‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)  (อ่าน 103201 ครั้ง)

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2







บทที่ ๑๙







   หลังจากนาคินรู้สึกตัวในเช้ามืดวันนั้น สนธยาก็รีบแจ้งแก่พยาบาลผู้ดูแลทันที ก่อนที่คุณหมอจะเข้ามาตรวจเช็คร่างกายของคนป่วย ชายหนุ่มยังไม่ลืมโทรบอกข่าวดีกับพ่อและแม่ของนาคินด้วย ท่านทั้งสองดีใจมากที่ลูกชายได้สติแล้ว จึงรีบแต่งตัวเพื่อเดินทางมายังโรงพยาบาลเช่นกัน



   ระหว่างนั้น ยามเมื่อชายหนุ่มสองคนอยู่ในห้องเดียวกัน หลังจากปรับอารมณ์ทุกอย่างให้สงบนิ่งแล้ว นาคินจึงเอ่ยปากถามถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพราะเขาแทบจำอะไรไม่ได้เลย หลายสิ่งหลายอย่างมันเลือนรางจนสมองสับสนและจับต้นชนปลายไม่ถูก



   “ฉันเจอนายกำลังจะจมน้ำ พอกระโดลงไปช่วยขึ้นมานายก็ไม่ได้สติแล้ว ฉันพานายส่งโรงพยาบาล คุณหมอช่วยไว้ได้ทัน ร่างกายพ้นขีดอันตรายแต่นายกลับไม่ฟื้น กระทั่งถึงตอนนี้นี่แหละ” สนธยาเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้อีกฝ่ายฟัง

   “ว่าแต่นี่มันกี่วันกันแล้วครับ ผมหลับไปกี่วัน” นาคินถามต่อ

   “นายหลับไปราว 1 อาทิตย์ได้” สนธยาตอบ “ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกเป็นไงบ้าง ไม่สบายตรงไหนไหม”

   “มึนหัวนิดหน่อยครับ แต่ที่เหลือก็ปรกติดี ไม่ได้เป็นอะไร พี่สนไม่ต้องเป็นห่วงนะ” นาคินพูดให้อีกฝ่ายลายความกังวล



ทว่าเมื่อสนธยาได้ยินดังนั้น ความกังวลและความเป็นห่วงที่สะสมมาหลายวันก็ปะทุออกมา ยากเกินกว่าจะเก็บซ่อนหรือควบคุมมันได้เช่นที่ผ่านมา



   “จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง นายหลับไปตั้งหลายวันโดยไม่ทราบสาเหตุ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้านายไม่ยอมตื่นขึ้นมา ฉันจะทำยังไงต่อไป”

   “พี่สน…” นาคินเบิกตากว้างเพราะไม่อยากเชื่อว่าสนธยาจะเอ่ยออกมาเช่นนี้ ท่าทีแสดงออกว่าเป็นห่วงเขามากแค่ไหน มันออกจะเกินความคาดหมายไปสักหน่อย

   “อย่าทำให้ต้องเป็นห่วงแบบนี้อีกเข้าใจไหม” ดวงตาสีนิลของเขาไหวระริกขณะเอ่ยคำสั่ง ชายหนุ่มรู้ว่ามันน่าอาย อีกทั้งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับนาคินก็ไม่อาจควบคุมได้ แต่เขาก็ยังอยากพูดประโยคเอาแต่ใจนั่นออกไปอยู่ดี



   ส่วนคนถูกออกคำสั่งนั้นกลับแย้มยิ้มอย่างยินดี หัวใจมันพองโตจนคับอก รู้สึกยินดีกระทั่งสามารถสลัดความรู้สึกปวดใจจากภาพฝันไปได้เป็นปลิดทิ้ง



นาคินเอื้อมมือไปกุมมือเรียวของหนุ่มนักดนตรีเอาไว้ ส่งผ่านความรู้สึกและความอบอุ่นให้แทรกซึมลงไปถึงหัวใจ ก่อนจะเอ่ยคำมั่นออกมา



“ผมจะพยายามครับ”



   สนธยาไม่ได้พูดอะไรอีก และก็ไม่ได้ดึงมือกลับมาจากการเกาะกุมของมือใหญ่ข้างนั้น เขามองหน้านาคินสลับกับมือที่ถูกกุมเอาไว้ ก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ แม้รู้ว่าไม่เหมาะสม แต่มือข้างนี้ของนาคินก็ทำให้ภายในใจของสนธยาสงบลง



   “จริงสิ ระหว่างที่นายไม่ได้สติ ฉันถามพ่อแล้วนะเรื่องคนที่นายเคยฝันถึง”

   “เป็นยังไงบ้างครับ ได้เรื่องไหม”

   “อืม” สนธยาพยักหน้า “พ่อบอกว่าฉันมีญาติชื่อสินจริงๆ แต่ไม่รู้ละเอียดเกี่ยวกับท่านมากนัก เพราะท่านเสียตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าอยากรู้มากกว่านี้คงต้องไปถามกับคุณย่าที่อยุธยา”

   “อย่างนั้นหรือครับ” นาคินนิ่งไป คิ้วเข้มขมวดมาชนกัน คล้ายครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง

   “นายหลับไปหลายวัน ได้ฝันเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง

   “ครับ”



   แล้วนาคินก็เริ่มเล่าความฝันของตนเองให้สนธยาฟัง ทว่าคราวนี้มันเหมือนกับเขากำลังเล่าเรื่องของตนเอง เพราะความฝันในช่วงสุดท้ายนั้นชัดเจนจนรู้สึกได้ ราวกับทั้งหมดที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริง และเกิดขึ้นไม่นานมานี้



   เมื่อเล่าจบทั้งคู่ก็เงียบกันอยู่พักใหญ่ ก่อนสนธยาจะเป็นผู้ทำลายความเงียบนั้นลง “นี่…คิน”

   “ครับ”

   “เช้าแล้วนะ”

   “ครับ?” นาคินหันไปมองแสงแดดยามเช้าค่อยๆ สาดส่องมาทางหน้าต่าง แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่สนธยาต้องการจะสื่อนัก

   “ต่อไป…ไม่ว่านายจะฝันเรื่องอะไร แต่พอเช้าแล้วก็ต้องตื่นรู้ไหม” กระแสเสียงที่เอ่ยออกมาครั้งนี้ไม่เหมือนการออกคำสั่ง เพราะมันอ่อนโยนเสียจนหัวใจของนาคินเต้นแรง เห็นดวงหน้าและแววตาที่ทอดมองมา นาคินยิ่งแน่ใจ



   คนคนนี้ คือคุณสินไม่ผิดแน่



   “ครับ ผมรู้แล้ว” นาคินรับปาก “ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงฝันเห็นเรื่องเล่านี้ แต่ผมคิดว่าทุกอย่างย่อมมีความหมายในตัวของมันเอง ถ้าพี่สนบอกว่าคนที่อยู่ในฝันของผมมีตัวตนจริงๆ ผมก็อยากพิสูจน์ให้แน่ใจกันไปเลย”

   “ถ้างั้น ไว้รอนายออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ ค่อยไปหาคุณย่านะ”

   “พี่สนไปด้วยกันนะ”

   “แน่นอนอยู่แล้วสิ ฉันจะเป็นคนพานายไปเอง” ครูดนตรีบีบกระชับมือเพื่อยืนยันให้มั่นใจ

   “ขอบคุณครับ”





o-----------------------o






   ไม่นานหลังจากที่นาคินฟื้นคืนสติขึ้นมา ชายหนุ่มก็ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ เนื่องจากคุณหมอไม่ตรวจพบความผิดปรกติใดๆ ของร่างกาย พ่อกับแม่ของนาคินพาชายหนุ่มไปทำบุญปลอบขวัญยกใหญ่ ก่อนจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดดังเดิม



   ชีวิตของนาคินเองก็ดูเหมือนจะกลับมาเป็นปรกติสุขอีกครั้ง เพราะหลังจากความฝันครั้งสุดท้าย นาคินก็ไม่เคยฝันเห็นเรื่องราวของบุคคลเหล่านั้นอีกเลย แต่ชายหนุ่มก็ยังอยากรู้จักคนในอดีตให้มากกว่านี้ อยากรู้ว่าหลังจากสูญเสียคนที่รักไปแล้วชายคนนั้นอยู่อย่างไร ทุกข์ใจเพียงไหน



อยากรู้…ทั้งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้




“ทำอะไรอยู่” แรงแตะที่ด้านหลังทำให้นาคินหันกลับมา

“เปล่าครับ แค่ยืนดูต้นไม่เฉยๆ”

สนธยาเงยหน้ามองต้นแก้วเจ้าจอมสูงใหญ่ ก่อนหันมามองหน้านาคินด้วยท่าทางสงสัย “ดูต้นไม้ทำไม มันมีอะไรน่าดูหรือ”

“อืม…บอกไม่ถูกครับ”



เขาไม่รู้จะเล่ายังไง เพราะก่อนหน้านี้นาคินไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องต้นไม้ของคุณสินกับแก้วให้สนธยาฟัง ความฝันเหล่านั้นเขาเพียงแต่เล่ามันคร่าวๆ เท่านั้น หากจะพูดถึงในตอนนี้ ก็กลัวจะถูกหาว่ากลับไปหมกมุ่น ทั้งที่ไม่ได้เอ่ยเรื่องเกี่ยวกับความฝันประหลาดมาเป็นเดือนๆ แล้ว



   “แปลกคน”

   “ว่าแต่พี่สนมีอะไรครับ เดินลงมาหาผมถึงนี่ ผมคิดว่าพี่กำลังสอนเด็กๆ อยู่เสียอีก” ช่วงสายของวันเสาร์-อาทิตย์จะเป็นเวลาประจำที่สนธยาต้องสอนเด็กๆ ที่เข้ามาเรียนดนตรีไทย

   “ตอนนี้เด็กๆ พักอยู่ ฉันเห็นนายจากบนเรือน ก็เลยว่าจะลงมาบอก”

   “มีอะไรครับ”

   “เย็นนี้ฉันจะไปอยุธยา คุณพ่อท่านจะเอาเอกสารเรื่องที่ดินไปให้คุณย่า ฉันเลยรับอาสาไปแทน นายก็เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ คงจะค้างคืนหนึ่ง กลับวันพรุ่งนี้”

   “ไปค้างเหรอครับ”

   “ใช่ กว่าจะถึงก็คงค่ำๆ คุณย่าไม่ให้ขับกลับแน่ๆ นายมีอะไร ไม่สะดวกใจหรือเปล่า ถ้าไม่สะดวก งั้นฉัน-“

   “ไม่ครับ ผมสะดวก จะไปจัดกระเป๋ารอนะครับ” นาคินรีบบอกเพราะกลัวว่าสนธยาจะเปลี่ยนใจ

   “อืม ไม่ต้องเอาอะไรไปมากหรอก ค้างคืนเดียวเอง”

   “รู้แล้วครับ”

   “ถ้างั้นเจอกันที่รถบ่ายๆ ฉันขอขึ้นไปสอนเด็กก่อน หมดเวลาพักพอดี เดี๋ยวเด็กจะรอ”

   “ครับคุณครู” นาคินยิ้มล้อครูดนตรี สนธยาไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย ก่อนเดินกลับขึ้นเรือนดอกแก้ว ทิ้งให้นาคินยืนมองอยู่ด้านหลังยิ้มๆ



   พอนาคินฟื้น ความสัมพันธ์ของเขากับสนธยาก็ดีขึ้นมาก แม้ฝ่ายนั้นจะไม่ค่อยพูดอะไรกับเขามากมายหากไม่จำเป็น แต่ความห่วงใยที่สนธยามีให้ ชายหนุ่มก็ยอมแสดงออกมาให้เห็นโดยไม่คิดปิดบังหรือวางฟอร์มเช่นแต่ก่อน จนหลายครั้งที่นาคินอยากให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนไปไกลเกินกว่าคำว่าพี่น้อง



   เพียงแต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว ความรู้สึกที่สนธยามีให้ จะเหมือนที่นาคินให้กับเจ้าตัวหรือเปล่า…




o-----------------------o







   การไปอยุธยาคราวนี้ สนธยารับหน้าที่เป็นสารถีคอยขับรถแทน เพราะเจ้าตัวรู้ทางไปบ้านคุณย่า ต่างจากนาคินที่เพิ่งเคยไปครั้งแรก หากปล่อยให้ขับก็ต้องมานั่งบอกทางให้วุ่นวายกันอีก



   หลังจากฝ่าการจราจรติดขัดของเมืองกรุงออกมาได้ พวกเขาก็ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้นจึงถึงบ้านคุณย่า ทันทีที่มาถึงคุณย่าก็ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง เพราะรู้จากทางโทรศัพท์แล้วว่าหลานชายคนโตจะมา



บ้านทรงปั้นหยาหลังน้อยซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้ร่มรื่นริมลำน้ำป่าสัก คุณย่าแม้จะแก่ชราลงมาแต่ก็ยังคล่องแคล่ว ลงมือเข้าครัวเองซ้ำยังเลือกทำแต่อาหารโปรดของหลานชาย ก่อนจะให้เด็กๆ ตั้งโต๊ะที่ศาลาริมน้ำ



นาคินเองก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเช่นกัน เพราะชายหนุ่มเป็นคนช่างพูดช่างคุย ซ้ำยังยิ้มเก่ง คุณย่าของสนธยาจึงรู้สึกรักใคร่เหมือนเป็นลูกหลานอีกคน



“แล้วไปยังไงมายังไง พ่อสนถึงขันอาสามาแทนพ่อเขาล่ะลูก เห็นทุกทีรับหน้าที่เป็นครูสอนเด็กๆ ไม่ใช่รึ”

“ผมอยากมาเยี่ยมคุณย่าน่ะครับ ไม่ได้มาหาคุณย่านานแล้ว ผมคิดถึง”

“แหม~ ช่างพูดเอาใจคนแก่” หญิงชรายิ้มกว้างเมื่อได้ฟังคำหลาน



แม้เธอจะหลบลี้หนีความวุ่นวายในเมืองกรุงมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่อยุธยา แต่ก็อดเหงาไม่ได้ในบางครั้ง การที่ลูกหลานเดินทางมาเยี่ยมหาจึงทำให้คนแก่อย่างเธอมีความสุขมาก



   ทั้งสามคนนั่งรับประทานอาหารกันไป คุยกันไปเรื่อย กระทั่งปิดท้ายด้วยของหวานจนอิ่มท้องแล้ว สนธยาก็เลียบๆ เคียงๆ ถึงเรื่องบุคคลในฝันของนาคิน



   “คุณย่าครับ คุณย่าพอจะรู้จักทวดสินไหมครับ”

   “รู้จักสิลูก ท่านเป็นลุงของย่า ย่าจะไม่รู้จักได้ยังไง” เธอตอบ ก่อนหันกลับมาถามบ้าง “ว่าแต่นึกยังไงพ่อสนถึงถามล่ะลูก”

   “พอดีว่าวันก่อนคุณพ่อท่านเล่าให้ฟังว่าครอบครัวเราเคยมีคนเป็นจางวาง ผมก็เลยสงสัยน่ะครับ เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินชื่อท่าน”


   “อ๋อ อย่างนั้นรึ” คุณย่าพยักหน้ารับรู้ ก่อนเอ่ยปากเล่า “ถ้าเป็นคนรุ่นย่าก็คงพอจะรู้จักท่าน ท่านชื่อว่าสิน เป็นพี่ชายของแม่ย่า เคยเป็นจางวางควบคุมวงดนตรีในวังให้สมเด็จฯ แต่คนรุ่นหลังๆ มาจะไม่ค่อยรู้จัก เพราะท่านเสียตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่งงานถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่มีบุตรสักคน ตอนหลังพอแม่ของย่าแต่งงานกับคุณพ่อ คุณพ่อก็เข้ามาอยู่ที่บ้าน และมีวงดนตรีอยู่ที่นั่น เห็นว่าก่อนคุณลุงท่านจะเสีย ท่านฝากให้คุณพ่อดูแลเรือนแทนท่าน เพราะเคยเป็นลูกศิษย์ลูกหากันมาเมื่อครั้งอยู่ในวัง พอคุณพ่อมีวงดนตรีอยู่ที่บ้าน ก็รับลูกศิษย์ลูกหามากมาย แล้วก็สืบทอดทายาทดนตรีมาที่คุณปู่ แล้วก็พ่อของหลานนี่แหละจ้ะ”


   “ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าทางดนตรีของบ้านเรา มาจากคุณทวดสินหรือครับ” สนธยาถามต่อ

   “ใช่จ้ะ ก็อย่างที่บอก คุณทวดสรท่านเป็นลูกศิษย์ลูกหาตอนอยู่ในวังด้วยกัน คุณทวดสินท่านก็ชักพามาให้พบกับน้องสาวท่าน พอน้องสาวแต่งงานก็มีลูกมีหลานมาเป็นพวกเรานี่ล่ะ ส่วนลูกหลานทางฝั่งคุณทวดสินท่านไม่มี”

   “คุณย่าว่า คุณทวดสินแต่งงานถึงสองครั้ง ท่านแต่งกับใครหรือครับ” เมื่อนาคินได้ยินคำถามข้อนี้ของสนธยา ชายหนุ่มถึงกับต้องกำมือเอาไว้แน่น ในใจรู้สึกตื่นเต้นจนยากจะระงับเอาไว้ได้

   “ย่าก็ไม่รู้เรื่องราวมากนักหรอก เพราะเมื่อครั้งท่านแต่งครั้งแรกย่ายังไม่เกิด แต่เห็นว่าเมียแรกของท่านเป็นเมียบ่าว ชื่อ แก้ว ส่วนเมียคนที่สอง คนนี้ย่าพอได้เห็นท่านก่อนเสีย ท่านชื่อ ทับทิม”

   “แต่งกับคุณทับทิมด้วยหรือครับ!” เป็นนาคินที่เอ่ยออกมากลางวง ทำเอาสนธยาและคุณย่าถึงงงงวยไปหมด

   “ใช่จ้ะพ่อคิน” คุณย่าพยักหน้ายืนยัน “พ่อคินรู้จักคุณทับทิมด้วยหรือจ้ะ”

   “มะ…ไม่ครับ ผมแค่…เอ่อ” นาคินอ้ำอึ้ง เพราะไม่รู้จะบอกอย่างไร สนธยาจึงรีบแก้ต่างให้

   “คินเขาไม่รู้จักหรอกครับคุณย่า เขาแค่ถามไปอย่างนั้น ใช่ไหมคิน” ประโยคหลังสนธยาหันมาขยิบตาให้นาคิน ชายหนุ่มจึงต้องเออออไปด้วย

   “ครับ ใช่ครับ ผมถามไปอย่างนั้นเอง คุณย่าเล่าต่อเถอะครับ”

   “ก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะลูก ที่ย่ารู้ก็มีเท่านี้”

   “แล้วคุณทวดทับทิมท่านเป็นอะไรเสียครับ”

   “ท่านป่วยน่ะลูก คุณทวดสินเองก็ป่วยเหมือนกัน”

   “อ๋อ”



   หลังจากฟังเรื่องเล่าของคุณย่าแล้ว สนธยากับนาคินก็พาคุณย่าขึ้นบ้าน เพราะท้องฟ้าเริ่มมืด ยุงก็เริ่มมา หากรบกวนท่านนานจนดึก ท่านจะถูกน้ำค้างจนไม่สบายเอา ส่งคุณย่าที่ห้องเรียบร้อย สองหนุ่มก็แยกตัวมาที่ห้องนอนซึ่งถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้แล้ว



พวกเขาพลัดกันอาบน้ำอาบท่าโดยที่ยังไม่ได้คุยอะไรกัน เพราะเรื่องที่รับรู้มานั้นค่อนข้างจะน่าตกใจไม่น้อย อย่างนาคินที่เคยมั่นใจอยู่แล้วว่าเรื่องในฝันน่าจะเคยเกิดขึ้นจริง แต่พอมารับรู้ว่ามันเป็นจริงดังคาด ชายหนุ่มเองก็ตั้งตัวไม่ติดเหมือนกัน



ส่วนสนธยายิ่งแล้วใหญ่ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เชื่อนาคิน แต่เรื่องเล่าจากความฝันนั้นมันค่อนข้างจะเหนือธรรมชาติเกินไป ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้แต่ฟังและพิจารณาไปเป็นข้อๆ เท่านั้น



แต่ในเมื่อเรื่องที่ฝันเคยเกิดขึ้นจริง คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องมาพิจารณากันแล้วว่า เพราะเหตุใด นาคินจึงได้ฝันเห็นเรื่องราวเหล่านั้น



เมื่อนาคินกับสนธยาอาบน้ำเสร็จก็ออกมานั่งร่วมกันที่เตียง บรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่ค่อนข้างอึดอัดพอสมควร เพราะไม่รู้จะเริ่มพูดอะไร ต้องทำอะไรต่อไปกับเรื่องราวที่ถูกเปิดเผยออกมา สุดท้ายก็เป็นสนธยาที่ลุกขึ้นจากเตียง แล้วเอ่ยชวนให้นาคินออกไปเดินเล่นข้างนอกด้วยกัน



“อยู่แบบนี้ก็อึดอัด ออกไปเดินเล่นกัน”

“พี่สนจะไปไหนครับ”

“เดินแถวๆ นี้แหละ นายจะตามมาไหม”

“ไปสิ” ว่าแล้วนาคินก็ลุกตามออกไป



พอลงจากเรือนได้สนธยาก็เดินเรื่อยๆ ไปจนถึงศาลาริมน้ำโดยมีนาคินเดินตาม บรรยากาศของบ้านริมน้ำในยามค่ำคืนค่อนข้างเงียบสงบ โชคดีที่คุณย่าให้คนเอาตะเกียงน้ำมันแบบโบราณมาจุดไว้ให้แสงสว่าง ศาลาริมน้ำจึงไม่มืดจนเกินไปนัก



สนธยาเดินไปหยุดที่เก้าอี้ยาว ก่อนจะนั่งลงไปพิงหลังกับพนัก ทั้งยังไม่ลืมชักชวนให้นาคินนั่งด้วย


“นั่งสิ”

“ครับ” นาคินยอมนั่งลงข้างๆ กัน ครั้นเห็นว่าคนข้างๆ แหงนหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าด้วยท่าทางผ่อนคลาย เขาจึงผ่อนกายลงพนักพิงหลังและปล่อยตัวตามสบายบ้าง

“ไปทะเลคราวที่แล้ว ผมกับพี่ก็นั่งดูดาวกันแบบนี้เนอะ”

“อืม” สนธยาพยักหน้ารับ

“ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมเล่าเรื่องฝันให้พี่ฟัง”

“ตอนั้นฉันยังไม่ยอมเชื่อนายเลย แต่ก็ไม่ได้หาว่านายบ้าหรอกนะ คิดว่าอาจจะแค่เครียดเฉยๆ” ชายหนุ่มยอมสารภาพความจริง “แต่ดูสิ ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องที่มีอยู่จริงเสียแล้ว”

“นั่นสิครับ ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ” นาคินถอนหายใจออกมาเบาๆ ตอนนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วส่วนหนึ่ง ว่าบุคคลที่เขาฝันถึงนั้นมีตัวตนอยู่จริง แต่หลังจากนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้อีก “แต่ถึงจะรู้แล้ว ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นผมที่เห็น ถึงจะคิดว่ามีนัยยะบางอย่าง แต่ก็ได้แค่เดาเท่านั้น”

“มันก็จริง เราจะทำอะไรได้ล่ะ ฝันเห็นแล้วยังไง สุดท้ายก็แก้ไขอะไรให้ใครไม่ได้หรอก คงได้แต่ต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ บางทีคนที่ล่วงลับไปอาจจะต้องการให้ใครคิดถึงบ้างล่ะมั้ง” นี่คือสิ่งที่สนธยาพอจะคิดออก นอกเหนือจากนี้เขาก็ไม่รู้แล้วว่าต้องทำอะไร

“อืม…บางทีก็อาจจะเป็นอย่างที่พี่พูดก็ได้” นาคินถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เขาค่อนข้างมั่นใจว่าดวงวิญญาณที่บันดาลให้เห็นภาพเหล่านั้นคือดวงวิญญาณของแก้ว เพราะเขาเห็นในมุมมองของแม่แก้ว ซึ่งในทีแรกอาจจะแค่ต้องการเรียกร้องหรือบอกให้ใครได้รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนทำผิดคิดร้าย แต่พอได้ยินที่สนธยาพูด นาคินก็ฉุกคิด บางทีดวงวิญญาณอาจจะต้องการให้ใครบางคนหวนคิดถึงตนเท่านั้นเอง



เพราะนาคินค่อนข้างมั่นใจว่าสนธยาคือจางวางสินกลับชาติมาเกิด เขาที่บังเอิญได้เข้ามาใกล้ชิดกับสนธยา และมีจิตสื่อถึงดวงวิญญาณในเรือนดอกแก้วได้ จึงเป็นสื่อกลางที่จะบอกให้สนธยาได้รู้ว่าเมื่อนานมาแล้วยังมีคนชื่อแก้วอยู่



“ถ้างั้นพรุ่งนี้ไปทำบุญให้พวกเขากัน ต่อไปก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ นายเองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบรรพบุรุษของฉัน พวกท่านคงไม่มารบกวนนายอีก”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่พี่สนต้องไปกับผมนะ”

“อืม” สนธยาพยักหน้ารับง่ายๆ “ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องพวกนี้แล้วนะ กลับมาใช้ชีวิตแบบคนปรกติสักที”

“ครับ” นาคินยิ้มให้กับความห่วงใยนั้น “ขอบคุณนะพี่สน ที่คอยอยู่เคียงข้างผม ถ้าไม่มีพี่ ผมก็ไม่รู้ว่าจะผ่านเรื่องพวกนี้ได้ยังไง”

“อืม” หนุ่มหน้ามนเกาแก้มแก้เขิน พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบสายตาเปี่ยมความรู้สึกของนาคิน แต่จนแล้วจนรอด สุดท้ายเขาก็ถูกนัยน์ตาสีน้ำตาคู่นี้ดึงดูดเอาไว้อยู่ดี



 สายลมฤดูหนาวพัดโชยเอื่อยชวนให้กายสะท้าน แต่มือที่เชยคางของสนธยาขึ้นกลับทำให้รู้สึกร้อนรุ่มเสียอย่างนั้น มีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่คิดหลบหลีก แต่สิ่งที่เต้นรัวแรงอยู่ในอกข้างซ้ายกลับไม่ยอมฟัง



ชั่วลมหายใจต่อมา ริมฝีปากของทั้งคู่ก็เคลื่อนเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะบดเบียดแนบแน่นยากถอดถอน เพียงแค่ขยับเล็กน้อย ความรุ่มร้อนภายในก็ถูกกวาดต้อนจนเผลอหอบสะท้าน



สนธยาไม่เคยรู้ จูบที่ไม่มีที่มาที่ไป…หวานล้ำเกินกว่าจะคาดคิดเอาไว้มากมายนัก







‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧






มาแล้วค่ะ
ใกล้จบจริงๆ แล้ว
ฝากติดตามจนจบด้วยนะคะ ^^



ละอองฝน.

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ดึกเช่นเคยและยังคงหวาดๆเช่นเคยเหมือนกัน

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
คาใจมากว่า มาทำให้ฝันถึงทำไม เพราะดูแล้ว แม่แก้วน่าจะยังไม่เกิดใหม่แน่ ๆ เพราะยังคงห่วง ยึดติด แต่แค่ให้ฝันเพราะจะได้นึกได้หรอ หรือว่า คินเป็น แม่ทับทิม โอ๊ย อยากรู้ใจจิขาดรอนๆ ๆ แต่ทำแบบนี้สงสารแม่แก้วก็สงสาร แต่สงสารสุด สงสารนาคินของบ่าว กระซิก

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เหมือนคินจะไม่ใช่แม่แก้ว อ่ะ หรือ จะเป็นแม่ทับทิม หรือไงอ่าา ลุ้นๆๆ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2








บทที่ ๒๐








   วันนี้สนธยาตื่นเช้าเป็นพิเศษ แต่อันที่จริงอาจเรียกได้ว่าแทบไม่ได้นอนเลยทั้งคืนมากกว่า เพราะไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ด้วยกระสับกระส่าย ทั้งเขินอาย และสับสนไปหมด



หลังจากที่จูบกับนาคินที่ศาลาท่าน้ำ เขาก็พูดหนุ่มรุ่นน้องจูงมือพากลับไปที่ห้อง และถูกจูบหน้าผากก่อนบอกฝันดีอีกรอบโดยที่ตัวเองไม่ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย ทุกอย่างเกิดขึ้นและเป็นไปตามธรรมชาติที่สุด กระนั้น เมื่อได้สติและครุ่นคิดมาตลอดทั้งคืน เช้านี้สนธยาก็ไม่อาจรอให้อีกฝ่ายตื่นเพื่ออยู่เผชิญกันได้ เขาจึงลุกล้างหน้าล้างตา ก่อนลงมาช่วยคุณย่าทำอาหารเช้า



   คุณย่ามักจะตื่นเช้ามาทำกับข้าวใส่บาตรทุกวันเป็นกิจวัตร ยิ่งวันนี้มีหลานชายมาช่วยอีกแรง ท่านจึงทำอาหารเพิ่มพิเศษอีกอย่าง พอทำเสร็จเรียบร้อยท่านก็ใช้ให้สนธยาไปปลุกนาคินขึ้นมาใส่บาตรด้วยกัน เพราะคิดว่านานๆ ทีจะมีโอกาสเช่นนี้



   สนธยายอมทำตามที่คุณย่าสั่งง่ายๆ เพราะใจหนึ่งก็อยากให้นาคินลงมาใส่บาตรให้บุคคลที่ล่วงลับไปแล้วเช่นกัน หากแต่ความรู้สึกกระดากอายกลับตีตื้นขึ้นมาเสียก่อน ชายหนุ่มจึงได้แต่ยึกๆ ยักๆ อยู่หน้าห้อง ไม่ยอมเปิดเข้าไปเรียกหนุ่มรุ่นน้องเสียที



   ทว่าสนธยากลับไม่รู้ว่านาคินตื่นขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสักพักแล้ว ทันทีตัดสินใจจะเปิดประตูเข้าไป อีกฝ่ายก็ผลักประตูออกมาพอดี พร้อมกับทักทายด้วยรอยยิ้มสดใสที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา



   “พี่สน” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง “มาปลุกผมหรือครับ”

   ครั้นได้ยินว่าอีกฝ่ายเดาถูก สนธยาก็คร้านจะปฏิเสธ “อืม คุณย่าให้มาตามไปใส่บาตร”

   “งั้นไปกันเถอะครับ ผมแต่งตัวเสร็จพอดีเลย”

   “อืม”



   ทั้งสองเดินตามกันไปเงียบๆ จนถึงริมน้ำ สนธยารู้สึกว่ามันต่างกับเมื่อคืนลิบลับ เพราะตอนนั้นเขาเดินนำอีกฝ่ายมาเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร หากตอนนี้กลับขัดเขิน แม้จะไม่ได้อายจนตัวบิดม้วน แต่ก็ไม่กล้าหันไปสบตาด้วยเช่นกัน



   “มาเร็วลูก พระท่านมาพอดี” เมื่อไปถึงคุณย่าก็กวักมือเรียกเร่งให้ไปหา เพราะพระกับลูกศิษย์วัดพายเรือมาพอดี



   ทุกคนช่วยกันใส่บาตรและรับพรร่วมกัน พอเสร็จสรรพเรียบร้อยคุณย่าก็เอาขันกรวดน้ำทองเหลืองใบเล็กให้ชายหนุ่มทั้งสองคนไปเทที่ใต้ต้นไม้ใหญ่



   เมื่อครู่ตอนกรวดน้ำนาคินได้ระลึกถึงแม่แก้ว เขาขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เธอทั้งหมด และขอให้เธอไปสู่ภพภูมิที่ดี เมื่อเอาน้ำไปเทที่ใต้ต้นไม้เรียบร้อย นาคินก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากๆ



   “เดี๋ยววันนี้ตอนกลับจะพาไปแวะทำบุญที่วัดใหญ่ในตัวเมืองอยุธยา ทำบุญให้เขาเสีย คราวนี้ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ” สนธยาว่าก่อนจะเดินนำขึ้นบ้าน “ไปกินข้าวเถอะ คุณย่ารออยู่”

   “มาครับ เดี๋ยวผมช่วยถือ” นาคินคว้าเอาขันทองเหลืองในมือของสนธยามาถือไว้ พร้อมกับฉวยโอกาสจับมืออีกฝ่ายด้วย

   “ปล่อย” คุณครูพี่สนของนาคินพยายามดึงมือของตัวเองออก แต่มือข้างนั้นก็กำมือเขาแน่นเหลือเกิน “เดี๋ยวคุณย่าเห็นนะคิน”

   “คุณย่าขึ้นบ้านไปแล้วครับ” นาคินว่า

“แต่เดี่ยวคนอื่น--” ยังไม่ที่จะพูดจบประโยค นาคินก็รีบพูด

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมจะปล่อยนะ”

   “แต่…”

   “นะครับ นะ นะ” ได้ยินเสียงออดอ้อนกับแววตาลูกหมา แม้จะหมั่นไส้และหระดากอายแค่ไหน สนธยาก็อดใจอ่อนไม่ได้



   ท้ายที่สุดพวกเขาก็เดินจับมือกันไปเช่นนั้นจนถึงบนไดเรือนปั้นหยา นาคินจึงยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระตามที่ได้ตกลงกันไว้



o-----------------------o



   เมื่อสองหนุ่มทานอาหารเช้ากับคุณย่าเรียบร้อยพวกเขาก็เตรียมตัวกลับ เพราะตั้งใจว่าจะแวะวัดทำบุญระหว่างทางกลับบ้านกันด้วย คุณย่าเตรียมขนมกับอาหารหลายอย่างใส่กล่องให้หลานชายกลับบ้าน ทั้งยังกำชับว่าให้มาหาท่านบ่อยๆ สนธยากับนาคินก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะก่อนกราบลา



   ขับรถไกลจากบ้านคุณย่าไม่นานสนธยาก็พาไปจอดที่วัดมีชื่อแห่งหนึ่งในจังหวัด พวกเขาลงไปไหว้พระทำบุญตามปรกติ แม้ว่านักท่องเที่ยวจะเยอะหน่อยเนื่องจากเป็นวันหยุด แต่ก็ไม่ถึงกับแออัดไม่มีที่เดิน พอไหว้พระเสร็จแล้วทั้งสองก็ตรงกลับกรุงเทพทันที เพราะมีสายเข้ามาจากมนตรีให้รีบกลับ



   อันที่จริงวันนี้มนตรีรับหน้าที่สอนเด็กๆ แทนสนธยา แต่ช่วงบ่ายดันมีธุระด่วนเข้ามา ดังนั้นเขาจึงต้องเรียกให้ลูกชายกลับมาสอนเด็กๆ คลาสบ่ายแทน



   ขากลับจากวัดนาคินขอเปลี่ยนเป็นคนขับรถให้ เพราะเห็นว่าขามาสนธยาก็ขับแล้ว อีกทั้งกลับไปยังต้องสอนเด็กๆ ด้วย ชายหนุ่มจึงกลัวว่าคุณครูพี่สนจะเหนื่อยเกินไป สนธยาเองก็เห็นว่าเป็นความคิดที่ดี ดังนั้นจึงยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกโดยไม่ขัด



   นั่งรถมาไม่เท่าไหร่คนที่อดนอนเมื่อคืนก็เผลอหลับไป นาคินชะลอรถจอดข้างทางก่อนจะช่วยปรับเบาะให้สบายขึ้น ความจริงเขาพอจะรู้อยู่บ้างว่าเมื่อคืนสนธยานอนไม่หลับ เพราะเจ้าตัวท่าทางกระสับกระส่าย พลิกตัวไปมาหลายรอบ เขาก็อยากเอ่ยถามเหมือนกันว่าเป็นอะไร แต่เพราะเดาว่าอาจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ใกล้ชิดเกินเลยที่เกิดขึ้นตรงศาลาท่าน้ำ ดังนั้นนาคินจึงปล่อยให้สนธยาได้คิดด้วยตัวเอง



   อันที่จริงตัวเขาเองก็กังวลไม่น้อย ก่อนเจอหน้ากันตอนตื่นนอนนาคินยังรู้สึกหวั่นๆ ว่าจะถูกตั้งแง่เย็นชาใส่อยู่บ้าง แต่พอเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้างุดๆ คอยหลบสายตายามเมื่อเขามองไปหา นาคินจึงรู้สึกว่าตัวเองมีหวังขึ้นมามากเหมือนกัน ดังนั้นจึงกล้าที่จะทำอะไรๆ เพื่อขยับความสัมพันธ์ให้ชิดใกล้มากขึ้น



o-----------------------o



   กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีสนธยาก็มาถึงทางเข้าบ้านแล้ว เวลาไม่เพียงชั่วโมงเศษๆ ที่นั่งรถมาไม่ทำให้รู้สึกว่าได้นอนเต็มอิ่มสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มจึงได้แต่คำนวณในใจว่าคืนนี้คงต้องนอนเร็วสักหน่อย ชดเชยให้กับที่เมื่อคืนไม่ได้นอนจนย่ำรุ่ง



   พอลงจากรถนาคินก็อาสายกเอากับข้าวและขนมที่คุณย่าให้มาไปไว้ที่ครัว ส่วนสนธยาก็รีบไปรับช่วงต่อสอนเด็กๆ เพื่อให้พ่อได้ออกไปทำธุระตามที่นัดไว้



   “เย็นนี้พ่อคงไม่กลับมากินข้าวที่บ้าน บอกป้าปุกว่าไม่ต้องเตรียมสำรับเผื่อพ่อนะ”

   “ได้ครับ แต่น่าเสียดาย คุณย่าฝากกับข้าวแล้วก็ขนมมาเยอะแยะเลย”

   “น่าเสียดายจริงด้วย แต่วันนี้คงต้องทานข้างนอก เพราะนัดไว้แล้ว เอาเป็นว่าลูกๆ ก็กินกันเถอะ อย่าลืมเรียกน้องกินด้วยนะลูก พ่อเห็นนั่งทำรายงานตั้งแต่เมื่อคืน”

   “ครับ”



   เมื่อสั่งความเรียบร้อยมนตรีก็แต่งตัวออกจากบ้าน ทิ้งสนธยาไว้กับเด็กๆ ที่เรือนไทยหลังน้อย คุณครูหนุ่มหันมาทักทายลูกศิษย์ ก่อนเริ่มการเรียนการสอนต่อเหมือนเช่นทุกที กระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนถึงเย็นย่ำ ผู้ปกครองจึงทยอยมารับลูกหลานกลับบ้าน



   สนธยาเก็บข้าวเก็บของ ทำความสะอาดเรือนดอกแก้วอย่างง่ายๆ จากนั้นจึงขึ้นเรือนใหญ่ไปอาบน้ำทานข้าวพร้อมกับคนในครอบครัว



   ทีแรกเขาตั้งใจจะนอนแต่หัวค่ำ แต่พอกินข้าวอิ่มใหม่ๆ ก็ข่มตาให้หลับไม่ลง ดังนั้นจึงเปลี่ยนความตั้งใจและมุ่งหน้าไปที่เรือนไทยหลังเล็กแทน



   เขานั่งซ้อมดนตรีไปเรื่อยๆ กะว่าพอให้อาหารในกระเพาะย่อยจึงขึ้นนอน โดยปรกติแล้วอากาศที่กรุงเทพฯ มักจะไม่หนาว แม้ว่าช่วงนี้จะเข้าฤดูหนาวแล้วก็ตาม แต่วันนี้สนธยากลับรู้สึกเย็นแตกต่างจากทุกวัน ความเย็นสบายนั้นทำให้ชายหนุ่มนั่งเล่นดนตรีเพลินจนลืมดูเวลา กระทั่งมีคนมาที่เรือนดอกแก้วสนธยาจึงรู้สึกตัว



   “พี่สนยังไม่นอนอีกหรือครับ”

   สนธยาหยุดมือแล้วเงยหน้ามองเจ้าของเสียงก่อนตอบ “ยังไม่ค่อยง่วงน่ะ”

   “ผมคิดว่าพี่จะนอนเร็วเสียอีก เห็นว่าเมื่อคืนดูเหมือนนอนไม่ค่อยหลับ”

   “นายรู้เหรอ” หนุ่มหน้ามนถามด้วยความแปลกใจ

   “รู้สิครับ เรานอนเตียงเดียวกัน แถมพี่ยังพลิกไปพลิกมา ผมจะไม่รู้ได้ไง” นาคินว่ายิ้มๆ

   “โทษทีแล้วกันที่ทำให้นายพลอยนอนไม่หลับไปด้วย”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ อันที่จริงมันก็ไม่มีผลกับผมเท่าไหร่หรอก เพราะผมรู้สึกอยู่แปบเดียวก็เผลอหลับไป”

   “งั้นก็ดีแล้วล่ะ” ได้ยินว่าตัวเองไม่ได้รบกวนการนอนของอีกฝ่าย สนธยาก็ถอนหายใจอกมาอย่างโล่งอก

   “อืม…ว่าแต่เมื่อกี้พี่เล่นเพลงอะไรอยู่ครับ คุ้นๆ เหมือนเคยฟัง แต่ผมจำชื่อเพลงไม่ได้” นาคินรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา  แต่ก็นึกไม่ออก คนตัวสูงเดินไปนั่งข้างๆ สนธยากับระนาดเอก ก่อนมองหน้าเพื่อรอคำตอบ

   “เคยดูโหมโรงไหม”

   “ที่เป็นหนังเหรอครับ”

   “อืม”

   “เคยครับ แต่นานมากแล้วนะ” หนังเกี่ยวกับดนตรีไทยเรื่องนั้น นาคินจำได้ว่าเคยดูเมื่อสมัยที่ยังเป็นเด็ก

   “เพลงที่เล่นเมื่อกี้ ชื่อเพลงแสนคำนึง เป็นเพลงที่มีในเรื่องโหมโรงน่ะ”

   “เพราะดีครับ แต่ดูเศร้าๆ นะผมว่า”

   “ชื่อเพลงก็บอกอยู่แล้วนี่ว่า แสนคำนึง”

   “พี่ชอบเพลงนี้หรือครับ”

   “ก็ชอบ”

   “แล้วมีเพลงอะไรที่เพราะๆ หวานๆ ไม่เศร้าเหมือนเพลงนี้ไหมครับ”

   “ถ้าเป็นในเรื่องโหมโรง ก็มีเพลงคำหวาน เป็นตอนที่พระเอกได้พบกับนางเอกครั้งแรก ก็จะหวานๆ ละมุนละไมหน่อย” ”



เมื่อได้ยินสนธยาบอก นาคินก็ร้องขอให้อีกฝ่ายเล่นเพลงนั้นให้ฟังทันที ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากฟังจริงๆ แต่อีกส่วนคืออยากอยู่กับคุณครูคนเก่งให้นานกว่านี้อีกหน่อย



   “ผมจำไม่เห็นได้เลย พี่เล่นให้ผมฟังหน่อยสิครับ ผมอยากฟัง

   “เพลงนั้นต้องเล่นกับซออู้จะเพราะกว่า มันจะนุ่มและหวานหู เอาไว้วันพรุ่งนี้ค่อยเล่น”

   “ทำไมล่ะครับ”

   “ก็ซออู้อยู่ในห้องเก็บของ ต้องเอามาถูยางสนอีก”

   “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเอามาถูให้”



สนธยาส่ายหัวน้อยๆ ให้กับคนที่ดื้อดึงไม่เลิก และยิ่งเมื่อมาได้ยินคำตอบฉะฉาน กับดวงตาออดอ้อนที่ต้องการเขายอมตามใจให้ได้ ชายหนุ่มจึงได้แต่ใจอ่อนคล้อยตามจนรู้สึกขัดใจตัวเอง



   “นี่นายไม่ง่วงนอนหรือไง”

   “ยังไม่ง่วงครับ พี่ง่วงแล้วเหรอ”

   “ยังหรอก แต่ไม่อยากให้วุ่นวาย พราะมันดึกแล้ว”

   “ไม่วุ่นหรอกครับ ผมเองก็ไม่ค่อยได้เห็นพี่เล่นเครื่องดนตรีอื่นเท่าไหร่ด้วย” ว่าแล้วนาคินก็ลุกขึ้น “พี่รออยู่นี่นะ เดี๋ยวผมเข้าไปเอาซอมาให้”

   “อืม” สนธยาพยักหน้ารับอย่างจนใจ ได้แต่คิดว่า นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วนะ ที่เขายอมตามใจนาคิน



o-----------------------o



   เมื่อมัดมือคุณครูคนเก่งให้ทำตามใจตัวเองได้แล้ว นาคินก็เดินฮัมอย่างอารมณ์ดีเพลงเข้าไปในห้องเก็บของของเรือนดอกแก้ว เขาผลักประตูไม้เก่าคร่ำคร่าให้เปิดออก จากนั้นจึงมองหาสวิตช์ไฟที่ติดอยู่ใกล้ๆ กับประตู



   ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องดนตรี รวมไปถึงระบบการเดินไฟฟ้าภายในน้องเล็กๆ ห้องนี้เป็นแบบเก่าแทบทั้งหมด อย่างสวิตช์ที่นาคินคลำหาอยู่นานก็ยังเป็นฝาครอบกลมๆ ที่มีเดือยยื่นออกมาให้ดันเปิด ชายหนุ่มเสียเวลาอยู่กับความมืดตรงนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดจึงเปิดไฟได้สำเร็จ



   เขาเดินไปยืนกลางโถงเล็กๆ ในห้อง เพื่อตั้งหลักสอดส่ายสายตาหาเครื่องดนตรีที่ตนเองต้องการ จนกระทั่งหันไปเจอหมู่กระเป๋าซออู้และซอด้วงวางอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ ชายหนุ่มจึงตรงเข้าไปหยิบมา พร้อมกับนั่งเปิดถุงฝนยางสนลงบนสายซอ



   นั่งถูสายซอจนส่งเสียงดังอี๊ดอ๊าดท่ามกลางความเงียบอยู่สักพัก จู่ๆ หลอดไฟสีส้มตรงมุมห้องก็กระพริบ ประเดี๋ยวมืด ประเดี๋ยวสว่าง นาคินจึงวางมือจากงานเพื่อหันไปมองดวงไฟ



   ณ ตอนนี้เองที่ชายหนุ่มรู้สึกว่าสรรพเสียงในห้องเก็บเครื่องดนตรีแห่งนี้มันช่างเงียบสงบจนเกินไป ราวกับที่แห่งนี้ถูกตัดขาดออกจากภายนอกอย่างไรอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เขายังได้ยินเสียงระนาดของสนธยาดังอยู่แท้ๆ



   พอนึกได้ถึงตรงนี้ ก็เป็นจังหวะพอดีกับที่นาคินได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นจากด้านหลัง เสียงที่ดังคล้ายกับคนลากเท้าบนไปกระดาน



   ครืด~ ครืด~



   เขาตัวแข็งทื่อทันทีเพราะรู้ว่าตัวเองหูไม่ฝาด ซ้ำเสียงที่ว่ายังขยับเข้ามาใกล้ตัวเขาเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหยุดลงตรงด้านหลัง พร้อมกับเสียงเย็นๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำให้ขนในร่างกายของเขาพากันลุกซู่โดยพร้อมเพรียงกัน



   “นาคิน”



   ในวินาทีนั้น นาคินไม่รู้ว่าตัวเองต้องลุกขึ้นหนี หันไปเผชิญหน้า ร้องตะโกนออกมา หรือต้องทำอย่างไรต่อไป ร่างกายมันแข็งค้างไปหมดทุกส่วน จนแม้กระทั่งหัวใจก็เกือบจะหยุดเต้นไปด้วย



   “…”

   “ไม่คิดจะสนทนากับฉันหน่อยรึพ่อคุณ”

   “…”



นาคินยังคงเงียบเนื่องจากไม่กล้าแม้จะตอบโต้หรือหันไปมอง มือที่กำซอเอาไว้นั้นสั่นจนแทบควบคุมไม่อยู่ เพราะเขารู้ว่าเจ้าของเสียงที่ปรากฏกายออกมาคุยกับตนเองนั้น เป็นเจ้าของเสียงเดียวกับที่สิงเด็กรับใช้ชื่อก้อยตรงหน้าประตูรั้วในคืนนั้น



   “เอ…หรือจะให้ฉันเรียกด้วยอีกชื่อหนึ่ง จึงจะยอมหันมาคุยกับฉันดีๆ

   “อืกชื่อเหรอ” ประคำถามนั้นออกมาจากปากโดยอัตโนมัติ ทว่าแม้มันจะเบาราวเสียงกระซิบ แต่ใครที่ยืนค้ำหัวอยู่ด้านหลังนั่นก็ได้ยินอยู่ดี

   “อะไรกัน” เสียงเยียบเย็นว่าพลางกลั้วหัวเราะ “มองเห็นเรื่องราวถึงขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่รู้อีกหรือ ว่าตัวเองเป็นใคร”



   ยังไม่ทันที่นาคินจะคิดหรือตอบอะไรกลับไป เสียงผลักประตูด้านหน้าก็ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของคนที่นาคินอยากให้อยู่ใกล้ๆ มากที่สุด



   “ทำไมนานนักล่ะคิน ฉันง่วงแล้วนะ” สนธยาว่า



แต่พอเห็นภาพตรงหน้าคือนาคินที่นั่งหน้าซีด ตัวแข็งทื่ออยู่กับพื้น ในมือถือซออู้ท่าทางหมดเรี่ยวแรง ชายหนุ่มจึงรีบก้าวเข้ามาให้ห้องด้วยความเป็นห่วง และเพราะความเป็นห่วง ก็ทำให้เขาไม่ได้สังเกตว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ใต้เงามืดไม่ไกลจากนาคินนัก



   “พี่สน…” นาคินเรียกอีกฝ่ายเสียงสั่น



   “เป็นอะไรหรือเปล่าคิน!” คุณดนตรีรีบถลาเข้าไปดูลูกศิษย์ตัวโตของตัวเอง



   มือของนาคินเย็นเฉียบ ใบหน้าก็ซีดเผือกราวกับกำลังหวาดกลัวสุดขีด สนธยาเห็นท่าไม่ดีก็คร้านจะไถ่ถาม เขาตั้งใจพาหนุ่มรุ่นน้องออกไปจากห้องก่อน



ทว่าขณะที่กำลังจะประคองให้นาคินลุกขึ้น ใครบางคนก็เคลื่อนตัวออกมาจากเงามือด้านหลังนาคิน เธอจ้องมองสนธยาด้วยแววตาโหยหา ก่อนจะเอ่ยบางสิ่งออกมา และนั่นก็ทำให้สนธยาได้รู้ว่าไม่ได้มีเพียงพวกเขาที่อยู่ในห้องเก็บเครื่องดนตรีแห่งนี้



“มากันครบก็ดีเหมือนกัน จะได้สะสางให้จบเรื่องจบราวเสียทีเดียวนะคะคุณพี่” เธอว่า ก่อนจะยกยิ้มหวานแต่นัยน์ตาโศกมอบให้สนธยา



คำว่าคุณพี่เหมือนสะกิดใจให้นาคินฉุกคิดถึงใครบางคน ใครที่ไม่คิดว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้



ชายหนุ่มรีบหันกลับไปมองหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังทันที ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้าง ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ



คุณทับทิม!

“ว่ายังไงนาคิน…ไม่สิ” เธอยิ้มเย็น ก่อนจะแก้ “ต้องถามว่า ว่ายังไงจ๊ะแม่แก้ว จึงจะถูก”







o-----------------------o







มาค่ะ ลาสบอสออกมาแล้ว
ทีนี้ก็จะได้รู้แล้วว่าใครเป็นยังไง ใครต้องการอะไร
มีใครเดาถูกไหมคะว่าใครเป็น คุณสิน แก้ว ทับทิม
แต่เอาจริงก็เดาไม่ยากนะ :a5:

จะจบแล้ว อีกสองตอน

ฝากด้วยนะคะ


ละอองฝน.


ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
อ้าวววว วิญญาณนั่น คุณทับทิมเองเหรอ คินคือ แม่แก้ว!!! พอเฉลยออกมาแล้วก็ เหมือนจะโล่งอก

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
แม่ทับทิมเจ้าคะ ปรากฏตัวได้โคตรหลอนเลยเจ้าคะ เป็นอิฉันนี่ มีสลบ บ้าบอ ขอด่าผีแม่ทับทิมได้ไหม นึกถึงหัวจิตหัวใจบ่าวบ้างเถอะ น้ำตาจะไหล กลัวนะเจ้าคะ

ว่าแต่ นาคินเป็นแม่แก้วหรือนี่ โอว้ พี่สนจะโดนนาคินกดจริงดิ ม่ายยย พี่สน ต้องกดนาคินสิ 5555

ว่าแต่เคลียร์ไรกัน อโหสิกันไวไว อยู่แบบนี้กลัว แม่ทับทิมจะโผล่มา แล้วนาคินหัวใจจะหยุดเต้นซะก่อน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Mynun

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
ต่อออ พลีสสสส
อ่านรวดเดียวเลย โครตสนุก
ชอบบบบ  :katai3:

ออฟไลน์ A-J.seiya*

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +306/-8
ฮืออออ สนุกกกกก
สนุกมากกกกก
ฟงไวพม้งปใ้ใงฟหฃ
แบบว่า ทำไมเขียนดีอย่างงี้
เข้ามาเพราะชื่อเรื่อง เห็นว่าเป็นคนเขียนเดียวกันกับโปรดจงรัก
การันตีความละมุน ฮืออออ
มันดีมากค่ะ อย่าเสียใจที่คนเข้ามาน้อยนะคะ
เขาอาจจะยังไม่รู้ว่ามันดีขนาดนี้
ลาสบอสออกมาแล้วจริงๆด้วย
ทีแรกคิดว่าเป็นแก้ว คุณทับทิมน่ะเอง
จะยังไงกันต่อล่ะทีนี้ หรือมิชชั่นของคุณทับทิมคือ ทำให้เขารักกัน?
จะได้ไปเกิดเสียมีงี้ เอาใจช่วยยยย

ออฟไลน์ hikkie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เปิดหน้าไพ่มาหนึ่ง เฉลยว่าใครเป็นใคร
แต่ปมเรื่องคุณทับทิมนี่ยังไง เข้าใจว่าเป็นแม่แก้วที่ล่องลอยซะอีก

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2







บทที่ ๒๑








   สนธยาไม่คิดว่าตัวเองจะได้มีโอกาสได้ประสบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิบายได้ต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ เพราะทันทีที่ได้ยินและได้เห็นผู้หญิงแปลกหน้าเอ่ยเรียกนาคินว่าแก้ว โลกที่เคยรู้จักก็ดูคล้ายถูกสั่นคลอนจนสมองมึนเบลอ ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียวราวกับคนบ้าใบ้



   ดวงตาสีนิลจ้องมองภาพกายหยาบโปร่งแสงของหญิงแปลกหน้าตาไม่กระพริบ ก่อนจะสัมผัสได้ว่าร่างกายของคนที่เขาจับมือเอาไว้นั้นขยับเข้ามาเบียดแนบชิด จนรับรู้ถึงแรงสั่นด้วยความหวาดกลัว



   ซึ่งในนาทีนั้นเองที่สนธยาได้สติ



   “พี่อยู่นี่คิน ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” เขาดึงให้นาคินขยับตัวมาอยู่ด้านข้างของตนเอง พลางกระชับมือใหญ่ๆ คู่นั้นแน่น

   “พี่สนเห็นเธอใช่ไหม” นาคินถามเหมือนละเมอ “ผมไม่ได้ตาฝาดหรือบ้าไปเองใช่ไหม”

   “นายไม่ได้บ้า เพราะพี่เองก็เห็นเธอ” เขาหันมาสบตานาคิน ก่อนจะหันกลับไปจ้องมองสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าวิญญาณตรงหน้า



พอรู้ว่าตัวเองไม่ได้เผชิญเรื่องราวลี้ลับเพียงลำพัง สติที่แตกกระเจิงของนาคินก็ค่อยๆ กลับคืนมาทีละน้อย เขาวางซออู้ลงข้างตัว ก่อนคว้าจับข้อศอกของสนธยาเอาไว้ แล้วออกแรงกระตุกส่งสัญญาณ



   “เราไปจากที่นี่กันเถอะครับ”



   ปัง!!!



ทันทีที่นาคินพูดจบ ประตูที่เคยเปิดอ้าก็พลันกระเด้งปิดเข้ามาเองโดยอัตโนมัติ เสียงปึงปังของประตูและหน้าต่างที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาชายหนุ่มสองคนในห้องเก็บของสะดุ้งเฮือก แต่วิญญาณของหญิงสาวกลับยืนมองนิ่งๆ ไม่ทุกข์ร้อน ทำราวกับว่านั่นไม่ใช่ฝีมือของเธอ



“ไปสิ”



เป็นสนธยาที่ได้สติก่อน เขาตอบรับคำขอของนาคินทันที แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยเชื่อ ไม่เคยเกรงกลัวในสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ แต่นาทีนี้หากจะเอ่ยออกมาว่าไม่กลัวก็คงเหมือนการหลอกตัวเองเปล่าๆ ดังนั้นวิธีแก้ทางเดียวคือไปจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด



“ยังไปตอนนี้ไม่ได้ค่ะคุณพี่” วิญญาณของทับทิมเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน

“ทำไมเราถึงจะไปไม่ได้”

“ดิฉันบอกแล้วอย่างไรคะคุณพี่ ว่าต้องอยู่สะสางเรื่องของเราก่อน”

“ทำไมเราต้องเชื่อคุณ” แม้จะหวาดหวั่น แต่สนธยาก็ยังกล้าตอบโต้ออกไปอย่างไม่ลดละ เพราะเขาคิดเพียงแต่จะต้องพานาคินออกไปจากสถานที่แห่งนี้ให้จงได้

“เพราะฉันทนรอไม่ไหวแล้ว!” อยู่ๆ ทับทิมก็ตวาดดังลั่น จนรู้สึกเหมือนเรือนทั้งเรือนสั่นสะเทือน “ฉันรอมานานเกินไป รอต่อไปไม่ไหว มันทรมาน…ทรมาน”



ชั่ววินาทีที่ทับทิมพูดออกมา มันเหมือนกับเธอไม่ได้พูดกับสนธยาหรือว่านาคิน แต่คล้ายรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่า เสียงครวญของเธอดังหวีดหวิวจนคนฟังยังรู้สึกถึงความทรมานไปด้วย จากความกลัวจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเวทนาสงสารโดยไม่รู้ตัว



นาคินฉุกคิดได้ว่า หากเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นจากวิญญาณของแก้ว แต่กลับกลายเป็นทับทิมแทน ดังนั้นเหตุผลที่เขาเคยคิดว่าแม่แก้วอาจคับแค้นใจที่ถูกใส่ร้าย และอยากดลบันดาลให้ใครสักคน หรือคนรักที่คาดว่ามาเกิดในชาติใหม่รับรู้ว่าตนเองบริสุทธิ์ เหตุผลเหล่านี้ผิดเพี้ยนไปทั้งหมด



แล้วคุณทับทิมมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังเรียกเขาว่าแก้ว เรียกสนธยาว่าสินอีก



นึกได้ถึงตรงนี้ความกลัวก็ถูกความอยากรู้บดบัง ความกล้าที่ไม่คิดว่าจะมีจึงผุดขึ้นมาแทนที่ นาคินเปลี่ยนตำแหน่งเป็นขยับมาบังสนธยาเอาไว้ ก่อนเอ่ยถามสิ่งที่ตนเองสงสัยออกมา



“ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาสิ ว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ จึงได้บันดาลให้เกิดเรื่องราวมากมายขนาดนี้ มาทำให้มันจบเรื่องไปเลยก็ดีเหมือนกัน”

“คิน!”



สนธยากระตุกแขนนาคินครั้งหนึ่ง เขาไม่เห็นดีด้วยที่จะไปต่อล้อต่อเถียงหรือสืบสาวเอาความกับดวงวิญญาณเช่นนี้ มองดูโดยรอบห้องเก็บแล้วยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย อาจเป็นเพราะวิญญาณของทับทิมเริ่มสำแดงฤทธิ์ด้วยการออกมาปรากฏกายให้เห็น เครื่องเรือนและเครื่องดนตรีจึงสั่นไปหมดราวกับเกิดแผ่นดินไหวน้อยๆ



“เรามาคุยกับเธอให้รู้เรื่องเถอะครับ จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจกันอีก ผมเองก็อยากรู้ว่าเธอต้องการอะไร”

“แล้วถ้าหากเธอต้องการ…”



ต้องการชีวิตล่ะ



สนธยากลืนคำนั้นลงไปได้ทัน เขาอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจ เพราะหากทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้รับอิทธิพลมาจากวิญญาณของทับทิมจริง เธออาจต้องการเธอชีวิตของนาคินก็ได้ เพราะชาติที่แล้วคุณสินรักแม่แก้ว ซึ่งเกิดใหม่เป็นนาคินอย่างที่วิญญาณของทับทิมว่า



อีกทั้งก่อนหน้านี้นาคินก็ถูกทำร้ายจากสิ่งที่มองไม่เห็นมาโดยตลอด เหตุผลที่มีจึงเพียงพอให้สนธยาไม่ไว้ใจวิญญาณสาวตนนี้



“ไม่ว่าเธอจะต้องการอะไรก็แล้วแต่ ฉันไม่ยอมหรอกนะคิน รีบไปกันเถอะ” สนธยายืนกรานที่จะไม่รับฟังคำขอของดวงวิญญาณสาว เพราะเขาไม่ต้องการจะแลกอะไรทั้งนั้น

“แม้ว่าจะเกิดชาติใหม่ คุณพี่ก็ยังคงรังเกียจน้องเหมือนเดิมเลยนะคะ…และก็ยังรักแม่แก้วเหมือนเดิม แม้ว่าชาตินี้จะเกิดเป็นชายก็ตาม” ดวงหน้าหวานหยดของวิญญาณสาวดูโศกสลดเหมือนเอ่ยประโยคทั้งหมดออกมา

“ชาติที่แล้วจะเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ชาตินี้เราไม่ได้เกี่ยวข้องกัน คุณไปตามทางของคุณ พวกผมก็จะดำเนินชีวิตของตัวเอง”

“ถ้าทำได้ข้าจะอยู่เช่นนี้รึ!”



เพล้ง!



เสียงตวาดก้องด้วยแรงอารมณ์ส่งผลให้หลอดไฟที่เคยติดๆ ดับๆ ระเบิดแตก กระแสไฟฟ้าแล่นวาบเป็นประกาย ก่อนสะเก็ดไฟนั้นจะไปติดกับผ้าม่านลูกไม้คร่ำคร่าที่อยู่ใกล้ๆ เกิดเป็นเปลวไฟที่ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว



“ข้าเจ็บเหลือเกิน เจ็บปวดทรมานจากการอยู่ตรงนี้ พวกเอ็งมิมีวันเข้าใจดอก ก็คนดีอย่างเอ็งมันได้เกิดใหม่ ได้แล่นไปตามวัฏสงสารของตัวเองแล้ว เหลือแต่ข้า…ข้าที่รอคอยอยู่ในเรือนเพียงผู้เดียว”



ความเกรี้ยวกราดสลับกับความเศร้าสร้อยให้ห้วงอารมณ์ทำให้นาคินกับสนธยามองเธออย่างตกตะลึง สุดท้ายสนธยาจึงตัดสินใจดึงแขนนาคินให้เดินออกไปที่ประตู เพราะตอนนี้ไม่ใช่มีแค่ผีที่ทำให้ต้องหวาดผวา หากแต่มีไฟที่ลุกไหม้เผาผลาญอย่างรวดเร็วนั่นด้วย



ห้องเก็บเครื่องดนตรีแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่โต ถ้าจะต้องรั้งอยู่ในนี้อีกสักพักแล้วล่ะก็ พวกเขาทั้งสองคงได้สำลักควันไฟเป็นแน่



“แต่พี่สน…” นาคินยังอยากเคลียร์ทุกเรื่องราวให้หมด ทว่าสนธยาไม่เห็นด้วย ซ้ำยังปฏิเสธเสียงแข็งจนนาคินต้องยอมคล้อยตามกับเหตุผล

“ไว้ค่อยว่ากัน ผีน่ะตายไม่ได้แล้ว แต่ถ้าขืนเราอยู่ที่นี่ต่อไป เป็นพวกเราต่างหากที่ต้องตาย”



เมื่อได้ฟังคำนาคินก็ตามสนธยาไปที่ประตู ทว่ากลับออกไปไม่ได้ เนื่องจากผีสาวหายตัวมาปรากฏตรงหน้า เพื่อกั้นขวางไม่ให้พวกเขาหนีออกไปได้ในตอนนี้



“ข้าบอกให้อยู่ ไม่ว่าใครก็ไปไม่ได้ทั้งสิ้น!”



ชายหนุ่มสองคนถอยกรูไปอีกทางโดยอัตโนมัติ อย่างน้อยแม้จะออกจากประตูไม่ได้ แต่ก็ขอให้อยู่ห่างจากไฟให้มากที่สุด



“ก็แล้วจะเอายังไง อยากให้ตายกันไปข้าหนึ่งเลยใช่ไหม จึงจะสาแก่ใจคุณ!” สนธยาถามอย่างเดือดดาล ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ เขาไม่อาจควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ใจเย็นได้อีก



เมื่อได้ยินคำกล่าวประชดประชันของครูดนตรี ความเกรี้ยวกราดของทับทิมก็ลดลง และหันกลับมานึกถึงจุดมุ่งหมายเดียวของตนเอง



“ไม่ใช่นะคะ! น้องไม่ได้อยากให้คุณพี่ต้องตกตายตามน้องสักนิด น้องไม่อยากเห็นคุณพี่ตายเป็นครั้งที่สองแล้ว”



อย่างไรเสียเธอก็รักจางวางสินมาก มากเสียจนไม่ว่าเขาจะเกิดใหม่เป็นใคร เธอก็ยังผูกใจรักไม่มีวันคลาย เพียงแต่เธอรู้มาเนิ่นนานแล้วว่า ความรักนี้ไม่มีทางสมหวังดังตั้งใจ ไม่มีทางเลยตั้งแต่เมื่อชาติที่แล้ว



“ก็ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการอะไรล่ะครับ ไหนๆ ผมก็ไปไหนไม่ได้แล้ว คุณต้องการพูดอะไรก็พูดเถอะ” นาคินที่เฝ้าสังเกตอาการของทับทิมมาตั้งแต่เมื่อครู่เอ่ยขึ้น ไม่รู้ว่าอะไรเข้ามาดลใจ แต่ ณ ตอนนี้ เขารู้สึกว่าควรจะรับฟังข้อเสนอของวิญญาณที่น่าสงสารตนนี้ดูสักหน่อย


“คิน…”

“มาถึงขั้นนี้แล้ว เราให้เขาบอกเถอะครับ” นาคินว่าพลางกระชับมือที่กุมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ให้แน่นขึ้น



สนธยาเงยหน้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลใสแล้วถอนหายใจออกมา สุดท้ายเขาก็ยอมจำนนให้แก่คำขอของลูกศิษย์ตัวโตคนนี้



“เอางั้นก็ได้” เขาตอบรับ ก่อนจะหันไปหาดวงวิญาณของทับทิม “คุณอยากจะขออะไรก็ว่ามา แต่มันต้องอยู่ในขอบเขตที่พวกผมทำได้นะ”

“คุณพี่กับแม่แก้ว—“

“แล้วก็เลิกเรียกเราสองคนแบบนั้น ตอนนี้ผมชื่อสนธยา ส่วนเขาชื่อนาคิน ไม่ใช่สินกับแก้วอีกแล้ว”

“หึ…ก็ได้” เธอตอบรับ ก่อนจะเอ่ยความประสงค์ออกมา “พ่อสน พ่อคิน ก่อนที่ฉันจะพูด ฉันอยากให้เธอทั้งสองดูอะไรสักหน่อย จากนั้นค่อยตัดสินใจ…”



หลังจากเสียงของวิญญาณสาวพูดจบ สภาพแวดล้อมรอบกายของสนธยากับนาคินก็พลันเปลี่ยนไปราวกับคนละโลก




o-----------------------o





จากห้องเก็บเครื่องดนตรีที่มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่ด้านหนึ่ง บัดนี้ชายหนุ่มทั้งสองกลับมายืนในห้องนอนที่ไหนสักแห่ง เพื่อฟังสิ่งที่คุณทับทิมกับบ่าวของเธอพูดกัน พวกเขาจึงได้รู้แผนการทั้งหมดของเธอและบ่าวรับใช้ ว่าคบคิดกันเพื่อปองร้ายแม่แก้ว



จากนั้นทัศนียภาพก็ถูกปรับเปลี่ยนอีกครั้ง เป็นงานแต่งงานของคุณสินกับคุณทับทิม ซึ่งมองปราดเดียวก็รู้ว่าคุณสินไม่เต็มใจ เรียกได้ว่ายอมทำตามไปอย่างนั้นเพราะคำสั่งของแม่ที่บีบบังคับมากกว่า



เรื่องราวชีวิตของคุณทับทิมหลังจากแต่งงานฉายออกมาเป็นฉากๆ ราวกับหนังสั้นเรื่องหนึ่ง แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่หญิงสาววาดฝันเอาไว้แม้แต่นิดเดียว



เธอแต่งกับจางวางสินจริง แต่เหมือนแต่งกับตัว ไม่ได้แต่งกับใจ เพราะจางวางสินไม่เคยรักและเอ็นดูเธอเหมือนกับแม่แก้ว ซ้ำยังเอาแต่รับใช้เจ้านายอยู่ในรั้ววังหลายเดือน นานๆ จึงจะกลับบ้านมาเยี่ยมพ่อแม่เสียที ยามกลับมาก็เอาแต่ไปพักในเรือนดอกแก้วหลังน้อย ไม่เคยเยี่ยมหน้ามานอนในห้องบนเรือนใหญ่ หญิงสาวจึงทั้งเสียใจและเสียหน้าเป็นอย่างมาก



ทว่าสิ่งที่ทำให้คุณสินหมางเมินและเรียกได้ว่าแทบจะตัดขาดกับทับทิมก็คือ การที่คุณสินบังเอิญได้ยินคุณทับทิมปรับทุกข์กับบ่าวของตัวเอง และเธอก็เผลอพูดเรื่องที่วางแผนใส่ร้ายแก้วในคราวนั้น จึงทำให้คนรักของเขาต้องถูกลงโทษจนแท้งลูกและเสียชีวิตในที่สุด



ตั้งแต่นั้นจางวางหนุ่มก็ปฏิเสธที่จะพบหน้ากับภรรยา เพราะรู้สึกผิดอย่างมากที่ไม่อาจปกป้องแก้วจากคนที่ปองร้ายได้ ที่ซ้ำร้ายยิ่งกว่าคือยอมแต่งงานตามใจแม่ ยอมให้เป็นไปตามแผนการที่ผู้หญิงชั่วร้ายวางไว้โดยไม่ขัดขืน เขาโง่ที่ปล่อยให้ทุกอย่างล่วงเลยมาจนถึงวันนี้



วันที่สายเกินกว่าจะแก้ไขอะไรได้แล้ว



หลังจากนั้นไม่นานจางวางสินก็ล้มป่วย ไม่ใช่ด้วยโรคร้าย แต่เป็นโรคทางใจที่ส่งผลถึงร่างกาย ชายหนุ่มตรอมใจจนป่วยไข้ไม่อาจลุกไปทำอะไรได้ ร่างกายทั้งผ่ายผอมและสิ้นเรี่ยวแรงลงเรื่อยๆ กระทั่งวันหนึ่ง วันที่เขาตื่นขึ้นมาและคิดถึงคนรักอย่างสุดหัวใจ คิดถึงมากกว่าวันไหนๆ



เช้าวันนั้น…เป็นวันที่จางวางสินจากไปอย่างสงบ



ส่วนคนที่ถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังอย่างทับทิมก็ตรมตรอมใจตามสามี ภาพคุณสิ้นที่เพ้อพกถึงแม่แก้วก่อนสิ้นใจยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอ ความรู้สึกผิดที่ก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มากนักจึงเริ่มเข้ามาเกาะกินหัวใจ



หลังเสร็จพิธีฌาปนกิจของจางวาง ทับทิมก็ย้ายลงไปอยู่ในเรือนดอกแก้ว หญิงสาวที่สวยสดใสเริ่มปล่อยตัวให้ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ทั้งยังเลิกคบค้าสมาคมกับใคร เอาแต่เก็บตัวเงียบไม่พูดไม่จา จนคนทั่วไปมองว่าทับทิมนั้นเสียใจที่คุณสินสิ้นบุญจนสติไม่สมประดี แต่ความจริงแล้วหาใช่เช่นนั้นไม่



เธอเก็บตัวเงียบอยู่ที่นั่น เพราะเธออยู่เพื่อสำนึกในความผิดของตัวเองต่างหาก เธออยู่เพื่อรอคอยว่าสักวันหนึ่ง คุณสินกับแม่แก้วจะกลับมายังเรือนดอกแก้วหลังนี้อีกครั้ง กลับมาพบกันตามคำสัญญาของทั้งสอง และเธอหวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึง เธอจะสามารถปลดพันธนาการที่ติดค้างอยู่ให้คลายออกได้…




o-----------------------o





“อโหสิกรรมให้ฉันเถอะนะแก้ว”



เสียงของวิญญาณสาวเรียกนาคินและสนธยาให้รู้สึกตัว ทั้งสองมองเห็นไฟที่ลามขึ้นผนังไม้เก่าจนสูงไปถึงขื่อ ยามนี้สภาพแวดล้อมโดยรอบเปลี่ยนกลับมา ณ เวลาปัจจุบันแล้ว



ทับทิมยังคงยืนอยู่ที่เดิม เธอยืนพนมมือขึ้นทาบระหว่างอก ก่อนร่างที่โปร่งแสงกว่าเดิมค่อยๆ ย่อลงนั่งพับเพียบ จากนั้นจึงจรดมือที่พุ่มไหว้ลงกับพื้น



วิญญาณของเธอร้องไห้ออกมา เอาแต่พร่ำขอโทษไม่หยุดปาก นาคินที่เพิ่งกลับมาจากการเห็นนิมิตภาพเหล่านั้นจึงได้แต่ยืนงงทำอะไรไม่ถูก



ต่างกับสนธยาที่ยืนกำมือที่ว่างเปล่าอีกข้างหนึ่งแน่น ภาพที่เห็นมันชัดเจนว่าผู้หญิงคนนี้เคยทำผิดมหันต์แค่ไหน แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแล้ว แต่เขาก็ยังโกรธแค้นแทนคนที่เธอทำร้ายนั้นอยู่ดี



แต่ที่นอกเหนือไปจากนั้น หลังจากได้พบเขากับนาคินที่เกิดใหม่ในชาติปัจจุบันแล้ว วิญญาณตนนี้ก็ยังตามมาทำร้ายนาคินไม่เลิก แม้จะให้เหตุผลว่าอยากให้จำได้ก็ตามที แต่เธอก็เกือบทำให้นาคินต้องตาย



“โหดร้ายจริงๆ ทำไมถึงทำได้ขนาดนั้น” สนธยาเอ่ยออกมารอดไรฟัน “ขนาดต้องการจะขอให้เขาอโหสิกรรมให้ คุณยังทำเขาจมน้ำเกือบตาย หากจะอ้างอะไรก็คงจะอ้างไม่ขึ้นหรอก”

“น้องขอโทษ น้องผิดไปแล้วค่ะ ฮือ…คุณพี่อโหสิกรรมให้น้องเถิดนะคะ น้องจำเป็นต้องทำ น้องทรมานเหลือเกิน” นรกที่ไหนหรือจะสู้นรกในใจคน ในช่วงเวลาเป็นร้อยปีที่ทับทิมต้องกลายเป็นวิญญาณที่มีห่วงผู้พันอยู่ที่นี้ เธอทั้งทุกข์และทรมานราวกับอยู่ในนรกก็ไม่ปาน

“คุณมันเห็นแก่ตัว แม้แต่ตอนนี้ก็ยังเห็นแก่ตัว”

“พี่สน ใจเย็นๆ นะครับ”

“จะให้ใจเย็นได้ไง ถึงจะเป็นวิญญาณก็เถอะ แต่เธอทำตามใจตัวเองเกินไปแล้ว เพราะแบบนี้ถึงต้องชดใช้กรรม ไปไหนไม่ได้อยู่นี่ไง แถมกำลังจะทำให้เราตายตามไปด้วย”

“คุณพี่…” ทับทิมครางอย่างอ่อนแรง ก่อนจะเบนไปมองนาคินที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แทน “พ่อคิน…ช่วยฉันด้วยเถิดนะ”

“ผม…”

“ฉันขอโทษกับทุกสิ่งที่เคยทำมา หากย้อนกลับไปได้ฉันจะไม่ทำเช่นนั้น แต่ทุกอย่างก็ล่วงเลยมาถึงเพลานี้ ฉันไม่อาจเป็นเปลี่ยนความชั่วที่เคยกระทำลงไปได้อีก ฉันไม่รู้จะชดใช้ให้พ่อคินยังไง ทั้งเรื่องในชาตินี้และชาติที่แล้ว…ถือว่าโปรดสัตว์เถอะพ่อคุณ”



นาคินยืนนิ่ง เหม่อมองดวงวิญญาณของหญิงสาวที่เคยทำร้ายเขาเมื่อชาติที่แล้ว



หากถามว่าโกรธไหม เขาบอกได้ตามตรงหลังจากรู้เรื่องราวว่าโกรธ แต่ถ้าโกรธแล้วอย่างไร ถึงโกรธไปก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว วิญญาณของเธอเองก็ถูกโทษทัณฑ์ของบาปนั้นจองจำเอาไว้ให้ไปไหนไม่ได้ เหมือนเป็นโซ่ร้อนที่รัดรึงกาย ทนทุกข์ทรมานอยู่นานเป็นร้อยปี ไม่เคยสุขสงบทั้งยามมีและไม่มีชีวิต



นาคินคิดว่านั่นเพียงพอต่อคำขอโทษแล้ว



มิหนำซ้ำหลังจากที่เธอได้ปลดพันธนาการไปตามวัฏสงสาร บาปบุญที่เคยทำไว้ก็ยังต้องชดใช้กันอีกตามกฎแห่งกรรม ถ้าเขาไม่ให้อภัย ทุกอย่างที่ร้อยเรียงมาก็จะผูกให้ได้พบ ได้เจอ ได้ชดใช้กันไม่จบไม่สิ้น



นาคินอยากอยู่อย่างมีความสุขเหมือนกันคนปรกติ และก็อยากให้คนที่เขารักได้อยู่อย่างมีความสุขด้วยเช่นกัน ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจเด็ดขาด



“ผมอโหสิกรรมให้คุณ ผมไม่โกรธ ไม่แค้นคุณ ต่อไปก็ต่างคนต่างอยู่ อย่าผูกติดอยู่ตรงนี้อีกเลยนะคุณทับทิม”

“คิน!”

“พ่อคิน…”



คำตอบของนาคินสร้างความตกใจให้สนธยาและวิญญาณสาวมากๆ ชายหนุ่มยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะหันไปคว้ามือของสนธยาอีกข้างขึ้นมาจับรวบเอาไว้



“พี่สนครับ เราปล่อยเขาไปเถอะนะ เลิกแล้วต่อกันไป ตอนนี้ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว อย่างโกรธเขาให้เป็นบ่วงรัดใจเราเลยดีกว่า อะไรที่ผ่านๆ มาก็ถึงว่าเขาชดใช้ให้เรามากพอแล้ว สุดท้ายก็ให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมดีกว่านะครับ”

“นายมันใจดีเกินไป” สนธยาบ่นด้วยเสียงที่อ่อนลง เขาโกรธที่เธอเกือบทำให้นาคินจมน้ำตาย แต่เมื่อคิดอีกแง่ ตอนนี้นาคินก็หายดีแล้ว ซ้ำเจ้าตัวก็ไม่เอาเรื่องอะไร ดังนั้นเขาก็คร้านจะถือสาหาความเหมือนกัน

“ว่ายังไงครับ”

“เอาตามที่นายว่าก็ได้ ฉันไม่เอาเรื่องอะไรแล้ว”

“นี่…นี่หมายความว่าพ่อคินกับพ่อสนอโหสิกรรมให้ฉันแล้วใช่ไหม” แววตาของทับทิมสั่นระริกด้วยความซาบซึ้งใจ เพราะไม่คิดว่าคนที่เธอทำร้ายมาตลอดจะเป็นคนช่วยพูดให้คุณสินยอมให้อภัยเธอเช่นนี้

“ใช่ครับ เราสองคนอโหสิกรรมให้คุณ อะไรที่เคยทำมาก็ให้เลิกแล้วต่อกันเถอะนะ”

“ข…ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ”



ทันทีที่กล่าวทับทิมกล่าวขอบคุณ มวลความอึดอัดที่มีมาแต่ต้นก็มลายหายไป ทั้งความร้อนและควันไฟที่ชวนให้สำลักคล้ายไม่เคยมีอยู่ สนธยากับนาคินมองเห็นเธอกราบแนบพื้นเพื่อขอบคุณอีกครั้ง ก่อนร่างนั้นจะค่อยๆ สลายหายไปต่อหน้า รวมถึงสติที่พัดหายไปของชายหนุ่มทั้งสองคนด้วย







o-----------------------o





มาแล้วค่าาา

ตอนนี้มาเฉลยทุกอย่างแล้วนะคะ
มีความคิดแวบนึงตอนที่เขียน คืออยากตั้งชื่อตอนว่าผีไบโพล่า 5555555
เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวเกรี้ยวกราด เดี๋ยวดีใจ ดูวุ่นวายไปหมด
อันที่จริงมีหลายอย่างอยากคุยกับคนอ่านนะ
แต่เอาไว้ตอนหน้าดีกว่า
ไว้ทอร์คที่เดียวยาวๆ เลยเนอะ

ตอนหน้าจบแล้วค่ะ

ฝากติดตามด้วยน้าาาา


ละอองฝน.



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2017 04:48:57 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ A-J.seiya*

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +306/-8
จะจบแล้วอ่าาา ฮืออ
มารอขออโหสิกรรมเขาสินะแม่คุณ
เป็นการขอที่ฮาร์ดคอร์ บีบคั้นมากจ้ะ

มีคำผิดนิดหน่อยนะคะ

“ยังไปตอนนี้ไม่ได้ค่ะคุณพี่” วิญญาณของทังทิมเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน
>>> ทับทิม

นาคินฉุกคิดได้ว่า หากเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นการวิญญาณของแก้ว
>>> จาก

รอตอนจบค่าาา

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :a5: ตกใจกับความหลอน สรุปก็คือคุณทับทิมที่ยังตกอยู่ในบ่วงทุกข์ ส่วนแม่แก้วก็เป็นนาคิน  :3123: ยังคิดมาตลอดนะว่าถ้าแม่แก้วยังเป็นวิณญาณอยู่ตอนนี้ แล้วนาคินเมื่อชาติที่แล้วจะเป็นใคร คุณสินที่รักแม่แก้วนักหนาจะลืมรักในชาตินี้เลยหรือ พอมาเฉลยแล้วก็ได้แต่โล่งใจ  :เฮ้อ: พวกเขายังคงรักมั่นต่อกันค่ะ  o13

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ฮือออออ น้องเกลียดผีคุณทับทิมคะ พาหลอนตลอดเลย ตกใจตลอดเลย โผล่กี่ที ก็ทำน้องกลัวคะ งอแง ฮือออ ไปเกิดเถอะคะ คุณผีทับทิม เลิกมาหลอกหลอนกันแล้วใช่ไหม กรีดร้อง นาคิน ใจแข็งมาก แบบ แบบ ทำไมชั่งกล้าหาญชาญชัยขนาดนี้  ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ให้พี่สนได้เป็นสามีได้ไหม ถูกใจในความแมนของพี่แกเหลือเกิน แบบความสูงไม่มีผลต่อแนวราบอะ นาคินก็ ยอม ๆ เป็นเมียพี่เขาไปเถอะนะ

ปล.ผีแม่ทับทิมจะไม่โผล่มาแล้วใช่ไหม เอาจริงหลอนตั้งแต่น้ำตาเป็นเลือดละ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2








บทส่งท้าย









   กลิ่นยาซึ่งเป็นกลิ่นจำเพาะของโรงพยาบาล เป็นสิ่งแรกที่กระทบต่อสัมผัสรับรู้ของนาคินทันทีที่รู้สึกตัว ชายหนุ่มค่อยๆ ฝืนลืมตาขึ้น แต่แสงจ้าของไฟนีออนก็ทำเอาต้องหลบตาลงอีกรอบ



   แพรไหมขยับตัวลุกขึ้นมายืนชิดขอบเตียงทันทีที่เห็นความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของนาคิน นี่เป็นอีกครั้งที่เธอต้องเดินทางมากรุงเทพฯ เพราะอาการเจ็บปวดด้วยอุบัติเหตุของลูกชายคนโต ลูกที่ห่างอกแม่มาแค่ปีเดียว กลับต้องประสบเหตุไม่คาดฝันมากมายจนอดเป็นห่วงไม่ได้เลย



   “คิน รู้สึกตัวแล้วหรือลูก” เธอเรียกลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุด และเสียงของแม่ก็ทำให้นาคินลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

   “…แม่” นาคินตอบรับแม่ด้วยเสียงแหบแห้ง แพรไหมจึงรีบรินน้ำใส่แก้วปักหลอดให้ลูกดื่ม



   เมื่อดื่มน้ำเรียบร้อยนาคินจึงได้สังเกตเห็นว่าเขาตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลอีกครั้ง ชั่วขณะหนึ่งชายหนุ่มลืมเลือนไปว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทว่าเพียงครู่เดียวก็สามารถจดจำอะไรๆ ได้



   “พี่สนล่ะครับ”



นาคินรีบถามหาใครอีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยกัน แพรไหมจึงขยับตัวไปเปิดม่านที่กั้นระหว่างเตียงซึ่งอยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็ยิ้มเศร้า



“พี่เขายังไม่ฟื้นเลยลูก”



นาคินมองตาไปหาคนที่อยู่อีกเตียง ซีกหน้าด้านข้างของสนธยาเรียบเฉยคล้ายคนที่หลับสนิทธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้น นาคินก็ไม่อาจหักห้ามใจที่ร้อนขึ้นมาราวไฟรนด้วยฤทธิ์ของความเป็นห่วงได้



“พี่สนเป็นยังไงบ้างครับ!”

“คินอย่าเพิ่งลุกลูก” แพรไหมรีบกดตัวลูกชายให้เอนหลังลงไปดังเดิม ก่อนจะบอก “หมอบอกว่าพี่เขาปลอดภัย และไม่ได้รับการกระทบกระเทือนอะไร แค่สำลักควันไฟเหมือนกับคิน อีกเดี๋ยวพี่เขาก็คงฟื้นแล้วล่ะ ใจเย็นๆ นะลูก” เธอว่าพลางลูบหัวลูกชายเบาๆ เพื่อปลอบประโลมให้อารมณ์เย็นลง นาคินจึงค่อยๆ ผ่อนกายลงนอนเหมือนเดิม แต่ก็ยังไม่ยอมละสายตาไปจากคนที่อยู่อีกเตียง



ระหว่างที่สนธยายังไม่ฟื้น แพรไหมได้สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เรือนหลังเล็กกับลูกชายอย่างละเอียด ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังว่าได้เข้าไปหาเครื่องดนตรีในห้องนั้น และคาดว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะไฟฟ้าลัดวงจร แต่ที่ติดอยู่ภายในด้วยกันกับสนธยาเพราะอีกฝ่ายเข้ามาช่วยเขาเอาไว้



นาคินเว้นเรื่องราวของทับทิมเอาไว้ไม่บอกใคร เขาไม่อยากให้แม่ต้องกังวล ตอนนี้เขาก็ปลอดภัยดีแล้ว และเชื่อว่าต่อไปนี้คุณทับทิมคงไม่มาปรากฏตัวให้เห็นอีก ดังนั้นจึงอยากให้เรื่องลี้ลับที่เกิดขึ้นเป็นความลับต่อไป



“คราวหน้าคราวหลังทำอะไรก็ต้องระวังด้วยนะลูก โชคดีจริงๆ ที่ฝนตกลงมา ไม่งั้นคงแย่แน่ๆ เรือนไม้เก่าแบบนั้นไฟมันติดง่ายเสียด้วย”



แพรไหมเล่าว่า ตอนที่มีคนสังเกตเห็นว่าไฟไหม้เรือนดอกแก้ว เป็นเวลาพอดีกับที่ฝนตกลงมาห่าใหญ่ หลังจากฝนตกคนจึงเข้าไปสำรวจความเสีย แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่านาคินกับสนธยานอนไม่ได้สติอยู่ที่ชานเรือน



“พี่สนคงพยุงผมออกมาน่ะครับ แต่น่าจะสำลักควันเหมือนกันก็เลยหมดสติไปตรงนั้น” นาคินอธิบายเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้ให้แม่ฟัง แต่ความจริงแล้วเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองไปนอนอยู่ที่ชานเรือนนอกห้องเก็บเครื่องดนตรีได้อย่างไร

“เดี๋ยวเอาไว้พี่เขาฟื้น ค่อยถามกันอีกทีก็ได้ครับ”

“แม่ไม่ได้ติดใจอะไรหรอกลูก ปลอดภัยกันก็ดีแล้ว”



หลังจากนั้นคุณหมอก็เข้ามาตรวจอาการของนาคินเล็กน้อย ก่อนอนุญาตให้กลับบ้านได้เพราะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ส่วนสนธยาก็ยังไม่ฟื้นเช่นเดิม จนกระทั่งลุงมนตรีกับพ่อของนาคินเดินทางมาถึงในตอนเย็น หนุ่มนักดนตรีจึงได้สติ ซึ่งโชคดีที่นาคินอยู่กับสนธยาเพียงลำพัง เพราะแพรไหมต้องออกไปรับสามีเพื่อเคลียร์เรื่องค่ารักษาพยาบาล นาคินจึงได้ซักซ้อมเรื่องราวให้พูดตรงกันเมื่อถูกถามถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น



“แต่น่าแปลกนะ พวกเราออกมาจากห้องนั้นได้ยังไง ฉันจำได้ว่าภาพสุดท้ายที่เห็นคือคุณทับทิมหายไปต่อหน้า จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้แล้ว” สนธยาเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย

“ผมว่าบางทีคุณทับทิมอาจจะเป็นคนทำให้พวกเราออกมานอนอยู่ที่ชานเรือนก็ได้ครับ เธอเองคงไม่อยากให้พวกเราได้รับอันตรายการกระทำที่ตัวเองก่อ” นาคินคาดเดา

“แต่ก็ไม่น่าทำแต่แรกเลย ไม่รู้เครื่องดนตรีจะเสียหายขนาดไหน”

“เอาน่า พี่ก็อย่าโกรธเธอเลยนะ เดี๋ยวจะเป็นการผูกใจเจ็บแล้วต้องกลับมาข้องเกี่ยวกันอีก ทีนี้ล่ะยุ่งแน่ๆ”

“ก็ได้ๆ ไม่คิดแล้ว”



คุยกันถึงตรงนี้ก็เป็นจังหวะพอดีกับที่พวกผู้ใหญ่เข้ามาในห้องพร้อมกับคุณหมอ หลังจากตรวจร่างกายสนธยาเรียบร้อย หมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ ภายในค่ำวันนั้นนาคินกับสนธยาจึงได้ออกจากโรงพยาบาลกัน




o-----------------------o




   หลังจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น เรือนดอกแก้วก็พังเสียหายไปหนึ่งในสามส่วนของตัวเรือนทั้งหมด พ่อครูมนตรีจึงให้ช่างมาซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย พร้อมกับสั่งซื้อเครื่องดนตรีใหม่หลายชิ้น



   ครั้นเรือนหลังน้อยซ้อมเสร็จสมบูรณ์ดี พ่อครูก็นิมนต์พระให้มาทำบุญบ้านเป็นการใหญ่ เพราะในหนึ่งปีมานี้เกิดอุบัติเหตุขึ้นภายในบ้านถึงสองครั้งติดๆ กัน งานนี้ครอบครัวของนาคินรวมทั้งเด็กที่เรียนดนตรีก็มีโอกาสได้รับเชิญให้มาทำบุญร่วมกันด้วย



   แต่ระหว่างสนธยากับนาคิน การทำบุญบ้านใหญ่นั้นนอกจากจะทำเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัยแล้ว พวกเขายังตั้งจิตอธิษฐานให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษคนใด หรือแม้แต่แม่ทับทิมก็ตามที



   พอเสร็จจากงานบุญทุกอย่างก็กลับมาเป็นปรกติสุขเหมือนเก่า นาคินไม่ได้ฝันถึงเรื่องราวอะไรอีกเลยนับจากวันนั้น ส่วนสนธยาก็สบายดีและทำหน้าที่เป็นครูสอนดนตรีพร้อมๆ กับเรียนหนังสือได้อย่างไม่มีปัญหา



   หากจะมีเรื่องที่เปลี่ยนไปบ้าง ก็คงจะมีแค่เรื่องที่นาคินกับสนธยาดูสนิทสนมกันอย่างออกนอกหน้า จนคนที่อยู่รอบข้างสังเกตได้ รวมทั้งพฤติกรรมช่างพูดช่างคุยของสนธยาที่อยู่ๆ มีขึ้นมาทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นคนเงียบขรึมแท้ๆ แต่ถ้าจะให้พูดอีกที พฤติกรรมนี้ของชายหนุ่มก็เป็นกับนาคินคนเดียวเท่านั้น




o-----------------------o





   บ่ายแก่ของวันหนึ่ง ขณะที่สนธยากำลังนั่งอ่านหนังสือสอบอยู่ใต้ตั้งแก้วเจ้าจอมใหญ่ จู่ๆ ตอนที่เขาพลิกหนังสือหน้าหนึ่งขึ้น ถุงผ้าเก่าคร่ำคร่าใบหนึ่งก็ร่วงหล่นลงมาบนตัก มันเป็นถุงผ้าที่สนธยาเกือบลืมไปแล้วว่าเอามาสอดไว้เมื่อไหร่ หากไม่บังเอิญเปิดมาเจอมันในวันนี้ ดูท่าว่าเขาก็คงไม่ได้นึกถึงมันอีก



   มือเรียวของนักดนตรีหยิบฉวยถุงบุหงารำไปเอามาถือไว้ ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองลายลูกไม้ที่เก่าจนเหลืองเหล่านั้น มองเศษผงสีน้ำตาลที่เคยเป็นกลีบดอกไม้หอม



   เขาเคยนึกสงสัยว่าถุงบุหงารำไปนี้ทำไมจึงเข้าไปอยู่ในขิมโป๊ยเซียนตัวเก่านั้นได้ และทำไมยามเมื่อเขาจ้องมองมันจึงรู้สึกผูกพันอย่างน่าประหลาด



   ในวันนี้เขารู้แล้วว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะอะไร



   ครั้งหนึ่ง ในยามที่จางวางหนุ่มกำลังโศกเศร้าเพราะการจากไปของหญิงคนรัก เขาจะมีเพียงถุงบุหงารำไปนี้ที่ใช้ดูต่างหน้า แม้นานวันเข้ากลิ่นของบุหงาจะลบเลือนไป ทว่าความรักและความคิดคำนึงถึงเจ้าของก็ยังไม่มีวันเปลี่ยนแปลง




แต่หลายครั้งที่ความคิดถึงนั้นทำร้ายคนซึ่งยังอยู่ข้างหลัง สุดท้ายจางวางหนุ่มจึงตัดสินใจเก็บมันไว้ใต้ท้องขิมที่เขาเคยหามากำนัลให้แก่คนรัก เหมือนเป็นของแทนตัวตนเองกับเธอคนนั้น เก็บมันให้ได้อยู่ใกล้กันเหมือนหัวใจของเขาซึ่งอยู่ที่เธอเสมอ



หากวันใดที่คิดถึง ฉันจะเล่นขิมตัวนี้…เล่นเพลงที่เธอรัก



“ร้องไห้ทำไมครับ”



ไม่ใช่แค่เสียงที่พาให้สนธยาออกจากภวังค์ แต่เจ้าลูกศิษย์ตัวโตกลับนั่งลงตรงหน้า ก่อนจะใช้มือสองข้างประคองหน้าของเขาเอาไว้ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้



“ผมถามทำไมไม่ตอบล่ะ”

“…”

“สนอย่างเงียบสิ ผมใจไม่ดีนะเนี่ย” นาคินเร่งให้อีกฝ่ายพูดด้วยท่าทางร้อนใจ

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก รนรานเป็นเด็กไปได้” สนธยาว่าพลางดึงมือของนาคินออกจากใบหน้า ก่อนเช็ดน้ำตาตัวเองลวกๆ



ก็ร้องไห้ให้เห็นแบบนี้มันน่าอายน้อยเสียเมื่อไหร่



“ไม่ให้รนรานได้ยังไงล่ะครับ เดินมาเห็นสนนั่งร้องไห้อยู่ เป็นใครก็ตกใจทั้งนั้น”

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”

“คิดอะไรครับ หรือคิดถึงใคร ทำไมต้องร้องไห้ด้วย”

“คิดถึงแม่” สนธยาบอกเพื่อปัดรำคาญ แต่พอนาคินได้ยินเช่นนั้น คนตัวโตก็ทำหน้าสลดวูบ

“อ่า…งั้นหรือครับ ผมขอโทษนะ ไม่น่าไปคาดคั้นพี่แบบนั้นเลย”



สีหน้าสำนึกผิดกับท่าทางหมาหงอยของชายหนุ่มเป็นเครื่องกระตุ้นความใจอ่อนชั้นดี สนธยารู้สึกผิดที่โกหกออกไป เพราะคิดว่านาคินต้องรู้สึกผิดที่คาดคั้นเขาแบบนั้นแน่ๆ



“อันที่จริง…” ชายหนุ่มชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะเฉลยความจริงออกมา “อันที่จริงฉันไม่ได้คิดถึงแม่หรอก”

“อ้าว แล้วพี่คิดถึงใครล่ะ”

“คิดถึงแก้วน่ะ” เขาว่าพลางยื่นถุงบุหงารำไปในมือให้นาคิน

นาคินเองก็รับมาแบบงงๆ “อะไรครับ”

“นายจำไม่ได้เหรอ ลองดูดีๆ สิ”

พอกระตุ้นเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นก็ขยายกว้างขึ้น “นี่อย่าบอกนะว่าเป็นถุงที่แก้วเย็บให้คุณสินใบนั้นน่ะ”

“อืม คิดว่าใช่”

“จริงหรือครับ พี่ไปเอามาจากไหน” นาคินพลิกหน้าพลิกหลังเพื่อสำรวจ และก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นถุงที่เห็นในความทรงจำของแก้วจริงๆ

“ก็ถุงที่นายดึงออกมาจากท้องขิมโป๊ยเซียนตอนนั้นไง จำไม่ได้เหรอ”

“จำไม่ได้ครับ” นาคินส่ายหน้า



สนธยาจึงเล่าเรื่องที่นาคินเคยทะลวงท้องขิมเพื่อดึงถุงบุหงาใบนี้ออกมาก่อนที่จะสลบไปให้ฟัง นาคินจำได้แต่ตอนที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว จำได้ว่าตัวเองเหมือนหน้ามืด แต่ก็นึกรายละเอียดอย่างอื่นไม่ได้เลย



“ตอนนั้นนายเหมือนโดนผีเข้า ทำท่าเหมือนกับเป็นแก้วไม่มีผิด”

“จริงเหรอ แต่ผมจำไม่ได้จริงๆ นะ บางทีอาจเป็นผีคุณทับทิมที่เข้าสิงผมก็ได้”

“ไม่หรอก ฉันว่าตอนนั้นนายคือแก้วมากกว่า”

“แต่ถ้าเรื่องการเกิดใหม่เป็นจริงอย่างที่คุณทับทิมว่า แก้วก็มาเกิดใหม่แล้วนี่ครับ ผมจะถูกผีแก้วเข้าสิงได้ยังไง”

“นายอาจจะระลึกชาติอะไรทำนั้นนั้นล่ะมั้ง”

“ไปกันใหญ่แล้วพี่สน” นาคินหัวเราะออกมา ก่อนจะขยับไปนั่งข้างๆ กัน โดยใช้หลังพิงต้นไม้ “ผมว่าทั้งหมดนั้นน่าจะเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของคุณทับทิมมากกว่านะ ถ้าไม่มีพลังงานลี้ลับเหนือธรรมชาติพวกนั้นมากระตุ้น ผมคงเห็นเรื่องราวในอดีตชาติของตัวเองไม่ได้หรอก”

“อย่างนั้นเหรอ” ได้ยินที่นาคินพูด สนธยาก็เงียบไป








ต่อข้างล่างค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2










เดิมทีเขาเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องลี้ลับเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เคยใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดามาโดยตลอด แต่หลังจากที่ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งยังถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้ารอบด้าน สนธยาก็รู้สึกราวกับตัวเองผูกพันและเจ็บปวดใจจริงๆ มีอารมณ์ร่วมคล้ายกับเศษเสี้ยวหนึ่งของจางวางสินอยู่ในตัวตนของเขา



หากว่ามันเป็นจริง นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่า เพราะอะไรเขาจึงถูกนาคินดึงดูดตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก เพราะอะไรจึงละสายตาจากคนนี้ไม่ได้



เพราะชาติที่แล้วเคยเป็นคนรักกัน


สนธยาคิด จากนั้นคำถามอีกข้อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง


แล้วชาตินี้เล่า…รักหรือไม่



นึกถึงตรงนี้ความร้อนในร่างกายก็ไหลมารวมกันที่ใบหน้า ชาติหนุ่มสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะสังเกตเห็นตอนนี้ว่า พฤติกรรมแปลกๆ ที่แสดงออกมาอยู่ในสายตาของนาคินทั้งหมด



“มองอะไร” คนทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อครู่เอ่ยออกมาแก้เก้อ

“ก็มองพี่นั่นแหละ” นาคินตอบยิ้มๆ “เป็นอะไรไปครับ เดี๋ยวทำหน้าเศร้า เดี๋ยวก็ยิ้มแก้มแดง”

“ใครยิ้มแก้มแดง พูดไปเรื่อย”

“ก็พี่ไงที่ยิ้มแก้มแดง พี่อาจไม่รู้ตัว แต่ผมมองพี่อยู่ตลอดนั่นแหละ เพราะฉะนั้นอย่าปฏิเสธเสียให้ยากเลย” เจ้าตัวยิ้มอย่างภูมิใจ ทั้งที่คำพูดประโยคนั้นส่องความนัยเอาไว้ลึกกว่านั้นมากนัก

“เออๆ นายมันรู้ดี ฉันไม่เถียงกับนายแล้ว” ไม่ใช่เพราะอยากยอมจำนน แต่สนธยาก็คร้านจะต่อล้อต่อเถียง เพราะรู้ว่าอย่างไรเขาก็แพ้ทางคนคนนี้อยู่ดี

“พี่สน”

“หืม” เจ้าของดวงตาสีนิลกาลหันมามองตอบ

“ผมไม่เคยบอกเลยใช่ไหมว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่”

ครั้นได้ยินคำถามที่จู่ๆ นาคินก็พูดขึ้น สนธยาจึงอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็พยักหน้ารับ “…อืม”

“งั้นผมบอกตอนนี้ได้ไหมครับ”



คำถามที่ได้ยินนั้นยากเกินกว่าจะตอบออกไปโดยไม่คิด ซ้ำในภาวะที่มีอารมณ์บางอย่างสับสนวุ่นวายอยู่ในหัวใจ สนธยาก็ไม่รู้ว่าตนเองควรตอบออกไปอย่างไรจึงจะดีที่สุด



“ว่ายังไงครับ พี่อยากให้ผมบอกไหม”

“นายคิดดีแล้วหรือคิน” แม้จะถูกถามด้วยสายตาเว้าวอนแค่ไหน สนธยาก็ไม่อาจปฏิเสธความกลัวภายในใจลึกๆ ได้



พวกเขาสองคนคอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้างกันมาก็จริง แต่สนธยายังนึกกลัวว่านาคินจะแยกไม่ออก ว่าความรู้สึกที่มีตอนนี้กับความรู้สึกของตัวตนในอดีตชาตินั้นมันคนละคนกัน เพราะขนาดว่าตัวเขาเองยังคิดสับสน ยิ่งรู้ว่าเคยรักกันมาก่อน ยิ่งไม่แน่ใจว่าความผูกพันที่มีในตอนนี้นั้นอยู่ที่ใครกันแน่



จางวางสินหรือสนธยา



นาคินเอื้อมมือไปวางทาบทับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างขลาดเขลา



“แน่ใจสิครับ” ชายหนุ่มยิ้ม “หัวใจของผม ผมจะไม่แน่ใจได้ยังไง”

“ไม่ใช่ว่านาย คิดว่าฉันเป็นคุณสินหรอกนะ นายถึงได้…”



พระพายพัดโชยกลีบดอกไม้ปัดปลิวร่วงโรยเกลื่อนพื้น นาคินจ้องหันไปจ้องมองคนที่นั่งลงข้างๆ ด้วยสายตาล้ำลึก หลังผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกัน ตัวเขาเองก็ยังคงนึกไม่ออกว่าความรู้สึกรักที่แก้วมีต่อคุณสินนั้นมากมายเพียงใด เพราะนั่นคือเขาในอดีตชาติ หาใช่เขาที่เกิดใหม่อยู่ในชาติของนาคินไม่



แต่ถึงแม้จะไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึกรักคนคนนี้ในชาติที่แล้ว นาคินก็ยังรู้ว่าตัวเองหลงรักสนธยาอยู่ดี หลงรักที่สนธยาเป็นสนธยา ไม่ใช่สนธยาที่เป็นคุณสิน



   “ตอนนี้ผมก็ไม่ใช่แก้วสักหน่อย หรือพี่สนเห็นว่าผมเป็นแก้ว”

   “ไม่ใช่” ชายหนุ่มรับบอก “ฉันก็เห็นว่านายเป็นนาคินนี่แหละ”

   “งั้นก็เห็นตรงกันเลยไม่ใช่หรือครับ” รอยยิ้มที่เคยเห็นบ่อยๆ มาวันนี้มันกลับทำให้หัวใจของสนธยาเต้นแรงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

   “แต่ว่า…”

   “แต่อะไรอีกครับ”

   “นายเป็นผู้ชายนะ ฉันเองก็เป็นผู้ชาย และค่อนข้างมันใจว่าที่ผ่านมาไม่เคยคิดจะชอบผู้ชายด้วยกันเลยสักนิด”

   “ผมก็ไม่เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน” นาคินว่า

   “แล้ว—“ ยังไม่ทันพูดจบ นาคินก็รีบแทรกขึ้นก่อน

   “ไม่เคยคิด จนกระทั่งมาเจอพี่นี่แหละ”



   คำตอบที่ได้ฟังเหมือนโดนค้อนทุบหัว ครูดนตรีตาลายไปพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาตั้งหลักได้ใหม่ เขาค่อยๆ พิจารณาความรู้สึกที่อยู่ภายในใจของตัวเอง ซึ่งมันไม่มีตรงไหนเลยที่จะกรีดร้องออกมาว่าให้ปฏิเสธอีกฝ่ายไปเสีย หรือบอกว่าไม่อยากรับรู้ความรู้สึกอะไรของนาคินทั้งนั้น



   ชายหนุ่มรู้เพียงแค่ ตัวเขาเองก็ชอบอีกฝ่ายจนไม่อาจหยุดยั้งความรู้สึกได้ ดังนั้นจึงยอมหยักหน้า และอนุญาตให้นาคินพูดสิ่งที่ตนเองต้องการได้เลย



   “อยากพูดอะไรก็พูดเถอะ”

   “พี่จะรับฟังใช่ไหม” เจ้าลูกหมาตัวโตถามอีกครั้งให้มั่นใจ

   “อืม…ฉันรอฟังอยู่”



   อยู่ๆ มือหนาก็รวบมือสนธยาเอาไว้ แล้วกุมแน่นเหมือนเมื่อคราวที่เผชิญสิ่งต่างๆ มาด้วยกัน ก่อนเจ้าของดวงตาสีน้ำตาจะเอื้อนเอ่ยข้อความที่สนธยาคาดเอาไว้อยู่แล้วออกมา



   “ผมชอบพี่ ชอบมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าชอบมากๆ มากจนเก็บเอาไว้ไม่ได้แล้ว”



นาคินสารภาพความในใจออกไปจนหมดเปลือก และคำสารภาพที่สนธยาคิดว่ารู้อยู่แล้วนั้น เมื่อได้ยินกับหูตรงๆ มันกลับให้ความรู้สึกพิเศษอย่างที่ไม่คาดว่าจะรู้สึก มันทั้งหวานล้ำและชวนให้หัวใจเต้นแรง ราวกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งรู้จักความรักเป็นครั้งแรกในชีวิต



“อืม”

“แค่อืมเองหรือครับ” นาคินท้วง

“แล้วนายจะให้ฉันตอบว่าอะไรล่ะ”

“ก็บอกว่าชอบผมสิ ถ้าพี่รู้สึกเหมือนกัน”

“บ้าหรือไง ใครจะไปพูด” สนธยารีบโวยวายแก้เก้อ แต่ดูเหมือนคราวนี้นาคินจะไม่ยอมให้เป็นเหมือนทุกครั้งที่อีกฝ่ายมักบ่ายเบี่ยงเรื่องที่ไม่กล้าพูด

“ไม่พูดได้ไง ถ้าพี่ชอบ ก็บอกว่าชอบสิครับ จะได้ตกลงอะไรให้มันเรียบร้อย”

“ตกลงอะไร” ชายหนุ่มถามอย่างสนเท่ห์

“ก็ถ้าพี่ชอบ เราก็ตกลงเป็นแฟนกันไง ไม่เห็นยากตรงไหนเลย” เจ้าคนอวดดีเฉลยพลางยิ้มเผล่

“บ้าหรือไง” ไม่ว่าเปล่า คราวนี้ชายหนุ่มพยายามดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายด้วย

“บ้าก็บ้าครับ” คนถูกกล่าวหายอมรับอย่างง่ายดาย แต่ไม่ยอมเลิกล้มความพยายาม “ว่าแต่พี่ชอบผมเหมือนกันใช่ไหม”

“ไม่รู้”



พอดึงมือกลับได้ สนธยาก็เตรียมตั้งท่าจะลุกหนี แต่นาคินกลับคว้าชายเสื้ออีกฝ่ายไว้ได้ทัน ก่อนจะดึงให้นั่งกลับลงมาเหมือนเก่า ซึ่งในจังหวะเกิดเสียการทรงตัวพอดี สนธยาจึงล้มลงมาใส่ตักเจ้าคนตัวโตและถูกรวบกอดด้วยความตั้งใจ



“อย่าดิ้นสิพี่สน ผมเจ็บขานะเนี่ย”

“เดี๋ยวคนเห็น” สนธยาแหวเข้าให้ แม้จะรู้สึกอายมากแค่ไหนก็ตาม

“ก็พี่จะหนีผมนี่นา ผมก็ต้องกอดไว้สิ”

“มันน่าหนีไหมเล่า ถามมาแต่ละอย่าง จะให้ตอบยังไง ฉันก็อายเป็นนะ”

“ผมก็อายนะ ผมยังพูดได้เลย”

“นั่นมันนาย ไม่ใช่ฉัน”

“เหมือนกันนั่นแหละครับ” นาคินกระชับกอดแน่นขึ้น แล้ววางคางไว้บนลาดไหน ก่อนกระซิบเสียงเบาที่ข้างหู “ถ้าไม่รั้งพี่ไว้ พี่ก็จะหนีผมไปใช่ไหมล่ะ ผมเป็นคนโลภมากนะ พอบอกไปแล้วก็อยากรู้ว่าพี่จะคิดยังไง ที่ผ่านมาเหมือนมันจะดีใช่ไหม แต่ถ้าพี่ไม่บอกผมก็ไม่รู้หรอก”

“…” พอได้ฟังคำพูดจริงจังของอีกฝ่าย สนธยาก็ยอมสงบลง

“ถ้าพี่ไม่ชอบ ก็บอกกันตรงๆ ได้นะครับ พี่ก็รู้ว่าผมไม่ขัดใจอยู่แล้ว”



ถึงจะพูดแบบนั้น แต่มือที่กอดเอวเอาไว้ก็ไม่ได้คลายออก นั่นแสดงว่านาคินเองก็พอจะเดาคำตอบของสนธยาได้เหมือนกัน หนุ่มนักดนตรีถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนเอี้ยวกลับไปมองเจ้าลูกหมาที่ทำหน้าสลด



“อืม” สนธยาส่งเสียงเรียบๆ ตอบออกมาแค่นั้น นาคินจึงรีบถามกลับ

“อืมอะไรครับ ชอบหรือไม่ชอบ”

ชายหนุ่มข่มกลั้นความอายเอาไว้ แล้วเอ่ย “ชอบเหมือนกัน”

“ชอบแล้วยอมเป็นแฟนไหม”

“อืม” เขาตอบรับ ก่อนจะเสริม “ถ้ายังถามอีก ฉันจะไม่ตกลงแล้วนะ”

“ไม่ถามแล้วครับ” เจ้าหมาหงอยเมื่อครู่ยิ้มจนเต็มแก้ม ก่อนจะฉวยโอกาสยื่นหน้าไปหอมพวงแก้มสีเรื่อของอีกฝ่าย มันไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนแก้วของผู้หญิง แต่ได้หอมแล้วนาคินรู้สึกชื่นใจเป็นอย่างมาก มากจนแม้จะโดนต่อยเข้าที่สีข้างก็ไม่ร้องโอดโอยเลยสักคำ



ตอนนี้นาคินปล่อยให้สนธยาลงไปนั่งด้านข้างเหมือนเดิมแล้ว สนธยาเองก็ไม่ได้ลุกหนีไปไหน และยอมให้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนหมาดๆ กุมมือเอาไว้ ไม่สลัดทิ้งเหมือนอย่างเคย



“พี่สน” หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง นาคินก็เอ่ยขึ้น

“ว่าไง”

“พี่ว่า ที่เราได้มาเจอกัน แล้วได้เป็นแฟนกัน มันจะเกี่ยวกับอดีตชาติที่เราเคยสัญญากันไว้ไหมครับ”

“อืม…ไม่รู้สิ” ชายหนุ่มครุ่นคิดเล็กน้อย ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่หยุดคิดนั้น อยู่ๆ ลมที่พัดเอื่อยก็เปลี่ยนเป็นแรงขึ้นเล็กน้อย มันพาให้กลีบสีน้ำเงินของแก้วเจ้าจอมปลิวหล่นลงมาบนตักของสนธยา ชายหนุ่มมองกลีบดอกไม้น้อยๆ ดอกนั้นสักพัก ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ

“ยิ้มอะไรกันครับ”

“แค่คิดคำตอบเรื่องที่นายถามเมื่อกี้น่ะ”

“แล้วตกลงว่าคิดตอบคือ…” นาคินหันมองหน้าอีกฝ่ายอย่างรอคอยคำตอบ

“ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับสัญญาไหม แต่ถ้ามองเพียงแค่ปัจจุบันอย่างที่นายพูดไว้ มันก็คงไม่เกี่ยวกันหรอก เพราะนายชอบฉัน ไม่ได้ชอบคุณสินนี่ใช่ไหม”

“ใช่ครับ”




ชายหนุ่มทั้งสองมองตาและยิ้มให้อย่างรู้กัน



“ขี้เกียจอ่านหนังสือแล้ว” สนธยาว่า

“งั้นไปเล่นดนตรีกันไหม พี่สนยังติดผมอยู่นะ คราวที่แล้วว่าจะเล่นเพลงคำหวานให้ฟังไงครับ”

“ก็ได้ แต่นายต้องช่วยฉันเก็บของก่อน”

“ไม่มีปัญหาครับ” ทั้งสองช่วยกันเก็บหนังสือและม้วนเสื่อ ก่อนพากันขึ้นไปเล่นดนตรีที่เรือนหลังเล็กอย่างที่ตั้งใจเอาไว้



นาคินกับสนธยาเข้าใจและเชื่อในการเวียนว่ายตายเกิดว่ามีอยู่จริง แต่แล้วอย่างไรเล่า พวกเขาเพียงแค่รับรู้ ชื่นชม ระลึกถึง แต่ไม่อาจกลับไปเป็นเช่นนั้น ที่ทำได้ตอนนี้ก็มีแค่อยู่กับปัจจุบัน และถักทอเรื่องราวความรักของตนเองขึ้นมาใหม่



ใต้ร่มแก้วเจ้าจอมใหญ่ต้นนี้


ใต้เสียงดนตรีหวานแว่วที่ช่วยกันบรรเลง



ไม่ว่าเรื่องราวในอดีตชาติจะมีผลต่อชาติในปัจจุบันหรือไม่ ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายคือ ในที่สุดคนทั้งคู่ก็หมุนเวียนมาพานพบและเริ่มต้นรักกันอีกครั้งอยู่ดี









‧‧‧‧:❉ จบบริบูรณ์ ❉:‧‧‧‧









จบแล้วค่าาาาาา  :mc4: :mc4:

ในที่สุดนิยายเรื่องนี้ก็จบลง

4 ปีที่ผ่านมา กับนิยายเรื่องหนึ่ง ถือว่าเป็นการเขียนที่ยาวนานมากจริงๆ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องยาวอะไรเลย ปมของเรื่องก็มีแค่ไม่มาก แต่ทำไมถึงลากยาวมาได้ขนาดนี้กันนะ /ได้แต่ถามตัวเอง 555+

ก่อนจะเอ่ยถึงตัวนิยาย ต้องบอกย้ำอีกครั้งว่า นิยายเรื่องนี้เดิมทีเคยเป็นฟิคชั่นของศิลปินคู่หนึ่งค่ะ แต่พอเขียนได้4-5 ตอน ก็มีอันต้องเลิกล้ม เพราะเกิดอาการไม่อินกับสิ่งที่เขียน ทางเราคิดเสมอว่าคนอ่านฟิคก่อนหน้าจะด่าว่าฝนทรยศเขาหรือเปล่า ตอนแรกจึงยังไม่ทำอะไรกับนิยายเรื่องนี้ แต่มาเริ่มเดบิวท์กับนิยายวายด้วยโปรดจงรักก่อน

พอโปรดจงรักจบลง เราก็กลับมาคิดว่าอยากเขียนคีตมาลาต่อ จึงคิดเปลี่ยนแปลงพล็อตเรื่องและลักษณะตัวละคร รวมถึงชื่อต่างๆ ใหม่ เรียกว่าโมใหม่เหมือนนิยายเรื่องใหม่ กลิ่นอายมันก็มีคล้ายเดิมบ้าง เพราะยังใช้ชื่อเดิม แต่เอาจริงๆ ตอนจบที่เคยคิดเป็นฟิคชั่นกับนิยายที่เขียนจบสดๆ ร้อนๆ เวลานี้ไม่เหมือนกันนะคะ

พอฝนเปลี่ยนทุกอย่างใหม่ ภาพในหัวของเราก็เปลี่ยนไปด้วย ต่อจากนั้นก็เริ่มทำงานที่ต้องทำ จนกระทั่งมาจบเอาป่านนี้

ส่วนจุดที่มีคนถามระหว่างเรื่อง นั่นคือทำไมไม่ให้เป็นคู่ชายรักชายทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทำไมต้องเป็นคู่ชายหญิงคู่หนึ่งด้วย อันนี้ต้องขอชี้แจงนิดหน่อย เพราะมีคนมาบอกว่าขอไม่อ่านเรื่องนี้ เนื่องจากคู่อดีตเป็นชายหญิง เอาจริงๆ ฝนไม่คิดว่ามันแปลกเลยนะ เข้าใจว่าชอบชายรักชาย อ่านนิยายวายต้องไม่มีสิ ตัวเอกชาตินี้มาแต่ชาติที่แล้วเป็นผู้หญิงได้ไง ฝนต้องขอโทษที่ทำไม่ถูกใจนะ แต่อยากยึดตามความรู้สึกของตัวเองค่ะ คือถ้ามองกันให้ลึก การเกิดใหม่หลายภพหลายชาติ ใช่ว่าเราจะเกิดเป็นคนเดิม เพศเดิม หน้าตาเหมือนเดิมเสียเมื่อไหร่ อีกอย่างคือคู่รักชายหญิงมีมากกว่าชายชายเยอะหลายเท่า ไม่น่าแปลกนะถ้าชาติก่อนจะเป็นชายหญิง แต่ก็นั่นแหละค่ะ ตรงนี้ไม่โกรธเลย เข้าใจว่ารสนิยมคนไม่เหมือนกัน ฝนเองก็มีความชอบที่หลากหลาย อยากลองอะไรที่แปลกๆ ดังนั้นจึงอธิบายเหตุผลให้ทราบว่าทำไมถึงต้องเป็นชายหญิง

พูดถึงตัวนิยายดีกว่า แรกเริ่มเดิมทีได้แรงบัลดาลใจในการเขียนเพราะดูโหมโรงแล้วฝังใจค่ะ กลับมาดูอีกครั้งจึงเริ่มคิดและเขียนออกมา ดังนั้นหลายๆ อย่างในโหมโรงจึงมาโผล่ในคีตมาลา เช่น เพลงแสนคำนึงและเพลงคำหวาน สองเพลงนี้ฝนชอบมากๆ เป็นเพลงที่ใช้เปิดบ่อยมาเวลาที่แต่งเรื่องนี้ ถ้าใครไม่เคยฟังลองหาฟังกันได้ค่ะ แต่เรื่องนี้จะเกิดในรัชกาลที่ 5 ค่ะ ต่างกับโหมโรงนิดหน่อย

เรื่องนี้ดีกับคนเขียนอยู่อย่างหนึ่งคือไม่มี NC แบบเรื่องอื่นๆ อาจจะมีวาบหวิวบ้างในตอนพิเศษ แต่โดยรวมคือฝนค่อนข้างสบายเลย เพราะเขียน NC ไม่ค่อยเป็น ส่วนที่มีคนถาม จะสนคินหรือคินสน ตรงนี้ต้องบอกว่าแล้วแต่คนจะคิด คือส่วนใหญ่นาคินจะเป็นคนเต๊าะพี่สนใช่ไหม แต่บทจะแสดงความเป็นผู้นำพี่สนก็เท่ไม่แพ้ใครเหมือนกันนะ นี่ก็เลยเป็นอีกข้อที่ไม่ได้เขียน NC ให้ชัดเจน ทำใจลำบากมาก ใสๆ ไปเลยก็แล้วกัน ให้คนอ่านจิ้นกันเอาเองค่ะ 555

ตอนแรกกะว่านิยายเรื่องนี้จะขายบรรยากาศละมุน เพลงหวาน ดอกไม้สวย แต่ทำไปทำมาคนนึกถึงผี กลัวผีแม่ทับทิมกันจนไม่กล้าอ่าน 555 เป็นอะไรที่เวลาอ่านคอมเม้นแล้วตลกมาก แต่ก็ดีใจที่สนุกกับนิยายนะคะ


สุดท้ายแล้วล่ะ อยากบอกว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน ฝนก็ตั้งใจทุกเรื่องเลยขอบคุณคนอ่านที่คอยสนับสนุนกันมานะคะ แค่เข้ามาอ่านฝนเห็นยอดวิวกระดิกก็ดีใจมากแล้ว มีคนเคยบอก(อีกแล้ว) ว่า “คุณฝนๆ ถึงนิยายเรื่องนี้คนอ่านน้อย แต่เราตามอ่านอยู่นะ รอตอนต่อไปนะคะ” นี่แค่พูดว่ารอฝนก็จะร้องไห้แล้ว เคยยุ่งกับงานอื่น เคยดองไว้ก็ต้องรับกลับมาแต่งต่อจนจบให้ได้ ดังนั้นขอบคุณทุกคนจริงๆ ค่ะ

แรงสนับสนุนของนักอ่านเป็นแรงใจส่วนหนึ่งนอกจากความชอบส่วนตัว ให้ขับเคลื่อนเข็นงานออกมาได้สำเร็จเลยนะ ต่อไปก็จะพยายามเขียนงานด้วยความตั้งใจเหมือนเดิมค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ >___<

ขอบคุณจากหัวใจ

ละอองฝน.





ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ในหลายๆความรู้สึกนะเรื่องนี้ มันหม่นอับๆเหมือนบรรยากาศตอนฝนจะตก แล้วก็ชอบโผล่มาอัพตอนดึกๆเกือบเช้าด้วย หลอนเลยสิคะ หวานไม่เท่าไรแต่หลอนนี้บอกได้เลย  :pig4:

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2
ในหลายๆความรู้สึกนะเรื่องนี้ มันหม่นอับๆเหมือนบรรยากาศตอนฝนจะตก แล้วก็ชอบโผล่มาอัพตอนดึกๆเกือบเช้าด้วย หลอนเลยสิคะ หวานไม่เท่าไรแต่หลอนนี้บอกได้เลย  :pig4:



เหมือนเป็นความตั้งใจ แต่จริงๆ ไม่ตั้งใจมาเกือบเช้าเลยค่ะ 5555
แต่ตอนจบแล้วไม่หลอน แถมมาเร็วสักตอนนะคะ

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
จบแล้ว ขอบคุณคะ

จริง ๆ ผีแม่ทับทิมน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย แต่เอาจริงก็ยังหลอนกับผีแม่ทับทิมอยู่ดี

เราว่าเราชอบนะคะ ที่เขียนให้อดีตเป็นชญ แม้ ใครจะเกิดเป็นเพศเดิมได้ตลอด มันดูเรียลดี แต่สงสารคินอะ เจ็บตัว ตลอดแถมเกือบเป็นบ้าไปเลย เจอแต่ละเรื่อง น่าตีผีแม่ทับทิมจริง แต่ ชอบพี่สน แมนจังเลย แมนมากเลย ยกให้พี่สนเป็นผู้นำ รุก เมะ ส่วนนาคินเป็นหมาน้อยรับไปละกันนะ


ออฟไลน์ Mynun

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
แกกก เรื่องนี้มันดีต่อใจดวงน้อยๆ
ไม่จำเป็นต้องมีncหรืออะไรเลย
มีแค่นี้โครตสุขใจจจ ชอบนะ  :mew1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ A-J.seiya*

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +306/-8
สนุก ชอบ ประทับใจ
มันเหมือนวางรากฐานความผูกพันไว้ดีอ่ะ
อ่านแล้วอิน มีความสุข
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ นิยายดีดี
รออ่านเรื่องต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ sm37an2j2

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ express_men

  • Catching Light.
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
    • SpeedlightTH
ดีมาก ภาษาไทย ละมุนละไม เนื้อหา การจัดลำดับ ภาคบรรยาย กลยุทธเล่าเรื่องดีแล้ว
ที่ชมเชยที่สุดคือการเขียนบรรยายได้สวยงาม ภาษาไพเราะมาก

แต่ถ้าเรื่องหน้าทำพีเรียดอีก ขอให้หนักกว่านี้เค้นอารมณ์รันทด ทรมาน ออกมาให้มากขึ้น ยิ่งมีความแค้นผสม เรื่องจะยิ่งได้อรรถรส เข้าใจว่าตอนผูกเรื่อง เงื่อนงำมันไม่หนักพอและไม่ได้เติมซัพพลอตมากพอให้มันอินกับเนื้อหาและดื่มด่ำมากขึ้น เลยดูจะรีดอารมณ์มาไม่หมด แต่ก็อ่านได้เรื่อยๆสนุกดี แต่บางบทอาจจะยังมีงงๆ ว่าทำไมต้องทำ หรือเพราะอะไร

แต่ทั้งนี้ พีเรียดคนอ่านน้อย และแต่งยากด้วย ดังนั้นเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อๆไปครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2017 01:59:20 โดย express_men »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด