CHAPTER : 54 :
ทดสอบ
[น้ำฝน...♥]
up 100%
หลังจากหนำใจจาก A Cup of Love พวกเราก็นั่งรถมาต่อกันที่ผาเก็บตะวันเพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกกัน ไปถึงก็เหมือนเดิมครับ พวกเราพากันวิ่งร่อนเพื่อถ่ายรูป จนหนำใจถึงได้พากันวิ่งไปซื้อเม็ดมะค่ากับลูกลานเพื่อมาปลูกป่ากัน ที่นี่เขาให้ยืมหนังสติ๊กครับ ยิงแบบโบราณ หรือจะไปเอาอันที่เขาปักเรียงกันไว้เป็นทางบนรั้วกั้นผาก็ได้ พวกผมรีบถ่ายรูปคู่กับหนังสติ๊ก ก่อนยืนเรียงกันเป็นแถว ถ่ายฉากที่เราทุกคนยืนยิงพร้อมกัน
สนุกดีครับ เราซื้อกันมาเยอะมาก กะว่ายิงกันให้สะใจไปเลย ผมได้มาห้าถุง หยิบลูกใส่หนังสติ๊ก ดีดมันไปไกล ดูไม่ออกเลยว่าลูกใครจะโด่งไปไกลกว่ากัน
ทริปนี้จะสนุกกว่านี้ ถ้าไม่มีคนมาทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นไข้อย่างพี่หมอ เขาไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อหรอก มาแบบนิ่ม ๆ แต่ก็ทำเอาผมแทบหลอมละลายลงกับพื้น
สองคนนั้นก็เอาบ้างเหมือนกันครับ
“เฮ้ย ๆ พี่หมอจะยิงเว้ย”
ตันมันทักให้ทุกคนหันไปมองสองคนที่กำลังจะยิงหนังสติ๊กบ้าง มันรีบยกมือถือขึ้นเตรียมถ่าย ผมว่ามันดูน่ารักปนตลกดี พี่หมอกับพี่หมอนนท์ที่แต่งตัวโคตรหล่อถือหนังสติ๊กที่ทำจากไม้รูปร่างแคระแกรนคนละอัน ดีดผึง ลูกลานลอยละล่องไปไกลลิบ
แน่นอน เพื่อนผมจะจบพิธีนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีการโดดถ่าย เมื่อยฉิบหาย แต่ก็ต้องตามน้ำ โดดกันจนน่องโป่ง เราก็ได้ภาพโดดกลางอากาศแบล็กกราวน์หลังคือท้องฟ้าและขุนเขาแสนกว้าง
มันสวยมากจริง ๆ แล้วพวกเราก็เดินเล่นรีแล็คเพื่อรอพระอาทิตย์ตก ไม่นานแล้วครับ แสงกำลังสวย ใกล้สงกรานต์แบบนี้คนเยอะมาก บางจุดมีเต็นท์วางไว้ หลายคนมากับคู่รัก ยืนเคียงกันมองพระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนต่ำลงเรื่อย ๆ เพื่อน ๆ ผมเริ่มจับพระอาทิตย์กันแล้ว ผมรีบวิ่งไปจับบ้าง
พวกเรารีบถ่ายทั้งพระอาทิตย์และตัวเอง พี่ฟ้าก็มาถ่าย พ่อกับแม่ก็มา ยืนเคียงกันหนุงหนิง ตากับยายด้วย ผมรีบวิ่งเข้าไปถ่ายกับพวกท่าน เรียกได้ว่าต้องรีบครับ เพราะพระอาทิตย์ไม่คอยท่า ผมกับเพื่อน ผมกับพี่ฟ้า ผมกับพ่อแม่ ผมกับตายาย ผมกับไผ่สองคน
มันเกือบจะจบแล้ว ถ้าพี่หมอไม่ดึงผมไปยืนแล้วเรียกให้พี่หมอนนท์มาถ่ายให้ รายนั้นก็ไม่เคยขัดใจอะไรเพื่อนเล้ย กดถ่ายจากกล้องมือถือ ผมทำหน้าลำบากใจ เขินก็เขิน พี่หมอไม่ได้ทำอะไรมากหรอก แค่ยืนข้าง ๆ เอาแขนเกยไหล่ผมเหมือนที่เพื่อนผมทำ
พี่หมอคงไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เหมือนผมเป็นไข้ระยะใกล้ตายแล้ว
พระอาทิตย์ลาลับ เราถ่ายรูปกันก่อนหันไปดูพระอาทิตย์กันดี ๆ มันสวยมากจริง ๆ ครับ ไข่ดาวกลางท้องฟ้ากำลังจะหายลับไปกับขุนเขา รอเวลาให้ตกอีกรอบในวันถัดไป
เส้นทางกลับเราต้องเปิดไฟกลับ ไผ่จับผมนั่งตักเหมือนเดิม ผมเหลือบมองพี่หมอบ่อย ๆ จนไผ่มันต้องจับหน้าผมหันไปมองมันตรง ๆ
“อะไร”
ผมถามงง ๆ มันจ้องตาผม ล็อกคอผมลงไปกระซิบให้ได้ยินกันสองคน
“เลิกมองมันด้วยสายตาแบบนั้นสักที”
“แบบไหน”
มันเหลือบมองพี่หมอก่อนมองตาผม ไม่พูดอะไร ทำสีหน้าหงุดหงิด รวบกอดผมแน่น
“ปล่อย อึดอัดโว้ย”
“ไม่ว่ะ ตัวมึงนิ่มดี”
“บ้ารึไง ขนลุก”
พี่แฮ็คหัวเราะร่วนไม่ต่างกับพี่ฮัท
“นิ่มจริงเปล่า” พี่มันจิ้มแขนผมจึก ๆ “จริงด้วย เอาขึ้นย่างได้แล้ว เนื้อกำลังพอดีกิน”
“ผมไม่ใช่แกะ”
“อ้าวเหรอ พี่คิดว่าใช่”
พี่ฮัทสมทบ พี่หมอเหลือบมองผมผ่านกระจก ผมรีบละสายตาหลบหนีทันที
มื้อเย็นเราทำอาหารกินกันที่บ้าน เสียงเฮมีมาไม่ขาดสาย แน่นอนมันมาพร้อมกับแอลกอฮอลล์แบบขาดไม่ได้ จิ๊บๆ ครับ ประมาณสองลัง(จิ๊บตรงไหน = =) สงสัยเพราะอาหารที่พี่ฟ้าทำอร่อย ผมเป็นเด็กดี กินเหมือนกัน ฮ่า ๆ
งานนี้พระเอกของงานดูจะเป็นพี่หมอนนท์กับพี่หมอเพราะความหล่อแบบผู้ดีนั้นทำให้แต่ละคนถูกผู้ใหญ่พูดคุยสอบถาม ตายายรู้แล้วล่ะครับว่าพี่หมอมาที่นี่ด้วยเพราะต้องการจีบพี่ฟ้า
แต่เท่าที่ผมเห็นทริปนี้พี่หมออยู่กับพี่ฟ้าน้อยมาก ทำให้นึกถึงคำพูดของไผ่ขึ้นมาทันที
'มันจ้องจะงาบมึง'
เอิ่ม… ผมควรจะดีใจดีไหม
เราไม่ได้เปิดเพลง แต่เป็นการกินเน้นพูดคุยกันในครอบครัวและกลุ่มเพื่อน ผู้ใหญ่วงหนึ่ง เด็กวงหนึ่ง พี่หมอนนท์กับพี่หมออยู่วงนู้น สักพักสองคนนั้นก็เดินตรงมาที่วงเรา ปฏิกิริยาอัตโนมัติของไผ่คือมันรีบลากผมไปนั่งจนชิดข้างตัวมันทันที (ตอนแรกนั่งกันห่าง ๆ)
“แม่งกูจะคิดว่ามึงเป็นผัวเมียกันแล้วนะ”
หินมันแซว
“ก็ใช่ไง ใช่ไหมเมียจ๋า”
ไผ่แกล้งทำปากจู๋ใส่ ผมตีปากมันเบา ๆ
“ห่า มือเค็มว่ะ”
“เอ้อเดะ ไปเยี่ยวมายังไม่ล้างเลย”
“ถุย!!”
ผมหัวเราะฮ่า ๆ เหลือบมองคนมาใหม่ พี่หมอทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผม ในขณะที่พี่หมอนนท์นั่งข้างไผ่ มันรีบหันไปมองทันที สงสัยจะกลัวโดนล็อกอีก
“กิน ๆ พี่”
ตันรีบชงให้พี่หมอนนท์กับพระเจ้ามันทันที สองคนนั้นรับไปดื่ม สักพักของผมก็หมด กำลังจะยื่นแก้วเปล่าที่เหลือแต่น้ำแข็งไปให้ตันเติม แต่ไผ่มันแย่งไว้
“มึงกินแค่นี้พอ”
“ทำไม” ผมถามงง ๆ
“เดี๋ยวเมา”
“เอ้า กินไม่ให้เมาแล้วจะกินไปทำไม”
“ถ้าเมาแล้วเป็นตัวของตัวเองกูจะไม่ว่าเลยฝน”
มันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมมองหน้ามันงง ๆ กว่าเดิม ได้ยินเสียงหัวเราะหึ ๆ จากพี่หมอ ผมหันไปมองนิดหนึ่ง ก่อนหันกลับมามองไผ่ เริ่มสำนึกได้แล้วครับว่าไผ่มันกลัวอะไร
ก็จริงของมัน เพราะพอผมเมาทีไร ตื่นมาถูกพี่หมอกอดทุกที
“มะ มึงก็อย่าห่างกูสิ กูอยากกิน”
“กูคนเดียวคงช่วยมึงได้ ถ้ามันไม่เรียกเหี้ยอีกตัวมาช่วยด้วย”
มันเหลือบมองไปทางพี่หมอนนท์ แน่นอนการสนทนาระหว่างเราเพื่อน ๆ ไม่ได้รู้เห็นด้วย เพราะมัวเฮคุยเล่นกันอยู่
ผมนั่งอึดอัด อยากกินก็อยากกิน แต่ก็เข้าใจ ผมวางแก้วลง พี่หมอหยิบแก้วผมไปเติมเอง(ข้างพี่หมอเป็นตันที่มักทำหน้าที่เป็นมือชง แต่ตอนนี้มันกำลังก้มหน้ามองอะไรสักอย่างในมือถือที่หินมันโชว์ให้ดูอยู่) พี่หมอยื่นแก้วนั้นมาให้ผม
“อยากกินก็กินเถอะ รับรองได้ว่าคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
ผมมองอย่างไม่ไว้ใจ
“ให้ฝนกินเถอะ” พี่หมอนนท์เสริมมาอีกคน “สัญญาว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ”
“สัญญาแล้วนะ”
ไผ่มันขอคำยืนยันจากพี่หมอนนท์ แล้วทำไมต้องไปทำสัญญากับพี่หมอนนท์ด้วยวะ ทำไมไม่ทำกับพี่หมอแทน?
“สัญญา”
พอพี่หมอนนท์รับปาก ไผ่มันก็พยักหน้าให้ผมรับเครื่องดื่มได้ ผมยิ้มร่ารีบรับแก้วเหล้าจากพี่หมอมากรอกปากทันที
ไม่ดึกมากครับ เพราะพรุ่งนี้ยายอยากให้พวกเราตื่นขึ้นใส่บาตรกันทุกคนแต่เช้า พวกเราต่างพากันแยกย้ายไปอาบน้ำอาบท่าเข้านอน ผมในฐานะแขกที่เป็นเจ้าบ้านอีกทีได้อาบเป็นคนสุดท้าย คล้องผ้าเช็ดตัวบนหัว เดินเช็ดหูออกมา ได้ยินเสียงกีตาร์ดังเบา ๆ มาจากทางหน้าบ้าน ผมเดินตามเสียงนั้นไป
ตอนนี้บริเวณหน้าบ้าน ตรงชานพักมีใครคนหนึ่งมานั่งหันหลังเกาตีตาร์อยู่ ผมยิ้ม คิดว่าใครที่ไหนมาทำมิวสิคแถวนี้ซะอีก ผมเดินไปหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ มันหันมามองผมแวบหนึ่งแล้วก้มเกากีตาร์ต่อ ไม่ใช่กีตาร์ของมันหรอก ของพี่แฮ็คเขาน่ะ ผมนั่งเคียงมันฟังเพลงรักหวาน ๆ กระทั่งเพลงที่มันกำลังร้องอยู่จบลง
“ขอเพลงคำถามซึ่งไร้คนตอบได้ไหม”
ผมร้องขอ มันพยักหน้า เริ่มต้นเกาเบา ๆ ผมแหงนหน้ามองดูหมู่ดาวดวงเล็ก ๆ ด้านบน นอกจากหน้าตามันจะดีแล้ว เสียงมันยังดีอีกต่างหาก
“ไม่ได้ยินมึงเล่นมานานแล้วนะ” ผมพูดหลังจากเพลงที่ผมขอไปจบลง
“เจ็บมือ”
“ขี้เกียจแกะเพลงก็ว่ามาเหอะ”
ผมแอบต่อว่า มันหัวเราะ จริง ๆ ไผ่มันมีกีตาร์อยู่ แต่ตอนนี้ฝุ่นคงเกาะแล้วมั้ง
“กูชอบฟังมึงเล่นนะ”
“วันหน้าจะเล่นให้ฟังบ่อย ๆ”
ผมหัวเราะ
“จะรอฟัง”
ผมนั่งเงียบลงอีกรอบ ฟังเสียงเพราะ ๆ ของมันที่กำลังผสานเข้ากับเสียงกีตาร์ ผมยิ้มให้กับดวงดาว แกว่งขาไปมาเล่นลม
“ถ้ามึงเล่นแบบนี้ให้พี่ฟ้าฟัง พี่ฟ้าคงชอบ”
อยู่ ๆ ไผ่มันก็หยุดเล่น ตอนนี้เสียงที่ได้ยินจึงเป็นเสียงของแมลงตัวเล็ก ๆ บนต้นไม้แทน ผมหันไปมอง
“หยุดทำไม”
มันไม่ตอบ มองหน้าผมนิ่ง ๆ
“ฝน”
“หือ?” ผมเลิกคิ้ว ครางรับในลำคอ จะเรียกทำไม อยู่ใกล้กันแค่นี้
“เรามาคบกันไหม”
[ต่อ 50% ]
“หา!!”
ผมรีบพลิกหันไปมองหน้ามัน มันมองผมกลับจริงจัง
“กูบอกว่า เรามาคบกันไหม”
“อย่ามุกน่า”
ผมถีบมันเบา ๆ
“กูไม่รู้ว่าจะทำยังไงถึงจะปกป้องมึงจากพี่หมอได้”
“อย่าบ้าไผ่ มึงมีฟ้าอยู่แล้วทั้งคน”
มันส่ายหัวไปมา
“ฝน ตอนนี้ในหัวกูไม่มีพี่ฟ้าอยู่เลยนะ มีแต่ภาพมึง กูห่วงมึง”
ผมอ้าปากค้าง
“มะ มึงชอบกูเหรอ”
“กูบอกไม่ถูกว่ะ กูรู้สึกแค่ว่าอยากปกป้องมึง อยากให้มึงปลอดภัย กูไม่รู้ว่านี่คือความชอบไหม”
ผมจ้องหน้ามัน
“ไผ่ มึงรู้สึกกับกูอย่างเพื่อน หรือมากกว่าเพื่อน อย่าสับสนคิดให้ดี ๆ”
“กูไม่รู้”
“งั้นขอถาม” ผมหลุกหลิกสายตาไปมา “มองตากู แล้วบอกกูว่ามึงรู้สึกยังไง” ผมขยับหันหน้าเข้าหามัน มองตามันดี ๆ เราจ้องกันอยู่นานมาก จนเป็นผมเองที่หลุบสายตาหนี
เขินครับ บังเอิญมันหล่อ
“มะ มึงรู้สึกยังไง”
“ไม่รู้สึกอะไรเลย”
“งั้นลองกอดกูดู”
ผมเสนอ มันมองอึ้ง ๆ ค่อย ๆ รั้งผมเข้าไปกอดแน่น กอดเหมือนที่เราเคยกอดกันมา นานร่วมนาทีก่อนผมจะเป็นฝ่ายดันตัวออก
“รู้สึกยังไง”
“อบอุ่น สบายใจเหมือนที่ผ่าน ๆ มา”
ผมนิ่งคิด มันเป็นความคิดที่บ้าและเสี่ยงมาก ๆ ผมมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าไม่มีใครรอบ ๆ ผมก็มองตามันอีกรอบ
“งั้นลองจูบกูดู”
มันตาโต
“ถ้ามึงทำได้ แล้วรู้สึกดี กูจะยอมคบกับมึง แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่าใช้วิธีนี้ในการช่วยกู เพราะปัญหามันอาจมากกว่าที่แล้ว ๆ มา อีกอย่างคือกูยังอยากให้มึงคบกับพี่กูอยู่ ลองดู แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
มันกัดริมฝีปาก
“คะ คือ กูไม่เคยจูบผู้ชายมาก่อน”
“งั้นมึงอยู่เฉย ๆ เดี๋ยวกูทำเอง”
“กูว่าเวลามึงเมานี่หน้ามึงหนาฉิบหาย กูเข้าใจละว่าทำไมมึงถึงกล้าออนท็อปไอ้บ้านั่น”
ผมต่อยแขนมันปั๊ก
“จะไม่ลองใช่ไหม”
ผมดีดตัวลุก แต่มันจับข้อมือผมไว้
“โทษที กูไม่คิดว่ามึงจะกล้า”
ผมพยักหน้า มันมองตาผม ผมก็มองตามัน
“หลับตาดิ กูเขิน”
มันหลับตาลงตามคำร้องขอของผม ผมค่อย ๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แล้วฝากริมฝีปากผมไว้บนริมฝีปากมัน
ทำไมผมถึงกล้าจูบเพื่อนหน้าบ้านยายแบบนี้ สงสัยเพราะผมเมาจริง ๆ ผมไม่ได้ขยับปาก แค่แนบปากไว้เฉย ๆ แล้วคลายปล่อยออก
“รู้สึกยังไง”
ผมถามอย่างใคร่รู้ ตื่นเต้นกับคำตอบเหมือนกันครับ
“นุ่มดี มิน่าไอ้บ้านั่นถึงได้ชอบจูบมึง”
“กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น!”
ผมตบไหล่มัน มันยิ้ม ลูบหัวผมเบา ๆ
“ขอบใจที่ให้กูทดสอบก่อน จูบมึงแล้วเหมือนโดนวันเวย์เลียปากว่ะ”
ผมหัวเราะพรืด ถีบมันไปเบา ๆ ที
“ดีแล้ว อย่ารู้สึกอะไรกับกูเลย”
“กูรู้ว่าทำไม”
มันลากผมไปนั่งบนตัก แนบหลังผมกับอกมัน
อื้อหือ ท่าเหมือนคู่รักกันเลยไผ่
“ทำไม”
มันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“เพราะมึงเผลอมอบหัวใจให้ใครบางคนไปแล้วไง”
ผมหันไปมองมัน ทำหน้าประหนึ่งโลกแหว่งไปครึ่ง
“ใคร”
ผมกลืนน้ำลายลงคอทั้งที่พอจะรู้อยู่แล้ว
“ถามใจตัวเองสิ กูไม่อยากพูด กูอยากลากหัวใจมึงกลับ แต่ดูเหมือนตอนนี้มันกู่ไม่กลับแล้ว ฉุดร่างกายนั้นฉุดง่าย แต่ฉุดหัวใจ กูไม่รู้ว่ากูจะทำได้ไหมฝน”
ผมมองมันอึ้ง ๆ บีบแขนมัน
“กูก็ไม่อยากรู้สึกอย่างนี้กับเขานะไผ่ เขาคือคนที่กูไม่อยากรู้สึกที่สุด แต่กูไม่รู้ว่าทำไม…”
ผมหยุดคำไว้แค่นั้น มันกระชับกอดผมแน่น
“ทั้งหมดทั้งปวงเป็นเพราะกูเอง ถ้ากูไม่เริ่มก่อน ร่างกายมึงจะไม่เจ็บ ถ้ากูไม่เริ่มก่อน หัวใจมึงจะไม่รู้สึกแบบนี้ ถ้ามันเป็นคนดี เป็นคนอื่น กูจะไม่ว่า แต่ต้องไม่ใช่มัน คนที่กูเกลียด คนที่ทำร้ายมึงปางตายขนาดนั้น กูยกมึงให้มันไม่ได้จริง ๆ”
“อื้อ กูรู้”
ผมครางรับในลำคอ
ผมรู้ แต่ทำไม ขนาดหัวใจผมเอง ผมยังดึงมันกลับมาเป็นของผมเองไม่ได้ ทุกวันนี้ผมรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองเต้นอยู่ฝ่ามือของพี่หมอเลย
“เอาเถอะ ในเมื่อพลาดไปแล้วเรามาช่วยแก้ไขทีละจุดละกัน”
มันดันตัวผมออก ยิ้มให้กำลังใจ ผมยิ้มให้มันที
“นอนกันเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำบุญอีก เผื่อทำแล้วเจ้ากรรมนายเวรจะหลุดเร็ว”
ผมพยักหน้า มันลุกยืน กำลังจะก้มหยิบกีตาร์ แต่ถูกใครบางคนปิดปากไว้ รวบจับสองมือไพล่หลัง ยังไม่ทันได้หันไปมองผู้ร้าย ผมก็ถูกปิดปากปิดตาเหมือนกัน ลากแถก ๆ ออกไปจากจุดนั้น
To be con..
ทิ้งระเบิดลูกที่สองลงพื้น!!
Tag #พี่หมอน้ำฝน #ทาสแค้น