Chapter : 52 : 'คิดถึง' คำเดียว สั้น ๆ
[น้ำฝน...♥]
ผมนั่งหน้าร้อนผ่าว จิตใจเป็นของผม ทุกส่วนในร่างกายเป็นของผม ยกเว้นมือผมเองที่อยู่บนกระปุกเกียร์นั้น เพราะตอนนี้มันถูกขุมขังไว้ด้วยมือของใครบางคน ใจหนึ่งผมก็อยากให้ไผ่ลุกขึ้นมาเห็นแล้วโวยวายหยุดสิ่งนี้ลง แต่อีกใจก็อยากให้เวลานี้มียาวนานขึ้น
ผมสะดุ้งรีบชักมือกลับพอ ๆ กับสองคนที่นอนด้านหลังสะดุ้งตื่นเพราะเสียงมือถือผมที่แผดจ้าขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงจังหวะแจ๊สเบา ๆ ผมรีบตาหลีตาเหลือกควานหามากดรับแนบหู
“ถึงไหนกันแล้วลูก”
“แถว ๆ…ครับ”
“พ่ออยู่ปั๊มปตท แวะจอดแล้วเจอกันได้ หรือจะเลยไปก่อนก็ได้ แม่เขาเข้าห้องน้ำ เพื่อน ๆ ลูกก็อยู่นี่กันหมด”
“อ๋อ ครับ” ผมรับปาก วางสายหันไปทางคนขับ “แวะปั๊มหน้านะพี่ พ่อกับเพื่อน ๆ ผมจอดเข้าห้องน้ำ” ผมพูดกับพี่หมอ ก่อนหันไปทางไผ่ที่ยังงัวเงียอยู่ด้านหลัง “เข้าห้องน้ำไหมมึง”
“เข้า”
แต่คนตอบเป็นพี่หมอนนท์ครับ
“พี่ปวดฉี่”
ผมหัวเราะ
“เห็นหลับคิดว่าไม่รู้สึกอะไร”
ผมแซว พี่หมอนนท์หัวเราะ ไม่นานก็เห็นป้ายปั๊มปตท พี่หมอหมุนพวงมาลัยพารถเข้าไปจอดใกล้ ๆ รถของพ่อ พี่หมอนนท์รีบลงรถเดินเข้าห้องน้ำนำไปก่อน สงสัยจะปวดจัด ผมไผ่แล้วก็พี่หมอเดินตามไปทีหลัง แล้วออกไปหาพ่อ พ่อถือแก้วกาแฟของอเมซอนไว้ในมือ เพื่อนผมก็ถือกันคนละแก้ว
“ดื่มอะไรกันก่อนสิคุณหมอ”
พ่อพยักหน้าไปทางกาแฟร้านนั้น พี่หมอรับปาก เดินนำเข้าไปก่อน ผมตามเข้าไปติด ๆ เพราะอยากกินอะไรเย็น ๆ อร่อย ๆ เหมือนกัน ตามติดด้วยไผ่และพี่หมอนนท์ พวกเราสี่คนสั่งเหมือนกันเลยครับ เอสเปรสโซ่เย็นคนละแก้ว ไผ่มันจะหยิบเงินจ่าย แต่พี่หมอกั้นมือไว้
“เป็นหน้าที่ของพี่ชาย”
ไผ่เบ้ปาก
“บังเอิญกูไม่มีพี่ชาย”
ตั้งแต่มันจับได้ว่าพี่หมอคือปีศาจที่มาข่มเหงผม มันก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกพี่หมอใหม่แบบนี้มาตลอด ยกเว้นอยู่ต่อหน้าพ่อแม่
“ขอบใจเพื่อน งั้นจ่ายให้ฉันด้วย”
แต่พี่หมอนนท์น้อมรับทันที ไผ่กำลังจะอ้าปากด่า แต่พี่หมอนนท์เอามือจุ๊ปาก ชี้ไปทางลูกค้าคนอื่น ๆ รอบร้าน มันหุบปากลง พี่หมอเลยจ่ายเองคนเดียวหมดทั้งสี่แก้ว
แหมลาภปากผมจริง ๆ
เรายืนรอให้พนักงานทำ ไผ่เท้าแขนไว้บนไหล่ผมแบบที่มันชอบทำประจำ
“กูหนักไหม ตัวก็ใช่จะเบา ๆ”
ผมบ่นไปตามเรื่อง
“โทษที กูคิดว่าเป็นที่พักแขน”
“ห่า”
ผมถองมันไปที มันหัวเราะ พี่หมอกับพี่หมอนนท์ยืนอยู่อีกด้านคุยอะไรกันสองคน
“เอสเปรสโซ่เย็นสี่แก้วได้แล้วค่ะ”
พนักงานบอก ผมรีบเดินเข้าไปรับเพราะอยู่ใกล้สุด เอามาแจกให้สามหน่อด้านหลัง ผมบอกขอบคุณพนักงาน พากันเดินออกไปสมทบพ่อแม่
“งั้นพ่อไปก่อนนะ”
แล้วพ่อผมก็เดินขึ้นรถไปก่อน ขับนำขบวน ไม่ต่างกับพวกเพื่อน ๆ ผม พวกเรารีบขึ้นกันบ้าง คราวนี้ขับตามกันไม่ห่างแบบตอนแรกแล้ว
“อนาคตอยากเป็นอะไร”
พี่หมอนนท์ถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผมหันไปมองว่าพี่หมอนนท์ถามใคร แต่น่าจะถามไผ่ครับ เพราะมองไปทางไผ่
“ทุกอาชีพยกเว้นหมอ”
“ทำไมล่ะ”
“แต่ก่อนเคยชอบ แต่ตอนนี้โคตรเกลียด โดยเฉพาะคนเป็นหมอ”
คราวนี้มันหันไปมองคนถามเต็ม ๆ ผมหน้าจืด พี่หมอนนท์เฉยสนิท พยักหน้ารับครางอื้อเข้าใจ
“แล้วฝนล่ะ เลือกได้รึยังว่าจะเข้ามหา’ลัยไหนคณะอะไร ชอบอะไร”
“ไม่รู้เลยพี่หมอนนท์ แต่ว่าน่าจะบริหารแบบพ่อ ว่าแต่เห็นพี่หมอบอกว่าถ้าไม่เป็นหมอก็ไปเป็นนักสืบ ทำไมเลือกเป็นหมอล่ะ” ผมถามอย่างอยากรู้
“แม่พี่เป็นหมอ พ่อเป็นตำรวจนักสืบ พี่เลยต้องเลือกเอาว่าจะเรียนอะไร สุดท้ายก็เลือกหมอตามแม่ เพราะแม่กลัวจะตายเร็ว
“ใกล้แล้วล่ะ”
ไผ่มันขมุบขมิบ พี่หมอนนท์หัวเราะอารมณ์ดี
เอ่อ… พวกพี่เป็นโรคจิตเหมือนกันใช่ไหม โดนด่าแล้วมีความสุขเนี่ย = = ;
ผมเหลือบมองพี่หมอ เข้าใจเลยว่าทำไมเป็นเพื่อนกันได้
“มองอะไร”
แน่ะ ตาไวอีกต่างหาก
“เปล๊า มองป้ายข้างทางต่างหาก”
พี่หมอยิ้ม
“ถ้าอยากมองไม่ต้องแอบมองหรอก มองตรง ๆ ก็ได้ หรือไปถึงที่หมาย จะนั่งเฉย ๆ ให้มองเลย”
“อย่าป้อ”
ไผ่มันขัด ผมที่นั่งหน้าร้อนอยู่เงิบเลย ผมหันไปมองหน้ารถดี ๆ อีกที
นั่งไปสักพัก ชักหิว เมื่อกี้นี้พี่ฟ้าแอบยื่นขนมมาให้ ผมหยิบมาฉีกออก ยื่นไปให้สองคนด้านหลัง
“ขนม”
ไผ่รีบจกกินเหมือนห่าตามประสา พี่หมอนนท์เอาบ้าง แต่ถูกไผ่ปัดมือออก
“ไผ่”
ผมปราม มันทำหน้าหงุดหงิด พี่หมอนนท์หยิบกินเหมือนเดิม ผมยื่นไปให้พี่หมอบ้าง คนตัวสูงหันมามอง แต่ไม่หยิบกิน
“มือไม่ว่าง”
“ขับรถมือเดียวก็ได้”
“เดี๋ยวรถคว่ำ”
ผมมองเคือง ๆ
“งั้นก็อย่าแดก” ไผ่มันขัด “เอามานี่กูจะกิน” ไผ่มันยื่นมือขอ
“ป้อนหน่อยสิ”
พี่หมอไม่สนใจกิริยาของไผ่หันมาร้องขออีกที ผมทำอะไรแทบไม่ถูก ก่อนยื่นไปให้ไผ่หยิบ แล้วหยิบบ้างมาป้อนพี่หมอ
“ป้อนมันทำไม มีมือให้มันกินเองดิ”
“เอาน่า พี่เขาขับรถอยู่”
ผมปราม มันนั่งฟึดฟัด ผมเลยหยิบมาชิ้นหนึ่ง หันไปยื่นให้มัน
“อะ อ้าปาก”
มันรีบอ้าปากมางับเอา
“เก่งจังเลย มา มาให้ลูบคางหน่อย”
มันก็รับมุกยื่นคางมาให้ลูบ อยู่ ๆ รถก็เป๋ไปนิดหนึ่ง ทุกคนร้องเหวอ ก่อนรถจะกลับมาวิ่งตรง ๆ เหมือนเดิม
“เกิดอะไรขึ้น”
ผมหันไปถามคนขับ
“ไม่มีอะไร แค่ส้นเท้ากระตุก”
นี่พูดจริงหรือกวนบาทากันแน่ ผมหันไปมองด้านหลัง แรงเหวี่ยงเมื่อกี้ทำเอาสองคนด้านหลังหัวชนกันดังโป๊กเลย
“ขับไม่ได้เรื่อง!!”
ไผ่มันกุมหัวตรงจุดที่โขกกับพี่หมอนนท์ พี่หมอนนท์เองก็กุมหัวตัวเองอยู่ป้อย ๆ เหมือนกัน คงเจ็บกันน่าดู พี่หมอไม่ตอบอะไร ฮัมปากตามเพลงที่เปิดไว้เบา ๆ
ผมว่าเมื่อกี้พี่หมอต้องจงใจแน่ ๆ
“เจ็บมากไหมมึง” ผมถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง มันไม่ตอบ ยิงแสงเลเซอร์ใส่คนขับไม่หยุด ผมยื่นขนมไปให้มันทั้งห่อ “อะ กินเองนะ”
ตัดปัญหาครับ กลัวพี่หมอจะเป๋พารถเข้าข้างทางไปเยี่ยมยมบาล
ไม่นานรถก็ขับมาถึง ผมมาหายายผมทุกปี แต่ปีนี้แปลกไป เพราะพื้นที่ถัดจากบ้านถูกสร้างเป็นรีสอร์ทขึ้นมา ผมตาวาวเลย เพราะมันสวยมากจริง ๆ พวกเพื่อน ๆ ผมพากันออกมายืนชื่นชม กดถ่ายรูปกันยกใหญ่ สมกับเป็นแหล่งท่องเที่ยวกลมกลืนกับธรรมชาติดี
พ่อกับแม่ยืนอยู่กับยายข้าง ๆ รถ พวกท่านคงออกมารอก่อนหน้าที่รถเราจะมาถึง รถคันที่ผมนั่งวิ่งมาถึงคันสุดท้าย ผมรีบลงจากรถวิ่งเข้าไปยกมือไหว้ กอดยายแน่นผลัดไปที่ตา
“คิดถึง”
“กรุงเทพใกล้แค่นี้ ไม่เทศกาลไม่มีทางมาเยี่ยมกันหรอก”
แน่ะมีบ่น ผมหัวเราะหึ ๆ
“หลานตาโตเป็นหนุ่มหล่อเชียว ไหนพาแฟนมาด้วยไหม”
ตาแซวมองไปด้านหลัง ซึ่งมีพี่หมอ พี่หมอนนท์แล้วก็ไผ่ตามมาติด ๆ ยกมือไหว้ผู้ใหญ่กันตามมารยาท ผมยิ้มแฮะ ๆ
“หล่อเลือกได้ เลือกเยอะไปหน่อยเลยยังไม่มีเป็นตัวเป็นตน” ผมตอบกลับ “แล้วป้าล่ะ” ผมถามหาผู้อาวุโสผู้มีศักดิ์เป็นพี่สาวแม่ผม
“อยู่ที่รีสอร์ท เดี๋ยวคงมา มะเข้าบ้านกันก่อนเร็ว แดดร้อน เตรียมห้องหับไว้ให้แล้ว” ตารีบเรียก พี่หมอกับพี่หมอนนท์เดินกลับไปที่รถเพื่อเอากระเป๋า ส่วนผมกับไผ่ไปแบกของของตัวเองและครอบครัว ช่วงนี้ชุลมุนนิดหนึ่งครับ เพราะหลายคน
เราทั้งหมดจะพักกันอยู่ที่บ้านยายนั่นแหละ เรือนชั้นเดียวแต่กว้าง มีหลายห้อง โล่งโปร่งสบาย มีเรือนรับรองเล็ก ๆ หลังบ้านยายอีกหลัง ซึ่งถ้ามากันน้อย เราจะพักกันที่นั่น
“คุณหมอแซมกับคุณหมอนนท์ไปพักที่บ้านรับรองด้านหลังดีกว่าครับ สะดวกสะบายกว่า ให้เด็ก ๆ นอนพื้นก็ได้” พ่อแนะ ผมว่าก็ดีแล้ว เพราะไม่งั้นไผ่มันคงกัดกับพี่หมอตายแน่ ๆ
“ที่ทางคับแคบหน่อยนะ ว่าแต่ใครล่ะนี่ หล่อจังไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน” ยายมองมาทางพี่หมอกับพี่หมอนนท์
“อ้อ” พ่อผมพูดเหมือนนึกขึ้นได้ “คนนี้คือหมอแซม เป็นหมอรักษาฟ้าเขาน่ะ ส่วนนั่นเพื่อนเขาชื่อหมอนนท์ ตอนฝนเข้าโรงบาลหนักพักหนึ่งก็ได้สองคนนี้แหละช่วย”
พี่หมอกับพี่หมอนนท์ยกมือไหว้อีกรอบอย่างเป็นทางการ
“เหรอ ขอบคุณนะพ่อหนุ่ม แหม หล่อกันจริงจัง”
ชิ ไม่ต้องไปชมหรอกยาย เพราะพี่หมอนั่นแหละ ผมถึงได้เข้าโรงพยาบาล แล้วยายก็ซักไซ้อย่างอยากรู้อยากเห็น คนในครอบครัวเราไม่มีใครเป็นหมอเลย ตายายเลยแอบตื่นเต้นนิด ๆ
“เอ้าฝน ดูแลแขกหน่อยลูก พาพี่หมอไปบ้านพักก่อน จะได้มากินข้าวเที่ยงกัน”
“ครับ”
ผมรับปาก ลุกขึ้นยืน ไผ่ตามประกบทันที พี่ฟ้ามองด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่ไผ่รู้ความจริงเรื่องพี่หมอกับผม ไผ่มันดูจะติดผมแจจนไม่มีเวลาไปสานต่อความสัมพันธ์กับพี่ฟ้าเลย ผมก็ห่วง ๆ พยายามกระตุ้นให้มันรุกจีบพี่ฟ้าต่อ แต่ตอนนี้มันไม่มีอารมณ์จีบพี่ฟ้าหรอกครับ มันห่วงผมยิ่งกว่าห่วงตัวเองเสียอีก
พี่หมอกับพี่หมอนนท์แบกเป้คนละใบเดินตามมา ไผ่มันกอดคอผมไว้ บ้านพักอยู่ไม่ห่างหรอกครับ แค่ห้าสิบเมตรเท่านั้น แต่ก็มีความเป็นส่วนตัวร่มรื่น ตอนไม่มีใครอยู่ป้าปล่อยให้แขกมาพักบ้างบางครั้งบางคราว เพราะเหตุนี้แหละ ป้าเลยทำรีสอร์ทจริง ๆ จัง ๆ ซะเลย
ตัวบ้านน่ารักดีครับ ไทยกึ่งโมเดิร์น ทำจากไม้ล้อมกระจก มีม่านกั้นแสง มีระเบียงยื่นยาวไปชมวิวต้นไม้หน้าบ้าน มีโต๊ะเก้าอี้ไว้นั่งจิบชา ลมโกรกเย็นสบาย ต้นไม้โอบล้อม ยายชอบปลูกต้นไม้ บ้านถึงได้ร่มรื่นขนาดนี้
“ตามสะบายนะครับ เรียบร้อยแล้วตามไปทานข้าวได้เลย”
พอเปิดห้องให้ดูสภาพภายในเสร็จผมกับไผ่ก็เตรียมจะเดินออก แต่พี่หมอยึดเอวผมไว้จากทางด้านหลัง ไผ่จะหันมาดึงตัวผมกลับ
ช้าไปแล้วมึง...
พี่หมอนนท์เร็วกว่าชาร์จมันด้วยการจับมือมันไพล่หลังผลักให้เดินออกจากห้องไป
“เฮ้ยมึง ปล่อยกู!”
“เงียบน่า พาชมรอบ ๆ บ้านหน่อย”
แล้วเสียงของสองคนนั้นก็เงียบหายไป ผมหันกลับมาดิ้นด๊อกแด๊กให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนแกร่งของคนด้านหลัง
“ปล่อยพี่หมอ ทำอะไรประเจิดประเจ้อ”
“คิดถึง”
คำนั้นทำเอาผมอ้าปากพะงาบ ๆ
“บะ บ้ารึเปล่า นั่งรถมาด้วยกันตลอดทาง พะ พูดไรบ้า ๆ”
ผมพยายามดิ้นรน แต่พี่หมอไม่ปล่อย ก้มหอมแก้มผมรัว ๆ สองฟอด
“ปล่อย”
ผมรีบเบี่ยงหน้าหนี พี่หมอหยุดหอมแรง ๆ เปลี่ยนมาเป็นก้มไซ้อย่างอ่อนโยนแทน
คะ คือ..อะ..เอิ่ม..ดิ้นไงวะ
ผมเผลอหยุดการดิ้นรนลง เผลอหลับตา เผลอเอียงหน้ารับปากที่กดหนักขึ้นไล้ไปตามแนวคาง เผลอจับแขนพี่หมอไว้ พอเขาเลื่อนปากลงไปถึงลำคอ ผมก็เผลอครางออกมาเบา ๆ
ทั้งหมดทั้งมวล ผมเผลอจริง ๆ ครับ TT
“บนรถทำแบบนี้ไม่ได้เพราะคนอื่นอยู่ อยากทำแบบนี้แทบตายรู้ไหม”
มะ มึงเป็นอะไรกับกู ถึงได้มาพูดอะไรแบบนี้
อะ ไอ้ อื้อ..ต้องด่าว่าไงนะ
“พี่หมอ…”
พี่หมอจับผมพลิกหันไปเผชิญหน้า กดจูบลงมา ไร้การขัดขืนจากผมโดยสิ้นเชิง ถ้าพี่หมอนนท์เก่งในเรื่องการจับผู้ต้องหาด้วยพละกำลัง พี่หมอก็คงเก่งในการจับผู้ต้องหาโดยการกุมจุดอ่อนไว้
นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้จูบพี่หมอ...
นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้สัมผัสกันแบบล้ำลึกแบบนี้...
นานจนผมรู้สึกโหยหา...
นานจนผมไม่อยากให้รสจูบนี้หยุดลง
แต่มันก็หยุด
พี่หมอเกลี่ยปากไว้บนริมฝีปากผมแผ่วเบา
“ป่ะ ไปกินข้าวกัน”
ผมเดินมึน ๆ ตามพี่หมอออกมา ตอนนี้เหมือนโดนน็อก ทำอะไรไม่ถูกแล้ว
พี่หมอจูบผมทำไม..
จูบในฐานะอะไร…
แค่ต้องการแก้แค้นไผ่…
แค่ต้องการแกล้งผม…
หรืออยากจูบผมจริง ๆ
แล้วคำว่าคิดถึงของพี่หมอ มันออกมาจากใจจริง หรือว่าแกล้งพูดเพื่อให้ผมหัวใจเต้นแรงกันแน่
พอออกไป ก็เห็นพี่หมอนนท์ยืนพาดไหล่ไผ่อยู่ในกลุ่มเพื่อนผมแล้ว ไผ่หน้าบูดเป็นตูดลิง ผิดกับพี่หมอนนท์ที่หน้าบานเป็นจานดาวเทียม
ไผ่มันยอมได้ไงวะ
ป้าผมมาแล้วครับ ผมรีบเดินไปทักทายท่าน แนะนำพี่หมอให้ท่านรู้จัก ก่อนป้าผมจะเข้าไปช่วยแม่กับพี่ฟ้าทำอาหารมาให้พวกผมทาน ผมต้องทำหน้าที่รับแขกบ้านแขกเรือนทั้งที่ก็เป็นแขกเหมือนกัน
คืนนี้ผมจะนอนร่วมกับเพื่อน ๆ ผู้ชาย ส่วนผู้หญิงได้หนึ่งห้องแยกต่างหาก พ่อแม่พี่ฟ้านอนห้องเดียวกัน ส่วนป้ากับลูกป้ามีห้องส่วนตัวของตัวเองอยู่แล้ว
พี่หมอกับพี่หมอนนท์เข้ากันได้กับเพื่อนในกลุ่มผมเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพี่หมอนนท์ที่จะคุยสนุกกว่าพี่หมอที่จะออกแนวนิ่ง ๆ เรียบ ๆ เฉียบ ๆ แต่เพื่อนผมหาได้แคร์ไม่หาทางตีชี้กับพี่มันได้ตลอด เรามากันอาทิตย์หนึ่งครับ มา 11 กลับ 17 จะได้ไม่ไปแย่งถนนกับคนอื่น
To be Con...
สวัสดีปีลิงจักจัก
ขอให้แฟน ๆ พี่หมอน้ำฝนทุกคนมีความสุข คิดสิ่งไหนก็ขอให้สมปรารถนา ร่ำรวยเงินทองพร้อมความสุขอันมหาศาล ปัง ปัง ปังในทุกเรื่องนะคะ
#พี่หมอน้ำฝน #ทาสแค้น