Ch.18 : ปฏิบัติการกีดขวาง & แว้น
(น้ำฝน...♥)
♥
♥
Up 100%
.....................................................................................
“มึง กูว่าพี่หมอรุกพี่ฟ้าหนักไปแล้วนะ กลัวพี่ฟ้าใจอ่อนจัง มึงคุยกับพี่มึงบ้างรึยัง” ไผ่มันถามหลังจากพายุเพื่อนผมหมดไป ตอนนี้มันนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง ในขณะที่ผมกำลังเช็ดหัวเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จเตรียมจะเข้านอน คืนนี้ไผ่มันจะมานอนค้างด้วย
“คุยแล้ว แต่กลัวพี่ฟ้าใจอ่อนเหมือนกัน” ผมสารภาพ พี่ผมยิ่งเป็นพวกใจอ่อนง่าย ๆ อยู่ด้วย
“นี่…” มันหันมามอง ขมวดคิ้วทำท่าคิด
“อะไร”
“กูว่าเราสองคนต้องช่วยกันกีดกันไม่ให้พี่หมอจีบพี่ฟ้าได้นะ”
อันนั้นกูทำอยู่ ผมบอกมันในใจ พยักหน้าเห็นด้วย
“เอางี้ฝน กูจะตีวงในพี่ฟ้าเอง ส่วนมึงทำหน้าที่กันพี่หมอออก เพราะถ้าให้กูทำ กูคงกัดกับมันตาย”
ผมมองมันอึ้ง ๆ ถ้าให้ผมกันทางพี่ฟ้า พี่หมอก็ต้องหาเรื่องมาแบล็คเมล์ผม แต่ถ้ากันทางพี่หมอ ก็ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรบ้าง
โดนทั้งขึ้นทั้งร่องเลย
ผมมองหน้าไผ่ ขมวดคิ้วคิด แต่มีไผ่เข้ามาช่วยด้วยอีกแรงก็ดีเหมือนกัน บางทีอาจทำให้พี่หมอจีบพี่ฟ้ายากขึ้นก็ได้
เอาวะ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ผมโยนผ้าเช็ดตัวลงตะกร้า เดินไปนั่งข้างเตียง ปิดไฟ ทิ้งตัวลงนอน ดึงผ้าห่มมาคลุมจนถึงเอว พลิกตัวตะแคงข้าง ขดตัวนิด ๆ ขยับเข้าไปชิดตัวไผ่จนได้ไออุ่นจากมัน ไผ่หันมามอง ขยับตะแคงข้างโอบกอดผมไว้หลวม ๆ ผมไม่พูดจาห้ามปรามอะไร คงเพราะชิน แล้วอีกอย่างผมรู้สึกปลอดภัยในอ้อมแขนมันด้วย
ไม่เหมือนอ้อมแขนของใครบางคน...
ผมนอนนิ่ง ๆ ให้มันกอด คิดเรื่อยเปื่อยอยู่สักพักก็ค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลง จนกระทั่งมันปิดสนิท
“น้ำฝน...” เคลิ้ม ๆ สติกำลังจะลาลับแต่ได้ยินเสียงเรียกเบา ๆ ขึ้นมาก่อน ผมครางรับในลำคอแต่ไม่ได้ลืมตามอง
“บอกได้ไหม ว่ามึงกำลังคบกับใครอยู่”
ผมลืมตาโพลงทันที
“โทษนะ อาจฟังดูมากไป แต่ที่ถามเนี่ยเพราะกูเป็นห่วงมึงจริง ๆ ตั้งแต่เปิดเทอมมา สภาพร่างกายกับจิตใจของมึงแย่มาก ถ้าคนนั้นเป็นสาเหตุ ก็อยากรู้ว่าเป็นใครและเพราะอะไร เผื่อจะได้ช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ช่วยด้านร่างกายไม่ได้ จิตใจก็ยังดี”
ผมยิ้มให้กับน้ำใจมัน
“โทษทีนะไผ่ แต่กูบอกตอนนี้ไม่ได้จริง ๆ ไว้ถึงเวลาแล้วจะบอกมึงเป็นคนแรกเลย”
มันนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นคล้ายกับจะเป็นการรับปากอยู่ในทีว่าจะรอเวลานั้น
“ขอบใจนะ” ผมกระซิบเสียงเบา ซบหน้ากับแผงอกอุ่น ๆ นั้น “แค่มึงอยู่เคียงข้างกู คอยกอด คอยลูบหัวปลอบใจแบบนี้ แค่นี้กูก็ดีใจแล้ว กูไม่ได้พูดเล่นนะไผ่ เวลามีมึงอยู่ด้วย กูรู้สึกสบายใจจริง ๆ”
มันคลายอ้อมแขนออกมามองหน้าท่ามกลางความมืดที่ผมเริ่มจะชินตา
“นี่! อย่าบอกนะว่ามึงหลงรักกูเข้าให้แล้วน้ำฝน!!” มันถามเสียงตื่น ผมโบกหัวมันไปที
“ควายเหอะ กูแค่รู้สึกสบายใจเฉย ๆ”
“อ้าวเหรอ แล้วไป คิดว่ามึงหลงรักกูจริง ๆ ถึงบางครั้งมึงจะน่ารักน่ากอดขนาดไหน แต่กูชอบผู้หญิงมากกว่าว่ะ”
“ฮ่า ๆ ดีแล้ว ผู้หญิงที่ได้มึงเป็นแฟนน่ะโชคดีจะตาย”
“พูดจริงรึเปล่า”
“จริง” ผมตอบกลั้วหัวเราะ
“เฮ้อ~” มันถอนหายใจแรง “มึงน่าจะเกิดเป็นผู้หญิงนะฝน ถ้ามึงเป็นผู้หญิงจริง ๆ ป่านนี้กูจีบมึงไปแล้ว เพราะมึงเป็นคนที่รักและเข้าใจกูที่สุด อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุดด้วย” มันลูบหัวผมเบา ๆ
“ผิวก็นุ่ม ผมก็ลื่น ตัวก็หอม ยิ่งอาบน้ำมาใหม่ ๆ แบบนี้ยิ่งหอมเข้าไปใหญ่” มันดมหัวผมเบา ๆ “หอมเหมือนขนไอ้ปุยฝ้ายเลย”
ผมทุบอกมันดังอัก มันหัวเราะร่วน รัดผมแน่นขึ้นจนผมอึดอัดดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนมัน ตราบจนมันพอใจแล้วนั่นแหละถึงได้คลายปล่อยแล้วกอดผมไว้เบา ๆ แทน
“นอนเถอะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
ผมพยักหน้า ปิดเปลือกตาลงอีกรอบ
แปลกนะ...
พอมีไผ่อยู่ด้วย ผมกลับไม่ฝันร้ายอย่างทุกคืน หรือว่าไผ่จะเป็นยันต์กันพี่หมอสำหรับผมนะ?
ป้าแม่บ้านโทรมาขอลาเพิ่มเพราะน้องแม่ที่แกไปเยี่ยมสิ้นใจพอดี ต้องอยู่งานศพต่อ พี่ฟ้าโอนเงินไปช่วยทำบุญแล้ว จะกลับอีกทีก็อาทิตย์หน้า
เรื่องงานในบ้านไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะพี่ฟ้าทำได้หมดทุกอย่าง พ่อแม่กลับมากันแล้วด้วย ทุกวันดูมีความสุขดี
ยกเว้นวันนี้…
เพราะเป็นวันที่ผมต้องพาพี่ฟ้าไปหาหมอตามเวลานัดหมาย
“ฝนเรียบร้อยยัง” พี่ฟ้ามาเคาะห้อง ผมหันไปมอง ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้
“เสร็จยัง สายแล้วนะ”
“เรียบร้อยแล้ว โทษทีมัวคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่”
“กิ้ว ๆ คิดถึงสาว ๆ อยู่ล่ะสิ พามาแนะนำให้พี่รู้จักบ้างสิ”
“มีที่ไหนเล่า ถ้าจะมีก็มีแต่สาวอายุมากกว่าที่เข้ามาหานี่แหละ”
พี่ฟ้าอมลม คล้องแขนผมไว้
“เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทันนัด เสร็จแล้วไปหาชื้อชุดว่ายน้ำกันนะ อยากใส่โชว์หนุ่ม ๆ บ้าง โสดแล้ว ไม่ต้องกลัวใครจะมาตามหึง”
ผมอมยิ้ม
“ไม่เอา เดี๋ยวพี่ผมโดนจีบ”
“ฝนง่า” พี่ฟ้าทำแก้มบวม ผมหัวเราะ พากันเดินออกจากห้องลงไปข้างล่าง พ่อกับแม่หันมามอง
“ไปหาหมอกันเหรอลูก”
“ครับ/ค่ะ” ผมกับพี่ฟ้าตอบรับพร้อมกัน พ่อนั่งพิงพนักโซฟาโดยมีแม่นั่งอยู่ข้าง ๆ ซบหัวกับอกกว้าง บนโต๊ะตรงหน้ามีเอกสารมากมายวางไว้คงกำลังคุยงานกันอยู่ ขนาดอยู่บ้านยังไม่หยุดทำงานกันอีก เห็นบอกว่ากลับมาแค่ไม่กี่วันก็จะเดินทางกันต่อ ผมกับพี่ฟ้าพากันเดินออกจากบ้านไปโบกรถแท็กซี่
“เบื่อนั่งแท็กซี่แล้ว หรือว่าพี่จะไปเรียนขับรถดี” พี่ฟ้าหันมาขอความเห็น ผมส่ายหัว
“อย่าเลย ฝนเป็นห่วง เราก็ไม่ได้ไปไหนกันบ่อย ๆ นี่”
“มีรถ แต่ไม่ได้ขับ น่าสงสารออก”
“เอาน่า รอฝน 18 ก่อน จะขับพาไปทุกที่ที่อยากไปเลย”
พี่ฟ้ายิ้มรับ แท็กซี่เขียวเหลืองวิ่งเข้ามาจอด ผมบอกปลายทางพาพี่ฟ้าขึ้นนั่ง เราคุยกันมาตลอดทางอย่างสนุกสนาน ผมยิ้มผมหัวเราะ แต่รอยยิ้มของผมกำลังจางลงเรื่อย ๆ เพราะใกล้โรงพยาบาลเข้าไปทุกที จนในที่สุดเราก็มาถึง ผมกับพี่ฟ้าไปติดต่อหน้าเคาน์เตอร์ สักพักก็มารอกันอยู่หน้าห้องห้องเดิม
ช่วงหลัง ๆ ผมให้พี่ฟ้ามากับป้าแม่บ้านสองคน สำทับนักหนาว่าให้มาแล้วรีบกลับเลย ห้ามไม่ให้ไปเถลไถลที่ไหนยกเว้นมีผมไปด้วย แต่วันนี้แม่บ้านไม่อยู่ ผมต้องมาเอง
ไม่กี่อึดใจพี่หมอก็เรียก ผมเข้าไปในห้องตรวจกับพี่ฟ้า พี่หมอเงยหน้ามอง สบตาผมแวบหนึ่งแล้วเมินไปมองพี่ฟ้า ผมกับพี่ฟ้ายกมือไหว้ตามมารยาท พี่หมอเชิญพี่ฟ้านั่ง เริ่มหน้าที่ของตัวเองทันที
“อาการคุณฟ้าดีขึ้นเยอะแล้วนะครับ”
พี่ฟ้ายิ้ม ผมด้วย อย่างน้อยก็ทำให้พี่ฟ้าไม่ต้องมาเจอพี่หมอบ่อย ๆ
“เรียบร้อยแล้ว”
พี่หมอปิดแฟ้ม พี่ฟ้าทำท่าจะลุกแต่พี่หมอเรียกไว้
“คุณฟ้าจะกลับเลยหรือไปไหนกันต่อรึเปล่า”
พี่ฟ้าหันมามองหน้าผม คงเดาความต้องการของพี่หมอออก
“ค่ะ ฟ้าว่าจะไปชื้อชุดว่ายน้ำกับน้ำฝน”
“ผมออกเวรพอดี ให้ผมไปส่งนะ จะขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวเย็นด้วย”
พี่ฟ้าทำหน้าอึดอัด
“นะครับ”
นะครับมาซะขนาดนี้ พี่ฟ้าจะปฏิเสธได้เหรอ สุดท้ายพี่สาวผมก็ต้องพยักหน้ารับ ผมเม้มปากแน่น ผมรู้ครับว่าทุกครั้งที่พี่ฟ้ามา พี่หมอจะจัดคิวรักษาไว้เป็นคนสุดท้ายเสมอ ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน
พี่หมอพาเราไปชื้อชุดว่ายน้ำก่อนจากนั้นก็พาไปกินข้าว ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน ผมไม่ปริปากพูดอะไรกับพี่หมอเลย ซึ่งพี่หมอเองก็ไม่คิดจะชวนผมคุยเหมือนกัน(พี่ฟ้าเข้าใจว่าผมไม่ชอบพี่หมอเพราะพี่หมอเคยรักษาผมจนทำให้ผมกลัวเขานิด ๆ)
ใจหนึ่งผมก็ดีใจ อีกใจก็เป็นห่วงพี่สาว และมีอีกเศษเสี้ยวหนึ่งของหัวใจที่ผมรู้สึกอิจฉาพี่ฟ้าหน่อย ๆ แต่แค่นิดเดียวเท่านั้น
พี่ฟ้าได้ชุดว่ายน้ำตัวใหม่มาสองชุด ไม่ใช่วันพีชหรือทูพีชอะไรหรอกครับ เป็นแค่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นใส่สบายธรรมดานี่แหละ (อย่างพี่ฟ้าน่ะเหรอจะกล้าใส่ชุดว่ายน้ำจริง ๆ ถ้าไม่ใช่ลงสระที่เขาบังคับให้ใส่ก็อย่าหวังว่าใครจะได้เห็นขาอ่อนพี่ฟ้า) ผมเองก็ได้เหมือนกัน เป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้น คล้าย ๆ กับของพี่ฟ้านั่นแหละ เป็นคอลเลคชั่นเดียวกันแต่แยกชายหญิง ผมไม่ชอบเท่าไหร่หรอกเพราะมันสั้นไป แต่พี่ฟ้าอยากให้ใส่คู่กันเวลาเล่นน้ำ
พอถึงตอนจ่ายเงิน พี่หมอยื่นบัตรจ่ายแทน ทำเอาทั้งผมและพี่ฟ้าห้ามกันไม่ทัน หลังจากกินข้าวพี่หมอก็ขับรถมาส่งเราที่บ้าน
ผมดีใจนะ ที่ช่วงนี้พี่หมอไม่มาบังคับหรือทำอะไรแปลก ๆ กับผม แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดี เพราะพี่หมอยังไม่ได้ทำลายภาพที่ใช้แบล็กเมล์ผม แถมยังมุมานะจีบพี่ฟ้าต่ออีก...
.....50%...
และแล้วก็ถึงวันศุกร์...
หลังเลิกเรียนเพื่อน ๆ ทุกคนก็มารวมตัวกันที่บ้านผม มาอาบน้ำแต่งตัวกันที่นี่แหละ นับรวมสมาชิกได้ทั้งหมด 9 คน เหลือพี่หมอคนเดียวที่ยังมาไม่ถึง ผมใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นใส่สบาย เสื้อผ้าสำหรับเล่นน้ำพร้อม(ชุดที่พี่หมอซื้อให้นั่นแหละ) กระเป๋าเดินทางพร้อม ไม่ต่างกับเพื่อน ๆ ผม มีรถ 5 คัน แพลนกันไว้แล้วว่าใครจะไปกับใคร
ผมนั่งไปกับไผ่เหมือนเดิม ส่วนพี่ฟ้าให้ซ้อนไปกับตา พีมไปกับตัน น้ำตาลไปกับหิน มีน้ำหวานคนเดียวที่ได้บินเดี่ยว(ปกติน้ำหวานจะไปกับตาหรือน้ำตาล แต่งวดนี้พี่ฟ้าไปด้วย เลยต้องไปแบบเดี่ยว ๆ แทน)
พี่สาวผมแต่งตัวได้น่ารักมาก เตรียมชุดมาหลายวันแล้ว ผมเองก็เหมือนกัน ฮ่า ๆ พวกเราขนขบวนกันออกไปยืนอยู่หน้าบ้านเพื่อรอสมาชิกคนสุดท้าย(ที่ผมกับไผ่ไม่ได้อยากให้ไปด้วยเลย) ไม่นานก็มีบิ๊กไบค์วิ่งเข้ามาจอดไม่ห่าง พวกเราทุกคนหันไปมอง
ใครก็ไม่รู้ครับ ไม่เห็นหน้าเพราะใส่หมวกกันน็อกอยู่ ตัวใหญ่มาก สวมแจ็กเก็ตอย่างเท่ พอขาตั้งถึงพื้น เขาก็ลงมายืนข้างรถ ถอดหมวกกันน็อกออก
พี่หมอ...
ผมยืนตะลึงเลย เพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นพี่หมอในลุคอื่นนอกเหนือจากมาดคุณหมอที่เคยเห็น วันนี้พี่แกใส่ยืดสีขาวด้านใน แจ็กเก็ตดำ กางเกงยีนสีเดียวกับแจ็กเก็ต รองเท้าที่ดูกึ่งผ้ากึ่งหนัง แบบชุดที่ใส่กระชากวัยให้ดูเด็กลงมาอีก ลุคดูแบดกายนิด ๆ คล้าย ๆ ไผ่ ได้ยินเสียงจิ๊ปากอย่างขัดอารมณ์จากไผ่ด้านหลัง
“โหย พี่หมอ พี่โคตรหล่ออ่ะ” ตันเอ่ยชม พี่หมอยิ้มให้มันนิดหนึ่ง หันกลับมาทางพี่ฟ้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม
“ขอโทษที่มาช้าครับ พร้อมกันหมดแล้วใช่ไหม”
พี่ฟ้าพยักหน้า
“ถ้างั้นเชิญ...” ยังไม่ทันที่พี่หมอจะพูดจบไผ่มันก็แทรกขึ้นมาก่อน
“เอ้าเฮ้ย! มากันครบทุกคนแล้วก็รีบไปกันเถอะ มึงไปกับพี่หมอละกัน ส่วนพี่ฟ้ามาทางนี้เลย”
พูดจบมันก็จับมือพี่ฟ้าลากให้ไปยืนอยู่ข้างรถมันเอง หยิบหมวกกันน็อกมายื่นให้ พี่ฟ้ารับไปถือไว้งง ๆ เพราะคุยกันไว้แต่ต้นว่าพี่ฟ้าต้องนั่งไปกับตา ไผ่สวมหมวกใส่หัวตัวเอง งัดฝาหมวกขึ้นมองคนที่ยังยืนทำหน้างง ๆ อยู่
“เอ้า เร็ว ๆ สิครับคนสวย”
พี่ฟ้าหันไปมองพี่หมอ ไผ่มันไม่รอให้พี่ฟ้าเปลี่ยนใจหรือพูดอะไร แย่งหมวกในมือพี่ฟ้าคืน สวมหัวให้แทน มันก้าวขึ้นรถสตาร์ทเครื่อง
“ขึ้นเร็ว ๆ พี่ฟ้า อย่าให้ถึงกับต้องอุ้ม พวกมึงก็รีบ ๆ เข้าเด๊ะ” มันบอกพี่ฟ้าเสร็จก็หันไปบอกเพื่อน ๆ ที่ยังพากันยืนมองงง ๆ อยู่ โดยเฉพาะตาที่อาสาจะเป็นมือขับม้าเหล็กให้พี่ฟ้านั่ง ทุกคนรีบทำตาม ใครทำหน้าที่ขับก็ขึ้นก่อน ใครนั่งซ้อนก็ก้าวตามอย่างไม่รอช้าเหมือนกัน พี่ฟ้ารีบก้าวขึ้นรถตามคำสั่ง จับเอวมันไว้
“กอดแน่น ๆ ล่ะ ตัวยิ่งเล็ก ๆ อยู่ ปลิวตามลมไปไม่เก็บด้วย” พี่ฟ้าเปลี่ยนจากจับเอวเป็นกอดเอวมันแน่นทันที ไผ่ไม่พูดพร่ำทำเพลง บิดเครื่องนำลิ่วไปก่อนทันที น้ำหวานกับตารีบขับตามไปติด ๆ ต่อด้วยตันและบีม
“เอ้าน้ำตาล กอดเอวกูแน่น ๆ เหมือนพี่ฟ้ากอดไผ่ดิ” หินมันหันไปบอกคนด้านหลัง น้ำตาลตบกะโหลกมันที
“โทษที กูไม่ได้เอวบางร่างน้อยอย่างพี่ฟ้า” แต่มันก็จับเอวหินไว้หลวม ๆ แม่งไอ้หิน มึงนี่นะ เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เอา หินหัวเราะ บิดคันเร่งขับตามพวกไผ่ไปติด ๆ
ผมกระพริบตาปริบ ๆ มองตามเพื่อน ๆ ที่พากันบิดรถทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ
คือ...
ผมเข้าใจอยู่หรอกว่าไผ่รีบไปเพราะต้องการเอาตัวพี่ฟ้าออกห่างจากพี่หมอ ส่วนเพื่อน ๆ ก็รีบตามไปเพราะมันเป็นหัวหน้ากลุ่ม
แล้วกูล่ะไผ่!
ไอ้เพื่อนเลว มึงทิ้งกู!!
ผมหันไปมองคนตัวสูง พี่หมอละสายตาเคือง ๆ มามอง คงเดาออกว่าไผ่จงใจฉกตัวพี่ฟ้าไป ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ทำไมไผ่มันไม่สั่งให้ผมไปกับตาหรือน้ำหวานนะ ปลอดภัยกว่าไปกับพี่หมอตั้งเยอะ
“หึ ถูกทิ้งรึไง”
ใช่! เอ้ย ไม่ใช่!! ผมฉุนกึกขึ้นมาทันที
“พี่นั่นแหละที่ถูกทิ้ง ผมว่าพี่อย่าไปด้วยเลยดีกว่า อย่าพยายามจีบพี่ฟ้าด้วย จีบไปก็จีบไม่ติดหรอกเพราะพี่ฟ้าไม่ได้ชอบผู้ชายแบบพี่ อีกอย่างพี่ก็ไม่ดีพอสำหรับพี่ฟ้าด้วย”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ชอบไม่ชอบมันก็เรื่องของฟ้า ฉันเพิ่งเริ่มจีบ ยังมีเวลาอีกเยอะ”
“เสียเวลาเปล่า เพราะพี่ฟ้ามีคนที่รักอยู่แล้ว”
ผมหาทางตัดโอกาสพี่หมอต่อ
“หมายถึงแฟนเก่าที่เคยทิ้งฟ้าไปน่ะเหรอ”
ผมมองกลับอึ้ง ๆ ไม่คิดว่าพี่หมอจะรู้เรื่อง ไม่รู้ว่าพี่ฟ้าเล่าให้ฟังเอง หรือว่ารู้มาจากใคร พี่หมอยกยิ้มนิดหนึ่ง คงอ่านความคิดผมออก ผมเชิดหน้าขึ้นนิด ๆ อย่างไม่ยอมแพ้
“ใช่ ถึงเขาจะทิ้งพี่ฟ้าไป แต่พี่ฟ้าก็ยังรัก รักชนิดไม่มีทางเผื่อใจไว้ให้ใครด้วย”
พี่หมอจ้องหน้าผม ขยับเข้ามาชิดจนผมต้องขยับถอยไปด้านหลัง
“เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์” พูดจบพี่มันก็หมุนตัวไปหยิบหมวกสำรองที่รัดไว้กับตัวถังมายื่นให้ ผมรีบรับมาถือไว้ พี่หมอสวมหมวกกันน็อก ก้าวขึ้นรถ หันมามอง
“ถ้าจะไปด้วยก็รีบขึ้นมา รึอยากเดินไปเองก็ตามใจ” พี่หมอสตาร์ทเครื่อง ผมรีบเอาหมวกสวมหัวก้าวขึ้นไปนั่งซ้อนทันที พี่หมอไม่สนด้วยซ้ำว่าผมจะนั่งได้เรียบร้อยดีหรือเปล่า ออกรถทันที ผมร้องเหวอกอดเอวใหญ่แน่น
พอรถเริ่มวิ่งอยู่ตัวผมถึงได้ละมือออกข้างหนึ่งเพื่อกดล็อกสายรัดคาง ไม่รู้มันกดตรงไหน ปกติหมวกไผ่มันจะจับกดได้ง่าย ๆ เลย ผมพยายามใช้มือเดียวจับสายรัดสองเส้นกดเข้าหากัน แต่มันหารูเสียบไม่เจอจริง ๆ จนรถติดไฟแดงนั่นแหละ ผมถึงได้รีบละมือออกมาช่วยกันคลำหา แต่ยังไม่ทันเจอ ไฟก็เขียวขึ้นมาอีก ผมรีบโอบเอวใหญ่ไว้แน่นทันที รอจนถึงไฟแดงถัดไป คราวนี้นานเกือบสองนาที ผมรีบละมือมาคลำหาอีกรอบ พี่หมอคงรู้สึกว่าผมกำลังทำอะไรยุกยิกด้านหลังละมั้งถึงได้หันมามอง
เขาไม่พูดอะไร จับสายล็อกสองเส้นมากดลงรูให้ ผมกระพริบตาปริบ ๆ มอง ไม่เห็นอะไรหรอกครับ เพราะหน้ากากพี่หมอมืดตึบ พอเสร็จพี่แกก็หันกลับไปเหมือนเดิม อยากพูดขอบคุณอยู่หรอก แต่มันดูไม่มีค่าพอสำหรับผู้ชายคนนี้ยังไงพิกล
เพราะผมมัวแต่คิดอะไรเพลิน ๆ ไม่ได้ดูว่าไฟเขียวมาแล้ว รายนั้นก็ไม่ตงไม่เตือนอะไรสักคำ ไฟเขียวมาก็บิดทันที ผมรีบคว้าเอวใหญ่อีกรอบกอดแน่น
นี่พี่มันขับรถห่วย หรือเครื่องมันแรงกันแน่
ไม่เห็นรถใครเลย ไม่รู้ไปถึงไหนกันแล้วด้วย ไม่นานเราก็ออกมานอกกรุงเทพ นั่งนานเมื่อยก้นเหมือนกันครับ ไม่รู้พี่ฟ้าจะเป็นไงบ้าง นั่งมอเตอร์ไซต์ออกต่างจังหวัดครั้งแรกด้วย ไม่รู้ไผ่มันเบรกให้พี่ฟ้าได้พักบ้างหรือเปล่า พี่หมอเบรกเติมน้ำมันระหว่างทาง จูงรถไปจอดไว้แล้วเดินเข้ามินิมาร์ทไป ไม่พูดไม่จาอะไรกับผมสักคำ
หิวน้ำเหมือนกันครับ ผมรีบวิ่งตามเข้าไป ระหว่างนั้นก็ล้วงหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาพี่ฟ้า เปิดตู้แช่ เลือกหยิบชาเขียวขึ้นมาถือ ฟังเสียงรอสายไม่นานพี่ฟ้าก็กดรับ
“ถึงไหนแล้วฝน” พี่ฟ้าถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“แวะปั๊มเติมน้ำมันอยู่ พี่ล่ะเป็นไงบ้าง” ผมถามกลับด้วยความเป็นห่วงเหมือนกัน ได้ยินเสียงโวยวายจากเพื่อน ๆ ในกลุ่ม ผมยิ้ม อย่างน้อยก็รู้ว่าพี่ฟ้าอยู่กับเพื่อน ๆ ผมแล้ว
“สบายมาก ฝนอยู่ปั๊มไหน จะให้พวกเรารอไหม”
ผมเดินไปที่เคาน์เตอร์ แต่ยังไม่ทันถึงก็มีคนมาคว้าชาเขียวจากมือผมไป ผมหันไปมอง พี่หมอวางเครื่องดื่มตัวเองเคียงข้างกับชาเขียวผมบนเคาน์เตอร์
“ฝน ได้ยินหรือเปล่า อยู่แถวไหน จะให้พี่รอไหม”
พี่ฟ้าถามมาอีกรอบเพราะผมยังไม่ตอบสักที
“แถวไหนฝนไม่รู้ แต่ไม่ต้องรอหรอก ขับไปกันก่อน เจอกันที่พักเลย” ผมรีบรัวปากบอก เพราะกลัวว่าไปพบกันระหว่างทาง เดี๋ยวพี่หมอมีแผนเอาพี่ฟ้าไปนั่งซ้อนท้ายอีก
“เอางั้นเหรอ”
“อื้ม” ผมรับปาก พี่หมอยกมือห้ามไม่ให้พนักงานใส่ถุง หันมายัดชาเขียวใส่มือผมพร้อมหลอด เดินฉับ ๆ ออกจากมินิมาร์ทไป ผมรีบวิ่งตาม ใช้ไหล่หนีบโทรศัพท์กับหูหมุนเปิดน้ำเสียบหลอดดื่ม พี่หมอยืนกินอยู่หน้ามินิมาร์ทนั่นแหละ ผมยืนอยู่ข้าง ๆ ห่างกันประมาณวาครึ่ง พี่ฟ้ายื่นสายให้ไผ่คุยกับผมต่อ
“โทษทีนะที่ให้มากับมันกะทันหันแบบนั้น มึงเป็นไงบ้าง” ผมเหลือบมองพี่หมอนิดหนึ่ง
“โอเค แต่เมื่อยก้นฉิบ มึงก็ขับระวัง ๆ ไว้หน่อยนะไผ่ พี่กูไม่เคยนั่งมอไซต์ไปไหนไกล ๆ มาก่อน”
“อันนั้นไม่ต้องห่วง ไว้ใจได้”
พอน้ำหมดขวดพี่หมอก็โยนขวดทิ้งถังขยะ เดินไปที่รถ หยิบหมวกกันน็อกสวมหัว ผมตาโต
จะไปจะมาไม่มีการบอกกันเลย!
ผมรีบโยนชาเขียวทิ้งทั้งที่ยังกินไม่หมด บอกรีบลาไผ่ ยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกง วิ่งไปคว้าหมวกสวมหัว ก้าวขึ้นไปนั่งซ้อนทันที เหมือนเดิมครับ ตอนถอดแกะง่ายอยู่หรอก แต่ทำไมตอนใส่มันถึงได้ใส่ยากใส่เย็นขนาดนี้นะ ใครเป็นคนออกแบบวะ
พี่หมอหันมามอง เดาะเปิดฝาหมวกออกจนเห็นหน้าค่าตากันชัด ๆ พี่หมอรวบจับสองมือผมที่จับสายรัดแน่น ดึงแรงจนหัวผมซุนเข้าไปใกล้ หมวกกันน็อกจะชนกันอยู่รอมร่อ ผมมองตาโต
“อย่าฉลาดแต่เรื่องเอาใจผู้ชาย หัดฉลาดเรื่องอื่นซะบ้าง”
ผมอ้าปากค้าง อยากเถียงนะ แต่ไม่รู้จะเถียงว่ายังไงดี พี่หมอใช้นิ้วโป้งดันนิ้วโป้งผมไว้
“ปุ่มล็อกมันอยู่ตรงนี้ ลูบแล้วมันจะนูน ๆ ขึ้นมา คลำเจอก็กดลงรู” พี่หมอบังคับมือผมให้จับสายรัดในท่าที่ถูกต้อง พอถูกจังหวะมันก็ลงได้ง่าย ๆ ดังกึก ผมจ้องตาคนสอน พี่หมอมองกลับเหมือนกัน ก่อนเจ้าตัวจะปล่อยมือออก
ผมรู้สึกร้อนวูบไปทั่วทั้งหน้าแล้วก็มือที่ถูกกุมไว้เมื่อกี้ด้วย พี่หมอสตาร์ทเครื่อง ออกรถทันที ผมรีบคว้าเอวใหญ่ไว้กอดแน่นอย่างเคย หน้าอกผมแนบติดกับแผ่นหลังกว้าง คราวนี้รู้สึกร้อนวูบไปทั่วทั้งร่างเลย
สองข้างทางสว่างโร่เพราะแสงจากเสาไฟของทางหลวง พี่หมอขับรถวิ่งเลนซ้ายเป็นหลัก ยกเว้นต้องการแซงถึงได้ไปเลนกลาง ๆ เห็นหมาถูกรถเหยียบตายมาเป็นระยะ มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมไม่ชอบระหว่างการเดินทางแบบนี้ เห็นแล้วสงสาร บางตัวก็ถูกเหยียบจนเละ บางตัวก็เหมือนนอนหลับไปเฉย ๆ
หนทางเริ่มเข้าสู่จุดที่เป็นทุ่งโล่ง มีต้นไม้เขียวขจี บ้านคนทิ้งห่างระยะกัน ไฟจากเสาบางต้นก็ติด ๆ ดับ ๆ มีหมาน้อยตัวหนึ่งนอนตายอยู่ตรงหน้า ผมได้แต่นึกสงสารอยู่ในใจ ตัวยังเล็ก ๆ อยู่เลย ไม่รู้พลัดหลงพ่อแม่มาเดินอะไรอยู่ห่างไกลบ้านเรือนผู้คนแบบนี้
รถพี่หมอขับผ่านร่างนั้นไปในระยะล้อแทบจะเหยียบถูกมัน ผมหันกลับไปมอง
เมื่อกี้ผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่เหมือน ๆ จะเห็นมันผงกหัวขึ้นมามองเลย ผมรีบตบอกพี่หมอแรง รัวปากสั่งให้หยุด พี่หมอตบไฟเลี้ยวซ้าย ชะลอความเร็ว พารถเข้าจอดข้างทาง ผมไม่พูดอะไร รีบก้าวลงจากรถ วิ่งกลับไปยังหมาน้อยตัวนั้นทันที...
To Be Con...
เมื่อไรฝนจะสู้ ผู้แต่งช่วยอธิบายความคิดของฝนหน่อยว่าทำไมถึงไม่อยากให้ไฝ่หรือฟ้ารู้ว่าตัวเองโดนกระทำขนาดนี้ ไม่เข้าใจ
จิกหนังหัวตัวเองขึ้นมาตอบ [ง่วงฮะง่วง] : จริง ๆ ฝนอธิบายความรู้สึกไว้แล้วตั้งแต่ตอนต้น ๆ ที่ถูกพี่หมอกระทำชำเรา แต่เดี๋ยวอธิบายให้ฟังอีกที
ข้อแรกเลยฝนรู้นิสัยเพื่อนตัวเองดี แม้ไผ่จะดูดีแสนดีในสายตาทุกคนตอนนี้ แต่โดยแท้แล้วเป็นคนมุทะลุ และยอมตายเพื่อเพื่อนได้ง่าย ๆ ถ้ารู้ว่าฝนโดนทำแบบนี้ ไผ่เต้นผางเอาพี่หมอถึงตายแน่ ๆ ฝนไม่อยากให้เพื่อนกลายเป็นฆาตกรจึงไม่ยอมบอกความจริง (ฝนอธิบายด้วยตัวเองในช่วงที่โดนข่มขืนรอบสองรอบแรกน่ะ ย้อนกลับไปอ่านได้)
ข้อสอง ที่ฝนไม่ได้บอกพี่ฟ้า เพราะพี่หมอขู่เอาไว้ว่าพี่ฟ้าป่วย ถ้าบอกจะมีผลต่อสมองพี่ฟ้า ซึ่งฝนก็เชื่อ มันบวกรวมกับข้อแรกและอะไรหลาย ๆ อย่าง ไม่ใช่แค่สุขภาพฟ้าอย่างเดียว เพราะถ้าฟ้ารู้คนหนึ่ง คนในครอบครัวก็ต้องรู้ เมื่อคนในครอบครัวรู้ ไผ่ที่เป็นเพื่อนสนิทก็ต้องรู้ แล้วคนอื่นก็จะรู้ตามมาด้วย ทั้งเพื่อนในกลุ่ม เพื่อนที่โรงเรียน ลามไปถึงสังคมภายนอกอีก (มันหลายทอด ถ้าคิดกันยาว ๆ)
ข้อสาม คือคำขู่ของพี่หมอ เพราะพี่หมอมีไม้ตายคือภาพถ่าย ถ้าฝนบอกไผ่หรือพี่ฟ้า พี่หมออาจนำสิ่งนั้นไปเปิดเผยต่อสังคมเป็นการแก้เผ็ด ซึ่งฝนไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้น จึงจำต้องปิดเงียบ อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้แหละ
.....
เข้าใจกันไหมเอ่ย...ถ้าไม่เข้าใจ ไว้แรมคนเขียนอยู่ในสภาพปกติก่อน ตอนนี้แรมต่ำมาก แบตในสมองหมดมา 15 นาทีแล้ว...
Goodnight เตียงข้าอยู่ไหน