Chapter : 37 : กลืนกิน
[พี่หมอ...♡]
♡
♡
ผมมองใบหน้าบูด ๆ ที่อยู่ในจอสี่เหลี่ยมตรงหน้า ฝนในชุดนอนลายทางแบบเดียวกันทั้งเสื้อและกางเกง มันไม่ได้มีเสน่ห์เลยสักนิด ไหนจะใบหน้าบูด ๆ นั้นอีก
แต่ก็ทำให้ผมยิ้มได้…
ผมวางมือถือไว้ข้างเตียง ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจลง ถ้าเป็นฟ้า ผมจะกล้าขอให้ทำแบบนี้ไหม แล้วฟ้าจะถ่ายภาพแบบไหนมาให้ผมดู ผมพยายามจะนึกภาพฟ้า แต่ภาพที่เห็นตอนนี้กลับกลายเป็นใบหน้าบูดบึ้งของคนที่ผมเพิ่งส่งเมสเสจไปบอกฝันดีเมื่อกี้นี้มาแทน
ผมคลี่ยิ้มนิด ๆ แล้วหลับใหลไปทั้งอย่างนั้น
ผมได้รับคำสั่งให้ไปดูงานต่างประเทศสองอาทิตย์ แต่ก่อนก็ดี๊ด๊าดีอยู่หรอก เพราะจะได้ไม่ต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกับน้องนอกไส้อย่างไผ่ แต่มาครั้งนี้ผมชักอยากให้คำสั่งนั้นถูกยกเลิกขึ้นมาทันที แต่นี่เป็นคำสั่งจากอาจารย์ไพศาล ผมต้องไปหาท่านบ้าง เพราะท่านให้ความกรุณากับผมเรื่องงานมาเยอะแล้ว
นานแค่ไหนแล้ว ที่ผมไม่ได้กอดฝน...
ผมหลับตาลง ภาพของมันลอยเด่นขึ้นมา ผมลืมตา ล้วงหยิบมือถือขึ้นมาดู ใช้เวลาคิดไม่ถึงสิบวิผมก็กดโทรออกทันที
“กูไม่รู้ว่ามึงเป็นใครนะ แต่อย่ามายุ่งกับน้ำฝนอีก!!”
“ไผ่เอามือถือกูคืนมา!!”
ผมเบรกเสียงที่กำลังจะพูดไว้ ขมวดคิ้วฟังสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สายถูกตัดไปแค่นั้น ผมมองโทรศัพท์งง ๆ
เมื่อกี้นี้เสียงไผ่แน่ ๆ
ผมนิ่งคิด จากสิ่งที่ไผ่พูดเมื่อกี้ มันคงไม่รู้ว่าคนที่โทรไปเป็นผม ฝนอาจไม่ได้เมมชื่อผมไว้ หรืออาจเมมด้วยชื่ออื่น ซึ่งไผ่มันคงเห็นและกดรับเอง
ไผ่มันเกลียดผมมาก มันคงไม่เมมเบอร์ผมไว้ในเครื่องแน่ ๆ(แต่ผมมีเบอร์มัน) ผมนิ่งคิด จะโทรไปหามันอีกรอบตอนนี้เพื่อให้ไผ่รู้ความจริงไปเลย หรือว่าโทรกลับทีหลัง เพื่อให้ทุกอย่างเป็นความลับต่อไปดี
ยังไม่ทันได้ตัดสินใจอะไร ก็มีเสียงเรียกเข้าจากคนที่ผมเพิ่งโทรหาเมื่อกี้ ผมกดรับ
“มีอะไร!”
คราวนี้เป็นเสียงของน้ำฝน มันกระชากเสียงถามห้วน ๆ
“อยู่กับใคร”
“คนเดียว”
“ไผ่ล่ะ”
“กลับไปแล้ว มีอะไรก็ว่ามา”
มันรีบตัดบท
“ถ่ายรูปส่งมาให้ดูก่อน จะได้เชื่อว่าอยู่คนเดียวจริง ๆ”
“พี่หมอ!”
“ถ่ายมา”
ผมบังคับ มันตัดสายไป สักพักก็มีข้อความภาพส่งมา ผมกดเปิดดู มันอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเขียว หน้าบูดเป็นตูดลิง ผมหัวเราะหึ ๆ กดโทรกลับ รอไม่นานมันก็รับสาย
“ออกมาเจอกันหน่อย”
“ไม่ไป”
ผมถอนหายใจแรง มันจะปฏิเสธไปทำไม ในเมื่อมันไม่เคยทำได้สักครั้ง
“ถ้าไม่ออกมาเองจะไปรับที่บ้าน”
ปลายสายเงียบ
“ถ้าเงียบ จะแปลว่าให้ไปรับที่บ้าน”
“อย่ามานะ!” มันรีบห้ามเสียงดัง “จะนัดเจอที่ไหนก็ว่ามา ชาติก่อนผมคงทำเวรทำกรรมไว้กับพี่แน่ ๆ ชาตินี้ถึงต้องมาเจอกันแบบนี้”
ผมหัวเราะหึ ๆ
“หน้าโลตัสเล็กก็ได้ ถ้าไม่อยากให้คนในบ้านรู้ จะวนรถไปรับ”
ผมบอกแค่นั้น กดวางสาย คว้าของทุกอย่างเดินออกจากโรงพยาบาลไป
ไม่เกินชั่วโมงหลังจากนั้นคนที่เป็นภาพถ่ายในมือถือก็มานั่งหน้าบูดอยู่ในรถผมแล้ว
“มีธุระอะไรก็ว่ามา”
“ไม่ต้องเร่งหรอก ยังไงก็ได้ทำธุระของเราแน่ ๆ”
มันหันขวับมามอง
“ผมหมายถึงธุระจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องนั้น”
“บังเอิญธุระของฉันมีแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว”
มันจ้องผมเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ถ้ามันฆ่าผมได้ ป่านนี้มันคงทำไปแล้ว
“ผมว่าพี่เลิกทำแบบนี้ดีกว่า ไผ่มันเริ่มสงสัยแล้ว”
“ก็ดี เพราะฉันอยากให้มันรู้ความจริงอยู่แล้ว”
“แต่ผมไม่อยากให้รู้”
ผมยกยิ้ม หันไปมอง จับคางมันไว้ บังคับให้ดวงตาวาวโรจน์นั้นจ้องตรงมาที่ผม
แต่ไผ่มันรู้แล้วล่ะ...
ถึงจะไม่ทั้งหมดก็เถอะ
ผมบอกสิ่งนี้กับมันอยู่ในใจเท่านั้น ปล่อยคางมันออก หันไปจับพวงมาลัยเมื่อไฟเขียวมา
ผมขับรถมุ่งตรงไปที่คอนโด มันเริ่มกระสับกระส่าย
“พี่หมอ”
ผมจอดรถ เดินนำขึ้นห้อง มันตามมาเงียบ ๆ กระทั่งเข้ามาในห้อง
“พี่หมอ” มันเงยหน้าขึ้นมาเรียกผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ทำไมพี่ถึงเกลียดไผ่มันด้วย ทั้งที่มันก็เป็นคนดี มันไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้พี่นี่ ยังไงก็เป็นพี่น้องกัน”
“ไปถามไผ่มันสิ ไผ่น่าจะให้คำตอบได้ดีกว่าฉัน เพราะคนเริ่มก่อนคือหมอนั่น”
มันเม้มปากแน่น
“ถ้ามันพูดดีกับพี่ พี่จะคืนดีกับมันใช่ไหม”
ผมยักไหล่
“ไม่รับปาก”
“ผมขอร้องล่ะ ยังไงก็เป็นพี่น้องกันแล้ว ถึงจะคนละพ่อละแม่ก็เถอะ เห็นแก่คุณพ่อคุณแม่ก็ได้ ถ้าพี่หมอดีกับมันสักหน่อย มันอาจจะยอมอ่อนข้อให้ก็ได้”
“ฉันไม่อยากได้ยินเรื่องของไผ่ตอนนี้นะ”
ผมดึงตัวมันเข้ามาชิด
“แต่…”
“ฉันต้องเดินทางไปเยอรมันสองอาทิตย์”
ผมบอกมันตัดบท ไม่รู้เหมือนกันว่าจะบอกไปทำไม บอกไปแล้วได้อะไร มันจะสนใจไหม แต่ในชีวิตผม นอกจากพ่อแล้วก็มีมันนี่แหละ ที่ผมชักอยากให้รู้ความเป็นไปในชีวิตผมมากขึ้น
มันมองผมอึ้ง ๆ คงแปลกใจว่าจะบอกมันทำไมเหมือนกัน
ผมยกยิ้ม เกลี่ยแก้มมันเบา ๆ
“จะไม่มีคนอยู่กวนใจนายกับไผ่ไปอีกสองอาทิตย์ เพราะงั้นทำตัวให้ดี ๆ หน่อย”
พูดจบผมก็ก้มปิดปากมันทันที มันพยายามเบี่ยงหน้าหนี ละล่ำละลักพูด
“อย่าพี่หมอ ทำแบบนี้ไม่คิดรึไงว่าผลของมันจะเป็นยังไง ถ้าพี่ฟ้ารู้ พี่ก็ไม่มีสิทธิ์ในตัวพี่ฟ้า ถ้าพ่อรู้ท่านจะผิดหวังในตัวพี่แค่ไหน ไหนจะที่โรงพยาบาลอีก พี่จะถูกตราหน้าว่าเป็นโรคจ…อื้อ”
ผมปิดปากมันอีกรอบ ขยับแทรกลิ้นเข้าไปหยุดเสียงน่ารำคาญนั้น มันยังไม่หยุดพยายามเบี่ยงหน้าหนี พอ ๆ กับสองมือที่ช่วยกันผลักผมออก
ผมเคยบอกแล้วว่าถ้ามันแข็งแรงดี มันจะดิ้นรนสุดฤทธิ์ และถ้าผมยังขืนจูบมันรุนแรง มันจะยิ่งต่อต้าน
ยกเว้น..
ผมเปลี่ยนจากจูบแบบบดขยี้มาเป็นจูบผะแผ่ว ทำให้อ่อนโยนที่สุด พอ ๆ กับสองมือที่รัดมันแน่นอย่างคุกคาม แปรเปลี่ยนมาเป็นรัดเบา ๆ อย่างอ่อนโยนแทน
มันได้ผลดียิ่งกว่าอะไร
เสียงครางห้ามอึกอักในลำคอตอนแรกแปรเปลี่ยนมาเป็นเสียงครางหวาน ๆ ร่างที่ดิ้นรนอยู่ค่อย ๆ หยุดนิ่ง หนำซ้ำยังขยับทั้งปากและเรือนร่างตอบรับการเล้าโลมจากผมด้วย
ผมค่อย ๆ ถอนปากออกเมื่อมันเลิกขัดขืน แตะริมฝีปากกลับไปใหม่อย่างผะแผ่ว ทำทุกอย่างอย่างอ่อนโยนที่สุดผสมหยอกล้อนิด ๆ ดวงตามันที่จ้องกลับฉ่ำเยิ้มน่ามอง ผมไม่ให้โอกาสมันได้พูดอะไรอีก ดันตัวมันถอยหลังไปชิดขอบเตียง ก่อนผลักมันลงไปนอนบนนั้น ครอบครองกลีบปากมันไว้อีกครั้ง
เวลานี้ผมอยากให้มันคิดถึงแต่เรื่องของผมเท่านั้น
ผ่านช่วงพายุร้อนแรงไป ผมนั่งกึ่งนอนพิงหมอนไว้ ร่างกายเปลือยเปล่าโดยมีร่างของน้ำฝนนอนเกยทับอยู่ด้านบน เหงื่อไคลมันไหลย้อยเป็นทาง ลมหายใจขาดห้วง คราบอะไรต่อมิอะไรเต็มขามันไปหมด จริง ๆ ผมไม่ชอบนะ แต่สำหรับมัน ผมยอมให้คนหนึ่ง เพราะนี่เป็นสัญลักษณ์ว่าผมได้แนบชิดมันขนาดไหน พอลมหายใจกลับมาเป็นปกติ ผมเสยคางมันขึ้น จะจูบอีกรอบ แต่มันเบี่ยงหน้าหนี
“พอแล้ว”
ผมไม่ฟัง จับมันพลิกลงไปนอนหงายแทนที่ ในขณะที่ผมตะแคงข้างชิดตัวมันไว้ สอดแขนใต้คอมันแทนหมอน ล็อกให้หน้ามันอยู่นิ่ง ๆ เพื่อรับจูบจากผม
“พอ...”
มันยังไม่ยอมแพ้
“พักเบรกไปอาบน้ำกันก่อนก็ได้”
ผมลุกขึ้นช้อนอุ้มมันเดินเข้าห้องน้ำไป มันโวยวาย แต่ผมไม่คิดจะหยุด นาน ๆ ทีแช่อ่างก็ดีเหมือนกัน ผมก้าวลงอ่างพร้อมมัน หันไปเปิดน้ำ ล็อกให้มันนั่งหันหน้าไปทิศทางเดียวกัน มันดิ้นใหญ่ แต่คีมแขนผมล็อกมันไว้แน่น แงะยังไงก็แงะไม่หลุดหรอก ถึงผมจะเป็นหมอ แต่ก็เป็นหมอที่รักสุขภาพพอควร อย่างน้อยผมก็เข้าฟิตเนสที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้อาทิตย์ละไม่ต่ำกว่าสองสามครั้ง
“ปล่อย ผมจะกลับบ้านแล้ว”
“คืนนี้นอนนี่แหละ”
ผมสั่ง มันหันมามองตาขวาง
“นี่ผมถามจริง ๆ เถอะ ทำแบบนี้ไม่รู้สึกผิดบ้างรึไง อย่างน้อยพี่ก็กำลังจีบพี่ฟ้าอยู่นะ”
“ไม่นี่”
“เลว พี่มันไม่คู่ควรกับพี่ฟ้าเลยสักนิด พี่ฟ้าดีเกินไปสำหรับคนเลว ๆ แบบพี่”
มันทุบต้นแขนผมปั๊ก ๆ
เจ็บนะครับไม่ใช่ไม่เจ็บ ผมรวบจับสองข้อมือมันไว้ด้วยมือเดียว กดตัวมันแนบอกแน่น ก้มงับใบหูเบา ๆ
“แล้วฉันเหมาะกับคนแบบไหนล่ะ หรือว่าคนร่าน ๆ แบบนาย”
“ผมเกลียดพี่”
“ปากบอกเกลียด แต่ร่างกายนายมันคงหลงรักฉันเข้าให้แล้วล่ะ เพราะพอเข้าไปได้ทีไร เห็นรัดแน่นทุกที”
แก้มขาวแดงเถือกอย่างเห็นได้ชัด ผมหัวเราะหึ ๆ ลูบไล้ผิวเนื้อหน้าท้องมันภายใต้สายน้ำที่กำลังสูงท่วมขึ้นมาเรื่อย ๆ
“เกลียดก็คือเกลียด”
มันหันมายืนยันตาวาว ผมจ้องมองดวงตานั้น ยิ้มเย็น
“เขาบอกมนุษย์ไม่ชอบพูดอะไรตรงกับใจ ฉันถามเอาจากร่างกายนายง่ายกว่า”
ผมก้มงับใบหูมันอีกรอบ ลูบไล้ผิวเนื้อมันไปมา แน่นอนว่ามันต้องขัดขืนอยู่แล้ว ทั้งเบี่ยงหน้าหนี ทั้งพยายามยื้อจะลุก แต่ผมรัดแน่นจนมันลุกหนีไปไหนไม่ได้ ผมเคลื่อนมือขึ้นมาคลึงยอดอกมันเบา ๆ มันผวาเฮือกลดแรงดิ้นลง ปากก็ยังไม่หยุดเลาะเล็มซอกคอกับใบหูมัน
“คบกับไผ่มันมากี่ปีแล้ว”
ผมกระซิบถาม งับใบหูมันอีกรอบเบา ๆ
“เรื่องของผม ปล่อย!”
มันยังดิ้นไม่หยุด พยายามเบี่ยงหลบปากที่กำลังรุกรานของผม
“ตอบมาดี ๆ”
“ห้าปี”
“หึ ร่านแต่เด็ก”
“ผมหมายถึงคบกันอย่างเพื่อนมาห้าปี ไม่ได้คบกันอย่างที่พี่คิด”
คิดว่าผมจะเชื่อคำมันรึไง
“นิสัยของคนร่าน มักจะบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับแฟนเสมอ”
“ผมพูดจริง”
“แต่ฉันไม่เชื่อ”
ผมจับคางมันไว้ ล็อกให้อยู่นิ่ง ๆ แล้วก้มลงไปปิดปากแหล ๆ ของมันไว้
ฟังเสียงมันครางเพราะกว่ามันพูดเยอะ
และแล้วผมก็มาถึงเยอรมัน
“คนที่ส่งข้อความมาให้ต้องเป็นแฟนสาวแน่ ๆ ไม่งั้นคงไม่ทำให้หมอหนุ่มอย่างคุณยิ้มกริ่มได้ขนาดนี้”
เสียงทักนั้นทำเอาผมรีบเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็ว
“ก็ไม่เชิงครับ”
ผมตอบรับกึ่งปฏิเสธ
จริง ๆ ผมไม่ชอบพวกแอพวุ่นวายอย่างพวกแอพแชทต่าง ๆ แต่มาเที่ยวนี้ผมตัดสินใจสมัครไลน์ไว้ใช้ติดต่อกับใครบางคน ของผมไม่กลัวเปลืองเท่าไหร่หรอก แต่อีกฝ่ายคงไม่ส่งข้อความมีราคามาถึงผมแน่ ๆ จริง ๆ ไอ้หมอนนท์มันคะยั้นคะยอให้ผมทำไว้ตั้งนานแล้ว แต่ผมไม่ชอบ เพราะขี้เกียจมานั่งแชท อีกอย่างกลัวเสียการเสียงานด้วย
ผมสั่งให้ฝนส่งภาพมาให้ผมดูวันละภาพ วันนี้ก็เหมือนกัน มันอยู่ในชุดนักเรียนกำลังกินข้าวขาหมูในร้านแห่งหนึ่ง
ทั้งที่ไม่มีอะไร แต่ผมก็เพียรหยิบรูปนั้นขึ้นมาดูทุกครั้งที่ว่าง
“รีบแต่งงานเร็ว ๆ ก็ดี จะได้มีลูกทันใช้”
อาจารย์ไพศาลตบไหล่ผมเบา ๆ
ผมนึกหน้าฟ้า ถ้าผมแต่งงานกับเธอ ลูกเราคงน่ารักน่าดู
ก่อนภาพของใครบางคนจะฉายเข้ามาแทนที่
แล้วถ้าบังเอิญคนนั้นไม่ใช่ฟ้า แต่เป็นน้ำฝนล่ะ...
ผมรีบสลัดภาพมันทิ้งไปทันที
มันเป็นแค่เครื่องมือระบายความแค้นของผมเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
หลังจากเข้าแล็บที่โรงพยาบาลกับอาจารย์ไพศาลจนดึก ผมกลับเข้าโรงแรมอีกครั้ง โยนเอกสารทั้งหมดลงบนโต๊ะ คลี่ถอดเนกไท ถอดเสื้อผ้าออกจากตัวเดินเข้าห้องน้ำไป หลังจากนอนแช่น้ำประมาณยี่สิบนาทีผมก็ลุกขึ้นอาบน้ำล้างตัว ใส่ชุดนอนออกมาหยิบเอกสารทบทวนสิ่งที่ได้ทำไปวันนี้
ได้ยินเสียงไลน์ดังขึ้นเบา ๆ ผมเบรกสิ่งที่กำลังอ่านอยู่ลง หยิบมาเปิดดู เลิกคิ้วสูงเพราะมีภาพฝนส่งมาให้ ทั้งที่ผมขอมันไปแค่วันละภาพเท่านั้น
เป็นภาพใบหน้าบูด ๆ ของมันพร้อมคำบรรยายบนภาพที่น่าจะใช้แอพแต่งภาพทำเอา
‘ขอให้ใครก็ตามที่เห็นภาพนี้ ฝันร้าย โชคร้าย ตายเร็ว ๆ’
ผมหัวเราะหึ ๆ กับสิ่งที่มันทำ ไอ้ที่เครียด ๆ อยู่หายไปเลย
จริง ๆ ผมเป็นคนไม่ชอบถ่ายรูป แต่ผมก็ยกมือถือขึ้น กดถ่ายตัวเองไปหนึ่งแชะ ทำหน้าเรียบ ๆ สไตล์เดิมตัวเองนั่นแหละ กดส่งไป
เขียนข้อความใต้ภาพไปสั้น ๆ
‘ระวังจะโดนปีศาจร้ายตัวนี้กอดทั้งคืน’
มันแค่ส่งสติกเกอร์ตัวการ์ตูนที่ทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตามาให้เท่านั้น ผมหัวเราะหึ ๆ วางมือถือลง หยิบชีทงานมาอ่านต่อ
To be Con..
สองคนนี้เขาไม่ได้รักกัน ไม่ได้คิดอะไรต่อกันเลย พวกเขาเกลียดกันอยู่ เชื่อคนเขียนสิ คนเขียนรู้!!
มีคนถามว่า ทำไมฝนไม่บอกความจริงกับพี่หมอ คำตอบคือ บอกไปพี่หมอก็ไม่เชื่ออยู่ดี