บทที่ ๒๑
สนธยาไม่คิดว่าตัวเองจะได้มีโอกาสได้ประสบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิบายได้ต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ เพราะทันทีที่ได้ยินและได้เห็นผู้หญิงแปลกหน้าเอ่ยเรียกนาคินว่าแก้ว โลกที่เคยรู้จักก็ดูคล้ายถูกสั่นคลอนจนสมองมึนเบลอ ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียวราวกับคนบ้าใบ้
ดวงตาสีนิลจ้องมองภาพกายหยาบโปร่งแสงของหญิงแปลกหน้าตาไม่กระพริบ ก่อนจะสัมผัสได้ว่าร่างกายของคนที่เขาจับมือเอาไว้นั้นขยับเข้ามาเบียดแนบชิด จนรับรู้ถึงแรงสั่นด้วยความหวาดกลัว
ซึ่งในนาทีนั้นเองที่สนธยาได้สติ
“พี่อยู่นี่คิน ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” เขาดึงให้นาคินขยับตัวมาอยู่ด้านข้างของตนเอง พลางกระชับมือใหญ่ๆ คู่นั้นแน่น
“พี่สนเห็นเธอใช่ไหม” นาคินถามเหมือนละเมอ “ผมไม่ได้ตาฝาดหรือบ้าไปเองใช่ไหม”
“นายไม่ได้บ้า เพราะพี่เองก็เห็นเธอ” เขาหันมาสบตานาคิน ก่อนจะหันกลับไปจ้องมองสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าวิญญาณตรงหน้า
พอรู้ว่าตัวเองไม่ได้เผชิญเรื่องราวลี้ลับเพียงลำพัง สติที่แตกกระเจิงของนาคินก็ค่อยๆ กลับคืนมาทีละน้อย เขาวางซออู้ลงข้างตัว ก่อนคว้าจับข้อศอกของสนธยาเอาไว้ แล้วออกแรงกระตุกส่งสัญญาณ
“เราไปจากที่นี่กันเถอะครับ”
ปัง!!!
ทันทีที่นาคินพูดจบ ประตูที่เคยเปิดอ้าก็พลันกระเด้งปิดเข้ามาเองโดยอัตโนมัติ เสียงปึงปังของประตูและหน้าต่างที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาชายหนุ่มสองคนในห้องเก็บของสะดุ้งเฮือก แต่วิญญาณของหญิงสาวกลับยืนมองนิ่งๆ ไม่ทุกข์ร้อน ทำราวกับว่านั่นไม่ใช่ฝีมือของเธอ
“ไปสิ”
เป็นสนธยาที่ได้สติก่อน เขาตอบรับคำขอของนาคินทันที แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยเชื่อ ไม่เคยเกรงกลัวในสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ แต่นาทีนี้หากจะเอ่ยออกมาว่าไม่กลัวก็คงเหมือนการหลอกตัวเองเปล่าๆ ดังนั้นวิธีแก้ทางเดียวคือไปจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด
“ยังไปตอนนี้ไม่ได้ค่ะคุณพี่” วิญญาณของทับทิมเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน
“ทำไมเราถึงจะไปไม่ได้”
“ดิฉันบอกแล้วอย่างไรคะคุณพี่ ว่าต้องอยู่สะสางเรื่องของเราก่อน”
“ทำไมเราต้องเชื่อคุณ” แม้จะหวาดหวั่น แต่สนธยาก็ยังกล้าตอบโต้ออกไปอย่างไม่ลดละ เพราะเขาคิดเพียงแต่จะต้องพานาคินออกไปจากสถานที่แห่งนี้ให้จงได้
“เพราะฉันทนรอไม่ไหวแล้ว!” อยู่ๆ ทับทิมก็ตวาดดังลั่น จนรู้สึกเหมือนเรือนทั้งเรือนสั่นสะเทือน “ฉันรอมานานเกินไป รอต่อไปไม่ไหว มันทรมาน…ทรมาน”
ชั่ววินาทีที่ทับทิมพูดออกมา มันเหมือนกับเธอไม่ได้พูดกับสนธยาหรือว่านาคิน แต่คล้ายรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่า เสียงครวญของเธอดังหวีดหวิวจนคนฟังยังรู้สึกถึงความทรมานไปด้วย จากความกลัวจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเวทนาสงสารโดยไม่รู้ตัว
นาคินฉุกคิดได้ว่า หากเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นจากวิญญาณของแก้ว แต่กลับกลายเป็นทับทิมแทน ดังนั้นเหตุผลที่เขาเคยคิดว่าแม่แก้วอาจคับแค้นใจที่ถูกใส่ร้าย และอยากดลบันดาลให้ใครสักคน หรือคนรักที่คาดว่ามาเกิดในชาติใหม่รับรู้ว่าตนเองบริสุทธิ์ เหตุผลเหล่านี้ผิดเพี้ยนไปทั้งหมด
แล้วคุณทับทิมมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังเรียกเขาว่าแก้ว เรียกสนธยาว่าสินอีก
นึกได้ถึงตรงนี้ความกลัวก็ถูกความอยากรู้บดบัง ความกล้าที่ไม่คิดว่าจะมีจึงผุดขึ้นมาแทนที่ นาคินเปลี่ยนตำแหน่งเป็นขยับมาบังสนธยาเอาไว้ ก่อนเอ่ยถามสิ่งที่ตนเองสงสัยออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาสิ ว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ จึงได้บันดาลให้เกิดเรื่องราวมากมายขนาดนี้ มาทำให้มันจบเรื่องไปเลยก็ดีเหมือนกัน”
“คิน!”
สนธยากระตุกแขนนาคินครั้งหนึ่ง เขาไม่เห็นดีด้วยที่จะไปต่อล้อต่อเถียงหรือสืบสาวเอาความกับดวงวิญญาณเช่นนี้ มองดูโดยรอบห้องเก็บแล้วยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย อาจเป็นเพราะวิญญาณของทับทิมเริ่มสำแดงฤทธิ์ด้วยการออกมาปรากฏกายให้เห็น เครื่องเรือนและเครื่องดนตรีจึงสั่นไปหมดราวกับเกิดแผ่นดินไหวน้อยๆ
“เรามาคุยกับเธอให้รู้เรื่องเถอะครับ จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจกันอีก ผมเองก็อยากรู้ว่าเธอต้องการอะไร”
“แล้วถ้าหากเธอต้องการ…”
ต้องการชีวิตล่ะ
สนธยากลืนคำนั้นลงไปได้ทัน เขาอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจ เพราะหากทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้รับอิทธิพลมาจากวิญญาณของทับทิมจริง เธออาจต้องการเธอชีวิตของนาคินก็ได้ เพราะชาติที่แล้วคุณสินรักแม่แก้ว ซึ่งเกิดใหม่เป็นนาคินอย่างที่วิญญาณของทับทิมว่า
อีกทั้งก่อนหน้านี้นาคินก็ถูกทำร้ายจากสิ่งที่มองไม่เห็นมาโดยตลอด เหตุผลที่มีจึงเพียงพอให้สนธยาไม่ไว้ใจวิญญาณสาวตนนี้
“ไม่ว่าเธอจะต้องการอะไรก็แล้วแต่ ฉันไม่ยอมหรอกนะคิน รีบไปกันเถอะ” สนธยายืนกรานที่จะไม่รับฟังคำขอของดวงวิญญาณสาว เพราะเขาไม่ต้องการจะแลกอะไรทั้งนั้น
“แม้ว่าจะเกิดชาติใหม่ คุณพี่ก็ยังคงรังเกียจน้องเหมือนเดิมเลยนะคะ…และก็ยังรักแม่แก้วเหมือนเดิม แม้ว่าชาตินี้จะเกิดเป็นชายก็ตาม” ดวงหน้าหวานหยดของวิญญาณสาวดูโศกสลดเหมือนเอ่ยประโยคทั้งหมดออกมา
“ชาติที่แล้วจะเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ชาตินี้เราไม่ได้เกี่ยวข้องกัน คุณไปตามทางของคุณ พวกผมก็จะดำเนินชีวิตของตัวเอง”
“ถ้าทำได้ข้าจะอยู่เช่นนี้รึ!”
เพล้ง!
เสียงตวาดก้องด้วยแรงอารมณ์ส่งผลให้หลอดไฟที่เคยติดๆ ดับๆ ระเบิดแตก กระแสไฟฟ้าแล่นวาบเป็นประกาย ก่อนสะเก็ดไฟนั้นจะไปติดกับผ้าม่านลูกไม้คร่ำคร่าที่อยู่ใกล้ๆ เกิดเป็นเปลวไฟที่ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว
“ข้าเจ็บเหลือเกิน เจ็บปวดทรมานจากการอยู่ตรงนี้ พวกเอ็งมิมีวันเข้าใจดอก ก็คนดีอย่างเอ็งมันได้เกิดใหม่ ได้แล่นไปตามวัฏสงสารของตัวเองแล้ว เหลือแต่ข้า…ข้าที่รอคอยอยู่ในเรือนเพียงผู้เดียว”
ความเกรี้ยวกราดสลับกับความเศร้าสร้อยให้ห้วงอารมณ์ทำให้นาคินกับสนธยามองเธออย่างตกตะลึง สุดท้ายสนธยาจึงตัดสินใจดึงแขนนาคินให้เดินออกไปที่ประตู เพราะตอนนี้ไม่ใช่มีแค่ผีที่ทำให้ต้องหวาดผวา หากแต่มีไฟที่ลุกไหม้เผาผลาญอย่างรวดเร็วนั่นด้วย
ห้องเก็บเครื่องดนตรีแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่โต ถ้าจะต้องรั้งอยู่ในนี้อีกสักพักแล้วล่ะก็ พวกเขาทั้งสองคงได้สำลักควันไฟเป็นแน่
“แต่พี่สน…” นาคินยังอยากเคลียร์ทุกเรื่องราวให้หมด ทว่าสนธยาไม่เห็นด้วย ซ้ำยังปฏิเสธเสียงแข็งจนนาคินต้องยอมคล้อยตามกับเหตุผล
“ไว้ค่อยว่ากัน ผีน่ะตายไม่ได้แล้ว แต่ถ้าขืนเราอยู่ที่นี่ต่อไป เป็นพวกเราต่างหากที่ต้องตาย”
เมื่อได้ฟังคำนาคินก็ตามสนธยาไปที่ประตู ทว่ากลับออกไปไม่ได้ เนื่องจากผีสาวหายตัวมาปรากฏตรงหน้า เพื่อกั้นขวางไม่ให้พวกเขาหนีออกไปได้ในตอนนี้
“ข้าบอกให้อยู่ ไม่ว่าใครก็ไปไม่ได้ทั้งสิ้น!”
ชายหนุ่มสองคนถอยกรูไปอีกทางโดยอัตโนมัติ อย่างน้อยแม้จะออกจากประตูไม่ได้ แต่ก็ขอให้อยู่ห่างจากไฟให้มากที่สุด
“ก็แล้วจะเอายังไง อยากให้ตายกันไปข้าหนึ่งเลยใช่ไหม จึงจะสาแก่ใจคุณ!” สนธยาถามอย่างเดือดดาล ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ เขาไม่อาจควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ใจเย็นได้อีก
เมื่อได้ยินคำกล่าวประชดประชันของครูดนตรี ความเกรี้ยวกราดของทับทิมก็ลดลง และหันกลับมานึกถึงจุดมุ่งหมายเดียวของตนเอง
“ไม่ใช่นะคะ! น้องไม่ได้อยากให้คุณพี่ต้องตกตายตามน้องสักนิด น้องไม่อยากเห็นคุณพี่ตายเป็นครั้งที่สองแล้ว”
อย่างไรเสียเธอก็รักจางวางสินมาก มากเสียจนไม่ว่าเขาจะเกิดใหม่เป็นใคร เธอก็ยังผูกใจรักไม่มีวันคลาย เพียงแต่เธอรู้มาเนิ่นนานแล้วว่า ความรักนี้ไม่มีทางสมหวังดังตั้งใจ ไม่มีทางเลยตั้งแต่เมื่อชาติที่แล้ว
“ก็ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการอะไรล่ะครับ ไหนๆ ผมก็ไปไหนไม่ได้แล้ว คุณต้องการพูดอะไรก็พูดเถอะ” นาคินที่เฝ้าสังเกตอาการของทับทิมมาตั้งแต่เมื่อครู่เอ่ยขึ้น ไม่รู้ว่าอะไรเข้ามาดลใจ แต่ ณ ตอนนี้ เขารู้สึกว่าควรจะรับฟังข้อเสนอของวิญญาณที่น่าสงสารตนนี้ดูสักหน่อย
“คิน…”
“มาถึงขั้นนี้แล้ว เราให้เขาบอกเถอะครับ” นาคินว่าพลางกระชับมือที่กุมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ให้แน่นขึ้น
สนธยาเงยหน้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลใสแล้วถอนหายใจออกมา สุดท้ายเขาก็ยอมจำนนให้แก่คำขอของลูกศิษย์ตัวโตคนนี้
“เอางั้นก็ได้” เขาตอบรับ ก่อนจะหันไปหาดวงวิญาณของทับทิม “คุณอยากจะขออะไรก็ว่ามา แต่มันต้องอยู่ในขอบเขตที่พวกผมทำได้นะ”
“คุณพี่กับแม่แก้ว—“
“แล้วก็เลิกเรียกเราสองคนแบบนั้น ตอนนี้ผมชื่อสนธยา ส่วนเขาชื่อนาคิน ไม่ใช่สินกับแก้วอีกแล้ว”
“หึ…ก็ได้” เธอตอบรับ ก่อนจะเอ่ยความประสงค์ออกมา “พ่อสน พ่อคิน ก่อนที่ฉันจะพูด ฉันอยากให้เธอทั้งสองดูอะไรสักหน่อย จากนั้นค่อยตัดสินใจ…”
หลังจากเสียงของวิญญาณสาวพูดจบ สภาพแวดล้อมรอบกายของสนธยากับนาคินก็พลันเปลี่ยนไปราวกับคนละโลก
o-----------------------o
จากห้องเก็บเครื่องดนตรีที่มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่ด้านหนึ่ง บัดนี้ชายหนุ่มทั้งสองกลับมายืนในห้องนอนที่ไหนสักแห่ง เพื่อฟังสิ่งที่คุณทับทิมกับบ่าวของเธอพูดกัน พวกเขาจึงได้รู้แผนการทั้งหมดของเธอและบ่าวรับใช้ ว่าคบคิดกันเพื่อปองร้ายแม่แก้ว
จากนั้นทัศนียภาพก็ถูกปรับเปลี่ยนอีกครั้ง เป็นงานแต่งงานของคุณสินกับคุณทับทิม ซึ่งมองปราดเดียวก็รู้ว่าคุณสินไม่เต็มใจ เรียกได้ว่ายอมทำตามไปอย่างนั้นเพราะคำสั่งของแม่ที่บีบบังคับมากกว่า
เรื่องราวชีวิตของคุณทับทิมหลังจากแต่งงานฉายออกมาเป็นฉากๆ ราวกับหนังสั้นเรื่องหนึ่ง แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่หญิงสาววาดฝันเอาไว้แม้แต่นิดเดียว
เธอแต่งกับจางวางสินจริง แต่เหมือนแต่งกับตัว ไม่ได้แต่งกับใจ เพราะจางวางสินไม่เคยรักและเอ็นดูเธอเหมือนกับแม่แก้ว ซ้ำยังเอาแต่รับใช้เจ้านายอยู่ในรั้ววังหลายเดือน นานๆ จึงจะกลับบ้านมาเยี่ยมพ่อแม่เสียที ยามกลับมาก็เอาแต่ไปพักในเรือนดอกแก้วหลังน้อย ไม่เคยเยี่ยมหน้ามานอนในห้องบนเรือนใหญ่ หญิงสาวจึงทั้งเสียใจและเสียหน้าเป็นอย่างมาก
ทว่าสิ่งที่ทำให้คุณสินหมางเมินและเรียกได้ว่าแทบจะตัดขาดกับทับทิมก็คือ การที่คุณสินบังเอิญได้ยินคุณทับทิมปรับทุกข์กับบ่าวของตัวเอง และเธอก็เผลอพูดเรื่องที่วางแผนใส่ร้ายแก้วในคราวนั้น จึงทำให้คนรักของเขาต้องถูกลงโทษจนแท้งลูกและเสียชีวิตในที่สุด
ตั้งแต่นั้นจางวางหนุ่มก็ปฏิเสธที่จะพบหน้ากับภรรยา เพราะรู้สึกผิดอย่างมากที่ไม่อาจปกป้องแก้วจากคนที่ปองร้ายได้ ที่ซ้ำร้ายยิ่งกว่าคือยอมแต่งงานตามใจแม่ ยอมให้เป็นไปตามแผนการที่ผู้หญิงชั่วร้ายวางไว้โดยไม่ขัดขืน เขาโง่ที่ปล่อยให้ทุกอย่างล่วงเลยมาจนถึงวันนี้
วันที่สายเกินกว่าจะแก้ไขอะไรได้แล้ว
หลังจากนั้นไม่นานจางวางสินก็ล้มป่วย ไม่ใช่ด้วยโรคร้าย แต่เป็นโรคทางใจที่ส่งผลถึงร่างกาย ชายหนุ่มตรอมใจจนป่วยไข้ไม่อาจลุกไปทำอะไรได้ ร่างกายทั้งผ่ายผอมและสิ้นเรี่ยวแรงลงเรื่อยๆ กระทั่งวันหนึ่ง วันที่เขาตื่นขึ้นมาและคิดถึงคนรักอย่างสุดหัวใจ คิดถึงมากกว่าวันไหนๆ
เช้าวันนั้น…เป็นวันที่จางวางสินจากไปอย่างสงบ
ส่วนคนที่ถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังอย่างทับทิมก็ตรมตรอมใจตามสามี ภาพคุณสิ้นที่เพ้อพกถึงแม่แก้วก่อนสิ้นใจยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอ ความรู้สึกผิดที่ก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มากนักจึงเริ่มเข้ามาเกาะกินหัวใจ
หลังเสร็จพิธีฌาปนกิจของจางวาง ทับทิมก็ย้ายลงไปอยู่ในเรือนดอกแก้ว หญิงสาวที่สวยสดใสเริ่มปล่อยตัวให้ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ทั้งยังเลิกคบค้าสมาคมกับใคร เอาแต่เก็บตัวเงียบไม่พูดไม่จา จนคนทั่วไปมองว่าทับทิมนั้นเสียใจที่คุณสินสิ้นบุญจนสติไม่สมประดี แต่ความจริงแล้วหาใช่เช่นนั้นไม่
เธอเก็บตัวเงียบอยู่ที่นั่น เพราะเธออยู่เพื่อสำนึกในความผิดของตัวเองต่างหาก เธออยู่เพื่อรอคอยว่าสักวันหนึ่ง คุณสินกับแม่แก้วจะกลับมายังเรือนดอกแก้วหลังนี้อีกครั้ง กลับมาพบกันตามคำสัญญาของทั้งสอง และเธอหวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึง เธอจะสามารถปลดพันธนาการที่ติดค้างอยู่ให้คลายออกได้…
o-----------------------o
“อโหสิกรรมให้ฉันเถอะนะแก้ว”
เสียงของวิญญาณสาวเรียกนาคินและสนธยาให้รู้สึกตัว ทั้งสองมองเห็นไฟที่ลามขึ้นผนังไม้เก่าจนสูงไปถึงขื่อ ยามนี้สภาพแวดล้อมโดยรอบเปลี่ยนกลับมา ณ เวลาปัจจุบันแล้ว
ทับทิมยังคงยืนอยู่ที่เดิม เธอยืนพนมมือขึ้นทาบระหว่างอก ก่อนร่างที่โปร่งแสงกว่าเดิมค่อยๆ ย่อลงนั่งพับเพียบ จากนั้นจึงจรดมือที่พุ่มไหว้ลงกับพื้น
วิญญาณของเธอร้องไห้ออกมา เอาแต่พร่ำขอโทษไม่หยุดปาก นาคินที่เพิ่งกลับมาจากการเห็นนิมิตภาพเหล่านั้นจึงได้แต่ยืนงงทำอะไรไม่ถูก
ต่างกับสนธยาที่ยืนกำมือที่ว่างเปล่าอีกข้างหนึ่งแน่น ภาพที่เห็นมันชัดเจนว่าผู้หญิงคนนี้เคยทำผิดมหันต์แค่ไหน แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแล้ว แต่เขาก็ยังโกรธแค้นแทนคนที่เธอทำร้ายนั้นอยู่ดี
แต่ที่นอกเหนือไปจากนั้น หลังจากได้พบเขากับนาคินที่เกิดใหม่ในชาติปัจจุบันแล้ว วิญญาณตนนี้ก็ยังตามมาทำร้ายนาคินไม่เลิก แม้จะให้เหตุผลว่าอยากให้จำได้ก็ตามที แต่เธอก็เกือบทำให้นาคินต้องตาย
“โหดร้ายจริงๆ ทำไมถึงทำได้ขนาดนั้น” สนธยาเอ่ยออกมารอดไรฟัน “ขนาดต้องการจะขอให้เขาอโหสิกรรมให้ คุณยังทำเขาจมน้ำเกือบตาย หากจะอ้างอะไรก็คงจะอ้างไม่ขึ้นหรอก”
“น้องขอโทษ น้องผิดไปแล้วค่ะ ฮือ…คุณพี่อโหสิกรรมให้น้องเถิดนะคะ น้องจำเป็นต้องทำ น้องทรมานเหลือเกิน” นรกที่ไหนหรือจะสู้นรกในใจคน ในช่วงเวลาเป็นร้อยปีที่ทับทิมต้องกลายเป็นวิญญาณที่มีห่วงผู้พันอยู่ที่นี้ เธอทั้งทุกข์และทรมานราวกับอยู่ในนรกก็ไม่ปาน
“คุณมันเห็นแก่ตัว แม้แต่ตอนนี้ก็ยังเห็นแก่ตัว”
“พี่สน ใจเย็นๆ นะครับ”
“จะให้ใจเย็นได้ไง ถึงจะเป็นวิญญาณก็เถอะ แต่เธอทำตามใจตัวเองเกินไปแล้ว เพราะแบบนี้ถึงต้องชดใช้กรรม ไปไหนไม่ได้อยู่นี่ไง แถมกำลังจะทำให้เราตายตามไปด้วย”
“คุณพี่…” ทับทิมครางอย่างอ่อนแรง ก่อนจะเบนไปมองนาคินที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แทน “พ่อคิน…ช่วยฉันด้วยเถิดนะ”
“ผม…”
“ฉันขอโทษกับทุกสิ่งที่เคยทำมา หากย้อนกลับไปได้ฉันจะไม่ทำเช่นนั้น แต่ทุกอย่างก็ล่วงเลยมาถึงเพลานี้ ฉันไม่อาจเป็นเปลี่ยนความชั่วที่เคยกระทำลงไปได้อีก ฉันไม่รู้จะชดใช้ให้พ่อคินยังไง ทั้งเรื่องในชาตินี้และชาติที่แล้ว…ถือว่าโปรดสัตว์เถอะพ่อคุณ”
นาคินยืนนิ่ง เหม่อมองดวงวิญญาณของหญิงสาวที่เคยทำร้ายเขาเมื่อชาติที่แล้ว
หากถามว่าโกรธไหม เขาบอกได้ตามตรงหลังจากรู้เรื่องราวว่าโกรธ แต่ถ้าโกรธแล้วอย่างไร ถึงโกรธไปก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว วิญญาณของเธอเองก็ถูกโทษทัณฑ์ของบาปนั้นจองจำเอาไว้ให้ไปไหนไม่ได้ เหมือนเป็นโซ่ร้อนที่รัดรึงกาย ทนทุกข์ทรมานอยู่นานเป็นร้อยปี ไม่เคยสุขสงบทั้งยามมีและไม่มีชีวิต
นาคินคิดว่านั่นเพียงพอต่อคำขอโทษแล้ว
มิหนำซ้ำหลังจากที่เธอได้ปลดพันธนาการไปตามวัฏสงสาร บาปบุญที่เคยทำไว้ก็ยังต้องชดใช้กันอีกตามกฎแห่งกรรม ถ้าเขาไม่ให้อภัย ทุกอย่างที่ร้อยเรียงมาก็จะผูกให้ได้พบ ได้เจอ ได้ชดใช้กันไม่จบไม่สิ้น
นาคินอยากอยู่อย่างมีความสุขเหมือนกันคนปรกติ และก็อยากให้คนที่เขารักได้อยู่อย่างมีความสุขด้วยเช่นกัน ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจเด็ดขาด
“ผมอโหสิกรรมให้คุณ ผมไม่โกรธ ไม่แค้นคุณ ต่อไปก็ต่างคนต่างอยู่ อย่าผูกติดอยู่ตรงนี้อีกเลยนะคุณทับทิม”
“คิน!”
“พ่อคิน…”
คำตอบของนาคินสร้างความตกใจให้สนธยาและวิญญาณสาวมากๆ ชายหนุ่มยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะหันไปคว้ามือของสนธยาอีกข้างขึ้นมาจับรวบเอาไว้
“พี่สนครับ เราปล่อยเขาไปเถอะนะ เลิกแล้วต่อกันไป ตอนนี้ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว อย่างโกรธเขาให้เป็นบ่วงรัดใจเราเลยดีกว่า อะไรที่ผ่านๆ มาก็ถึงว่าเขาชดใช้ให้เรามากพอแล้ว สุดท้ายก็ให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมดีกว่านะครับ”
“นายมันใจดีเกินไป” สนธยาบ่นด้วยเสียงที่อ่อนลง เขาโกรธที่เธอเกือบทำให้นาคินจมน้ำตาย แต่เมื่อคิดอีกแง่ ตอนนี้นาคินก็หายดีแล้ว ซ้ำเจ้าตัวก็ไม่เอาเรื่องอะไร ดังนั้นเขาก็คร้านจะถือสาหาความเหมือนกัน
“ว่ายังไงครับ”
“เอาตามที่นายว่าก็ได้ ฉันไม่เอาเรื่องอะไรแล้ว”
“นี่…นี่หมายความว่าพ่อคินกับพ่อสนอโหสิกรรมให้ฉันแล้วใช่ไหม” แววตาของทับทิมสั่นระริกด้วยความซาบซึ้งใจ เพราะไม่คิดว่าคนที่เธอทำร้ายมาตลอดจะเป็นคนช่วยพูดให้คุณสินยอมให้อภัยเธอเช่นนี้
“ใช่ครับ เราสองคนอโหสิกรรมให้คุณ อะไรที่เคยทำมาก็ให้เลิกแล้วต่อกันเถอะนะ”
“ข…ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ”
ทันทีที่กล่าวทับทิมกล่าวขอบคุณ มวลความอึดอัดที่มีมาแต่ต้นก็มลายหายไป ทั้งความร้อนและควันไฟที่ชวนให้สำลักคล้ายไม่เคยมีอยู่ สนธยากับนาคินมองเห็นเธอกราบแนบพื้นเพื่อขอบคุณอีกครั้ง ก่อนร่างนั้นจะค่อยๆ สลายหายไปต่อหน้า รวมถึงสติที่พัดหายไปของชายหนุ่มทั้งสองคนด้วย
o-----------------------o
มาแล้วค่าาา
ตอนนี้มาเฉลยทุกอย่างแล้วนะคะ
มีความคิดแวบนึงตอนที่เขียน คืออยากตั้งชื่อตอนว่าผีไบโพล่า 5555555
เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวเกรี้ยวกราด เดี๋ยวดีใจ ดูวุ่นวายไปหมด
อันที่จริงมีหลายอย่างอยากคุยกับคนอ่านนะ
แต่เอาไว้ตอนหน้าดีกว่า
ไว้ทอร์คที่เดียวยาวๆ เลยเนอะ
ตอนหน้าจบแล้วค่ะ
ฝากติดตามด้วยน้าาาา
ละอองฝน.