย แม่ก็เลยกังวลมาก แต่มันก็หายไปหลังเริ่มโตขึ้นมา ตอนนี้ผมก็เลยไม่อยากบอกให้คนที่บ้านรู้”

“อ๋อ ถ้างั้นก็เอาเถอะ ฉันจะไม่ถามถึงเรื่องพ่อกับแม่ของนายก็แล้วกัน เพราะถือว่าตอนนี้นายไว้ใจที่จะเล่าให้ฉันฟัง” สนธยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนเปลี่ยนประเด็น “ถ้าอย่างนั้นงั้นหมดที่เล่ามา มีแค่ครั้งเดียวใช่ไหมที่นายรู้ตัวว่าไม่ได้ฝันไป”

“ถ้าจำไม่พลาด มีครั้งที่เห็นเงาเด็กตะคุ่มหน้าเรือนดอกแก้วกับตอนที่ไปยืนตรงศาลาริมน้ำนะครับ” แม้ส่วนใหญ่สิ่งที่นาคินต้องรับรู้จะมาในรูปแบบของความฝันมากกว่า แต่เหตุการณ์น่าสะพรึงที่เจอเข้ากับตัวก็ไม่มีทางลืมได้ลงอย่างแน่นอน

“แต่นายบอกว่าตอนศาลาริมน้ำ นายไม่รู้ตัวว่ายืนอยู่นานขนาดนั้นได้ยังไงนี่นา ถึงจะไม่หลับไปแบบเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่รู้ตัวใช่ไหม”

“ก็ใช่ครับ” ได้ยินดังนั้นนาคินก็พยักหน้ารับ เนื่องจากครั้งนั้นเขาไม่รู้ตัวจริงๆ

“เพราะงั้นนายอาจจะหลับในก็ได้” สนธยาตั้งข้อสันนิษฐาน

“ยืนหลับเนี่ยนะสน”

“ฉันไม่รู้ แค่สันนิษฐานในทางวิทยาศาสตร์ไว้ก่อน นายจะให้มองว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติก็ได้ แต่เราควรมองสองทางจริงไหม”

“มันก็จริงครับ แต่…” แม้สนธยาจะบอกอย่างนั้น แต่นาคินก็ยังรู้สึกขัดแย้งในใจ เขาไม่รู้ตัวก็จริง ทว่าใครคิดว่าตัวเองยืนหลับได้เป็นชั่วโมงๆ

“แล้วที่ว่าเห็นเงาตะคุ่มของเด็กใต้ต้นไม้อีก ตอนนั้นมันมืดมาก บางทีอาจเป็นเงาไม้ก็ได้”

“เดี๋ยวนะ นี่สนจะบอกว่าผมตาฝาดแล้วเพ้อเจ้อไปเองเหรอ” นาคินรู้ว่าบางทีมันอาจเป็นอย่างที่สนธยาคิด แต่เขาก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ เพราะมันเริ่มเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาพบเจอกำลังกลายเป็นเรื่องเหลวไหลในสายตาของคนที่เขาเชื่อใจและเปิดใจเล่าให้ฟัง นาคินไม่อยากให้สนธยาคิดว่าเขาเพ้อเจ้อหรือบ้าไปเอง

“ฉันไม่ได้ว่าอย่างนั้นสักคำเลยนะคิน แค่คิดเผื่อไว้หลายๆ ด้าน นายจะได้ไม่ต้องหมกมุ่นว่าเรื่องที่ฝันกับเรื่องที่เจอมันคืออะไร”

“แล้วมันต่างกับที่ผมพูดตรงไหนครับ สุดท้ายสนก็คิดว่าผมเพ้อเจ้อไปเอง” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ



ด้วยเรื่องที่เล่าออกมาเป็นเหมือนอะไรที่มีผลกับความรู้สึกของนาคินพอสมควร เพราะนาคินอยู่กับมันมาเนิ่นนาน หลายสิ่งหลายอย่างที่ประสบมันทำให้เขาคิดและเชื่อมโยงไปว่าความฝันกับเหตุการณ์เหล่านั้นมีเงื่อนงำบางอย่างแฝงอยู่ คิดจนเชื่อว่ามันอาจเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง หาใช่เรื่องที่เขาฝันไปเอง



“นายก็รู้ว่ามันเชื่อยาก เรื่องแบบนี้มันพิสูจน์ไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่ได้ว่านายบ้าหรือเพ้อเจ้อ ฉันแค่อยากให้นายเลิกคิดและหมกมุ่นกับมัน เพราะนายบอกเองว่าที่ล้มป่วยคราวนั้นก็เพราะเก็บเรื่องพวกนี้ไปฝัน” สนธยาว่าด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วงชัดเจน เขาอยากสื่อให้รู้ว่าตนเองไม่ได้มีเจตนาอย่างที่นาคินกล่าวหาสักนิด

“ผมจะเก็บเรื่องพวกนี้มาจากไหน ทั้งหมดนั่นมันเกิดขึ้นเอง ผมไม่ได้อยากคิดถึงมันสักหน่อย แต่มันก็ตามมาหลอกหลอนทุกคืน แล้วสนจะให้ผมทำยังไง”

“นี่ อย่าเพิ่งโกรธสิ”

“ผมไม่ได้โกรธ”

“ถ้าอย่างนั้นก็พูดกันดีๆ อย่าทำหน้าแบบนั้น”

“ผมทำหน้าแบบไหนอยู่ล่ะ”

“ทำหน้าผิดหวัง” สนธยาว่า “ฉันขอโทษที่ทำให้นายผิดหวัง ขอโทษที่เป็นที่ปรึกษาดีๆ ให้นายไม่ได้ ฉันก็อยากจะฟังและช่วยเหลือนายเท่าที่ฉันจะช่วยได้ แต่นายต้องเข้าใจนะ เรื่องแบบนี้เอาไปบอกใครก็คงไม่มีใครเชื่อ”

“ผมเข้าใจครับ” พอคิดตามถึงสิ่งที่สนธยาพูด นาคินก็ต้องยอมรับเพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เดิมทีเขาเองยังคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเหลวไหล แม้จะค่อยๆ เปลี่ยนความคิดไปในภายหลังก็ตาม



นาคินนั่งก้มหน้าเงียบๆ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรอีก บรรยากาศระหว่างทั้งสองจึงค่อนข้างอึดอัดขมุกขมัวกว่าในตอนแรกราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ



สนธยารู้สึกว่าลมทะเลหวีดหวิวกับเสียงคลื่นกระทบฝั่งไม่ให้ความรู้สึกรื่นหูอีกแล้ว ดาวเกลื่อนฟ้าที่มองว่าสวยจนแทบหยุดหายใจก็ดูจืดชืดลงไปถนัดตา เขาจ้องมองคนที่นั่งก้มหน้านิ่งๆ ก่อนตัดสินใจเอ่ยอะไรบางอย่างออกมาทำลายความอึดอัด



“คิน”

“ครับ” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มเงยกลับขึ้นมาสบตาคนเรียก

“ฉันไม่ได้ว่าอะไรนาย แค่ไม่อยากให้นายคิดมาก เหมือนที่พูดไปแล้ว”

“ครับ ผมรู้”

“ฉันเข้าใจว่าคนเรามีความเชื่อไม่เหมือนกัน แม้ว่าตอนนี้ฉันยังไม่ปักใจเชื่อที่นายเล่า แต่ฉันก็ไม่ได้พูดสักคำว่ามันไม่มีทางเป็นอย่างที่นายบอก ดังนั้นนายต้องใจเย็นก่อน”

“ครับ”

“อันที่จริง ฉันคิด…” สนธยามีสีหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย คิ้วของเขาขมวดเป็นปมก่อนเจ้าตัวจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วตัดสินใจพูดสิ่งที่ไตร่ตรองอยู่ในหัวออกมา “คิดว่าที่นายพูดก็มีส่วนที่แปลกๆ เหมือนกัน”

“อะไรที่ว่าแปลกครับ”

“ก็ตรงที่เรื่องราวในความฝันของนายมันดำเนินไปเรื่อยๆ น่ะสิ ฉันว่ามันน่าแปลก”

“ยังไงครับ อธิบายหน่อย ผมไม่เข้าใจความหมายของสน”

“มันน่าแปลกตรงที่ ถ้านายหมกมุ่นมากๆ นายควรฝันเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมาถูกไหม แต่นี่จากที่ฟังนายเล่า ดูเหมือนว่าเรื่องราวในความฝันจะดำเนินไปเรื่อยๆ ตั้งแต่แม่แก้วอะไรนั่นเป็นเด็ก จนกระทั่งโตเป็นสาวแล้วรักกับคุณสิน ทุกครั้งที่ฝันถึงก็เป็นเรื่องราวใหม่ๆ ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ครับ แล้วสนคิดว่ามันจะพอมีโอกาสเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงไหมครับ”

“ไม่แน่ใจนะ แต่ถ้าฉากหลังเป็นเรือนดอกแก้ว เราก็น่าจะสืบหาเรื่องพวกนี้ได้ไม่อยาก” ชายนุ่มครุ่นคิด

“สนหมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความว่า ถ้าเรื่องเกิดขึ้นจริงในบ้านของฉัน ไม่ว่าจะย้อนอดีตไปนานแค่ไหน มันก็ต้องมีประวัติหรือเรื่องราวหลงเหลือให้ญาติพี่น้องในรุ่นของฉันรู้บ้างน่ะสิ”

“แล้วสนพอจะรู้ไหม” ความคิดของสนธยาจุดประกายความหวังของนาคินขึ้นมา บางทีเขาอาจไขปริศนาทั้งหมดออกในไม่ช้า

“ฉันไม่แน่ใจ ถ้านานขนาดเป็นจางวางในสมัยพระเจ้าอยู่หัวฯ ร.5 ฉันคงต้องถามพ่อ”

“แต่ถ้าเขาเป็นบรรพบุรุษของสน สนก็น่าจะพอรู้จักบ้างนะครับ”

“อืม…ก็พอรู้ว่าคุณเทียดที่เป็นเจ้าของเรือนดอกแก้วท่านเป็นครูดนตรีน่ะนะ แต่ท่านไม่ได้ชื่อสิน” ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงบรรพบุรุษที่พ่อเคยเล่าประวัติให้ฟังสมัยยังเป็นเด็ก

“แล้วท่านชื่ออะไรครับ”

“ท่านชื่อสร ท่านเป็นคนสอนดนตรีให้ปู่ จากนั้นบ้านเราก็เป็นนักดนตรีกันมารุ่นต่อรุ่น จนถึงปัจจุบันนี่แหละ ส่วนคนที่ชื่อสิน ฉันจำไม่ได้ว่าเคยได้ยิน”



ในความทรงจำของสนธยา เทียดสร หรือ พ่อครูสร เป็นบรรพบุรุษรุ่นแรกของตระกูลที่ริเริ่มการเรียนการสอนดนตรีไทย คุณพ่อของสนธยาเคยเล่าว่าท่านเป็นครูดนตรีมีชื่อในสมัยนั้น ทั้งยังมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย และที่สำคัญท่านยังเป็นผู้สร้างชื่อให้วงศ์ตระกูล จนปัจจุบันเมื่อเอ่ยนามสกุลของสนธยา คนในวงการก็จะรู้ว่าเป็นเชื้อสายของพ่อครูผู้เป็นตำนานคนสำคัญหนึ่ง



“คุณเทียดสรเป็นคนปลูกเรือนดอกแก้วเหรอครับ คือผมหมายถึง ท่านเป็นเจ้าของเรือนดอกแก้วคนแรกใช่ไหม” นาคินกระตือรือร้นถาม

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ฉันไม่แน่ใจ”

“อ้อ” นาคินครางรับเบาๆ เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย เพราะในความฝันของเขา บุรุษผู้เป็นเจ้าของเรือนดอกแก้วคือ คุณสิน หรือ จางวางวิเศษไกรศิลป์ ไม่ใช่พ่อครูชื่อสรอย่างที่สนธยาบอกแน่นอน

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้านายยืนยันว่ามันไม่ใช่ความฝันธรรมดาๆ ทั่วไป ฉันก็จะช่วยนายสืบความเรื่องผู้หญิงชื่อแก้วกับคุณสินให้ แต่คงต้องหลังกลับจากที่นี่ก่อนนะ” สนธยาเสนอ

“สนอึดอัดใจที่ต้องทำหรือเปล่า” นาคินรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่เพราะเขากลัวว่าตนเองจะเป็นภาระให้อีกฝ่าย

“ไม่อึดอัด ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าตกลงมันเป็นยังไง อีกอย่างนายจะได้ไม่ต้องเก็บมาคิดมากด้วย ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน ฉันคิดว่าทุกอย่างจะต้องกระจ่างในที่สุด”

“ขอบคุณนะครับ”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก เพราะถ้าบอกว่าจะช่วยความหมายมันก็เป็นเหมือนที่พูด ฉันเต็มใจและจะอยู่ข้างนายไม่ว่าเรื่องทั้งหมดมันจะเป็นยังไงก็ตาม” มือเรียวของนักดนตรีหนุ่มยื่นไปบีบหลังมือใหญ่ของนาคินเบาๆ ให้เจ้าตัวดีคลายอาการบีบเกร็งออก ทั้งดวงตาสีนิลคู่ใสก็จ้องมองลูกศิษย์ตัวโตด้วยแววอ่อนโยนและมั่นคง นาคินจึงค่อยๆ ลดความตึงเครียดและคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง




นาคินตัดใจว่า แม้สนธยาจะไม่ได้เชื่อเหมือนที่เขาเชื่อ แต่อย่างน้อยตอนนี้เจ้าตัวก็ให้สัญญาว่าจะอยู่เคียงข้าง นั่นแปลว่าเขาจะไม่ต้องเผชิญกับเรื่องนี้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว



“สน”

“หืม?”

“ขออะไรอีกอย่างได้ไหมครับ”

“อะไร”

“ขอหนุนตักได้หรือเปล่า”

“เรื่องอะไร ไม่เกี่ยวกันสักนิด” สนธยาปล่อยมือที่กุมเอาไว้ออก ก่อนจะขยับตัวหนี

“ก็ตอนนี้ผมกำลังไม่สบายใจ ผมอยากให้สนปลอบใจนี่นา”

“หมอนก็มีนั่นไง หนุนหมอนไปสิ” ไม่ว่าเปล่า สนธยายังโยนหมอนที่อยู่ข้างตัวให้นาคินเพิ่มอีกใบด้วย

“โถ่ พี่สนครับ” เจ้าลูกศิษย์ตัวโตอ้อนเสียงอ่อน

“ทีอย่างนี้ทำมาเรียกพี่ นายนี่มันน่ารำคาญจริงๆ นะนาคิน” สนธยาบ่นแต่นาคินก็ไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังทำใจกล้าขออีกรอบ

“นะครับ ขอนอนหนุนตักหน่อย” ดวงตาสีน้ำตาลมองเข้มเว้าวอนเสียจนสนธยาอยากเบือนหน้าหนี หากก็ไม่อาจทำได้ ด้วยสายตาของอีกฝ่ายนั้นมีแรงดึงดูดมากเหลือเกิน สุดท้ายหนุ่มนักดนตรีก็ต้องยอมแพ้ให้แก่ลูกอ้อนของลูกศิษย์ตัวป่วยจนได้

“ก็ได้”

“เยส! ขอบคุณครับ” นาคินขอบคุณด้วยน้ำเสียงเริงร่าแล้วตั้งท่าจะล้มตัวนอนหนุนตัก แต่ก็ถูกสกัดดาวรุ่งเสียก่อนเมื่อคุณครูพี่สนเอ่ยเงื่อนไขข้อหนึ่งขึ้นมา

“ฉันจะให้นานนอนหนุนตักอย่างที่ขอก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต่อไปนี้นายต้องเรียกฉันว่าพี่ เพราะฉันไม่ชอบคนปีนเกลียว”

“ก็ได้ครับ” นาคินยอมง่ายๆ ทว่าก็ไม่วายตั้งข้อแม้ของตัวเองบ้างราวกับกลัวจะเสียเปรียบ “แต่สนต้องแทนตัวเองว่าพี่เหมือนกันนะ”

“ไม่ถนัด” สนธยาปฏิเสธทันที

“ผมก็ไม่ถนัดเหมือนกัน”

“งั้นก็เรื่องของนาย ฉันไปนอนล่ะ”

“เดี๋ยวสิครับ เดี๋ยวๆ” พอสนธยาผุดลุกขึ้น นาคินก็คว้ามือเอาไว้

“ว่าไง”

“อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนสิครับ…พี่สน” สุดท้ายเมื่อนาคินยอม สนธยาจึงยอมบ้างเหมือนกัน เขานั่งขัดสมาธิลงตามเดิมก่อนเสมองท้องทะเลในยามราตรี จากนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบ

“จะทำอะไรก็ทำสิ”

“ครับ!~”



ครั้นเมื่อตอบรับแล้วนาคินก็ล้มตัวลงนอนหนุนตักของพี่ชายใจดี ตาคมได้แต่จ้องมองปลายคางของอีกฝ่าย เนื่องจากสนธยาไม่ยอมก้มหน้าลงมาสบตาด้วย แต่นาคินก็รู้ว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะสนธยากำลังขัดเขิน ชายหนุ่มจึงหลับตาลงไม่และไม่พยายามทำอะไรที่อีกฝ่ายต้องตกประหม่ามากกว่าเดิม



บรรยากาศยามนี้ผ่อนคลายขึ้นกว่าตอนปะทะอารมณ์เมื่อครู่มากนัก มันคล้ายกับทะเลที่สงบหลังพายุกระหน่ำ นาคินนั้นไม่ได้หลับแต่กำลังทบทวนเรื่องที่เปิดใจเล่าให้สนธยาฟังเมื่อครู่ เขาอยากให้ถึงวันที่สามารถตัดสินได้เสียที ว่าเรื่องเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริงหรือแค่คิดไปเอง เขาไม่อยากจมอยู่กับความคิดที่วกวนจนบางครั้งราวกับกำลังจะกลายเป็นบ้า เพราะกลัวว่าวันหนึ่งตัวเองจะแยกความจริงกับความฝันไม่ออก



   ส่วนคนทำหน้าที่ต่างหมอนก็ก้มลงมองคนที่หนุนตัก เนื่องจากอีกฝ่ายเงียบไปจนเกรงว่าจะเผลอหลับ สนธยาพบว่าเจ้าลูกศิษย์ตัวโตนอนหลับตา คิ้วเข้มขมวดแน่น และเมื่อสังเกตให้ลึกลงไปอีกนิด เขาก็เห็นความอ่อนล้าบนใบหน้าของอีกฝ่ายด้วย สนธยาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านาคินมีสภาพทรุดโทรมลงไปขนาดนี้ แม้ก่อนหน้าจะเจ้าตัวจะดูเหนื่อยๆ บ้างก็ตาม



   เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง เรื่องที่นาคินเล่าคงจะมีรบกวนจิตใจของชายหนุ่มมากจริงๆ ทั้งก่อนหน้าที่ไม่สบายหนักและยังหมดสติไปเฉยๆ เช่นวันนั้น เขาหงุดหงิดตัวเองที่ไม่พยายามทำให้นาคินเปิดใจเร็วกว่านี้ ไม่พยายามหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เร็วกว่านี้ ทั้งที่ยามเมื่อเขามีปัญหา เป็นนาคินเสียอีกที่ค่อยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ จนเขาผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้



   มือนุ่มของหนุ่มนักดนตรียกขึ้นมาลูบหัวของลูกศิษย์ตัวโตเบาๆ สัมผัสที่ได้รับจากสนธยาทำให้นาคินรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น ความคิดวุ่นวายที่อยู่ในหัวถูกปัดปลิวให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง มันเป็นการปลอบประโลมที่ทำให้นาคินตื้นตันขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ คล้ายกับว่าในส่วนลึกที่สุดของหัวใจนั้นโหยหาสัมผัสของอุ้งมืออุ่นคู่นี้มาตลอด



   ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้ง และเขาก็พบกับดวงตาอีกคู่ที่เฝ้ามองเขาอยู่ก่อนแล้ว ในวินาทีนั้นช่วงเวลาที่ไหลผ่านกายเหมือนหยุดลงแล้วค่อยๆ ย้อนกลับไปในห้วงอดีต อดีตที่เคยถูกมองด้วยสายตาอ่อนโยนของคนคนนั้น





สายตาของชายหนุ่มที่ชื่อว่า ‘สิน’







‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧





สวัสดีค่ะ
ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว 555555
หลังจากที่หายจะเรื่องนี้ไปนาน
ตอนนี้กลับมาสปีดต่อเรียบร้อย
ตั้งใจว่าจะให้จบในเร็ววันนี้
ต้องขอโทษด้วยที่ให้รอนานค่ะ  :hao5:



ละอองฝน.

[๒๙/๐๓/๒๕๕๗]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-03-2016 00:57:18 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เย้ๆ กลับมาแล้ววว

ออฟไลน์ Autonomyz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
ดีใจที่กลับมาต่อ คิดถึงคิน
ขอให้คุณสินกับแก้วได้มีความสุขสักทีนะคะ

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
พี่สนแพ้ให้กับลูกอ้อนของเจ้าเด็กตัวโตอีกจนได้นะคะเนี่ย :-[ 

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2


๑๔.





   แสงแดดยามเช้าลอดผ่านม่านขาวที่ปลิวไสวเพราะลมทะเลเผยให้เห็นสองร่างที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงกว้าง นาคินและสนธยาต่างก็จมอยู่ในห้วงนิทราไม่รู้สึกตัวทั้งที่คนในบ้านตื่นนอนกันหมดแล้ว จนกระทั่งแพรไหมวานให้มัทนาขึ้นมาเคาะประตูห้องเรียกให้ลงไปทานอาหารเช้านาคินจึงรู้สึกตัว


   สนธยาตั้งใจจะลุกไปเปิดประตูแล้วบอกกล่าวกับน้องสาวว่าตนเองตื่นนอนแล้ว แต่ข้างกายกับมีอุปสรรคชิ้นโตขวางเอาไว้ ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงตะโกนโต้ตอบกับมัทนาเท่านั้น


   เมื่อมัทนาถอยกลับลงไปทานอาหารข้างล่างเรียบร้อย คนที่เพิ่งตื่นนอนก็ก้มหน้ามองศีรษะของใครอีกคนซึ่งพาดอยู่บนหน้าท้องของตน ชายหนุ่มนึกขำกึ่งฉุนเจ้าลูกศิษย์ตัวโตที่นอนดิ้นจนลงไปคู้ตัวหนุนท้องเขาแบบนั้น พลางคิดในใจว่าควรจะปลุกดีๆ หรือผลักหัวออกไปเลยจะได้ตื่นเต็มตา แต่ขณะที่กำลังนึกลังเลตัวเจ้าปัญหาก็รู้สึกตัวเสียก่อน


   นาคินขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งทันทีเมื่อรู้ว่าตนนอนท่าไหน ชายหนุ่มหันกลับมามองสนธยาเลิกลัก เมื่อพบว่าคุณครูพี่สนตื่นอยู่ก่อนแล้วก็เผยยิ้มแหยออกมา แล้วว่า


   “ตื่นนานหรือยังครับ”

   “เพิ่งตื่นเมื่อกี้” สนธยาตอบขณะกระถดตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง “นายนี่นอนดิ้นไม่ใช่เล่นนะ”

   “พี่สนหนักไหม”

   “หนักและเมื่อยมากกก” เขาลากเสียงยาวคำหลังอย่างจงใจ

   “ขอโทษครับ”

   “ไม่ยกโทษให้” ชายหนุ่มยิ้มอย่างเหนือกว่า

   “ใจร้ายจัง ถ้าขอโทษแล้วยังไม่ยกโทษให้ พี่จะให้ผมไถ่โทษยังไงดีล่ะครับ” เจ้าตัวดีแสร้งทำเป็นหูลู่หางตก แต่นัยน์ตากลับประกายระยับต่างจากท่าทางสลดสุดกู่

   “นายคิดสิ”

   “งั้น…ผมนวดให้ดีไหม” ไม่ว่าเปล่า นาคินยังยื่นมือออกมาแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น กระทั่งสนธยาต้องขยับหนี

   “ไม่ต้อง ฉันแค่ล้อเล่น” เห็นนาคินดูจริงจังที่จะแกล้งตนเองมากกว่าสำนึกผิด ความรู้สึกเหนือกว่าก็ลดลงไปจนติดลบ อะไรๆ ก็ชักไม่สนุกอย่างที่คิดเสียแล้ว

   “ไม่ได้สิครับ ผมต้องทำอะไรสักอย่างไถ่โทษ ไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกผิดมาก”  เว้นวรรคเพียงแค่นิดเดียว ยังไม่ทันที่สนธยาจะเอ่ยปฏิเสธอีกรอบ นาคินก็ว่าต่อ “ ผมคิดออกแล้ว ในเมื่อไม่อยากให้นวดให้ ถ้างั้นพี่สินก็นอนทับพุงผมแทนดีกว่า เราจะหายกัน”

   “ไม่เอาๆ เมื่อกี้ที่ว่านั่นฉันแค่ล้อเล่น ฉันไม่ได้ติดใจอะไรสักหน่อย”

   “ไม่ได้ครับ ผมต้องรับผิดชอบพี่” ร่างโตกว่าของรุ่นน้องเข้าไปคลุกวงใน พยายามบังคับขู่เข็นด้วยร่างกายให้รุ่นพี่ล้มตัวลงนอนหนุนตัวเอง

   “ไม่เอา อย่าเล่นบ้าๆ นะคิน!” สนธยาปัดป้อง สู้กันชุลมุนชุนละเก จนหนุ่มรุ่นพี่กระโดดลงจากเตียงได้ เจ้าตัวจึงสบถออกมาหนึ่งคำ

“โธ่ ไม่ได้เล่นสักหน่อยครับ” ชายหนุ่มว่าอย่างแสนเสียดายที่คว้าตัวสนธยาเอาไว้ไม่ได้

“ยังจะมาแก้ตัวอีก” สนธยามุ่ยหน้า ก่อนเปลี่ยนสีหน้ามาอยู่ในโหมดจริงจัง “แล้วเมื่อคืนฝันอะไรแปลกๆ อีกไหม”

“ไม่นะครับ หลับสนิทเลยล่ะ”

“ดีแล้ว”

“นั่นแน่! พี่สนเป็นห่วงผมเหรอครับ”

“ไม่เลย แค่ถามเฉยๆ”

“แหมใจร้ายจัง ผมเสียใจเลยนะเนี่ย”

“เรื่องของนายสิ” ว่าจบหนุ่มรุ่นพี่ก็คว้าผ้าเช็ดตัวหนีเข้าห้องน้ำทันที



   นาคินได้แต่นั่งหัวเราะในท่าทางนั่น รู้สึกสนุกสดชื่นที่ตื่นขึ้นมาก็แกล้งให้คุณครูพี่สนแหวใส่ได้สองสามประโยค เขาชอบความสัมพันธ์ของตนเองกับสนธยาในเวลานี้เหลือเกิน แม้เมื่ออยู่ในอารมณ์ปรกติสนธยาจะพูดคุยกับเขาในรูปประโยคเหมือนๆ เดิมไม่เปลี่ยน  แต่นาคินก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะเปิดใจรับเขาได้แล้ว ซ้ำยังคอยเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าแต่ก่อนอีกด้วย เขารู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกจริงๆ ที่เลือกบอกเรื่องความฝันลึกลับนั้นกับสนธยา








   เมื่อทำกิจวัตรส่วนตัวในตอนเช้าเสร็จเรียบร้อย ทั้งสนธยาและนาคินก็ลงไปทานอาหารข้างล่างซึ่งทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทันทีที่เห็นสองหนุ่มลงมาจากห้องคชินทร์ก็แจงโปรแกรมทัวร์ของวันนี้ให้ฟัง ซึ่งมีทั้งไปไหว้พระขอพรที่วัดเขาตะเกียบซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก แล้วก็ยังไปตลาดน้ำสามพันนามก่อนจะพาเด็กๆ แวะสวนน้ำเป็นที่สุดท้ายค่อยกลับเข้ามาพักผ่อน เพื่อวันรุ่งขึ้นจะได้เดินทางกลับกรุงเทพ


   ดังนั้นหลังจัดการกับอาหารเช้าเสร็จ สนธยากับนาคินจึงต้องเดินขึ้นไปเตรียมชุดที่จะเอาไว้ผลัดเปลี่ยนหลังเล่นที่สวนน้ำ เมื่อเรียบร้อยเตรียมของเรียบร้อยแล้วก็พากันลงมาสมทบกับทุกคนแล้วพากันออกเดินทาง


   ขับรถไม่ถึงสิบห้านาทีนาคินก็พากทุกคนมาถึงวัดเขาตะเกียบ เขาจอดรถห่างจากทางเข้าวัดพอสมควรเพราะก่อนทางขึ้นวัดเป็นชายหาด ที่จอดรถจึงถูกสร้างให้อยู่ห่างออกมาหน่อย


   แม้วันนี้จะเป็นวันหยุด แต่ที่วัดกลับไม่มีนักท่องเที่ยวมากอย่างที่คิด พวกนาคินพากันเดินขึ้นเขาไปสบายๆ ไม่เร่งรีบ วัดเขาตะเกียบนั้นแบ่งออกเป็นสองตอน เดินมาช่วงครึ่งแรกจะมีพระพุทธรูปให้สักการบูชา มีตู้บริจาค จุดเซียมซี และวัตถุมงคลให้เช่าเหมือนวัดทั่วๆ ไป


   แม่แพรไหมหยิบเงินให้นาคินไปซื้อดอกไม้และธูปเทียนมาให้ทุกคน เมื่อได้รับแจกธูปเทียนจากนาคินแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกกันไปจุดธูปเทียนกราบไหว้กัน


   นาคินเดินมาต่อแถวจุดเทียนที่ตะเกียงน้ำมันตะเกียงเดียวกับสนธยา เมื่อสนธยาจุดเสร็จแล้วหันมาเจอนาคิน ชายหนุ่มก็ยื่นธูปกับเทียนที่จุดแล้วของตนเองให้หนุ่มรุ่นน้อง ก่อนดึงเอาเทียนกับธูปของอีกฝ่ายมาจุดต่อ พอเรียบร้อยก็ตั้งท่าจะเดินไปไหว้ที่แท่นบูชา แต่ปรากฏว่าเจ้าหนุ่มรุ่นน้องยังคงยืนรออยู่ที่เก่า พวกเขาจึงต้องเดินไปไหว้พระข้างๆ กัน


   ด้วยทั้งคณะมากันหลายคน ผนวกกับลมบนเขา ทำให้ควันธูปขาวลอยตลบอบอวนชวนให้แสบตา นาคินรีบสวดรีบไหว้แล้วคลานไปปักธูป ตั้งเทียนและปักดอกไม้ในกระถาง ก่อนถอยออกมายืนรอสนธยาที่ยังนั่งสวดมนต์ตามแผ่นป้ายไม่เสร็จ


   ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองแผ่นหลังตั้งตรงของคนตรงหน้าเงียบๆ แล้วอยู่ๆ ภาพของใครคนหนึ่งในความฝันก็ซ้อนทับเข้ามา แม้จะต่างที่  ต่างเวลา แต่ด้วยลักษณ์ท่าทางกลับทำให้คนสองคนดูละม้ายคล้ายคลึงราวคนเดียวกัน นาคินเพ่งพิจารณาอยู่เช่นนั้นดั่งตกอยู่ในภวังค์ กระทั่งสนธยาปักธูปเทียนเรียบร้อยแล้วหันกลับมา ภาพที่ซ้อนเข้ามาทับเมื่อครู่จึงถูกสลัดออกไปได้


   “ทุกคนล่ะ” เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งเป็นนิจถามขึ้น เมื่อไม่เห็นคนอื่นๆ อยู่ในสายตา

   “เอ่อ…ไม่รู้สิครับ” นาคินที่ไม่ได้สนใจใครอื่นเลยเพราะเอาแต่มองสนธยา ไม่สามารถตอบได้ว่าคนอื่นๆ ในครอบครัวไปไหน แต่คาดว่าคงขึ้นไปสักการะด้านบนต่อแล้ว เขาจึงว่า “เจ้าสองแฝดกับแม่ไหว้เสร็จก่อนใคร สงสัยพากันขึ้นไปด้านบนแล้วมั้งครับ”

   “งั้นเรารีบตามไปเถอะ”

   “ครับ” นาคินพยักหน้า ก่อนเดินนำสนธยาออกไป



   ก่อนถึงช่วงบนของวัดเขาตะเกียบต้องเดินขึ้นเขาด้านบันไดเล็กและชันพอสมควร นาคินจึงให้สนธยาเดินนำขึ้นไปก่อน ตัวเองจะได้คอยระวังหลังให้ เผื่อว่าคุณครูพี่สนของนักเรียนตัวโตก้าวพลาด เขาจะได้คอยรับทัน แต่อะไรที่นาคินกลัวก็ไม่เกิดขึ้น เพราะสนธยาเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง มิหนำซ้ำยังเดินเร็วกว่านาคินเสียอีก


   ครั้นขึ้นมาถึงบริเวณวัดส่วนบน พวกเขาทั้งสองคนก็พบคนอื่นๆ อยู่กันที่ระเบียงใหญ่ซึ่งเป็นจุดชมวิวของวัดเขาตะเกียบ นาคินเร่งฝีเท้าให้เท่าเทียมคนข้างหน้า เพื่อเดินเคียงกันไปหาพ่อ แม่และน้องๆ พวกเขาพักเหนื่อยและถ่ายรูปที่จุดชมวิวกันจนพอใจ คชินทร์จึงเสนอให้ไปยังสถานที่ถัดไป เนื่องจากเด็กๆ อยากเล่นน้ำที่สวนน้ำกันเต็มที


   ระหว่างเดินลงเขาเพื่อกลับไปที่รถ นาคินก็นึกไม่อยากไปเล่นน้ำกับพวกน้องๆ ขึ้นมา เขาจึงกระซิบถามสนธยาว่าอีกฝ่ายคิดเห็นยังไง


   “พี่สนอยากเล่นน้ำไหมครับ”

   “เฉยๆ เล่นก็ได้ ไม่เล่นก็ได้” นาคินตอบตามจริง แม้จะค่อนไปทางไม่อยากมากกว่า เพราะเขาก็โตแล้ว ไม่ค่อยชอบเล่นอะไรเหมือนเด็กๆ ทั้งสวนน้ำก็มีเด็กเยอะและวุ่นวายไปหมดอีกด้วย

   “งั้นเราไปเที่ยวที่อื่นกันไหมครับ ผมไม่ค่อยอยากเล่นน้ำเลย”

   “พ่อกับแม่นายจะไม่ว่าอะไรหรือไง”

   “ไม่หรอกครับ เดี๋ยวผมขอเอง”

   “แล้วนายอยากไปไหนล่ะ”

   “ตลาดน้ำไหมครับ อยู่ไม่ไกลจากสวนน้ำที่เด็กๆ จะไปเท่าไหร่ ไปเดินเล่น หาอะไรกินกัน เดี๋ยวบ่ายนิดๆ ค่อยซื้ออาหารมาฝากทุกคนที่สวนน้ำด้วย” ครั้นได้ยินคำตอบ นาคินก็รีบเสนอทันที

   “เอางั้นก็ได้” สนธยาพยักหน้า ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แล้วเราจะไปกันสองคนเหรอ”

   “ก็ไปกันสองคนสิครับ เด็กๆ น่าจะอยากเล่นน้ำนะผมว่า พ่อกับแม่เองก็คงอยู่คอยเฝ้าน้องๆ”

“อืม” สนธยาพยักหน้าเข้าใจ  เพราะนอกจากเด็กๆ แล้ว ดูเหมือนน้องสาวของเขาก็อยากไปที่สวนน้ำนั่นด้วยเหมือนกัน

“ทำไมล่ะครับ พี่สนไม่อยากไปกับผมสองคนเหรอ” คนตัวโตไม่ได้ว่าอย่างแง่งอน แต่ก็อดรู้สึกใจเสียไม่ได้

   “เปล่า แค่กลัวว่าพ่อกับแม่ของนายจะน้อยใจที่เราขอแยกไปเที่ยวกันเอง เพราะยังไงก็มาเที่ยวทริปครอบครัว”

   “พวกท่านไม่ว่าหรอกครับ เดี๋ยวผมพูดเอง พี่สนไม่ต้องห่วง”

   “ตามใจนาย”


   ตกลงกันเสร็จนาคินก็วิ่งไปหาพ่อกับแม่ที่เดินอยู่ด้านหน้าเพื่อเอ่ยขอแยกไปเที่ยวอีกที่หนึ่ง คชินทร์กับแพรไหมไม่ได้ว่าอะไรเหมือนกับที่สนธยาคิด เพราะทั้งสองเข้าใจว่าหนุ่มๆ สองคนไม่ได้อยากเล่นน้ำเหมือนเด็กๆ อีกแล้ว ซ้ำการที่ลูกชายจะไปเที่ยวตลาดยังเป็นโอกาสเหมาะที่จะสั่งซื้อขอฝากเสียเลย เมื่อเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้นจะได้ไม่ต้องแวะที่ไหนอีก


   กลับจากวัดเขาตะเกียบนาคินก็พาทุกคนไปส่งที่สวนน้ำ และนัดเจอกับครอบครัวอีกครั้งตอนบ่ายสาม สนธยาเป็นคนเก็บใบรายการของฝากที่แพรไหมต้องการเอาไว้ จากนั้นทั้งคู่จึงพากันเดินทางต่อไปยังตลาดน้ำมีชื่อที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่นมากนัก


   บรรยากาศยามไปถึงตลาดน้ำนั้นต่างกับตอนไปถึงวัดเขาตะเกียบลิบลับ อาจเพราะเป็นช่วงเวลาเกือบเที่ยงวันจึงทำให้ที่นี่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนซึ่งมาจับจ่ายใช้สอยและหาอาหารกลางวันทาน นาคินกับสนธยาตกลงกันว่าจะเดินเล่นกันก่อน ใกล้กลับค่อยเดินหาซื้อของฝากตามรายการ


   ตัวตลาดถูกออกแบบมาให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในตลาดโบราณ ทั้งข้าวของและตัวอาคาร รวมถึงจุดที่จัดเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป นาคินเองก็ดูจะชอบสถานีรถไฟหัวหินจำลองมากเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวใช้เวลาถ่ายรูปอยู่ตรงนั้นนานสองนาน หากแต่สนธยาก็ไม่ได้ว่าอะไร เนื่องจากเขาเองก็ใช้เวลาเดินดูร้านรวงต่างๆ มากเหมือนกัน


   พอแดดเริ่มแรงขึ้นสองหนุ่มก็เริ่มมองหาเครื่องดื่มดับกระหาย กระทั่งเดินผ่านร้านน้ำตาลสดร้านหนึ่ง สนธยาจึงแวะหยุดแล้วหันมาหาคนที่เดินตาม


   “นายจะเอาด้วยไหม”

   “มีน้ำอะไรบ้างครับ”

   “มีแต่น้ำตาลสดอย่างเดียว หรือจะลองไปดูร้านอื่น”

   “ไม่ล่ะครับ เอาน้ำตาลสดก็ได้”


   ได้ยินอย่างนั้นสนธยาก็สั่งกับแม่ค้าแล้วจ่ายเงินให้เสร็จสรรพ ก่อนหันหลับมายื่นน้ำตาลสดในโถดินเผาให้แก่นาคิน เมื่อได้น้ำแล้วทั้งคู่ก็พากันไปนั่งหลบมุมที่เก้าอี้ไม้ริมสระเพื่อพักเหนื่อย


   นาคินดูดน้ำตาลสดเย็นๆ เข้าไปอึกใหญ่ ความหวานของมันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสดชื่น อาการเมื่อยล้าจากแดดและความความร้อนหายไปเป็นปลิดทิ้ง


   “วันนี้ร้อนเนอะ”

   “ครับ” นาคินเห็นด้วย “แต่ดีที่เราได้ที่นั่งตรงนี้นะครับ ใกล้ริมน้ำ มีที่บังแดด แถมลมดีด้วย”

   “อืม” สนธยาครางอย่างเห็นด้วย ก่อนสังเกตว่าน้ำในโถดินเผาของนาคินพร่องลงไปจนเหลือแต่เกร็ดน้ำแข็งให้ได้ยินเสียงหลอดสูดอากาศดังฟืดๆ ทุกครั้งที่นาคิดดูด หนุ่มรุ่นพี่จึงยื่นโถดินเผาของตัวเองไปตรงหน้าของนาคินแทน

   “พี่สนไม่เอาแล้วเหรอ”

   “ก็ของนายหมดแล้วนี่ แบ่งกันไปสิ นายจะได้ไม่ต้องดูดแต่น้ำแข็ง”

   “ขอบคุณครับ” คนตัวโตเอ่ยขอบคุณพลางยิ้มกว้าง ก่อนก้มลงดูดจากมือเรียวแทนการคว้ามาถือไว้เอง


   ตอนแรกสนธยาก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นเหลือบขึ้นมอง ในขณะที่ตัวก็โน้นลงดูดน้ำใกล้ๆ มันก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา มือเรียวที่ถือโถดินเผาเสียศูนย์ไปจังหวะหนึ่งที่เจ้าตัวถูกจ้องเอามากๆ อุ้งมืออุ่นของนาคินจึงรีบช้อนประคองเอาไว้กันโถดินเผาร่วงได้ทันท่วงที แต่กระกระทำนี้กลับยิ่งทำให้สนธยาประหม่ามากกว่าเดิม นึกอยากจะดึงมือกลับ แต่มือใหญ่ก็กระชับจับเอาไว้แน่น ดวงตาร้ายกาจคู่นี้ตรึงเขาเอาไว้จนสุดท้ายก็ต้องยอมให้เป็นไปเช่นนั้น กระทั่งนาคินดื่มเสร็จจึงยอมปล่อยมือของเขาเป็นอิสระอีกครั้ง


   สนธยานั่งเงียบไม่พูดไม่จา ซ้ำยังผินหน้าไปมองผิวน้ำในสระ จับจ้องราวกับกลัวว่าอะไรจะโผล่ขึ้นมา ซึ่งดูก็รู้ว่าพฤติกรรมเช่นนี้มันไม่เป็นธรรมชาติสักนิด


   นาคินมองเสี้ยวหน้าติดหวานและใบหูขึ้นสีแดงยิ้มๆ เมื่อสนธยาไม่ยอมพูด เขาก็ไม่เร้าหรือ ขอแค่ได้มองแบบนี้ก็ดีมากแล้ว นาคินรู้ตัวแน่ชัดว่าตนเองคิดกับคนๆ นี้อย่างไร แต่เขาก็ไม่ได้อยากยัดเหยียดความรู้สึกให้อีกฝ่ายต้องรับเอาไว้รวดเร็วขนาดนั้น เขาคิดว่าถ้ามันเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ขยับเข้าหาทีละก้าวหรือครึ่งก้าว ย่อมต้องดีกว่ารีบกระโจนเข้าไปหา แล้วทำให้อีกฝ่ายเตลิดหนีไปเลยเป็นไหนๆ


   ทั้งคู่นั่งข้างกันอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่ ก่อนท้องจะร้องขึ้นมา เป็นสัญญาณให้ลุกไปหาอะไรทานเป็นมื้อกลางวัน อากาศร้อนๆ เช่นนี้ สนธยาออกความคิดว่าควรทานข้าวแช่น่าจะดีกว่า เพราะนอกจากจะอิ่มท้องแล้ว ยังสดชื่นคลายร้อนได้ดีอีกด้วย โชคดีที่เมื่อครู่ตอนเดินเล่นพวกเขาผ่านหน้าร้าน ชายหนุ่มจึงพอจำได้ว่าต้องมุ่งไปทางไหนไม่ให้เสียเวลา


   ข้าวแช่หอมๆ กับเครื่องเคียงหลากหลาย ทั้งหวาน ทั้งเค็ม เป็นสำรับชั้นยอดที่ช่วยเติมพลังให้สามารถเดินท่ามกลางอากาศร้อนเพื่อซื้อของตามรายการที่ถูกสั่งมาโดยไม่เหน็ดเหนื่อย เมื่อภารกิจซื้อของฝากเสร็จสิ้น สองหนุ่มจึงพากันกลับไปพบกับครอบครัวตามเวลานัดพอดี


   ในขณะที่นาคินขับรถ สนธยาก็จัดเก็บข้าวของที่ซื้อมาให้เป็นระเบียบ ทั้งของฝากตามสั่ง และของที่ตั้งใจซื้อไปฝากคนที่บ้าน มิหนำซ้ำยังมีขนมไทยหลายชนิดที่ซื้อมาลองทานเอง ถุงใส่ของจึงแยกย่อยกันหลายถุงเต็มไปหมด เมื่อจัดเรียบร้อยเขาก็หยิบกล่องขนมกล่องหนึ่งขึ้นมาเปิดลองทานระหว่างทางนั่งรถ มันเป็นขนมสีขาวนวล เม็ดกลม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้น้ำลายสอ


   “ขนมอะไรครับ หน้าตาคุ้นๆ แต่ผมนึกชื่อไม่ออก”

   “ขนมผิงน่ะ กินไหม” สนธยาถามสารถีอย่างเอื้อเฟื้อ

   “กินครับ” คนตัวโตพยักหน้า แต่คิ้วเข้มกลับขมวดมุ่นคล้ายมีอะไรในใจสักอย่าง และสนธยาก็สังเกตเห็นมันเสียด้วย

   “เป็นอะไร”

   “เปล่าหรอกครับ ผมแค่รู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นขนมนี่ที่ไหน”

   “มีขายเยอะแยะไป” สนธยาว่า

   “ไม่ครับๆ มันเหมือน…” มันไม่ใช่แค่เคยเห็นธรรมดา ขนมนี่กลับมีความหมายบางอย่างที่ทำให้เขาคุ้นเคย นาคินนิ่งไปเพราะพยายามเพื่อทบทวนความทรงจำ สนธยาเห็นท่าทางเหม่อลอยนั้นจึงตัดบท

   “เห็นที่ไหนก็ช่าง กินเถอะ”  สนธยาว่าพลางยื่นเม็ดขนมผิงไปจ่อที่ริมฝีปากคนขับรถ นาคินจึงต้องอ้าปากงับอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าทันทีที่ได้ลิ้มรสของมัน ความทรงจำเมื่อฝันครั้งนั้นก็ไหลทะลักเข้ามาในสมอง ภาพแม่แก้วยิ้มยินดีที่คุณสินให้ขนมผิงเป็นรางวัลยังแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้น

   “อร่อยไหม”


   น้ำเสียงทุ้มลึกสะกิดให้นาคินหันไปมองหน้าคนถาม แล้วก็เป็นอีกครั้งในรอบหนึ่งวัน ที่ใบหน้าของครูดนตรีในอดีตเข้ามาซ้อนทับกับครูดนตรีในปัจจุบัน ยิ่งเพ่งพิศ ยิ่งละม้ายเสียจนอุปมาว่าเป็นคนคนเดียวกัน


   “พี่สน”

   “มีอะไรก็พูด แล้วก็มองทางตอนขับรถด้วย” สนธยาเตือน

   “ผมว่าพี่เหมือนคุณสินมากเลย”

   “ทำไมจู่ๆ ถึงพูดขึ้นมา”

   “ไม่รู้สิครับ คือผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่พี่เหมือนเขาจริงๆ นะ ให้ความรู้สึกอย่างกับคนเดียวกัน” เงียบไปอึดใจ ชายหนุ่มก็ว่าต่อ “หรือว่าพี่จะเป็นคุณสินกลับชาติมาเกิด

   “บ้าเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง นายคิดไปถึงไหนกันเนี่ย” พอได้ยินเช่นนั้นนาคินจึงได้สติ แล้วก็เห็นด้วยกับคำพูดของสนธยา

   “นั่นสิครับ ผมคงคิดมากไป มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก







‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧



สวัสดีค่ะ
กลับมาต่อแล้วนะคะ
ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร ยังคงดูสบายๆ เรื่อยๆ ตามสไตล์การเขียนของฝน  :hao5:
แต่จะบอกว่า แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไร มันยังยังมีอะไรแฝงอยู่นะคะ งงไหม 55555
แต่บอกเลยว่าหลังจากตอนนี้เป็นต้นไป ทุกๆ อย่างจะเริ่มพีคขึ้น!  :z2:
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ ดีใจที่มีคนเข้ามาอ่าน มีเข้าไปทวงในเพจบ้าง หรือแม้แต่ติดแท็คในทวิตเตอร์
ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ  ไม่ต้องกลัวว่าฝนจะทิ้งเรื่องนี้ไปนะคะ เพราะสัญญาแล้ว่าจะลงจนจบ ไม่มีทางทิ้งแน่นอนค่ะ

เจอกันตอนหน้าค่ะ  :katai4:


ละอองฝน.



ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ดีใจที่คุณฝนยังไม่ลืมเรื่องนี้...!
ได้แต่รอ ร้อ รอ รอว่าจะเกิดอะไรขึ้นในแต่ละตอน

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ haramoonlight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ปริศนาเต็มไปหมด เดาอะไรไม่ถูกเลย สินกับสนเดาว่าน่าเป็นคนเดียวกัน แต่คินกับแก้วเกี่ยวข้องกันยังไงอันนี้เดสไม่ถูกเลย

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2



๑๕






หลังจากทริปต่างจังหวัดกับครอบครัวของนาคิน สนธยาก็กลับมาใช้ชีวิตตามปรกติ ไปเรียน สอนดนตรี ซ้อมดนตรี สังสรรค์กับเพื่อนบ้างวนไปมาอยู่เท่านี้ แต่ในระยะหลังเวลาซ้อมดนตรีคนเดียวช่วงค่ำ เขาจะมีเจ้าลูกศิษย์ตัวดีมานั่งเป็นเพื่อน ในบางครั้งเจ้าตัวก็ลองเล่นเครื่องดนตรีอื่นๆ บางครั้งก็ซ้อมขิมที่ฝึกเรียนไป หรือบ่อยครั้งที่หอบเอาคอมพิวเตอร์ส่วนตัวมานั่งพิมพ์อะไรอยู่ใกล้ๆ ให้สนธยารำคาญตาเล่น



สนธยารู้สึกว่าตัวเองคุยกับนาคินมากขึ้นจนกลายเป็นสนิทใจ นาคินในตอนนี้ไม่ต่างกับนาคินที่เขาเจอตอนที่เข้ามาพักอาศัยอยู่ในบ้านวันแรกเท่าไหร่ เจ้าลูกศิษย์ตัวโตยังคงชอบกวนประสาท ช่างพูดช่างเจรจาเหมือนเดิม แต่ที่ดูจะต่างไปนิดก็ตรงที่นาคินยอมแสดงมุมหนึ่งซึ่งซุกซ่อนเอาไว้ในใจให้เขาเห็น เป็นมุมที่กังวล วิตกจริตและไม่มั่นใจในตัวเอง หากสนธยากลับคิดว่าเหตุผลหลักๆ ที่เจ้าตัวเผยมุมนี้กับเขาก็เพราะเรื่องความฝันพิลึกพิลั่นนั่น



เมื่อเอ่ยถึงความฝันอันแปลกประหลาดที่คอยหลอกหลอนนาคิน สนธยาก็ยังคิดไม่ตกอยู่ดีว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่เจ้าตัวดีเชื่อไหม เขายังไม่มีโอกาสได้ค้นหาความจริงอะไรตั้งแต่กลับจากทะเล หากช่วงนี้นาคินเองก็ไม่ฝันถึงเรื่องเหล่านั้นเช่นกัน สนธยาจึงคิดว่าบางทีถ้ามีใครที่นาคินยอมเปิดใจและคอยรับฟังสิ่งที่ชายหนุ่มกลัว ความฝันซ้ำซากซึ่งไม่รู้ที่มาที่ไปนั่นอาจหายไปเลยก็ได้



แต่แล้วเย็นวันหนึ่ง ขณะที่สนธยาขับรถไปรับนาคินกลับบ้านที่สนามฟุตบอลประจำคณะฯ ก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ทำให้สนธยาคิดว่าเขาควรกลับไปสืบหาบุคคลในฝันของนาคินอย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ที่แรก



“พี่สน…” ทันทีที่ลูกศิษย์ตัวโตฟื้นขึ้นมาเห็นเขา เจ้าตัวก็ตั้งคำถามทันที “เกิดอะไรขึ้นกันครับเนี่ย”



สนธยาไม่ได้ตอบแต่เทน้ำใส่แก้วแล้วส่งให้นาคินดื่มแทน เพราะเสียงของคนที่เพิ่งรู้สึกตัวนั้นแหบพร่าเหลือเกิน เมื่อจิบน้ำเข้าไปนิดหน่อยชายหนุ่มก็ส่งแก้วคืน



“เพื่อนนายบอกว่าจู่ๆ นายก็หมดสติไป เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟื้น พวกเขาก็เลยพานายมานอนในห้องสโมสรนี่ก่อน”

“หมดสติไปเหรอครับ” สีหน้าของนาคินแสดงออกถึงความฉงนอย่างที่สุด คล้ายกับไม่เชื่อว่าตัวเองจะหมดสติไปทั้งอย่างนั้น เพราะที่จำได้คือเขากำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากเล่นฟุตบอลเสร็จนี่นา

“ใช่ อยู่ดีๆ คินก็ล้มไปเลย พวกเราตกใจแทบแย่ คิดว่าคินคงเหนื่อยจัด หรือไม่ก็เป็นลมแดด วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวด้วย” ต้นไผ่ที่ยืนถัดจากสนธยาเอ่ยขึ้น

“แต่ปรกติคินมันแข็งแรงกว่าพวกเราอีกนะ” โจ้กล่าวก่อนจะหันหน้าไปพูดกับนาคินด้วยความเป็นห่วง “เราว่านายดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยังไงตอนนี้ก็ฟื้นแล้ว พี่สนก็อยู่นี่ด้วย ไปเช็คที่โรงพยาบาลดูน่าจะดีนะ”



ทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดของโจ้ เนื่องจากรู้ว่าตามปรกตินั้นนาคินแข็งแรงแค่ไหน เขาเป็นถึงนักกีฬาคนสำคัญของคณะบริหาร กับแค่แดดยามเย็นเท่านี้ไม่น่าทำอะไรชายหนุ่มได้เลย ยิ่งบวกใบหน้าซีดๆ ของชายหนุ่มด้วยแล้ว ทุกคนจึงเชื่อว่านาคินต้องไม่สบายตรงไหนสักแห่งแน่ๆ



“ตอนนี้รู้สึกเป็นไงบ้าง” สนธยาเอ่ยถาม

“ก็…มึนๆ นิดหน่อยครับ แต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก” ที่ว่ามึนคือไม่เข้าใจว่าตัวเองล้มพับไปได้อย่างไรมากกว่า นอกนั้นเขาก็รู้สึกสบายดีทุกอย่าง

“งั้นตอนนี้พอลุกได้ไหม”

“ได้ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวไปโรงพยาบาลกัน”

“ไม่ถึงกับต้องไปโรงพยาบาลก็ได้มั้งครับพี่สน ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วนะ” นาคินลุกขึ้นยืน ก่อนปฏิเสธท่ามกลางความเป็นห่วงของเพื่อนๆ

“ไปสักหน่อยเหอะคิน นายล้มหัวฟาดพื้นเชียวนะ เกิดเลือดคั่งในสมองทำไง” ต้นไผ่ว่าเสียน่ากลัว ทำให้ถูกรุ่นพี่ในคณะดุเอาเบาๆ ว่าปากไม่เป็นมงคล

“แต่ว่าเรา…” ยังไม่ทันพูดจบ สนธยาก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“เอาเถอะน่า นายไม่ต้องพูดแล้ว ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักที”

“ครับๆ” สุดท้ายนาคินก็ต้องยอมทำตามคำสั่งของสนธยา แล้วเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวด้านใน



สนธยานั่งรออยู่ด้านนอกพร้อมกับเพื่อนสนิทของนาคินทั้งสามคน ส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยกลับบ้านกันไปจนหมดเมื่อเห็นว่าเรื่องคลี่คลายลงและไม่มีอะไรให้เป็นห่วงแล้ว



“เดี๋ยวพวกนายจะกลับกันเลยไหม” ผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มถามขึ้น

“ครับ เดี๋ยวผมรอให้คินแต่งตัวเสร็จก็ว่าจะกลับเลย” ต้นไผ่ตอบ

“ผมก็เหมือนกันครับ” โจ้ตอบบ้าง

“แล้วกลับยังไงกัน”

“เดินไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าม.น่ะครับ”

“งั้นเดี๋ยวติดรถไปพร้อมกับนี่แหละ จะได้ไม่ต้องเดิน”

“ขอบคุณนะครับ พี่สนใจดีอย่างที่คินบอกจริงๆ ด้วย” โจ้ตอบรับเสียงใส เพราะดีใจที่ไม่ต้องเดินตั้งไกลเพื่อไปขึ้นรถ

“เขาว่าอย่างนั้นเหรอ” สนธยาถามเรียบๆ

“ครับ สนน่ะชอบพูดถึง…”

“โจ้!” โจ้ยังไม่ทันพูดจบ ต้นไผ่ก็กระซิบลอดไรฟันเหมือนจะเตือนให้เพื่อนรู้ตัวว่าพูดมากเกินความจำเป็น โจ้จึงรีบปิดปากฉับทันที

“พูดถึงอะไร” หากสนธยากลับไม่ปล่อยให้เพื่อนสนิทของเจ้าลูกศิษย์ตัวดีเล่าค้างๆ คาๆ เช่นนี้ได้ เขาอยากรู้ต่อว่านาคินพูดอะไรถึงตนเองบ้าง แต่ประจวบเหมาะพอดีกับที่นาคินเดินออกมาจากห้องแต่งตัว ต้นไผ่จึงเบี่ยงประเด็นเพื่อหลบเลี่ยงไปได้ทันท่วงที

“คินมาพอดีเลย เราไปกันเถอะครับ” พูดจบก็เดินลากโจ้ออกไปจากห้องก่อน ทิ้งให้นาคินเดินตามหลังไปพร้อมกับสนธยา



รถของสนธยาจอดอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ พอเดินมาขึ้นกันแล้วสนธยาก็ออกรถ ชายหนุ่มวนไปส่งรุ่นน้องทั้งสองคนก่อน จากนั้นจึงขับพานาคินไปโรงพยาบาล



เมื่อมาถึงโรงพยาบาลพวกเขาก็ใช้เวลาตรวจพักใหญ่ แม้นาคินจะบ่นว่าเสียเวลาอยู่บ้าง แต่ผลตรวจที่ออกมาก็ทำให้สนธยาโล่งใจไม่น้อย เนื่องจากนาคินปรกติดีทุกอย่าง ไม่ได้รับความกระทบกระเทือนใดๆ ทั้งสิ้น คุณหมอบอกว่าสาเหตุที่นาคินนั้นวูบไปอาจจะเป็นเพราะชายหนุ่มพักผ่อนน้อยเท่านั้น ครั้นทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี พวกเขาก็พากันขับรถกลับ



อันที่จริงวันนี้ที่สนธยาไปรับนาคินก็เพราะพวกเขานัดไปซื้อคอมพิวเตอร์ด้วยกัน เนื่องจากคอมพิวเตอร์ของนาคินค่อนข้างเก่าแล้ว ใช้เล่นเกมหรือทำงานที่รองรับภาพกราฟิกที่มีความละเอียดสูงไม่ได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงตั้งใจเปลี่ยนใหม่ โดยขอร้องให้สนธยาไปดูเป็นเพื่อน แต่พอมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเสียก่อน พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นไปวันอาทิตย์ตนเย็น หลังจากส่งเด็กๆ ที่จะมาเรียนดนตรีไทยกลับบ้านแล้ว



“เมื่อคืนนอนดึกเหรอ” สนธยาถามขึ้นขณะขับรถกลับ

“ไม่ดึกครับ ประมาณสี่ห้าทุ่ม”

“แล้วเมื่อกลางวันได้กินข้าวเที่ยงหรือเปล่า” ชายหนุ่มซักต่อ

“กินสิครับ” นาคินตอบ

“พักผ่อนเพียงพอ อาหารก็กินครบทุกมื้อ ทำไมอยู่ๆ ถึงวูบได้นะ ความดันก็ปรกติ ร่างกายก็แข็งแรงดีทุกอย่าง” หนุ่มรุ่นพี่ว่าอย่างคิดไม่ตก

“ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันไหม แต่เมื่อคืนผมฝันอะไรนิดหน่อย” หลังจากเงียบอยู่สักพัก นาคินก็ตัดสินใจบอกเรื่องความฝันที่หวนกลับมาอีกครั้งให้สนธยาฟัง

“ฝันว่าอะไร”

“ก็เรื่องเดิมๆ ครับ เรื่องคุณสินกับแม่แก้วที่เรือนไทยหลังเล็กนั่น ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้มาก แต่ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับงานแต่งงานของคุณสิน” เป็นธรรมดาเหมือนเช่นทุกครั้งที่นาคินฝัน เมื่อตื่นขึ้นมา เขาจะจำรายละเอียดอะไรไม่ได้มากนัก แต่ด้วยความที่บางครั้งมันเหมือนเราดูหนังซ้ำไปซ้ำมาหลายๆ รอบ แม้ไม่ได้ตั้งใจดู แค่เปิดทิ้งเอาไว้ แต่ก็จะพอรู้ว่าจุดใหญ่ๆ หรือใจความของเรื่องคืออะไรได้โดยอัตโนมัติ

“แต่งงานเหรอ”

“ครับ”

“แต่คราวที่แล้วที่นายเล่าให้ฟัง ดูเหมือนกับว่าคุณสินต้องแต่งกับคนที่พ่อแม่หาให้ไม่ใช่เหรอ” สนธยายังจำเรื่องที่นาคินเล่าในคืนนั้นได้แม่น

“ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักนะครับ เพราะอย่างที่บอก ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้”

“อืม ไม่แปลกหรอก เพราะบางทีที่ฉันฝัน พอตื่นมาได้สักพักฉันก็ลืมแล้ว”



แต่นาคินรู้ว่าไม่ใช่เพราะเขาลืม หลังจากที่สักเกตตัวเองมาหลายครั้ง ที่เขาจำอะไรไม่ค่อยได้ เหตุผลน่าจะมาจากการที่เขาพยายามปฏิเสธมันมากกว่า เขาไม่อยากฝันถึงเรื่องเราพวกนั้น เรื่องราวความรักที่เป็นของคนอื่น และอาจจะไม่เคยมีอยู่จริงแท้ๆ แต่เมื่อเริ่มถลำลึกหรือหันไปสนใจที่จะรับรู้มัน นาคินก็จะรู้สึกเจ็บปวด หรือไม่ก็มีอารมณ์ร่วมไปด้วย ราวกับว่าเป็นเรื่องราวของตัวเอง ไม่ก็คนใกล้ชิด



“ถ้าเกิดว่าคุณสินแต่งงานกับแม่แก้วจริง บางทีเขาอาจจะมีลูกหลานก็ได้ และอาจเป็นเครือญาติเดียวกับฉัน เพราะเรือนไทยหลังนั้นเป็นของตกทอดมาจากบรรพบุรุษของครอบครัวเรา” สนธยาเอ่ยขึ้น เมื่อขับรถเข้ามาในซอยบ้าน “เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะถามพ่อให้”

“จะดีเหรอครับ”

“ดีสิ เพราะเราจะปล่อยให้อะไรๆ มันเป็นไปอย่างนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าบุคคลเหล่านั้นเคยมีตัวตนอยู่จริงๆ เราจะได้หาวิธีแก้ไขกันต่อไป”

“แล้วถ้าเขาไม่มีตัวตนจริงๆ ล่ะพี่สน” นี่คือสิ่งที่นาคินกลัวมากที่สุด กลัวว่าที่ผ่านมานั้นเขาเกิดบ้าไปเอง



ระหว่างที่ชะลอรถรอให้สาวใช้ในบ้านเปิดประตูรั้วให้ สนธยาก็ละจากภาพตรงหน้าแล้วหันกลับมาหานาคิน พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกอุ่นไปถึงหัวใจ



จะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ไม่เป็นไร ถึงยังไงฉันก็อยู่ข้างนาย เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยกัน

“ขอบคุณนะครับพี่สน”



สนธยาแย้มริมฝีปากนิดๆ รับคำขอบคุณนั้น ก่อนขับรถลอดซุ้มกระดังงาเข้ามาในบ้าน เมื่อจอดรถนิ่งสนิทดีแล้ว ทั้งคู่ก็หยิบกระเป๋าแล้วลงจากรถ ตอนที่กำลังจะถอดรองเท้าขึ้นบ้าน นาคินสังเกตเห็นว่าสาวใช้ที่เปิดประตูให้ยังยืนอยู่ใต้ซุ้มดอกไม้ เธอพยายามดึงประตูรั้วปิดเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง ชายหนุ่มจึงส่งกระเป๋าให้นาคินถือไว้ก่อนวิ่งไปหาหญิงสาว



“เดี๋ยวผมช่วยครับ” นาคินบอกกับเธอ ก่อนจะเป็นคนปิดรั้วเสียเอง



เมื่อหญิงสาวถอยไปยืนด้านหลังชายหนุ่ม เขาก็ออกแรงลากรั้วปิดทันที มันปิดได้ง่ายๆ โดยไม่ฝืดหรือมีปัญหาอะไรสักนิด นาคินจึงคิดว่าเพราะก้อยเป็นผู้หญิง จึงมีแรงน้อยกว่าเขา ทำให้ไม่สามารถลากรั้วหนักๆ ปิดได้ เมื่อปิดรั้วสนิทดีแล้ว ชายหนุ่มก็หันไปขอแม่กุญแจจากสาวใช้



“พี่ก้อย ขอกุญแจด้วยครับ”

“…” ทว่าก้อยกลับนิ่งเงียบ และไม่ยอมส่งแม่กุญแจให้เสียที นาคินจึงขอเอ่ยปากอีกครั้ง

“พี่ก้อยครับ ผมขอ…”

“ทำไมถึงจำไม่ได้” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ

“ว่าอะไรนะครับ” นาคินขยับเข้าไปใกล้ แล้วมองหน้าเธอชัดๆ เพราะตรงนี้ต้นไม่เยอะและแสงไฟก็ค่อนข้างสลัว

ข้าถามว่าทำไมถึงจำไม่ได้เสียที จะปล่อยให้ข้าต้องรอจนถึงเมื่อไหร่กัน ข้าทรมาน…” เธอไม่ได้ตะคอกด้วยซ้ำ หากแต่เสียงที่เธอเปล่งออกมานั้นฟังดูก็รู้ว่าไม่ใช่ก้อย มันฟังดูเยียบเย็น และเปล่าเปลี่ยวจนคนฟังขนลุกซู่

“…พี่ก้อย…?”

ข้าไม่ใช่!” เธอตอบ ดวงตาทั้งสองข้างของเธอนั้นแดงก่ำดูอัดอั้น ก่อนน้ำตาที่คลอเบ้าจะไหลออกมาตามกรอบหน้าเป็นสายเลือด



ไม่ผิด น้ำตาที่เห็นนั้นเป็นเลือดจริงๆ  นาคินที่ได้เห็นภาพน่าสยดสยองอย่างนั้นก็ผงะถอยหลังไปพิงรั้วทันที ซึ่งเป็นจังหวะพอดีกับที่สนธยาตะโกนถามด้วยความเป็นห่วง



“คินปิดได้หรือเปล่า”



นาคินไม่สามารถตอบอะไรออกไปได้แม้แต่คำเดียว เขารู้สึกว่าตัวเองสั่นไปทั่งร่างอย่างควบคุมไม่อยู่ ชายหนุ่มไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่นี่มันบ้าเกินกว่าที่เขาจะรับไหวแล้ว



“คิน!” เมื่อสนธยาส่งเสียงเรียกอีกครั้ง ก้อยก็เดินเข้าไปคว้ามือเย็นเฉียบของนาคิน แล้วยัดกุญแจใส่ลงในมือ ก่อนจะเดินหนีไปทางเงามืดของต้นไม้ใหญ่ข้างบ้านโดยไม่พูดอะไรอีก ทิ้งเพียงสายตาซึ่งมองมาด้วยความหมายที่อ่านไม่ออก แต่นาคินรู้ เธอคนนี้ไม่ใช่พี่ก้อยสาวใช้ประจำบ้านของลุงมนตรีอย่างแน่นอน

“คิน เรียกตั้งนานทำไมไม่ตอบ”

นาคินไม่รู้ว่าสนธยามาถึงตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะสายตาของเขายังคงจ้องมองไปที่สุดท้ายก่อนแผ่นหลังนั้นลับหายไป และเมื่อสนธยาแตะที่ข้อมือของเขา นาคินก็รีบคว้าอีกฝ่ายเข้ามากอด

“พี่สน”

“เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”

“พี่ ทำยังไงดี…ผมกลัว



ตอนนี้คนตัวโตกอดสนธยาแน่นทั้งที่ตัวสั่นราวจับไข้ ผิวตรงข้อมือที่เขาสัมผัสเมือครู่ก็เย็นมากจนน่ากลัว  สนธยาไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ภาพที่เขาเห็นจากเชิงบันไดคือนาคินกับก้อยกำลังคุยกัน ก่อนหญิงสาวจะเดินกลับไปทางเรือนครัว แต่ที่เขาตะโกนเรียก เพราะปฏิกิริยาของนาคินนั้นดูประหลาดเหลือเกิน



เมื่อได้ยินคำว่ากลัวออกมาจากปาก สนธยาก็ไม่เอ่ยถามอะไรตอนนี้ เพราะอีกฝ่ายดูขวัญเสียและไม่พร้อมจะเล่าอะไรทั้งนั้น สุดท้ายสนธยาจึงทำได้แค่ยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังกว้างของนาคินเบาๆ เป็นการปลอบ ครั้นนาคินสงบลงเขาจึงพาน้องขึ้นบ้าน และอยู่เป็นเพื่อนในห้องจนกระทั่งถูกเรียกให้ออกมาทานอาหารเย็น



    คืนนั้นสนธยากลายเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นอีกครั้ง เพราะต้องระเห็จไปนอนเป็นเพื่อนเจ้าคนตัวโตอย่างช่วยไม่ได้ และระหว่างกำลังจะเคลิ้มหลับ นาคินที่กลับมามีสติอีกครั้งก็เริ่มเปิดปากเล่าเรื่องเมื่อหัวค่ำให้เขาฟัง



   ยามที่ฟังจบสนธยาไม่อาจให้คำตอบได้ว่าสิ่งที่นาคินเจอคืออะไร เขาได้แต่บอกให้อีกฝ่ายไหว้พระสวดมนต์แล้วนอนหลับเสียเท่านั้น โดยที่เขาจะยังคงอยู่ข้างๆ ตามที่เคยพูดไว้ จะไม่ไปไหนจนกว่านาคินจะหลับและตื่นขึ้นมาพบกันอีกครั้ง









   บ่ายวันอาทิตย์ ในขณะที่สนธยากำลังให้คำปรึกษากับพ่อแม่ของเด็กคู่หนึ่ง ซึ่งกำลังจะเข้ามาสมัครเรียนดนตรีไทยที่บ้าน นาคินก็เดินเล่นอยู่หน้าเรือนดอกแก้วบริเวณใต้ต้นแก้วเจ้าจอมสูงใหญ่ วันนี้เขานัดกับสนธยาว่าจะออกไปข้างนอกด้วยกัน จึงไปอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อน ทว่าครูดนตรีคนเก่งกลับติดธุระ ทำให้ชายหนุ่มต้องรอ



   สามวันผ่านมาแล้วหลังจากเหตุการณ์ชวนผวาในคืนนั้น ทุกครั้งที่นาคินเห็นก้อย เขาก็อดรู้สึกหวาดๆ ไม่ได้ ความจริงเขาสติแตกเสียศูนย์ไปเป็นวัน แต่โชคดีที่มีสนธยาคอยอยู่เป็นเพื่อนตลอดยกเว้นตอนเรียน นาคินจึงไม่เอาแต่ฟุ้งซ่านมากนัก



   สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร นาคินค่อนข้างปักใจเชื่อว่าตัวเองถูกสิ่งลี้ลับเข้าเล่นงาน แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมตัวเองต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ นี้ ทำไมต้องเป็นเขาเท่านั้น



   ชายหนุ่มคิดสะระตะไปเรื่อย ไม่รู้เลยว่าตัวเองเดินเลาะมาถึงชายคลองริมศาลาเก่าหลังเรือนดอกแก้วได้อย่างไร ขณะที่กำลังจะเดินกลับไปคอยสนธยาที่หน้าเรือนเหมือนเดิม อยู่ๆ ก็มีเสียงของหนักๆ ตกน้ำ พร้อมกับเสียงร้องให้ช่วย



   “ช่วยด้วยเจ้าค่ะ! ช่วยด้วย!”



ชายหนุ่มร่างสูงหันไปมองที่ลำคลอง เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังตะเกียกตะกายอยู่กลางลำน้ำทำท่าจะจมอยู่รอมร่อ ด้วยสัญชาตญาณนาคินรีบวิ่งไปที่ริมตลิ่ง ก่อนกระโจนพุ่งลงไปในน้ำ แล้วว่ายเข้าไปช่วยเธอทันที



   เมื่อไปถึงตัว เขาก็คล้องแขนมาล็อคคอเพื่อพยุงหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะว่ายพากลับเข้าฝั่ง อีกไม่กี่อึดใจก็จวนจะถึงที่ปลอดภัยอยู่แล้ว แต่นาคินกลับถูกอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้น้ำดึงให้จมลงไปข้างล่างนั่น เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะถีบสิ่งแปลกปลอมแล้วพาตัวเองให้หลุดพ้น แต่หญิงสาวที่เขาช่วยเอาไว้กลับดิ้นหนี และเป็นฝ่ายที่หันมาดึงเขาให้จมลงไปลึกกว่าเก่า



   ขอบคันคลองนั้นห่างไปไม่ไกลเลย เพียงแต่ด้วยเรียวแรงที่ฉุดรั้งเอาไว้ทำให้นาคินไม่อาจว่ายไปถึงได้ ชายหนุ่มต่อสู้กับมือมืดพวกนั้นอยู่นานจนเกือบจะไร้เรี่ยวแรง เขาจึงรวบรวมกำลังตะโกนเรียกให้ใครสักคนยิน เมื่อเสียงนั้นถูกส่งออกไปแล้ว ร่างทั้งร่างก็ถูกฉุดให้ดำดิ่งลงไปในความมืด จนน้ำท่วมปากและไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้อีกเลย




   “ช่วยด้วย…!”






‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧




มาต่อแล้วค่ะ!!

ตอนนี้มีอะไรชวนหลอน แต่ก็แอบมีฉากหวานนิดๆ(?)ของคินกับสนเนอะ
แต่งไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าพี่สนนี่ดีจังเลย เวลาที่น้องคินมีปัญหา พี่สนก็ช่วยได้ตลอด
ทำไมพี่สนเท่จังเลยน้า  :-[ ชักอยากเรียนดนตรีไทยบ้างแล้วซิ 5555555

ส่วนในเรื่องของผีสาว ฝนไม่ขอพูดอะไรมาก  :sad4:
คือใครเดาได้ก็ลองเดาดูนะคะ รู้สึกสนุกเวลาคนอ่านช่วยกันเดานะ
แต่จะถูกหรือผิดเราไม่เฉยตอนนี้หรอก เราจะค่อยๆ คลายปมไป 5555
และถึงแม้ว่ามีคนเดาถูก ฝนก็ไม่เปลี่ยนเนื้อเรื่องนะ  :hao3:

มีคนแอบมากระซิบถามกันนิดหน่อย ว่าเรื่องนี้จะมี NC ไหม
ฝนไม่ค่อยอยากให้โฟกัสตรงนี้ เพราะพี่สนกับน้องคินเค้าไสยๆ นะคะ เอ็นซง เอ็นซีอะไรกันนน

แต่ยังไงก็ขอให้ติดตามกันไปเรื่อยๆ น้า
จะรีบพาตอนต่อไปมาต่อค่ะ

เจอกันตอนหน้า  :katai4:

ละอองฝน.

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อ่านตอนนี้เวลาเกือบจะตีสาม ถามว่ากลัวไหม? ตอบเลยว่ามาก!!!!!

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2
อ่านตอนนี้เวลาเกือบจะตีสาม ถามว่ากลัวไหม? ตอบเลยว่ามาก!!!!!






ขนาดฝนแต่งเองยังแอบกลัวเลยค่ะ ที่บ้านฝนตกด้วย  :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

จากที่เป็นแค่ภาพฝันก็เริ่มกระเถิบมาสู่ชีวิตจริงที่ละนิดๆ

ออฟไลน์ Evergreen

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 ตอนแรกก็คิดว่าใสๆ แต่ตอนนี้ติดว่าคินน่าจะซวยแล้วค่ะ 5555555 คล้ายๆจะโดนผีหลอกกกกก

ออฟไลน์ ศตรัศมี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ถ้าให้เดาละก็...เราเดาว่าสนคือคุณสิน ส่วนคินคือแม่แก้ว วิญญาณในบ้านคือคุณทับทิม(เพราะจำได้ว่าสนได้ยินเสียงแว่วเรียก "คุณพี่" ซึ่งในเนื้อเรื่องคนที่เรียกคนอื่นว่าคุณพี่ก็มีคุณทับทิมคนเดียว) และถ้าเรื่องเป็นอีกแบบนึงราวหนังคนละม้วน ก็เป็นไปได้ว่าคินอาจเป็นทับทิมกลับชาติมาเกิด ส่วนวิญญาณแค้นที่อยู่ในบ้านคือแก้วที่ไม่สมหวังในความรักแถมต้องตาย อีกทั้งคุณสนเกิดสงสารและเห็นความดีเลยเปิดใจให้ทับทิมครองคู่ตุนาหงัน เลยทำให้แก้วไม่ไปไหนรอคอยทั้งสองกลับมา
ป.ล.ต่อมมโนของเราทำงานเป็นเลิศจริงๆ เดาออกมาได้เป็นตุเป็นตะ 55555555

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2



๑๖.









“เห็นเขาลือกันลั่นคุ้งว่าจางวางสินหักกับแม่นายเรือนเอ็งจะตบแต่งเอาเมียบ่าว เป็นจริงหรือไม่นางจันทร์หอม”



เมื่อได้ยินคำถาม จันทร์หอมก็ได้แต่อ้ำอึ้ง หญิงสาวปฏิเสธไม่ได้ว่าคำเล่าลือนั่นเป็นเรื่องโกหกพกลม เพราะว่าเมียบ่าวคนนั้นคือแม่แก้ว เกลอรักของตนเอง ทว่าไอ้ครั้นจะเล่าออกไปก็ทำไม่ได้อีก เธอจึงได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน แล้วตอบอ้อมแอ้ม



“ฉันไม่รู้หรอกจ้ะป้า…” หญิงสาวแสร้งก้มมองสินค้าที่ส่งมาให้ที่เรือนคหบดีเสือง ก่อนถามเรื่องอื่นเบี่ยงความสนใจ “ป้าศรีจ๊ะ เที่ยวนี้เห็นทีต้องเพิ่มดอกเกลืออีกถัง เพราะกว่าป้าจะมารอบหน้า คงเหลือไม่พอ รอบนี้ที่โรงครัวก็กระเบียดกระเสียดใช้แทบแย่”

“ได้ซี ประเดี๋ยวข้าให้อ้ายเทียมมันกลับไปเอามาเพิ่มให้ แต่เห็นทีต้องให้อัฐเพิ่มเป็นค่าเสียเวลาให้กันสักหน่อยนาแม่คุณ”

“ได้จ้ะป้า” จันทร์หอมยิ้มรับ ก่อนจะหันไปตรวจดูข้าวของให้ครบถ้วน



เธอชี้ชวนสักถามโน้นนี่เสียจนนางศรีลืมเลือนเรื่องที่ใคร่รู้ก่อนหน้าไปจนสิ้น กระทั่งกลับออกจากเรือนคหบดีเสือง นางศรีจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าตนเองไม่ทันได้ซักไซ้หาคำตอบของจางวางมีชื่ออย่างที่ตั้งใจแต่แรก



“ปัดโธ่ เสียดายนักเชียว ที่นี้ก็พลาดเอาเรื่องไปเล่าที่ตลาดกันพอดี”









จันทร์หอมเห็นนางศรีแม่ค้าเครื่องแห้งพายเรือกลับไปก็นึกโล่งอก ทุกคนในเรือนถูกสั่งห้ามไม่ให้ปริปากบอกใคร หากว่ามีผู้ใดถามถึงเรื่องคุณสินล้มขันหมาก แล้วแต่งเอาบ่าวในเรือนมาเป็นเมีย แต่ถึงกระนั้น แม้อยากปกปิดสักเท่าไร ก็ยังมีคนเปิดปากเล่าต่อให้ใครๆ ฟังอยู่ดี



ด้วยวิสัยของมนุษย์เรานั้น หากได้ยินเรื่องคุณงามความดี คนจะพูดถึงเพียงไม่นาน แต่เรื่องข่าวคาวเสียหายกลับเอาไปเล่ากันเป็นที่สนุกปากทั้งคุ้งคลอง ไม่เว้นแม้แต่ชาวบ้านร้านตลาด หรือเจ้าใหญ่นายโต



อีกทั้งเรื่องที่เขาล่ำลือกันครานี้ก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย ใครเล่าจะคิดว่า จางวางมีชื่อจะกล้าหักหน้ามารดา ขอยกเลิกงานแต่งงานกับคุณหนูทับทิมคนงาม แล้วหันมาคว้าเอาบ่าวในเรือนเป็นเมียแทน



   ทีแรกที่คุณกำไลได้ยินคำกล่าวของลูกชาย เธอถึงกับเป็นลมล้มพับไป ก่อนจะฟื้นคืนสติขึ้นมา แล้วเอาเรื่องกับแก้วเสียจนจันทร์หอมทนฟังคำด่าทอไม่ไหว คุณท่านเสืองเองก็ไม่พอใจเป็นอันมาก ด้วยสะใภ้ที่ท่านหมายปอง กับสะใภ้ที่ลูกชายต้องการนั้นเทียบราศีกันมิได้



   ท้ายที่สุด ถึงแม้จะโต้เถียงกันอยู่นาน แต่คุณสินก็ยังไม่ยอม ทั้งยังลั่นวาจา หากพ่อกับแม่ไม่เห็นด้วย และบังคับให้ตนแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก เขาจะพาบ่าวคนรักไปอยู่ในวังเสด็จฯ และจะไม่กลับมาที่บ้านหลังนี้อีก



ได้ยินดังนั้น นายท่านเสืองและคุณนายกำไลจึงยอมแต่โดยดี ด้วยมีลูกชายสืบสกุลเพียงคนเดียว ทั้งยังรักดั่งแก้วตาดวงใจ ลูกที่เกิดจากเมียอื่นก็ยังไม่เทียบเท่า


หลังจากนั้นแก้วกับคุณสินจึงได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยา ทั้งคู่ไม่ได้จัดงานใหญ่โต เพราะคุณนายกำไลไม่เห็นชอบที่จะให้ลูกชายเอาเมียบ่าวออกหน้าออกตา เนื่องจากในหัวใจของเธอนั้นยังหวังจะได้คุณหนูทับทิมเป็นลูกสะใภ้ และคิดตามที่สามีบอกว่า ถ้าอีกหน่อยคุณสินเบื่อแก้ว ค่อยตะล่อมขอคุณหนูทับทิมมาแต่งเป็นเมียเอกก็ยังไม่สาย



จันทร์หอมนั้นเหนื่อยใจนัก แต่เธอคิดว่าคนที่เหนื่อยใจยิ่งกว่าคงหนีไม่พ้นเจ้าตัวต้นเรื่อง นั่นคือแม่แก้ว เพราะนอกจากต้องถูกด่าทอจากนายหญิงกำไลแล้ว บ่าวในเรือนคนอื่นๆ ก็ยังตั้งแง่รังเกียจ ด้วยหาว่าแก้วใฝ่สูงเกินวาสนาตน มีฐานะเป็นเพียงบ่าวในเรือน แต่ริอาจคิดจะเป็นคุณนาย



หญิงสาวได้แต่ทอดถอนใจ จะมีใครบ้างที่รู้อย่างที่เธอรู้ เห็นดังที่เธอเห็น ว่าคุณสินกับแก้วนั้นรักกันด้วยใจจริง จันทร์หอมได้แต่หวังและภาวนาให้ความดีของแก้ว คลายความเกลียดชังของคุณกำไลให้ได้ในเร็ววัน










   คุณหนูทับทิมคนงามถึงกับไม่เป็นอันกินอันนอน ด้วยผิดหวังที่ถูกชายที่หมายปองปฏิเสธ ไอ้ความรู้สึกเสียหน้านั้นก็ยังไม่มากเท่าใด แต่เสียใจนั้นมากกว่า ในเวลาเพียงไม่นานนัก ทับทิมไม่คิดว่าเธอจะหลงรักจางวางสินได้มาเท่านี้



   หลังจากทราบข่าวว่าชายหนุ่มรับบ่าวในเรือนมาเป็นเมีย หัวใจของทับทิมก็ร้อนรนดังถูกไฟสุม เธอเกิดมาสมบูรณ์ทั้งรูปลักษณ์และทรัพย์สิน ทั้งชีวิตไม่เคยรู้จักความผิดหวัง ตั้งแต่เด็กก็มีคนพะเน้าพะนอเอาใจไม่ห่าง ทับทิมจึงรู้สึกว่าตนเป็นที่หนึ่งเสมอ



   แต่เหตุการณ์ครานี้กลับทำให้เธอรู้เหมือนนางฟ้าที่ตกสวรรค์ ในวันที่คิดว่าต้องได้ตบแต่งกับคนที่ตนรัก ชายหนุ่มกลับมาสารภาพกับเธอ เอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่เสียดแทงหัวใจ ว่าเขาไม่ได้รับเธอ แต่รักผู้หญิงอีกคนแทน



   ผู้หญิงที่ไม่มีอะไรเทียบเท่าคนอย่างทับทิมได้สักนิดเดียว



   ทับทิมกลับมานอนร้องไห้ที่เรือนด้วยความคับแค้นใจ พยายามคิดหาเหตุผลว่าเพราะอะไร ทำไมคุณสินจึงไม่รักเธอ ทว่าก็ไม่อาจหาคำตอบนั้นได้



   หญิงสาวตรอมใจจนร่างกายผ่ายผอม ไม่ว่ามารดาจะปลอบใจอย่างไรก็ไม่เป็นผล เดือดร้อนไปถึงบ่าวไพร่ หากใครทำให้ขัดเคืองหัวใจก็จะถูกนำตัวไปโบยจนไม่มีชิ้นดี



   “คุณหนูเจ้าขา รับข้าวเพิ่มอีกสักคำเถิดนะเจ้าคะ บ่าวกลัวคุณหนูจะล้มป่วยเอา” แม่ปุ้น บ่าวคนสนิทของสาวเจ้าว่าด้วยความเป็นห่วง

   “ข้าไม่หิว เอ็งยกออกไปเถิดปุ้น”

   “โธ่… บ่าวจะทำอย่างไรให้คุณหนูหายโศกเศร้าดีเจ้าคะ คุณหนูต้องการอะไร บอกบ่าวเถิดเจ้าค่ะ บ่าวจะทำให้คุณหนูทุกอย่าง”

   “ได้ที่ฉันต้องการ มันเป็นของคนอื่นไปแล้วนะสิปุ้น จะไปยื้อแย่งมาเป็นของตนก็ใช่ที่”

   “แต่ถ้าคุณหนูอยากได้ ไม่ว่าอะไรบ่าวก็จะเป็นคนแย่งมาให้เจ้าค่ะ”

   “เอ็งทำได้รึปุ้น” นัยน์ตาหงส์หันไปมองบ่าวของตน

   “ทำได้เจ้าค่ะ ไม่ว่าอะไรก็ตาม”

   “แต่ฉันว่าครานี้คงแย่งไม่ได้ เพราะเห็นทีเขาคงไม่ต้องการฉัน” นึกถึงคำปฏิเสธประโยคนั้น หัวใจของเธอยังบีบรัดด้วยความเจ็บหน่วงไม่หาย

   “ใครบ้างไม่รักไม่ต้องการคุณหนูของบ่าวเจ้าคะ”      

   “เอ็งก็รู้อยู่…”

   “ก็ทำให้เขาต้องการสิเจ้าคะ” ทาสผู้ภักดีว่า แววตาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

   “จะทำได้อย่างไร ไหนว่ามาซิ หากว่าเก่งนักล่ะก็” ได้ยินคำพูดอันแสนมั่นใจของบ่าว ทับทิมจึงอดไม่ได้ที่จะถาม

   “เรื่องพรรคนี้มันมีวิธีอยู่เจ้าค่ะ บ่าวจะบอกให้…”      



   มองออกไปนอกหน้าต่างท้องฟ้ามืดครึ้มนัก ดูท่าว่าอีกไม่นานฝนคงจะลงเม็ด พระพายพัดรุนแรงเสียงจนอุบะหน้าช้างที่หน้าต่างปัดปลิวตกลงมาบนพื้น ทว่าทับทิมกลับไม่สนใจ เธอเงี่ยหูฟังแผนการชั่วร้ายจากบ่าวคนสนิทจนจบ ก่อนจะถามออกมาอีกคำ



   “เอ็งคิดว่าจะได้ผลแน่หรือ”   

   “ได้ผลแน่เจ้าค่ะ ติดอยู่แค่ว่า คุณหนูจะยอมทำตามที่บ่าวบอกหรือไม่เท่านั้น” หนึ่งนายหนึ่งบ่าวมองหน้ากันท่ามกลางเสียงฟ้าร้องคำราม

   “ทำ…ฉันจะทำ”








(มีต่ออีก 50 % ค่ะ)




เพิ่งเห็นว่าที่ลงเมื่อคืนมันไม่ติดมาเลย ต้องลงใหม่หมด
ยังไงเดี๋ยวฝนลงไว้ครึ่งนึงก่อน
บ่ายๆ เที่ยงๆ จะมาต่อให้นะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2016 05:34:53 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
งงไปหมดเลยค่ะ ตกลงคนไหนคินคือใครกลับชาติมาเกิด แม่แก้วหรือเปล่าคะ ส่วนคนที่ยัดกุญแจให้น่าจะจันทร์หอมหรือเปล่า  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2






ครึ่งหลัง










   ชีวิตของแก้วเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียวตั้งแต่กลายสถานะมาเป็นเมียบ่าวของคุณสิน เธอต้องย้ายไปอยู่เรือนดอกแก้ว อีกทั้งงานในของข้าทาสก็ไม่จำเป็นต้องทำแล้ว หน้าที่หลักของหญิงสาวคือการปรนนิบัติสามี รวมถึงช่วยดูแลอาหารการกินให้กับคุณท่านบนเรือนใหญ่



   แม้เธอจะมีความสุขที่ได้อยู่กับคนที่รัก ทว่ามันกลับต้องแลกมาด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง ยามนี้แทบไม่มีบ่าวคนไหนมองเธอด้วยความเอ็นดูอย่างลูกหลาน หรือเพื่อนพ้องอีกแล้ว แม้นไม่มีใครกล้าเอ่ยปากตรงๆ แต่ทุกคนก็เข้าใจว่าเธอก็เป็นเช่นหญิงมากเล่ห์ ที่คิดจะจับนายเพื่อยกฐานะของตน เหมือนกับเมียบ่าวคนอื่นๆ ของคหบดีเสือง



   โดยเฉพาะกับแม่สามีนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะนอกจากจะไม่ให้ความเอ็นดูแล้ว คุณกำไลยังมักเหน็บแนมกระทบกระเทียบแก้วเสมอ สิ่งเดียวที่ทำให้แก้วอดทนอยู่ได้ คือคำปลอบประโลมจากคุณสิน คำที่บอกให้เธออดทน เพราะเมื่อเวลาผ่านไป กาลเวลานั้นจะพิสูจน์ความจริงใจ และความรักที่แก้วกับคุณสินมีให้ต่อกันเอง



   แต่กว่าที่จะถึงวันนั้น แก้วเองก็ไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด



   “แม่แก้วรอพี่อยู่ที่เรือน รักษาตัวเองให้ดี แล้วพี่จะรีบกลับมา”



   จางวางหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน พลางประคองร่างของคนรักไว้ในอ้อมแขน เขาได้รับสิทธิ์ในการลาจากงานราชการมาพอสมแล้ว เวลานี้จึงต้องเร่งกลับเข้าไปทำหน้าที่รับใช้เสด็จฯ ท่านในวังเสียที



   แต่ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะนึกห่วงหาแก้วตาคนดีของเขา เพราะรู้ว่าบรรยากาศในเรือนนั้นไม่สู้ดีเท่าใด อีกทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกที่ต้องห่างกัน หลังจากได้ใช้ชีวิตร่วมเรียงเคียงหมอนกับคนรัก ความรู้สึกเป็นกังวลเพราะอยู่ห่างไกลสายตา ทำให้สินนั้นยากที่จะตัดใจจาก



   “คุณสินไม่ต้องห่วงแก้วหรอกเจ้าค่ะ แก้วอยู่เรือนนี้มาแต่เล็ก ไม่ว่าอย่างไรแก้วก็อยู่ได้ ห่วงแต่คุณสิน ตามเสด็จฯ เที่ยวนี้ต้องไปไกลถึงหัวหิน อย่างไรก็ดูแลตัวเองด้วยนะเจ้าคะ”



   สินมองเข้าไปในดวงตากระจ่างใสของแก้วแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาอาจเผลอลืมไปว่าแก้วนั้นเป็นหญิงที่ไม่เหมือนหญิงอื่นใด เด็กคนนี้เติบโตมาเป็นคนเข้มแข็ง ดังนั้นเขาจึงเบาใจได้ส่วนหนึ่ง



   “แม่แก้วของพี่เก่งกาจนัก แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ เลิกเรียกพี่ว่าคุณสิน บอกกี่หนแล้วว่าให้เรียกพี่สิน” ชายหนุ่มทักท้วง ทว่าแก้วกลับรีบส่ายหน้าพัลวัน

   “เรื่องอื่นแก้วจักเชื่อคุณสินทุกอย่าง แต่เรื่องนี้อย่างไรก็ไม่เจ้าค่ะ มันไม่เหมาะสม”

   “ไม่เหมาะอย่างไร” สินเลื่อนมือมาจับที่ศอกของหญิงสาวเบาๆ “แก้วเป็นเมียพี่ มีสิ่งใดไม่เหมาะกัน”

   “คุณสิน แก้ว…”



หญิงสาวก้มหน้าซ่อนแก้มแดงเรื่อ ทั้งเขินอายและกระอักกระอ่วนใจ แก้วเข้าใจที่สินบอก แต่ก็ไม่อาจหาญใช้คำเรียกเช่นนั้น ด้วยรู้ตัวอยู่เสมอถึงความแตกต่างของตนเองกับคนรัก



เมื่อจางวางสินเห็นดังนั้นก็ยอมอ่อนให้ เพราะรู้ว่าแก้วยังยึดติดอยู่กับสถานะอันต่างชั้น เรื่องเช่นนี้จะรีบร้อนคงบังคับฝืนใจกันเกินไป เขาจึงยอมให้เวลากับคนรักอีกสักหน่อย



“ไม่เป็นไร คราวนี้แก้วไม่เรียกพี่ไม่ว่า แต่คราวหน้าถ้าพี่กลับมา พี่จะรอฟังดีหรือไม่” ชายหนุ่มว่าพลางเกลี่ยไล้แก้วนวลอย่างนึกรัก

“ถ้าคุณสินว่าดี แก้วก็ว่าดีเจ้าค่ะ”

“เด็กดี”



ชายหนุ่มโน้มไปหอมหน้าผากมนเบาๆ ก่อนถอนริมฝีปากออกมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่หน้าเรือน จางวางหนุ่มเรียกบ่าวให้ขึ้นมายกกระเป๋าบนเรือนดอกแก้ว ก่อนจะหันมาจับมือแก้วให้เดินไปส่งตนที่ท่าน้ำ



ทั้งคู่เดินผ่านต้นแก้วเจ้าจอมด้วยกัน สินมองขึ้นไปที่ปลายยอด เห็นแก้วเจ้าจอมดอกน้อยเตรียมผลิบานหลายช่อ ชายหนุ่มจึงชี้ชวนให้แก้วมองตาม



“ดูสิ แก้วเจ้าจอมที่แก้วเฝ้าถนอมให้พี่ แตกดอกออกมาหลายช่อเชียว”

“คราวหน้าที่คุณสินกลับมามันคงจะบานเต็มต้นพอดีเจ้าค่ะ”

แล้วพี่จะรีบกลับมาชมดอกแก้วบานด้วยกัน แก้วรอพี่ก่อนนะ” สินให้คำมั่นสัญญา และแก้วก็รับปากด้วยความเต็มใจ

เจ้าค่ะ แก้วจะรอ
   


หลังล่ำลาคนรักและเรือก็จากมาไกลแล้ว สินได้หยิบเอาถุงบุหงาถุงน้อยออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขาแตะมันที่จมูกเพื่อสูดดอมความหอม ก่อนแนบมันเก็บไว้ตรงตำแหน่งของหัวใจ ให้เหมือนกับว่าเจ้าดวงใจของเขาอยู่ใกล้ไม่ห่างกาย













   สนธยาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ยังโชคดีที่เดินตามนาคินมา และได้ยินเสียงร้องให้ช่วย เขาจึงรีบวิ่งไปที่ริมคลอง ก่อนกระโดดลงไปเอาตัวชายหนุ่มขึ้นมาจากน้ำได้ทัน



   หนุ่มนักดนตรีทำการผายปอดให้คนหมดสติตามสิ่งที่เคยได้เรียนมา จนมั่นใจว่าสามารถปฐมพยาบาลได้ในระดับหนึ่ง จึงช่วยกันกับนายเสริมเพื่อประคองนาคินไปที่รถ จากนั้นจึงขับไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้โดยเร็วที่สุด



   ระหว่างที่อยู่บนรถ ใบหน้าของนาคินซีดมาก จากที่เป็นคนไม่เคยกลัวอะไร มาคราวนี้สนธยากลับรู้สึกกลัวจับขั้วหัวใจ กลัวว่าจะช่วยไม่ทัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ฟื้นขึ้นมาดังเดิม



   โชคดีเหลือเกินที่วันนี้การจารจรไม่ติดนัก นาคินจึงถึงมือหมอในเวลาไม่นานเท่าไหร่ ก่อนที่ชายหนุ่มจะถูกพาขึ้นเตียงแล้วเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไป สนธยาคิดว่านาคินดูเหมือนใกล้จะหยุดหายใจแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้ว่าหลังประตูกระจกบานใหญ่อีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ที่ทำได้เพียงภาวนาให้ผลไม่ออกมาอย่างที่กลัวเท่านั้น



   ระหว่างที่รออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน สนธยาก็ตั้งสติได้ จากนั้นจึงทำการโทรหาลุงคชินทร์เพื่อแจ้งเรื่องลูกชายให้ทราบ ทันทีที่รู้เรื่อง ปลายสายก็รีบตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนทันที



   [แล้วตอนนี้น้องเป็นยังไงบ้างสน]

   “ยังไม่ออกจากห้องฉุกเฉินครับ หมอกับพยาบาลวิ่งวุ่นกันไปหมด ผมเลยยังไม่รู้ความเป็นไปข้างใน” สนธยาบอกตามจริง

   [โธ่…คินลูก] เสียงครวญราวกับหัวใจแตกสลายดังลอดมาตามสาย

   “คุณลุงใจเย็นๆ นะครับ คินต้องไม่เป็นอะไร ถึงมือหมอแล้ว ดังนั้นคิดจะปลอดภัย” ไม่ใช่เพียงแค่คชินทร์เท่านั้นที่สนธยาปลอบ แต่ประโยคที่เอ่ยออกมา เหมือนเป็นการย้ำกับตัวเองด้วยว่านาคินต้องไม่เป็นอะไร

   [ลุงฝากสนช่วยจัดการเป็นธุระแทนหน่อยนะลูก เดี๋ยวลุงกับป้าจะเร่งเดินทางไป]

   “ครับ”



   ทันที่ที่รับปากเป็นหมั่นเป็นเหมาะแล้ว สนธยาก็กดวางสายไป เขาเดินไปทำเอกสารต่างๆ แทนผู้ปกครองของนาคินเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะกลับมานั่งรออีกฝ่ายที่หน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง



   จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก บุรุษพยาบาลก็เข็นร่างไม่ได้สติของนาคินออกมา สนธยาตามไปที่ห้องพักพิเศษกับนาคินด้วย เมื่อหมอแจ้งว่าคนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว ตอนนี้ก็รอแค่ให้ชายหนุ่มฟื้นขึ้นมาเท่านั้น



   คืนนี้สนธยาต้องเฝ้านาคินเพียงลำพัง เนื่องจากพ่อแม่ของนาคินได้เที่ยวบินตอนเช้าตรู่ของอีกวัน ส่วนมนตรีที่ตามมาที่หลังนั้น ชายหนุ่มขอให้พ่อของตนเองกลับไปพักผ่อนที่บ้าน เพราะห้องพักมีโซฟาเพียงตัวเดียว ถ้าอยู่เฝ้าถึงสองคนก็จะลำบาก



   กลางดึกสงัด ขณะที่เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ คนที่ทำหน้าที่เฝ้าผู้ป่วยเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง จากที่กำลังเคลิ้มๆ ก็พลันลุกขึ้นมา ก่อนจะมาหยุดที่ข้างเตียง



   ห้องทั้งห้องยังเงียบสนิทไม่ต่างจากเดิม นาคินที่อยู่บนเตียงนอนหลับตาพริ้ม ชายหนุ่มตัวโตยังคงหายใจได้เหมือนปรกติ สนธยาจึงคิดว่าไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะนาคินดูเหมือนคนที่กำลังหลับสนิทอยู่เท่านั้น



   แต่สิ่งที่สนธยาไม่รู้คือ การหลับใหลของนาคินในครั้งนี้จะกินเวลายาวนาน นานอย่างไม่มีกำหนด เพราะชายหนุ่มถูกความฝันอันแสนห่างไกลดึงดูดเข้าไปติดอยู่ในห้วงเวลานั้นเสียแล้ว…









‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧




แอบมาลงครึ่งหลังซะดึกเลย
ตอนต่อๆ ไปจะย้อนอดีตกันเต็มตัว
อาจมีสลับปัจจุบันบ้างเล็กน้อย
ปริศนาใกล้กระจ่างขึ้นทุกขณะ
ฝากติดตามด้วยนะคะ
ส่วนใครเพิ่งเคยเข้ามาอ่าน ยินดีต้องรับค่ะ  :mew1:



ละอองฝน.

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
แผนของทับทิมน่าจะมุ่งที่แม่แก้วหรือ?
ไม่งั้นก็ไปมอมเหล้าคุณสินแล้วเสียตัวให้??

โอย มันหลอนมากค่ะ ><

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เมือนแก้วจะได้ตายก่อนคุณสินกลับมาเลย  :ling3:

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
หายไปเป็นเดือนแล้วนะคะ
 :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
อ่านรวดเดียวยาวเลยค่ะ

ออฟไลน์ knxiiviii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เอ๊ะยังไง พี่สนคือคุณสิน คินคือแม่แก้ว ..แล้วใครสิงพี่ก้อย หรือคินจะเป็นคุณสิน พี่สนคือแม่แก้ว แล้วแม่ทับทิมนี่ยังไง..พอเถอะ เลิกเดา รออ่านตอนต่อไป5555

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
เพิ่งได้มาอ่านค่ะ สนุกมาก รอตอนต่อไปนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
หรือคินจะเป็นแม่ทับทิมกลับมาเกิด
ชาติก่อนแม่ทับทิมอาจจะฆ่าแม่แก้ว
แม่แก้วเลยมาตามหลอน?
เดาล้วนๆ

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2






บทที่ ๑๗








   ‘แปลกคน’ ไม่ว่าใครที่เห็นการกระทำของคุณหนูทับทิมต่างก็เอ่ยออกมาเป็นประโยคเดียวกันแทบทั้งสิ้น ก็มีอย่างที่ไหน หลังจากถูกจางวางมีชื่อตัดรอนไม่ยกขันหมากไปขอแต่งตามที่ผู้ใหญ่ชักพา หญิงสาวยังกล้าไปมาหาสู่กับนายหญิงบ้านคหบดีเสืองได้ราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในทีแรกแม่แต่คุณกำไลเองก็ไม่รู้จะปั้นหน้ารับหญิงสาวอย่างไร ทว่าพอผ่านพ้นไปหลายเมื่อเชื่อวัน คุณหนูทับทิมที่มักจะหอบหิ้วของฝากมานั่งคุยเล่นเป็นเพื่อนคนแก่ก็ทำให้ความรู้สึกเข้าหน้าไม่ติดนั้นจางหายไป เปลี่ยนเป็นความรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้หญิงสาวเป็นลูกสะใภ้ตามที่ใจมุ่งหวังแต่แรก



   ยิ่งกับแก้วผู้อยู่ในฐานะเมียบ่าวของจางวางสินยิ่งแล้วใหญ่ คุณหนูทับทิมกลับเจราปราศรัยด้วยราวกับไม่นึกชังน้ำหน้าแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้คุณกำไลนับถือน้ำใจของหญิงสาวมากขึ้นไปอีก



   แม้ยามนี้กำไลจะไม่นึกรังเกียจเดียดฉันท์แก้วเช่นที่ผ่านมา เพราะได้รับการปรนนิบัติอย่างดีจากสะใภ้บ่าว แต่ลึกๆ ในใจเธอก็หวังให้มีสักวันที่จะดองกับครอบครัวของทับทิมได้ หากวันนั้นมาถึงเธอคงวางใจเรื่องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนได้เสียที



   “แม่แก้ว!” เสียงของจันทร์หอมเรียกเรียกเกลอรักที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดสำรับให้แม่สามี

   “ว่าอย่างไรจันทร์หอม”

   “เห็นว่าคุณทับทิมมาอีกแล้วรึ” จันทร์หอมถามด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่ชอบใจเท่าใด

   “อืม” แก้วพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปเช็ดกะทิที่หยดเลอะขอบจานผักต้มออก   

   “มาทำไมบ่อยนักก็ไม่รู้” จันทร์หอมตั้งข้อสังเกต

   “ก็มาเยี่ยมคุณนายน่ะซี อันที่จริงข้าว่าก็ดีเหมือนกันนะ คุณนายท่านจะได้มีเพื่อนคุย”


แก้วเป็นบ่าวมาตั้งแต่เกิด นิสัยหยาบกระด้าง ไม่ค่อยถนัดในเรื่องที่หญิงสูงศักดิ์ทั่วไปเขาถนัดกัน บางครั้งยามต้องขึ้นไปปรนนิบัติรับใช้คุณนายกำไล เธอก็มักจะชวนคุยหรือหาเรื่องให้แก้วทำนั่นทำนี่เป็นเพื่อน แต่แก้วก็ทำได้ไม่ถูกใจเธอสักเท่าไหร่ ต่างจากคุณทับทิมที่ไม่ว่าแม่สามีของแก้วจะชวนพูดคุยอะไรก็รู้รอบไปหมด แก้วว่าดีเหมือนกันที่คุณทับทิมมาเพราะคุณนายกำไลจะได้ไม่เหงา



   “มาแค่เป็นเพื่อนคุยจริงๆ ก็ดี ข้ากลัวคุณเขาจะหวังอะไรมากกว่านั้น” จบคำแก้วก็หันมาสบตาจันทร์หอม เพื่อนของเธอไม่เคยพูดว่าร้ายใคร จะมีก็แต่เรื่องของคุณทับทิมเท่านั้นที่แก้วได้ยินจนชินหู

“ข้าว่าคุณทับทิมเธอคงไม่ได้คิดอะไรจริงๆ เพราะที่เธอทำนี่ก็เป็นขี้ปากชาวบ้านจะแย่ คงไม่ทำเรื่องไม่ดีให้ใครเขานินทาซ้ำหรอก เอ็งก็รู้ว่าความจริงคุณสินไม่อยู่บ้านเสียหน่อย เห็นคุณทับทิมมาทีไรก็หาแต่คุณนายท่าน เธอดูเป็นคนดีจริงๆ นะจันทร์หอม”

“มันก็ไม่แน่หรอกแก้ว ถึงคุณสินไม่อยู่ แต่คุณทับทิมก็ไม่ได้จะมาซื้อใจคุณสินเสียหน่อย เขามาซื้อใจคนเรือนใหญ่โน่น”

“เอาเถอะ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง เอ็งอย่าพูดไปเลย ประเดี๋ยวใครมาได้ยินเอ็งจะเดือดร้อน”

“ข้าก็ได้แต่เตือนเอ็งเท่านี้แหละแก้ว ระวังให้ดี คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ”

“ขอบใจนะ” แก้วยิ้มให้จันทร์หอมด้วยความจริงใจ เธอรู้ว่าเพื่อนคนนี้หวังดีกับตนเองแค่ไหน เพราะจันทร์หอมเป็นคนเดียวที่อยู่เคียงข้างแก้วในวันที่ถูกตราหน้าว่าเป็นทาสไม่เจียมกะลาหัว คิดจับนายยกฐานะให้ตนเอง แม้ทุกวันนี้สถานการณ์จะดีขึ้นกว่าเดิมแล้วก็ตาม แต่แก้วก็ไม่มีทางลืมว่าใครที่รักและหวังดีกับตนเองมากที่สุด




o-----------------------o



   เช้าวันใหม่มาเยือน วันนี้แก้วได้มีโอกาสไปใส่บาตรที่หน้าบ้านพร้อมคุณกำไลและนายท่านเสือง ทุกอย่างผ่านไปอย่างเรียบง่าย นายท่านเสืองทักทายเธออยู่สองสามประโยค ก่อนจะขึ้นไปรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับเมียบ่าวคนใหม่ที่เรือนเล็ก ทิ้งให้คุณกำไลทานอาหารกับบุตรสาวคนเล็กเพียงสองคน



   เมื่อรอคอยจนแม่สามีรับประทานเสร็จ แก้วก็กำกับให้คนเอาสำรับลงมาเก็บที่ครัว ส่วนตนก็ลงมาทานพร้อมๆ กับทุกคนที่ก้นครัว แต่ขณะที่เดินกลับ หญิงสาวเกิดหน้ามืดและวูบระหว่างทาง ทำเอาทาสคนอื่นๆ แตกตื่นกันยกใหญ่



ปรกติหญิงสาวเป็นคนค่อนข้างแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายนัก ครั้งนี้เธอวูบไปครู่เดียวก็ฟื้นคืนสติ ทีแรกแม่และจันทร์หอมตั้งใจจะให้หมอยามาดูอาการ แต่แก้วทักท้วงเอาไว้



“เมื่อคืนฉันไม่ค่อยหลับจ้ะแม่ ไม่เป็นไรมากหรอก”

“อย่างนั้นรึ” คนเป็นแม่รับคำ แล้วว่า “แต่ถ้าเอ็งรู้สึกไม่สบายก็บอกแม่กับจันทร์หอมนะ รู้ไหมแก้ว”

“จ้ะแม่”

“หากปล่อยให้เอ็งเจ็บไข้ขึ้นมา คุณสินรู้เข้า มิแคล้วคงโดนเล่นงานกันหมด” จันทร์หอมว่าอีกคำ “เที่ยวนี้คุณเขาไปนานแล้วนะ อีกไม่กี่วันก็คงกลับ เอ็งเตรียมตัวรอให้ดี อย่างได้เจ็บป่วยเชียว”

“อืม” แก้วพยักหน้ารับ เธอเองก็ได้แต่หวังให้เป็นเช่นที่จันทร์หอมบอกเช่นกัน



o-----------------------o



   ผ่านไปกว่าสองเดือนที่คุณสินจากเรือนดอกแก้วไปรับใช้เจ้าเหนือหัวในวัง แก้วเฝ้านับวันรอคอยการกลับมาของคนรักด้วยใจคะนึงหา ครานี้คุณสินไปนานนัก แม้จะจ้างวานให้คนส่งข่าวมาบอกบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่อาจเทียบเท่ากับการได้กลับมาด้วยตัวเอง



   ยามนี้เย็นย่ำแล้ว แก้วยืนพิงกรอบซุ่มประตูทางขึ้นเรือนดอกแก้ว ทอดสายตามองออกไปที่หน้าลานบ้าน มองต้นแก้วเจ้าจอมที่นับวันสูงใหญ่ ดอกที่เคยผลิบานค่อยๆ ผลัดกลีบโรยราลงไปแทบไม่เหลือ ไม่รู้อีกนานเท่าใดไม้หอมจะผลิดอกให้ได้ชมอีก เธออยากให้คุณสินรีบกลับมาก่อนแก้วเจ้าจอมดอกน้อยจะโรยเหลือเกิน…



o-----------------------o



ผ่านไปหลายวัน คุณสินก็ยังไม่กลับมา ส่วนแขกประจำเรือนกลับมาเยี่ยมไม่เว้นแต่ละวัน เช้าถึงเย็นถึง มีของฝากติดมือมาไม่เคยขาด เช่นวันนี้ที่คุณทับทิมให้บ่าวหอบหิ้วเอาส้มหวานของฝากจากหัวเมืองมาให้คุณกำไล หญิงสาวว่าส้มลูกสวยเหล่านี้มีรสหวานอมเปรี้ยว คุณนายกำไลจึงเสนอให้คนเอาไปคั้นมาดื่มดับร้อน และบ่าวที่ทำหน้าที่นั้นก็หนีไม่พ้นแก้วนั่นเอง



เมื่อหญิงสาวคั้นน้ำส้มให้คุณนายกำไลกับคุณหนูทับทิมเรียบร้อยก็ช่วยกันกับแม่ปุ้น บ่าวคนสนิทของคุณทับทิม ยกไปให้นายหญิงที่ศาลาริมน้ำ



น้ำส้มหวานเย็นท่าทางจะถูกใจคุณนายกำไลไม่น้อย เพราะเธอเรียกให้แก้วเติมถึงสองรอบ จนกระทั่งบ่ายคล้อยคุณทับทิมจึงขอตัวกลับเรือน ทว่าขณะที่หญิงสาวกำลังลุกจากศาลาก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น



อยู่ๆ คุณนายกำไลก็ปวดท้อง ก่อนอาเจียนออกมาเป็นมูกเลือด แก้วเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปประคอง และร้องให้คนเรียกหมอยามาให้เร็วที่สุด



หากแต่ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรกอีก เนื่องจากคุณหนูทับทิมที่ทำทีว่าจะกลับในตอนแรก ดันปวดท้องขึ้นมาอีกคน บนใบหน้างามซีดเผือดมีเม็ดเหงื่อผุดพรายอยู่เต็มไปหมด



บ่าวไพร่ในเรือนคหบดีเสืองต่างวุ่นวายกันยกใหญ่ ด้วยผู้เป็นนายหญิงและแขกคนสำคัญมาล้มเจ็บพร้อมกันโดยไม่ทราบสาเหตุ แก้วเองก็ร้อนใจไม่ต่างกับคนอื่นๆ หลังจากพาคนป่วยขึ้นเรือนใหญ่แล้ว หญิงสาวก็อยู่ช่วยปรนนิบัติพัดวีคุณกำไลจนกระทั่งหมอยาเดินทางมาถึงเรือน



นายท่านเสืองที่เพิ่งกลับจากร้านในพระนครก็เข้ามาเฝ้าภรรยาหลวงอย่างใกล้ชิดไม่ห่าง จนกระทั่งหมอยาเอ่ยถึงสาเหตุที่คุณนายกำไลและคุณหนูทับทิมเจ็บป่วยออกมา แววตาที่เดิมร้อนรนก็พลันเปลี่ยนเป็นโมโหดุดันทันที



“โดนวางยาอย่างนั้นรึ!”

“ขอรับ” หมอยาว่า “เป็นพิษของมะกล่ำตาหนูไม่ผิดแน่ ที่คุณนายอาเจียนเป็นเลือดและท้องเดินจนหมดเรี่ยวหมดแรง เป็นเพราะคุณนายกินเข้าไปมากโขทีเดียว โชคดีที่ล้างท้องล้างไส้ได้ทันเวลา”

“ใคร! ใครมันกล้าทำงามหน้าบนเรือนกู!” นายท่านเสืองตะหวาดลั่นต่อหน้าบ่าวไพร่บนเรือน ทุกคนต่างก็ก้มหน้าก้มตาไม่เงยขึ้นสบหน้าเจ้านายสักคนเดียว



ในเมื่อคนร้ายไม่กล้ารับสารภาพ นายท่านเสืองจึงสั่งให้คนตรวจสอบอาหารที่คุณนายรับประทานเข้าไปตามที่หมอยาสั่ง พร้อมกับค้นทั้งโรงครัว โรงนอนของบ่าวไพร่ทุกคนด้วย



แก้วตื่นกลัวท่าทางเกรี้ยวกราดของพ่อสามีจนตัวสั่น แต่ที่กลัวยิ่งกว่าคือกลัวว่าคุณกำไลจะเป็นอะไรไป เพราะหากเธอเป็นอะไรไปมาก คุณสินจะต้องเสียใจเป็นแน่ อีกทั้งคุณนายก็ถือเป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่งของแก้วอีกด้วย



เรื่องราวดูจะวุ่นวายมากขึ้นเมื่อพ่อและแม่ของคุณหนูทับทิมรู้เรื่องเข้า ทั้งสองเดินทางมารับตัวลูกสาวกลับเรือนตอนเย็นย่ำแล้ว ทั้งยังร้องขอให้นายท่านเสืองเร่งจับตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นคนร้ายที่ยังไม่รู้ตัวว่าเป็นใครจึงถูกตั้งโทษทัณฑ์ไว้เป็นถูกโบยห้าสิบไม้ พร้อมกับไล่ออกจากเรือน ข้าทาสทุกคนต่างก็ขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมด



“…คุณท่านเจ้าคะ” อยู่ๆ ก่อนที่จะกลับเรือนตนพร้อมนาย แม่ปุ้นบ่าวของคุณหนูทับทิมก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางลำบากใจ

“เอ็งเป็นบ่าวของหนูทับทิมมิใช่หรือ ว่าอย่างไรเล่า”

“บ่าวไม่รู้ว่าสมควรพูดดีไหม” เธออ้ำอึ้งมองมาทางแม่แก้ว

“มีอะไรเอ็งก็พูดมาเถอะ” นายท่านเสืองเร่ง

“บ่าวจะบอกว่า ก่อนมาวันนี้คุณหนูทับทิมรับสำรับมาจากที่เรือนเจ้าค่ะ แล้วอย่างเดียวที่คุณหนูทานก็คือ…” เธอมองไปยังแก้วอีกครั้ง แล้วว่าด้วยท่าทางจำใจ “น้ำส้มที่แม่แก้วคั้นให้เจ้าค่ะ”



คำพูดของปุ้นเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงบนหัวของแก้ว เพราะหากคนอื่นจะมอง ก็สามารถมองได้ว่าหญิงสาวมีเหตุจูงใจให้ทำร้ายคนทั้งสองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคุณนายกำไลที่เคยกีดกันและรังเกียจเธอ หรือจะเป็นคุณทับทิมศัตรูหัวใจที่ยังตามมาเอาใจคุณนายของบ้านคหบดีไม่เลิกรา



“นังแก้ว! เป็นเองรึ”

“บ…บ่าวไม่ได้ทำเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบระลักระล้ำ เธอไม่ได้ทำแต่ก็ยอมรับว่าตกใจอย่างมากที่แม่ปุ้นเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ราวกับว่าต้องการจะโยนความผิดให้เธอ

“ถ้าเอ็งไม่ทำแล้วใครทำ”

“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะคุณท่าน แต่บ่าวไม่ได้ทำจริงๆ นะเจ้าคะ”



นายท่านเสืองเงียบลงไม่ถามต่อ เพราะรู้ว่าถึงเค้นอย่างไร หากไม่มีหลักฐานก็ไม่อาจเอาผิดได้ อย่างมากก็แค่ลงโทษที่สะเพร่าในฐานะที่เป็นคนจัดสำรับเท่านั้น



ทว่าดังเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อบ่าวที่ลงไปตรวจค้นตามคำสั่งของนายท่านเสืองกลับมาพร้อมกับห่อมะกล่ำตาหนูบดแห้ง และรายงานว่าพบมันบนเรือนดอกแก้ว หลักฐานทั้งหมดจึงชี้ชัดไปที่แม่แก้วเพียงผู้เดียว



เจ้าบ้านให้คนเอาแก้วลงไปมัดโยงกับขื่อใต้ถุนเรือน ก่อนสั่งโบยตามจำนวนที่ประกาศไว้ในทีแรกโดยไม่สอบสวน ในใจนึกโมโหที่สะใภ้บ่าวทำเรื่องงามหน้า คิดคดต่อนายทั้งที่ชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก มิหนำซ้ำยังยอมให้แต่งกับลูกชายเพียงคนเดียวอีกด้วย



ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของแก้ว เธอยังปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดสนใจฟังเลยก็ตาม คนในเรือนตั้งแต่นายไปจนถึงบ่าวต่างก็นึกสมเพชหญิงสาว ปากก็โทษว่าเป็นเพราะความอิจฉาตาร้อนของแก้วที่เห็นคุณนายกำไลหมายตาคุณหนูทับทิมให้คุณสิน และยังว่าแก้วเป็นนางอสรพิษเลี้ยงไม่เชื่อง มีเพียงแม่และจันทร์หอมเท่านั้นที่เชื่อในตัวแก้ว แต่ใครเลยจะสนใจฟังเสียงเล็กๆ ของบ่าวเพียงสองคน



แก้วเจ็บปวดทรมานราวกับหลังจะแยกออกจากกัน ทุกครั้งที่หวายโบยลงบนผิว รอยรอยเป็นทางจะปรากฏขึ้นชัดเจน กระทั่งแนวช้ำเหล่านั้นปริแตกจนเลือดไหลซิบ สุดท้ายเมื่อหญิงสาวที่ไม่อาจทนพิษบาดแผลได้ไหว เธอจึงหมดสติไปทั้งที่ร่างยังถูกโยงเอาไว้เช่นนั้น
[/i]



o-----------------------o





   หลายวันแล้วที่นาคินไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นคืนสติขึ้นมา ทั้งที่ผลการตรวจออกมาว่าร่างกายของนาคินกลับมาเป็นปรกติดีทุกอย่าง สภาพของเขาจึงคล้ายกับคนที่หลับอยู่เท่านั้น พ่อกับแม่ของนาคินทร์ร้อนใจเป็นอย่างมาก ท่านทั้งสองต่างก็กลัวว่าลูกชายจะกลายเป็นเจ้าชายนิทราและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย



   สนธยาเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลแทบทุกวัน คอยเฝ้าไถ่ถามอาการและผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้าไข้กับแพรไหมไม่ได้ขาด ชายหนุ่มเองก็เป็นห่วงนาคินไม่แพ้ใคร ยิ่งหมอไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะฟื้น หรือจะมีอาการแทรกซ้อนอะไรเกิดขึ้นอีกไหม สนธยาเองก็ยิ่งนั่งไม่ติด



   คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่สนธยาอาสาอยู่เฝ้านาคินแทนแพรไหม ชายหนุ่มเอาหนังสือมานั่งอ่านในห้องพักของคนไข้ด้วยเนื่องจากอีกไม่นานก็จะสอบแล้ว แม้ว่าจะต้องวุ่นวายกับเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามา เขาก็ต้องไม่ทิ้งขว้างการเรียนด้วยเช่นกัน
   กระทั่งผ่านไปกว่าค่อนคืน สนธยาจึงตัดสินใจเก็บหนังสือกับเอกสารการเรียนลงกระเป๋า จากนั้นก็เตรียมตัวเข้านอน ห้องเฝ้าไข้ที่คชินทร์เลือกให้ลูกชายนั้นเป็นห้องแบบพิเศษเตียงเดียว ดังนั้นในห้องจึงไม่มีใครอีก



   ก่อนจะล้มตัวลงนอนที่โซฟา สนธยาก็เดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง เขามองดูนาคินที่นอนนิ่งไม่รู้สึกตัว ภายนอกดูปรกติราวกับว่าอีกฝ่ายแค่หลับไปเท่านั้น



ผ่านไปพักใหญ่ ท่ามกลางบรรยากาศภายในห้องผู้ป่วยที่แสนเงียบสงัด สนธยาก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมา นั่นคือเรื่องที่เขาได้คุยกับพ่อเมื่อบ่ายก่อนเดินทางมาโรงพยาบาล ชายหนุ่มได้ทำการสอบถามพ่อเกี่ยวกับคนในความฝันที่นาคินเคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งไปทะเล ซึ่งคำตอบที่เขาได้รับกลับมานั้นค่อนข้างจะทำให้ชายหนุ่มตกใจพอสมควร


 
มนตรีบอกว่าในครอบครัวมีบรรพบุรุษชื่อสินจริงๆ แต่ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับคนคนนี้นัก



“พ่อเคยได้ยินว่าท่านเสียตั้งแต่อายุยังน้อย”



 นั่นเป็นเพียงข้อมูลเดียวที่มนตรีรู้ หากสนธยาต้องการจะรู้เรื่องราวมากกว่านี้ เขาคงต้องกลับไปสืบความเอาจากญาติผู้ใหญ่ที่ย้ายไปอยู่อยุธยา



“จริงๆ แล้วสิ่งที่คินฝันอาจจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงก็ได้นะ พี่ถามพ่อเรื่องของคนที่คินฝันให้แล้ว แต่พ่อไม่รู้อะไรมาเท่าไหร่ อีกอย่างพ่อก็ไม่เคยรู้จักคนชื่อแก้ว พี่คิดว่าคงต้องไปหาคุณย่าที่อยุธยา บางทีท่านอาจจะรู้อะไรบ้าง ดังนั้นก็ตื่นขึ้นมาหาความจริงกันเถอะ คินอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าทำไมถึงฝันเห็นคนพวกนั้น”



เว้นวรรคไปครู่หนึ่ง มือเรียวก็เอื้อมไปจับมือของคนที่นอนนิ่งไม่ไหวติง ก่อนสนธยาจะเอ่ยต่อท่ามกลางความเงียบ สายตาที่ทอดมองสะท้อนความรู้สึกเป็นห่วงจนไม่อาจบรรยายได้ แต่กระนั้น คนที่สนธยาพูดด้วยก็ไม่อาจรับรู้ได้เลยแม้แต่คำเดียว



“รู้หรือเปล่าวันตัวเองหลับไปกี่วันแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงสั่นพร่า



ในยามที่นาคินอยู่ในช่วงความเป็นความตาย สนธยาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภายในใจทรมานด้วยรู้สึกห่วงกังวลแค่ไหน เขากลัวเหลือเกินว่าจะไม่มีวันได้เห็นรอยยิ้มสดใส ไม่มีใครมาออดอ้อนอยู่ใกล้ๆ ไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันอีก และที่สำคัญคือ กลัวว่านาคินจะหลงและติดอยู่ในความฝันจนไม่มีวันฟื้นคืนมา



เขากลัวอย่างสุดหัวใจ



ความกลัวและความห่วงใยที่มีมันมากกว่าเพียงแค่คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน มากกว่าคนที่นับถือกันอย่างศิษย์-อาจารย์ มากจนเขาไม่อยากเชื่อตัวเอง หากมันไม่ระเบิดออกมาในวันที่เห็นนาคินจมลงไปในน้ำต่อหน้าต่อตา



นาทีนี้สนธยาไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้าง แต่ถ้ามีสิ่งไหนที่ทำเพื่อนาคินได้ เขาก็จะลงมือทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย



พี่รอนายอยู่นะนาคิน…ตื่นขึ้นมาได้แล้ว










<><><><><><><><><><><><><>




สวัสดีค่ะ
หายไปนานมากเลย ต้องขอโทษจริงๆค่ะ :hao5:
พอกลับมาอีกที เรื่องนี้ก็จบแล้ว
เดี๋ยวฝนจะทยอยลงให้วันละตอนนะคะ

เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ


ละอองฝน.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-01-2017 21:09:29 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2





บทที่ ๑๘








   หลังจากถูกลงโทษจนครบจำนวนไม้ แก้วก็ถูกตัวมาทิ้งไว้ที่กระท่อมร้างท้ายสวน แม้คนเป็นนายจะเคยลั่นวาจาไล่หญิงสาวออกจากเรือน แต่สุดท้ายก็มิอาจทำได้เช่นที่พูด เพราะสภาพของหญิงสาวบอบช้ำเกินกว่าจะไปไหนได้ไกล ลำพังแค่ประคองสติรับรู้ยังทำไม่ได้ สิ่งที่ทาสสาวทำก่อนสิ้นการรับรู้มีเพียงแค่เปล่งเสียงปฏิเสธข้อกล่าวหาเท่านั้น



   ทาสในเรือนทุกคนถูกสั่งห้ามไม่ให้หยิบยื่นความช่วยเหลือ แต่พอตกดึกที่หน้ากระท่อมปลายสวนก็มีการเคลื่อนไหว คำสั่งนายเหนือหัวน่าประหวั่นก็จริง แต่ไหนเลยจะห้ามไม่ให้ผู้เป็นมารดาลักลอบมาดูอาการลูกสาว เรียมลอบโพกผ้าปิดหน้าปิดตา สองมือหอบเอายาสมานแผลที่พอจะหาได้ติดมือมาด้วย



   เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไป หัวใจของคนเป็นแม่ก็บีบรัดด้วยความเจ็บปวด แสงตะเกียงวอมแวมส่องให้เห็นลูกสาวคนดีนอนคว่ำหน้าอยู่กับแคร่ ตามแผนหลังและต้นแขนเต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกโบยเมื่อหัวค่ำ



กระท่อมร้างมีเพียงแคร่ไม้หลังหนึ่งกับตะเกียงอีกดวง มองโดยรอบแล้วสภาพทรุดโทรมจนไม่อาจใช้เป็นที่บังฝนได้ เรียมตรงเข้าไปหยุดข้างแคร่ นึกในใจว่าโชคดีเหลือเกินที่อย่างน้อยคนที่พาแก้วมาส่งก็ยังมีน้ำใจจุดตะเกียงทิ้งไว้ให้ เขาคงเห็นสภาพน่าเวทนาของลูกสาวเธอจึงทำเช่นนี้



   ครั้นพอจับเนื้อตัวลูกสาว เรียมก็พบว่าเนื้อนวลนั้นร้อนจี๋ เธอจึงรีบแบ่งผ้าแถบคาดอกของตัวเองออกมาส่วนหนึ่ง แล้วน้ำไปชุบน้ำมาเช็ดตัวทำความสะอาดแผล



   แผลเปื้อนเลือดที่ดูสาหัสเมื่อทำความสะอาดแล้วก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ มันบอบช้ำแต่อย่างไรแก้วก็คงมีโอกาสหายและฟื้นคืนมาในวันสองวัน ทว่าขณะที่เรียมกำลังจะเปลี่ยนผ้านุ่งให้ลูก เธอก็พบความผิดปรกติบางอย่างที่ทำให้ใจเสีย



   ที่ระหว่างขาทั้งสองข้างของแก้วมีรอยเลือดไหลออกมาเปรอะท่วมหน้าแคร่เต็มไปหมด มองดูคล้ายระดู แต่เลือดที่เห็นกลับมีปริมาณที่มากจนน่ากลัว



   วาบหนึ่งในสมองเรียมคิดว่าบางทีเลือดที่เห็นอาจไม่ใช่ระดูของลูกสาว แต่อาจจะเป็นเลือดอย่างอื่นที่มีความสำคัญมากกว่านั้น



   ครั้นเมื่อคิดได้เรียมก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เธอรีบทำความสะอาดร่างกายของลูกโดยไม่นึกรังเกียจ ฝนยาชันแผลตามตำหรับงูๆ ปลาๆ เท่าที่พอทราบ ในใจหวังว่าวันรุ่งขึ้น เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ลูกสาวคนดีของเธอจะฟื้นขึ้นมาดังเดิม



   หากแต่สิ่งที่เรียมหวังกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะแก้วไม่ฟื้น ซ้ำยังมีไข้และเพ้อหนักตลอดคืนจนถึงเช้า แม้นร้อนใจมากแต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรลูกได้



   หลังผ่านไปสามวันสามคืนอาการของแก้วก็ไม่มีทีว่าจะดีขึ้น เรียมอยากตามหมอมารักษาลูกใจจะขาด แต่ติดที่ไม่มีเบี้ยอัฐเพียงพอ ซ้ำยังถูกห้ามจากคนเรือนใหญ่ ระหว่างนี้เธอได้จันทร์หอมคอยช่วยกันผลัดเปลี่ยนคอยดูอาการให้แก้วเท่านั้น



   “น้าเรียม ฉันว่าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้วนะจ้ะ”

   “น้าก็คิดเหมือนเอ็งนะจันทร์หอม แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร หันหน้าไปพึ่งใครเขาก็ไม่ได้ น้าล่ะกลัวเหลือเกิน”



ทั้งหมดทั้งมวลที่จันทร์หอมพูดมา เรียมเข้าใจดีทุกอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาได้อย่างไร หันหน้าไปพึ่งใครตอนนี้ก็ไม่มีคนช่วยสักคน ยิ่งคุณกำไลเริ่มหายดีเป็นปรกติแล้ว คำสั่งที่ว่าห้ามใครให้การช่วยเหลือแก้วยิ่งเด็ดขาดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า



   “ฉันไม่เชื่อว่าแก้วมันจะทำผิดคิดร้ายต่อคุณนายกำไลเช่นนั้น เรื่องนี้คงเป็นอุบายของคุณทับทิมเป็นแน่ เพียงแต่ถ้าเราหาทางพิสูจน์ได้”

   “แล้วเอ็งจะพิสูจน์อย่างไร แค่ลมปากใครเขาจะเชื่อ เอ็งก็เห็นว่าคุณทับทิมเธอถูกพิษจนล้มป่วยเหมือนคุณนายท่าน”

   “เฮ้อ…แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีล่ะจ๊ะ ถ้าแก้วมันตกเลือดจริงๆ แค่ยาหม้อที่เราต้มให้กิน มีหรือมันจะหายได้ ทั้งโดนโบยมาด้วย ข้างในคงบอบช้ำน่าดู”

   “ข้า…ข้าก็ไม่รู้” ยิ่งได้ฟัง คนเป็นแม่ก็ยิ่งใจจะขาด



   เมื่อได้ยินดังนั้นจันทร์หอมจึงนิ่งเงียบไปในที่สุด เพราะจนใจด้วยไม่รู้จะทำเช่นไร จะคิดอ่านหาทางรอดให้แก้วอย่างไรก็คิดไม่ออก พวกเธอเป็นเพียงทาสในเรือนเบี้ยตัวเล็กๆ หากผู้เป็นนายไม่ให้ความเมตตาแล้วล่ะก็ จะหาผู้ใดอีกคงไม่มี



   “หรือว่า…” ทว่าจู่ๆ จันทร์หอมก็มาสะดุดที่ความคิดของตัวเองความคิดหนึ่ง

   “อะไรรึ”

   “ฉันว่าเราลืมนึกถึงคนคนหนึ่งจ้ะน้าเรียม คนคนนี้เป็นคนเดียวที่จะช่วยแก้วได้”

   “ใครรึจันทร์หอม” ครั้นได้ยินและเห็นดวงตาเป็นประกายของหญิงสาว เรียมก็ตื่นเต้นด้วยมีความหวังประกายขึ้นในหัวใจ

   “คุณสินไงจ๊ะน้าเรียม! คุณสินรักแก้วมาก เช่นนั้นก็มีเพียงคุณสินคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยแก้วได้”

   “แล้วคุณสินจะเชื่อพวกเรารึ คนที่โดนวางยาก็แม่ของเธอเชียวนะ” แม้ว่าบุตรสาวของเธอจะเป็นเมียของคุณสินผู้แสนดีคนนั้น แต่หากให้เลือกระหว่างเมียกับแม่ เรียมก็ไม่แน่ใจว่าคุณสินจะเลือกข้างไหน

   “ต้องเชื่อสิจ๊ะ เพราะคุณสินเป็นคนที่รู้จักแก้วมากที่สุด รู้จักพอๆ กับพวกเรา ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยให้เมียรอดไว้ก่อน ส่วนเรื่องสืบสาวหาความก็ค่อยว่ากันทีหลัง ยิ่งถ้าเกิดแก้วมันท้องขึ้นมา แล้วถูกโบยจนตกเลือดอย่างที่เรากลัว อย่างไรคุณสินก็ต้องเห็นใจแก้วอย่างแน่นอนจ้ะ” จันทร์หอมเอ่ยออกมาด้วยความมั่นอกมั่นใจ

   “แล้วเราจะบอกเธอได้อย่างไร อย่าลืมนะว่าคุณสินเธอไม่อยู่”

   “ฉันพอมีวิธีจ้ะน้า” บอกเพียงเท่านั้นหญิงสาวก็รีบปราดออกไปจากกระท่อมไม้ทันที เพราะกลัวว่ายิ่งรอช้า เกลอรักของเธอจะทนต่อไปไม่ไหว





o-----------------------o




   ยามดวงตะวันคล้อยต่ำลง แสงสีส้มอมแดงก็ส่องฉาดไปกับผืนน้ำระยิบระยับ ความวุ่นวายทั้งสองฝั่งคลองดูจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเรือลำน้อยไกลออกมาจากเขตพระนคร ชายหนุ่มท่าทางองอาจที่เคยมีใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เป็นนิจ บัดนี้กลับตีสีหน้าเคร่งขรึมลง คิ้วเข้มของเขาขมวดอยู่น้อยๆ นานๆ ทีก็จะออกปากบอกฝีพายให้เร่งมือกว่านี้ด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งแบบที่ไม่เคยใช้มาก่อน



   บ่าวคนสนิทผู้คอยคัดท้ายพายเรือรีบเร่งจ้วงพายให้เร็วตามคำที่นายบอก เพราะกลัวท่าทางนิ่งๆ แต่ดุดันด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ของจางวางสินเป็นที่สุด



   สินร้อนใจเป็นอย่างมาก เขาอยากจะหายตัวกลับเรือนทันทีที่บ่าวเอาความมาแจ้ง เรื่องที่มารดาถูกวางยา และมีหญิงคนรักเป็นแพะรับบาป โดยยามนี้เธอลงโทษจนเจ็บหนัก



   เวลาเพียงสองเดือนที่สินไม่อยู่กลับมีเรื่องราววุ่นวายเกิดขึ้นมากขนาดนี้ เขาไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แน่ชัด แต่ชายหนุ่มก็เชื่อมั่นว่าแก้วไม่มีทางเป็นเช่นคำกล่าวหาเด็ดขาด กระทั่งมาถึงเรือนใหญ่ สินจึงรีบตรงขึ้นไปดูอาการของมารดาทันที



   เมื่อพบว่าคุณนายกำไลแทบจะหายดีเป็นปรกติ สินก็เร่งลงจากเรือนไปหาคนรัก แม้จะต้องมีปากเสียงกันอยู่พักใหญ่ จางวางหนุ่มก็ไม่คิดสนใจ ในที่สุดเขาเดินลงมาหาคนรักที่เรือนดอกแก้วจนได้



   ทว่าเมื่อขึ้นไปบนเรือน ทุกสิ่งทุกอย่างกลับว่างเปล่า ชายหนุ่มออกปากถามบ่าวไพร่จนสุดท้ายก็ทราบว่าแก้วถูกพาไปไว้ที่ไหน



   เขาทั้งโกรธและเสียใจเมื่อรู้ว่าแก้วอยู่อย่างไรมาตลอดห้าวันที่ผ่านมา ยิ่งมาพบสภาพไม่สมประดีของหญิงสาวในกระท่อมน้อย สินยิ่งปวดหัวใจจนไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูดออกมาได้



   “แก้ว!” ชายหนุ่มรีบถลาเข้าไปหาหญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนแคร่ไม้



   มองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยบาดแผลแล้วเขาเจ็บปวด แต่ที่มากกว่านั้นคือไม่ว่าจะเรียกอย่างไรแก้วก็เอาแต่นอนหลับไม่ลืมตาขึ้นมามองเขาเช่นทุกที



   “นี่มันอะไรกัน แก้วเป็นหนักถึงเพียงนี้เหตุใดจึงไม่มีใครตามหมอมาสักคน” เขาหันไปมองมารดากับบ่าวที่เป็นเพื่อนสนิทของคนรักด้วยความไม่เข้าใจ

   “ค…คุณท่านบนเรือนใหญ่สั่งห้ามไว้เจ้าค่ะ” นางเรียมร้องบอก พยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา

   “นี่มันโหดร้ายจนเกินไปแล้ว” สินช้อนมือไปประคองคนรักไว้ในอ้อมแขนก่อนอุ้มขึ้นมา จากนั้นจึงหันมาสั่งจันทร์หอม “ให้คนเอาเรือไปรับหมอมา เร็วที่สุด!”

   “เจ้าค่ะคุณสิน” จันทร์หอมรับคำแล้วรีบวิ่งนำหน้าออกไปก่อน ส่วนสินนั้นอุ้มแก้วออกจากกระท่อมร้าง เพื่อพากลับไปยังเรือนหลังเล็กของพวกเขาทั้งสองคน โดยมีเรียมเดินตามหลังไป






o-----------------------o






   ครั้นหมอมาถึงก็เริ่มลงมือรักษาทันที กลิ่นยาหม้อตลบอบอวลไปทั่วทั้งเรือนหลังเล็ก จางวางหนุ่มไม่อาจทำใจวางเฉยอยู่อย่างสงบได้เช่นทุกที เขาจึงเข้าไปนั่งดูการรักษาคนรักภายในห้องด้วย



   ตลอดเวลาหมอยาค่อยๆ ตรวจรักษาอาการของทาสสาวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จนกระทั่งสุดท้าย หมอผู้เฒ่าก็ลงเครื่องไม้เครื่องมือ และสั่งจ่ายยาตามเห็นสมควร ส่วนสินเดินตามหมอออกมานอกห้องนอน แล้วถามด้วยความร้อนใจ



   “เป็นอย่างไรบ้างหมอ อีกนานไหมกว่าแก้วจะฟื้น”

   “ฉันบอกไม่ได้หรอกจางวางสิน ว่าแม่แก้วจะฟื้นเมื่อใด…” หมอยาเอ่ยเรียกเสียงเบา พลางถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ

   “ทำไมเล่าหมอ”

   “ลำพังแค่ถูกโบยก็บอบช้ำภายในมากแล้ว แต่แม่แก้วยังเสียเลือดมากเพราะแท้งลูกอีก”

“แท้งลูก!” ได้ยินที่หมอบอกสินก็แทบเข่าอ่อนทรุดลงไปกับพื้น เขามือสั่น ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ทว่าอาการของแก้วยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ดังนั้นหมอผู้เฒ่าจึงว่าต่อ

“กว่าจะตามฉันมาธาตุในกายของคนเจ็บก็แตกเสียแล้ว มันเกินกำลังของหมอแก่ๆ อย่างฉันจริงๆ พ่อคุณเอ๋ย คงต้องสุดแท้แต่เวรแต่กรรมแล้ว”



สินให้คนไปส่งหมอยากลับเรือน ส่วนตนเองก็เข้าไปหาหญิงคนรักในห้องนอน ความจริงที่หมอเอ่ยออกมานั้นยากเกินกว่าที่เขาจะยอมรับได้



สินจับมือน้อยแสนหยาบกร้านของแก้วขึ้นมาแนบหัวใจ ก่อนจะเอ่ยกับคนไม่ได้สติด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดังเช่นที่เคยทำมาเสมอ



“แก้ว…” เขากระซิบ “พี่กลับมาหาแก้วแล้วนะ ฟื้นขึ้นมาเถิดคนดี”






o-----------------------o





   กลางดึกในคืนนั้น นายท่านเสืองกับคุณนายกำไลลงมาหาสินถึงเรือนดอกแก้ว แต่สินก็ไม่มีแก่ใจออกไปรับหน้าบิดามารดาเลยแม้แต่น้อย เขานั่งเฝ้าหญิงคนรักอยู่ข้างเตียงราวกับคนโง่งม ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ดีไปกว่าคอยจับมือน้อยๆ คู่นั้นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย



   กระทั่งมีชั่วขณะหนึ่งที่ชายหนุ่มกำลังจะเคลิ้มหลับ ปลายนิ้วที่ถูกกุมเอาไว้ก็ขยับให้สินรู้สึก เขารีบทะลึ่งพรวดขึ้นมานั่งตัวตรง ก่อนจะเรียกชื่อคนรักด้วยความดีใจ



   “แก้ว”

   “อะ…” หญิงสาวส่งเสียงแหบพร่าตอบรับ จากนั้นจึงค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง แก้วตาที่เคยสดใสฉายแววอ่อนล้า เธอกระพริบตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผินหน้ากลับมาหาคนที่อยู่ด้านข้างในที่สุด

   “แม่แก้ว คนดีของพี่ฟื้นแล้ว” ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาแทบไหลออกมา

   “คุณสิน…กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”

   “พี่กลับมาแล้ว”

   “แก้วไม่ได้…ฝันไปหรอกหรือเจ้าคะ”

   “ไม่ได้ฝัน พี่กลับมาหาแก้วแล้ว” ชายหนุ่มจูบมือน้อยด้วยความรักเพื่อเป็นการยืนยัน

“แก้วไม่ได้เป็นคนทำนะเจ้าคะ”

“พี่รู้ รู้ว่าคนดีของพี่ไม่มีวันทำเช่นนั้น”

“แก้วไม่ได้ทำจริงๆ เจ้าคะ” คำพูดที่เอ่ยออกมาคล้ายกับกังละเมอ หญิงสาวพูดซ้ำๆ จนสินต้องขยับขึ้นไปนอนบนเตียงเดียวกัน จากนั้นก็ตระกองกอดปลอบประโลมหญิงสาวเอาไว้

“ไม่ร้องนะคนดี พี่รู้แล้วว่าแก้วไม่ได้ทำ พี่เชื่อแก้ว พี่เชื่อ”



ครั้นได้ยินว่าชายหนุ่มเชื่อ น้ำตาของแก้วก็พลันไหลออกมามากกว่าเดิม เธอต้องการเพียงเท่านี้ ใครคนใดจะไม่รัก ไม่เชื่อใจแก้วก็ไม่เป็นไร ของแค่คุณสินยังรักและเชื่อใจ เธอก็พอใจที่สุดแล้ว



หญิงสาวสะอื้นอยู่ในอ้อมอกของคนรัก เธอรู้สึกหมดแรงและเจ็บไปทั้งสรรพางค์กาย ราวกับมีใครเอามีดมาเถือเนื้อหนังก็มิปาน



“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”

“แก้วเจ็บเจ้าค่ะ”

“เจ็บตรงไหนบอกพี่”

“เจ็บและหนาวไปหมดเลยเจ้าค่ะ” ได้ยินดังนั้นสินก็กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น

   “ไม่เป็นไรนะ นอนพักสักเดี๋ยว ตื่นมาแก้วก็หายแล้ว” ชายหนุ่มว่าพลางลูบหัวหญิงสาวเบาๆ

“แล้วคุณสินเล่าเจ้าคะ” เธอกระซิบถาม

“พี่จะอยู่ข้างๆ ยามแม่แก้วหลับ พี่จะตื่น จะกอดแก้ว รอแก้วอยู่เช่นนี้ไม่ไปไหน”

“จริงนะเจ้าคะ”



แก้วรู้สึกตัว เหมือนกับว่าหากเธอหลับตาลงตอนนี้ เธอจะไม่มีวันได้ตื่นขึ้นมาพบหน้าคุณสินอีก นั่นจึงทำให้แก้วไม่อยากหลับตาลงเลย ทว่าร่างกายของเธอกลับเรียกร้องจนแทบทนไม่ไหว



“จริงสิ” สินรับคำ “เอาไว้แก้วตื่น เราค่อยออกไปดูดอกไม้ด้วยกัน”

“สัญญานะเจ้าคะ”

“พี่สัญญา พี่จะรอแก้ว หลับเถิด พี่จะกล่อม” เขาจูบลงบนขมับของเธอซ้ำๆ ก่อนร้องเพลงกล่อมหญิงสาวราวกับว่าเธอเป็นเด็กเล็กๆ



ได้ฟังเสียงอ่อนโยนเรียกชื่อและปลอบขวัญ เปรียบเหมือนดั่งมีน้ำทิพย์ชโลมจิตใจ หลายวันหลายคืนที่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกทัณฑ์ทรมานค่อยๆ มลายหาย เพียงแค่มีชายที่รักโอบกอดเอาไว้



แก้วเงียบเสียงลงอย่างว่าง่าย เธอฟังเสียงทุ้มร้องเพลงนกขมิ้นกล่อมเบาๆ สติรับรู้และลมหายใจค่อยๆ จมดิ่งลงสู่ห้วงฝันอันมืดมิด



กระนั้น ก่อนที่จะไม่ได้พูด ก่อนจะไม่ได้พบ ไม่อาจรู้สึกอันใดได้อีกต่อไป เสียงเล็กๆ ของหญิงสาวก็ดังลอดออกมาจากริมฝีปาก เป็นประโยคสั้นๆ ประโยคหนึ่ง



“แก้ว…รักคุณสินนะเจ้าคะ”

“พี่ก็รักแก้ว”



แก้วหลับตาลง หลับลงพร้อมกับคำบอกรักแสนอ่อนหวานที่จะติดตามเธอไปแม้สิ้นสุดลมหายใจสุดท้ายของชีวิต…





o-----------------------o





สนธยาตื่นขึ้นในห้องพักพิเศษของคนไข้ก่อนรุ่งสาง เขารู้สึกปวดหัวและยังเจ็บหน่วงในหัวใจไปหมด เมื่อคืนเขาฝันเห็นตัวเองกอดใครคนหนึ่ง ในฝันนั้นแสนเศร้าเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้



ชายหนุ่มคิดทบทวนเรื่องราวในหัวเงียบๆ ก่อนจะมองไปยังเตียงคนไข้ ครั้นคนที่หลับอยู่บนนั้นยังนิ่งสนิทเหมือนเก่า เขาจึงเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำเพราะรู้สึกว่าไม่อาจหลับตาลงได้อีกแล้ว



แต่ขณะที่กำลังจะก้มตัวเพื่อล้างหน้า ดวงตาก็พลันเหลือบไปเห็นใบหน้าของตนเองในกระจก ทุกสิ่งทุกอย่างยังคนเป็นสนธยาคนเดิมไม่เปลี่ยน หากแต่ที่แก้มทั้งสองข้างกลับมีคราบน้ำตาที่ยังเปียกๆ เลอะเต็มไปหมด



สนธยาตกใจไม่น้อย เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองร้องไห้ทั้งๆ ที่ยังหลับอยู่ แม้ในใจจะปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพฝันนั้นมันทำให้รู้สึกบีบรัดในหัวใจจริงๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะรู้สึกร่วมได้ถึงขนาดนี้ เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว ลงมือล้างหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัว จากนั้นจึงออกมาจากห้องน้ำ



แต่เมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้ว สนธยาก็ต้องตกใจอีกรอบ เพราะคนที่เขาเห็นว่าหลับอยู่ในตอนแรก บัดนี้กลับลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงและหันหน้ามามองเขาราวกับรอคอยอยู่ก่อนแล้ว



คิน!



สนธยารีบวิ่งไปหยุดที่ข้างเตียง ทั้งตื่นเต้น ตกใจ และเหนือสิ่งอื่นใดคือดีใจอย่างที่สุด หากก่อนที่จะเอ่ยคำไหนออกมาได้ ร่างกายของเขากลับถูกคนบนเตียงดึงเข้าไปหา จากนั้นก็รวบกอดแนบแน่น



“ผม...รู้แล้ว รู้แล้วว่าพี่รอผมมาตลอด”



“ก็ใช่น่ะสิ รู้ไหมฉันกลัวแค่ไหนว่านายจะไม่ฟื้น” สนธยาเอ่ยออกไปตามความรู้สึกจริงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่รู้คือ เรื่องที่นาคินพูดถึงนั้น ต่างกับเรื่องที่เขาเข้าใจโดยสิ้นเชิง



คำว่า รอ ที่นาคินรับรู้ กับคำว่า รอ ที่สนธยาเข้าใจนั้นเป็นคนละความหมายกัน




“ขอโทษนะ ต่อไปผมจะไม่ปล่อยให้พี่ต้องรออีกแล้ว”








<><><><><><><><><><><><><><><><><><>





มาแล้วค่ะ
ตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าหมดพาร์ทอดีตที่ยาวๆ แล้วล่ะ
ใกล้จบแล้วน้าาา ฝากติดตามต่อด้วยค่ะ

ละอองฝน.

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด