-17-
คณะกรรมการบริหารของโรงพยาบาลวิวรรธน์เข้ามาพร้อมหน้ากันภายในห้องประชุมใหญ่ นำโดยสองสามีภรรยาที่ดำรงตำแหน่งประธานและผู้อำนวยการ หลายคนที่แปลกใจกับการเรียกพบในเช้าของวันนี้ เพราะดูเหมือนจะมีเรื่องด่วนและสำคัญพอสมควร จึงพูดคุยกันเสียงไม่ดังมากนักถึงที่มาของการเรียกพวกเขาเข้าห้องประชุมกันอย่างเร่งด่วน
แต่เพียงจากนั้นไม่นานประตูไม้บานใหญ่ก็ถูกเปิดออก ร่างของแพทย์สูงวัยผมสีดอกเลาที่ใครๆต่างพากันเคารพยืนมองผู้คนภายในห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉยเพราะเขาเองก็แปลกใจเฉกเช่นกับคนอื่นที่ถูกเรียกเข้ามา ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มแย้มทักทายอย่างปกติและนั่งลงที่เก้าอี้ที่ถูกจัดไว้ให้แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความแคลงใจไม่หาย
ประตูห้องถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับอาจารย์และลูกศิษย์แผนกหัวใจและหลอดเลือดอยู่หลังประตู สายตาคมกริบของภูตะวันค่อยๆกวาดมองไปทั่วห้อง ก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการแสดงความเคารพผู้อาวุโสกว่า ต่างจากพระพายที่พุ่มมือไหว้อย่างนอบน้อมและเดินไปนั่งเก้าอี้ที่เหลืออยู่ข้างๆคนรัก
“มาพร้อมกันแล้ว ผมเริ่มหัวข้อการพูดคุยของเราวันนี้เลยแล้วกันนะครับ” ประสิทธิ์พูดเสียงนิ่ง เพียงเท่านั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบที่มีเพียงแค่เสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานอยู่เท่านั้น
“เมื่อประมาณสองเดือนที่ผ่านมา ... อาจารย์ภูตะวันและคุณหมอพระพายที่เป็นลูกศิษย์ ได้ทำการย้ายตัวคนไข้จากคุณหมอพฤติพงศ์ที่เป็นแพทย์เจ้าของไข้มาทำการรักษาโดยพลการ ซึ่งถือว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรง” หลายคนในห้องนี้ที่ยังไม่รู้ต่างก็มีเสียงฮือฮาอย่างตกใจ ไม่คิดว่าอาจารย์ที่ตั้งใจทำงานอย่างภูตะวันจะกระทำการเช่นนี้ คนผิดอย่างภูตะวันได้แต่มีสีหน้าเรียบเฉย หลุบตามองมือของตัวเองที่ประสานกันไว้บนโต๊ะอย่างไม่แสดงอาการใดๆ เช่นเดียวกับพระพาย
“เรื่องก็เกิดขึ้นมาได้สักพักใหญ่แล้ว ทำไมพวกเราถึงไม่รู้เรื่องครับ? อาจารย์ภูตะวันและลูกศิษย์ได้รับโทษอะไรหรือเปล่า?” คณะกรรมการคนหนึ่งถามอย่างไม่ยอมความ ด้วยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างร้ายแรงและผิดจรรยาบรรณของแพทย์มาก ทว่าคณะกรรมการหลายๆคนกลับไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
“ผมและคุณหญิงต้องกราบขอโทษทุกท่านที่ต้องปิดบัง เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาให้โรงพยาบาลและตัวบุคคลเองต้องเสียชื่อเสียง” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิด พฤติพงศ์มองอย่างสงสัยกับหัวข้อที่พูดคุยกันในวันนี้ ในเมื่อเรื่องทุกอย่างก็ผ่านมานานแล้วทำไมถึงต้องเอามาพูดถึงอีก
“แล้วเพราะอะไรถึงต้องเปิดเผยในที่ประชุมวันนี้?” พฤติพงศ์ถามสิ่งที่สงสัยออกไปทันที ภูตะวันและพระพายเหลือบตาขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะหันมองสามีภรรยาทั้งสองที่นั่งอยู่หัวโต๊ะประชุม
“เพราะมีข่าวหลุดออกไป ดิฉันเกรงว่าอาจจะกลายเป็นการพูดถึงกันในวงกว้าง จึงขอเรียนทุกท่านให้ทราบเรื่องและขอโทษจากใจจริงที่ปิดบังและให้โทษอาจารย์ภูตะวันกับคุณหมอพระพายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควร ไม่มีความยุติธรรม” ณิชชาอรพูดขึ้นมาบ้างพร้อมยกมือไหว้ขอโทษคณะกรรมการกับเรื่องที่เกิดขึ้น ภูตะวันถอนหายใจกลอกตาไปมาอย่าง
ไม่ชอบใจที่อาของตนต้องมาออกรับเรื่องทั้งหมดแทน โดยที่เขาไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้
“โทษที่พวกเขาได้รับคืออะไรครับ?”
“... ดิฉันงดการให้เงินเดือนของพวกเขาทั้งสองคนคนละหนึ่งเดือน แต่อาจารย์ภูตะวันขอรับผิดชอบทั้งหมดจึงรวมเป็นสองเดือนแทนลูกศิษย์ค่ะ” มีเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกรอบเมื่อโทษของผู้กระทำผิดเป็นเพียงโทษที่น้อยนิดหากเทียบกับสิ่งที่ทำผิด พระพายเองก็ดูจะตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ เขาหันมองคนรักข้างกายที่ยังคงนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา
“แต่ที่ดิฉันเรียกทุกท่านมาในวันนี้ ไม่ใช่แค่จะบอกให้ทราบเรื่อง แต่จะแจ้งถึงโทษที่พวกเขาควรจะได้รับจริงๆ คือการพักงานเป็นเวลาทั้งหมดหนึ่งสัปดาห์”
“อาหญิงครับ!!” ภูตะวันโวยเสียงดังเมื่อรู้ว่าโทษที่ได้รับคือการพักงาน หนึ่งสัปดาห์อาจจะเป็นเวลาไม่นานสำหรับใครหลายๆคน แต่สำหรับคนเป็นหมอเวลาเพียงหนึ่งวันเขาสามารถช่วยชีวิตใครต่อใครได้อีกหลายสิบคน
“มีใครไม่เห็นด้วยไหมครับ?” ประสิทธิ์ถาม พลางกวาดสายตามองทุกคนในห้องประชุมที่กำลังหันไปปรึกษาหารือกันสำหรับโทษที่อาจารย์และลูกศิษย์ที่ทำผิดได้รับว่าสมควรหรือไม่
“ผมไม่เห็นว่าจะต้องถึงกับพักงาน ในเมื่อเขาก็ได้รับโทษไปแล้ว” พฤติพงศ์ค้าน ทำให้ภูตะวันและพระพายคิ้วกระตุกอย่างผิดคาดไป การที่พวกเขาไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาลก็น่าจะเรื่องดี เพราะหมอพายเองค่อนข้างจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการให้เขาอยู่ที่นี่ ทว่ากับกลายเป็นตรงกันข้าม
“ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องอื่นตามมา ผมก็เห็นด้วยครับ” เมื่อคนหนึ่งพูด หลายๆคนที่เห็นด้วยกับบทลงโทษนี้ ทำให้เสียงข้างน้อยอย่างพฤติพงศ์ต้องพ่ายไป เขากัดกรามเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ เพราะคิดว่าหากทั้งสองคนนี้ยังอยู่เขาก็จะติดตามความเคลื่อนไหวและทำอะไรได้ง่ายกว่ามาก
“ไม่ต้องห่วงครับ ถ้าเรื่องการผ่าตัด ยังมีศัลยแพทย์ที่เก่งอยู่อีกมาก อาจารย์ภูตะวันมาทำงานไม่ได้แต่เขายังให้คำปรึกษากับทุกคนที่ต้องการได้ครับ”
เมื่อหัวข้อการพูดคุยจบลง คณะกรรมการต่างก็พากันทยอยออกจากห้องประชุมไป พฤติพงศ์มองหน้าคนที่เหลืออยู่ทั้งสี่คนสลับกันไปมา ก่อนจะถอนหายใจและเดินออกไปทันที
“ขอบคุณอามากนะครับ” อาจารย์หมอยกมือไหว้ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพทั้งสองคนอย่างจริงใจ ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างที่ทั้งสองคนให้กับเขามาโดยตลอด
“อารู้ว่าซันกำลังทำอะไร อาจะไม่ช่วยได้ยังไงในเมื่อที่นี่มันเป็นของครอบครัวเรา” ประสิทธิ์ตบบ่าหลานชายที่ตัวสูงกว่าเบาๆอย่างให้กำลังใจ
“ตอนเย็นเจอกันที่บ้านนะลูก คุณหมอด้วยนะคะ”
“ครับ” พระพายระบายยิ้มตอบผู้อำนวยการสาวอาของคนรัก ก่อนที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคนจะเดินออกจากห้องประชุมไปเหลือเพียงเขาทั้งสองคนที่ยังคงยืนอยู่
“แสดงละครเก่งเหมือนกันนะครับ” คนตัวเล็กกว่าพูดแซวคนรักถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในห้องประชุมว่าเป็นเพียงการเล่นละครตบตาทุกคนโดยเฉพาะพฤติพงศ์เท่านั้นที่พวกเขาวางแผนกันมาอย่างดีว่าจะให้ตัวเองถูกพักงานเพื่อจะได้มีเวลาติดตามเรื่องผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปได้อย่างเต็มที่
“ถ้าไม่ได้มาเป็นหมอ พี่ก็คงเป็นดาราไปแล้ว” เขาพูดกลั้วหัวเราะ แต่ไม่นานก็ถูกกำปั้นเล็กๆต่อยเข้าที่ต้นแขนไม่แรงนัก จนต้องมองหน้าอีกคนอย่างสงสัยว่าตนทำอะไรผิด
“ไม่ต้องมาหัวเราะอารมณ์ดีเลยครับ ทำไมไม่บอกว่าพายก็ถูกงดเงินเดือนเหมือนกัน ทำไมต้องรับผิดไว้คนเดียว เป็นพระเอกเหรอครับ!?”
“เพราะพี่เป็นอาจารย์เราไง พี่โตกว่าเราพี่ก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ... จะคิดอะไรมากมาย” คนฟังยู่ปากไม่ชอบใจนิดหน่อยที่อีกฝ่ายรับผิดไว้คนเดียวทั้งๆที่ต้นเหตุทั้งหมดเป็นเพราะตน แต่สุดท้ายก็พุ่มมือไหว้ขอบคุณคนรักที่ยอมรับโทษแทน
“ไม่เป็นไรครับ” มือหนาตบหัวกลมของคนรักเบาๆพลางยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนที่สมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงจะสั่นเตือน เขาล้วงมันขึ้นมากดรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของแพทย์รุ่นน้องคนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
“ว่าไง?”
(พี่ซัน ว่างไหมพี่!? มีเคสอยากให้มาดูหน่อย)
“ได้ เดี๋ยวรีบไป” เขาตอบตกลงพร้อมกับจับมือของคนรักรีบเดินออกจากห้องประชุมทันที ทว่าพระพายกลับยื้อเอาไว้ก่อนด้วยคิดว่ามันไม่เหมาะสม
“เดี๋ยวครับปล่อยก่อน! มีเรื่องอะไรครับ”
“หมอท็อปเรียกให้ไปดูเคสของคนไข้ พายตามอนุวัฒน์กับแพรดาวให้ไปเจอกันที่ห้องตรวจด้วย”
“ได้ครับ งั้นเดี๋ยวพายตามไปนะ” ภูตะวันพยักหน้าก่อนจะปลีกตัวไปก่อน ส่วนพระพายก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้องทำงานของตนและเพื่อนอีกสองคน เรียกไปตามคำสั่งของคนเป็นอาจารย์เพื่อไปศึกษาข้อมูลเรียนรู้เคสต่างๆอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน
อาจารย์หมอเปิดประตูเข้าห้องตรวจที่มีนายแพทย์รุ่นน้องนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ตรงหน้าเขามีผู้ชายวัยกลางคนและหญิงสาววัยรุ่นนั่งอยู่พร้อมกับยกมือไหว้ตน
“นี่อาจารย์ภูตะวันครับ เป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งด้านหัวใจของโรงพยาบาลเรา” นายแพทย์หนุ่มแนะนำผู้ปกครองกับลูกสาวให้รู้จัก ก่อนที่ภูตะวันจะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆและไม่นานนักเหล่าแพทย์เรสสิเดนท์ของแผนกก็เปิดประตูเข้ามา พวกเขาสวัสดีคนที่แก่กว่ารวมถึงคนไข้ที่เด็กกว่าด้วย พลางยืนหลบอยู่มุมหนึ่งของห้องตรวจเพื่อไม่ให้เกะกะการทำงานมากนัก
“คืองี้ครับ ผมทำเอคโค่ให้น้อง ผลออกมาคือเหมือนน้องเขามีก้อนอะไรสักอย่างอยู่ในหัวใจ เลยอยากจะขอความชัวร์จากพี่ว่าผมวินิจฉัยถูกหรือเปล่า” (การตรวจเอคโค่ = การตรวจหัวใจอย่างหนึ่ง คือการอัลตร้าซาวด์ดูหัวใจนั่นแหละ) ภูตะวันฟังจบจึงขอฟังเสียงหัวใจของผู้ป่วย เขาเสียบสเตโทสโคปเข้าที่หูเพื่อฟังเสียงหัวใจเพียงไม่นานก็ถอดออก
“เสียงหัวใจผิดปกติ มันเหมือนอะไรอยู่ข้างในนั้นจริงๆ ขอดูชาร์จหน่อย” ผู้ปกครองและผู้ป่วยอึ้งไปเล็กน้อยรวมถึงแพทย์เรสสิเดนท์เองเช่นกัน เนื่องจากอาจารย์ของพวกเขาได้ฟังแค่เสียงหัวใจเท่านั้นก็สามารถรู้ได้ว่าข้างในหัวใจมีปัญหานายแพทย์รุ่นน้องส่งชาร์จผู้ป่วยให้กับรุ่นพี่ของตนตามคำขอ เขาเปิดอ่านเพียงไม่นานก็สรุปได้ทันที
“มีก้อนในหัวใจไปขวางทางเดินของหลอดเลือดครับ การไหลเวียนของเส้นเลือดใหญ่จึงน้อยลง ทำให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น ผมคิดว่าเป็นเคสที่ยากมาก การรักษามีทางเดียวคือต้องผ่าตัดครับ” ผู้ปกครองและผู้ป่วยสีหน้าเครียดลงไป เพราะในตอนแรกแค่หวังไว้ว่าคุณหมอท่านแรกอาจจะวินิจฉัยคลาดเคลื่อนไป แต่เมื่ออาจารย์หมออย่างภูตะวันยืนยันอีกครั้งทำให้พวกเขาเครียดและรู้สึกไม่ดี
“อาจารย์หมอจะผ่าตัดยังไงเหรอครับ?” คนเป็นพ่อถามอย่างเป็นกังวลกับการผ่าตัดใหญ่ครั้งแรกในชีวิตของลูกสาว
“ตัดชิ้นเนื้อบางส่วนส่งเข้าห้องแล็ปเพื่อตรวจว่าเป็นก้อนนี้เป็นเนื้อร้ายหรือเนื้อดี ถ้าผลออกมาว่าเป็นเนื้อดีก็จะเอาออก แต่ถ้าเป็นเนื้อร้ายหรือที่เรียกว่ามะเร็งนั่นแหละครับ ก็ต้องเหลือไว้เพื่อรักษาด้วยการให้ยาคีโม ต้องเข้าผ่าตัดเร็วที่สุดนะครับ วันนี้ได้จะดีมาก”
“... ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอปรึกษากับครอบครัวดูก่อน” ทั้งสองคนยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณหมอทุกคนที่อยู่ภายในห้องตรวจก่อนจะพากันเดินออกไปด้วยความกังวลที่มีเต็มหัวใจ
“ถ้าเขาไม่ผ่าตัดวันนี้ แกก็ต้องทำ เพราะฉันถูกพักงานหนึ่งอาทิตย์” เขาบอกเสียงเรียบ ถึงแม้ใจจะอยากเป็นคนผ่าตัดแค่ไหน แต่โทษก็คือโทษ ในเมื่อเขาเป็นคนตัดสินใจเอง
“จริงดิพี่!! มันต้องใช้ทีมใหญ่นะเคสยากขนาดนี้ พี่ไม่อยู่ได้ยังไงล่ะ!?” นายแพทย์หนุ่มรุ่นน้องพูดเสียงดังอย่างตกใจ ไม่คิดว่ารุ่นพี่ที่เป็นถึงอาจารย์อย่างภูตะวันจะถูกพักงานไป
“แกก็เป็นศัลยแพทย์เหมือนกันจะห่วงอะไร ฉันเชื่อฝีมือแก” หมอซันยักคิ้วพลางยกยิ้มมุมปากอย่างเคยชิน ตบบ่ารุ่นน้องเพื่อให้กำลังใจ
อาจารย์หมอพยักหน้าให้ลูกศิษย์เดินตามออกมาจากห้องตรวจ ทันทีที่ออกจากห้องตรวจแพรดาวที่ตกใจเล็กน้อยกับข่าวถูกพักงานที่อาจารย์พูดเมื่อครู่ก็ถามทันที
“อาจารย์ถูกพักงานเหรอคะ!?”
“อืม ผมไม่อยู่ก็ตั้งใจศึกษาหาความรู้และตั้งใจทำงานจากอาจารย์ท่านอื่นๆด้วยนะ” เขาพูดพลางยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับเดินลิ่วๆนำหน้าทีมลูกศิษย์ แพรดาวและอนุวัฒน์จึงหันมาหาเพื่อนอีกคนของตนที่เดินอยู่ข้างๆอย่างต้องการคำอธิบายมากกว่านี้
“ก็เรื่องนั้นนั่นแหละ”
“งั้นแสดงว่าพายก็ด้วย!?” อนุวัฒน์พูดเสียงสูง พระพายจึงพยักหน้าเป็นคำตอบ หัวเราะเบาๆกับท่าทางตกใจเกินจริงของเพื่อนทั้งสองคน ก่อนจะบอกออกไปว่าเพียงแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น ก็กลับมาทำงานและเรียนเหมือนเดิมแล้ว อนุวัฒน์และแพรดาวจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะคิดว่าอาจารย์กับเพื่อนจะถูกพักงานนานกว่านี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็อดจะใจหายไม่ได้อยู่ดีที่จะไม่ได้เห็นทั้งสองคนอยู่ในโรงพยาบาล ...
ถึงเวลาพักเที่ยง ศูนย์อาหารก็ยังคงครึกครื้นผู้คนพลุกพล่านเหมือนกับทุกวัน เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลใหญ่ พวกเขาสามคนนั่งลงพร้อมกับจานข้าวที่มีกับข้าวที่ตัวเองชอบวางลงบนโต๊ะ ทว่าหลังจากที่ก้นแตะเก้าอี้ได้เพียงไม่กี่นาที นายแพทย์หนุ่มต่างแผนกเพื่อนเก่าของพระพายก็วางจานข้าวของตัวเองลงบนโต๊ะฝั่งตรงข้ามพระพาย
“เราขอนั่งด้วยได้ไหม?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เราไม่ได้นั่งกินด้วยกันครั้งแรกซะหน่อย” แพรดาวพูดกลั้วหัวเราะ ทุกทีก็ไม่เห็นว่าจะต้องขอนั่งด้วยกัน เขาทำอย่างกับว่าเป็นคนอื่นคนไกลกันเสียอย่างนั้น พระพายเหลือบมองคนมาใหม่เล็กน้อย ก่อนจะสนใจข้าวในจานแทน
ระหว่างมื้ออาหารมีเพียงแพรดาวและอนุวัฒน์เท่านั้นที่พูดคุยกัน ทำให้บนโต๊ะไม่เงียบจนน่าอึดอัดเกินไป เพราะพระพายเป็นคนไม่ค่อยพูดมากนักเพื่อนๆจึงไม่สงสัยว่าเหตุใดเขาถึงเงียบไป
จนกระทั่งข้าวในจานหมด คุณหมอหน้าหวานจึงลุกขึ้นและบอกกับเพื่อนว่าตนขอตัวไปเคลียร์งาน เพราะหลังจากนี้ตนต้องพักงานแล้ว นายแพทย์ต่างแผนกเห็นดังนั้นจึงรีบลุกตามเพื่อนเก่าของตนไปหวังปรับความเข้าใจถึงเรื่องคืนนั้น
“เราขอคุยด้วยได้ไหม แป๊ปเดียวก็ได้” พระพายเห็นแววตาขอร้องของเพื่อนเก่าที่ถึงยังไงก็คงตัดกันไม่ขาดอยู่ดี ถึงแม้จะยังไม่พอใจเรื่องนั้นแต่ก็ไม่เสียหายอะไรหากจะอยู่คุย
“อืม ตามมาแล้วกัน” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะเดินนำธนบูรณ์ไปยังจุดหมายที่ต้องการ
สนามบาสเก่าที่ยังไม่ถูกบูรณะจากทางโรงพยาบาล เพราะมีสนามบาสที่ใหม่กว่าแล้ว ถูกเลือกเป็นสถานที่คุยของเขาทั้งสองคนในพักกลางวันนี้ ด้วยเพราะเงียบผู้คนไม่พลุกพล่านและลมพัดเย็นสบาย
“บอสมีอะไร?” พระพายเริ่มเปิดประเด็นเพราะไม่อยากเสียเวลามากนัก ก่อนจะนั่งลงที่มานั่งตัวยาวพลางทอดสายตามองไปเบื้องหน้าที่เป็นตึกสูงระฟ้าของเมืองหลวง แพทย์ต่างแผนกนั่งลงข้างๆพลางถอนหายใจ นัยน์ตาคมมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเพื่อนเก่าอย่างรู้สึกผิด
“เราขอโทษที่พูดแบบนั้นออกไป แต่เราไม่ได้ตั้งใจทำให้พายรู้สึกไม่ดี”
“แต่เราก็รู้สึกไม่ดีไปแล้ว ช่างมันเถอะ ...”
“เราขอถามอะไรพายอย่างหนึ่งได้ไหม?” พระพายละสายตาจากภาพเบื้องหน้า หันมาสบตากับเพื่อนของตนด้วยสายตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ ซึ่งบอสรับรู้ได้แต่เขาก็พยายามไม่ใส่ใจเพื่อไม่ให้ตัวรู้สึกผิดหวังมากไปกว่านี้
“... พายกับอาจารย์หมอถึงขั้นไหนกันแล้ว” พระพายนิ่งไปก่อนจะเบือนหน้าหนี มองออกไปเบื้องหน้าอีกครั้ง ไม่รู้ว่าควรตอบยังไงดีหากบอกความจริงก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมีได้รู้นอกจากเขาและคนรัก แต่หากจะโกหกก็กลัวว่าจะเป็นการให้ความหวังเพื่อนคนนี้ไป
“แล้วแต่บอสจะคิดดีกว่า เราห้ามความคิดของใครไม่ได้หรอก”
“อืม ... ขอโทษอีกครั้งนะ หวังว่าพายจะยังเห็นเราเป็นเพื่อนเหมือนเดิม” บอสพูดขึ้นลอยๆ ก่อนจะลุกขื้นยืนและเดินออกจากตรงนั้นไปหลังจากพูดจบ ทิ้งให้พระพายนั่งมองตนเดินจากไปด้วยความรู้สึกใจหายและรู้สึกผิดในใจอยู่เล็กน้อยที่ตนโกรธเพื่อนเกินไปหรือเปล่า ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงด้วยซ้ำ
“บอส!!” พระพายตะโกนเรียกเสียงดังก้อง ก่อนจะวิ่งไปเมื่ออีกฝ่ายหยุดรอ เขามองเพื่อนเก่าด้วยสายตานิ่งเฉย ก่อนจะค่อยๆระบายยิ้มออกมา พลางต่อยต้นแขนอีกฝ่ายอย่างแรงเป็นการหยอกล้อ
“ก็ต้องเป็นเพื่อนกันดิ!! ... แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นไม่เอานะ” หมอต่างแผนกยิ้มกว้าง ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างรู้สึกดี บอสถอนหายใจเล็กน้อยถึงจะไม่ได้อะไรกลับมาแต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียความเป็นเพื่อนกับพระพายไป
คงเป็นเรื่องปกติไปแล้ว สำหรับห้องสี่เหลี่ยมห้องนี้ที่ทุกค่ำคืนจะมีเพียงเสียงเปิดเอกสารแข่งกับเสียงเครื่องปรับอากาศ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองคนที่นั่งอ่านเอกสารอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างพินิจ คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม ดวงตากลมโตหรี่ลงเพ่งมองหน้าจออย่างตั้งใจ เขาจึงวางเอกสารในมือลง
“พาย ...”
“ครับ” คนถูกเรียกตอบรับโดยที่สายตาก็ยังไม่ได้ละจากแผ่นเอกสารสีขาวเลยแม้แต่น้อย
“เราได้กินยาบ้างรึเปล่า?” ภูตะวันถามคนรักอย่างเป็นห่วง เพราะเห็นว่าคนตัวเล็กเครียดกับเรื่องที่กำลังสืบหาจนเกินไปจนเกรงว่า
จะลืมกินยาเป็นประจำ
“ถ้านึกได้ก็กินครับ แต่พายดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะแล้ว” หมอหน้าหวานคลี่ยิ้ม ก่อนจะก้มลงอ่านเอกสารในมือเช่นเคย เวลาหนึ่งสัปดาห์ที่เขาถูกพักงานปลอมๆจะต้องสืบหาหลักฐานมามัดตัวคนร้ายให้ได้
“พี่ซัน! พายว่าเคสนี้เหมือนของพ่อพายเลย”
“ได้รับอุบัติเหตุ แต่เสียชีวิตหลังจากเข้าห้องผ่าตัด” ภูตะวันอ่านเอกสารที่คนรักยื่นมาให้ดู เขาเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าอีกฝ่ายอย่างเห็นด้วยว่าเป็นเคสที่คล้ายกัน ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งใกล้กับอีกคนเพื่อให้อ่านข้อมูลได้ถนัดมากยิ่งขึ้น
“จันทบุรี ... เตรียมเอกสารแล้วไปหาญาติผู้เสียหายกันคืนนี้เลย”
“ครับ” พระพายรวบรวมเอกสารข้อมูลที่พอเป็นหลักฐานสำคัญที่พวกเขาพอหาได้ รวมถึงเอกสารการบริจาคอวัยวะที่เป็นของปลอมด้วย เขาไม่ลืมจดสถานที่อยู่ของผู้เสียชีวิตที่ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะยังคงอยู่ที่เดิม
ทั้งสองคนขับรถออกจากกรุงเทพฯกันในทันที หลังจากที่เตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ไม่ได้หวังว่าจะต้องได้หลักฐานทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็ไปเพื่อพูดคุยเป็นข้อมูลเอาไว้สนับสนุนและแกะรอยต่อๆไปได้อีก ...
‘ทั้งสองคนเพิ่งขับรถออกจากคอนโดครับ’
(ตามพวกมันไป แล้วคอยรายงานฉัน อย่าปล่อยให้คาดสายตาแม้นาทีเดียว)
รถคันหรูขับเคลื่อนไปตามเส้นทางหลวงที่ทอดยาว แสงไฟสีส้มข้างทางส่องให้ถนนสว่างเป็นระยะๆ พระพายนั่งอยู่เบาะข้างคนขับด้วยหัวใจที่เต้นรัว ตื่นเต้นและกังวลกับวันพรุ่งนี้ที่จะต้องพบกับญาติผู้เสียชีวิตที่ดูเหมือนจะไปตอกย้ำซ้ำเติมให้คิดถึงคนที่จากไปอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อความถูกต้องพวกเขาก็จำเป็นต้องทำ
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบขึ้นมองกระจกมองหลังพลางหรี่ตาลงช้าๆอย่างสงสัย ด้วยเห็นว่ารถคันหลังนี้ขับตามพวกเขามาได้ระยะหนึ่งแล้ว ถึงจะไม่ได้ขับมากระชั้นกระชิด หากแต่ก็เว้นระยะได้ไม่ไกลมากนัก จึงทำให้เขาสงสัยว่าอาจจะกำลังถูกสะกดรอยตาม เขาละสายตาจากกระจกและมองมายังคนรักที่นั่งสีหน้ากังวลอยู่ข้างๆจนเขาสังเกตได้ ก่อนจะกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆ
“พี่ไม่อยากให้พายเครียดมาก พรุ่งนี้เราพักผ่อนสักวันหนึ่งก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยไปหาพวกเขา” พระพายหันมองหน้าคนรักที่กำลังขับรถอยู่ด้วยความเร็วปกติอย่างสงสัย แต่ก็ไม่อยากจะค้านความคิดของคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า เพราะคิดว่าพักผ่อนแล้วค่อยลุยงานก็ดีเหมือนกัน
เหตุผลอีกอย่างหนึ่งของภูตะวันคือถ้าหากว่าถูกสะกดรอยตามจริง อย่างน้อยก็น่าจะตบตาพวกนั้นได้อยู่บ้างว่าเขาเพียงแค่มาพักผ่อนตามประสาคนรักกันก็เท่านั้น และไม่อยากบอกให้พระพายได้รับรู้เพราะเกรงว่าจะทำให้คนตัวเล็กของเขามีความเครียดสะสมมากกว่านี้
อาจารย์หมอขับรถเข้ามาจอดที่สอร์ทติดชายทะเลแห่งหนึ่งของเมืองจันทบุรีในเวลาเที่ยงคืนของคืนวันเดียวกัน หลังจากที่ดับเครื่องยนต์แล้วก็ช่วยคนรักถือกระเป๋าเพื่อเข้าติดต่อห้องพัก คล้อยหลังพระพายเดินเข้าไปที่ฟร้อนท์ของรีสอร์ทได้ไม่นาน รถคันที่ตนสงสัยก็เข้ามาจอดอีกฝั่งหนึ่งของลานจอดรถทันที สายตาคมกริบเพ่งมองก่อนจะกัดกรามแน่นเป็นสัน สิ่งที่ฝ่ายนั้นเผยแพร่ออกไปก็ดีกว่าจะถูกจับได้ว่าแท้จริงแล้วเขาทั้งสองคนมาที่นี่เพราะอะไร ...
“นอนเถอะ พรุ่งนี้จะพาไปกินของอร่อย” อาจารย์หมอระบายยิ้มอบอุ่นให้คนรักคลายความเครียดลง พระพายจึงถอนหายใจก่อนจะคลี่ยิ้มบ้างให้อีกฝ่ายและล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มของรีสอร์ท
“... เราทำได้ใช่ไหมครับ?” เสียงนุ่มแผ่วถามคนรักข้างกายอย่างกังวล ร่างหนาขยับมานอนใกล้อีกฝ่าย พร้อมกับใช้แขนซ้ายให้ได้หนุนแทนหมอน ส่วนอีกข้างก็แตะรอบเอวคอดเอาไว้
“ทำได้สิ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน” ริมฝีปากก้มจูบกลุ่มผมนุ่มของคนรักแผ่วเบา ส่งความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าเป็นความรู้สึกที่ออกมาใจจริง พระพายยิ้มบางพลางหลับตาลงช้าๆเมื่อริมฝีปากนุ่มของอีกคนไล่จูบลงมาเรื่อยๆจากหน้าผากจนถึงปลายจมูก ก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากบางของตน
พระพายรู้สึกเจ็บที่หน้าอกข้างซ้ายเล็กน้อยเพราะเหมือนกำลังมีคนตีกลองอยู่ในหัวใจดวงเล็กๆของเขาจนเหมือนจะระเบิดออกมาเสียให้ได้ ริมฝีปากของอีกฝ่ายกดทับลงมาดูดดึงให้เผลอเผยอปากคล้อยตาม ปลายลิ้นสอดแทรกเข้ามาช้าๆแต่เต็มไปด้วยความละมุน ลมหายใจร้อนเป่ารดทั่วหน้าจนรู้สึกว่าแก้มของตัวเองเห่อร้อน ภูตะวันถอนริมฝีปากออกเพื่อให้อีกฝ่ายได้มีจังหวะหายใจแต่เพียงไม่นานก็จูบย้ำลงที่เดิมอีกครั้ง
มือหนาที่พระพายเคยคิดว่าอบอุ่นทุกครั้งที่ได้สัมผัส บัดนี้กลับเย็นยะเยือกจนเขาแทบจะสะดุ้งเมื่อมือข้างนั้นสัมผัสที่ผิวเนื้อด้านในเสื้อยืดตัวบางของเขาและขยับขึ้นมาจนเกือบจะถึงแผ่นอกบาง พร้อมกับริมฝีปากที่ย้ายมาดูดดึงอยู่ที่ซอกคอขาวแผ่วเบา ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลงเมื่อพระพายดันร่างของคนรักออก
“นอนได้แล้วครับ พายอยากกินของอร่อยๆแต่เช้า...” เขาพูดเสียงแผ่ว พลางยกมือเช็ดปากตัวเองเบาๆ ภูตะวันถอนหายใจยาวๆอย่างควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะจูบเน้นที่หน้าผากมนของพระพายอีกครั้งและค่อยๆลุกจากที่คร่อมคนรักอยู่เป็นนอนหงายแทน
“กู๊ดไนท์นะครับ” พระพายพลิกตัวตะแคงหันเข้าหาคนรัก ขยับเข้าไปจนแนบชิด ภูตะวันระบายยิ้มเอ็นดูก่อนจะยกแขนซ้ายขึ้นรองให้อีกฝ่ายได้หนุนนอนแทนหมอนอีกครั้ง แขนเรียวโอบกอดเอวหนาไว้ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ ถึงแม้ค่ำคืนนี้จะผ่านไปได้ยากสำหรับพวกเขาที่ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง แต่ก็ได้แต่ปลอบใจว่าอีกไม่นานก็เช้า ...
***************
Talk : โอยย กว่าจะคลอดมาได้แต่ละตอน เลือดตาแทบกระเด็น 5555555
ผ่านไปอีกหนึ่งตอนนะคะ เป็นยังไงกันบ้าง หลักฐานเริ่มมาเรื่อยๆ ความร้ายกาจของใครบางคนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
คอยติดตามกันต่อไปนะ ว่าพวกเขาจะจะหาหลักฐานมัดตัวคนร้ายได้ยังไง จะผ่านมันไปด้วยวิธีไหน
ตอนหน้าจะได้สวีทกันมั้ย? คนร้ายจะเชื่อหรือเปล่าว่ามาพักผ่อน? จะได้เจอญาติผู้เสียหายมั้ย?
นิยายเราไม่ต้องคิดเยอะค่ะ เราคิดอะไรซับซ้อนไม่เป็นหรอก 555555555
ตอนนี้เปิดเทอมแล้ว แต่ก็จะรีบมาต่อให้ได้ อิอิ
คาดว่าไม่น่าเกิน 25 ตอนก็จบแล้วล่ะ ซียูนะคะ
