Chapter : 44 : เปิดเผยความจริง
(น้ำฝน...♥)
ผมตื่นอีกทีตอนแสงที่พาดผ่านหน้าต่างวิ่งเป็นแนวเกือบตั้ง ไม่ต้องเป็นนายรพินทร์ในเพชรพระอุมาผมก็พอเดาได้ว่านี่มันกี่โมงแล้ว
ท้องผมพากันร้องจ็อก ๆ ผมพยุงตัวลุกนั่ง กุมหัวไว้ ตอนกินก็ดีอยู่หรอก หลังกินนี่ไม่ไหวแฮะ ผมนั่งนิ่ง ๆ พยุงตัวก้าวลงจากเตียง แค่ลุกยืน บางสิ่งที่อยู่ภายในก็ไหลลงมาอาบขา ผมอ้าปากค้าง ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอีกที ผมรีบก้มสำรวจตัวเอง ตอนนี้ผมใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นของตัวเอง
แล้วทำไม…
ภาพของพี่หมอที่เดินเข้ามาในบ้านฉายแวบเข้ามา มาพร้อมเพื่อน แล้วหลังจากนั้น จำได้เลือนรางว่าผมกับพี่มัน..
“พี่หมอ แรง ๆ” ผมอ้าปากค้าง
เมื่อคืน..
‘ฉันจะไป’
‘ไม่ต้องมา’
แปลว่าเมื่อคืนพี่หมอมาจริง ๆ แถมยังมาทำเรื่องแบบนั้นกับผมที่บ้านด้วย
ไอ้คนฉวยโอกาส! อาศัยตอนผมเมามาทำเรื่องแบบนี้ตลอด
ผมหันมองไปรอบ ๆ งวดนี้ไม่มีไผ่อยู่ด้วย และก่อนจะอะไร ผมรีบเดินเข้าไปอาบน้ำ ออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินลงไปข้างล่าง ซากต่าง ๆ ถูกเก็บหมดแล้ว พี่ฟ้านั่งอยู่หน้าทีวี พอเห็นผมเดินลงไปก็รีบกดปิดเครื่อง เข้ามาหาทันที
“ฝน รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหรือเปล่า”
“เรื่องอะไร”
ผมถามงง ๆ พี่ฟ้ามองหน้าผม
“คุณหมอกับไผ่ทะเลาะกัน”
ผมตาโต มือเท้าเย็นเฉียบ
“มะ หมายความว่ายังไง”
ผมถามกุกกัก อย่าบอกนะว่าเรื่องผม ผมยังไม่พร้อมที่จะให้ใครรู้ความจริง โดยเฉพาะพี่ฟ้า ไหนจะพ่อและแม่อีก
“พี่ก็ไม่รู้ว่าสองคนนั้นเขาทะเลาะกันเรื่องอะไร ได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากห้องฝน ยังไม่ทันที่พวกพี่จะเข้าไปดู คุณหมอก็เดินออกจากห้องฝนแล้ว มีรอยเหมือนถูกต่อยที่หน้าด้วย พี่ถามคุณหมอก็ไม่ตอบ เดินออกไปพร้อมหมอนนท์ แล้วไผ่ก็เดินลงมา หน้ามีรอยพอกัน พี่เลยรู้ว่าสองคนนี้น่าจะทะเลาะกัน ไผ่สั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าไปในห้องของฝนจนกว่าฝนจะตื่นและออกมาเอง พี่จะเข้าไปหาไผ่ยังไม่ยอมเลย พี่ถามอะไรก็ไม่ตอบเลยรอให้ฝนตื่นแล้วมาถามเองว่าเกิดอะไรขึ้นนี่แหละ”
ผมกลืนน้ำลายลงคอ พี่หมอกอดผม แล้วไผ่มันคง…
ผมยืนตัวเย็นอยู่ที่เดิม ผมไม่อยากให้ไผ่รู้ และสิ่งที่ผมกลัวก็เป็นจริง
“ฝน เกิดอะไรขึ้น เล่าให้พี่ฟังสิ”
“ผมไม่รู้...”
ผมบอกเสียงแหบ
“ผมเมา หลับไม่รู้เรื่องเลย เพิ่งตื่นขึ้นมาฟังเรื่องทั้งหมดจากพี่ฟ้านี่แหละ”
พี่ฟ้ามีสีหน้ายุ่งยาก ผมเองก็คงไม่ต่าง แต่ตอนนี้คนที่ผมเป็นห่วงสุดคือไผ่ ผมเบิกตากว้าง
“ไผ่ ไผ่อยู่ไหนพี่ฟ้า ถ้าไม่รีบห้ามไว้ล่ะก็ มันฆ่าพี่หมอแน่!!”
ผมรีบละล่ำละลักถาม
“ทำไมต้องฆ่ากันด้วย มีเรื่องอะไรร้ายแรงขนาดต้องฆ่าแกงกันเชียว”
“ไผ่ ผมต้องไปหาไผ่”
ผมรีบวิ่งขึ้นห้องเพื่อจะไปหยิบมือถือ แต่พี่ฟ้าคว้าจับข้อมือผมไว้
“ใจเย็นฝน ไม่มีใครฆ่าใครทั้งนั้น”
“ไม่ พี่ฟ้า ไผ่มันคงไม่อยู่เฉยแน่ ถ้ารู้ความจริง”
“ความจริงอะไร!”
“ผมจะไปหาเพื่อน”
ผมไม่ตอบ สลัดแขนพี่ฟ้าออก
“ฝน ไผ่ยังอยู่ที่นี่ อยู่บ้านเรา”
ผมเบรกตัวเองลงกึก หันไปมองพี่ฟ้า
“จริงเหรอ มันอยู่ไหน”
“ในสวน”
ผมหันไปทางทิศนั้น
“ผมจะไปหามัน พี่อย่าเพิ่งเข้าไปหาเราตอนนี้นะ พร้อมเมื่อไหร่ ผมจะออกมาเล่าให้ฟังเอง”
พี่ฟ้าพยักหน้า ปล่อยแขนผมออก ผมวิ่งเข้าไปในสวนอย่างเร่งรีบ ก่อนผ่อนจังหวะเป็นก้าวเดินตอนเห็นแผ่นหลังกว้าง ๆ ของมัน ไผ่นั่งกอดเข่าอยู่กับพื้นหญ้า แหงนหน้าขึ้นมองต้นลีลาวดีที่กำลังพัดพลิ้ว สายลมโกรกแรงจนผมมันปลิวนิด ๆ ไม่ต่างกับกิ่งไม้ไหวตอนนี้ ผมก้าวช้า ๆ เหยียบใบไม้แห้งดังแซกซาก มันไม่สนใจหันมามอง ผมเดินใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ ถึงเห็นว่ามันฟังเพลงจากไอพอดอยู่ ผมไปหยุดยืนอยู่ด้านหลัง เอื้อมแตะไหล่ช้า ๆ มันสะดุ้งหลุดจากภวังค์หันมามอง
“ฝน...”
มันเรียกเสียงเบา ถอดหูฟังออก กำหมัดบดกรามแน่น มุมปากมันขึ้นสีช้ำ มีรอยแตกนิด ๆ ด้วย หมัดพี่หมอหนักเอาเรื่องแฮะ ผมขยับไปทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ แตะตรงมุมปากมันเบา ๆ ดวงตามันแดงเรื่อ สั่นริกอย่างคนที่พยายามอดทนที่จะไม่ร้องไห้
“กูมันเหี้ยจริง ๆ”
มันพูดเสียงเครือ ผมละมือจากปากไปรวบหัวมันเข้ามาซบไหล่ คนที่พยายามกลั้นน้ำตาไว้สะอื้นฮักทันที
“กูขอโทษ”
ผมกอดมันแน่นขึ้น ไม่พูดอะไร
“เพราะกูคนเดียว”
ผมยังนั่งนิ่ง ลูบหลังมันปลอบใจ
“เพราะกูถึงทำให้มึงต้องเดือดร้อน”
มันพูดไปสะอื้นไป มันกอดผมแน่น จริง ๆ คนที่ควรร้องไห้เพราะเจอเหตุการณ์ร้าย ๆ มาคือผมมากกว่า แต่ทำไมผมต้องมาคอยปลอบใจมันด้วยวะ
“ห่า คนที่ต้องร้องคือกูไม่ใช่มึง มึงจะร้องไปทำไม”
มันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาหัวเราะ หรือรู้สึกดีขึ้นอย่างที่ผมอยากให้เป็น ผมลูบหลังมันเบา ๆ
“มึงรู้มากแค่ไหน”
ผมถามหยั่งเชิง มันสะอื้นแรง น้ำตาร่วงเปียกบ่า
“กูรู้ว่ามันข่มเหงมึง.. คือคนเดียวกับไอ้ปีศาจ”
ผมหลับตาลงเบา ๆ เนื้อตัวเย็นเฉียบขึ้นมาอีกระลอก ผมค่อย ๆ ดันมันให้เผชิญหน้า นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมเห็นมันร้องไห้ มันไม่เคยร้องไห้ให้กับเรื่องอะไรเลย ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม ยกเว้นเรื่องของผม มันร้องไห้ราวกับเด็กน้อย เพียงเพราะรู้สึกผิดกับเพื่อนอย่างผม
“กูไม่เป็นไรนะไผ่ อย่าโทษตัวเองอีก”
“เพราะกู”
สีหน้ามันเจ็บปวดน่าดู
“ก็เอ้อเดะ กูก็เตือนหลายครั้งแล้ว มึงไม่ฟังกูสักที เป็นไงกูเดือดร้อนเลย คราวนี้มึงจะหยุดยัง”
มันจ้องตาผมด้วยดวงตาที่รู้สึกผิดกว่าเดิม
“ให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนนะไผ่ ความแค้นไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น มึงสะใจที่ได้แกล้งพี่หมอ พี่หมอสะใจที่ได้แกล้งมึงกลับ แต่ท่ามกลางสงครามระหว่างการแกล้งกันเองของพวกมึงสองพี่น้อง คิดดูเอาละกันว่าใครบ้างที่ต้องเดือดร้อน”
ได้ทีขอเทศน์เสียหน่อย มันสะอื้นหนักกว่าเดิม
“แต่ไผ่…”
ผมลูบหลังมันเบา ๆ
“กูเป็นเพื่อนมึงนะ ต่อให้ต้องเจอเรื่องที่เลวร้ายแค่ไหน ถ้าเพื่อปกป้องมึง กูยอม”
“มันขู่อะไรมึง บอกกูมา”
มันผลักตัวออกถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมมองตามัน
“ถ้ามึงรู้ความจริง มึงจะฆ่าพี่หมอไหม”
“ใช่กูจะฆ่ามันแน่ ๆ”
“นั่นคือเหตุผลที่กูยอมเขา เพราะถ้ามึงรู้ มึงจะฆ่าหรือทำร้ายเขา กูไม่ได้ห่วงเขา แต่กูห่วงมึง กูกลัวเสียเพื่อนดี ๆ อย่างมึงไป ไม่ว่าจะไปนอนอยู่ในคุกหรืออาจพลาดพลั้งฆ่ากันตายเอง กูยังไม่อยากให้มึงเป็นฆาตกร การฆ่ากันให้ตายเป็นเรื่องง่ายนะ แต่กูไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นกับมึงแน่ ๆ”
มันจ้องตาผมเขม็ง
“กูขอโทษ”
“อื้อ กูยกโทษให้”
“มีอะไรที่มันใช้ขู่มึงอีก”
ผมกลืนน้ำลาย นึกไปถึงภาพที่พี่หมอมี แต่ถ้าผมพูดไปพี่หมอคงเอามาประจานแน่ ผมส่ายหน้าไปมา มันจ้องตาเพื่อจับผิด
“มึงอย่าโกหกกูฝน กูว่าคงไม่ใช่แค่นี้ มันถ่ายภาพแบล็กเมล์มึงหรือเปล่า”
ผมโบกหัวมันไปที ผมแอบเห็นน้ำตามันกระเด็นไปไกลด้วย(เวอร์ละ = =)
“ดูหนังมากไปหรือเปล่า เวร คิดได้เนอะ”
“มันไม่ได้ใช้ภาพอะไรวิตถารมาขู่มึงใช่ไหม”
“ไม่มี”
มันจ้องตาผมเพื่อหาค้นคำตอบที่แท้จริง ผมไม่หลบตามัน ทำตาให้ใสซื่อที่สุด
“กูจะแจ้งความจับมัน กูจะเอามันเข้าคุก”
มันบอกตาวาว
“ไผ่”
ผมเบรกมันไว้
“กูขอร้องล่ะ เห็นแก่หน้ากูบ้าง กูคือผู้เสียหาย ถ้ามีข่าว กูจะเอาหน้าไปไว้ไหน พ่อแม่กูล่ะ พี่กูล่ะ ญาติ ๆ กูล่ะ พ่อแม่มึงอีก”
มันกัดกรามทำหน้าเจ็บใจ
“กูไม่อยากเอาเรื่องใครทั้งนั้น กูจะถือว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมที่กูเคยก่อร่วมกับพี่มันมา กูอยู่เพื่อใช้กรรมกับเขา เมื่อสิ้นสุด เราก็จบ”
“แต่กู…”
“ถ้ามึงยังดื้อดึงแค้นพี่หมออีก บางทีเรื่องมันอาจไม่ได้จบที่แค่กูถูกข่มเหง”
ผมเบรกมันไว้ ดึงมันมากอดอีกรอบเบา ๆ
“กูขอร้องล่ะ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น กูเชื่อว่าพี่หมอไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายขนาดนั้น เขาทำไปเพราะความโกรธที่มึงไปกระตุ้นเขาก่อน มึงเกลียดเขา แกล้งเขา เขาก็แค่ตอกกลับ ถ้าจะโทษให้โทษตัวเอง และถ้าจะหยุดก็ให้หยุดที่ตัวเอง ต่อให้มึงจับเขาเข้าคุก ถ้ามึงยังไม่หยุดความแค้น สิ่งเลวร้ายอาจหวนกลับคืนมาอีก กูไม่รู้ว่าต่อไปใครจะเป็นผู้รับเคราะห์ อาจเป็นกู เป็นตัวมึงเอง หรืออาจเป็นพ่อกับแม่”
มันนั่งนิ่ง ผมดึงมือมันมากุม
“ให้อภัยเขาดีกว่านะ กูขอร้อง”
“มึงรักมัน”
ผมมองเพื่อนตาโต คำนั้นทำเอาหัวใจผมไหวแรงเลย ผมไม่ได้เตรียมใจรับกับคำนี้มา ไม่แม้กระทั่งจะบอกกับตัวเอง
“กูไม่ได้รักหรือเกลียดใครทั้งนั้น กูอยู่ทางสายกลาง”
“อย่ามาตลก”
ผมหัวเราะหึ ๆ
“กูไม่ได้รักเขาแล้วก็ไม่ได้เกลียดด้วย กูถือว่าเขาคือพี่ชายมึง ต่อให้มึงไม่เห็นว่าเขาเป็นพี่ แต่กูเห็นว่าเขาเป็นพี่มึง เป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทกู มันขึ้นอยู่กับมึงแล้วว่าจะมองว่าเขาเป็นพี่มึงหรือเปล่า ลดทิฐิลงมาสักหน่อย กูไม่รู้ว่าชาติที่แล้วมึงไปเหยียบตาปลาหรือแย่งหัวปลาทูกันจนแค้นมาจนถึงชาตินี้นะ”
มันโบกหัวผม หัวเราะทั้งน้ำตา
“แต่มาชาตินี้ปล่อยวางเถอะ”
ผมพูดต่อ
“ไปบวชเถอะว่ะหมาฝน เทศซะกูแทบจะนิพพาน”
มันเช็ดน้ำตามันออกลวก ๆ จับมือผมไว้ สูดลมหายใจเข้าปอดลึก
“กูไม่รับปากนะ แต่กูไม่อยากให้คนที่กูรักเดือดร้อน โดยเฉพาะมึง”
มันซบหน้ากับไหล่ผมอีกรอบ
“มันผ่านไปแล้ว ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ทำอะไรกูรุนแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้วด้วย”
มันรวบผมไปกอดแน่น
“ช่วงนั้น ที่มึงเข้าโรงบาลบ่อย ๆ เป็นเพราะมันใช่ไหม”
มันถามเสียงแหบ อยากโกหกนะ จะได้ไม่เป็นการเพิ่มความแค้นให้มัน แต่ผมก็เลือกที่จะครางรับแทน มันกอดผมแน่นขึ้น ผมตบหลังมันเบา ๆ
“มันผ่านมาแล้ว”
มันถอนตัวออกช้า ๆ มาจับมือผม รอยแผลเป็นที่เกิดจากแก้วบาดยังอยู่
“รอยนี้…”
“อ๋อ ไม่เกี่ยวกับพี่หมอหรอก อันนี้กูซุ่มซ่ามทำแก้วแตกบาดมือเอง”
“คืนนั้น ที่มึงหายไป…”
มันกลืนน้ำลาย
“เป็นคืนแรกที่มันเริ่มข่มเหงมึงใช่ไหม”
ผมมองตามัน พยักหน้ารับเบา ๆ มันบีบมือผมแน่นกัดกรามกรอด
“เป็นความผิดของกูเอง”
มันร้องไห้อีกรอบ
“กูรู้ว่าอาการมึงแย่มาก ทั้งบาดแผล ทั้งเสียเลือด เพราะกู…”
ผมตบไหล่ปลอบใจ นึกไปถึงเหตุการณ์วันนั้น วันที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนหมดสติ
“มึงไม่รู้หรอกว่ากูเลวขนาดไหน กูเคยวางยานอนหลับขนานอ่อนให้มึง แล้วแกล้งกอดมึงเพื่อให้ไอ้นั่นเห็น แล้วหลังจากนั้น…”
ผมกลืนน้ำลายลงคอ เพราะงี้สินะ พี่หมอถึงได้เข้าใจผิดใหญ่โตมโหฬารขนาดนั้น
“เพราะกู”
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
“มึงเจ็บมากไหม”
“กูจำความเจ็บไม่ได้แล้วนะไผ่ มันนานมาแล้ว นานจนกูลืม มึงก็อย่าไปนึกถึงมันเลย”
“มึงพูดถูกฝน กูด่าว่าพี่หมอเลว เพราะใช้มึงที่ไม่เกี่ยวข้องเป็นเหยื่อ แต่กูก็ลืมไปว่าเลวกว่าเพราะเอาคนที่ไม่เกี่ยวอย่างมึงมาเป็นเหยื่อเพื่อทำให้มันโกรธ กูได้แก้แค้นสมใจ โดยลืมไปว่ามึงอาจจะเดือดร้อนไปด้วย มันเข้าใจตามที่กูต้องการว่าเรามีอะไรกัน มันถึงได้ทำแบบนั้นกับมึงเพื่อแก้แค้นกูกลับบ้าง เพราะกู”
“กูว่าเปลี่ยนชื่อมึงเป็นนายเพราะกูดีไหม”
“ห่า กูจะดราม่า”
“พอยัง”
มันกัดกรามแน่น มองผมด้วยสายตาว่ายังไม่พอ ขอโทษตัวเองให้มากกว่านี้หน่อย
“กูขี้เกียจฟัง ไปทำรายงานแล้วใส่กระดูกงูมาให้กูอ่านดีกว่าป่ะมึง”
มันผลักหน้าผากผมจนหน้าผมหงายเงิบไปด้านหลัง ปาดน้ำตาอีกรอบ
“กูบอกมันว่ากูจะเอามันเข้าคุก มันก็บอกกูว่ามึงไม่มีทางยอมแน่ ๆ กูเลยมั่นใจว่ามันต้องมีอะไรที่ทำให้มันถือไพ่เหนือกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะมันมีอะไรเอาไว้แบล็คเมล์มึง ก็แปลว่า มึงต้องรู้สึกอะไรกับมัน”
ผมร้อนผ่าวไปทั่วทั้งหน้า ถูกทั้งสองข้อเลยมึง แต่เรื่องไรจะยอมรับวะ
“มึงลืมอีกข้อไปแล้วรึไง”
“อะไร”
“เขาไม่ได้แบล็คเมล์อะไรกูทั้งนั้น และกูก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่หมอด้วย แต่กูหน้าบาง กูไม่อยากถูกสังคมตราหน้าว่าถูกผู้ชายด้วยกันข่มขืนหรอกนะ กูห่วงพ่อห่วงแม่ พี่สาว ญาติ ๆ กูอีก พี่หมอรู้ถึงข้อนี้แหละถึงได้มั่นอกมั่นใจว่ากูไม่เอาเรื่องแน่ ๆ”
มันจ้องตาผมเขม็ง
“จริง ๆ มันก็พูดเหมือนกัน แต่กูคิดว่ามันไม่มีน้ำหนักมากพอ”
ผมถอนหายใจแรง
“สำหรับมึงอาจไม่ แต่สำหรับกูไม่ใช่ อีกอย่างนะไผ่ พี่สาวกูป่วย จิตใจเขาไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนมึง แค่ความรู้สึกของพี่สาว ต่อให้โดนอีกกี่สิบพี่หมอข่มขืน แต่ถ้ามันทำให้พี่กูไม่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้าย กูก็ยอม”
“กูขอโทษ”
“พอล่ะ กูอิ่มคำขอโทษมึงฉิบหาย มึงป้อนมาม่าให้กูแดกจนเต็มกระเพาะอิ่มไปยันชาติหน้า”
มันหัวเราะหึ ๆ รวมผมเข้าไปกอดอีก
“มึงพูดคำว่าขอโทษอีกคำกูถีบ”
ผมรีบเบรกมันไว้ก่อน
“ขอบคุณนะ”
แต่สิ่งที่มันพูด ทำเอาผมกระพริบตาปริบ ๆ เลย
“มึงคือเพื่อนที่แสนดีที่สุดที่กูเคยเจอในชีวิต”
“นั่นเพราะมึงมันวาสนาน้อย เพื่อนเลยไม่อยากคบ”
มันกอดผมแน่นจนผมร้องแอร๊ก
“จำไว้เลยนะฝน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กูจะรักและปกป้องมึงจนมึงตาย แล้วจะตายแทนมึงด้วยคอยดู”
ผมโบกหัวมันไปที
“น้ำเน่าล่ะมึง ดูหนังจีนมากไปป่ะ”
“กูพูดจริง”
ผมมองตามัน
“งั้นกูจะรับความหวังดีนั้นไว้”
มันจับมือผมไว้ จ้องลึกเข้ามาในดวงตา
“กูขอ..”
ผมจะง้างเท้าใส่มัน มันยิ้มนิด ๆ เหล่มองเท้าผม
“ขอ…” ผมง้างสูงขึ้นอีก
“ขอหอมแก้มมึงสักฟอด มึงโคตรเป็นเพื่อนที่น่ารักของกูเลย”
แล้วมันก็หอมแก้มลงมาฟอดใหญ่
“แหยะแหยงไอ้เชี่ยไผ่ ปล่อยกูว์วววว”
พอมันมีสติก็กลับมาเป็นไอ้ไผ่ของผมคนเดิม
“อยู่ค้างกับกูก่อนไหม กูยังไม่อยากให้มึงกลับบ้านตอนนี้ กูกลัวมึงเห็นหน้าพี่หมอแล้วทนไม่ไหว หยิบมีดมาเสียบพุงกันเองแล้วไม่มีใครรู้เห็น”
มันโบกหัวผมรอบหนึ่งเบา ๆ
ทำไมชอบโบกหัวกูจัง(ได้ข่าวว่ามึงก็ชอบทำ = =)
“กูไม่ทำหรอก กูบอกแล้วไงว่าจะไม่ทำให้มึงเดือดร้อนอีก”
“สัญญาแล้วนะ”
“อื้ม”
ผมยิ้ม แต่ผมก็ยังยืนยันไม่ให้มันกลับบ้านอยู่ดี ผมเป็นห่วงมันครับไอ้นี่ยิ่งรักแรงหวงแรง ฆ่าได้หยามไม่ได้ จนในที่สุด มันก็ยอมทำตามคำขอร้องของผมนอนด้วยกันอีกคืน
พี่ฟ้าพยายามถามเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเราก็บอกว่าไม่มีอะไร แค่พี่น้องทะเลาะกันธรรมดา พี่ฟ้าดูจะกังขาไม่น้อย แต่ถามกี่รอบ ๆ พวกผมก็ยืนยันว่าพี่น้องทะเลาะกันจริง ๆ(เรื่องธรรมดามากสำหรับผู้ชาย) พี่ฟ้าเลยยอมแพ้ไม่ถามต่อ
เราสองคนนอนกอดกันบนเตียง อย่าคิดลึกครับ กอดกันในฐานะเพื่อนเฉย ๆ สำหรับผมมีมันอยู่ ผมรู้สึกอบอุ่น ส่วนมันก็อยากทำหน้าที่ปกป้องในสิ่งที่มันเคยทำผิดพลาดมาแล้ว มันลูบหัวผมเบา ๆ
“มันเรียกมึงออกไปบ่อยแค่ไหน”
ผมนิ่งไปกับคำถามนั้น
“ลำบากใจก็ไม่ต้องตอบก็ได้ กูขอโทษถ้าทำให้มึงรู้สึกไม่ดี”
มันกระชับกอดผมแน่นขึ้น ผมส่ายหัวไปมา
“ไม่บ่อยหรอก ส่วนมากจะหลังจากมึงปีนเกลียวพี่มันหนัก ๆ มากกว่า มีเรื่องกับมึงทีไรมาลงกับกูทุกที”
มันกระชับกอดผมแน่นขึ้น
“ขอโทษ/ขอโทษ”
ผมพูดพร้อมมันอย่างรู้ทัน
“กูเบื่อนะ ใช้คำอื่นบ้าง อย่างซอรี่อะไรอย่างเนี่ย หรือเปลี่ยนเป็นบ้านพร้อมที่ดินเป็นค่าทำขวัญกูก็ได้”
มันหัวเราะหึ ๆ เกยคางไว้กับหัวผม กดเบา ๆ จนผมต้องย่นหัวลงไปตามแรงกดนั้น ผมโหม่งคางมัน จนหน้ามันแหงน มันหัวเราะ กดลงมาในตำแหน่งเดิม
ผมนอนนิ่ง ดมกลิ่มหน้าอกมัน ความใกล้ชิดติดเนื้อติดหนังระดับนี้ ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นหรือซู่ซ่าอะไรเลย มันไม่เหมือนกับตอนอยู่กับพี่หมอ แค่รู้ว่าอยู่ใกล้ ๆ คนนั้นแม้จะแค่ไม่กี่เมตร ก็ทำให้ผมตื่นเต้นแล้ว ยิ่งได้ใกล้ชิดสัมผัสผิวเนื้อกัน ผมยิ่งรู้สึกร้อนเหมือนร่างกายจะละลายให้ได้ หัวใจก็เต้นแรงอีกต่างหาก
“กูไม่รู้ว่ากูจะเข้าหน้ามันติดไหม แต่กูจะพยายาม”
“แค่นั้นก็พอ”
“แน่ใจนะว่ามึงไม่รู้สึกอะไรกับเขา”
มันขยับหัวออกให้เห็นหน้าผมชัด ๆ เพื่อถาม ผมส่ายหน้าไปมา
“ไม่หรอก”
“มึงจะรักใครก็ได้ แต่ขอร้องล่ะ อย่ารักมันเลย”
“ทำไม”
ผมจ้องตาถาม
“เพราะมันเคยทำแบบนั้นกับมึงมาก่อน”
ผมพยักหน้าเข้าใจ แต่ไม่ได้รับปากอะไรมันไป มันลูบหัวผมแผ่วเบา
อย่าว่าแต่มึงจะห้ามกูเลยไผ่ แม้แต่กูเองยังพยายามห้ามใจตัวเองเลย…
To Be Con...
ห้ามอะไรก็ห้ามได้ แต่การหักห้ามใจไม่ให้รักหรือรักใครสักคน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย