งานรียูเนี่ยนของคณะนิติศาสตร์จัดขึ้น ณ โรงแรมสี่ดาวแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นความกรุณาจากศิษย์เก่ารหัส พ.ศ. ต้น ๆ อีกทั้งมนุษย์ทั้งหลายที่จบจากที่นี่ไปก็ล้วนมีหน้ามีตาในสังคมทั้งนั้น ช่วยกันเป็นสปอนเซอร์นู่นนี่ จึงไม่แปลกที่งานเลี้ยงจะดูหรูหราไปสักหน่อย
อโณชาขับรถจากที่ทำงานบึ่งตรงมายังโรงแรมในทันที ไม่มีแม้แต่เวลาจะเปลี่ยนเสื้อผ้า โชคดีที่ไม่ลืมหยิบเสื้อสูทติดมือมาด้วย เลยพอจะปรับลุคได้อยู่ กระชับเสื้อสูทจัดทรงให้เรียบร้อยขณะย่างเข้าสู่โรงแรม ไหล่ที่ฟกช้ำออกงอแงเล็กน้อยจนปวดแปล๊บขึ้นสมอง กลับห้องไปคงต้องทายาอีกสักรอบ
รองเท้าหนังเหยียบย่ำลงบนพรม เป้าหมายของวันนี้อยู่ที่ชั้นบนสุดของโรงแรม อโณชาแอบผู้ร่วมใช้ลิฟต์ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังไม่เจอคนรู้จัก ทั้งที่เป็นงานเลี้ยงคณะ แต่ดันไม่เจอเพื่อนนี่มันออกจะน่าหดหู่ไปสักหน่อย จวบจนกล่องลิฟต์แตะชั้นบนสุดเขาก็ขยับเสื้อสูทอีกครั้ง แล้วก้าวขาออกไป
สถานที่จัดงานเป็นห้องบอลรูมโอ่งโถง ประดับด้วยโคมไฟระย้าตามแบบฉบับโรงแรมแท้ ๆ
“ขอบัตรเชิญด้วยนะคะ” เด็กสาวที่เคาน์เตอร์ส่งยิ้มหวาน เรียกให้เขาลนลานคว้ากระดาษออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“อโณชา รหัส XX ครับ”
“สักครู่นะคะ” หล่อนว่าขณะมือควานหากระดาษรุ่นของอโณชา ไล่นิ้วหาไปเรื่อย ๆ “โอ๊ะ! เจอแล้วคุณอะ...”
“อโณ! อโณนี่หว่า!” เสียงจากด้านหลังทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้ง อโณชารีบหันขวับ “ว่าไงวะ ไม่เจอกันซะนานเลย”
“ปอน?” เรียวคิ้วขมวดมุ่น พอเห็นอีกฝ่ายยังยิ้มตอบอโณชาค่อยโล่งใจที่จำชื่อไม่ผิด “นานโคตรเลยแฮะ กี่ปีแล้วเนี่ย”
“ตั้งแต่จบเลยไง”
อโณชาจรดปากกาเซ็นชื่อเพื่อรับของชำร่วยแต่ปากยังไม่หยุดพูด “ได้ข่าวว่ากำลังรุ่ง”
“เฮ้ย! รุ่งบ้าอะไรล่ะ พูดเกินไป๊!” ชายหนุ่มนาม ‘ปอน’ ปัดคำชมอย่างเขินอาย “แล้วนายล่ะ เห็นว่าอยู่บริษัทนำเข้าออร์แกนิก?”
“อืม Organicismo น่ะ” ไม่ทันจะต่อความ คิวด้านหลังก็มาต่อแล้ว อโณชาค้อมหัวขอโทษ “ฉันว่าเราไปคุยกันด้านในเถอะว่ะ ตรงนี้มันเกะกะคนอื่นเขา”
ปอนหันหลังกลับไปดูแล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ เขาก้มหัวขอโทษปลก ๆ แล้วรีบเซ็นชื่อตามอโณชาไปทันที
“แม่งเห็นรุ่นน้องที่ต้อนรับแล้วรู้สึกแก่เลยว่ะ” อโณชายิ้มขำกับความเป็นจริง พวกเขาจะสามสิบกันอยู่แล้วนี่นา การขึ้นเลขหลักใหม่มันไม่น่าพิสมัยหรอกนะ “เออนี่ เห็นไอ้ภัทรมันเป็นอัยการไปเรียบร้อยแล้วนะ”
“ไม่เห็นน่าตกใจเลย ก็มันเก่งสุดในรุ่นนี่นา”
“โห รีแอคชั่นนายแม่งแย่ว่ะ” ปอนโวยวาย “ถ้ามันได้เป็นคนใหญ่คนโตจะได้พึ่งพิงกันไง”
“ฉันขายแต่ขนม นม เนย อาหารกระป๋อง คงไม่ได้ไปตีกับใครเขามั้ง”
“เรื่อยเปื่อยเหมือนเคยเลยว่ะ”
“ขอบคุณสำหรับคำชม”
“เฮ้ย! อโณ ปอน ทางนี้เว้ย!” เห็นมือโบกไหว ๆ อยู่ที่โต๊ะพร้อมเสียงเรียกชื่อ ค่อยสมกับเป็นบรรยากาศงานเลี้ยงรุ่นหน่อย
หลังจากเดินตามไปที่โต๊ะตัวนั้น อโณชาก็เจอเพื่อนเก่าเพิ่มอีกห้าคน สิบนาทีต่อมาเป็นสิบห้า และงอกเป็นสามสิบสองในนาทีที่ยี่สิบห้า
คณะนิติศาสตร์ของมหาลัยฯกันเกรามีจำนวนนักศึกษาไม่มากนัก แถมไม่ใช่คณะที่มีผลงานโดดเด่นสักเท่าไร ดังนั้นการมีเพื่อนไปถึงระดับอัยการจึงเป็นที่เชิดหน้าชูตาของเพื่อนฝูงนัก
แน่นอน งานนี้ไอ้ภัทรเป็นพระเอกของโต๊ะ
“ว่าไง ๆ พ่อทนายแผ่นดิน”
“เฮ้ย! สัตว์ภัทรเคยแอบส่องข้อสอบกูนะมึงอะ”
“พวกมึงเลิกทวงบุญคุณได้แล้วแม่ง” เสียงเฮฮาหยอกล้อดังไม่หยุด นาทีนี้ทุกคนต่างลืมมารยาทและภาพลักษณ์ไปจนหมดสิ้น อายุตั้งเท่าไหร่ยังจะหัวเราะตบโต๊ะป้าบ ๆ กันไม่หยุด อโณชายกแก้วเบียร์ขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ กระดิกเท้าฟังเพื่อนเถียงกันเรื่องการเมืองอย่างร้อนแรง เขาเป็นพวกหัวอ่อนไม่ขอเข้าไปร่วมด้วยดีกว่า
เขาไม่ใช่ตัวท็อปของรุ่น ถึงคะแนนสอบจะค่อนข้างดีเสมอ แต่ก็ยังไม่นับเป็นพวกหัวกระทิ ที่โดดเด่นและมีคนพูดถึงบ่อยคงจะมีแค่เรื่องหน้าตา แต่ก็นั่นแหละ! มหาลัยฯมีคนหน้าตาดีเป็นร้อย จะเอาอะไรกับคนเอื่อยเฉื่อยล่ะ
“อโณเป็นไงมั่งวะ” พอพระเอกของงานเพ่งเล็งมาทางนี้ คนบนโต๊ะก็พลอยสนใจไปด้วย “หายหน้าหายตาเชียวนะ”
“ก็เรื่อย ๆ น่ะ” เขาตอบยิ้ม ๆ
“ตั้งแต่เรียนจบก็ไม่มีใครติดต่ออโณมันได้เลยนี่หว่า” คนอื่น ๆ เริ่มส่งคำถาม
“หายไปไหนมาวะ อโณ เพื่อน ๆ เป็นห่วงนะ”
“เออ นั่นดิ ไม่ใช่ว่าแอบหนีไปแต่งงานไม่บอกเพื่อนบอกฝูงนะ โกรธนะเว้ย!”
“อโณเป็นหนึ่งในสมบัติรุ่นนะ พวกแกจะมาคุกคามแบบนี้ไม่ได้นะยะ”
อโณชายิ้มแห้ง ๆ กับคำถามจากทั่วสารทิศ จนแทบจะต้องยกไมค์ขึ้นมาตอบ ‘ขอบคุณสำหรับคำถาม’ เขาหมุนแก้วในมือไปมา “พอดีหลังเรียนจบยุ่ง ๆ นิดหน่อยน่ะ”
“ยุ่งอะไรว้า ขนาดลืมเพื่อนลืมฝูง”
“ลืมอะไรกันเล่า” อโณแบ่งรับแบ่งสู้ ความรู้สึกบางอย่างถูกกวนตะกอนขึ้นมาเงียบ ๆ กระนั้นใบหน้าหล่อก็ยังเปรอะเปื้อนยิ้ม “พวกนายเองก็มัวแต่ไปสอบเอาตั๋วทนาย มีเวลามาติดต่อกันที่ไหนล่ะ”
“ดูมันตอบดิ๊! เพื่อนเสียใจว่ะ”
เสียใจอะไรกันล่ะ มุมปากจุดยิ้มขำกับตัวเอง เบียร์ในแก้วที่เคยนุ่มกับเฝื่อนคอขึ้นมาทันตา ขณะที่บทสนทนาเปลี่ยนกลับไปเรื่องคดีความที่เป็นประเด็นร้อนที่สุดตอนนี้ นามบัตรถูกแลกไปมา อโณชายัดมันลงกระเป๋าเสื้อสูทไม่พอจนต้องย้ายไปกระเป๋ากางเกงต่อ
เวลาไหลไปถึงสี่ทุ่มโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ตั้งใจจะรีบกลับแท้ ๆ แต่ก็ยังหาจังหวะขอตัวออกมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าหลงกินข้าวเย็นอิ่มหรือเปล่า ขากลับแวะซูเปอร์ฯซื้ออาหารเข้าไปด้วยดีกว่า อโณชานั่งหมุนแก้วไปมาหาจังหวะขอตัวโดยไม่ทำให้เพื่อนเสียบรรยากาศ ถึงจะไม่ใช่คนช่างพูด แต่การนั่งให้ครบองค์ประชุมถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งสำหรับการรวมรุ่น อ้อ! ต้องไม่ลืมประเพณีถ่ายรูปหมู่ด้วย ขณะกำลังคิดไม่ตกอยู่นั่นเอง เสียงทุ้ม ๆ ก็ดังจากด้านหลัง
“เฮ้ย! อโณ!” เจ้าของชื่อหันหลังกลับไปทันที พลันฉีกยิ้มให้คนตรงหน้า
“สวัสดีครับ อาแสง” คนเด็กกว่ายกมือไหว้
ชายวัยสี่สิบสามคือผู้มาเยือน ร่างสูงใหญ่ดูมีภูมิฐาน ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งประสบการณ์ กระนั้นก็ยังหล่อเหลา หลังเหยียดตรงสง่างามโค้งลงอย่างสุภาพ “เป็นไงบ้าง”
เสียงโหวกเหวกบนโต๊ะทำอโณชาต้องวางแก้วลงแล้วยันตัวขึ้น “ไปคุยกันตรงนู้นเถอะครับ”
ได้โอกาสล่ะ! เขาส่งสายตา ‘ขอตัวแป๊บนะ’ ให้ผองเพื่อนบนโต๊ะ ทุกดูจะเกรงแสง ด้วยหน้าตาดุ ๆ ของแกจึงไม่มีใครกล้ารั้งไว้ ชายหนุ่มออกเดินตามคนแก่กว่าไปถึงด้านนอกงาน
“เปิดเพลงดังฉิบเลย ว่าไหม?” ชายวัยกลางคนว่า “หรือฉันมันแก่เกินไปก็ไม่รู้”
“ไม่หรอกครับ ผมเองก็ปวดแก้วหูเหมือนกัน”
“งั้นก็แล้วไป” คนแก่กว่าล้วงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า “ขอสูบนะ”
“ตามสบายครับ”
เปลวไฟวูบขึ้นที่ปลายมวนกระดาษ ก่อนจะเริ่มกัดกินกระดาษและปอดทีละนิด แสงสูบบุหรี่จัดอย่างที่หลาย ๆ คนในสายงานนี้เป็น เขาพ่นควันออกมาช้า ๆ มองมันค่อย ๆ สลายไปในอากาศ
“ตั้งแต่งานศพแม่แกก็ไม่ได้เจอกันเลยนะ อานึกว่าจะเป็นอะไรไปแล้วซะอีก”
“จะเป็นอะไรได้ยังไงกันครับ” คนตอบยังคงมีรอยยิ้มเสมอ “คุณอาเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีไหม?”
“โอ๊ย! อาแกร้ายกาจไม่เปลี่ยน เห็นแก่ ๆ แบบนี้ยังสายบู๊อยู่นะเว้ย งานตามหนี้ตามสินนี่ยังรับไม่ขาดมือ”
“ฮ่า ๆ ๆ เพลา ๆ ลงบ้างเถอะครับ”
“เห็นแกมีความสุขดี อาก็สบายใจ” เขาว่าพลางยกมือตบหัวคนเด็กกว่าปุ ๆ “เพื่อนเยอะแยะเลยนี่ ไม่เหงาเนอะ”
คราวนี้รอยยิ้มกว้างเกินความพอดีไปนิดหน่อย “จะไปเหงาได้ยังไงครับ”
“ดีแล้ว ๆ”
แสงเป็นทนายความมือฉกาจ คดีที่ถนัดเป็นพิเศษคือมรดกและหนี้สิน แม่ของอโณชาเป็นรุ่นพี่ที่แสงสนิทด้วย นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงได้เอ็นดูชายหนุ่มตรงหน้าเหมือนลูกเหมือนหลาน แม้ช่วงหลัง ๆ จะยุ่งเสียจนไม่มีเวลาติดต่อกันก็เถอะ พอนึกได้แสงก็รู้สึกผิดขึ้นมานิด ๆ
“มีอะไรให้อาช่วยก็บอกได้นะ” เสียงแหบเอ่ยเคล้าเปลวควัน “อยู่คนเดียวคงลำบากล่ะสิ”
อยู่คนเดียวงั้นเหรอ... “อ๊ะ!” ราวกับมีหลอดไฟวาบขึ้นในหัว อโณชารีบใช้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ “ถ้าให้ช่วยตามหาคนจะได้ไหมครับ?”
แสงขมวดคิ้ว “ใครหายวะ?”
“ไม่ได้หายครับ แต่...เอ่อ...ไม่รู้ว่าเป็นใคร”
“หา?” คนฟังตาโต “มันมีเคสแบบนั้นด้วยเรอะ”
“ค่อนข้างซับซ้อนนิดหน่อย คือแบบนี้นะครับ...”
เรื่องราวของไอ้เอ๋อพรั่งพรูออกมาไม่หยุดหลังจากนั้น ตั้งแต่เข้างานเลี้ยงมา อโณชาเพิ่งได้พูดติดต่อกันนานที่สุดก็ตอนนี้แหละ เขาพยายามเล่าทุกรายละเอียดราวกับโจทก์กำลังให้การตำรวจ เล่นเอาคนฟังขมวดคิ้วเป็นปมเบ้อเร่อ
อาแสงเป็นคนเก่ง แถมยังกว้างขวาง ต้องช่วยหลงได้แน่ ๆ ชายหนุ่มจะได้รู้สักทีว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน มีที่ให้กลับไป มี ‘บ้าน’ เหมือนอย่างคนอื่นเขา หลงจะต้องดีใจมากแน่ ๆ
“นี่ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว ยังไม่เห็นมีใครติดต่อเข้ามาเลยครับ โลกโซเชียลก็กว้างขวางแท้ ๆ”
“โห! นี่ไอ้เด็กนั่นมันจำอะไรไม่ได้มาเดือนกว่าแบบนี้ไม่เครียดตายเรอะ”
“เอ่อ...เท่าที่เห็นค่อนข้างอารมณ์ดีนะครับ” หลงน่ะเหรอ เครียด? อโณชาเห็นขมวดคิ้วแค่ตอนทะเลาะกับเก๋ากี้เท่านั้นแหละ ช่างเป็นผู้ป่วยที่สุขภาพจิตดีเกินงามจริง ๆ “ก็นั่นแหละครับ ถ้าอาแสงพอจะนึกช่องทางกระจายข่าวทางอื่น หรือมีเส้นสายทางไหนพอจะช่วยแนะนำได้บ้าง”
“ไอ้เส้นสายก็พอจะมีอยู่หรอก ให้ไปเร่งจับไอ้กุ๊ยที่มาซ้อมก่อนเป็นอย่างแรก” แสงอัดควันเข้าปอดเยอะขึ้นโดยไม่รู้ตัว “แต่มันก็ยังไม่ใช่ประเด็นหลัก แกเนี่ยน้า~”
“ครับ?”
“อยู่ ๆ ไปเก็บคนมาเลี้ยงสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง!? ไม่ใช่หมาไม่ใช่แมวนะ เกิดไอ้เด็กนั่นเป็นมิจฉาชีพขึ้นมาจะทำยังไง!” อาแสงเคาะหัวไอ้หลานบ้องตื้นเข้าไปเต็ม ๆ มือ “ทำอะไรไม่รู้จักคิด!”
“ผ่านมือหมอมาขั้นหนึ่ง ผมก็ไว้ใจสิครับ” หลานดื้อเถียงไม่เลิก “แล้วเขาก็ไม่ใช่มิจฉาชีพสักหน่อย”
“เออ ๆ ปกป้องกันเข้าไปเถอะ มีเรื่องกันขึ้นมาอย่าหาว่าอาไม่เตือนนะ”
ก็อยากจะจินตนาการภาพหลงคลุ้มคลั่งเอามีดทำครัวมาจ่อคอหอยให้บอกที่ซ่อนของตู้เซฟอยู่หรอกนะ แต่สิ่งที่วาบขึ้นมาดันเป็นผู้ชายตัวโตนอนสั่นหงัก ๆ บนพื้นเพราะโดนแมวยึดโซฟาไป ถ้าหลงเป็นโจรก็คงเป็นโจรที่น่าอนาถที่สุด
“โอ๊ะ! จู่ ๆ ยิ้มอะไร”
“ปะ...เปล่าครับ” อโณโกหกคำโต ก่อนจะแสร้งทำเป็นก้มมองนาฬิกา “นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมคงต้องขอตัวกลับก่อน”
“ดึก? อายุเท่าไหร่แล้ว แกน่ะ” แสงเท้าเอว “มากินเลี้ยงกับเพื่อนมันก็ต้องไปต่อสิ ทำอย่างกับพวกพ่อบ้านใจกล้าไปได้”
“เปล่าสักหน่อยครับ ผมไม่อยากเมาแล้วขับต่างหาก นี่ก็เริ่มมึน ๆ แล้วด้วย”
เห็นผิวขาว ๆ ขึ้นสีเรื่ออย่างมันว่า แสงก็ไม่ซักไซ้ให้รำคาญไปมากกว่านี้ “ขับรถดี ๆ ล่ะ
“ครับ อาแสงก็ด้วย”
“ดูแลตัวเองด้วยล่ะ อย่าให้แม่เขาเป็นห่วง”
“ครับ”
Chevrolet Cruze สีดำทะยานเข้าสู่ถนนโดยไร้คำล่ำลากับเพื่อนเก่า อาจจะดูเย็นชา แต่ตรงนั้นมันไม่ใช่ที่ของเขา ต่อให้หายไปก็ยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ ดังนั้นอย่าเสียเวลาขึ้นไปบอกลาเลย แถมยังเสี่ยงถูกชวนไปต่อร้านอื่นอีกต่างหาก
อโณชาอยากรีบกลับห้อง เครื่องปรับอากาศแช่ผิวกายให้เย็นจนเส้นเลือดหดตัว วันนี้เขารู้สึกหนาวกว่าปกติอย่างไร้สาเหตุ นิ้วเรียวยาวเคาะจังหวะเพลงลงบนพวงมาลัย ถนนกรุงเทพฯในยามห้าทุ่มยังคึกคัก มีเพื่อนร่วมถนนเต็มไปหมด ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่มีคนเมาเป็นหนึ่งในนั้น
อโณชามีเพื่อนเยอะแยะเพราะเป็นคนสบาย ๆ ใครชวนไปไหนไปกัน ทว่ากลับไม่มีใครสักคนที่เรียกได้ว่า ‘เพื่อนสนิท’ มุมปากที่ยกยิ้มมาตลอดงานค่อย ๆ ลดระดับลงช้า ๆ
เพราะอะไรกันนะ ทั้งที่รอบตัวมีแต่รอยยิ้ม มีแต่คนเอ่ยถามเป็นห่วงเป็นใย แต่กลับรู้สึกว่างเปล่าเหลือเกิน
นอกจากอาแสงแล้ว ความเป็นห่วง ‘ตามมารยาท’ นั่นไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกดีเลยสักนิด
แล้วก็น่าแปลกขึ้นไปอีก ที่วินาทีนั้นในหัวของเขามีภาพของหมาเฝ้าบ้านผุดขึ้นมา
สายตาที่ซื่อตรง รอยยิ้มที่ไร้การเสแสร้ง รอเขากลับบ้านราวกับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดในชีวิต
การเป็น ‘คนสำคัญ’ มันรู้สึกแบบนี้น่ะเหรอ?
อา ไม่สิ ๆ อโณส่ายหัวกับตัวเอง หลงสูญเสียความทรงจำ มีอโณชาเป็นที่พึ่งเพียงคนเดียว ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา หลงก็คงลำบาก
พอโกหกตัวเองแบบนั้น มันเป็นการดูถูกหลงชัด ๆ
เขากอดตัวเองซุกหน้าลงกับพวงมาลัยในจังหวะที่ดวงไฟเปลี่ยนสัญญาณเป็นสีแดง
ช่างเป็นความคิดที่น่ารังเกียจเสียจริงTBC
ค่อย ๆ ขยับเข้าสู่ความเป็นนิยายรักทีละนิดนะคะ (หราาาาาาาาาาา)
ตอนนี้เขียนมุมคุณอโณเยอะเลย ค้นพบว่าเขียนตัวละครที่เป็นผู้เป็นคนนี่ยากเอาเรื่องนะคะ ที่ผ่านมามีแต่พวกบ้า ๆ บอ ๆ เลยช้าไปหน่อย ติดขัดตรงไหนของอภัยด้วยนะคะ
ไปกันช้าๆค่ะ ไม่รีบร้อน เอิ๊กกกกกกกกกกกก
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ
เจอกันตอนหน้าจ้า
