ความทรงจำที่ 33
“หลง”
เสียงที่เปล่งออกไปเบาหวิวราวกับกระซิบ ทว่าร่างบนพื้นกลับขยับตัวตอบสนอง ชายหนุ่มตัวสูงที่กอดเข่าพิงบานประตูค่อยๆ เปิดเปลือกตาช้อนมองมายังเขา
ไม่สิ! อโณชารีบแก้ผิดให้เป็นถูก
“คุณทิวากร”
ชื่อที่แท้จริงถูกเปล่งออกจากริมฝีปากเป็นครั้งแรก กำแพงแห่งความหลอกลวงพังทลายลงในทันที เจ้าของชื่อหยัดกายขึ้นจากพื้นพรม โงนเงนเล็กน้อยเพราะเมื่อยขบจากการนั่งเป็นเวลานาน
อโณชาเพ่งมองใบหน้าอันคุ้นเคย ไม่เจอกันแค่สองสัปดาห์ทิวากรแทบไม่เปลี่ยนไปเลย เว้นแต่ดวงตาอิดโรยที่ทอดมองกลับมา เขาคาดเดาไม่ได้และไม่กล้าแม้แต่จะถามอะไรออกไป
หัวใจอันแห้งเหี่ยวที่พยายามฟื้นตัวได้รับหยดน้ำที่ไม่รู้ว่าใส่ยาพิษหรือเปล่า จะอยู่รอดหรือย่อยยับกว่าเดิมก็คงไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว มือข้างขวาล้วงเอากุญแจออกมาเสียบเข้ากับลูกบิดประตู พลิกข้อมือไปทางขวา
แก๊ก กลไกทำงานในทันที บานประตูเผยอออกตามแรงผลักเผยให้เห็นห้องสี่เหลี่ยมอันคุ้นตา
คนแก่กว่าสบตากับอีกฝ่ายโดยไร้คำถาม ทิวากรเองก็ขยับตัวออกเป็นเชิงให้เจ้าของห้องเดินนำเข้าไป อโณชาถอดรองเท้าหนังไว้ที่ผนังด้านข้าง สะอาดเรียบร้อยเหมือนอย่างเคย
“ม้าว” แค่เห็นเจ้านายเก๋ากี้ก็พุ่งเข้าหาทันที แมวสาวเข้าคลอเคลียอยู่ที่ขาจนขนติดกางเกง อโณชาคลี่ยิ้มจางๆ อยากจะลูบหัวอยู่หรอกแต่ข้าวของพะรุงพะรังเหลือเกิน
สองขาพาตัวเองขยับจากประตูเพื่อให้ผู้มาเยือนใช้พื้นที่ในการถอดรองเท้าได้สะดวก และทันทีที่ประตูห้องปิดลงบรรยากาศน่าอึดอัดก็แผ่ขยายไปทุกพื้นที่
ถุงเท้าสีเทาเสียดสีกับพื้นตอนที่เดินไปวางถุงซูเปอร์มาร์เก็ตลงบนโต๊ะกินข้าว ชายหนุ่มยืนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น ตั้งสติก่อนจะสูดหายใจลึกๆ หันมาเผชิญหน้า “นั่งก่อนสิครับ”
ผู้มาเยือนเดินตรงไปยังโซฟา ทิ้งตัวนั่งอย่างว่าง่าย
“รอสักครู่นะครับ” อโณชาส่งยิ้มให้แล้วหายเข้าไปในโซนครัว ตามมารยาทมีแขกมาห้องทั้งทีก็ต้องต้อนรับด้วยน้ำเย็นๆ สักแก้วสินะ หยดน้ำใสชื่นใจไหลลงแก้วช้าๆ เขากลับออกมาพร้อมเครื่องดื่มสมกับเป็นเจ้าบ้านที่ดี
กึกๆ ก้นแก้วที่สั่นกระทบกับผิวหินอ่อนของโต๊ะ อโณชาชักมือกลับอย่างสุภาพ ทิ้งตัวนั่งที่โซฟาเล็กอีกตัวหนึ่ง ทางนั้นเหลือบมองเขานิดหน่อย
“ลืมของอะไรหรือเปล่าครับ?” เจ้าบ้านส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ “ผมจะได้ช่วยหยิบให้”
ทิวากรอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ชะงักไป และนั่นทำให้คำตอบกลายเป็นความเงียบ ระยะห่างอันน่าอึดอัดแผ่ขยายไปทั้งห้อง
“ตอนนี้อาจจะยังนึกไม่ออก แต่ถ้านึกออกแล้วบอกผมได้เลยนะครับ” มือผายออกเชื้อเชิญ “ดื่มน้ำพักผ่อนก่อนได้นะครับ”
ใบหน้าตกกระเสมองแก้วใสบนโต๊ะก่อนจะเอื้อมไปหยิบมันตามคำแนะนำ จรดขอบเข้ากับริมฝีปาก ค่อยๆ ปล่อยให้ความเย็นของน้ำไหลลงร่างกายพลางเหลือบมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนข้างๆ
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกได้นะครับ”
ทั้งสองมุมปากยกขึ้นในองศาที่พอเหมาะที่สุด ทั้งดวงตาโศกที่ทอประกายห่วงใย ทุกอย่างพอเหมาะพอเจาะที่จะถูกเรียกว่า ‘ยิ้มตามมารยาท’
พอหลุบตาลงต่ำก็พบว่าฝ่ามือที่วางประกบกันเสียดสีไปมา ปลายนิ้วนั้นสั่นระริก...
“หรือว่าจะ...”
“ผมขอโทษ”
ในที่สุดประโยคแรกก็หลุดจากปากทิวากร ฝ่ามือที่ถูไปมาหยุดชะงัก คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย “อะไรนะครับ?”
“สิ่งที่ผมทำมันแย่มากเลย” เจ้าตัวไม่ได้ทวนคำนั้นซ้ำ แต่กลับพูดต่อ “ทิ้งไว้แค่กระดาษแผ่นเดียว ปล่อยให้คุณจมอยู่กับปัญหา ขี้ขลาดจนคิดแค่ว่าไปที่ไหนก็ได้ ไปให้ไกลที่สุด”
“.......”
ทิวากรแค่นยิ้ม “เห็นแก่ตัวมากเลยเนอะครับ”
แค่มองจากด้านหลังยังเห็นร่างกายอันผ่ายผอม เวลาแค่สองอาทิตย์ อโณชาโทรมขึ้นได้ขนาดนี้เชียวเหรอ กระดูกตรงต้นคอที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตเด่นชัดเสียจนคนเห็นปวดหน่วงในอก เขาเห็นทุกอย่าง ดวงตาคล้ำ ข้อกระดูกปูนโปนที่มือ ทุกอย่างที่บ่งบอกว่าอโณชาทุกข์ทรมานแค่ไหน
แค่คิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นฝีมือตัวเองก็เจ็บจนแทบบ้าแล้ว
“ทั้งที่เคยปากดีบอกว่าจะทำให้คุณมีความสุขแท้ๆ แต่กลับเป็นผมเสียเองที่ทำให้คุณเจ็บปวด”
“ไม่ใช่...”
“ผมรู้ว่าแค่ขอโทษมันไม่สาสมกับสิ่งที่ทำลงไป แต่...”
“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ!”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาราวจะขาดใจ อโณชาหายใจลำบากแน่นหน้าอกไปหมด บางทีเขาอาจจะเครียดจนหอบเหมือนคืนนั้นก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องพูดออกไปให้ได้ “ขอโทษที่ปิดบัง”
ทิวากรทอดสายตามาทางเขา ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไป
“จะไม่พูดว่าไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ เพราะผมจงใจไม่บอกจริงๆ” คนผิดที่แท้จริงฝืนยิ้มฝืดๆ “เห็นแก่ตัวใช่ไหม เอาอนาคตคนอื่นมาทำแบบนี้ อาชญากรชัดๆ เลย”
ทิวากรพูดไม่ออก จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้โกรธ แต่สิ่งที่อโณชาทำก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน
“ขอโทษนะครับ ขอโทษจริงๆ”
ทั้งที่บอกว่าชอบใบหน้าของอโณชาตอนยิ้ม แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้เขาถึงเจ็บปวดเหลือเกิน
อาจเพราะดวงตาโศกนั้นเศร้าสร้อยอย่างที่สุด
“ถ้ารู้ตั้งแต่แรกผมจะไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้เด็ดขาด”
..................................................
“รักษาสุขภาพด้วยนะครับ”
“มืดแล้วนะ ใจคอจะไม่อยู่พักสักวันเลยเหรอ”
“ไม่ได้หรอกครับ พรุ่งนี้มีงานแต่เช้า” ชายหนุ่มบุ้ยหน้า “อโณเองก็ต้องไปเรียนด้วย”
เด็กหนุ่มย่างเข้าวัยรุ่นคลี่ยิ้มจางๆ น่าเอ็นดูในสายตาผู้ใหญ่ หล่อพิศยิ่งดูยิ่งหลงขนาดว่าเพิ่งแตกหนุ่มแท้ๆ ดวงตาโศกสวยเหมือนพ่อไม่มีผิด น่ากลัวจะโตไปเป็นหนุ่มเจ้าชู้
“อโณมานี่สิลูก” คุณย่ากวักมือเรียกให้พ่อหนุ่มเดินมาหา มือเหี่ยวย่นตบปุๆ ลงบนศีรษะ “เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนนะลูก”
“ครับย่า”
“แล้วก็อย่าเพิ่งไปมีฟงมีแฟนอะไรนะ เรียนก่อนนะลูก”
หนุ่มน้อยหัวเราะ “ครับ”
“ดึกแล้วก็อย่าล่ำลากันนานเลย” เพราะเห็นย่าหลานอ้อยอิ่งกันไม่เลิก ปู่เลยต้องรีบเข้ามาขัด “ขับรถกลับกรุงเทพฯ ดีๆ ล่ะนนท์”
“ครับพ่อ” บิดาของอโณชายกมือไหว “แล้วจะมาเยี่ยมใหม่นะครับ”
“สวัสดีครับ” คนเด็กสุดไหว้ลาญาติผู้ใหญ่ก่อนจะหันหลังเดินกลับขึ้นรถตามพ่อไป
อานนท์ จันทรศานต์เป็นนายธนาคารผู้รีบร้อนเสมอมีหรือจะปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เห็นลูกชายคาดเข็มขัดเรียบร้อยก็สตาร์ทรถประจำตำแหน่งในทันที
ไม่บ่อยนักที่เขาจะมาเยี่ยมพ่อแม่ที่นครปฐม ด้วยตารางงานที่รัดตัวตลอด พอดีว่าวันนี้เป็นวันหยุดภาคครึ่งปีของธนาคารเจ้าตัวก็ไม่รอช้าที่จะหอบหิ้วพ่อลูกชายมาไหว้ปู่ย่าด้วย ส่วนช่อผกาภรรยาคนสวยนั้นติดงานเลยฝากยาบำรุงมาให้
“พรุ่งนี้จะตื่นไปเรียนไหวไหมเนี่ย หือ?” คนเป็นพ่อถามยิ้มๆ
“ไม่ไหวก็หยุดอีกสักวันก็ได้ครับ”
“เจ้าเล่ห์แบบนี้เดี๋ยวแม่ก็ดุเอาหรอก” อานนท์พูดติดตลก เขาน่ะตามใจลูก แต่ภรรยาเป็นฝ่ายเคี่ยวเข็ญ นี่แค่ขออโณชาติดรถมาวันเดียวยังโดนบ่นแทบแย่ “นอนบนรถไปก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้จะได้ไม่เพลีย”
“ไหนพ่อว่าให้ผมติดรถมาชวนคุยไงครับ”
“พูดมากน่า เป็นเด็กเป็นเล็กหลับเยอะๆ สมองจะได้โต” ชายหนุ่มยักคิ้ว “แม่จะได้ไม่บ่น”
ลูกชายหัวเราะร่า “ที่แท้ก็กลัวแม่นี่นา”
อโณชาดื้อแพ่งอยู่พักใหญ่ ชวนพ่อคุยนู่นนี่ไปตามประสา ช่วงกำลังเข้าวัยรุ่นแบบนี้พ่อแม่เพ่งเล็งเป็นพิเศษ กลัวจะไปทำอะไรไม่ดีเข้า เขาเลยต้องเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟังอยู่บ่อยๆ จะได้สบายใจ
แต่ความดื้อดึงย่อยมีขีดจำกัดของมัน อาหารเย็นแสนอร่อยฝีมือย่าถ่วงหนังตาเก่งเหลือหลาย ดังที่ว่าหนังท้องตึง หนังตาหย่อน ดวงตาปรือปรอยลงพร้อมด้วยโสตประสาทที่เริ่มตามเรื่องที่พ่อพูดไม่ทัน
“ฮ้าว” เด็กก็คือเด็กล่ะน้า อานนท์แอบขำ มือใหญ่เอื้อมไปตบปุๆ บนหัวลูกชาย
“นอนซะ ถึงแล้วพ่อจะปลุกเอง”
อโณชากะพริบตาปริบๆ อีกสองสามทีก่อนจะพ่ายแพ้ต่อความง่วงเข้าสู่นิทราไปเรียบร้อย อุณหภูมิทั้งด้านนอกและด้านในรถต่ำเสียจนคนขับต้องปรับขึ้นให้พอดี ชะเง้อมองสองข้างทางมีแต่ต้นไม้ลู่ลม ดูท่าถ้าไม่รีบจะเจอพายุเข้าเสียแล้วมั้ง
พ่อลูกชายก็หลับสบายไปแล้ว อานนท์จึงขยับคันเร่งเพื่อให้ถึงที่หมายเร็วขึ้น ระยะทางจากนครปฐมเข้าสู่กรุงเทพฯ ใช้เวลาไม่นานหรอกหากขับรถด้วยความเร็วเท่านี้
ช่วงเวลาไหลผ่านไปสักพักอโณชาขยับตัวเล็กน้อย เขาสะลึมสะลือเหมือนโดนยาสลบ ขณะที่สมองไม่ทันได้ประมวลผลก็รู้สึกถึงความผิดปกติของทิศทางรถ
เอี๊ยด
ยางบดถนนอย่างรุนแรง ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งและก่อนที่จะทันได้คิดอะไรเสียง ‘ตูม’ ก็ดังขึ้นจากฝั่งขวาของตัวรถ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน
เด็กหนุ่มชาวาบไปทั้งตัว รอจนความเจ็บปวดที่หัวไหล่แล่นพล่านไปทั่วร่างถึงได้รู้สึกตัวเป็นครั้งแรก โลหิตสีแดงไหลออกจากศีรษะจนบดบังทัศนียภาพ เขาขยับตัวอย่างยากลำบากเพื่อเช็ดมันออกไป
สิ้นเสียง ‘ตูม’ ก็ไม่มีเสียงใดเข้าโสตประสาทอีกเลย ทุกอย่างเงียบสนิทราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อโณชานั่งอยู่อย่างนั้นรอจนดวงตาค่อยๆ ปรับตัวได้ และทันทีที่หันไปทางขวาของรถเด็กหนุ่มก็พบว่าร่างกายของเขาไม่ได้เจ็บปวดอีกต่อไป
ดวงตาโศกที่เหมือนของตัวเองเบิกค้างอยู่อย่างนั้น เลือดสำแดงสดกลบซีกหน้าฝั่งขวาจนมิด ขากรรไกรบิดเบี้ยวบดเข้ากับพวงมาลัย ร่างครึ่งหนึ่งถูกบดขยี้ไปพร้อมกับเหล็กกล้าของรถยนต์ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั้งห้องเครื่องจนแทบสำลักออกมา
ความเจ็บปวดทางร่างกายว่าน่ากลัวแล้ว แต่ไม่อาจเทียบเท่าสิ่งที่เห็นตรงหน้า
เด็กหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียงออกไป ลมพัดโบกให้ใบไม้ไหวเสียดสีกันเป็นเสียงเดียวในจุดเกิดเหตุ เขาได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้น มองหยดเลือดไหลออกจากช่องท้องของพ่อไปเรื่อยๆ ด้วยดวงตาว่างเปล่า
รออยู่อย่างนั้นไม่รู้นานเท่าไหร่จนกระทั่งรถกู้ภัยมาถึง ร่างผอมๆ ถูกงัดออกจากตัวรถ มีชายหญิงจำนวนหนึ่งพยายามเข้ามาพูดคุยกับเขา คลุมไหล่ด้วยเสื้อกันหนาว กดห้ามเลือดให้ที่ศีรษะ แล้วพาขึ้นรถตู้คันใหญ่ที่ส่งเสียงไปตลอดทาง
โรงพยาบาลขนาดเล็กที่ใกล้ที่สุดคือจุดหมาย แม้อุปกรณ์การแพทย์จะไม่ครบครันแต่คนที่เหลือให้รักษามีแค่เด็กหัวแตกคนเดียว อโณชาถูกพาตัวเข้าไปเย็บแผล เช็ดหน้าเช็ดตาให้สะอาด เขาไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรได้จนกระทั่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องใช้โทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ในรถติดต่อหาช่อผกา
เพราะถูกเรียกตัวไปอีกที่ทีมกู้ภัยจึงจากไปเงียบๆ และเพื่อไม่ให้วุ่นวายในการค้นหาเขาถูกพาตัวมานั่งที่ด้านหลังของตึก หน้าห้องที่เศร้าสร้อยที่สุด เจ้าหน้าที่บอกให้เขารออยู่อย่างนั้นจนกว่าแม่จะมารับ
มันเป็นความเงียบที่ยาวนาน ดวงตาโศกสะท้อนภาพมากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่สามารถเข้าไปอยู่ในการรับรู้ได้เลย เขานั่งอยู่อย่างนั้นนานเท่าไรก็ไม่รู้ ถูกลากไปโน่น ลากไปนี่ เขย่าไหล่ที่บวมแดงถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ลืมตาตื่นมาเจอเพดานอันคุ้นตา รอบกายคือเตียงของตัวเองไม่ผิดแน่ ชายหนุ่มยันตัวขึ้นเพียงเท่านั้นความเจ็บปวดที่แท้จริงก็แล่นไปทั่วร่าง “โอ๊ย!”
ทันทีที่เปล่งเสียงประตูห้องก็เปิดผัวะออก ช่อผกาพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก หล่อนประชิดเข้าข้างเตียงของลูกชาย
อโณชามองภาพสะท้อนของตัวเองที่กระจกข้างๆ เด็กหนุ่มหน้าตาเหมือนเขามีผ้าพันรอบศีรษะ และเมื่อยกมือขึ้นจับก็ต้องร้องคราง “อูย..”
“อย่าจับสิ” ช่อผการั้งมือลูกชายออก วางมันลงบนเตียง ลูบคลำราวสิ่งล้ำค่า
ดวงตาสวยๆ เหมือนของสามีจ้องมาทางเธอด้วยความสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับแม่”
ริมฝีปากอ้าค้างอยู่อย่างนั้น ช่อผกาเลือกที่จะกลืนเข็มพันเล่มลงคอ หากลูกชายจำไม่ได้ก็ไม่ควรให้เขาต้องมีเรื่องราวโหดร้ายในสมอง จากนี้เขาอาจจะเสียใจกับการจากไปของพ่อ แต่จะไม่ต้องทรมานกับภาพเหล่านั้นอีกต่อไป
หล่อนยิ้มอย่างขมขื่น โผเข้ากอดคนเป็นลูก “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”
และนั่นเป็นคำโป้ปดที่แสนหวานที่สุด
..................................................
“สูญเสียความทรงจำ?”
“ฮิสทีเรียน่ะ” อโณชาตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ทั้งที่เรื่องราวที่แย่ที่สุดเพิ่งออกปากไป “จำไม่ได้แค่ช่วงสั้นๆ แต่ก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัวอยู่ดี ตอนนี้ผมจำเหตุการณ์ในคืนนั้นได้หมดแล้ว”
“......”
“เด็กผู้ชายคนนั้นสินะ” ดวงตาโศกทอดมองมาอย่างเอ็นดู “โตขึ้นเยอะเลยนี่นา”
“เพิ่งจำได้งั้นเหรอครับ”
“คืนที่ได้เอกสารมามันมีภาพจากที่เกิดเหตุด้วย ตอนนั้นปวดหัวจนเกือบนอนโรง’บาลแหนะ” เขาเล่าติดตลก “ภาพในคืนนั้นก็เลยย้อนเข้ามา”
“เจ็บหรือเปล่าครับ”
“ไม่เลย จำรายละเอียดไม่ได้หรอกแค่พอรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างเท่านั้นแหละ” อโณชายักไหล่ “จะว่าไปแล้ว...”
“แบบนั้นก็เท่ากับว่าผมเป็นไอ้โง่เลยนี่นา!”
ประโยคนั้นเกรี้ยวกราดจนคนใส่หน้ากากผงะไปด้านหลัง
“ขอโทษ...”
“ไม่ครับ! ผมไม่ได้โกรธคุณ” เขายกมือทำท่าห้ามให้อีกฝ่ายคิดอะไรต่อ “ผมโกรธตัวเอง โกรธมากเลยด้วย นี่ผมเป็นบ้าอะไรอยู่ได้ตั้งนาน”
“…….”
“มันไม่ใช่ความผิดคุณเลยนี่ครับ” ดวงตาคนพูดซื่อตรงอย่างที่สุด “ผมคิดว่าถูกหลอกถึงได้สับสนขนาดนั้น แต่ไม่ใช่เลย...คุณต้องมาจำเรื่องโหดร้ายได้เพราะผม แค่คิดว่าอาจจะถูกคุณเกลียด...ผมก็ทนไม่ไหวแล้ว”
“ไม่ใช่นะ...”
“ทำไมล่ะครับ” ทิวากรไม่ยอมให้อโณชาได้มีโอกาสพูดโทษตัวเองอีกแล้ว
“ทำไมต้องแบกรับความรู้สึกผิดอยู่คนเดียวด้วยครับ”
“ผมยอมรับว่าตัวเองในอดีตเคยรู้สึกว่าโลกไม่ยุติธรรมที่พรากเอาทุกอย่างของผมไป แต่มันงี่เง่ามาก คุณเองก็สูญเสียไปมากมายเหมือนกัน เรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอกครับ”
“แต่ฉันเห็นแก่ตัวมากนะ” ประโยคต่อว่าตัวเองหลุดออกมาในทันที รีบร้อนจนเผลอใช้สรรพนามเก่า “ขนาดรู้ความจริงก็ยังอยากมีอะไรด้วย คนแบบนี้มันดีจริงๆ น่ะเหรอ”
“........”
“แถมเป็นผู้ชายเหมือนกันด้วย”
“คุณอโณ”
“ฉัน....”
“ถ้าคุณอโณเรียกสิ่งนั้นว่าความเห็นแก่ตัว ผมก็รักคนเห็นแก่ตัวครับ”
ไม่! เขาไม่มีสิทธิ์ได้รับมัน คำบอกรักที่ซื่อตรงอย่างนั้น
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มให้ “คุณไม่ได้ชอบผมหรอกครับ มันแค่เพราะผมเข้ามาช่วยในตอนนั้นพอดี”
ใช่แล้ว มันก็แค่ความหวั่นไหว พอทิวากรคนเดิมกลับมาทุกอย่างก็ควรจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้น คนอย่างเขาน่ะไม่มีสิทธิ์ไปรักหรอก
ภาพที่กาญจนบุรีย้อนกลับเข้ามา ‘ทิวากร’ กลับไปมีชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น ห้อมล้อมด้วยผู้คนที่รัก
ไม่ควรจะมาจมปรักอยู่กับเขาด้วยความรู้สึกชั่ววูบเลย...
“ผมก็แค่มีน้ำใจให้ในช่วงเวลาที่คุณลำบาก”
นี่คือการลงโทษตัวเองที่สาสมที่สุดแล้ว
“ถ้าเป็นคนอื่นมาช่วย คุณก็คงเผลอคิดว่าตกหลุมรักเขาเหมือนกันแหละครับ”
“แล้วยังไงล่ะครับ!”
ดวงตาโศกเบิกโพลงเมื่ออีกฝ่ายขึ้นเสียง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ‘หลง’ ไม่เคยเสียงแข็งใส่เขาแบบนี้มาก่อน
ทิวากรมองอีกฝ่ายตรงๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “มีคนอื่นมาช่วยผมเหรอครับ ต่อให้สมมติร้อยอย่างพันอย่าง แต่ความจริงก็คือคุณอโณเป็นคนยื่นมือเข้ามาหา” ทั้งที่จะปล่อยให้ตายเหมือนหมาข้างถนนก็ได้ ทว่ามือคู่นั้นกลับยื่นมาประคอง ปล่อยให้เลือดเปรอะเปื้อนเสื้อทั้งที่ตัวเองก็หวาดกลัวกลิ่นคาวนั้น “คอยดูแลผมมาตลอด ช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักอย่างผม นั่นแหละครับที่พิเศษ เพราะเป็นคุณไม่ใช่ใครที่ไหน”
ปลายนิ้วจิกลงบนเบาะโซฟา ความรู้สึกที่พรั่งพรูเต็มอกนี่ไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างแน่นอน....
“แล้วมันแปลกตรงไหนเหรอครับที่ผมจะรักคุณอโณ”
คำถามอันซื่อตรงทิ่มแทงลงมากลางใจคนฟัง ความเจ็บปนสุขสมแล่นพล่านไปทั้งอก สมองอันชาญฉลาดควานหาคำตอบนับร้อยพันในหัว ทว่าไม่มีเลย...
ไม่มีข้อโต้แย้งเลยสักนิด
เงาดำทาบลงบนใบหน้าเมื่อร่างสูงใหญ่ขยับเข้ามาใกล้ขึ้น ใบหน้าที่เฝ้าคิดถึงคลี่ยิ้มสว่างไสวไม่ต่างจากเดิม “ผมอยากจะมีชีวิตแบบไหนขอให้ผมเป็นคนตัดสินใจเองนะครับ”
“ฉัน...”
ฝ่ามือกร้านแบออกตรงหน้า
“คุณอโณมีหน้าที่แค่ตอบว่ายังอยากมีผมเป็นส่วนหนึ่งของห้องนี้ไหม”
คำขอร้องที่กลัวที่สุดเสียดแทงเข้ากลางใจ ความลังเลฉายชัดในแววตา ทั้งที่คิดว่าอยู่คนเดียวได้แล้วเชียวทำไมต้องกลับมาด้วย กลับมาพังทลายความมั่นใจทั้งหมดที่มี
พูดสิ พูดออกไปว่า ‘ไม่’
คำตอบเด่นชัดอยู่ตรงหน้า แต่กลับตอบออกไปไม่ได้อย่างใจคิด หน้าอกร้อนวูบวาบจนต้องยกมือขึ้นกุมไว้ เขาทำไม่ได้ ปฏิเสธหัวใจของตัวเองไม่ได้ ต่อให้เป็นยาพิษก็จะยอมดื่มจนหยดสุดท้าย...
ตุบ
มือสั่นๆ ร่วงหล่นเข้าสู่การเกาะกุมของอีกฝ่าย และวินาทีนั้นทิวากรปล่อยหยดน้ำที่กักเก็บไว้ในดวงตาออกมา ร้องไห้เหมือนเด็กชายตัวน้อยในวันนั้น ประคองมือขาวๆ ราวสมบัติล้ำค่า
“ขอบคุณครับ ขอบคุณ” แขนเสื้อถูกยกขึ้นปาดน้ำตา “ขอกอดได้ไหมครับ”
“อืม”
สิ้นเสียงร่างทั้งร่างก็ถูกรวบเข้าสู่อ้อมกอด ทิวากรซุกหาอุ่นไอจากอโณชาให้มากที่สุด สองอาทิตย์ช่างยาวนานเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเขาทิ้งสิ่งล้ำค่านี้ไปได้อย่างไร ช่างโง่เขลาเสียจริง
พอได้สวมกอดแบบนี้อโณชาจึงได้รู้ว่าไม่ใช่แค่ตัวเองที่ร่างกายผ่ายผอม คนกินเก่งอย่างทิวากรก็เช่นกัน ปลายนิ้วไล่บนกระดูกสันหลังทีละข้อ สัมผัสมันราวกับปลอบโยน
กอดนั้นช่างแสนสั้นในความรู้สึก อโณชาผละออกอย่างเชื่องช้า ก้มมองเวลาบนข้อมือ
“นี่ก็ทุ่มกว่าแล้ว เดี๋ยวฉันทำอาหารให้กินนะ”
แม้ใจจะอยากดึงรั้งไว้แต่ก็ต้องตอบรับโดยดี “ครับ”
อโณชาหายเข้าไปในครัวก่อนจะกลับมาด้วยผัดผักอย่างง่ายๆ โต๊ะกินข้าวที่เงียบเหงามีใครบางคนนั่งรออยู่เหมือนอย่างเคย เขาวางจานที่ซ้อนกันลง หยิบข้าวสวยที่ซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตแบ่งใส่แล้วเลื่อนมันไปยังฝั่งตรงข้าม
ทิวากรตาเป็นประกายเหมือนเด็กน้อย เอ่ยขอบคุณพลางหยิบช้อนตักผัดผักใส่ปากทันที พร้อมเอ่ยประโยคประจำ “ฝีมือคุณอโณอร่อยที่สุดเลยครับ”
“ถ้าอย่างนั้นหลง...”
อโณชาชะงัก
“ทิวา...”
“เรียกหลงเหมือนเดิมเถอะครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มให้ อบอุ่นสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ “ผมชอบชื่อนั้น”
เส้นกั้นระหว่างหลงกับทิวากรค่อยๆ จางลง อโณชานึกขอบคุณอย่างสุดหัวใจ เด็กชายในวันนั้นเติบโตอย่างสวยงาม ไม่ว่าจะถูกเรียกว่าอะไรเขาก็หลอมรวมขึ้นมาจากทั้งหลงและทิวากร
หน่วยตาแสบร้อนไปหมดไม่ต่างจากตรงอกซ้าย ไร้ความเจ็บปวดทว่าซาบซ่านราวกับถูกโอบกอดเอาไว้ ตอนนี้อาจจะยังรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่เขาได้รับความกล้าที่จะเดินต่อไปแล้ว
วินาทีนั้นหยดน้ำใสกลิ้งตัวลงที่ข้างแก้ม เขาเอ่ยชื่อนั้นอีกครั้ง...
“หลง”
เจ้าหมาทำหูลู่เมื่อได้ยินชื่อที่ถูกใจ พอเห็นทางนั้นร้องไห้ก็พานแสบตาไปด้วย ดวงตาบวมช้ำเมื่อครู่กลั่นสิ่งที่ตื้นตันในอกออกมาเป็นน้ำตาอีกครั้ง เขาปาดมันออกจากใบหน้า ตอบรับอโณชาทั้งที่ข้าวเต็มปาก
“ครับ คุณอโณ”
“หลงสมาชิกของห้องไงครับ”
ต่างฝ่ายต่างยิ้มทั้งน้ำตา ตักอาหารเข้าปาก หัวเราะกับท่าทางโง่ๆ
ช่างเป็นการกินข้าวที่บ้าบอจริงๆ
..........................