ทาสแค้น : 75 : น้องชายคนใหม่ (พี่หมอ...♥) 150%
“น้องคนเมื่อกี้ ใช่คนที่เขาลือกันหรือเปล่าคะ” หมออรถามเสียงหวาน ผมเงยหน้ามองคนที่มาให้ผมช่วยดูบทความให้
“ครับ” ผมยอมรับตรง ๆ
“คุณหมอเป็นเกย์เหรอคะ ขอโทษที่อรถามตรง ๆ เพราะเท่าที่รู้มา คุณหมอไม่น่าจะใช่”
ผมหัวเราะ “ถ้าโดยพื้นฐานก็ไม่ใช่ แต่ถ้ากับคนที่คบอยู่ก็ใช่”
“แล้วเขาพิเศษตรงไหนคะ”
ผมนิ่งคิด
“ไม่รู้สิ เยอะจนเกินบรรยาย”
หมออรเกลี่ยเส้นผมขึ้นไปทัดหูอย่างอ่อนหวาน น้ำหอมกลิ่นละมุนลอยมาปะทะจมูก ถ้าเป็นสมัยก่อน หมออรคงเป็นผู้หญิงที่ผมสนใจ เพราะเป็นหมอด้วย เป็นคนน่ารักอ่อนหวานด้วย แต่บางครั้งผมก็ยังรู้สึกว่าหมออรไม่ได้อ่อนหวานอย่างเดียว แต่แอบซ่อนความเซ็กซี่ยั่วยวนเอาไว้ภายใน แม้กระทั่งตอนนี้ สายตาอ่อนหวานที่ชม้ายมองมาอย่างมีจริตนั้นก็ทำให้ผมรู้ว่ากำลังถูกทอดสะพานให้อยู่
ผมก้มลงอ่านบทความตรงหน้าต่อ ชี้ให้ดูจุดที่ควรจะแก้ไข พอเรียบร้อยผมก็ส่งบทความคืน หมออรบอกลาก้าวเดินจากไป พี่ณีย์เข้ามาแทนที่ วางแฟ้มไว้ตรงหน้า ก้มกระซิบเสียงเบา
“ถ้าให้พี่ณีย์เลือกระหว่างน้องฝนกับคุณหมออร พี่ขอเลือกน้องฝนดีกว่านะคะ”
เธอพูดแค่นั้น เดินออกไปเรียกคนไข้มาให้ ผมหัวเราะหึ ๆ ไม่ติดใจอะไร
เพิ่งรู้ว่าวันนี้เป็นวันนัดพบหมอของคุณฟ้า
“สวัสดีค่ะคุณหมอ” ฟ้ายิ้มทักทาย ผมเลิกคิ้วมองไปรอบ ๆ ดูว่ามีใครตามมาด้วยไหม
“มาคนเดียวเหรอครับ”
“ค่ะ ไม่มีใครว่างมาด้วยเลย แต่ไม่เป็นไร ฟ้าไม่กลัวแล้ว ได้คุณหมอรักษาดีก็งี้แหละ”
ผมหัวเราะ
ฟ้ากวาดมองไปรอบ ๆ ห้องตรวจของผม “ไม่น่าเชื่อเนอะ ว่าฟ้าจะมาที่นี่บ่อยกระทั่งเสียน้องชายให้คุณหมอเจ้าของไข้ไป”
ผมหัวเราะ “ฝนยังเป็นของคุณเสมอ ผมแค่ยืมมากอดได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นจนกว่าฝนจะเรียนจบ”
“ห้าปีเอง” ฟ้าหน้าง้ำ “ฟ้ามีโอกาสได้อยู่กับน้องอีกแค่ห้าปี ส่วนคุณหมอได้อยู่ตลอดชีวิต ถ้าประคับประคองกันไปได้”
ผมมองตาฟ้า
“นั่นน่ะสิครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ”
ฟ้ายิ้มอ่อนโยน เริ่มต้นให้ผมตรวจรักษา พอเรียบร้อยผมก็ขอเบรกคนไข้รายอื่นเพื่อไปส่งฟ้าขึ้นรถด้วยตัวเอง
เหตุผลข้อแรก เพราะผมเป็นห่วงความปลอดภัยของฟ้า และอีกอย่างผมอยากให้เกียรติคนในครอบครัวฝนด้วย
“อ้าว คุณหมอ จะไปไหนคะ” หมออรเดินเข้ามาทักเสียงหวาน มองหน้าฟ้าแวบหนึ่ง
“ไปส่งคุณฟ้าครับ ผมขอตัว”
ผมไม่ได้ทักทายอะไรมาก เพราะไม่อยากเสียเวลานาน คนไข้ยังมีอีกหลายคนรอตรวจอยู่ ฟ้ายิ้มให้หมออรนิดหนึ่ง เดินเคียงมากับผม
“ถ้าไม่ติดว่าเลิกงานดึก ผมจะไปส่งด้วยตัวเองเลย”
“แค่เดินมาส่งนี่ฟ้าก็เกรงใจแล้วล่ะค่ะ”
ผมยิ้ม สั่งให้ยามช่วยเรียกรถให้ จดเลขทะเบียนไว้ด้วย พอส่งฟ้าขึ้นรถเสร็จผมก็เดินกลับ เจอหมออรระหว่างทางอีกรอบ คล้าย ๆ กับเธอเพิ่งจะออกมาจากห้องน้ำ
“สวยจังเลยนะคะคุณฟ้า”
“ครับ” ผมตอบรับ ยกนาฬิกามอง ล้วงหยิบมือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาถือ “ผมขอตัวสักครู่นะครับ” ผมขออีกคนอย่างรักษามารยาท กดเขียนข้อความผ่านไลน์
‘ทำอะไรอยู่’
ข้อความเดิมครับ ต่อให้รักแค่ไหนก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งมันจริง ๆ ยิ่งเวลานึกภาพว่ามันหน้าง้ำปากบ่นเอาแต่บังคับ แต่ก็ทำตามที่ผมสั่งนี่มันน่ารักจริง ๆ ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะตอบทันทีอยู่แล้วเพราะฝนเรียนอยู่
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะลดมือถือลงเพื่อคุยกับหมออร ข้อความที่ผมส่งไปเมื่อกี้ก็ขึ้นสถานะว่า อ่านแล้ว ผมยิ้ม
‘เรียน’
ไม่กี่อึดใจมันก็ตอบกลับมาคำเดียวสั้น ๆ
‘แล้วทำไมตอบได้’
‘แล้วถามมาทำไมตอนนี้’
‘คำถามส่งไปเมื่อไหร่ก็ได้ คนตอบไม่จำเป็นต้องรีบตอบนี่ ยกเว้นรออยู่ และอยากตอบ’
ผมนึกสีหน้าตอนมันอ้าปากพะงาบ ๆ ได้เลย ผมหัวเราะหึ ๆ มันส่งสติกเกอร์โมโหควันออกหูมาให้ ผมหัวเราะหนักยิ่งกว่าเดิม
‘ไม่ได้รอ แค่นี้นะ จะเรียน!!’
‘หึ ๆ แล้วเย็นนี้ฉันจะกลับไปสอนวิชาหน้าที่การเป็นเมียที่ดีให้’
‘ลามก’
ผมหัวเราะออกมาอีกรอบ ออกจากห้องแชท
“ดูคุณหมออารมณ์ดีจังเลยนะคะ คุยกับแฟนเหรอ” หมออรถาม ผมหันไปมอง ดึงสีหน้ากลับมาราบเรียบเหมือนเดิม
“ครับ”
“เย็นนี้คุณหมอพอว่างไหมคะ อรอยากปรึกษาเกี่ยวกับบทความเพิ่มเติม ถือโอกาสเลี้ยงตอบแทนไปด้วยในตัว”
“พอดีผมติดนัดแล้วล่ะครับ”
เราเดินมาถึงห้องตรวจกันพอดี ผมบอกขอตัว เดินกลับเข้าห้องไปทำงานต่อ
[50%]
จริง ๆ ผมว่าที่พ่อแม่ฝนให้เวลาเราได้ศึกษาเรียนรู้กันและกันแบบนี้ก็เป็นวิธีที่ดีเหมือนกัน มันทำให้ผมรู้ว่าชีวิตแบบนี้มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่ผมคิด ผมนึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าทำไมผมถึงจงเกลียดจงชังคนประเภทนี้นัก คงเพราะผมเห็นมาเยอะมั้ง ว่ามันไม่ได้ยั่งยืนและอยู่บนความหลอกลวงขนาดไหน แต่ผมก็ลืมนึกไปว่าแม้แต่คู่ชายหญิงปกติก็มีให้เห็นกันดาษดื่น รัก โลภ โกรธ หลง หลอกลวง
สงสัยผมคงต้องเปิดใจให้กว้าง ๆ กว่านี้ซะแล้ว
“หมอแซม”
ผมหันไปมองคนเรียก อาจารย์หมอนี่เอง
“เย็นนี้ว่างไหม จะชวนไปทานข้าว”
“ขอโทษครับ พอดีผมติดนัดแล้ว”
อาจารย์หมอเลิกคิ้วสูง เพราะปกติ ต่อให้ผมติดธุระที่ไหน ผมเลือกจะยกเลิกนัดคนอื่นเพื่ออยู่พูดคุยหรือศึกษาดูงานกับท่านมากกว่า ท่านมองตาผม ก่อนยิ้มนิดหนึ่ง
“น้ำฝน”
ผมมองตาท่าน ให้รู้ว่าท่านคิดไม่ผิด ท่านเดินเข้ามาชิด ตบหลังผมเบา ๆ
“ทำให้ผมนึกถึงตัวเองสมัยหนุ่ม ๆ ตอนจีบเมียใหม่ ๆ เลย ผมแทบจะกางเสื่อหน้าบ้านเธอด้วยซ้ำ ผู้หญิงอะไรใจแข็งชะมัด หัวแข็งอีกต่างหาก แต่ผมก็รัก เพราะความอดทนตอนนั้น ทำให้ตอนนี้ผมกลายเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก แถมเธอยังมอบลูกชายที่น่ารักที่สุดมาให้ผมด้วย” ท่านพูดอยากภาคภูมิใจ ก่อนหน้าสลดลง “เมื่อไหร่ลูกชายผมจะหมดช่วงต่อต้านพ่อแม่ก็ไม่รู้ เมียผมหัวแข็งขนาดไหน มาเจอลูกชายหนักเสียยิ่งกว่าอีก” ถึงปากจะพูดไป แต่สีหน้าท่านก็ยังคงภาคภูมิใจที่ได้พูดถึง
ผมรู้ว่าท่านรักลูกชายของท่านมาก ช่วงที่ส่งลูกชายไปเรียนโรงเรียนประจำหวังฝึกให้เด็กมีความรับผิดชอบและโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ ตามคำแนะนำของภรรยา ท่านก็เหงามาก พอมาเป็นอาจารย์หมอและฝึกผม ผมก็เคารพรักท่านเหมือนบิดาคนหนึ่ง ท่านเลยเอ็นดูผมไม่ต่างกับลูกชายท่านเอง เคยเอ่ยปากขอผมไปเป็นพี่ชายลูกชายตัวเองด้วยซ้ำ
ผมไม่ตอบรับเพราะชักไม่ชื่นชอบการเป็นพี่ชายเท่าไหร่ แค่เป็นพี่ชายไผ่ก็ปวดหัวพอควรแล้ว อย่าให้ไปเป็นพี่ชายใครให้ปวดหัวหนักกว่าเดิมเลย
“แต่เขาก็กลับมาอยู่ด้วยแล้วนี่ครับ”
“ไม่เอากลับมาไม่ได้หรอก อยู่ที่นู่นเกเรหนัก อยู่นี่ทำอะไรยังอยู่ใกล้หูใกล้ตา ผมน่าจะคัดค้านภรรยาเรื่องส่งลูกไปเรียน แต่ตอนนี้เราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ทำได้แค่ให้ความรักแกให้มากที่สุด นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ทดแทนได้”
“ผมมั่นใจว่าใครได้เป็นลูกท่าน ต้องโชคดีสุด ๆ แน่ครับ”
“ฮ่า ๆ เพราะคุณปากหวานแบบนี้แหละ ผมถึงได้รัก เอางี้ดีกว่าผมมีเวลาไม่มาก อยากกินข้าวกับคุณจริง ๆ ชวนน้ำฝนมาด้วย ผมรู้สึกเอ็นดูเด็กคนนั้นจริง ๆ ไปทานข้าวด้วยกันที่บ้าน นะ ครั้งนี้ถือว่าผมขอ”
ผมนิ่งคิด จะว่าไปแล้ว ฝนก็ถือว่าเป็นว่าที่ภรรยาผม การพาภรรยาไปพบผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุนหน้าที่การงานถือว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ อีกอย่าง ท่านก็เหมือนเป็นพ่อผมอีกคน การพาฝนไปกินข้าวที่บ้าน ถือว่าเป็นสิ่งที่ผมควรทำ
ผมรับปาก ไลน์หาฝน
‘เย็นนี้กลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวน่ารัก ๆ นะ จะพาไปกินข้าวบ้านอาจารย์หมอไพศาล’
‘ผมจำเป็นต้องไปด้วยเหรอ’
มันตอบกลับหลังจากผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมง
‘คิดซะว่าไปเจอพ่อคนที่สองของฉันละกัน ท่านเป็นผู้มีพระคุณกับฉันเรื่องงาน’
‘ก็ได้’
มันตอบรับในที่สุด ผมเย้ากลับ
‘แต่ไม่ต้องน่ารักจนเกินเหตุนะ กลัวคนอื่นจะหลงเสน่ห์นายเพิ่ม’
‘มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละ ที่มาชอบผม’
‘เดี๋ยวคนปากดีจะโดนทำโทษ’
‘ไม่กลัว’
‘หึ ๆ’ ผมส่งกลับไปแค่นั้นให้มันแปลความเอาเอง กลับเข้าห้องตรวจ
ผมออกเวรตีรถกลับบ้าน อาบน้ำแต่งตัว โทรถามฝนรายนั้นเรียบร้อยแล้ว นั่งคอยอยู่ในห้อง ผมขับรถมาจอดหน้าบ้านฝน เดินเข้าไปภายใน ผมไม่จำเป็นต้องกดกริ่ง เพราะประตูร้านเปิดอยู่ พนักงานเสิร์ฟที่ฟ้าจ้างเด็กนักเรียนมาทำเดินออกมาต้อนรับ พอรู้ว่าผมเป็นใครก็รีบยกมือไหว้
“พี่ฝนแต่งตัวน่ารักรอแล้วล่ะค่ะ”
ผมพยักหน้ารับเดินเข้าไปภายใน เห็นพ่อกำลังตอกไม้ซ่อมซุ้มที่มันเสีย ผมเดินเข้าไปยกมือไหว้
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
“อ้าว คุณหมอมารับฝนเหรอ”
“ครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหม” ผมถามอีกรอบ
“ฮ่า ๆ ไม่ต้อง เดี๋ยวต้องไปทานข้าวกับผู้ใหญ่ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเลอะ มันเสียนิดหน่อย”
ผมรู้ว่าตั้งแต่ผมมาสู่ขอฝน คุณพ่อคุณแม่ก็พากันกลับบ้านบ่อยขึ้น เดินทางต่างประเทศน้อยลง กลัวเหมือนกันว่าท่านจะอยู่เพื่อขัดขวางไม่ให้เราคบกัน แต่ผมก็แค่ทำใจดีสู้เสือ ใช้ความจริงใจเข้าแลกเท่านั้นแหละ การอยู่เป็นครอบครัวยังไงก็ดีกว่าอยู่แล้ว
“พากลับหรือเปล่าคืนนี้”
“กลับครับ พรุ่งนี้ฝนมีเรียน”
คุณพ่อพยักหน้า
“ผู้ใหญ่ที่จะพาฝนไปหา เขารู้จักฝนไหม”
“ครับ ท่านนั่นแหละที่ชวนเพราะรู้สึกเอ็นดูน้ำฝน”
ท่านพยักหน้า ผมรู้ว่าพ่อยังห่วงว่าสังคมจะมองยังไงกับเรื่องราวระหว่างผมกับน้ำฝน ผมก็ทำให้ดีที่สุดในแบบของผมที่มีต่อฝน
ฝนเดินออกมาพอดี แต่งตัวมาซะน่ารักเลย ชุดนี้ผมจำได้ว่าแม่ผม (หรืออาทับทิมนั่นแหละ) เป็นคนซื้อให้
“พ่อฝากสวัสดีผู้ใหญ่ด้วยนะลูก” พ่อบอกฝน ฝนพยักหน้ารับ หันมามองผม ผมเลยบอกลาพ่อ พาฝนเดินออกจากบ้านไป
ผมขยับไปโอบเอวเล็กไว้ มันดิ้นหนีทันทีตามปกติ
“มากอดทำไมเนี่ย คนเยอะแยะ”
“อ้าวคิดว่าอยากให้กอด”
“ผมบอกตอนไหน”
“ไม่ได้บอกเป็นคำพูด แต่เป็นความรู้สึก”
มันหน้าแดงก่ำ ผมหัวเราะหึ ๆ จริง ๆ ผมก็มั่วไปเอง แต่ดูจากท่าทาง ฝนน่าจะคิดจริง ๆ
ไม่นานผมก็พาฝนมาถึงบ้านอาจารย์หมอ อาจารย์ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง โดยมีภรรยาเดินออกมาต้อนรับด้วย ผมยกมือไหว้คนทั้งคู่ แนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน ผมมาทานข้าวบ้านนี้บ่อย ๆ ช่วงที่ลูกชายอาจารย์หมอไม่อยู่ เปรียบไม่ผิดกับลูกชายคนหนึ่งนั่นแหละ จนลูกชายอาจารย์กลับมาผมถึงไม่ค่อยได้มาเท่าไหร่
“น่ารักจัง” คุณช่อผกาชมฝน รายนั้นหน้าแดงก่ำ
“เอาละเชิญด้านใน เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จักลูกชายผมด้วย”
ผมแตะหลังน้ำฝนนิด ๆ ให้เดินเคียงไปด้วยกัน
พอเข้าไปด้านใน ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ตัวสูงใหญ่คล้ายฝรั่ง หน้าตาหล่อเหลาคมเข้ม ผิวคร้ามแดดอย่างคนชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง ใบหน้ามีริ้วรอยแสดงว่าผ่านการต่อยตีมาแล้วนับไม่ถ้วนอย่างที่อาจารย์หมอบอก ดวงตาคมกร้าวดุดื้อ มันมองสบตาผม
สายตาที่ผมจำได้ชัดเจน
สายตาที่เหมือนเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ตอนพ่อพาอาทับทิมมาแนะนำให้ผมรู้จักครั้งแรก
สายตาของเด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าผมเกือบสิบปี
สายตาของไผ่
“พี่ดีน...”
เสียงคนข้างตัวผมครางเรียกเบา ๆ
[100%]
“อ้าว น้ำฝนรู้จักพี่เขาด้วยเหรอลูก แหมดีเลย นี่ดีนลูกชายผมเอง อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังนั่นแหละคุณหมอ ตอนไปตัวเล็กกว่าฝนเยอะ กลับมาอีกทีตัวสูงชะลูดเชียว” แล้วท่านก็หัวเราะ แต่เด็กนั่นไม่ได้หัวเราะตามไปด้วย มันเลื่อนสายตาจากผมไปหาฝน
“นี่ดีน หมอแซมไงลูก เรียกเขาว่าพี่แซมก็ได้ คนนี้ไงที่พ่ออยากให้มาเป็นพี่ชายลูก มีอะไรก็อ้อนพี่เขาได้นะ”
สายตาแบบนั้น ผมว่าเขาคงไม่อยากได้พี่ชายหรอก ผมถอนหายใจแรง สงสัยดวงผมจะกุดเรื่องการเป็นพี่ชายคนจริง ๆ
“ส่วนนี่น้ำฝน แฟนหมอแซมเขา น่ารักใช่ไหมลูก”
หมอนั่นไม่ตอบ ยืนทำหน้าถมึงทึง ผมเจอมาดแบบนี้มาเยอะกับไผ่ เลยค่อนข้างจะชาชิน
อาการของเด็กหวงพ่อแม่
ผมว่าที่ดีนเกเรตอนไปอยู่โรงเรียนประจำ เพราะต้องการประชดพ่อแม่ที่ส่งห่างจากอกมากกว่า เด็กเรียนหอ บางคนส่งไปแล้วก็เป็นผู้เป็นคน แต่บางคนก็ตรงกันข้าม
อาหารถูกเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว ทั้งอาจารย์หมอทั้งคุณช่อผการีบเชื้อเชิญให้เราสองคนไปนั่งร่วมโต๊ะ โดยมีดีนตามมาเงียบ ๆ
น้ำฝนดูจะไม่สดใสเหมือนอย่างเคย เหมือนคนกำลังหวาดกลัวอะไรสักอย่างอยู่ ดีนมันก็จ้องแต่น้ำฝนเขม็ง ผมไม่รู้ว่ามันสองคนรู้จักกันได้ยังไง เอาไว้หลังจากงานนี้ค่อยถามอีกที
“อยากกินขนม” พออาหารหมดจาน อยู่ ๆ ดีนก็พูดขึ้น เหมือนไม่มีอะไร แต่สำหรับพ่อแม่ นั่นคือคำสั่งที่พ่อแม่ต้องทำตาม คุณช่อผกาเตรียมลุก
“ฝีมือฝน”
ทุกคนชะงัก หันมองน้ำฝนเป็นตาเดียว
“จะให้แขกทำได้ไงละลูก”
“จะกินฝีมือฝน” มันย้ำคำเดิมเหมือนเครื่องจักรไร้ชีวิต ผมว่าเลเว่ลความเอาแต่ใจของเด็กคนนี้น่าจะไปไกลกว่าไผ่มากโข คุณช่อผกาหน้าเจื่อนลงถนัดตา
“ให้ผมทำก็ได้ครับ ผมชอบทำ” ฝนออกตัวอย่างรักษาน้ำใจ คงพอจะคาดเดาเหตุการณ์อะไรออก
“ถนัดทำอะไรมากสุดล่ะลูก” คุณช่อผกาเคลมเมียผมไปเป็นลูกเรียบร้อย
ฝนมองตาผม แก้มแต้มสีนิด ๆ
“บัวลอยไข่”
ผมยิ้มทันที เพราะจำได้แม่นว่าเป็นของกินที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาของพวกเรา
“งั้นทำบัวลอยไข่เนอะ” แล้วคุณช่อผกาก็เดินนำเข้าไปในครัว ในขณะที่อาจารย์หมอก็ขออนุญาตเดินเข้าห้องน้ำไป
ดีนไม่ได้สนใจว่าพ่อจะเดินไปทางไหน เพราะสายตามันมองตามน้ำฝนเข้าไปในครัว
สายตาแบบนั้น
สายตาของสัตว์ป่าพร้อมล่าเหยื่อ
และเหยื่อที่มันหมายปองคือน้ำฝน
มันหันกลับมาสบตาผม พลันสายตาก็เปลี่ยนเป็นรังเกียจเดียดฉันท์ทันที เมื่อมันประกาศสงครามมา ผมก็พร้อมจะตอบรับ ผมปลดปล่อยรังสีเหมือนเสือหวงเหยื่อ
มันยกยิ้ม “ฝนน่ารักดีนะ”
ผมจ้องหน้าคนพูด มันยิ้มพราย เลียริมฝีปากตัวเองเบา ๆ
“ปากนี่หว้านหวาน”
ขมับผมเขม็งเครียด
“หมายความว่ายังไง” ผมพยายามตีความ มันยกยิ้มยั่ว
“ริมฝีปากฝน ตอนจูบ หวาน”
ผมจ้องมันหน้าเครียดกว่าเดิม คำถามมากมายผุดขึ้นในหัว มันไปจูบกันตอนไหน จูบในฐานะอะไร คนเคยคบกัน คู่ขา หรือ....
ถูกบังคับ
ผมนึกถึงสีหน้าของฝนตอนเห็นดีน สีหน้าแบบนั้นมันคล้าย ๆ กับสีหน้าตอนที่ผมบังคับขู่เข็นฝนช่วงแรก ๆ
ฝนไม่ได้เต็มใจแน่ ๆ
ผมกัดกรามกรอด
“นายทำอะไรน้ำฝน”
มันเลิกคิ้ว ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ขยับยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ฉลาดจริง แกคงจะรักเด็กนั่นมากสินะ”
ผมจ้องตามันเขม็ง ราวกับมันคือศัตรูคู่อาฆาต
“ตลอดเวลาหลายปีที่ฉันต้องอยู่กับความเหงา คนที่ได้รับความรักในฐานะลูกชายจากพ่อกลับเป็นแก”
มันทำหน้าเคียดแค้น ก่อนยกยิ้มอีกรอบ
“งั้นลองลิ้มรสความรู้สึกที่ถูกแย่งของรักไปหน่อยเป็นไง”
“ดีน!” ผมเรียกมันเสียงเครียดหวังปรามอารมณ์เด็กไม่รู้จักโตของมัน
“มาแล้ว ๆ ขอโทษ ๆ เอาของเก่าออกเพื่อรอกินขนม นี่ไงหมอแซม ภาพที่ผมอยากให้คุณดูตั้งหลายรอบแล้วแต่หาไม่เจอสักที” เสียงอาจารย์หมอนำโด่งมาก่อน ตามมาติด ๆ ด้วยเจ้าตัวที่วิ่งลงบันไดมาด้วยสีหน้าดีใจ แทนที่แกจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม กลับลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้าง ๆ ผมแทนอย่างสนิทสนม
อาจารย์หมอ ถ้าไม่ได้เข้าสอน แกก็เหมือนคุณลุงช่างพูดช่างคุยคนหนึ่ง สดใสร่าเริง เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำใจ แต่ถ้าใส่เสื้อกาวน์ ถือเอกสาร แม้แต่ผมเองก็ยังขนลุก
“น่ารักไหม”
ท่านเปิดภาพลูกชายวัยเด็กให้ดู ผมก้มมองตาม ก่อนเหลือบตามองดีนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มันจ้องผมตาวาวคล้ายเด็กกำลังถูกแย่งของเล่น
ผมชักหวั่นใจกับเด็กนี่ซะแล้ว หวังว่ามันคงจะไม่สร้างปัญหาให้ทีหลังนะ
[To be Con]
แต่ก่อนมีอาชีพเสริมคือขายเปลือกทุเรียน ตอนนี้ว่าจะหันมาขายมาม่าแทน น่าจะขายดี