-8-
“คุณทำแบบนี้ทำไม!? คุณทำลายความหวังของครอบครัวผมทำไม!?”
“ผม ... ขอโทษครับ”
เสียงดังของชายคนหนึ่งสั่นเครือดังมาจากมุมหนึ่งที่ไม่ไกลจากแผนกผู้ป่วย เขามองหน้าคุณหมอฝึกหัดอย่างพระพายด้วยความผิดหวัง เมื่อได้รู้ว่าสิ่งที่คุณหมอคนนี้ได้พูดกับเขาไม่สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ พระพายได้แต่ขอโทษและยืนก้มหน้านิ่งด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจอย่างสุดซึ้ง
“คุณเอาความหวังของคนมาล้อเล่นแบบนี้ทำไม ทำไมๆๆ!?!?” สามีของหญิงที่มีเนื้อร้ายตะคอกใส่เขาด้วยเสียงที่ดังลั่น พร้อมกับจับไหล่พระพายเขย่าอย่างแรงเหมือนคนขาดสติ น้ำตาของเขาไหลออกมาไม่ขาดสาย พระพายเม้มปากแน่นสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย เขาเองก็เสียใจไม่แพ้กันและไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้
“อย่าครับ!!” เสียงเข้มที่คุ้นหูดังขึ้น เขารีบจับแขนแกร่งของญาติคนไข้ออกจากไหล่ของลูกศิษย์ พระพายได้แต่ก้มหน้าอย่างคนรู้สึกผิด ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับอีกฝ่าย ภูตะวันพรูลมหายใจเมื่อเห็นว่าญาติคนไข้มีท่าทีสงบลงเล็กน้อย
“... ใจเย็นๆแล้วฟังผมนะครับ” ภูตะวันพูดอย่างใจเย็น ญาติคนไข้ยืนหายใจหอบจากความโมโหเมื่อครู่ ก่อนจะหันหลังให้กับหมอทั้งสองและเท้าแขนไว้กับขอบหน้าต่างกระจกบานใหญ่เพื่อสงบสติอารมณ์ รวมทั้งไม่อยากจะฟังคำพูดอะไรจากคนเป็นหมออีก
“ผมจะผ่าตัดให้ภรรยาคุณ” พระพายเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่าด้วยความแปลกใจ เมื่ออยู่ๆอาจารย์หมอก็เปลี่ยนใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น เช่นเดียวกับสามีของผู้ป่วยที่หันกลับมามองคนพูดอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เขาหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ กลัวว่าฝ่ายคุณหมอจะพูดให้ความหวังเขาอีก
“ไปขอชาร์จคนไข้จากแผนกนั้นมาให้ผมที่ห้องทำงานด้วย” อาจารย์หมอสั่งลูกศิษย์เสร็จก็หันหลังเดินจากไปทันที ทิ้งความข้องใจไว้ให้กับพระพายอย่างใหญ่หลวงว่าเพราะอะไรอาจารย์หมอของเขาถึงเปลี่ยนใจที่จะรักษาภรรยาของชายคนนี้
แผ่นหลังกว้างพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องทำงาน นิ้วเรียวนวดคลึงบริเวณสันจมูกโด่งของตนอย่างคิดไม่ตกว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำนั้นดีแล้วหรือไม่ เมื่อคืนนี้เขาทบทวนคำพูดของลูกศิษย์หัวรั้นจนนอนไม่หลับ หากพระพายเห็นว่าการรักษาคนไข้โดยที่ไม่สนว่าอะไรจะเกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เขาก็จะคิดเสียว่าการให้โอกาสคนไข้ได้มีชีวิตอยู่ต่อก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน ภูตะวันแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดของลูกศิษย์อย่างพระพายจะมีผลกับความคิดและการกระทำของเขาได้ขนาดนี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เชิญ” เขาอนุญาตเมื่อได้ยินเสียงเคาะที่หน้าประตู พระพายเดินถือแฟ้มของผู้ป่วยเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาวางแฟ้มลงบนโต๊ะทำงานและถอยมาหนึ่งก้าวเพื่อเว้นระยะห่าง สองมือกุมกันไว้ด้านหน้าอย่างสุภาพ
ภูตะวันเหลือบมองหน้าลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนจะหยิบแฟ้มชาร์จผู้ป่วยมาเปิดอ่าน ในขณะเดียวกันที่พระพายเหลือบไปเห็นบางอย่างที่คุ้นตาเสียบอยู่ในกระป๋องใส่ปากกาของเจ้าของห้อง คิ้วเรียวได้รูปขมวดมุ่นอย่างสงสัย ตอนนั้นอีกฝ่ายบอกเขาว่าให้เด็กคนอื่นไปแล้ว แต่ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่ได้ ภูตะวันกระแอมออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าพระพายเห็นน้ำตาลปั้นไม้นั้นแล้ว ลืมไปเสียสนิทว่าหากเจ้าของมาเห็นจะถูกจับได้ ทางที่ดีที่สุดคือการอยู่เฉยๆและทำเป็นไม่รู้เรื่องเสียดีกว่า ...
“บ่ายโมงเรียกประชุมทีมเรื่องการผ่าตัดเคสนี้ด้วย”
“ครับ” พระพายรับแฟ้มคืน แต่ก็ยังมีเรื่องที่เขาข้องใจหากออกจากห้องไปตอนนี้ เห็นทีว่าเขาคงจะอยู่กับความคับข้องใจนี้ไปทั้งวันโดยหากยังไม่ได้คำตอบ ภูตะวันละจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มองหน้าลูกศิษย์อย่างสงสัยว่าทำไมถึงยังไม่ออกไปจากห้องนี้เสียที
“มีอะไรรึเปล่า?”
“... ผมอยากทราบว่าทำไมอาจารย์ถึงเปลี่ยนใจผ่าตัดเคสนี้ครับ” คนถูกถามพรูลมหายใจออกมา ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ภูตะวันเดินอ้อมมากึ่งนั่งกึ่งยืนที่ขอบโต๊ะทำงานตัวใหญ่ตรงหน้าลูกศิษย์ที่รอคำตอบอยู่ เขากอดอกพลางมองหน้าพระพายด้วยสายตานิ่งๆ
“เมื่อคุณเห็นว่าการรักษาคนไข้เป็นเรื่องสำคัญ ผมก็จะเห็นว่าการให้โอกาสคนไข้มีชีวิตอยู่ต่อก็น่าจะสำคัญเหมือนกัน”
“ทั้งที่อาจารย์รู้ว่ามีความผิดอย่างนั้นเหรอครับ?”
“ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง” เขาพูดด้วยสีหน้าเครียด ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าความผิดฐานที่ดึงคนไข้ข้ามแผนกมันคืออะไร เขาก็พร้อมที่จะยอมรับกับคำตัดสินของคณะกรรมการบริหารของโรงพยาบาลและยังยึดมั่นในการตัดสินใจของตนที่จะผ่าตัดเคสนี้ให้สำเร็จต่อไปเช่นเดียวกัน
“ผมเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ผมก็ควรจะรับผิดชอบด้วยครับ” พระพายพูดขึ้นเพื่อแสดงเจตนาของตนบ้าง หากจะมีใครผิดในเรื่องนี้ก็คงเป็นเขาแต่เพียงผู้เดียว จะให้อาจารย์หมอมารับผิดชอบทั้งหมด เขาก็จะดูขาดสามัญสำนึกไปหน่อย สายตาคมกริบมองอีกฝ่ายอย่างตำหนิ ในเมื่อเขาเป็นหัวหน้าแผนกก็ควรจะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนั่นก็ถูกแล้ว
“คุณจะฟังผมสักเรื่องได้ไหมพระพาย” ภูตะวันพูดด้วยน้ำเสียงระอา ไม่ได้มีการตะคอกเสียงดังทว่ากลับทำให้พระพายรู้สึกผิดอย่างมหันต์กับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ในขณะเดียวกับที่ประตูห้องถูกเปิดออกโดยไม่มีเสียงเคาะประตู อาจารย์หมอเหลือบมองคนเข้ามาใหม่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างระอากับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวที่ดูจะประเดประดังเข้ามาในชีวิตช่วงนี้ของเขาเหลือเกิน
“โทษที ไม่รู้ว่ามีแขก” หญิงสาวร่างระหงส์ ผู้เป็นหัวหน้าแผนกสูตินารีเวชที่พระพายเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งที่ศูนย์อาหารของโรงพยาบาล วันนี้ได้เห็นเธอใกล้ๆก็รู้สึกได้ถึงความสวยและสง่าของเธอมาก เหมาะกับอาจารย์หมออย่างไม่มีที่ติ เขายกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อมเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่า หญิงสาวรับไหว้เธอด้วยรอยยิ้ม ดวงตากลมสวยเหลือบมองอาจารย์และลูกศิษย์สลับไปมา ประเมินเอาว่าเหตุการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก จากประโยคเมื่อครู่ที่เธอได้ยิน
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ” พูดจบก็เปิดประตูออกจากห้องไปทันที ดวงตาสีน้ำตาลเข้มได้แต่จ้องมองแผ่นหลังบางจนลับตา ก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องอย่างอ่อนแรงเพราะความเครียด ทั้งเรื่องผ่าตัดเรื่องคนไข้ที่ต้องเจอวันละหลายราย ยังมีเรื่องลูกศิษย์ที่หาเรื่องมาให้เขาปวดหัวอยู่เรื่อย หญิงสาวได้แต่มองอาการของคนที่ตัวเองรักอย่างเห็นใจ
“งานหนักเลยสิ”
“อืม” เขาตอบรับพลางหลับตานวดสันจมูกตรงหว่างคิ้วไปด้วย หมอบีหันมองไปที่ประตูห้องอีกครั้งก่อนจะหันมองศัลยแพทย์มือ
หนึ่งของแผนกหัวใจอย่างใช้ความคิด
“แกดูแคร์เด็กคนนั้นมากเลยนะซัน” เธอพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ คำพูดที่เธอได้ยินจากปากของเพื่อนที่เธอรัก สายตาของเขาที่มองเด็กคนนั้น มันไม่เหมือนกับที่ภูตะวันมีให้เธอเลยสักนิด เธอไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกแบบไหนเพียงแต่เธอไม่เคยได้รับจากเขาในแบบนี้เท่านั้น ภูตะวันเปิดเปลือกตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างสงสัยว่าหมายความว่ายังไงกับสิ่งที่พูด
“... ยังไง?” เธอหัวเราะเบาๆกับคำถามของอีกฝ่าย ก่อนจะพูดออกตามสิ่งทีเธอรู้สึกและสัมผัสได้จากเขา
“ก็จากสายตาและคำพูดของแก ... ไม่รู้สิ บางทีฉันก็อยากให้แกมองฉันแบบที่แกมองเขา อยากให้แกตำหนิฉันเหมือนที่แกตำหนิเขา เพราะมันหมายถึงแกให้ความสนใจ” สโรชาฝืนยิ้มสดใสราวกับว่าไม่ได้คิดอะไร ทว่าภายในหัวใจกลับหม่นหมองสิ้นดี ภูตะวันชะงักไปเพียงครู่สั้นๆในระหว่างที่เธอกำลังพูด ก่อนจะหัวเราะเบาๆออกมาราวกับว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องน่าขบขัน
“พระพายเขาเป็นลูกศิษย์ฉัน ไม่แปลกที่ฉันจะต้องสนใจและคอยตำหนิเมื่อเขาทำผิด ... แล้วที่เข้ามามีธุระอะไรหรือเปล่า?” เขาถามเธอหลังจากตอบคำถามเธอเสร็จ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนประเด็นไปในคราวเดียวกัน ถึงแม้คำพูดของเพื่อนจะรบกวนจิตใจ แต่ภูตะวันก็เลือกที่จะสลัดมันทิ้งไปเสียในตอนนี้ดีกว่า ยังมีเรื่องที่สำคัญมากกว่าเรื่องเล็กน้อยนี้อยู่มากโข สโรชาถอนหายใจเบาๆพลางเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย
“เพิ่งคุยกับอาหญิงของแกเสร็จ ก็เลยแวะเข้ามาหา”
“เรื่องเดิมๆสินะ” หมอบียิ้มเล็กน้อย ภูตะวันจึงเดาเอาว่านั่นคือคำตอบว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง
อาหญิงของเขามักจะคุยกับหมอบีอยู่เสมอๆ เช่นเดียวกับวันนี้ที่อาหญิงหรือผู้อำนวยการของโรงพยาบาลเรียกเธอไปพบ ด้วยรู้จักกันมาค่อนข้างนานตั้งแต่ทั้งสองยังเป็นเพียงนักศึกษาแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการคุยเรื่องราวชีวิตทั่วไป การทำงานของเธอ และมักจะจบที่เรื่องการคบหากับหลานชายอย่างภูตะวัน หมอซันรู้ว่าอาของเขาไม่ได้บังคับให้เขาทั้งสองต้องตกลงปลงใจกัน หากแต่รู้ว่าผู้ใหญ่อยากให้เขาทั้งสองคบหากันให้เป็นเรื่องเป็นราว ด้วยเห็นว่าต่างฝ่ายก็ต่างไม่มีใครและค่อนข้างที่จะสนิทกันมานาน
“อย่าโกรธท่านเลยนะ ฉันรู้ว่าท่านรักและหวังดีกับแกมากๆ อยากให้แกมีครอบครัวที่มั่นคง พร้อมจะดูแลโรงพยาบาลต่อและได้ผู้หญิงดีๆอย่างฉันเป็นภรรยาในอนาคต” หมอบีพูดติดตลก คนฟังได้แต่หัวเราะหึในลำคอเมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทอวยตัวเองเป็นการปิดท้ายประโยค ก่อนจะหลุบตาลงพลางถอนหายใจเบาๆ
“ไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้ เอาเวลาไปคิดวินิจฉัยโรคของคนไข้เพื่อการผ่าตัดจะดีกว่า ไม่ได้รักก็คือไม่ได้รัก แกให้ฉันได้แค่ความเป็นเพื่อน ฉันบอกกับผู้อำนวยการไปแบบนั้นแล้วและครั้งนี้ก็คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ท่านจะถาม เพราะฉะนั้นสบายใจได้” เธอระบายยิ้มสวย ดวงตาสีดำเป็นประกายดูมีเสน่ห์ไม่น้อย ภูตะวันมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธออย่างแคร์ความรู้สึก ถึงเขาไม่ได้รักเธอในแบบคนรัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากให้เธอเจ็บปวด เพราะอย่างน้อยหมอบีก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา สโรชาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่าเธอไม่เป็นอะไร ราวกับรู้ความคิดของภูตะวันผ่านดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น
“ขอบใจแกมากนะ” หมอซันตบหลังมือเรียวของเธอเบาๆ ก่อนจะระบายยิ้มออกมาอย่างที่ไม่มีใครได้เห็นบ่อยนัก นอกจากคุณหมอแห่งแผนกสูติ-นารีเวชอย่างแพทย์หญิงสโรชา ทว่ากลับมีดวงตาอีกคู่ของใครบางคนลอบมองพวกเขาอยู่ผ่านทางช่องว่างมู่ลี่กระจกห้องทำงาน ใบหน้าของเขาเรียบดั่งผิวน้ำที่นิ่งสงบเหมือนกำลังจมอยู่กับความรู้สึกของตัวเองบางอย่าง
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ภูตะวันได้คุยกับสโรชา เขาก็ถูกผู้อำนวยการโรงพยาบาลหรืออาสะใภ้ของตนเรียกให้มาพบ เขาไม่ได้มีท่าทีกังวลใจแต่อย่างใดเพราะรู้ว่ายังไงวันนี้ก็ต้องถูกเรียกให้มาคุยเรื่องที่แผนกของเขาเอาคนไข้จากแผนกอื่นมา
มือหนาเคาะประตูห้องเพียงสองสามครั้ง ก่อนจะจับลูกบิดเปิดประตูเข้าไป ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองคนในห้องที่เห็นว่าเป็นอาสะใภ้ของตนเองนั่งรออยู่ ทว่ากลับมีอีกคนที่นั่งรออยู่เช่นเดียวกัน แพทย์สูงวัยที่เขานับถือเหมือนญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว ...
“นั่งลงสิ” สายตาของหญิงวัยห้าสิบปีมองหลานชายของตนเองอย่างตำหนิ ที่ทำงานอย่างไม่เป็นระบบทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน อาจารย์หมอหนุ่มนั่งลงที่โซฟานุ่มตรงข้ามกับหมอโจแพทย์แผนกระบบทางเดินอาหาร ซึ่งอีกฝ่ายก็มองภูตะวันอย่างไม่พอใจเช่นเดียวกันที่ถูกหมอรุ่นลูกทำงานข้ามหน้าข้ามตา
“รู้ใช่ไหมว่าอาเรียกมาพบเรื่องอะไร” ที่จริงเธอเรียกทั้งภูตะวันและพระพายให้เข้ามาพบพร้อมกันเพื่อจัดการปัญหานี้ ทว่าหลานชายของเธอตกลงที่จะยอมรับผิดทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว เธอจึงไม่ได้คัดค้านอะไร
“ครับ” ภูตะวันตอบรับ เขามองผู้ใหญ่ทั้งสองคนสลับกันไปมา ทั้งสามคนนั่งกันอย่างสบายๆด้วยไม่ได้เป็นการคุยกันอย่างเป็นทางการในระบบบริหาร หากแต่หัวข้อที่คุยก็เป็นเรื่องที่ซีเรียสไม่น้อย
“ขอบคุณหมอโจซะที่ไม่เรียกประชุมบอร์ดบริหารทั้งหมดให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต” ณิชชาอรพูดเสียงเรียบ พยักหน้าให้หลานชายตนเองเล็กน้อยเพื่อต้องการให้เขาทำอย่างที่พูด ภูตะวันกัดกรามก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณอีกฝ่าย เขาเองก็ไม่หวั่นกลัวอะไรอยู่แล้วหากจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตถึงขึ้นเรียกฝ่ายบริหารทั้งหมดเข้าห้องประชุม ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องซาบซึ้งน้ำใจของอีกฝ่ายที่มีให้ เพราะยังไม่พอใจกับเหตุการณ์ครั้งนั้นอยู่มาก
“พระพายแพทย์เรสสิเดนท์ปีหนึ่งทำเรื่องนั้นโดยพลการ เป็นการกระทำที่ผิดกฏของโรงพยาบาล หมอซันในฐานะที่เป็นอาจารย์จะรับผิดชอบเรื่องนี้ยังไง?”
“ผมจะผ่าตัด อย่างที่หมอพระพายลูกศิษย์ของผมได้พูดไว้กับญาติของผู้ป่วย” พฤติพงศ์ได้ยินถึงกับเลือดขึ้นหน้า ไม่คิดว่าอีกฝ่ายยังจะดันทุรังต่อไปทั้งที่เขานำเรื่องนี้มาแจ้งกับผู้อำนวยการแล้วแท้ๆ สายตาคมกริบจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้ หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวขมวดคิ้วอย่างสงสัยในการตัดสินใจของหลานชายตนเอง ภูตะวันไม่เคยแม้แต่จะทำผิดกฏไม่ว่าจะข้อใดของ
โรงพยาบาล ทว่าในครั้งนี้ทำไมถึงกล้าทำเป็นเพราะคำพูดของแพทย์เรสสิเดนท์หรือเป็นเพราะอะไร
“อาขอเหตุผลจากซันได้ไหม?”
“... ผมไม่เคยให้ความหวังกับผู้ป่วยตลอดการเป็นแพทย์มาสิบกว่าปี แต่พระพายทำให้ผมรู้ว่าหมอคือความหวังของผู้ป่วยและญาติของเขา ในเมื่อแผนกของอาหมอโจไม่ทำ ผมก็จะทำ” ภูตะวันเหลือบมองอาสะใภ้ของตนราวกับจะให้เข้าใจตัวเขาก่อนจะเบนสายตามองชายอีกคนที่ก็จ้องเขาอย่างไม่วางตา เขาทบทวนคำพูดของพระพายอยู่ตลอดเวลา จนทำให้รู้ว่าหมอไม่ต่างอะไรกับการเป็นความหวัง ความหวังของผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย ฉะนั้นการให้โอกาสผู้ป่วยมีชีวิตอยู่คือหน้าที่ของคนเป็นหมอ
“การให้ความหวังผู้ป่วยทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีโอกาสรอด ภูตะวันคุณเป็นศัลยแพทย์ที่แย่ที่สุด!” หมอสูงวัยพูดเสียงกร้าว มือที่เหี่ยวย่นตบโต๊ะกลางเสียงดังลั่นห้องทำงานของผู้อำนวยการไม่พอใจอย่างที่สุด คนเป็นกลางอย่างผู้อำนวยการได้แต่มองสองคนสลับไปมาพลางถอนหายใจ หมอซันยกยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยิน
“ถ้าอย่างนั้นเหตุผลที่หมอโจไม่ผ่าตัดคืออะไรคะ?” ก่อนที่ทั้งสองคนจะได้ระเบิดอารมณ์กันมากกว่านี้ ผู้อำนวยการหญิงสาวจึงหันไปถามหมอโจบ้าง ภูตะวันกัดกรามแน่นระงับอารมณ์ กลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย แพทย์อายุมากที่สุดภายในห้องกลืนน้ำลายลงคอ เขาเหลือบมองหมอรุ่นลูกฝั่งตรงข้ามก่อนจะหันไปสนใจหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงกลางแทน
“เพราะผมรู้ว่าเธอไม่มีโอกาสรอด”
“เธอมีครับ เธอมีโอกาสรอด 20% ผมและทีมของผมจะทำให้สำเร็จ” ภูตะวันพูดแทรกในขณะที่ผู้อาวุโสกว่ายังพูดไม่จบ หมอโจขมวดคิ้วมองสีหน้าไม่พอใจอย่างไม่ปกปิด
“แผนกของคุณจะเป็นฝ่ายตรงข้ามกับผมใช่ไหม ถ้าผมย้ายคนไข้แผนกของคุณมาแผนกผมบ้าง คุณก็คงจะไม่ขัดข้องอะไร” พฤติพงศ์ยกยิ้มมุมปากอย่างท้าทาย อาจารย์หมอหนุ่มหลุดหัวเราะออกมา ราวกับว่าเรื่องได้ที่ยินมันเป็นเรื่องตลกขบขันที่สุดในชีวิต
“คงไม่มีวันนั้นครับ เพราะผมจะไม่ปล่อยให้คนไข้ของผมนอนรอวันตายโดยที่ผมไม่ได้ช่วยเหลือ” ภูตะวันยิ้มอีกครั้งอย่างผู้ชนะ พฤตพงศ์ได้แต่กัดกรามระงับความโกรธอยู่ในใจ ดวงตาสีดำมองแพทย์รุ่นลูกอย่างโกรธแค้นเสียเต็มประดา
ไม่คิดว่าคนที่เคยเคารพเขามาตลอดจะกล้าทำเรื่องอย่างนี้เพียงเพราะลูกศิษย์ในทีม พฤติพงศ์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะก้าวฉับๆออกจากห้องพร้อมด้วยเสียงประตูที่ปิดลงดังลั่น อาจารย์หมอหนุ่มถอนหายใจพลางทิ้งตัวลงกับพนักพิงของโซฟาอย่างแรง
“ยังไงซะเรื่องที่ซันกับลูกศิษย์ของซันทำก็ผิด ถึงจะไม่ถึงคณะกรรมการบริหารคนอื่นๆ แต่อาก็ต้องลงโทษ อาจะงดการให้เงินเดือนของซันกับหมอพระพายคนละหนึ่งเดือน ซันเข้าใจอาใช่ไหม?” ณิชชาอรพูดอย่างเห็นใจ ถึงแม้ว่าภูตะวันจะเป็นหลานชาย แต่เธอก็เป็นถึงผู้อำนวยการที่ถูกก็ว่าไปตามถูก ผิดก็ว่าไปตามผิด
“ผมขอรับผิดทุกอย่างเอง อาหญิงเพิ่มเป็นสองเดือนได้เลยครับ...” เขาปิดเปลือกตาลงพร้อมกับวางต้นคอบนขอบพนักพิงนุ่มของโซฟาราคาแพง เพราะพระพายคือคนในทีมที่เขาควรจะปกป้อง ถึงแม้ว่าเรื่องที่พระพายทำจะเป็นเรื่องที่ผิด ทว่าตอนนี้เขากลับตัดสินใจเดินทางเดียวกับพระพายแล้วก็ควรจะรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียวในฐานะหัวหน้าแผนกและอาจารย์ ณิชชาอรถอนหายใจก่อนจะลุกไปนั่งข้างหลานชายของตน พลางลูบผมของอีกฝ่ายเบาๆด้วยความรัก
“อาเชื่อว่าซันทำได้” เธอระบายยิ้มสวยมองหลานชายที่หลับตาลงอย่างภูมิใจ
ภูตะวันไม่เคยทำให้คนในครอบครัวผิดหวัง ภูตะวันคือความภาคภูมิใจของวิวรรธน์ภคไพบูลย์เสมอมา เขาถอดแบบความมุ่งมั่นในหน้าที่การงาน ความเชื่อมั่นในตนเองมาจากพ่อของเขาไม่มีผิดเพี้ยน ความละเอียดรอบคอบ ความเป็นระเบียบก็ถอดมาจากมารดามาอย่างไม่มีที่ติ ภูตะวันคือส่วนผสมที่ลงตัวของหมอประวิตรและหมอนวินดาผู้จากไป เวลาที่เธอและสามีมองหลานชายที่มีเพียงคนเดียวก็มักจะคิดถึงทั้งสองเสมอ...
ท้องฟ้าในช่วงฤดูฝนดูไม่ค่อยสดใสมากเท่าไหร่นัก เช่นเดียวกับบ่ายแก่ๆวันนี้ เมฆสีดำทะมึนเริ่มก่อตัว ต้นไม้น้อยใหญ่ในสวนบนดาดฟ้าต่างกันกัดพัดไหว ดวงอาทิตย์ที่เคยมีกลับถูกเมฆกลุ่มใหญ่บดบัง ร่างสูงของอาจารย์หมอใช้แผ่นหลังพิงราวกั้น สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างไม่รู้จะเอาไว้ตรงไหน ลมเย็นปะทะร่างกายของเขาหนแล้วหนเล่า ถึงสายลมจะพัดแรงเพียงใดเขาก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะกำลังจมอยู่กับความคิดและความรู้สึกของตัวเองที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในสมอง
หลังจากที่ประชุมทีมเกี่ยวกับเคสของผู้ป่วยมะเร็งตับรายนั้นเสร็จ เขาก็ปลีกตัวขึ้นมาบนดาดฟ้าเพื่อทบทวนเรื่องต่างๆที่รบกวนจิตใจตลอดวันมานี้ การผ่าตัดครั้งใหญ่ที่โอกาสรอดมีเพียงน้อยนิดกำลังใกล้จะมาถึง ความหวังของทุกคนฝากไว้ที่เขาแต่เพียงผู้เดียว ภูตะวันหลับตาลงพลางพรูลมหายใจออกมาก่อนจะเปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง เขาพลิกตัวกลับไปอีกด้าน วางแขนกับราวกั้นเหล็กที่สูงเกือบเท่าอก
คำพูด สีหน้าของสโรชาในขณะที่พูดถึงพระพายลูกศิษย์หัวรั้นของเขา ค่อยๆถูกดึงกลับมาจากเสี้ยวหนึ่งในสมอง เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่สโรชาบอก เพราะสิ่งที่เธอพูดล้วนมาจากการกระทำที่เขาเองไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ว่ามองพระพายแบบไหนหรือต้องรู้สึกอะไรในขณะที่มอง เขาแสดงออกอย่างที่ตัวเองรู้สึก ตำหนิอย่างที่อยากตำหนิในเมื่ออีกฝ่ายทำผิด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาอยากเห็นลูกศิษย์หัวรั้นคนนั้นยิ้มมากกว่าทำหน้าเศร้า
พระพายเปลี่ยนความคิดบางอย่างของเขาไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาชอบให้พระพายวิ่งโร่มาถามเขาในสิ่งที่ไม่เข้าใจ เพราะเขาจะยินดีตอบถึงแม้จะทำหน้าดุใส่ก็ตาม แม้กระทั่งวันนั้นที่เขาตวาดให้พระพายลาออกจากการเป็นหมอไป เขายังต้องเก็บมาคิดว่าคนฟังจะเสียใจแค่ไหน สุดท้ายจึงต้องหาข้ออ้างของการโทรไปหาด้วยการให้ให้อีกฝ่ายเช็คว่าเขาเพิ่มยาให้กับผู้ป่วยรายนั้นหรือยัง ทั้งที่เขาจำได้ดีว่าเขาสั่งไปอย่างเด็ดขาดแล้ว
ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะทำอะไร รู้สึกอะไรหรือเจอเรื่องแย่ๆอะไรมาก่อนหน้านี้ ก็จบตรงที่สิ่งที่เขาสนใจพระพายมาโดยตลอด ภูตะวันยกยิ้มเมื่อสิ่งที่เขาคิดเป็นเหมือนเรื่องตลก เขาจะรู้สึกพิเศษกับพระพายที่เป็นผู้ชายด้วยกันได้อย่างไร อาจารย์หมอหนุ่มปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ก่อนจะพรูลมหายใจออกมา เขายกยิ้มเล็กน้อยเมื่อใบหน้าปะทะเข้ากับลมเย็นๆของฤดูฝน
‘พระพาย แปลว่า เทพเจ้าแห่งลม’
*****************************
Talk : เป็นยังไงกันบ้างคะ มาถึงตอนที่แปดแล้ว ^^
ยังหวังอยู่เหมือนเดิมว่าคนอ่านจะชอบกัน ตอนนี้อาจารย์หมอเริ่มรู้สึกกับลูกศิษย์แล้ว
แต่เหมือนยังสับสนอยู่ อิอิ ตอนหน้าหมอซันจะรู้ปมของพระพายแล้วนะคะ
จริงๆจะใส่ในตอนนี้แต่รู้สึกว่าจะยาวเกินไป เอาไว้ตอนหน้าดีกว่า
ยังคงขอบคุณเช่นเคยค่ะคนอ่าน+คอมเม้นท์
เราชอบที่มีคนอินและเดาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เราสนุกกับมัน
บางทีก็กลับมาอ่านคอมเม้นท์หลายๆรอบ มันเป็นกำลังใจจริงๆค่ะ ขอบคุณนะ

อ้อ! ขอบคุณที่โพสต์ในกระทู้แนะนำนิยายด้วยนะคะ ขอบคุณมาก
เคยเห็นแต่นิยายของคนอื่นอยู่ในกระทู้แนะนำ พอเห็นนิยายของตัวเองแล้วปริ่มเลย
แฮชแท็กในทวิตเตอร์มีนะคะ #ชีวิตรักหมอนักผ่า
ทวิตเตอร์เราคือ @Ggbazo เข้าไปพูดคุยกันได้ค่ะ พบกันตอนหน้าค่าา ^^