-24-
ภูตะวันนั่งอยู่บนขอบเตียงนุ่มเฝ้ามองคนรักที่นอนหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอมาหลายชั่วโมงแล้ว แม้ตัวเองจะยังไม่หายดีแต่ก็เป็นห่วงอีกคนเกินกว่าจะนอนอยู่เฉยๆ เมื่อแพทย์ตรวจอาการของเขาแล้วและพบว่าไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงอีกนอกจากให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นกว่านี้ เขาจึงขอให้พามาที่นี่เพื่อมาเฝ้าดูอาการของคนรักอย่างใกล้ชิด
พระพายหมดสติไปเพราะการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอรวมถึงความเครียดที่ทับถม แพทย์ที่ดูแลจึงให้ยานอนหลับเพื่อให้เขาได้พักผ่อนสักระยะ ใบหน้าที่เคยซีดขาวกลับมีสีเลือดฝาดขึ้นมาอีกครั้ง มือใหญ่ข้างที่ไม่ได้เจาะสายน้ำเกลือยกกุมหน้าอกตัวเองด้วยอาการเจ็บก่อนจะเอื้อมไปลูบหลังมือขาวของคนรักอย่างแผ่วเบาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
สักครู่เปลือกตาสีอ่อนก็เปิดขึ้น เพียงแค่เห็นหน้าภูตะวันรอยยิ้มหวานก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าแม้ตัวเองจะเหนื่อยล้าสักแค่ไหนก็ตาม ก่อนจะดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
“พี่ปลอดภัย ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมครับ?” ภูตะวันพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆเป็นคำตอบ อีกคนยิ้มดีใจพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
“พายเป็นห่วงพี่จนแทบบ้า” แววตาของเขาที่สะท้อนออกมาว่าไม่ได้โกหก ภูตะวันจับมือของพระพายเอาไว้พร้อมกับบีบเบาๆแทนความรู้สึกตื้นตันใจก่อนจะยกขยี้ผมอีกคนจนยุ่งไปเล็กน้อยอย่างเอ็นดู
“ตรงนี้ ... พายเป็นคนทำใช่ไหม?” เขาวางมือบนหน้าอกข้างที่ถูกผ่าตัดของตัวเอง คนถูกถามลังเลใจที่จะตอบด้วยไม่รู้ว่ามีอะไรผิดพลาดจนทำให้คนรักไม่พอใจหรือไม่ หากแต่ก็จำใจยอมพยักหน้าให้เป็นคำตอบ รอยยิ้มมุมปากจากอาจารย์หมอค่อยๆเผยขึ้น
ทีละนิดจนพระพายแปลกใจไป
“แล้วเห็นตัวเองอยู่ในนั้นหรือเปล่า?”
“... พายไม่ได้ผ่าตัดหัวใจให้พี่ซะหน่อย” ยิ้มอย่างเขินๆพลางกลอกตาไปมา ไม่คิดว่าคนเจ็บที่เพิ่งจะฟื้นตัวจากการผ่าตัดจะกล้าเล่นมุกอะไรแบบนี้กับตน
“เราก็อยู่ทุกส่วนในร่างกายพี่นั่นแหละ หึหึ ... ขอบคุณนะ” หมอซันยกยิ้มเจ้าเล่ห์พลางหัวเราะเบาๆ
“พายต่างหากที่ต้องขอบคุณ ขอบคุณนะครับที่กลับมา” ภูตะวันรั้งร่างคนตัวเล็กกว่าเข้ามากอด พระพายเองอยากจะกอดตอบให้แน่นกว่านี้แต่ก็ยังกลัวว่าคนรักที่เพิ่งจะฟื้นตัวจะบาดเจ็บอีกจึงทำเพียงสวมกอดเบาๆแต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขาหลับตาพริ้มด้วยความรู้สึกตื้นตันใจอย่างที่สุด
อาจารย์หมอถามพระพายถึงเรื่องคดีความว่าเป็นยังไงคืบหน้าไปถึงไหน ทว่าพระพายกลับตอบเพียงว่ามันกำลังจะจบลงด้วยดี เขาไม่อยากลงรายละเอียดอะไรมากนักในตอนที่คนรักยังไม่แข็งแรงดี และในวันตัดสินคดีคนที่เขาอยากให้อยู่ด้วยรองจากแม่และยายก็คือภูตะวันที่ร่วมกันสู้มาจนถึงวันนี้
หลังจากวันที่ภูตะวันฟื้นขึ้นมาร่างกายเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับแต่แพทย์ยังไม่ให้ทำอะไรที่หักโหมมากนัก พระพายเองก็แข็งแรงขึ้นเพราะมีกำลังใจที่ดีจากคนรักและคนรอบข้าง เขากลับมาทำงานตามปกติและดูเหมือนจะมีความสุขมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ก่อนจะราววอร์ดเช่นทุกเช้าเขาจะเข้ามาเยี่ยมอาจารย์หมอก่อนเสมอถึงแม้ว่าพวกเขาจะห่างกันแค่ตอนที่พระพายกลับคอนโดไปอาบน้ำแต่งตัวก็ตาม
“แหม วันนี้หน้าตาสดชื่นมาเชียวนะ” แพรดาวทักทายอย่างล้อๆเมื่อเห็นว่าเพื่อนเดินมาแผนกผู้ป่วยในเพื่อเตรียมราววอร์ดในช่วงเช้า คนถูกทักทำเพียงยิ้มตอบออกมาก่อนจะเช็คชาร์จการรักษาของผู้ป่วย
“อาจารย์เป็นไงบ้าง?”
“... เท่าที่เห็นก็ดีขึ้นนะ แต่ยังเจ็บแผลผ่าตัดอยู่นิดหน่อย” เขาละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ หันไปตอบเพื่อนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“แล้วตกลงไอ้ข่าวที่ลือกันทั่วโรงพยาบาลนี่เรื่องจริง?” หมอเอิร์ธถามเสียงสูงทั้งที่ก็พอจะเดาออกว่าคงจะเป็นจริงแน่ๆ ในเมื่อทั้งอาจารย์หมอและเพื่อนของตนดูเป็นห่วงกันมากมายขนาดนั้น คนถูกถามยิ้มเล็กน้อยและไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจคล้ายกับจะบอกเป็นนัยๆว่าแล้วแต่จะคิด ก่อนจะหยิบแฟ้มเดินเข้าห้องพักของผู้ป่วยไป
“เออพาย แล้วเรื่องคดีเป็นยังไงบ้างล่ะ ไปถึงไหนแล้ว?” แพรดาวถามเสียงเบาลงเมื่อเดินตามเพื่อนเข้ามาในห้องพักฟื้นผู้ป่วยรวมของแผนก
“อีกสามวันก็ตัดสินคดีแล้ว ... วันนี้อาการเป็นยังไงบ้างครับ?” คุณหมอหน้าหวานตอบคำถามเพื่อน แต่ก็ไม่ละหน้าที่ของตัวเองเขาถามถึงอาการของผู้ป่วยหญิงสูงวัยรายหนึ่งด้วยเสียงที่อ่อนโยนและน้ำเสียงที่อบอุ่น
“ไม่ค่อยเจ็บแผลแล้วจ้ะ” เธอตอบด้วยสีหน้าสดชื่น หลังจากที่ผ่านการผ่าตัดมาและพักฟื้นได้ระยะหนึ่งแล้ว
“ถ้าเป็นแบบนั้น คุณป้าก็คงจะได้กลับไปพักผ่อนที่บ้านแล้วนะครับ” เขายิ้มหวานส่งให้พลางเขียนรายงานในแฟ้ม ก่อนจะเดินไปที่เตียงผู้ป่วยรายอื่นต่อ โดยมีกลุ่มเพื่อนที่ต้องทำการตรวจพร้อมกัน ทว่ากลับหันมาเห็นสีหน้าแพรดาวที่กำลังคิ้วขมวด
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ เป็นอะไร?”
“เขาจะยอมแพ้คดีง่ายๆอย่างนั้นเหรอพาย” แพรดาวพูดสิ่งที่กังวล เมื่อคิดว่าพฤติพงศ์คงไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆ หากว่าเป็นเช่นนั้นเพื่อนของเธอจะต้องทำยังไงต่อไป แต่แทนที่พระพายจะกังวลกับสิ่งที่เพื่อนคิด เขากลับหัวเราะออกมาเบาๆและหันกลับไปฉีดยาให้กับผู้ป่วยอีกรายอย่างตั้งใจจนเสร็จ
“วันที่ขึ้นศาลกันวันนั้นเขาก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรนะ แม้แต่ทนายเขาเองก็ไม่ได้เอามา ... อย่ากังวลไปเลย หลักฐานเรามีมัดตัวเขาได้ไม่หลุดแน่ เขาจะไม่มีวันชนะเราได้อีกแล้ว ...” พระพายกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปตรวจยังเตียงอื่นต่อไป แพรดาวจึงได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆและทิ้งความกังวลให้หมดไป ในเมื่อพระพายเชื่อแบบนั้นเธอเองก็จะเชื่อว่าเวรกรรมมีอยู่จริง ใครทำอะไรไว้ยังไงก็ต้องรับผิดชอบ
หลังจากที่เสร็จงานแล้ว ในช่วงพักกลางวันพระพายปลีกตัวจากเพื่อนเพื่อกลับมาที่ห้องพักฟื้นของอาจารย์หมอ เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบว่าในห้องมีอาทั้งสองคนของภูตะวันอยู่ด้วย พร้อมกับอาหารมากมายอยู่บนโต๊ะ
“อ้าว มาพอดีเลย ตาซันกำลังจะโทรหา เขาห่วงว่าเราจะไม่ได้ทานข้าว” ณิชชาอรหัวเราะพลางรับไหว้คนรักของหลานชายที่ยกมือไหว้เขาทั้งสองคนอย่างนอบน้อมเหมือนทุกครั้ง
“มาๆทานข้าวกัน”
“ครับ” เขาตอบรับคำชวนของประธานโรงพยาบาลด้วยรอยยิ้ม
“งานเยอะไหม?” ทันทีที่หย่อนก้นลงเก้าอี้ ก็ได้รับคำถามจากคนรักพร้อมด้วยอาหารที่ถูกนำมาวางลงบนจานตรงหน้า
“ก็เยอะเป็นปกตินั่นแหละครับ พี่ทานยาก่อนอาหารหรือยัง?” ถึงแม้ว่างานจะเยอะแต่ก็ไม่ลืมที่จะเป็นห่วงสุขภาพของอาจารย์หมอที่ควรจะต้องได้รับยาอย่างต่อเนื่อง ภูตะวันทำเพียงพยักหน้าเป็นคำตอบเท่านั้น ก่อนที่ทุกคนจะลงมือทานอาหารกันไปอย่างเงียบๆ จนเวลาผ่านไปได้สักพักประสิทธิ์จึงพูดขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้
“วันนี้อากับคณะผู้บริหารประชุมกันเกี่ยวกับโรงพยาบาลของเรา ตั้งแต่ก่อตั้งมาเราทำบุญโรงพยาบาลไปแค่ครั้งเดียวคือตอนเปิดโรงพยาบาล เราเลยลงความเห็นกันว่าจะทำบุญครั้งใหญ่ให้โรงพยาบาลและจะมีกิจกรรมพิเศษเล็กน้อยให้คนไข้และญาติๆรวมถึงบุคลากรของเราได้ผ่อนคลายกันบ้าง ซันว่ายังไง?”
“.... ก็ดีนะครับ แล้วอาจะจัดเมื่อไหร่?”
“คิดไว้ว่าหลังวันติดสินคดีน่ะ”
“เห็นตาซันบอกว่าเราอยู่กับแม่และยาย ชวนท่านมาด้วยสิจ๊ะ มาทำบุญด้วยกัน” ณิชชาอรถามอย่างใจดี หากว่าแม่และยายของพระพายมากรุงเทพฯ เธอกับสามีก็คงจะได้ขอโทษด้วยตัวเองกับเรื่องร้ายๆที่พวกเขาปล่อยให้มันเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด
“ผมตั้งใจจะไปรับแม่กับยายมาฟังตัดสินคดีอยู่แล้วครับ เพราะท่านเองก็รอวันนั้นไม่ต่างจากผม ยังไงผมขออนุญาตลางานสักสองวันนะครับ” พระพายพูดอย่างฉะฉาน ถึงแม้แม่และยายจะไม่เคยพูดให้เขาต้องเอาคืนคนที่มันทำลายครอบครัวพวกเขา แต่เขาก็รู้ดีว่าท่านทั้งสองรอวันที่จะได้เห็นคนผิดถูกลงโทษมาเสมอ
“พี่ไปด้วย” ทุกคนหันไปมองภูตะวันที่เพิ่งจะฟื้นตัวจากการผ่าตัดกันเป็นตาเดียว
“พี่จะปล่อยให้พายไปคนเดียวได้ยังไง”
“พายกลับบ้านนะครับ ไม่ได้ไปเสี่ยงชีวิตที่ไหน” เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ยอมรับว่าหงุดหงิดใจเล็กน้อยที่ภูตะวันไม่นึกห่วงตัวเองบ้างทั้งที่ก็เพิ่งจะผ่านการผ่าตัดมาและเขาไม่อยากให้ตัวเองเหมือนเป็นภาระของคนอื่น อาจารย์หมอได้แต่จ้องหน้าคนรักอย่างเงียบๆไม่ได้พูดอะไรต่อ จนผู้ใหญ่ทั้งสองคนเห็นถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยดีนัก
“แต่ซันก็ยังไม่ค่อยแข็งแรงนะลูก” ณิชชาอรพูดเสริมอีกแรงเพื่อให้หลานชายเปลี่ยนใจ นึกถึงร่างกายของตัวเอง
“ผมเป็นหมอนะครับอาหญิง ผมรู้ว่าร่างกายตัวเองไหวหรือไม่ไหว” เขาพูดเสียงเรียบ ผู้ใหญ่ทั้งสองคนต่างพากันถอนหายใจกับความดื้อรั้นเอาแต่ใจของหลานชายเพียงคนเดียว ภูตะวันหันกลับมามองพระพายอีกครั้งบอกผ่านสายตาว่ายังไงเขาจะต้องไปด้วย
“ตอนมาที่นี่พายก็ยังมาคนเดียวได้ พายดูแลตัวเองได้นะครับ” พระพายพูดเสียงอ่อนลง พยายามเข้าใจว่าอาจารย์หมอเป็นห่วงเขามาก อาจจะเพราะว่าที่ผ่านมาพวกเขาเสี่ยงอันตรายมาด้วยกันเยอะจึงทำให้ภูตะวันยังเป็นห่วง
“แต่ตอนนี้พายเป็นแฟนพี่ พี่ก็ต้องดูแลพาย ถ้าตอนนั้นเราเป็นแฟนกัน พี่ก็คงไม่ปล่อยให้พายมาเจอกับอะไรแย่ๆแบบนี้คนเดียวหรอกครับ เข้าใจพี่ไหม?” มือหนายกลูบกลุ่มผมนุ่มของคนรักอย่างอ่อนโยน เขาแค่อยากอยู่ใกล้ๆกับคนที่ตัวเองรัก อยากไปเห็นบ้านที่อบอุ่น ครอบครัวที่น่ารักของพระพายด้วยตัวเอง คุณหมอหน้าหวานถอนหายใจช้าๆยอมจำนนต่อความเป็นห่วงที่มากล้นของผู้ชายคนนี้ ก่อนจะแอบชำเลืองมองผู้ใหญ่อีกสองคนที่นั่งมองเขาสองคนสลับกันด้วยสายตาล้อๆ
“หลานชายคุณนี่มันจริงๆเลยนะคะ”
“ก็หลานคุณเหมือนกันนั่นแหละคุณหญิง” ผู้ใหญ่หัวเราะร่วน เห็นหลานตัวเองมีความสุขกับคนที่รักก็ไม่คิดจะขัดขวางอะไรให้ต้องขุ่นเคืองกันในครอบครัว เพราะก็มีเหลือกันเพียงแค่นี้ อีกทั้งพระพายก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ที่ทำได้ก็คงจะมีแต่เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนต่อสู้กับอะไรที่ต้องเจอในชีวิตกันต่อไป
ในวันถัดมาภูตะวันก็ได้ออกจากโรงพยาบาลโดยที่ไม่มีใครเห็นด้วยเลยแม้สักคนเดียว แต่ก็ต้องยอมในเมื่ออีกฝ่ายดึงดันที่จะขอออกไปพักฟื้นที่บ้านเอง พระพายจึงต้องรับหน้าที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด
อาของภูตะวันได้ให้คนขับรถมาส่งพวกเขาที่สนามบินและพระพายขอให้พนักงานนำวีลแชร์มารับที่รถด้วยถึงอาจารย์หมอจะบอกว่าไม่เป็นไรเพราะเขาเดินเองได้แต่ครั้งนี้พระพายจะไม่ยอมใจอ่อนให้เด็ดขาด ในระหว่างการเดินทางเขาจะคอยสังเกตคนรักที่นั่งอยู่ข้างๆอยู่เสมอเพราะกลัวว่าแผลผ่าตัดจะได้รับการกระทบกระเทือนและอาจจะทำให้เขาทรุดได้
“พี่อยากเดินบ้าง” ทันทีที่เครื่องลงจอดภูตะวันก็เอ่ยปากบอกในสิ่งที่ต้องการ เพราะเขาเบื่อกับการนั่งเฉยๆเป็นภาระให้คนรักต้องคอยดูแลทั้งที่อยากจะมาดูแลอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ คนถูกขอร้องมองหน้าพลางระบายยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้าให้เป็นคำตอบ ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินออกจากตัวเครื่องบินโดยมีพระพายคอยจับแขนเอาไว้อย่างไม่สนใจสายตาใคร
“บ้านพายอยู่นอกเมือง พายก็เลยเช่ารถตู้เอาไว้ ตอนนี้คงมาถึงแล้ว”
“แล้วจะแนะนำพี่กับที่บ้านว่ายังไง?” ภูตะวันถามยิ้มๆ อยากจะรู้ว่าพระพายจะแนะนำเขาว่าเป็นอะไรกับตัวเองให้แม่และยายได้รับรู้ แต่ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะแนะนำว่าอย่างไรเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจมากมายนัก เพราะถึงยังไงทั้งสองคนก็รู้อยู่ในใจว่ารักกัน
“อืมม ... เอาไว้เดี๋ยวพี่ก็รู้เองตอนไปถึง” พระพายหัวเราะเบาๆ ในขณะเดียวกันที่รถตู้ที่จองไว้ก็มาถึง คนตัวเล็กกว่าช่วยประคองคนรักให้ขึ้นไปนั่งรอคนขับเก็บกระเป๋าไว้ที่ท้ายรถ ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ แต่พระพายก็ไม่วายกำชับคนขับว่าให้ขับอย่างระมัดระวัง ไม่ต้องเร็วและให้ขับนิ่มที่สุด จนอาจารย์หมอถึงกุมขมับแต่ลึกๆในใจก็อดจะดีใจไม่ได้ที่คนรักเป็นห่วงตนมากมายขนาดนี้ ...
จากตัวเมืองเชียงใหม่นั่งรถประมาณสองชั่วโมงกว่าๆก็มาถึงบ้านที่แสนอบอุ่นของครอบครัวภูวนัตถ์ในเวลาใกล้เที่ยง อาจารย์หมอมองข้างนอกผ่านกระจกรถเขาเห็นหญิงสาววัยกลางคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายกับคนรักของเขาไม่มีผิดเพี้ยน เพราะพระพายเหมือนแม่มากทำให้ใบหน้าค่อนไปทางหวานเล็กน้อย หญิงสูงอายุที่คะเนทางสายตาอายุน่าจะราวๆแปดสิบปียืนระบายยิ้มอยู่ข้างๆกัน
“แม่กับยายของพายครับ” พระพายระบายยิ้มหวาน เห็นคนรักมองผู้ใหญ่ที่ตนรักทั้งสองคน ก่อนที่คนขับรถตู้จะเปิดประตูให้ พระพายประคองอาจารย์หมอให้ลงรถอย่างระมัดระวัง ทิ้งท้ายบอกคนขับรถตู้ให้มารับพรุ่งนี้ในช่วงเย็นเพื่อไปที่สนามบิน
“... ไม่เห็นบอกว่าจะพาเพื่อนมาด้วยแม่จะได้จัดห้องเอาไว้ให้ เรานี่นะ!” เมื่อเห็นว่าลูกชายของตนไม่ได้มาเพียงคนเดียวก็อดที่จะเอ็ดไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้จริงจังมากนัก
“พายจัดการเองได้น่า ... แม่กับยายพายครับ นี่อาจารย์พายเองฮะ” พระพายกอดเอวแม่ของตนเอาไว้ ก่อนจะแนะนำให้คนรักกับครอบครัวของตนให้ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ ภูตะวันยกมือไหว้ผู้ใหญ่อย่างสุภาพ เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรที่พระพายแนะนำในฐานะอาจารย์และลูกศิษย์ เพราะเข้าใจดีว่าหากจะให้บอกออกไปในทันที คงไม่มีผู้ใหญ่คนไหนจะรับได้อย่างแน่นอน
“อ๋อ ที่พายเล่าให้ยายกับแม่ฟังใช่ไหมว่าเขาดุ เจ้าพายมันต้องดื้อมากๆเลยใช่ไหมคะอาจารย์” คนแก่หัวเราะร่วน จะมีก็แต่พระพายที่ยู่หน้าเล็กน้อยที่ถูกหาว่าดื้อ
“ก็นิดหน่อยครับ เอ่อ .. เรียกผมว่าซันเฉยๆก็ได้ครับ”
“จ้ะๆ ขึ้นบ้านกันก่อนเถอะ จะได้กินข้าวกัน ข้างนอกอากาศร้อน” มารดาของพระพายเอ่ยชวนให้ทุกคนขึ้นบ้าน ถึงแม้ว่าแสงแดดจะแรง แต่บ้านของพระพายเป็นบ้านทรงเรือนไทยใต้ถุนสูง รอบๆบ้านก็มีต้นไม้ปลูกไว้จนร่มรื่นทำให้อากาศไม่ได้ร้อนมากมายนัก
พระพายยกกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองและอาจารย์หมอขึ้นมาบนบ้าน ภูตะวันถูกพาไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวแบบนั่งพื้นบริเวณชานบ้านที่ร่มรื่น พระพายอาสาจะช่วยแม่ยกสำหรับอาหารมาที่โต๊ะแทน จนอาหารพื้นเมืองชาวเหนือหน้าตาน่าทานถูกวางอยู่บนโต๊ะ พร้อมด้วยทุกคนที่นั่งประจำที่กันเรียบร้อยแล้ว
“อาหารเหนือ กินได้ใช่ไหมจ๊ะ?”
“ได้ครับ” ภูตะวันตอบผู้เป็นมารดาของพระพาย ค้อมหัวเล็กน้อยที่ผู้ใหญ่ตักข้าวใส่จานให้ ยายของคนรักก็รีบตักกับข้าววางบนจาน อยากจะให้ได้ชิมฝีมือทำอาหารของตัวเองตามประสาของคนแก่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้กินอะไร พระพายที่นั่งอยู่ข้างๆก็ลุกพรวดขึ้นจากเบาะที่นั่งโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับถุงยามากมายของภูตะวัน
“ยาก่อนอาหารครับ” เขาจัดออกมาให้กับคนรักอย่างละเอียดไม่มีขาดสักเม็ดตามคำสั่งของแพทย์ ท่ามกลางความสงสัยของผู้ใหญ่ทั้งสองคนว่าอาจารย์ของลูกชายและหลานชายเป็นอะไร
“หมอซันไม่สบายเหรอลูก?” หญิงสูงวัยถามอย่างเป็นห่วง คนถูกถามมองหน้าคนรักอย่างต้องการตัวช่วยว่าควรจะตอบว่าอะไรดี หากจะพูดความจริงว่าเป็นอะไรก็เกรงว่าจะไม่เหมาะในเวลานี้ พระพายจึงเป็นฝ่ายตอบแทน
“อาจารย์เขาเพิ่งผ่าตัดน่ะฮะ อุบัติเหตุ”
“ตายจริง! แล้วก็พากันเดินทางมาตั้งไกล”
“ผมอยากมาน่ะครับ อยากพักผ่อนด้วย” ภูตะวันบอกผู้ใหญ่ เพราะไม่อยากให้คนรักต้องถูกต่อว่าที่พาคนเพิ่งจะผ่านการผ่าตัดเดินทางมาถึงเชียงใหม่ ผู้ใหญ่ทั้งสองคนจึงได้แต่กำชับให้พระพายคอยดูแลให้ดีๆ ก่อนจะลงมือทานข้าวกันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ตั้งแต่พระพายไปทำงานที่กรุงเทพฯเป็นเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ก็ไม่เคยได้กลับมาที่นี่อีกเลย นานๆได้กลับมาสักทีคนแก่ก็ดีใจไม่น้อย
“เดี๋ยวเสร็จแล้วพายไปจัดห้องให้อาจารย์เขานะลูก ห้องแม่น่ะ ...”
“ไม่เป็นไรครับ ผมนอนที่ไหนก็ได้ห้องพายเขาก็ได้ครับ อย่าลำบากจัดให้ใหม่เลยฮะ ผมรบกวนแค่คืนเดียว” ภูตะวันปฏิเสธด้วยความเกรงใจ ไม่อยากให้ใครต้องลำบาก ทว่าพระพายกลับหัวใจเต้นรัวขึ้นมาเสียดื้อๆเมื่อได้ยินว่าอาจารย์หมอจะนอนห้องเดียวกับเขา หากเป็นที่อื่นก็คงจะไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ หากแต่ที่นี่เป็นบ้านของเขา บ้านที่มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักอยู่
“ห้องพายเล็กนะครับแล้วเตียงก็แคบด้วย”
“ผมนอนได้ สบายมาก” ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้อีกฝ่ายพลางกระตุกยิ้มมุมปาก เพียงแค่อยากจะแกล้งคนรักเท่านั้นไม่ได้คิดหวังจะทำอะไรที่ดูไม่เหมาะสมที่นี่
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจแล้วกันจ้ะ” สิ้นคำของผู้เป็นแม่ พระพายก็แอบถลึงตาใส่อย่างคาดโทษ พร้อมกับหยิกหน้าขาของคนรักใต้โต๊ะโดยไม่ให้ผู้ใหญ่เห็น อาจารย์หมอก็ได้แต่อมยิ้มเงียบๆคนเดียว
ช่วงหัวค่ำของคืนนี้ หลังจากที่มื้ออาหารเย็นจบลงพวกเขาอยู่นั่งคุยกันได้สักพัก ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน พระพายให้อาจารย์หมอกินยาก่อนนอนและให้พักผ่อนได้เต็มที่ โดยที่ภูตะวันเองก็ไม่อิดออดเพราะเขาเองก็เพลียมากในวันนี้ เมื่อเห็นว่าคนรักหลับตาลงแล้วตัวเองก็ปลีกตัวออกมาเพราะไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อน อีกทั้งก็อยากจะใช้เวลานี้ได้คุยกับมารดาของตนด้วย
“หมอซันล่ะลูก?” เมื่อเห็นว่าลูกชายออกจากห้องมาโดยที่ไม่มีอาจารย์ตามออกมาด้วย ก็อดไม่ได้ที่จะถามถึง พระพายระบายยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนตักอุ่นๆของคนเป็นแม่ที่กำลังเอนหลังดูโทรทัศน์อยู่กลางบ้าน
“หลับแล้วครับ แม่ ... แม่ดีใจไหม?”
“เรื่องอะไรล่ะ?” มือที่เหี่ยวย่นไปตามวัยลูบหัวกลมๆของลูกชายอย่างเอ็นดู
“คนชั่วมันจะได้รับกรรมที่มันทำแล้ว แม่ดีใจไหม?”
“แม่ก็ต้องดีใจสิ พระพายของแม่เก่งมาก ... ตอนนี้พ่อก็คงมองเราจากที่ไหนสักที่ อาจจะกำลังยิ้มกว้างดีใจที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทำจนสำเร็จอยู่ก็ได้” เธอหัวเราะเสียงใสทั้งที่น้ำตาก็เริ่มเอ่อคลอ ดีใจและภูมิใจไม่น้อยที่ลูกชายเพียงคนเดียวสู้มาจนถึงวันนี้ สู้เพื่อความถูกต้องเป็นธรรมให้กับครอบครัว
“... ถ้าพายสู้คนเดียวก็อาจจะมาไม่ถึงวันนี้ก็ได้”
“............”
“อาจารย์หมอ ... เขาเป็นทายาทเจ้าของโรงพยาบาลวิวรรธน์ที่พายทำงานอยู่ ครอบครัวของเขาไม่เคยรับรู้เรื่องพวกนี้เลยแม่ ตอนที่เขารู้เรื่องของเรา เขาสัญญาว่าจะช่วยพายและเขาก็ทำได้จริงๆ เขาไม่เคยทิ้งพายให้สู้คนเดียวเลย จนวินาทีสุดท้ายที่ลมหายใจเขาหมดลงเขาก็ทำเพื่อพาย ...”
“พายหมายความว่ายังไงลูก!?” เธอทำเสียงตระหนก พระพายจับมือคนเป็นแม่ลูบไปมาอย่างใจเย็น พร้อมกับคลี่ยิ้มบางทั้งที่อีกฝ่ายยังคงมีสีหน้าฉงน
“วันที่จับหมอคนนั้นได้ พายถูกจับตัวไป ถ้าอาจารย์มาช่วยไม่ทันอวัยวะภายในของพายคงหายหมด ... ที่เขาเพิ่งจะผ่านการผ่าตัดมา เพราะเขาถูกไอ้โรคจิตนั่นแทงเพราะช่วยพาย เขาหยุดหายใจต่อหน้าพายไปหลายครั้ง แต่ในที่สุดเขาก็ฟื้นขึ้นมา ... พายเป็นคนผ่าตัดให้อาจารย์เองเลยนะ” พระพายระบายยิ้มเล็กน้อย ดวงตากลมโตมีน้ำใสๆเอ่อคลอ ต่างจากผู้เป็นแม่เมื่อได้ฟังแค่เพียงไม่นานน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่คิดว่าลูกชายของตนจะต้องเผชิญอะไรเลวร้ายขนาดนี้และไม่คิดว่าคนที่หลับอยู่ในห้องของลูกชายจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยลูกของเธอ
“แม่อย่าร้องไห้ ...”
“แม่ไม่รู้จะขอบคุณอาจารย์หมอของพายยังไงดี ... แม่ไม่อยากคิดว่าถ้าแม่ต้องเสียพายไปอีกคน แม่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ยังไง” เธอร้องไห้ออกมาไม่หยุด น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าถูกมือเล็กๆของลูกชายเช็ดออกอยู่ตลอดเวลา
“พายอยู่กับแม่แล้วนี่ไง อย่าร้องนะ”
“เจ้าเด็กดื้อ!!” คนเป็นแม่ออกแรงตีก้นลูกชายไม่แรงนัก ก่อนจะหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกอะไรในตอนนี้ รู้เพียงแค่ว่าเธอโล่งใจเป็นอย่างมากที่ลูกชายกลับมาอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง
“..... แม่ชอบเขาไหม?” พระพายลองเลียบๆเคียงๆถาม ไม่อยากจะต้องปิดบังอะไรต่อไปอีก คนถูกถามขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจว่าลูกชายหมายถึงอะไร
“หมอซันน่ะเหรอ?” พระพายพยักหน้าบนตัก กอดอกรอคำตอบของคนเป็นแม่อย่างตั้งใจ
“อืมมม ลูกชอบใครแม่ก็ชอบด้วยนั่นแหละ รักใครแม่ก็รัก”
“แม่!!!!!!” พระพายเบิกตากว้าง ร้องเสียงดังลั่น ไม่อยากจะเชื่อว่าแม่ของตนจะพูดแบบนี้ออกมา ลูกขึ้นนั่งประจันหน้ากับแม่ตนอย่างตระหนกตกใจ พลางหันซ้ายหันขวามองรอบบ้านว่ามีใครได้ยินหรือไม่ ถึงแม่ตอนนี้ในบ้านจะอยู่กันแค่สี่คนก็ตาม
“จะเสียงดังทำไมเนี่ย เดี๋ยวยายกับหมอซันเขาก็ตื่นกันพอดี”
“แม่พูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่าฮะ!?”
“รู้สิ แม่เกิดก่อนเรามากี่ปี ทำไมเรื่องแค่นี้แม่จะมองไม่ออก ... ไม่มีใครที่จะกล้าเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องคนหนึ่งคนหรอกลูกถ้าคนนั้นไม่ได้พิเศษกับเขาจริงๆ เราก็เป็นห่วงเขาจนออกนอกหน้าซะขนาดนั้น หาหยูกหายาให้กินสามเวลาไม่เคยขาด สายตาเวลาที่เราสองคนมองกันมันเป็นสายตาธรรมดาซะที่ไหนกัน” พระพายหน้าขึ้นสี ไม่กล้าสบตากับคนเป็นแม่ขึ้นมาเสียเฉยๆ ก่อนจะสวมกอดหญิงผู้เป็นที่รักของตนเอาไว้แน่น
“... แม่โกรธพายไหม?”
“แม่จำเป็นต้องโกรธที่พายมีความรักเหรอลูก ความรักของพายมันเป็นเรื่องที่ผิดอย่างนั้นเหรอ ... พายเป็นลูกแม่ ถ้าแม่ไม่เข้าใจพายจะให้ไปเข้าใจหมาที่ไหนล่ะ ลูกทำถูกแล้วที่ทำตามความรู้สึกของตัวเอง อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดนะลูกนะ ... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่อยู่ข้างพายเสมอ”
“พายรักแม่ที่สุดในโลก” พระพายเสียงสั่น น้ำตาหยดจนชุดนอนของคนเป็นแม่จนเปียกเป็นวงกว้าง การมีครอบครัวที่รักและเข้าใจเสมอเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว
ประตูไม้ของห้องนอนห้องหนึ่งถูกปิดลงเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มของใครบางคน ภาพที่ได้เห็นกับสิ่งที่ได้ยิน คงทำให้เขานอนหลับฝันดีไปอีกหลายคืน นับตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ที่จากนั้นไม่นานประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างของคนตัวเล็กที่ก้าวเข้ามาพร้อมด้วยสีหน้าสงสัยเล็กน้อยที่คิดว่าคนรักหลับไปแล้ว ภูตะวันกางแขนกว้างด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่อีกฝ่ายจะ
โถมตัวกอดเขาเอาไว้แน่น พลางโยกตัวไปมา
“พี่ได้ยินแล้วใช่ไหม?” เขาถามเสียงอู้อี้อยู่กับบ่าของคนตัวสูง น้ำตาแห่งความดีใจหลั่งรินออกมาไม่หยุด ภูตะวันพยักหน้ากับไหล่บางเป็นคำตอบ พลางลูบหัวกลมของคนรักอย่างเอ็นดูก่อนจะผละออกจากกัน
สองมือหนาประคองใบหน้าของคนรักอย่างทนุถนอม ก่อนจะพรมจูบลงบนหน้าผากมน ไล่ต่ำลงมายังปลายจมูกโด่ง พระพายหลับตาพริ้มรับสัมผัสอย่างไม่ขัดขืน ริมฝีปากหนาไล่จูบลงมาที่กลีบปากของคนรัก ปลายลิ้นอุ่นไล้เลียแผ่วเบาเป็นเชิงขออนุญาต เพียงครู่สั้นๆเรียวปากบางนั้นก็เผยอออกเล็กน้อย เกี่ยวกระหวัดกันอย่างเนิบนาบแต่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น ก่อนที่จะหมดลมหายใจไปภูตะวันจึงเป็นฝ่ายผละออก
“ถ้าที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา เราเสร็จพี่ไปแล้วพระพาย” มือหนาโยกหัวกลมของคนรักไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว
“ติดไว้ก่อนแล้วกันนะครับ” พระพายหัวเราะน้อยๆ ปลายเท้าเล็กเขย่งขึ้นเล็กน้อย จูบริมฝีปากหนาของคนรักเป็นการปิดท้ายก่อนเข้านอนในคืนนี้ อาจารย์หมอได้แต่หัวเราะหึก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆกันด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ อย่างที่ใครๆบอกไว้ ฟ้าหลังฝนมันสวยงามเสมอ ...
********************
Talk : ขอโทษที่หายไปนานเลย กลับมาแล้วน้าา
ตอนนี้เป็นยังไงกันบ้างคะ? ตอนหน้าตอนสุดท้ายแล้วน้าาา เศร้าแรง T^T
เตรียมใจร่ำลาอาจารย์หมอกับคุณหมอพระพายไว้กันหรือยัง ...
ก่อนไปขอขอบคุณทุกคอมเม้นท์จนถึงตอนนี้เลยนะคะ
ขอบคุณคนที่ยังคอยอ่านอยู่เสมอๆ
ขอบคุณคนที่เพิ่งเข้ามาอ่านด้วยขอให้สนุกและอินกับทุกตอนนะคะ
ซียูกันตอนหน้าค่ะ บ๊ายบาย
