ตอนที่ 20
บอกเลยว่าพี่จูเนียร์เนี่ยไม่ถนัดหรอกนะบู๊เนี่ย...
ผมส่งสายตาตื่นๆ ไปหาผู้ตรวจการมากกว่าสิบที่ไม่ได้แตกต่างอะไรจากตำรวจในยุคสมัยปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย รู้สึกผิดไปหมด เหมือนเมาแล้วขับ เหมือนหนีภาษี เหมือนทำทุจริตคอรัปชั่น ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรเหล่านั้นเลย แต่รู้สึกผิดและก็กลัวความผิดประมาณนั้นเลยน่ะครับ
หลังจากที่คังยูบอกอย่างมั่นใจว่าการหนีนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผม (กูอยากจะเฉ่งมึงในเรื่องนี้เหลือเกิน แต่เอาไว้ทีหลังเถอะ) มันก็ง้างคันธนูเล็งไปที่อกไอ้กล้วยอย่างไม่กลัวเกรง (เออ...แล้วมันจะกลัวอะไรล่ะ) ไอ้กล้วยทำหน้าหนักใจ ในขณะที่คนอื่นที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของมันเริ่มจะทำตัวไม่ถูกว่าควรทำตัวยังไง
คำว่าองค์ชายรองนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเข้ามารุมจับง่ายๆ เหมือนคนร้ายทั่วไป
แต่ผมขอมีบทหน่อยเถอะ...ผมหันหน้าไปทางไอ้กล้วยและก็ด่ามันอย่างรวดเร็ว
“เจ้าผิดคำพูด!”
จริงๆ แล้วอยากจะพูดเหลือเกินว่า ไอ้สัด...มึงโกหกกูนี่หว่า พ่องตาย แม่งเอ๊ย!!!!!!!
ซึ่งถ้าพูดไปแม่งก็ไม่เข้าใจ...ก็เลยพูดออกไปได้แค่นั้น จะว่าไปผมก็เพิ่งเห็นข้อดีของภาษาไทยนะเนี่ย เวลาที่เราหงุดหงิดมากๆ แล้วคำหยาบมันเข้ากับอารมณ์เราได้ดีมากกว่าคำว่า ‘เจ้าผิดคำพูด’ ตั้งเยอะ
กลับมาที่ปัจจุบัน...
“ข้าขอโทษ...ยองวอน”
“ไม่ยกโทษให้” ผมตอบทันควัน
“อย่าไปเสวนาอะไรกับมันให้มากได้หรือไม่” คังยูหันมาด่า
อ้าวกรรม...กูผิดตรงไหนเนี่ย...เชิญองค์ชายมีบทต่อเลย บทกูคงจะหมดเท่านี้นี่แหละ
“องค์ชาย กระหม่อมไม่อยากให้เรื่องต้องยุ่งยากไปมากกว่านี้ ได้โปรดกลับไปแต่โดยดีด้วยเถิดพะย่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็สหายของพระองค์จะโดนโทษหนักกว่าเดิม”
เชี่ยกล้วย มึงไปเรียนวิธีประนีประนอมมาจากไหนวะ ตอนมึงเรียนกับกูมึงกากมากในเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เหรอ...
“เจ้าจะพูดอีกสิบครั้งก็ได้ ข้าก็จะขอตอบตามเดิม”
“...”
“อยากจะรู้นัก หากเจ้าโดนบังคับให้แต่งงาน เจ้าจะยังแต่งงานหรือเปล่า”
ไอ้คังยูก็เก่งไม่ใช่เล่น...ใช้วิธีถามกลับเพื่อให้อีกฝ่ายใจอ่อนทีละนิดๆ ไม่เบาเลยทีเดียว
“องค์ชาย” กล้วยยังคงมีท่าทีลำบากใจอยู่ “ได้โปรดเถิดพะย่ะค่ะ ตอนนี้ในวังกำลังวุ่น แม้กระทั่งองค์จักรพรรดิเองก็กำลังไม่สบายพระทัย”
คันธนูที่คังยูง้างค้างไว้อยู่สั่นระริก...
“พระสนมเองก็เหมือนกัน”
“ข้าไม่กลับ”
ฟิ้ววววววว...ลูกธนูลอยไปข้างหน้า ผมอ้าปากค้างรอไว้แล้ว คังยูเล่นจริงเจ็บจริงเหรอวะ ผมมองตามลูกศรไปจากนั้นก็ต้องโล่งอกเมื่อเห็นลูกศรลอยข้ามพวกผู้ตรวจการไปไกล แทนที่จะทำร้ายผู้ตรวจการ
โล่งใจได้ไม่กี่นาที ธนูระลอกใหม่ลอยเข้ามาหาตัวผู้ตรวจการทุกคน คังยูทำหน้างงในขณะที่ผู้ตรวจการหลายคนโดนสอยร่วงไปทีละคนๆ
มีมือที่สาม!
“นี่มัน…”
“องค์ชาย อันตรายพะย่ะค่ะ!” กล้วยหันหลังกลับ กลายเป็นว่าพวกผู้ตรวจการทั้งหมดต้องมาคุ้มกันคังยูแทนที่จะมาจับ
กูปวดหัวรอไว้เลย...นี่มันบู๊เสียยิ่งกว่าบู๊ คังยูดึงผมให้หลบข้างหลังเขา ในขณะที่พวกผู้ตรวจการและพวกเรากำลังถูกรุมล้อมจากพวกชายชุดดำที่ปิดไปทั้งตัวโผล่มาแค่ดวงตา
คราวนี้ผมว่าน่ากลัวเสียยิ่งกว่าผู้ตรวจการทั้งหมดรวมกัน
พวกมันหมายเอาชีวิตองค์ชายรอง...
“ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะขอรับนายน้อย” จีซูรีบพูด “พวกมันมีมากกว่าเรา”
“คุ้มกันองค์ชาย!” กล้วยตะโกนสั่งผู้ตรวจการ ก่อนที่จะหันมาหาคังยู “ข้างหลังบ้าน...กระหม่อมคิดว่าน่าจะมีทางหนี”
“เจ้าจะปล่อยข้าให้หนีไปงั้นรึ”
กล้วยกระพริบตาปริบๆ “ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นพะย่ะค่ะ”
ในเมื่อมีมือที่สามที่แต่ละฝ่ายต่างก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทุกฝ่ายเลยตัดสินใจว่าเอาความปลอดภัยของคังยูเป็นหลัก เมื่อตกลงกับกล้วยเรียบร้อยแล้ว พวกเราทั้งห้าคนก็พากันหนีออกจากทางด้านหลังของบ้าน โดยมีผู้ตรวจการคอยคุ้มกันให้ตลอดทาง
“นี่มันมากกว่าที่ข้าคิดไว้” จีซูเอาแต่บ่นในเรื่องนี้ “ถ้าเราหนีพวกชุดดำพ้น...เรายังจะต้องหนีพวกผู้ตรวจการพวกนี้อีกทีหนึ่ง”
“ไม่เห็นจะมีอะไรยาก ก็แค่ต้องวิ่ง” คังยูตอบมึนๆ
กูยอมใจตัวเอกในเรื่องนี้เลย...กูยอมใจจริงๆ
“พวกนั้น...คุ้นๆ นะขอรับ” ซองชิลที่เงียบไปทั้งวันเพิ่งจะเอ่ยปากออกมาเป็นครั้งแรก “เสื้อผ้า อาวุธที่ใช้ วิทยายุทธ์ ท่าทางเหมือนพวกที่ข้ากับพยองอันเจอที่กลางทางก่อนมาหานายน้อย”
“เหมือนกับพวกที่จับข้าก่อนที่จะเจอพวกเจ้าด้วย...” พยองอันกล่าวเสริม
ทุกคนมองหน้ากัน...เหมือนกำลังคิดอะไรเหมือนๆ กัน...ที่ผมตามไม่ทัน
มึงช่วยอธิบายหน่อยสิ มันหมายความว่ายังไง
“ไม่มีทาง” คังยูพูดเสียงแข็ง ขณะช่วยฉุดผมให้ก้าวเท้าให้ไวเท่าเขา ดูความยาวของขามึงกับขากูดิ โธ่ “ท่านพี่ไม่มีทางทำเช่นนั้น”
ผมคิดว่าผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรบางอย่างได้แล้วล่ะ (ช้าแต่ชัวร์นะครับเออ...) พวกมือที่สามที่โผล่มา อาจเป็นพวกขององค์ชายใหญ่
ขนลุกแป๊บ...
การแก่งแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก...ผมเริ่มประวัติศาสตร์ข้อนี้ไปได้อย่างไร
คนที่เครียดที่สุดคือคังยู ผู้ที่ไม่ยอมรับแน่ๆ ว่าพี่ชายต่างมารดาของตนจะทำเรื่องแบบนี้
เอาเป็นว่าตอนนี้เอาตัวให้รอดจากพวกชุดดำก่อนก็แล้วกัน (นี่กูกำลังอยู่ในการ์ตูนเรื่องโคนันอยู่หรือเปล่าวะ) พวกมันแม่งมีเยอะจนเหมือนผุดขึ้นมาจากดอกเห็ดยังไงยังงั้น ผมเริ่มเครียดแทนคังยูแล้วนะเนี่ย เหมือนมันไปสร้างศัตรูเอาไว้มาตั้งแต่ชาติปางไหนก็ไม่รู้
วิ่ง วิ่งเท่านั้น วิ่งแล้วรวย...
ไม่ใช่แล้ว คือผมไม่รู้จะอธิบายยังไง ในเมื่อพวกเราวิ่งแบบสุดชีวิต วิ่งแบบหมดคราบนักเรียนขุนนางซองกยุนกวาน วิ่งแบบเหมือนไม่มีเท้า เหมือนกำลังลอยตัวอยู่ ผมเพิ่งเข้าใจคำว่าหนีหัวซุกหัวซุนเป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะผมกำลังประสบพบเจอมันอยู่
เหมือนกูใช้ชีวิตได้คุ้มสัดๆ...
คังยูเหลือบมองไปที่ซองชิลผู้ที่พยักหน้าอย่างรู้กันดี (ส่งซิกในแบบที่ผมไม่เข้าใจ) ซองชิลชะงักฝีเท้าและก็หันหลังกลับไปประจันหน้ากับพวกผู้ตรวจการ (เพราะพวกเราหนีพวกชุดดำพ้นแล้ว...มันคงเหนื่อยจะวิ่งตาม) ราวกับต้องการจะต่อกรกับพวกผู้ตรวจการและให้พวกเราวิ่งหนีกันไปก่อน
เหอะ ถึงเวลาบู๊ของกูแล้วล่ะ ผมดึงดาบมาจากข้างตัวของคังยู ทำท่าจะช่วยซองชิลสู้กับพวกนั้น แต่ทว่ากลับโดนหิ้วตัวให้กลับมายืนที่เดิมโดยใช้เวลาไม่กี่วินาที
“จะทำอะไร” คังยูเหน็บ
“สู้ไง”
มันมองผมอย่างดูถูก...ให้ตายเถอะ ถึงแม้ว่ากูจะชอบมึง แต่กูก็เกลียดสายตาแบบนี้ของมึงมากๆ
“ทำไม ข้าสู้ไม่ได้หรือไง เจ้าจะให้ยักษ์ดุมันสู้คนเดียวอย่างนั้นหรือ ใจร้ายเกินไปแล้ว”
“ใครว่าข้าจะให้เขาสู้คนเดียว”
ลูกศรหลายลูกถูกปักลงบนพื้นดิน พยองอันกับจีซูจับแขนผมคนละข้างและก็ลากผมให้หลบหลังต้นไม้ใหญ่ เหมือนผมเป็นตัวกีดขวางชาวบ้านชาวช่องเขายังไงยังงั้น
กูก็แค่โชว์ความเป็นแมน...ไอ้พวกนี้นี่!
ที่แท้คังยูก็เป็นหน่วยซุ่มยิงในขณะที่ซองชิลเป็นหน่วยกล้าตายสินะ ผมเห็นพวกเขาต่อสู้กันอย่างจริงจังทีเดียว แต่คังยูและซองชิลจัดการแบบไม่ให้เสียชีวิต มีแต่เสียเลือด...
ผมเริ่มจะชินแล้วล่ะ กับอะไรที่มันจริงจังเกินไปในยุคนี้ การตายของคนที่อย่างกับผักกับปลา และก็การเจ็บที่เจ็บจริงไม่ใช่สแตนอิน แต่ขอเถอะ ถ้าผมโดนบ้างผมไม่รู้ว่าตัวเองจะเดดสะมอเร่ทันทีที่โดนหรือเปล่า ก็ดูร่างกายไอ้ยองวอนสิ ลมพัดนิดเดียวก็ปลิวแล้วมั้ง...
“ซองชิล ไปเถอะ!”
เมื่อเห็นว่าสกัดกั้นพวกผู้ตรวจการได้แล้ว คังยูก็เรียกให้ซองชิลหนี องครักษ์หนุ่มแม่งก็เซียนฉิบหาย ดูไม่เจ็บไม่เหนื่อยอะไรเลยทั้งๆ ที่เป็นหน่วยกล้าตายเจอศัตรูซึ่งๆ หน้า กูยอมใจ...
“ยองวอน...คิดอะไรอยู่ เร็วๆ เข้า”
จีซูกระตุกแขนผม ผมถึงได้สติและก็รีบวิ่งตามทุกคนไป
วิ่งอีกแล้วครับท่าน...
คืนนี้ของพวกเราจบลงไปด้วยการวิ่งหนีเกือบจะครึ่งคืนกันเลยทีเดียว...
“ยองวอน”
“...”
“ลียองวอน”
“...”
“ตรงนี้มันสบายเหมือนเตียงที่บ้านเจ้าหรืออย่างไร ทำไมไม่ลุกสักที!”
ทำไมพูดมากจังวะเนี่ย มึงเป็นใคร! มาขัดขวางการนอนของกู กูเพิ่งวิ่งหนีมาเมื่อคืนเหนื่อยอย่างกับวิ่งมาราธอน 100 กิโลเมตรยังจะมากวนกูอยู่ได้
ผมคิดอย่างหัวเสีย แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ผมก็ถึงกับเงิบไปนิดหน่อย ชาวโชซอนหน้าตาดี 4 รายถ้วนกำลังจ้องมาที่ผม เหมือนเอือมๆ ยังไงชอบกล
คนพูดก็คือผู้มีอำนาจสูงสุด คังยู...
ก็กูง่วงนี่!
“ยังต้องไปกันต่อ” ขงเบ้งพูด “ตื่นเถิด แล้วไปหาอาหารกินกัน”
พวกเราค้างอ้างแรมกันอยู่ที่ริมแม่น้ำลำธารแห่งหนึ่งที่มีโขดหินเรียบพอจะให้นอนได้ ผมลุกขึ้นมาแล้วมองไปที่แม่น้ำนั้น...
...และก็เพิ่งคิดอะไรออกมาได้
นี่กูไม่ได้อาบน้ำมานานแค่ไหนแล้ววะเนี่ย
เพราะที่นี่หนาวมากผมก็เลยสามารถไม่อาบน้ำได้โดยไม่ต้องอายใครคนไหน (คนไทยที่รู้จักก็ดันกลายเป็นผู้ตรวจการชาวโชซอนไปซะงั้น...แต่อย่าพูดถึงมันเลย พูดแล้วของขึ้น) แต่ที่ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ก็เพราะเริ่มจะรู้สึกผิดกับตัวเองที่ไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะต้องอาบน้ำได้แล้วล่ะมั้ง
“ก่อนจะไป ข้าขออาบน้ำสักครู่ได้หรือเปล่า”
ผมพูดขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจผู้ใด...พวกมันมองเหมือนผมทำให้เสียเวลาขนาดหนัก (ไม่แน่อาจจะกำลังโมโหหิวอยู่ก็เป็นได้) แต่พอมองดูสภาพของตัวเอง ดูเหมือนพวกนั้นก็คิดได้ว่าตัวเองก็ควรจะอาบน้ำเหมือนกัน
เฮ้ย กูก็มีความคิดสร้างสรรค์นะเว้ย
“มาเถอะ พยองอัน” ผมรีบบอกเพื่อนทันที เดินนำมันไปยังที่ๆ น้ำไม่ลึกและก็ไม่ตื้นมาก ห่างจากพวกยักษ์ใหญ่ยืนอยู่ออกไป
“พวกเจ้าจะเดินออกไปไกลๆ ทำไม” คังยูร้องถาม
“ก็ตรงนั้นมันลึก” มึงเข้าใจคนเตี้ยอย่างพวกกูมั้ยวะ
“ว่ายน้ำไม่เป็นหรือ”
“ใช่” ผมตอบราวกับมันเป็นเรื่องปกติ
คังยูพ่นลมออกมา ในขณะที่จีซูกับซองชิลส่ายหน้าให้กันเบาๆ
“พวกเจ้าไม่ควรอยู่ห่างจากพวกข้านะ ยิ่งดูแลตัวเองไม่ค่อยได้ด้วย”
“เจ้าก็ตามมาอาบตรงนี้สิ” ผมพูด มึงจะทำให้เรื่องยุ่งยากไปทำไมเนี่ย คังยูเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนที่จะมองดูตรงแอ่งน้ำใหญ่ที่น่าจะปลอดภัยสำหรับผมกับพยองอัน มันส่ายหน้าใส่ผม
“ตื้นเกินไป”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปอาบตรงโน้น”
ผมผลักองค์ชายรองของประเทศนี้ให้ออกห่างจากตัว ก่อนที่จะเริ่มถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกทีละชิ้นๆ
“มันอาจจะหนาวหน่อยนะพยองอัน แต่ถ้าร่างกายสะอาดแล้วมันจะสบายตัวขึ้น” ผมพูดไปเรื่อยๆ จนตัวเองโป๊เปลือยล่อนจ้อน จากนั้นก็กระโดดลงน้ำทันที เพราะไม่อยากให้ตัวเองยืนท้าลมหนาวนานเกินไป “เหยดดดดดดดดดด หนาวฉิบหายเลยโว้ยยยยยยยยยยยยยย”
เสียงหัวเราะดังระงมเมื่อคนอื่นๆ ได้ยินเสียงผมร้องดังลั่น พวกนั้นอาจจะกำลังถอดเสื้อและก็กำลังจะกระโดดลงน้ำเหมือนกัน
ว่าแต่...พยองอันแม่งช้าว่ะ ทำไมไม่ลงมาสักทีวะ...
ตู้มมมมมม
ยังไม่ทันที่ผมจะหันกลับไปดู ใครบางคนก็กระโดดลงมาอาบน้ำเป็นเพื่อนผมแล้ว ผมจับศีรษะมันเบาๆ และก็ดึงขึ้นมาอย่างแกล้งๆ
คนที่โผล่หัวขึ้นมาพร้อมกับผมยาวที่เปียกโชกนั่นก็คือ...คังยู
กูยกมือไหว้แทบไม่ทัน...
“เจ้าทำความเคารพข้าทำไม” คังยูทำหน้างงใส่ ใช้มือเรียวยาวปัดเส้นผมที่ปรกหน้าปรกตาของผมให้
“พยองอันล่ะ”
“เจ้านั่นไปอาบทางด้านโน้น”
“แล้วทำไมเจ้ามาตรงนี้ ไหนบอกน้ำมันตื้นไง” ตื้นจริงๆ ด้วย แค่มันยืนก็เหมือนระดับน้ำจะอยู่ที่ระดับหน้าอกของมันเองมั้งนะ แต่เมื่อเทียบของผมแล้วเกือบจะท่วมหัวผมแล้วอีกไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ
รู้สึกโดนข่มยังไงก็ไม่รู้ว่ะ...ไอ้สูงเอ๊ย
“ไม่มีสามัญชนคนไหนได้อาบน้ำร่วมกับเชื้อพระวงศ์หรอก ถ้าคนๆ นั้นไม่ได้รับอนุญาต”
แล้วกูได้รับอนุญาตเหรอวะ... “แล้วข้า...”
“ข้าเพิ่งเห็นร่างกายของเจ้าเต็มๆ ตาก็คราวนี้” คังยูจับผมยกขึ้นมาเหนือน้ำเล็กน้อยและก็ปล่อยผมลงน้ำตามเดิม นี่กูหน้าเหมือนลูกหลานมึงหรือไงเนี่ย “อ่อนปวกเปียกดีแท้”
ผมชักสีหน้าใส่ ก่อนที่จะแหวกว่ายไปอยู่ทางอื่น แต่ก็ไม่วายโดนมันลากตัวกลับไปอยู่ดี
ไม่คิดหรือไงว่ามันสยิวมากแค่ไหน ยิ่งอากาศหนาวๆ น้ำเย็นๆ อยู่ด้วย
“อย่าแตะต้องข้าสิ” ผมพูดปราม
“ทำไมข้าจะแตะเจ้าไม่ได้” นอกจากจะไม่ฟังที่ผมพูดแล้ว มันยังดึงตัวผมให้เข้าไปใกล้มันมากกว่าเดิมอีกต่างหาก
น้ำที่หยดจากปลายผมของมันหยดติ๋งๆ จนเกือบจะมาโดนผม น้ำจากปลายผมของผมเองก็เหมือนกัน ผมไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าตอนนี้คนที่เขามองเราทั้งคู่อยู่จะมีสายตาเป็นยังไง ขนาดผมอยู่ใกล้ๆ มันผมก็ยังรู้สึกแปลกๆ เลย
มันน่ากระอักกระอ่วน มันหนาว และมันก็...สยิว
เพราะผมกับมันไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้ากันทั้งคู่
“เจ้าตัวสั่น”
ไม่สั่นได้ไง ก็มันหนาวนี่หว่า...
“ข้าอาบน้ำให้เจ้าเองก็แล้วกัน อดทนหน่อยนะ”
เขาจับตัวผมพลิกให้ผมหันหลังให้มัน (ให้ตายเถอะ!) หลังจากนั้นก็เริ่มใช้มือตักผมมาเทใส่ตัวผมเบาๆ ในขณะที่ผมเองก็ถูตัวของตัวเองไปด้วย
ผมใจเต้นแรงไม่หยุดเลย...ยิ่งตอนที่มันขยับเข้ามาใกล้ๆ ตัวผมเรื่อยๆ ตอนที่มันสัมผัสตัวผม ตอนที่มันตักน้ำมาเทใส่ไหล่ของผม มันทำให้ผมรู้สึกทั้งทำตัวและก็ทำหน้าไม่ถูก
แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...คังยูเองแม่งก็มีมุมอ่อนโยนเหมือนกัน มันแตะตัวผมเบามากราวกับว่าถ้ารุนแรงกับผมแม้แต่นิดเดียวตัวผมจะหักและก็พังได้ยังไงยังงั้น
เดี๋ยวนะ...กูจะบาปกินกบาลมั้ยนะ ให้ผู้สูงศักดิ์มาช่วยอาบน้ำให้เนี่ย
“พอแล้ว” ผมรีบบอก “ข้ารู้สึกว่าตัวข้านั้นสะอาดแล้วล่ะ”
“แล้วข้าล่ะ” เสียงกระเง้ากระงอดดังขึ้น อย่างที่ผมไม่อยากจะเชื่อว่าคังยูมันจะมีเสียงแบบนี้ด้วย เสียงที่สอง! “ข้ามัวแต่อาบให้เจ้า แต่ข้ายังไม่สะอาดเลยนะ”
ผมพลิกตัวหันไปมอง นอกจากมันจะทำเสียงที่สองใส่ผมแล้ว มันยังทำสีหน้าออดอ้อนในแบบที่โคตรจะน่าหมั่นไส้อีกด้วย
“ข้าต้องอาบน้ำให้เจ้าคืนอย่างนั้นรึ”
คังยูยิ้มแทนคำตอบ ผมมองไปที่รอบๆ ตัวอย่างหวาดๆ ราวกับกลัวว่ามีใครจะมาเห็น แต่เมื่อได้ยินเสียงกระโดดน้ำอย่างสนุกสนานของเพื่อนอีกสามคนที่เหลือและอยู่ห่างออกไปตั้งไกล ทำให้ผมเริ่มรู้แล้วล่ะว่าตรงนี้มีผมกับคังยูแค่ 2 คนจริงๆ
ถ้าอย่างนั้น...มันต้องหันหลังให้ผม
“หันหลังไป”
“ทำไมต้องหันหลัง”
ไอ้สาด ข้างหน้ามึงมีอะไรบ้าง กล้ามหน้าอก ซิกส์แพ็คที่แน่นอย่างกับที่โชซอนมีฟิตเนสและก็โปรตีนเวย์ จะให้กูดูเต็มๆ ตาในแบบทรีดีโดยต้องทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไรอย่างนั้นเหรอ กูทำไม่ได้หรอก
“แค่หันหลัง”
ผมจับอีกฝ่ายหันกลับไปได้สำเร็จ จากนั้นก็ทำเหมือนที่เขาทำกับผม
แค่ข้างหลังของมันก็มีพลังทำลายล้างแล้ว...กล้ามเนื้อหลังคนเราจะชัดได้อีกกว่านี้มั้ยวะ...
อดที่จะเคาะไม่ได้
“ทำอะไรของเจ้า”
“แค่จับดู...”
“คงจะแปลกสำหรับเจ้าล่ะสิ ในเมื่อเจ้าไม่มีนี่”
ตอนจับดูน่าจะกางเล็บออกแล้วข่วนหลังของมันเสีย! ย๊ากกกกกกกกกกกก
แต่ก็ทำได้แค่คิดล่ะนะ...
“จับอีกสิ”
หือ...
“จับได้...ทุกที่...ถ้าเป็นเจ้า”
ว้อท มึงไม่หวงร่างกายของมึงหน่อยเหรอ ทำไมให้กูจับได้ง่ายๆ ล่ะเนี่ย!
“จริงๆ แล้วตามกฎหากเจ้าเป็นคนที่มาปรนนิบัติข้า แม้แต่สบตาก็ยังทำไม่ได้...”
คังยูพลิกตัวกลับมา...ก่อนที่จะจับมือผมให้ไปจับตัวเขา
กูนี่ตัวแข็งทื่อเลย...มันทำอะไรของมันวะ...ไม่รู้หรือไงว่าทำผมอึ้งจะเป็นบ้าอยู่แล้ว!
“...แต่นี่ข้าอนุญาตให้เจ้าทั้งจับ...ทั้งทำอย่างอื่นเลย”
“ทำอะไร...” ผมรำพึง
“แล้วแต่เจ้าสิ...”
หากจะถามสันดานดิบของผมล่ะก็...ป่านนี้ตัวของคังยูคงเต็มไปร่องรอยแห่งความร้อนแรงของผมแน่ๆ
แต่ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน...กูจะมีปัญญาทำแบบนั้นได้ยังไง
“ปล่อยได้แล้ว”
ผมขยับมือ...ก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา ถึงจะก้มหน้าก็เจอซิกส์แพ็คใต้น้ำของมันอยู่ดี เฮ้ออออ
“เฮ้อ...” คังยูปล่อยผมก่อนที่จะถอนหายใจ “สตรีที่ไหนก็ทำข้าเป็นแบบนี้ไม่ได้”
ผมขมวดคิ้ว
“เจ้าหันกลับไป...”
“หา”
“จะมองก้นของข้าตอนที่ข้าลุกจากน้ำหรืออย่างไร”
ก็อยากมองอยู่นะ...แต่เออ ไม่มองก็ได้ ผมหันกลับไปอย่างว่าง่าย และก็นึกว่าคังยูมันจะลุกขึ้นจากน้ำไปแล้ว แต่เปล่าเลยครับ เขาสวมกอดผมจากทางด้านหลัง และก็เอาจมูกโด่งๆ ของเขามาฝังที่ขมับเปียกๆ ของผมเบาๆ
เหยด...
“อย่าได้คิด...จะเปลือยกาย...ต่อหน้าใครอีก”
“...”
“นอกจากข้า”
TBC*
คนเขียนโนคอมเมนต์ใดๆ นอกจากอยากเห็นก้นของคังยูค่ะ