-5-
กึก กึก กึก
เสียงดังกึกก้องดังขึ้นจากส้นรองเท้าคัทชูผู้ชายสีดำเป็นเงาวับ สองขายาวก้าวฉับๆอย่างคล่องตัวไปตามทางเดินพื้นหินอ่อนของโรงพยาบาลด้วยความรีบร้อน เมื่อได้รับข่าวว่าคนไข้เด็กผู้หญิงรายหนึ่งอาละวาดอย่างหนักเนื่องจากไม่ยอมให้พยาบาลเจาะเลือด เขาถึงได้รีบมาทำให้เหตุการณ์สงบเพื่อไม่ให้รบกวนผู้ป่วยรายอื่น เพราะเป็นห้องพักรวม
“อาจารย์หมอทางนี้ค่ะ!” พยาบาลหญิงวัยกลางคนเรียกเขาด้วยความร้อนรน ก่อนจะรีบเดินนำไปยังเตียงผู้ป่วยรายนั้นทันที ในขณะเดียวกันก็ยังได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังลอยมาแต่ไกล
สายตาคมจับจ้องไปที่ผู้ป่วยเด็กรายนั้นที่ตอนนี้พยาบาลสองคนได้ถอยห่างให้อาจารย์หมออย่างเขาเป็นฝ่ายจัดการ สีหน้าเรียบเฉยของเขาบวกกับความเย็นชาที่สะท้อนออกมาจากแววตานิ่งๆ ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เด็กสาวสงบลงและมองมาทางคุณหมอร่างสูงใหญ่อย่างไม่มีความเกรงกลัวใดๆ
“เด็กก้าวร้าว ระวังจะไม่มีใครรัก” ภูตะวันพูดเสียงเรียบ รับเข็มจากนางพยาบาลก่อนจะจับแขนเล็กของเด็กสาวเอาไว้พร้อมสำหรับการเจาะเลือด ทว่าเธอกลับสะบัดแขนข้างนั้นออกอย่างแรง
“อย่ามายุ่ง!!!”
“ถ้าเธอไม่ให้หมอเจาะเลือด เธอจะตาย” ถึงแม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับกิริยาก้าวร้าว แต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจเสียงตวาดจากผู้ป่วยร่างเล็กฤทธิ์เยอะบนเตียง กลับพูดเป็นเชิงขู่เสียงเรียบ ทำให้เด็กสาวอายุราว 7 ขวบชะงักไป สีหน้าเธอดูสลดในขณะที่ดวงตาก็สะท้อนความเศร้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“... หนูก็คงได้ไปอยู่กับพ่อแม่บนสวรรค์” เธอพูดตัดพ้อน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาเหม่อลอยมองออกไปยังท้องฟ้านอกหน้าต่างบานใหญ่ ต่างทำให้คนที่อยู่ในห้องอดสงสารเด็กน้อยคนนี้ไม่ได้ เพราะพวกเขาต่างก็รู้ว่าเธอถูกสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าส่งมาให้รักษาตัวเนื่องจากป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วตั้งแต่กำเนิด ภูตะวันอาศัยจังหวะที่เด็กสาวเผลอ เตรียมพร้อมที่จะกดเข็มแหลมลงไป แต่เธอก็กลับรู้ตัวเสียก่อนและกรีดร้องเสียงดังลั่น
“กรี๊ดดดดดดดดดด!! หนูไม่ให้ทำ!!!!! กรี๊ดดดดดดดดดด!!” เธอกรีดร้องพร้อมกับสะบัดแขนและขาอย่างแรง พยาบาลสาวรีบเข้ามาช่วยกันจับร่างของเธอให้สงบลงแต่ก็ไม่เป็นผล เธอใช้แรงทั้งหมดที่มีดิ้นรนเพื่อปกป้องตัวเอง มือเล็กทุบตีสะเปะสะปะใส่อาจารย์หมอไม่ยั้งราวกับคนขาดสติ เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายผู้ป่วยรายอื่นพากันแตกตื่น ภูตะวันรีบวางเข็มลงในถาดก่อนจะรวบมือน้อยที่ก็ยังรัวใส่เข้าไม่ยั้งให้หยุดลง จังหวะเดียวกันกับที่พระพายวิ่งเข้ามาพร้อมกับเพื่อนเรสสิเดนท์อีกสองคน
“ช่วยกันจับหน่อย!” อาจารย์หมอหนุ่มบอกเสียงดัง ทุกคนจึงพากันตรงเข้าไปจับแขนขาของเด็กสาวฤทธิ์เยอะอย่างกับรู้ตำแหน่งโดยอัตโนมัติ จนเธอไม่สามารถตวัดแขนและขาได้อีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไม่หมดฤทธิ์ เธอดิ้นพล่านอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย
“ฉีดยานอนหลับไหมครับ!?” หมอเอิร์ธโพล่งขึ้นมาท่ามกลางความชุลมุน อาจารย์หมอที่เห็นด้วยว่าการที่จะทำให้เด็กคนนี้สงบลงก็คงจะมีแต่ให้ยานอนหลับวิธีเดียวเท่านั้น จึงพยักหน้าบอกพยาบาลให้ไปเตรียมเข้ามา ทว่าพระพายกลับไม่เห็นด้วยที่จะให้
ยานอนหลับกับเด็กที่อายุเพียงแค่นี้
“ไม่ต้องครับผมมีวิธี!! ขออนุญาตครับอาจารย์” เขาพูดเสียงเบาลงในประโยคหลัง ก่อนจะเดินไปยืนแทนที่ภูตะวัน ทุกสายตากำลังจับจ้องไปที่คุณหมอหน้าหวานว่าจะมีวิธีแก้ให้เด็กสาวคนนี้สงบลงด้วยวิธีใด พระพายล้วงหยิบของบางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ของตนออกมาชูตรงหน้าของคนป่วยที่กำลังมีสีหน้าแดงจัด แต่ทันทีที่เธอเห็นของสิ่งนั้นเธอก็ค่อยๆสงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ
“... รางวัลของเด็กดี ถ้าหนูหยุดร้องหยุดดิ้นและอยู่เฉยๆ พี่จะให้หนู อยากได้ไหม?” พระพายพูดเสียงนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มใจดี หากแต่เด็กสาวก็ยังมองเขาด้วยสายตาระแวง เพราะเธอก็ยังเห็นว่าผู้ชายใจดีตรงหน้าใส่ชุดไม่ต่างอะไรกับคุณหมอหน้าดุแถมยังใจร้ายคนที่ยืนอยู่ข้างกัน เธอมองพระพายกับอาจารย์หมออย่างหวาดระแวง ทำให้พระพายสังเกตอาการของเธอออก ก่อนจะลูบหัวกลมแผ่วเบา
“พี่เป็นหมอใจดี” สายตาคมกริบของหมอซันมองพระพายอย่างไม่สบอารมณ์นัก เหมือนกับว่าเขาโดนลูกศิษย์ตัวดีด่าอ้อมๆว่าเป็นหมอใจร้ายก็ไม่ปาน เด็กสาวรับน้ำตาลปั้นรูปหัวใจหน้ายิ้มหลากสีมาถือไว้เอง พระพายช่วยเธอแกะถุงที่ใส่ออกอย่างใจดี ลิ้นเล็กแตะลงบนขนมหวานของรางวัลอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะไม่เคยเห็นและไม่เคยกินมาก่อน แต่พอได้ลิ้มรสเธอก็คลี่ยิ้มถูกใจกับของรางวัลชิ้นนี้นักหนา จนคนให้อดไม่ได้ที่จะยิ้มตามไปเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเธอ
“หมอไม่ได้ใจร้ายทุกคนหรอกนะ ถ้าหนูให้ความร่วมมือหนูก็จะหาย ได้กลับไปหาเพื่อนๆ พี่หมอจะซื้อน้ำตาลปั้นไว้เยอะๆให้หนูเอาไปฝากเพื่อนๆที่บ้านด้วย แต่ต้องให้พี่หมอเจาะเลือดนะครับเด็กดี” หมอพายค่อยๆตะล่อมพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มน่าฟัง สัมผัสนุ่มนวลบนกลุ่มผมสีดำเงาทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและวางใจ ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงเป็นการอนุญาตให้เจาะเลือดได้ถึงแม้ว่าในใจจะกลัวอยู่ก็ตาม พระพายรับเข็มเจาะเลือดจากพยาบาลก่อนจะค่อยๆทำอย่างเบามือ พร้อมกับสังเกตสีหน้าของเด็กสาวไปด้วยว่ามีอาการตอบสนองอย่างไร
“เสร็จแล้ว เห็นไหมแป๊ปเดียวเอง เจ็บไหมครับ?”
“เหมือนมดกัด” เด็กน้อยพูดอย่างใสซื่อ พระพายหัวเราะเอ็นดูก่อนจะส่งหลอดเลือดให้กับพยาบาลนำไปส่งตรวจก่อนผ่าตัด เขาแปะพลาสเตอร์ปิดแผลให้เธอเป็นอันเสร็จเรียบร้อย ทุกคนต่างพากันถอนหายใจ หมอซันเบือนสายตามองไปทางอื่น เมื่อรู้สึกว่าเขามองลูกศิษย์ของตัวเองด้วยความรู้สึกที่แปลกไป
หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อย บรรดาหมอก็พากันเดินออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย แพรดาวพูดชมเพื่อนตัวเองใหญ่ว่าเอาเด็กฤทธิ์เยอะแบบนั้นจนอยู่หมัดได้อย่างไร เช่นเดียวกันกับหมอเอิร์ธที่แทบจะปาดเหงื่อเมื่อเจอคนไข้แบบนี้ อาจจะเป็นเพราะเขาเองไม่ชอบเด็กเป็นทุนเดิม แพรดาวเอ่ยชวนให้ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน ในขณะที่ภูตะวันก็เดินเลี่ยงพวกเขาไปอีกทาง พระพายหันไปมองก่อนจะหันกลับมาหาเพื่อนของตน
“เดี๋ยวเราตามไป” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะวิ่งออกไปตามทางเดินที่อาจารย์หมอของเขาเพิ่งจะเดินออกไปก่อนหน้านี้ไม่นาน
“อาจารย์ครับ!” คนถูกเรียกหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย เขากลับหลังหันพลางเลิกคิ้วขึ้นสูงเป็นเชิงถามว่ามีอะไร ขาเรียวก้าวเข้ามาหาช้าๆ สายตาคมกริบมองด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนที่มือบางจะยกขึ้นจับที่ต้นคอเขาอย่างเบามือ
“... คออาจารย์มีเลือดออก สงสัยเล็บเด็กคนนั้นข่วนเอา ไปทำแผลเถอะครับ” หมอซันยกมือขึ้นแตะจุดที่ลูกศิษย์บอกเบาๆ เขาสะดุ้งเล็กน้อยเพราะแสบนิดๆเมื่อนิ้วเรียวยาวแตะโดนปากแผลที่มีเลือดซิบออกมา ดวงตาคมมองดูเลือดจางๆที่ติดอยู่ปลายนิ้ว เห็นว่าไม่ได้เป็นแผลใหญ่อะไรมากมายนักคงไม่จำเป็นจะต้องทำแผลแค่แปะพลาสเตอร์ก็คงพอ
“นิดหน่อย ไม่ต้องทำหรอก”
“มันอาจจะติดเชื้อ อาจารย์เป็นหมอก็น่าจะรู้นี่ครับ ไปครับ” พูดจบก็คว้าข้อมือหนามาจับไว้ กึ่งลากกึ่งจูงไปยังเคาท์เตอร์แผนกผู้ป่วยที่พวกเขาเพิ่งจะเดินจากมาเมื่อครู่นี้ สายตาคมมองมือบางที่วางอยู่บนข้อมือตัวเองสลับกับแผ่นหลังบางที่ไม่ได้ต่างจากแผ่นหลังของผู้ชายปกติทั่วไปนัก ทว่าพระพายก็ยังเป็นผู้ชายตัวเล็กสำหรับเขาอยู่ดี
“ช่วยทำแผลให้อาจารย์หมอของผมหน่อยครับ” เขากดไหล่หนาของอีกฝ่ายให้นั่งลงบนเก้าอี้เป็นเชิงบังคับ จับไหล่หนาไว้แบบนั้นกันไม่ให้ลุกหนี พยาบาลสาวก็รีบกุลีกุจอเตรียมอุปกรณ์ทำแผลก่อนจะนั่งลงตรงหน้าอาจารย์หมอสุดหล่อที่ใครๆต่างก็พากันชื่นชม
“คุณไปทำงานเถอะ ผมทำเองได้” เสียงทุ้มเอ่ยบอกกับพยาบาลสาว พลางหยิบถาดวางอุปกรณ์ทำแผลทั้งหมดลุกขึ้นไปด้านหลังของเคาท์เตอร์ที่เป็นอ่างล้างมือโดยไม่สนใจลูกศิษย์ที่ยืนทำสีหน้างุนงงไม่เข้าใจกับการกระทำของเขา พระพายถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเดินตามอาจารย์หมอของตนเองเข้าไป
ภูตะวันยืนอยู่หน้ากระจกอ่างล้างมือ เขาเอียงคอปรับองศาเพื่อจะได้ทำแผลที่ลำคอของตนได้ถนัด นิ้วเรียวลูบไล้รอบแผลเบาๆ รอยเล็บข่วนไม่ทำให้แผลใหญ่หากแต่ก็ทำให้เจ็บแสบได้อยู่ไม่น้อย พระพายยืนมองอยู่ไม่นานก่อนจะเดินเข้าไปจับคุณหมอตัวสูงให้พลิกตัวมาหาเขาแทน
“ทำไมดื้อนักล่ะครับ ทำเองมันจะถนัดได้ยังไง ...” เสียงนุ่มเปรยขึ้นมา คิ้วเรียวเข้มได้รูปขมวดผูกกันเป็นปม เขาหยิบก้านสำลีที่ชุบแอลกอฮอล์ล้างแผลไว้ก่อนแล้ว วางลงบนรอยแผลนั้นอย่างเบามือ ด้วยความสูงที่ต่างกันทำให้ใบหน้าของพระพายอยู่ตรงต้นคอของภูตะวันพอดี จึงไม่ลำบากในการทำแผลมากนัก
“พกน้ำตาลปั้นมาทำงานด้วยรึไง” หมอซันเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบของเขาสองคน พระพายคลี่ยิ้มก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนถาม ทว่ากลับต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่าใบหน้าของเขากับอาจารย์หมออยู่ใกล้กันเกินไปและอีกฝ่ายก็กำลังก้มมองเขาด้วยสายตาที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ เขาจึงเลือกที่จะก้มหน้ามองแผลที่คอเจ้าของแทน
“มีคนให้มาน่ะครับ”
“ใคร?”
“ก็คนไข้ที่เป็นเด็กๆนี่แหละครับ ตรวจจนสนิทกัน” มือบางวางสำลีลงบนถาด ก่อนจะหยิบยาทาแผลขึ้นมาเทลงบนสำลีอีกหนึ่งก้านจนชุ่ม เขาแตะลงบนรอยแผลเบาๆแต่นั่นก็ทำให้ภูตะวันสะดุ้งไปเล็กน้อย
“... คุณคงชอบเด็ก” เขาถามอย่างไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่เห็นความใจดีบวกกับความอ่อนโยนของพระพายที่มีต่อเด็กคนนั้นแล้วมันทำให้เขารู้สึกดีอย่างประหลาดและนั่นอาจจะเป็นเพราะหมอพายถูกชะตากับเด็กจึงทำให้เข้ากันได้ง่าย ต่างกับเขาที่ไม่ค่อยจะชอบใจเด็กเสียเท่าไหร่
“ก็ไม่เชิงครับ ตอนเป็นหมอใช้ทุนบนดอย ส่วนใหญ่ก็มีแต่เด็กๆที่พ่อแม่พามาหาหมอ เลยพอจะรู้วิธีหลอกล่อให้เขายอมตรวจอยู่บ้าง” เขาตอบแต่ก็ยังคงสนใจรอยแผลเล็กๆบนคออาจารย์หมออย่างกับว่าเป็นแผลใหญ่นักหนา บรรจงติดพลาสเตอร์สีเนื้อบนรอยแผลนั้นอย่างเบามือ โดยไม่รู้ตัวว่ามีดวงตาคมกริบคู่หนึ่งกำลังจับจ้องทุกการกระทำของเขาไม่วางตา
“เสร็จแล้วครับ” พูดจบก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะถอยเว้นระยะห่างระหว่างกันออกมาหนึ่งก้าว ภูตะวันเอียงคอหันกลับไปส่องกระจกดูรอยแผลที่ตอนนี้มีพลาสเตอร์สีเนื้อปิดไว้อย่างดี หมอพายจึงเก็บทำความสะอาดอุปกรณ์ทำแผลเข้าที่ให้เรียบร้อย
“... ไปกินข้าวกันไหม?”
“ครับ?” เขาหันมาถามคนตัวสูงที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงพิงอ่างล้างหน้าอย่างแปลกใจ คิดยังไงถึงได้ชวนกันไปกินข้าวทั้งที่ร้อยวันพันปีก็ไม่แม้แต่จะได้ยิน เพราะเห็นกี่ครั้งอาจารย์หมอก็มักจะไปนั่งกินคนเดียวหรือไม่ก็กับเพื่อนหมอคนอื่นๆ
“คุณติดเลี้ยงข้าวผมอยู่หนึ่งมื้อ” ภูตะวันเห็นใบหน้าหวานนั่นคิ้วขมวดแสดงความสงสัย จึงเอ่ยตอบไขข้อข้องใจให้กับลูกศิษย์ ก่อนจะยิ้มกวนๆและเลิกคิ้วขึ้นเร่งเร้าเอาคำตอบจากอีกฝ่าย
“ผมมีนัดแล้วครับ”
“โอเค ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร” หมอซันพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันกลับไปล้างมืออย่างไม่ได้ติดใจจะถามอะไรต่อ พระพายล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดหยิบน้ำตาลปั้นรูปหัวใจหลากสีอีกหนึ่งอันขึ้นมา เขาคลี่ยิ้มบางเมื่อคนตัวสูงหันกลับมา
“ผมให้ครับ เผื่อเด็กคนนั้นอาละวาดขึ้นมาอีก ... ผมคงมาไม่ทันทุกครั้ง แต่ถ้าเธอไม่อาละวาดแล้ว อาจารย์จะเก็บไว้กินเองก็ได้นะครับ กินของหวานแล้วจะได้อารมณ์ดี” ดวงตาคมกริบหรี่ลงอย่างสงสัย แต่ก็ยอมรับน้ำตาลปั้นรูปหัวใจหน้ายิ้มมาถือไว้ในมือ เขามองและพลิกมันไปมา หัวเราะหึในลำคอที่เหมือนจะถูกด่าทางอ้อมอยู่กลายๆ
“เห็นผมเป็นคนอารมณ์ร้ายใจร้ายมากหรือไง?”
“อาจารย์ก็ยิ้มเยอะๆสิครับ ยิ้มเหมือนน้ำตาลปั้นแบบนี้” เขาพยักเพยิดหน้าไปที่น้ำตาลปั้นในมือของอีกฝ่าย ภูตะวันยิ้มมุมปากมองน้ำตาลปั้นกับลูกศิษย์สลับกันไปมา ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากเคาท์เตอร์พยาบาลแผนกผู้ป่วยเพื่อจะกลับไปทำงาน ทว่ากลับถูกเสียงเรียกจากลูกศิษย์รั้งไว้
“ตอนเที่ยงผมไม่ว่าง เป็นตอนเย็นแทนแล้วกันนะครับ” หากหมอพายทันสังเกตสักนิดก็คงจะได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆจากคนยิ้มยากบางคน เขาระบายยิ้มหวานก่อนจะพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ยอมรับว่าอาการเกร็งเวลาอยู่กับอาจารย์หมอลดลงไปบ้างแล้ว อาจจะเพราะคนเย็นชาคนนั้นที่มอบความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดให้ในวันนั้นที่เขาอ่อนแอ ...
มือหนาผลักประตูไม้บานใหญ่ให้เปิดเข้าไป ก้าวเท้าผ่านธรณีประตูตรงไปยังโต๊ะทำงาน นั่งลงที่เก้าอี้ตัวใหญ่พลางเอนหลังพิงพนักอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะหยิบน้ำตาลปั้นไม้นั้นที่ลูกศิษย์เพิ่งจะให้มาขึ้นมา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องไปที่น้ำตาลปั้นรูปหัวใจหลากสี นิ้วเรียวหมุนที่ปลายไม้ของมันไปมา พลางนึกถึงใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับประโยคที่บอกให้เขายิ้มเยอะๆเหมือนเจ้าน้ำตาลปั้น ก็ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาใส่มันไว้ในกระป๋องเครื่องเขียนที่วางอยู่บนโต๊ะ ขยับให้หน้ายิ้มของมันอยู่ในองศาที่ต้องการ ก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารการประชุมออกจากห้องไป ...
บรรยากาศยามเย็นของเมืองหลวงแห่งนี้ อาจจะไม่ใช่บรรยากาศที่ดูจะโรแมนติกเหมือนต่างจังหวัดเสียเท่าไหร่ ทั้งรถที่ติดกันเป็นแถวยาว ฝุ่นควันฟุ้งกระจายลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ผู้คนเดินกันให้ขวักไขว่ รวมถึงสองร่างของคุณหมอที่เดินคู่กันไปอยู่บนฟุตบาธริมถนนใหญ่ ด้วยเพราะความเบื่อการจราจรในเมืองหลวง คนที่อยู่ต่างจังหวัดมาตลอดอย่างพระพายจึงเลี่ยงการเดินทางด้วยยานพาหนะแล้วเปลี่ยนเป็นเดินเท้าแทน เพราะเขาเลือกร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดที่พักอยู่มากนัก
“ร้านนี้เหรอ?” เสียงทุ้มถามพลางเงยหน้ามองป้ายชื่อร้านที่อยู่สูงขึ้นไป พระพายยิ้มก่อนจะชูสองนิ้วบอกกับพนักงานว่าเขามากันสองคน พนักงานชายเดินนำพวกเขาเข้าไปนั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนริมบ่อน้ำเล็กๆของทางร้าน
“ผมมีปัญญาเลี้ยงอาจารย์ได้ดีเท่านี้แหละครับ อาหารแพงๆในห้างผมคงสู้ไม่ไหว” พระพายหัวเราะเบาๆ อีกคนที่มาด้วยกันหันกลับมามองเขาพร้อมกับยิ้มมุมปาก
“ผมเลี้ยงคุณแค่ข้าวต้มธรรมดาไม่กี่ร้อยบาท คุณเลี้ยงดีกว่าผมซะอีกนะ” ภูตะวันหัวเราะในลำคอ ก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วร้าน เสียงดนตรีสดกำลังบรรเลงให้ลูกค้าในร้านได้ฟังระหว่างมื้ออาหาร คนเดินกันให้วุ่นวายเนื่องจากเป็นร้านหมูกะทะแบบบุฟเฟ่ท์ที่เขาไม่เคยได้เข้ามาลิ้มลอง ทำให้พระพายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต้องเผลอมองตามสายตาที่เขามอง
“ผมเห็นว่าคนเยอะทุกวันคงน่าจะอร่อย บรรยากาศก็ดี อาจารย์เคยมาที่นี่ไหมครับ?” เขาช่วยรับจานและแก้วจากพนักงานที่เข้ามาเสิร์ฟ ก่อนจะเอียงตัวหลบเตาร้อนๆที่เอามาวางไว้บนกลางโต๊ะ
“ไม่เคย ผมไม่ค่อยว่างมากินอะไรแบบนี้หรอก” เขาตอบพลางรับจาน ช้อนและตะเกียบจากลูกศิษย์ที่เลื่อนส่งมาให้จากอีกฝั่ง พระพายขมวดคิ้วอย่างสงสัย หากไม่ว่างมากินอะไรแบบนี้แล้วทำไมวันนี้ถึงว่างมากิน ทั้งที่ในเวลานี้อาจารย์หมอก็ควรจะยังอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อวิจัยนู่นนี่เสียด้วยซ้ำ
“แล้วทำไมวันนี้หมอถึงว่างล่ะครับ?”
“... ก็เพราะว่าคุณเลี้ยงไงผมถึงว่าง” เมื่อได้รับคำตอบพระพายกลอกตาไปมา ยอมใจกับความคิดของผู้ชายตรงหน้าจริงๆ ภูตะวันหัวเราะในลำคอเบาๆเมื่อเห็นกิริยาของลูกศิษย์ หมอพายลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะชี้นิ้วไปที่โซนตักอาหาร
“เดี๋ยวผมไปตักอาหาร อาจารย์รออยู่ที่นี่นะครับ” พูดจบก็เดินออกไปโดยที่ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดต่อ เขาได้แต่นั่งอ้าปากค้างเพราะเมื่อครู่นี้เพียงอยากจะเอ่ยปากบอกว่าเขาจะเป็นฝ่ายไปตักเอง แต่เมื่อมองดูที่เก้าอี้ตรงข้ามก็เห็นกระเป๋าสะพายของลูกศิษย์วางอยู่ จึงต้องจำใจนั่งอยู่กับที่เฉยๆรอให้อีกฝ่ายกลับมา
ใบหน้าสดใสของพระพายที่กินไปและเล่าเรื่องตอนเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่บนดอยไป ทำให้ภูตะวันเผลอจ้องมองอยู่หลายครั้ง รอยยิ้มที่แสนมีความสุขของคนตรงหน้าทำให้เขาลืมว่าลูกศิษย์คนนี้เป็นโรคเครียดไปเสียสนิท คนที่มองโลกในแง่ดี สดใสอย่างพระพายควรเป็นคนที่จะเป็นโรคเครียดแบบนี้หรือ รอยยิ้มสดใสบนใบหน้ามันน่ามองมากกว่าใบหน้าเรียบเฉยกับดวงตาที่สะท้อนความเศร้าออกมาอย่างที่เขาเห็นในวันนั้นเสียอีก
“ยิ้มเยอะๆนะ มีคนยังอยากจะเห็นรอยยิ้มของคุณอยู่” แววตาที่จริงจังนั้นยืนยันได้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นกลั่นออกมาจากใจจริง พระพายชะงักมือที่กำลังจะคีบเนื้อย่างชิ้นสวย เหลือบตามองอีกฝ่ายที่กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน แต่ทันใดนั้นสายตาคู่ตรงข้ามก็กะพริบสองสามทีก่อนจะสนใจเนื้อย่างบนเตาแทน
“... ผมหมายถึงคนไข้ของคุณไง เห็นชอบนักหนาอะไรก็หมอพายๆ เขาก็คงอยากจะเห็นคุณยิ้มให้เขาบ่อยๆ”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ ... ว่าแต่น้ำตาลปั้นไม้นั้นสรุปอาจารย์ได้ใช้อีกไหมฮะ เธออาละวาดอีกไหม?” เมื่อพูดถึงคนไข้ก็ทำให้เขานึกถึงคนไข้เด็กสาวที่อาละวาดไปเมื่อเช้าว่าได้อาละวาดอีกหรือไม่ ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นการส่ายหัวจากอีกฝ่ายแทน
“ผมให้เด็กคนอื่นไปแล้ว” เขาตอบโดยไม่ได้มองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะคีบเนื้อย่างชิ้นสวยไปวางบนจานของลูกศิษย์อย่างไม่ได้คิดอะไร พระพายก้มหัวเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ เบ้ปากใส่เมื่อได้รับคำตอบว่าน้ำตาลปั้นที่เขาให้กลายเป็นของคนอื่นไปเสียแล้ว
“โธ่ คิดว่าอาจารย์จะเก็บไว้กินเองซะอีก”
“ผมไม่ชอบกินของหวาน” ภูตะวันกลั้นยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาของลูกศิษย์ที่ก้มหน้าก้มตาทำปากมุบมิบเหมือนกำลังต่อว่าเขาอยู่เบาๆไม่ให้ได้ยิน
มื้ออาหารเพียงหลักร้อยก็ทำให้พวกเขาทั้งสองอิ่มท้องไปได้ทั้งคืน ก่อนจะพากันเดินกลับคอนโดท่ามกลางบรรยากาศที่รถยังคงติดอยู่ถึงแม้จะล่วงเลยช่วงเย็นมาแล้วก็ตาม ลมในเวลากลางคืนก็เย็นพอที่จะทำให้พระพายยกแขนขึ้นกอดอกและลูบแขนตัวเองไปมาเพื่อให้ความอบอุ่น
“อาจารย์สนิทกับหมอพฤติพงศ์มากไหมครับ?” เขาเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อจู่ๆก็นึกไปถึงวันที่ได้เจอหมอคนนั้นที่โรงพยาบาลวิวรรธน์ครั้งแรกและเห็นเขาทั้งสองคนทักทายกันอย่างสนิทสนม หมอซันเหลือบตามองอีกฝ่ายก่อนจะล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกง
“... หมอโจน่ะเหรอ? จะว่ายังไงดีล่ะ ก็ไม่ได้ถึงขั้นสนิทสนมกลมเกลียวหรือคลุกคลีกันมาก แต่ก็เป็นหมอที่ผมนับถือเหมือนญาติผู้ใหญ่ เขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อผม มีอะไรรึเปล่า?” เขาหันมามองคนที่เดินข้างๆ ที่ตอนนี้เดินกอดอกก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองที่กำลังก้าวเดินเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่าง
“เปล่าครับ ผมก็แค่อยากรู้จักเขาไว้บ้าง บางทีผมอาจจะสนใจเรื่องการปลูกถ่ายอวัยวะมากกว่าหัวใจและหลอดเลือดก็ได้ครับ” เขาตอบเสียงเรียบก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย สายตาคมกริบหันมองคนพระพายแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองด้านหน้าแบบที่อีกฝ่ายกำลังมองอยู่
คนตัวสูงยืนอยู่หน้าห้องพักห้องหนึ่งบนชั้นแปดของอาคาร ก่อนที่ลูกศิษย์จะเดินออกมาที่หน้าประตูพร้อมกับหนังสือเล่มหนาสองสามเล่มที่เขาให้ยืมอ่านไป ทั้งที่บอกว่าไม่รีบใช้ไว้ค่อยคืนทีหลัง ทว่าลูกศิษย์หัวรั้นก็ดื้อแพ่งต้องการจะคืนท่าเดียว ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นคนไม่รักษาของกลัวว่าจะทำหาย
“ผมคืนเท่านี้ก่อนครับ ที่เหลือจะทยอยคืนให้หลังอ่านจบ”
“อืม อย่าลืมกินยาล่ะ เดี๋ยวอ่านหนังสือแล้วโรคเครียดกำเริบ อยู่คนเดียวมันจะลำบาก” เขาเตือนอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงเพราะเห็นว่าพักอยู่คนเดียวหากเป็นอะไรขึ้นมาจะแย่ พระพายคลี่ยิ้มบางก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มที่อกของอาจารย์หมอเบาๆ
“ก็ไปหาอาจารย์ไงครับ”
“รู้ห้อง?”
“ก็บอกผมสิครับ”
“อยากรู้ก็หาเอาเอง ไปละ ไม่กินก็เรื่องของคุณ” เขายิ้มมุมปากก่อนจะหันหลังเดินเข้าลิฟท์เพื่อกลับห้องพักของตัวเอง ทิ้งให้
พระพายถึงกับเบ้ปากอย่างหมั่นไส้กับท่าทางของคนที่เพิ่งกลับไป เขาปิดประตูห้องลงพร้อมกับรอยยิ้มบางที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ขาเรียวยาวก้าวไปยังตู้เย็นบริเวณที่เป็นโซนครัว หยิบกระปุกยาที่คุ้นเคย แววตาเป็นประกายมองมันก่อนจะเปิดเทออกมาสองเม็ดส่งเข้าปาก ตามด้วยน้ำเปล่า
เวลาแค่สัปดาห์เดียว อาจารย์หมอของเขากลับทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอยู่ทุกวันอย่างน่าประหลาด ไม่ว่าจะเป็นเพราะคำพูดกวนๆ รอยยิ้มมุมปากที่ไม่ค่อยน่ามอง การกระทำที่บางครั้งก็ดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่นั่นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาจริงๆ เขาคิดว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกในเชิงชู้สาว หากแต่เป็นความรู้สึกดีระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ที่มีให้กันในการร่วมงานกันมากกว่า เขาหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ...
******************
Talk : ตอนนี้มีแต่ตัวเอกของเราทั้งตอนเลย
ไม่เบื่อกันเนาะ อยากให้เห็นถึงพัฒนาการความสัมพันธ์ของทั้งคู่นิดนึง อิอิ
มีอะไรติชมได้เลยนะค้าาาา

ใครที่เล่นทวิตเตอร์ แฮชแท็ค #ชีวิตรักหมอนักผ่า กันได้น้าาา
เราจะแอบเข้าไปอ่าน แหะๆ