ตอนที่ 29
เรื่องที่ทูตต้าหมิงจะมาเริ่มถูกกล่าวขานไปทั่วโรงเรียน เช่นเดียวกันกับคังยูที่ไม่โผล่หน้ามาให้เห็น แม้จะไม่ใช่งานใหญ่อะไรแต่ก็ทำให้นักเรียนซองกยุนกวานอยากรู้อยากเห็นมายมายเหมือนกัน เพราะได้ข่าวมาว่าทูตต้าหมิงนั้นพาสาวงามมาด้วย
ผมเองก็เพิ่งรู้นี่แหละ มือที่หอบจานชามที่เพิ่งล้างเสร็จถึงกับชะงักค้าง
สาวงามงั้นเหรอ...
“เป็นอะไรไป” จีซูที่อยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามาถาม “กำลังกังวลเรื่องสาวงามจากต้าหมิงอยู่งั้นรึ”
“เปล่า”
“องค์ชายไม่ยอมให้ถูกจับคู่ง่ายๆ หรอก อีกอย่างยุนนาราก็คงจะกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้สาวงามคนนั้นได้ใกล้ชิดองค์ชาย” จีซูวิเคราะห์ให้ผมฟัง “เจ้ามิเห็นต้องมีอันใดให้กังวล”
ชีวิตของคังยูต่างก็แวดล้อมไปด้วยสาวงาม ไม่ว่าจะเป็นเหล่านางใน นางกำนัล หรือว่าซังกุง สาวงามจากต้าหมิงนั้นก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าการที่ทูตต้าหมิงมาที่โชซอนแห่งนี้มีเงื่อนไขอะไรแอบแฝงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ รู้จักหวั่นใจไม่น้อย หลังๆ มานี่ผมรู้สึกว่าตัวเองนี่ชักจะมโนและก็คิดไปเองมากจนเกินไป เรื่องสาวงามจากเมืองต้าหมิงก็เช่นเดียวกัน
ผมวางจานชามที่ล้างสะอาดเรียบร้อยแล้วลงบนโต๊ะไม้ พยายามให้ใจตัวเองอยู่กับงานตรงหน้า อีกไม่กี่วันผมกับเพื่อนคนอื่นๆ ก็จะถูกยกเลิกสถานะเป็นเด็กรับใช้แล้ว อันที่จริงผมรู้สึกเสียดายนิดหน่อยนะครับ การได้ทำโน่นทำนี่ทำให้ผมเลิกฟุ้งซ่านได้แม้จะชั่วขณะหนึ่ง ในหัวผมนั้นมีเรื่องมากมายหลายประการที่ต้องคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคังยู เรื่องที่ตัวเองถูกประทุษร้ายจนเกือบตาย เรื่องที่เจอยองวอนในความฝัน และก็อีกมากมายจนพูดถีึงไม่หมด บางครั้งผมก็ระบายมันด้วยการเขียนลงสมุดบันทึก มันช่วยไม่ได้มากเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไปตามหาไอ้ยองวอนในฝันแล้วมันไม่ยอมโผล่ออกมาก็แล้วกัน
ผมหันใบหน้าที่มัวแต่ใจลอยของตัวเองกลับมา จังหวะนั้นเองที่ผมต้องตกใจกับทหารของวังหลวงที่จู่ๆ ก็มายืนอยู่ตรงหน้าผมประมาณ 4-5 นาย
“องค์ชายแทจงมีรับสั่ง ให้นักเรียนซองกยุนกวานลียองวอนได้เข้าเฝ้า”
ผมขนลุกซู่ ไม่มีแม้แต่เวลาคิดว่าจะเอายังไง เพราะทหารพวกนั้นเข้ามาจับแขนผมและก็ลากผมไปจากโรงอาหารของโรงเรียน พยองอัน จีซู และซองชิลยืนมองผมที่ถูกทหารลากออกไปด้วยแววตาที่ชะงักค้าง ทุกคนงงกันหมด ผมเองก็เช่นกัน
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่...
ใช้เวลาไม่นานนักผมก็มาถึงวังหลวง ในวังนั้นทุกคนล้วนวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมงานต้อนรับทูตต้าหมิง ผมเห็นคนหลายคนจากหลายๆ ฝ่ายเดินวุ่นกันไปทั่ว ทั้งขุนนาง ทหาร ผู้ตรวจการ หรือนางในนางกำนัล ผมที่เป็นนักเรียนซองกยุนกวานและถูกทหารควบคุมมิอาจทำให้คนที่กำลังวุ่นพวกนั้นให้หันมาสนใจผมได้
ตำหนักองค์ชายใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่อีกฝั่งหนึ่งของวังหลวง เป็นคนละฝั่งกับตำหนักองค์ชายรองอย่างคังยู และก็ที่สำคัญตำหนักขององค์ชายใหญ่นั้นใหญ่โตโอ่อ่าและก็กว้างขวางมากกว่าตำหนักของคังยูถึงสองเท่า ผมมองด้วยสายตาตื่นตะลึง นอกจากตำหนักจะมีความอลังการงานสร้างแล้ว ทหารที่เฝ้าอยู่บริเวณตำหนักก็มีปริมาณมากเหมือนเป็นตำหนักของพวกเสนาธิการทางทหาร ผมกลืนน้ำลายเอื้อกขณะที่ตัวเองถูกพาให้ไปยังส่วนหลังของตำหนักองค์ชายใหญ่
ทหารพาผมมายังศาลาริมน้ำหลังตำหนัก องค์ชายใหญ่ประทับอยู่ตรงนั้น มีบริวารสาวสวยคอยปรนนิบัติอยู่ไม่ห่าง พระองค์แย้มสรวลเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ ทหารปล่อยตัวผมก่อนที่ผมจะโค้งตัวให้องค์ชาย
“เจ้านั่งลงก่อน” ผมนั่งลงบนเบาะรองนั่งที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามขององค์ชายแทจง พระองค์โบกปัดปฏิเสธบริวารที่กำลังจะบีบนวดให้ ผมนั่งเกร็งจนขยุ้มชายเสื้อของตัวเอง “เป็นอะไรไปหรือ หรือเจ้ากำลังกลัวข้า”
“กระหม่อมมิบังอาจพะย่ะค่ะ” ผมกระซิบ แต่ความเป็นจริงนั้นผมกลัวฉิบหาย กลัวว่าตัวเองจะถูกฆาตกรรม ถูกทำร้ายหรือแม้กระทั่งถูกทำมิดีมิร้าย
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้...ถูกต้องมั้ยล่ะครับ T_T
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้านำตัวเจ้ามาด้วยเหตุอันใด”
“โปรดประทานอภัยให้ความโง่เขลาของกระหม่อม กระหม่อมมิทราบจริงๆ พะย่ะค่ะ”
“เรื่องงานต้อนรับทูตต้าหมิง” องค์ชายใหญ่ตรัสอย่างอารมณ์ดี “ข้าจะให้เจ้าร่วมงานด้วย ในฐานะสหายของข้า”
อะไรวะ...รู้สึกเหมือนตัวเองงานเข้าแปลกๆ ผมรู้ว่าในงานเลี้ยงต้อนรับนี้ก็มีคังยูเข้าร่วมด้วย แต่แทนที่ผมจะดีใจผมกลับกังวลแทน องค์ชายใหญ่ทรงวางแผนอะไรอยู่หรือเปล่า...
“เจ้าควรตอบว่าเป็นมหากรุณาธิคุณ”
“เป็นมหากรุณาธิคุณพะย่ะค่ะ กระหม่อมซาบซึ้งใจ” แม้จะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น แต่ผมก็ต้องพูดออกไปแบบนั้น
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้เจ้าพักผ่อนอยู่ที่ตำหนักของข้า จนกว่าจะถึงงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” องค์ชายใหญ่หันไปสั่งให้ทหารมาจับตัวผม
“องค์ชาย กระหม่อมยังจะต้องไปโรงเรียน...”
“เรื่องนั้นสำคัญกับเจ้าด้วยอย่างนั้นรึ”
“สำคัญพะย่ะค่ะ”
“สำคัญกว่าความรักของเจ้ากับน้องชายของข้าหรือไม่”
ผมชะงัก มือที่ทหารจับแขนผมเริ่มแน่นขึ้นเรื่อยๆ องค์ชายใหญ่ไม่ได้ตั้งใจจะเชิญผมไปเป็นพระสหายในงานเลี้ยง เขาตั้งใจจะจับผมและก็กักตัวเอาไว้เลยต่างหาก
“พาตัวไปขังไว้ในห้อง”
“พะย่ะค่ะองค์ชาย”
ผมถูกหิ้วไปอย่างง่ายดายเหมือนทหารพวกนั้นหิ้วตุ๊กตา โชคชะตาช่างเล่นตลกกับผมเหลือเกิน แม้จะรู้ดีว่าพรุ่งนี้ตัวเองจะได้ไปงานเลี้ยง แต่ทำไมรู้สึกเหมือนมีอันตรายอยู่รอบตัวของผม
เมื่อไหร่จะผ่านจะพ้น เมื่อไหร่จะจบจะสิ้นไปสักที
ห้องพักในตำหนักขององค์ชายใหญ่
สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้นับว่าเลวร้ายไปเสียทั้งหมด ดูเหมือนจะเป็นห้องรับรองสำหรับแขกขององค์ชายใหญ่ มีที่นอนนุ่มสบายและก็น้ำชาพร้อมอาหารว่างคอยเสิร์ฟให้ผมตลอด แต่ผมไม่มีอารมณ์จะกินหรืออารมณ์จะสะดวกสบายอะไรทั้งนั้น ผมรู้สึกเหมือนว่าผมกำลังอยู่ในหลุมพรางที่องค์ชายใหญ่วางเอาไว้ ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงคิดแผนการอะไรไว้อยู่ ผมไม่รู้จริงๆ
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ นางกำนัลตำหนักองค์ชายใหญ่เดินเข้ามาเปลี่ยนกาน้ำชาเป็นกาที่ห้าแล้ว ผมยังคงนั่งอยู่ในนั้นด้วยอาการซึมกะทือ ไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากนั่งกอดเข่าอยู่ในมุมเศร้าๆ คนเดียว องค์ชายใหญ่เป็นคนที่ผมยากที่จะรับมือด้วย และผมก็ไม่รู้ว่าผมต้องทำยังไง หากพังประตูออกไป ไม่นานนักทหารก็จะจับผมกลับเข้ามานั่งในห้องเดิม หรือผมต้องรอต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงงานเลี้ยงต้อนรับทูตต้าหมิงจริงๆ
นี่มันสงครามประสาทชัดๆ พระองค์ไม่ใช้กำลังกับผมแต่จะทำให้ผมเป็นบ้าก่อนใช่หรือไม่
ปัง!
ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดังที่หน้าประตู มีคนมาต่อสู้กันตรงหน้าประตูห้อง ผมรีบวิ่งเข้าไปใกล้และก็เปิดประตู เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทหารขององค์ชายใหญ่พลาดท่าล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้นนอนอยู่แทบเท้าของผม ผมตกใจจนต้องเขยิบห่างถอยหนี เงยหน้าขึ้นมามองดูว่าเป็นฝีมือของใคร
ซองชิล
“ออกมาเถอะขอรับคุณชาย”
แม้ว่าผมจะตกใจ แต่ผมก็ดีใจที่รู้ว่าซองชิลมาช่วย ผมรีบตามซองชิลออกมาจากห้องพัก เพิ่งรู้ว่าตำหนักขององค์ชายใหญ่ตอนนี้มีแต่ซากของที่แตกกระจายและทหารที่นอนเจ็บกันเกลื่อนเพราะฝีมือของซองชิล
เพล้ง!
เสียงของแตกดังขึ้นตรงกลางตำหนัก ผมเห็นคังยูกำลังเผชิญหน้ากับองค์ชายใหญ่ด้วยท่าทางโมโหจัด
“เจ้าพี่ทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“ข้าทำอะไร ข้ายังมิได้ทำอะไรเลย”
“เจ้าพี่ไม่มีสิทธิ์จับสหายของกระหม่อมมาเช่นนี้!”
องค์ชายใหญ่ไม่สะทกสะท้านที่คังยูกับซองชิลมาอาละวาด รอบตัวเรามีทหารขององค์ชายแทจงคอยดูท่าทีของพวกเราอยู่
“อย่างที่ข้าคิดไว้ไม่มีผิด” ระหว่างที่ผมกับคนอื่นๆ เผลอ องค์ชายใหญ่ส่งสัญญาณให้ทหารที่อยู่ด้านหลังผมจับแขนผมเอาไว้ คังยูหันมาดูด้วยความตกใจ
“ปล่อย!”
“เจ้ามีใจให้ลียองวอนใช่หรือไม่” ดาบยาวในมือขององค์ชายถูกชี้มาใส่คอหอยของผม ผมหลับตาปี๋เพราะความแหลมและความส่องสว่างของดาบเล่มนั้นทำเอาผมรู้สึกกลัวขึ้นมา
“เจ้าพี่!”
“ข้าพยายามทูลเสด็จพ่อเรื่องนี้ พระองค์ไม่ยอมปักพระทัยเชื่อข้า พระองค์หาว่าข้าหาเรื่องใส่ความเจ้า!” องค์ชายใหญ่ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห ปลายดาบคมใกล้ผมเข้ามาเรื่อยๆ จนผมคิดว่าผมอาจจะต้องตายในวันนี้และก็ไม่กี่นาทีหลังจากนี้ “ในสายตาของเสด็จพ่อมีแต่เจ้า มีแต่เจ้าคนเดียว ไม่เคยมีข้าที่เป็นพระโอรสในพระมเหสี ขนาดเจ้าทำเรื่องผิดจารีตประเพณีด้วยการมีใจให้บุรุษเพศเดียวกัน พระองค์ก็ยังไม่คิดที่จะลงโทษคนอย่างเจ้า!”
คังยูแย่งดาบจากซองชิลมาชี้ใส่องค์ชายใหญ่ ทหารรอบตัวชักดาบออกมาพร้อมทำร้ายผม คังยู และก็ซองชิลทุกเมื่อ
“ได้โปรดปล่อยยองวอน เขาไม่เกี่ยวอะไรใดๆ กับเรื่องนี้ กระหม่อมขอร้อง”
“หากข้าไม่ปล่อย เจ้าจะฆ่าข้างั้นหรือคังยู”
“กระหม่อม...”
“เจ้าเลือกคนที่เจ้ารักมากกว่าคนในสายเลือดเดียวกันกับเจ้า อีกทั้งยังชี้ดาบมาขู่เจ้าพี่อย่างข้า... คนอย่างเจ้าจะกลายเป็นองค์ชายรัชทายาทได้อย่างไร”
“กระหม่อมไม่เคยอยากได้ตำแหน่งนั้น เจ้าพี่ก็รู้ดี”
“แล้วทำไมเจ้าถึงยังอยู่! ทำไมเจ้าไม่หนีไปให้พ้นเสียกับชู้รักเพศเดียวกันกับเจ้า!” ผมถูกผลักเข้าสู่อ้อมแขนของคังยูด้วยน้ำมือขององค์ชายใหญ่
“นั่นคือสิ่งที่กระหม่อมปรารถนา! เจ้าพี่ช่วยส่งกระหม่อมกับยองวอนไปที่ไกลๆ ได้หรือไม่พะย่ะค่ะ”
“เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะยอมให้ข้าทำอย่างนั้นหรือ!”
“ก็อย่าให้เสด็จพ่อทรงทราบ”
องค์ชายใหญ่ชะงัก พระองค์วางดาบลงก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองคังยูด้วยสายตาไม่แน่ใจเท่าไหร่
“กระหม่อมอยากหนีตั้งนานแล้ว กระหม่อมอยากอยู่กับคนทีี่กระหม่อมรัก กระหม่อมเคยทำเช่นนั้นแล้ว แต่เจ้าพี่เองนั่นแหละที่เป็นคนไปตามกระหม่อมกลับมา”
“...”
“กระหม่อมไม่เคยอยากได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ใดๆ ตั้งแต่เล็กจนโตสิ่งที่กระหม่อมคิดมีเพียงอย่างเดียวนั่นคือการที่จะได้เห็นเจ้าพี่ พี่ชายคนเดียวของกระหม่อมได้ถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท กระหม่อมรอคอยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นมาโดยตลอด”
“...”
“หากการที่กระหม่อมอยู่แล้วจะทำให้เจ้าพี่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์ชายรัชทายาท ได้โปรดส่งกระหม่อมและคนรักของกระหม่อมไปที่ๆ ไกลจากนี้ ไปที่ๆ ไม่มีใครสามารถตามหากระหม่อมได้ กระหม่อมยินดีและก็พร้อมที่จะไปเสมอ”
องค์ชายใหญ่มองดูน้องชายตนเองด้วยสายตาสั่นระริก
“กระหม่อมรู้ดีว่าไม่ว่าจะยังไงเสด็จพ่อก็จะไม่ยอมให้กระหม่อมได้ใช้ชีวิตอย่างไม่กระหม่อมปรารถนา ทางเดียวที่เป็นทางออกของทั้งสองฝ่าย คือกระหม่อมไปจากที่นี่และเจ้าพี่ก็ได้กลายเป็นองค์ชายรัชทายาทสมใจ ไม่มีพระโอรสในพระสนมอย่างกระหม่อมเป็นคู่แข่ง หรือเป็นข้อกังขาว่าพระราชาปรารถนาให้กระหม่อมเป็นองค์ชายรัชทายาทมากกว่าเจ้าพี่ คำพูดเช่นนั้นจะไม่มีอีกหากเจ้าพี่ช่วยกระหม่อม...” คังยูจับมือผมเบาๆ “...และก็คนที่กระหม่อมรักให้ได้อยู่ด้วยกัน”
องค์ชายใหญ่สั่งให้ทหารทั้งหมดลดอาวุธลง...
“เจ้าปรารถนาที่จะมีชีวิตเช่นนั้นจริงๆ หรือ”
“กระหม่อมพูดแล้วกระหม่อมจะไม่ยอมคืนคำ”
ผมมองใบหน้าที่แน่วแน่ของคังยูด้วยสายตาเศร้าหมองเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ เหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดนี่ล้วนแล้วแต่มาจากเหตุที่เรียกว่า ‘ความรัก’ ทั้งสิ้น
แม้สิ่งที่คังยูพูดจะเป็นการชี้ทางสว่างให้กับองค์ชายใหญ่ แต่ว่าเรื่องนี้ใช่ว่าเขาจะตัดสินใจได้อย่างฉับพลัน
“ข้าจะส่งคนไปให้คำตอบเจ้าในคืนนี้”
องค์ชายใหญ่เดินหนี ทหารของเขาก็พากันเดินหนีไปเช่นกัน ผมถอนหายใจโล่งอก คังยูทิ้งดาบในมือและก็โผเข้ากอดผม พร้อมๆ กับทั้งสำรวจใบหน้าของผมว่าผมเป็นอะไรหรือเปล่า
ซองชิลก้มลงหยิบดาบของตน จากนั้นก็โค้งทำความเคารพ และก็เดินเลี่ยงออกไปอย่างช้าๆ
“ข้ากังวลเรื่องเจ้าเหลือเกิน”
“ข้าไม่เป็นอะไร” ผมพูด “คังยู...สิ่งที่เจ้าพูดกับองค์ชายใหญ่ เจ้าต้องการอย่างนั้นจริงๆ หรือ”
“ข้าเลือกแล้วจูเนียร์...ข้าเลือกความรักของข้า”
“แต่ว่า...” ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทุกเช้าที่ผมลืมตาตื่นผมจะยังอยู่ที่โชซอนหรือเปล่า บางทีอาจจะเป็นลืมตาตื่นที่โซล ประเทศเกาหลีใต้ และก็กำลังจะเตรียมตัวสอบในอีกไม่กี่อาทิตย์ เหมือนก่อนที่ผมจะมาที่นี่ ไม่มีอะไรแน่นอนด้วยซ้ำ...
“อย่างที่ข้าบอก ข้าพูดแล้วข้าจะไม่คืนคำ”
ผมมองเขาด้วยสายตาเป็นกังวล คังยูจับศีรษะของผมให้ซบเข้ากับอกแกร่งของเขา หลังจากนั้นเราก็พากันแอบเดินกลับตำหนักของคังยู โชคดีที่ในวังยังคงวุ่นวายไม่แตกต่างจากตอนกลางวัน ไม่มีใครสนใจองค์ชายรองอย่างคังยูหรือนักเรียนซองกยุนกวานที่มาเดินย่องในวังหลวงอย่างผมหรือซองชิล...
หมั่นโถวยืนอยู่ด้านหน้าตำหนักของคังยูด้วยสายตาร้อนใจ
“องค์ชาย พระสนมเยบินทรงรออยู่ด้านในพะย่ะค่ะ”
“เสด็จแม่หรือ...” คังยูตกใจ หันมามองหน้าผมที่เขาพามาด้วย “...ทำเช่นไรดี”
ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไร พระสนมเยบินก็ค่อยๆ ก้าวลงมาจากตำหนักของคังยูอย่างเชื่องช้าและสง่า ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือข้างๆ พระสนมคือพระราชาซูจงแห่งโชซอน
ผมคุกเข่าลงกับพื้นอย่างอัตโนมัติ...
“คนนี้น่ะหรือเพคะ ที่ชื่อลียองวอน” เสียงพระสนม แม่ของคังยูดังขึ้นทั่วบริเวณ
“ใช่” พระราชาตอบแทน ผมไม่กล้าสบตาพระองค์ที่กำลังมองมาที่ผมอย่างเย็นชาแตกต่างจากตอนที่ผมสอบเข้าซองกยุนกวานได้ที่หนึ่ง...”ลียองวอนคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนนั้น”
คังยูก้มลงมามองผมที่คุกเข่าอยู่อย่างเป็นกังวล... ผมที่คุกเข่ามองเห็นแต่พื้นหินสีเทาข้างหน้าและก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
รู้สึกฉี่จะราดอยู่แล้ว...ผมจะโดนอะไรบ้างนะหลังจากนี้
TBC*
เกิดเป็นน้องจู๋ได้ใจคนหล่อแล้วมิใช่จะผ่านเรื่องร้ายๆ ไปโดยง่าย T_T
อ่านแล้วรู้สึกปวดมวนในท้องมากๆ