ตอนที่ 22 “นายน้อย นายน้อยขอรับ!”
ผมกับคังยูที่งีบอย่างสงบถึงกับตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงที่แตกตื่นของจีซู ผมกับคังยูมองหน้ากันอย่างงงๆ ก่อนที่คังยูจะส่งเสียงถามออกไป
“เกิดอะไรขึ้น”
“เราถูกหลอกแล้ว...”
“...”
“องค์ชายใหญ่อยู่ทางด้านนอกขอรับ!”
ผมถึงกับตัวชาแข็งทื่อไปเลย ส่วนคังยูนั้นเขาเก็บอาการได้มากกว่าผมเยอะ แม้จะตกใจแต่ก็ยังมีสติ เขาเดินไปเปิดประตู เจอผองเพื่อนทุกคนที่หน้าซีดเผือดไปตามๆ กัน แม้กระทั่งองครักษ์อย่างซองชิลก็ยังดูช็อค
ทุกคนมีเซนส์เหมือนกันเรื่องหัวหน้าเผ่า ผู้ที่ไม่น่าจะจัดการต้อนรับพวกเราอย่างกับปูพรมแดงงานอะคาเดมี่อวอร์ดส์ เพราะเราไม่ใช่เทยเลอร์ สวิฟต์! แต่ใครจะไปรู้ว่าหัวหน้าเผ่าจะจัดการตกลงกับองค์ชายใหญ่
“พระองค์มาเพื่อพาตัวพวกเรากลับ”
จีซูรายงานเสียงอ่อย คังยูพยักหน้า มองหน้าเราทุกคนก่อนที่จะพูดออกมา
“พวกเจ้าต้องหาทางหนี”
“ว่าอย่างไรนะ” ทุกคนส่งเสียงเหมือนกันหมด
“เรื่ององค์ชายรัชทายาทข้าจะรับมือเอง” คังยูพูด ก่อนที่จะมองมาที่ผม “ไม่มีอะไรรับประกันว่าตอนที่พวกเจ้ากลับไปจะได้รับโทษหนักหรือโทษเบา”
“ข้าน้อยทั้งสองไม่ทิ้งนายน้อยหรอก” จีซูพูดอย่างเคร่งเครียด “ท่านก็รู้นี่ เราเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย ท่านอยู่ไหนพวกเราก็จะอยู่กับท่านที่นั่น”
“แต่ว่า...”
“หากท่านเป็นห่วงสองคนนี้ โดยเฉพาะยองวอน” จีซูกลืนน้ำลาย “ข้าเชื่อว่ายองวอนเองก็คิดเหมือนกันกับข้า เขาไม่ยอมห่างนายน้อยไปไหนแน่ๆ”
ผมถอนหายใจก่อนที่จะมองหน้าคังยู เป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างที่จีซูพูด...ผมไม่อยู่ห่างจากมันอีกแล้วล่ะครับ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ผมไม่มีอะไรจะต้องเสียอยู่แล้ว...
และผมจะไม่ยอมเสียมันไป ไม่ว่าจะยังไง...
พยองอันแม้จะดูอ่อนแอแต่ทว่าเวลานี้กลับทำหน้ามั่นอกมั่นใจมากว่าจะไม่ยอมหนีไปแต่โดยง่าย ผมทึ่งในความกล้าของมันมาก ดูมันไม่เกรงกลัวอะไรต่ออำนาจของทางการและองค์ชายใหญ่เลย
“ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็คงต้อง...”
“...”
“หนี!”
สิ้นเสียงคังยูพวกเราทุกคนออกทางด้านหลังของเรือนรับรองที่หัวหน้าเผ่าจัดเตรียมไว้ให้ แต่ไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องเจอะเข้ากับทหารจากทางการรวมถึงไอ้กล้วยที่ตามมาทันในที่สุด ทุกอย่างเหมือนถูกจัดเตรียมเอาไว้หมดแล้ว รอคอยแค่พวกเรามาถึงเท่านั้น
ผมประมาทคนในยุคนี้น้อยไป แม้การสื่อสารจะไม่ใช่โทรกริ๊งเดียวก็คุยกันรู้เรื่อง แต่เขาก็วางแผนการได้อย่างแยบยลเลยทีเดียว
องค์ชายใหญ่นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
“คังยูน้องข้า...” องค์ชายกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินมาหาคังยู ในขณะที่พวกเราสี่คนที่เหลือยืนสงบเสงี่ยมเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ทางด้านหลัง ถูกล้อมไปด้วยทหารจากทางการที่ไม่รู้มากันกี่สิบ ดีไม่ดีอาจจะถึงร้อยเลยก็ได้
“ท่านพี่” คังยูก้มหน้า
“เจ้าไม่น่าหุนหันพลันแล่นเช่นนี้เลย เสด็จพ่อทรงกริ้วมากเลยรู้หรือไม่”
องค์ชายใหญ่ไม่มีหน้าตาส่วนไหนที่คล้ายคังยูเลยแม้แต่น้อย เขาแก่กว่าประมาณห้าปี แถมไว้หนวดเครา หากจะให้พูดตรงๆ หากเทียบสองคนนี้เป็นนักร้องในยุคปัจจุบันก็คือคังยูเป็นสไตล์หล่อบอยแบนด์ใสๆ แต่องค์ชายใหญ่เป็นนักร้องที่มีอายุแต่ก็ยังคงหน้าตาดีและก็มีสไตล์
“เจ้าคงต้องกลับไปกับข้าดีๆ แล้วล่ะ”
“หากกระหม่อมกลับไป ท่านพี่จะรับประกันความปลอดภัยของสหายของข้าได้หรือไม่” คังยูดูจะกังวลเรื่องนี้มากที่สุด
องค์ชายใหญ่เดินสำรวจพวกเราทีละคนๆ ด้วยสายตาที่ผมดูไม่ออก แต่เขาสำรวจผมอย่างอ้อยอิ่งมากที่สุดในบรรดาสี่คนแล้ว...
“เด็กหนุ่มอนาคตไกลของบ้านเมืองเรา ข้าจะกล้าลงโทษพวกเขาได้อย่างไรกันเล่า”
เขาพูดอยู่ตรงหน้าผม ผมกลืนน้ำลายไม่กล้าสบตาเขาเลยจริงๆ คนมีอำนาจกับคนไม่มีอำนาจมันต่างกันยังไงผมก็รู้ซึ้งเดี๋ยวนี้นี่เอง
“เจ้าชื่อเรียงเสียงไร”
“ลียองวอนพะย่ะค่ะ”
“รูปโฉมเจ้า...ดูเหมือนไม่ควรเกิดกับคนที่เป็นบุรุษเลย”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คังยูเดินเข้ามาและก็ขวางหน้าผมเอาไว้
“จะออกเดินทางกันเลยหรือไม่พะย่ะค่ะ”
“ต้องออกเดินทางกันเลย การที่พระราชาทรงกริ้วใครจะไปรู้ว่าในใจพระองค์จะทรงคิดเช่นไร หากเจ้าไปช้า โทษของเจ้ามีแต่จะหนักขึ้น”
“พะย่ะค่ะ”
“ส่งม้ามาให้องค์ชายซองโจ” องค์ชายใหญ่สั่งเสียงดังลั่น “ส่วนสหายของเจ้านั้นคงจะเดินเท้ากันไหว...”
ทำไมผมรู้สึกว่าเหมือนเขาจะแกล้งผมวะ...จริงๆ นะ...แต่ผมก็ไม่กล้าพูดอะไรมากเอาแต่เงียบอย่างเดียว และก็เดินตามหลังเพื่อนอีกสามคนไป โดยมีคังยูและก็องค์ชายใหญ่ที่อยู่บนม้านำหน้าและก็เคียงคู่กันไปนำขบวนเดินทางกลับเมืองหลวง
คังยูเหลียวกลับมามองผมอยู่บ่อยครั้ง...เขาคงผิดหวังกับการหลบหนีที่ลงเอยเช่นนี้ จริงๆ แล้วเขาไม่ควรผิดหวังเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าเขาจะหนีไปทางไหน จะไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ท้ายที่สุดแล้วก็มีคนตามเขากลับไปวังหลวงที่เป็นที่อยู่ของเขาอยู่ดี
เพราะเขาไม่ใช่คนธรรมดา แต่เขาสืบเชื้อสายโอรสสวรรค์
ผมบอกแล้วใช่มั้ยครับว่าผมไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว...
...สิ่งที่ผมไม่อยากเสียมีเพียงแค่เขา เขาที่อยู่บนม้าข้างหน้าขบวน เคียงคู่กับองค์ชายใหญ่ผู้นั้น
ขอแค่ได้อยู่กับเขานานมากขึ้นสักห้าวินาทีผมก็พอใจแล้ว...เพราะผมไม่รู้ว่าผมจะติดอยู่ในร่างนี้นานแค่ไหน หรือว่าติดอยู่ตลอดไป...ผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
ระหว่างทาง
“ดื่มน้ำหรือไม่ยองวอน” หัวหน้าผู้ตรวจการแห่งหมู่บ้านหยกหอมอย่างไอ้กล้วยยื่นน้ำมาให้ผม หลังจากที่ผมเดินเท้ามานานหลายชั่วโมง ตอนนี้ขบวนไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ (ถ้าผมรู้ก็คงแปลกมากเลยใช่มั้ยครับ) ผมไม่ได้มีความรู้สึกเหนื่อยเลย แต่มีความกังวลในใจมากกว่า “องค์ชายใหญ่ทรงเป็นคนมุทะลุ ดีไม่ดีพระองค์อาจจะพาเราเดินทางกันทั้งวันทั้งคืน”
ผมมองหน้าไอ้กล้วย...ยังคงโกรธมันจนถึงวินาทีนี้ ถ้ามึงคือคนที่นอนอยู่ข้างๆ กูในหอนะป่านนี้มึงโดนกูเตะไปละ เพื่อนฟวย!
“ให้ตายสิยองวอน” มันกระโดดลงจากม้าที่บังคับแล้วมาเดินข้างๆ ผม “มันเป็นหน้าที่ของข้า เจ้าก็รู้นี่”
“แต่เจ้าก็ไม่ควรโกหก” มึงไม่ควรตอแหลไงโว้ยยยยย
“มันจะช่วยให้เจ้าปลอดภัย ยิ่งพวกเจ้าอยู่ในมือทางการได้เร็วแค่ไหนเจ้าก็ปลอดภัยเร็วแค่นั้น”
“...”
“ที่เจ้าทำอยู่น่ะสามารถเอาผิดเจ้าได้ถึงโทษประหาร เจ้ารู้ตัวหรือไม่”
ผมไม่มีอารมณ์จะต่อปากต่อคำอะไร เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึง พยองอันที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมเหมือนจะไม่รู้จักกับไอ้กล้วย ในขณะที่อีกสองคนนั่นคือจีซูและซองชิลกลับไม่สนใจอะไรไอ้กล้วยเลย
“หากไม่ไหว เจ้าจะขึ้นม้าของข้าก็ได้นะ”
“ข้าไม่อยากรับสิทธิพิเศษอันใด” อีกอย่างหนึ่งองค์ชายใหญ่ก็ออกปากเองว่าให้ผมเดิน
“ข้าเป็นห่วงเจ้านะ”
ในตอนนั้นเองจากคนที่ไม่ได้สนใจอะไรกลับหันมาสนใจทั้งหมด ทั้งจีซูและก็ซองชิล พยองอันเองก็เช่นกัน ทำไมต้องตกอกตกใจกันขนาดนั้น มันเป็นเพื่อนผมทั้งในชาตินี้และก็ในชาติหน้าด้วย
“ข้าไม่เป็นไร”
“เจ้าไม่เป็นไรแน่หรือ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ”
“แต่ใบหน้าเจ้า...”
กึก...หัวของผมชนเข้าอย่างจังกับเจ้ายักษ์ดุที่หยุดเดินกะทันหัน ไอ้กล้วยมองรอบตัวเห็นว่าทุกคนกำลังจะหยุดเดินทางและก็พักกัน เหมือนองค์ชายใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าจะสั่งการลงมาแล้วว่าให้พักกันที่ตรงนี้
ผมไม่สนใจไอ้กล้วย พาร่างตัวเองไปนั่งอยู่ตรงโขดหินกับพยองอัน เพื่อนๆ แบ่งน้ำให้พวกเราดื่มกันใหญ่ และในตอนนั้นเองที่คังยูขี่ม้ามาหาและก็ลงจากหลังม้า
“ข้าบอกเจ้าแล้ว” จีซูกระซิบกับซองชิล “ไม่นานเกินชั่วยามหรอก” เขามองผมอย่างขำๆ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจความหมายของเขาอยู่ดี “นายน้อยไม่ชอบให้เจ้าเสวนากับหัวหน้าผู้ตรวจการคนนี้” เขาทำปากบอกผมประมาณนี้
พยองอันลุกหนีเพื่อที่จะให้คังยูนั่งข้างๆ ผม ผมทำท่าจะลุกให้อีกฝ่ายนั่งก่อนแต่โดนคังยูดึงมือเอาไว้ให้นั่งข้างๆ เขายื่นน้ำมาให้ผม เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เพื่อนคนอื่นเดินไปนั่งที่ห่างๆ จากผมกับคังยู
“ข้าดื่มแล้ว” ผมบอกกับเขา
“เจ้านั่นมีอะไรจะพูดกับเจ้านักหนา”
“หืม เจ้าหมายถึง...”
“ไอ้หัวหน้าผู้ตรวจการ”
“อ๋อ” ผมรับคำ “เขาก็แค่กลัวว่าข้าจะเป็นลมเป็นแล้ง”
“แล้วเจ้าจะเป็นลมเป็นแล้งจริงๆ หรือ”
“เปล่า” ผมรีบตอบ “ข้าไหว ข้าเดินได้”
“นี่ถ้าข้าไม่ออกปาก ท่านพี่ก็คงจะไม่สั่งให้หยุดพัก” คังยูพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พระองค์ทำเหมือนกำลังแกล้งเจ้ายังไงยังงั้น”
“เจ้าอย่าคิดมาก พระองค์จะมาแกล้งข้าทำไม” ผมพูดไปตามที่เห็น
“นั่นสินะ” คังยูมองไปที่พี่ชายของตัวเองที่กำลังมองมาที่เราสองคน “เขาจะแกล้งเจ้าทำไม...”
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” ผมถามอะไรโง่ๆ ออกไป “เจ้ากลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้มั้ย”
คังยูถอนหายใจ “ข้าคิดไว้อยู่แล้วว่าหนีไปไม่ทันไรก็คงโดนจับ แต่ข้าไม่คิดว่าจะเร็วแบบนี้”
ผมก็คิดเหมือนมันนั่นแหละ...
“อย่าให้เจ้านั่นมายุ่มย่ามอะไรเจ้าอีกนะ” คังยูพูดเหมือนมองเห็นไอ้กล้วยที่เดินดูลูกน้องตอนพักไปทั่ว
“เขาเป็นสหายของข้า”
“แต่ข้าไม่ชอบ...”
ผมมองคังยูแบบที่หรี่สายตาลง “เจ้าไม่ชอบสหายข้าตั้งแต่ที่เจอหน้าเมื่อครานั้น...”
“ถูกต้อง”
“ทำไมถึงไม่ชอบหน้าคนอื่นง่ายดายแบบนี้นะ”
“นี่เจ้า...”
“ข้าก็แค่พูดไปตามสิ่งที่ข้าคิด”
“ก็เจ้านั่นอยากมายุ่งกับเจ้าเองทำไม”
“ก็เขาเป็นสหายข้า”
“ข้าบอกว่าห้ามก็คือห้าม อย่าให้ข้าเห็นว่าเจ้าอยู่ใกล้เจ้านั่นอีก ข้าจะสั่งให้ซองชิลจับตาดูเจ้าเอาไว้อย่างไม่ละสายตาเลยทีเดียว”
โหดไปป่ะวะ...นี่ถ้าผมไปอยู่กับเพื่อนนิดเดียวไม่ใช่ไอ้ยักษ์ดุมันจะเอาดาบมาเสียบผมมั้ยนั่นน่ะ
ผมมองคังยูด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
“ข้าเป็นคนขี้หวง” คังยูพูดแบบที่ไม่สบตากับผม “ของๆ ข้าก็คือของๆ ข้า”
“ข้าเป็นของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
คังยูหันขวับมามองหน้าผม “แล้วเจ้ากล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำมั้ยว่าไม่ใช่ของๆ ข้า”
ผมอ้าปากแต่ก็หุบลงอย่างรวดเร็ว...เออว่ะ จริงของมัน...
“แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้พูดอะไรกับข้าตรงๆ แต่สายตาของเจ้าข้าเชื่อว่าข้าดูไม่ผิด”
มึงมีความมั่นใจในตัวเองจังเลยเนอะ มั่นใจมากมายเหลือเกิน แต่ถูกของมัน ผมไม่มีอะไรจะเถียงมันเลยแม้แต่นิดเดียว
“ชะตาของเจ้าคงหนีข้าไม่พ้นหรอกยองวอน...” “นั่นใช่สิ่งที่ข้ากำลังคิดหรือไม่...”
“อาจใช่พะย่ะค่ะองค์ชาย”
“คังยูเห็นทีจะเอ็นดูลียองวอนมากเกินกว่าที่ข้าคิด...”
“...”
“ตอนนี้ข้าค้นพบจุดอ่อนจริงๆ ของคังยูแล้วล่ะ ตกใจเหมือนกันนะที่น้องข้าถูกตาต้องใจกับบุรุษเพศเดียวกัน แต่ก็น่าจะช่วยให้ข้าได้เป็นองค์ชายรัชทายาทได้เร็วขึ้น”
“...”
“เรื่องนี้ควรถึงหูเสด็จพ่อหรือไม่...เจ้าคิดว่าอย่างไร”
รอยยิ้มปรากฎอยู่บนใบหน้าขององค์ชายคนโต เป็นรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์เกินกว่าที่จะบรรยายTBC*
เหมือนจะม่าแต่ตอนหน้าสวีทมากกกกก