ความทรงจำที่ 20
คนเราหากได้มีครั้งแรกแล้ว ครั้งต่อ ๆ ไปย่อมตามมา
แน่นอนว่าใช้ได้กับเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เช้าวันนี้หลงงัวเงียตื่นหลังจากคุณอโณเข้ามาแต่งตัว ด้วยนาฬิกาชีวิตที่ปรับใหม่มันรีบพุ่งตัวเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันวิ่งสดใสบริ๊งบรั๊งออกมานั่งรอที่ปลายเตียง อโณชาเหลือบตามองเล็กน้อย แต่ก็แต่งตัวต่อด้วยความเคยชิน
จะไม่ชินได้ยังไงมันเป็นแบบนี้มาร่วมอาทิตย์แล้ว นับตั้งแต่วันที่อโณชาเปิดประตูให้หลงหลุดเข้ามาในทุ่งกว้าง ทีนี้มันวิ่งเล่นไม่ยอมออกเลย ชีวิตเลยวนเวียนอยู่กับกิจวัตรใหม่มอร์นิ่งคิสและกู้ดไนท์คิส
ไอ้คนขี้เกียจยุ่งยากอย่างอโณชาก็ไหล ๆ ตามน้ำไป จริง ๆ ก็ยอมรับว่าชอบกิจวัตรนี้ไม่น้อย หน้าตาหลงตอนกระดิกหางรอจูบด้วยความหวังเต็มเปี่ยมน่ะน่ารักสุด ๆ ไปเลย คิดแล้วก็หันขวับกลับไปหาไอ้เด็กน้อย
สีหน้าแบบ ‘เอาหรือยังครับ’ ถูกส่งกลับมา ดวงตาเป็นประกายใสวิ้ง ขณะเขย่าขาไม่รู้ว่าเร่งเร้าหรือเพราะตื่นเต้นกันแน่ อโณชาส่ายหัวเอือม ๆ ทำเอาทางนั้นจ๋อยเพราะคิดว่าโดนปฏิเสธ จากนั้นก็อาศัยจังหวะนั้น...
จุ๊บ
ใบหน้าเลอะกระเหวอเล็กน้อยก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นดวงตาเปี่ยมสุขประหนึ่งจะระเบิดร่างเป็นจุลเสียตรงนั้น อโณชาชอบสีหน้าตอนนี้เป็นพิเศษและแอบสารภาพว่าการกลั่นแกล้งหลงเป็นอะไรที่สนุกอย่างไม่น่าเชื่อ
“รีบกลับนะครับคุณอโณ” คนตัวสูงเดินตามหลังต้อย ๆ ออกมาส่งถึงหน้าประตู ความรู้สึกเหมือนมีภรรยามาส่งตอนไปทำงานคงประมาณนี้ล่ะมั้ง อโณชาหยุดชะงักชั่วครู่
ตุบ ๆ มือตบปุ ๆ ลงผมส้นผมแห้ง ๆ เขามองดวงตาลุกวาวนั่นแล้วก็ขำในใจอีกครั้ง เหมือนหมาที่ดีใจเวลาเจ้าของลูบหัวเลย
“เจอกันตอนเย็นนะ”
บางทีก็คิดว่าตัวเองนิสัยเสียที่เห็นสีหน้าเว้าวอนแบบ ‘อย่าไปทำงานเลยนะครับ’ เป็นเรื่องตลก ลูกชายที่ไม่อยากให้พ่อไปทำงานคงมีแววตาแบบหลงเนี่ยแหละ
อโณชาจัดปกเสื้อโดยมองภาพสะท้อนตรงประตูลิฟต์ระหว่างรอมัน ถึงจะเป็นคนเฉื่อยแฉะแต่กลับจู้จี้ในเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างเสื้อผ้า อาหารหรืองานบ้านเสียอย่างนั้น อย่างว่าแหละคนเรามักมีเรื่องที่หมกมุ่นเป็นพิเศษอยู่
ติ๊ง! เขาก้าวเข้าไปในกล่องสี่เหลี่ยมที่มีผู้โดยสารเบียดเสียดอยู่สี่ห้าคนพร้อมค้อมศีรษะให้อย่างสุภาพ ลิฟต์ทะยานลงสู่เบื้องล่างช้า ๆ ก่อนมนุษย์เงินเดือนจะพากันกรูออกมา ยามเช้าของคอนโดมักวุ่นวายแบบนี้เสมอ แค่หยุดก้มดูนาฬิกาข้อมือก็โดนคนข้างหลังชนได้แล้ว เขาเองก็ต้องรีบก้าวตามออกไปด้วย
เช้าวันนี้ดูสดใสเมื่อได้จูบและหน้าเอ๋อ ๆ ติดสมองกลับมาด้วย อโณชาร่าเริงถึงขึ้นผิวปากหวือตอนก้าวเข้าไปในลานจอดรถ อีกนิดอาจจะสคิปเท้าแล้วก็ได้ มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อน BG เพลงอันสดใสจะแผ่นเสียงตกร่อง
แย่ล่ะ! ลืมกุญแจรถ
ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้วนะ ไอ้โพสอิทที่แปะเตือนก่อนออกห้องไม่ได้อ่านเลยหรือไงไอ้อโณเอ๊ย! มัวแต่แกล้งเด็กเพลินไปหน่อย หงุดหงิดตัวเองชะมัด แต่ทำอะไรไม่ได้ก็ต้องหันหลังเดินกลับไปทางเดิมอยู่ดี
โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่ลานจอดรถอยู่ใกล้กับลิฟต์พอดี จังหวะที่กำลังจะเดินหักเลี้ยวเข้าไปอโณชาเห็นหลงเดินหัวฟูมาแต่ไกล เขาอ้าปากจะเอ่ยทัก…
“อ้าว! น้องไปทำงานเหรอคะ?” สาวออฟฟิศคนหนึ่งเดินเข้ามา และนั่นทำให้อโณชาหยุดชะงักปากไว้ตรงนั้น
ผู้เอ่ยทักเป็นหญิงดูมีอายุ หน้าตาสะสวย แต่งตัวดี แนว ๆ ‘ยิ่งแก่ยิ่งสวย’ ประมาณนั้น และนี่เป็นครั้งแรกที่อโณชาเห็นหลงคุยกับคนที่เขาไม่รู้จัก และจากคำทักทายฟังดูน่าจะไม่ใช่ครั้งแรกของสองคนนี้เสียด้วย
“ครับ”
“เดินไปเหรอ” สายตาสาวเจ้าดูเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม “พี่เห็นเดินไปทุกวันไม่เหนื่อยแย่เหรอ”
“ไม่หรอกครับ ใกล้แค่นี้เอง” ชายหนุ่มฉีกยิ้มจนเห็นเขี้ยว
“เออนี่ พี่มีผ้าจะส่งซักวันนี้แน่ะ” หล่อนว่าพลางขยับถุงพลาสติกในมือไปมาเป็นเชิงบอกว่าอยู่นี่ไง คิ้วเป็นปมของอโณชาค่อย ๆ คลายออกเมื่อพบว่าหล่อนเป็นแค่ลูกค้าที่ร้าน “ไปกับพี่ไหม?”
“หา!?” เสียงหลงแทบประสากับเสียงในใจของอโณชา คิ้วที่เพิ่งคลายหดเกร็งขึ้นมาใหม่ มือที่เกาะประตูเริ่มมีหยดเหงื่อไหล เฮ้ย ๆ แบบนี้ไม่ดีแล้วมั้ง... “ไปไหนเหรอครับ”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” หล่อนหัวเราะแทนคำตอบ ยอมรับว่ามีเสน่ห์ชะมัด “น้องนี่ถามอะไรตลกนะคะ ก็ไปร้านสมานซักรีดไง”
“อ๋อ” เสียงในใจอโณตรงกับเสียงหลงอีกแล้ว จริง ๆ ไม่อยากบอกว่าไม่ได้ถามอะไรตลกหรอก หลงมันพูดไม่รู้เรื่องต่างหาก ขณะกำลังจะหัวเราะกับความเอ๋อของหลง...
“หรือน้องคิดว่าอยากไปไหนล่ะ?”
“หา!!” ไม่! ไม่ใช่เสียงหลง นี่มันเสียงอโณชาที่หลุดปากอย่างห้ามไม่อยู่ เป็นบุญที่คนข้างนอกเยอะแยะเลยพอกลบเสียงได้ อโณทนต่อไปไม่ไหวต้องชะเง้อคอออกไปเหลือบดู แย่แล้วสองคนนั้นเริ่มเดินไปแล้ว
“ก็...” เสียงหลงเบาขึ้น “อยากไปร้านลุงสมานนั่นแหละครับ”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ อย่างนั้นเหรอ” ให้ตายเถอะ! ไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าผู้หญิงคนนี้กำลังหว่านเสน่ห์ใส่หลง อโณชาส่ายหัวแรง ๆ ไม่สิ บางทีอาจจะแค่เอ็นดูสงสารเพราะเห็นเป็นลูกจ้างร้านประจำก็ได้ “พี่ขับรถผ่านไปทางนั้นพอดี ติดรถไปลงไหม?”
“อะไรนะครับ?”
“ก็นี่ไง พี่มีผ้าที่ต้องส่งซักแถมต้องใช้ด่วนพรุ่งนี้ด้วย” หล่อนกระดิกนิ้วที่ถุงแขวนอยู่ “น้องก็ช่วยแอบโกงแซงคิวให้พี่ก่อนนิดหนึ่ง”
“เอ่อ... จริง ๆ ไม่ต้องแซงคิวถ้าผ้าเอาด่วนก็แจ้งลุงเขาไว้ได้นะครับ” โธ่! หลงเอ๊ย! ยังจะมาแนะนำบริการต่ออีกเหรอ อโณชาโอดครวญในใจ “ดังนั้นไม่ต้องห่วงเลยครับ ผ้าแห้งทันเย็นนี้แน่นอน”
“ขอบใจจ้า” หล่อนยิ้มหวาน “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกับพี่เนอะ”
“.......” ที่นิ่งไปเพราะกำลังประมวลผลหาความเชื่อมโยง แต่ไม่ปล่อยให้รอนาน สาวเจ้ารีบบอกต่อ
“ถึงร้านเร็ว ๆ เราจะได้รีบซักให้พี่ไง”
ชั่วขณะนั้นอกของอโณชากระตุกวูบราวกับความรู้สึกบางอย่างจะประทุออกมา เขาโยกตัวหลบคนที่เดินสวนเข้ามา ก่อนจะรีบโผเข้าไปเกาะที่มุมกำแพงจุดเดิม
“หือ ว่าไงคะ” หล่อนเร่งขอคำตอบอีกครั้ง “ติดรถพี่ไปนะ”
คนแอบฟังกลั้นหายใจ มือที่เกาะตรงผนังจิกเกร็ง
ไม่มีทาง หลงที่เขาสอนน่ะจะไม่มีวันไปไหนกับคนแปลกหน้า...
“ขอบคุณมากครับ ขอรบกวนคุณกานหน่อยนะครับ”
โหลงงงงงงงงงงงงงงงง ทำไมหลงไปกับคนแปลกหน้าห้ะ!!! ไอ้หมาไม่ได้เรื่อง! ถ้าโจรเข้าบ้านก็คงจะเล่นกับโจรสินะ!
อโณชากรีดร้องไม่เป็นภาษา มือที่เกาะอยู่ทำท่าจะบีบซีเมนต์แตกคามือแล้วพุ่งเข้าไปสั่งสอนลูกชายว่า ‘นั่งรถไปกับคนแปลกหน้าได้ยังไง!!’ ทว่าความจริงบางอย่างก็วิ่งเข้ามาฟาดหัวอโณชาดังเปรี้ยง
เขามีสิทธิอะไรไปห้ามหลงงั้นเหรอ?
การที่หลงจะมีเพื่อนใหม่ แถมยังเป็นลูกค้าที่ร้านด้วยก็ไม่เห็นจะแปลกเลยนี่ ท่องไว้สิอโณชาแกไม่ใช่เจ้าชีวิตหลงนะ เขาแค่คนมาอาศัยอยู่จะไปห้ามนู่นห้ามนี่ได้ไงล่ะ
อยู่ในสถานะไหนกับหลงกันแน่ ที่เป็นอยู่นี่ความชัดเจนอะไรก็ไม่มี นอกจากสัมผัสเกินเลยทางกายนิดหน่อย แถมยังไม่เคยขีดเส้นที่ชัดเจนให้กันและกันเลย ไม่ใช่เพราะกลัวฝ่ายนั้นไม่ตอบสนอง ความรู้สึกของหลงที่ฉายชัดอยู่ในแววตานั่นอโณชารู้ดี
แต่ทั้งหมดเป็นเพราะเขาขี้ขลาดเกินไป...
กลัว...กลัวว่าสักวันหลงจะหายไป ก็เลยยอมทนอยู่กับความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้...
อโณชาเดินออกมาจากมุมมืดเมื่อเห็นแผ่นหลังชายหญิงทั้งสองเดินออกไปไกลเรื่อย ๆ เขามองภาพตรงหน้าเพียงชั่วครู่ ราวกับเห็นสายจูงหลุดออกไปจากมือ ชายหนุ่มภาวนาให้ลิฟต์ลงมารับตัวไปเร็ว ๆ
และเป็นอีกครั้งที่ต้องถามตัวเองว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเหรอ?
จะไม่จับสัตว์เลี้ยงของตัวเองไว้จริง ๆ เหรอ?
........................................................
..................................
...................
.........
ฝนตกอีกแล้ว...
เปาะแปะ เปาะแปะน่ารำคาญตลอดทั้งวัน ลุงสมานสบถไม่หยุดเพราะต้องวิ่งเข้าวิ่งออกเก็บผ้าตลอดทั้งวัน สุดท้ายเลยต้องยอมเพิ่มเวลาปั่นแห้งขึ้นอีกหน่อย เปลืองค่าไฟอีกนิดแต่ลุงบอกว่าคุณภาพงานต้องมาก่อน
หลงรวบผ้าของ ‘คุณกาน’ สาวใหญ่คนสวยลูกค้าประจำวิ่งกลับเข้ามาแขวนราวในบ้านเป็นตัวแรก เพราะติดสินบนไว้เมื่อเช้าถ้าผ้าแห้งไม่ทันคงโดนดุแน่ ๆ
ผมเผ้าเปียกมะลอกมะแลกเพราะวิ่งเข้าออกหลายรอบ พอยื่นหน้ากลับเข้ามาที่หน้าร้านเท่านั้นแหละ เสียงบ่นลุงสมานก็มาต้อนรับก่อนเลย
“เออ! ตกเข้าไปเถอะเอ็ง ดี! ข้าจะได้ไม่ต้องรดน้ำต้นไม้” คนแก่อะไรงอนกระทั่งฟ้าฝน หลงยิ้มแห้ง ๆ
“เมื่อกี้ลุงยังเรียกว่า ‘ไอ้ฝนเฮงซวย’ อยู่เลยนะครับ”
“ข้าประชดโว้ย!” แกหันมาตวาดใส่ ไอ้หลงเกาหัวแกร่ก ๆ อยู่เฉย ๆ ก็โดนด่าได้แฮะ “ฝนไม่ตกข้าก็ใช้เอ็งไปรดน้ำอยู่ดี”
“ลุงใช้เกินค่าจ้างนะครับ”
“รับคนเซ่ออย่างเอ็งเข้าทำงานก็บุญแล้ว” สมานว่าพลางปาดน้ำยาลงตรงคราบบนคอเสื้อ แม้จะผ่านช่วงพักฟื้นมาแล้วแต่ก็ก็ยังทำอะไรหนัก ๆ ไม่ได้นัก ภาระเลยมาตกอยู่ที่หลง “เอ้า! เอาไปใส่เครื่อง”
“ครับ” หลงรับเสื้อเชิ้ตตัวนั้นมายัดลงตะกร้าก่อนจะยกมันไปเทลงเครื่อง “นี่ตะกร้าสุดท้ายแล้วใช่ไหมครับ ที่ตากในร่มจะไม่พอแล้ว”
“สงสัยต้องให้ไอ้หมักต่อเติมหลังคาเข้าไปในสวนอีกหน่อย” ร่างเหี่ยว ๆ ค่อย ๆ เหยียดขาจนตึง เผยให้เห็นปุ่มกระดูกปูดโปนตรงหัวเข่า “พูดถึงไอ้หมัก มันซื้อของฝากมาให้เอ็งด้วยนะ”
“หือ?” ชายหนุ่มหรี่ตา “ของฝากอะไรครับ”
“อาทิตย์ก่อนมันไปเที่ยวพม่ากับบริษัทมา” ลุงว่าพลางแคะขี้เล็บ “คราวก่อนที่เจอกันนั่นมันเอามาฝากไว้ไง สงสัยยุ่ง ๆ จนลืมบอกเอ็ง”
“อะไรเหรอครับ?”
“ไม่รู้มัน ข้าก็อ่านไม่ออก เดี๋ยวเอ็งปิดฝาเสร็จมาช่วยดูให้หน่อย”
มันพยักหน้าหงึกหงัก รู้สึกตื้นตันนิด ๆ ที่ได้รับน้ำใจจากผู้อื่น ตอนนี้หลงรู้จักคนเยอะแยะ เภสัช แม่ค้า พี่วินมอเตอร์ไซค์ ไหนจะลูกค้ามากมายของร้านอีก หลงค่อย ๆ จดจำชื่อ หน้าตา รวมไปถึงเสื้อผ้าบางตัวได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่มันทำให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่
ถ้าวันไหนหลงหายไปอาจจะมีคนมาถามก็ได้ว่า ‘ไอ้เด็กหน้ากระนั่นหายไปไหน’ เท่านี้ก็ดีใจแล้ว
หลงรีบตวงผงซักฟอกลงไป ดูท่าคงต้องโทรไปสั่งน้ำยาปรับผ้านุ่มเพิ่มซะแล้ว ลุงสมานแกมือหนักชอบใส่เยอะ แกโรคจิต ชอบแอบไปดมกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มคนเดียว คงเป็นความสุขในการทำงานล่ะมั้ง
หลังปิดฝาเรียบร้อยร่างสูง ๆ ก็เดินท่อม ๆ ลงมานั่งบนพื้นข้างชายชรา สมานเอี้ยวตัวไปคว้าถุงใบใหญ่แล้วลากมาไปตรงหน้า มือเหี่ยวย่นค่อย ๆ หยิบของออกมาวางทีละชิ้น กว่าจะครบเล่นเอาหลงกลั้นหายใจกลัวข้อมือแกจะหลุดเสียก่อน ของเยอะแยะซะขนาดนั้น
อลังการเอาหน้าสาแก่ใจ สมแล้วที่เป็นคนขี้ประจบอย่างสมัคร จัดหนักจัดเต็มทั้งของกินของใช้ หลงเกาหัวงง ๆ ไม่รู้จะหยิบจับชิ้นไหนขึ้นมาก่อน ทว่าลุงสมานแกเอื้อมมาคว้ากล่องยาว ๆ ไว้
“เออเนี่ย เห็นไอ้หมักว่าเป็นชาดอกไม้แบบรวม” แกใช้เล็บงัดแงะฝาที่แปะสก็อตเทปออก “ข้าตาไม่ค่อยดี เอ็งช่วยดูหน่อยว่าสีไหนมันชามะลิ”
เขารับเอากล่องที่เปิดฝาอ้าซ่ามาจากลุงแล้วเริ่มรื้อค้นถุงชาในทันที ผลิตภัณฑ์ซองยี่สิบชุดเรียงรายสวยงามพร้อมด้วยสีห้าแบบ หลงหยิบแต่ละซองขึ้นดูช้า ๆ จนกระทั่งเจอประโยค ‘Jasmine tea’ ก็รีบยื่นให้ลุงทันที
“นี่ครับชามะลิ ซองสีขาวนะ” ลุงสมานรับมาส่อง ๆ ดม ๆ แต่นั่นยังไม่เสร็จภารกิจเมื่อหลงยกซองสีน้ำเงินขึ้นมา “ส่วนนี่ Butterfly pea สีเหลืองเป็น Camomile สีม่วงนี่ Lavender ส่วนสีส้มอันนี้ Safflower”
“ชาอะไรของมันวะนั่น” ลุงว่าพลางหยิบสีอื่นมาเพ่งดูรูปประกอบอันเล็ก ๆ “เอ้า! เอ็งก็บอกสิว่าอัญชันกับดอกคำฝอย”
“งะ..งั้นเหรอครับ” หลงก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่พูดแบบนั้น
“เออ ว่าแต่”
“……”
“ซองมันมีภาษาไทยด้วยเรอะ”
หือ? คนฟังเอียงคอตาม ดวงตาค่อย ๆ ร่นถอยโฟกัสกลับไปยังสิ่งของในมือ ซองชาสีส้มลายดอกคำฝอย พร้อมตัวหนังสือเล็ก ๆ ว่า ‘Safflower Tea’
เขา...อ่านออก?
ไม่สิ! พอลองนึกดูดี ๆ แล้วหลงแทบไม่มีปัญหากับอักขระรูปทรงแบบนี้เลย อาจจะเพราะมัวแต่ไปโฟกัสกับอักษรยึกยือของพ่อขุนรามจนไม่ได้สนใจว่าคุ้นเคยตัวอักษรแบบนี้ แถมไม่ได้คุ้นธรรมดาด้วย อยู่ในระดับอ่านอย่างคล่องปากเลยทีเดียว
หัวสมองว่างเปล่า แปลกที่ไม่เจ็บแปล๊บอย่างคราวก่อน หลงนิ่งไปนาน รู้ตัวอีกทีตอนที่ลุงสมานเอาแขนมาชนใส่ตอนที่แกเอื้อมหยิบของ มันคือกระปุกสีเขียวแปร๋น ๆ และทันทีที่สมานเปิดฝา กลิ่นอันคุ้นเคยก็ฟุ้งเข้าจมูก
กะ..กลิ่นนี้มัน...
“โอ๊ะ!! ผมรู้จัก อันนี้ผมเคยฝนเองจากท่อนด้วยนะ” ได้ทีมันรีบโชว์ภูมิความรู้อันน้อยนิดพร้อมยืดอกขึ้น “เท่ใช่ไหมล่ะ!”
“หา!?” สมานก้มมองของในมือ “เอ็งฝนทานาคาใช้เอง?”
หลงชะงักเมื่อเจอคำถาม ทำไมกัน? ทำไมถึงได้คุ้นเคยกลิ่นแบบนี้เหลือเกิน ทั้งที่จำไม่ได้แท้ ๆ ว่าเคยใช้ด้วยเหรอ “เออ ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ผมว่าผมเคยฝนนะ ไอ้กลิ่นแบบนี้เลย”
ตุบ...
ฝาสีเขียวเรืองแสงร่วงหล่น ตีโค้งหมุนเป็นวงสามทีก่อนจะพ่ายแพ้ต่อแรงโน้มถ่วงเอนตุบลงไปบนพื้น
สมานเบิกดวงตาลึกโหลดูคล้ายหัวกะโหลกอ้าปาก ก่อนมือเหี่ยวย่นจะตบเข่าฉาด แปะ!
“ข้าว่าแล้วเชียว!” แกลูบเข่าที่แดงป้อย ๆ “ว่าทำไมเอ็งไม่ยอมให้บัตรประชาชนสักที”
ไอ้หลงหน้าซีดเผือด ไม่จริง! ระ..หรือว่าหลงจะรู้เรื่องที่มันความจำสะ....
แปะ ๆ สมานตบลงบนบ่า “เออ ข้าเข้าใจคนมันต้องทำมาหากิน”
“ห้ะ!” เดี๋ยวนะ! มันเรื่องอะไร
“จริง ๆ จะใบเหลืองใบชมพูก็ได้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้วล่ะ” สมานคลี่ยิ้ม แสดงความใจกว้างกว่าแม่น้ำคงคาต่อเพื่อนมนุษย์ แกเอื้อมไปคว้าฝาทานาคาบนพื้นขึ้นมาหมุนปิดที่เดิม “จะไปต่อบัตรก็บอกนะ ข้าให้ลางานได้”
หา ตะ...ต่อบัตร?...
“เอ้านี่ของเอ็ง!” ยังไม่ทันจะหายงงเป็นไก่ตาแตกอีตาลุงสมานก็ยิงต่อเป็นคอมโบ แกคว้าถุงอีกใบโยนลงตักลูกจ้าง “เห็นว่าเป็นการ์ตูนอะไรไม่รู้”
“การ์ตูนเนี่ยนะครับ?” ไม่รู้ไอ้คุณสมัครมันคิดอะไรอยู่ถึงได้ซื้อของแบบนี้มาให้หลง ว่าแล้วก็รีบแหกถุงดูในทันใด
“ไอ้นั่นไง มันชื่ออะไรโค ๆ นะ”
หลงเพิ่งมองตัวอักษรที่หน้ากล่อง ค่อย ๆ สะกดคำทีละตัว “โค...นัน?”
“เออ!! ไอ้นั่นแหละ ที่มันไล่ยิงยาใส่คนอื่นน่ะ” ลุงสมานคือผู้มีความสามารถแปลงพล็อตการ์ตูนเป็นหนังแอคชั่นบู้เลือดสาดหน้าตาเฉย แกเอานิ้วเคาะ ๆ ตรงปกซีดี “ไอ้หมักบอกว่าเด็กรุ่นเดียวกะมันต้องรู้จักไอ้เด็กแว่นนี่แน่ ๆ เอ็งอยู่แถวนั้นเคยดูบ้างไหม ข้าเห็นมันเอามาฉายซ้ำหลายรอบแล้วนะ”
ตอนนี้หลงมึนงงมากว่า ‘แถวนั้น’ ของลุงแกคือตรงไหน แต่ก็ป่วยการจะถาม มันจ้องเขม็งไปที่เด็กแว่นบนหน้าปก สมองบิดเกร็งพยายามจะสร้างรอยหยักให้จงได้ จะว่าไม่เคยเห็นก็ไม่เชิง มันคุ้น ๆ อยู่ แต่บางทีอาจจะเคยเปิดไปเจอในทีวีหลังเสียความทรงจำก็ได้นี่นา
ลุงสมานไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะนิ่งไป แกดูมีความสุขกับการนั่งอยู่ท่ามกลางของฝากจากลูกชายสุดที่รัก ใบหน้าเหี่ยว ๆ ยับย่นยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้วขณะรื้อของอีกอย่างโยนให้หลง รอบนี้เป็นห่อสี่เหลี่ยมแบ่งช่องเป็นแผง ๆ
“สาหร่าย เอาไปกินเล่น”
“เอ๋? สาหร่ายเหรอครับ” พอรู้ว่าเป็นของกินก็หูผึ่งทันที “ให้คุณอโณเอาไปต้มได้ไหม”
“ไม่รู้วุ้ย เห็นข่าวลือว่าเอาถุงดำมาปั่นทำอยู่ ถ้าเอ็งอยากเสี่ยงก็ลองได้” ลุงสมานช่างห่วงใยสุขภาพของหลงดีเหลือเกิน ไอ้เด็กหนุ่มนั่งจ้องห่อสาหร่ายแบบมึน ๆ เพราะไม่เก็ทมุก “เออ! แดก ๆ ไปเถอะ ไม่ตายหรอก แต่ต้มกินนี่ข้ายังไม่เคยลอง ก็เอาให้คุณอโณของเอ็งดูแล้วกัน”
“ขอบคุณครับ” มันยกมือไหว้ปลก ๆ ดีใจเหลือหลายเหมือนถูกหวย
หลังจากลุกไปต้มชามะลิให้ลุงสมาน หลงก็ได้นั่งพักชั่วครู่ ผ้าก็ไม่แห้ง ส่วนที่ซักก็ยังปั่นอยู่ เรื่องรีดลืมไปได้เลย ระหว่างที่ลุงกำลังบ่นเป็นหมีกินผึ้งว่าผ้าจะแห้งทันไหมหลงก็ชะโงกหน้าออกไปมองผ่านบานกระจกหน้าร้าน
“ฝนหยุดแล้วนี่ครับ”
“งั้นดีเลย เอ็งรีบเอาผ้าไปไว้ตรงสวนเลย แดดไม่มาโดนลมก็ยังดี”
“ครับ ๆ”
ลูกจ้างรับคำอย่างแข็งขันก่อนจะวิ่งดุ๊ก ๆ เข้าหลังบ้านไปทันที ก็ขยันเสียขนาดนี้ลุงสมานแกจะปล่อยมันหลุดมือไปได้ไง นี่แกวางแผนในใจถึงขั้นว่าถ้าตำรวจมาลงจะให้ไอ้หลงปีนรั้วหนีไปทางไหนดีด้วยซ้ำไป แกมองลูกจ้างทำงานงก ๆ ด้านนอกพลางยกชาเย็นชืดขึ้นจิบ
พื้นเฉอะแฉะจนรองเท้าเปื้อน หลงต้องเดินหลบแอ่งน้ำขังไปตลอดทางขณะที่แบกเสื้อพร้อมไม้แขวนกองโต ไปกลับอยู่อย่างนั้นราวแปดรอบจึงจะแขวนทุกตัวบนราวด้านนอกครบ เม็ดเหงื่อหยดตรงข้างขมับบวกกับอากาศชื้นทำหลงไม่สบายตัวสุด ๆ มันถูใบหน้าลงกับชายเสื้ออย่างอ่อนแรง
อากาศชื้นอบอ้าวแบบนี้ชะรอยว่าฟ้าฝนจะเล่มตลกได้อีก หลงรีบเดินไปด้อม ๆ มอง ๆ จับเสื้อคุณกานปลิ้นไปปลิ้นมา ยังชื้นอยู่หน่อย ๆ เสียด้วย ถ้าไม่ทันการจริง ๆ สงสัยหลงจะได้เอาไปแขวนไว้หน้าพัดลม สัญญาพร้อมรับสินบนไว้ขนาดนั้นถ้าผ้าไม่แห้งต้องไม่มีหน้าไปเจออีกแล้ว
มือขยับตำแหน่งของไม้หนีบย้ายที่ให้ผ้ารับลมมากกว่าเดิม เมื่อเรียบร้อยก็ถอยออกมาดูผลงานตัวเองอย่างภาคภูมิใจ หลงเช็ดมือลงกับกางเกง สูดลมหายใจเอาลมชื้น ๆ เข้าเต็มปอด เขารู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นดินกลิ่นหญ้าพวกนี้มาตลอดอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เหลือบมาเห็นต้นอังกาบตรงซ้ายมือก็อดจะก้มลงไปนั่งข้าง ๆ ไม่ได้ ไม้พุ่มหน้าตาน่าเกลียดชูช่อออกใบเรียวแหลมเสียเต็มต้น หลงมองหยดน้ำเกลือกกลิ้งบนนั้นไปมาแล้วเอามือมาแตะ ๆ เล่น
เมื่อไรดอกจะออกน้อ?
พอนึกถึงก็คลี่ริมฝีปากออก มือสัมผัสใบของอังกาบช้า ๆ ราวกับเป็นผิวของใครอีกคน
...................................................................
..............................................
..................
......