“เก่ง”
เจ้าของชื่อสะดุ้งทันที แต่อัศวินแสนรู้ใจของไอ้คิงก็รีบเดินเข้ามาใกล้เจ้านายแล้วจัดการกระชากหลังหัวพี่เอกขึ้นราวกับสามารถถอดรหัสความต้องการของบอสได้จากการเรียกชื่อเพียงครั้งเดียว
ส่วนพี่เอก...
บอกเลยหน้าอย่างเละ
ก็ไม่แปลก ไอ้คิงคงลงมือเองถึงได้หนักข้อซะขนาดนี้ เพราะนอกจากจะพับแขนเสื้อขึ้นแล้วมันยังใส่สนับมือที่ผมไม่เคยเห็นด้วย
“กูให้มึงพูดอีกครั้ง ก่อนที่มึงจะไม่โอกาส” ไอ้คิงเอ่ยเสียงเย็น “ใครคือเจ้านายของมึง”
พี่เอกไม่ตอบ แต่หันมามองผมแทนด้วยสายตาที่ชวนเสียวสันหลัง คาดว่าก่อนหน้านี้ไอ้คิงไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนอัดเสียง จนกระทั่งผมสารภาพออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ไอ้คิงตาวาวทันควัน ไม่ว่าใครย่อมไม่พอใจหากเมียโดนจ้องด้วยสายตาแบบนั้น มันหันไปพยักหน้าให้ไอ้เก่ง ก่อนที่อัศวินผู้แสนรู้ใจถึงขนาดอ่านกระแสจิตผัวผมได้จะทำการ...
จับหัวพี่เอกโขกกับพื้นแรงๆ!
ใจผมแทบกระเด็นออกมา เพราะไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่แม่งเล่นกระชากหนังศีรษะพี่เอกขึ้นแล้วกระแทกโครม จับขึ้นแล้วกระแทกโครมอยู่อย่างนั้น หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง...แม้ไม่รีบร้อนเหมือนให้เตรียมใจ แต่ตอนทุ่มลงไปจังๆ นี่แม่งเอ๊ยยย เลือดสาดกระจายจนพี่เอกร้องไม่ออก หัวคิ้วที่แตกอยู่แล้วยิ่งฉีกกว้าง ผมถึงกับหรี่ตาอย่างทนมองไม่ได้เมื่อเห็นหน้าคนรู้จักเริ่มเละจนไม่เห็นสีเนื้อ
แล้วไอ้คิงก็ยกมือขึ้น ไอ้เก่งหยุดทันที
“กฎของคิงส์คลับห้ามฆ่าคน”
ไอ้คิงยังคงพูดเสียงนิ่ง แต่โคตรจับขั้วหัวใจ
“แต่มึงรู้...เอก เรามีวิธีการปิดปากที่ดีกว่าการตาย”
พี่เอกซึ่งโดนจับให้เงยขึ้นด้วยหน้าโชกเลือดแทบจะลืมตาไม่ขึ้นเพราะเลือดไหลทะลักไปหมด แต่จากหนังตาที่ขยับและปากที่พยายามหายใจหอบ ทำให้ผมรู้ว่าพี่เอกยังตั้งใจฟังและมีสติครบสมบูรณ์
“จะพูดตอนนี้ หรือพูดไม่ได้อีกตลอดชีวิต เอกภพ”
เจ้าของชื่อไม่ตอบ เช่นเดียวกับทุกคนในที่นี้ซึ่งล้วนแต่อยู่ในความเงียบเพราะกลัวไปสะกิดต่อมเหี้ยมไอ้คิงให้ยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก บรรยากาศกดดันและชวนอึดอัดกว่าครั้งไหนๆ ไม่ต้องพูดถึงลูกน้องซึ่งยืนรอบนชั้นสองเลย คลับไม่ได้เปิดเพลงคลอเหมือนทุกวัน พวกมันจึงได้ยินทุกคำและมองอดีตอัศวินชั้นหนึ่งด้วยสายตาที่ทั้งผิดหวังแต่ก็คาดหวังให้พูดความจริงออกมาเร็วๆ
แต่เมื่อพี่เอกไม่ตอบ ไอ้คิงก็มีวิธีฆ่าเวลาที่แสนระทึก
โครม!
เก่งจับหัวพี่เอกกระแทกกับพื้นอีกครั้ง อีกครั้ง และหลายครั้งจนผมต้องหันหน้าหนี กลิ่นบุหรี่ที่ตลบขึ้นมาทำให้ผมรู้ว่าไอ้คิงก็คงเครียดเหมือนกันถึงได้จุดสูบทั้งที่พยายามไม่หยิบขึ้นมาต่อหน้าผมนับตั้งแต่ขอให้เลิก
โครม! โครม!
โว้ยยยย เสียงกระแทกเหมือนการนับเวลาถอยหลังที่ยิ่งบีบเค้นจนแทบหายใจไม่ออก ผมเริ่มทนนิ่งไม่ไหว แต่พอจะหันไปทางเดิมก็โดนไอ้คิงยึดเอวเอาไว้ซะก่อน มันถอดสนับมือแล้ว คงไม่อยากลงมือต่อหน้าผมถึงได้ให้ไอ้เก่งจัดการแทน และแน่นอน มือข้างหนึ่งของมันคีบบุหรี่อยู่
สายตาของมันเหมือนสะกดให้ผมอยู่กับที่ คล้ายจะตำหนิว่าสุดท้ายก็ไม่พ้นอย่างที่คิดเอาไว้ เป็นผมที่ต้องทนไม่ไหวและใจอ่อน มันเป็นราชาไร้พ่าย โอเค ถึงจะมีจุดอ่อนมาหนึ่งอย่าง แต่ความโหดอันขึ้นชื่อลือชาก็ใช่ว่าจะลดน้อยลงในกรณีสำคัญอย่างนี้
โครม!
แต่โทษเถอะ ผมจะประสาทแดก
“หยุด”
ผมแทบจะถอนหายใจออกมา ตอนเหล่ไปมองพี่เอกอีกครั้งถึงกับไว้อาลัยเงียบๆ เพราะพี่แกไม่ค่อยมีสติแล้ว ท่าทางปวกเปียกไร้ซึ่งแรงต่อต้านโดยสิ้นเชิง นี่คือการกำราบแบบราบคาบหมดจดชัดๆ
“ใครคือเจ้านายของมึง”
คำถามถูกเอ่ยออกมาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงเดิม สีหน้าเช่นเดิม แต่ผู้ฟังอยู่ในสภาพสติเลือนราง และตัวสั่นจากศีรษะที่ยังโดนรั้งให้แหงนหงายเผชิญหน้า พี่เอกไม่ได้สั่นสู้ แต่มันคือปฏิกริยาของร่างกายที่เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้จากความมึนงงและเลือดที่ไหลอาบ
ผมรู้ ทุกคนต่างรู้
ถ้าพี่เอกยังไม่ตอบ ไอ้เก่งก็จะลงมืออีก และต่อให้พี่เอกหมดสติ ก็คงจะถูกทำให้ตื่นขึ้นมาจนกว่าจะเค้นเอาสิ่งที่ไอ้คิงต้องการให้ได้ โดยไม่หวั่นไหว โดยไม่ลังเล และไม่แม้แต่จะเหนื่อยหน่ายกับการรอคอย
มันเพียงสูบบุหรี่นิ่งๆ ราวกับว่าท้ายที่สุดทุกคนล้วนแพ้พ่ายต่อราชา
โดยเฉพาะในที่แห่งนี้...ในปราสาทของเรา
“ผม...”
หลังปิดปากเงียบมานาน พี่เอกที่ควรจะรู้จักเจ้านายตัวเองดีก็เริ่มเอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบแห้งและสำลักไอ
ถึงจะได้จังหวะเค้นคอ แต่ไอ้คิงกลับไม่ถามอีกครั้งให้เสียเวลา มันเพียงทิ้งบุหรี่ลงกับพื้นและใช้เท้าขยี้ ทำเอาหลายคนลอบกลืนน้ำลาย เพราะท่าทางนั้นเป็นการกดดันชั้นดีว่าเวลาพิพากษาใกล้จะจบลง
“ผม...”
ก๊อก ก๊อก
...ใครมาเคาะประตูขัดจังหวะเอาตอนนี้วะ!!
ผมหันไปมองไอ้คิงเป็นอย่างแรก เพราะมันเป็นคนจัดฉากย่อมต้องรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไอ้คิงกลับจ้องเบอร์หนึ่งเป็นเชิงออกคำสั่ง ทำให้บิชอปที่อายุน้อยที่สุดเดินหายเข้าไปในม่านสีแดงเพื่อเปิดดูว่ามีใครมาเยี่ยมเยือนในยามวิกาล
อ้าว...ไม่ใช่แผนของไอ้คิงหรอกเรอะ
สีหน้าเครียดขึงของแต่ละคนทำเอาผมที่เคยคิดว่าไอ้คิงอาจจะควบคุมทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าเริ่มระวังตัวหากเกิดเหตุสุดวิสัย ไอ้คิงโอบเอวผมแน่นขึ้น มันคงกังวลเรื่องที่ผมอยู่ตรงนี้มากกว่า เพราะถ้าเป็นแขกไม่ได้รับเชิญ...ผมซึ่งไม่มีรายชื่อในคลับจะซวยเต็มๆ
ซึ่งถือว่าเป็นความผิดของผมเองนั่นแหละ
ผมแกะมือมันตรงเอวออกแล้วจัดแจงให้ประสานนิ้วกอบกุมกัน ไอ้คิงมองผมนิ่งๆ ผมก็ฉีกยิ้มตอบ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะน่า ตอนไอ้เก่งจับพี่เอกหัวกระแทกหลายรอบยังน่ากลัวกว่าอีก
“บอส...” เบอร์หนึ่งเลิกม่านขึ้น เผยให้เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วน มันไม่กล้าพูด แต่เดินเข้ามากระซิบกับไอ้คิงแทน
แน่นอนว่าผมที่อยู่ข้างๆ ก็เสนอหน้าเข้าไปฟังด้วยความเสือกล้วนๆ
“มีคนมาขอพบพี่เอกครับ”
“ใคร”
“ผมไม่รู้จักครับ แต่เห็นว่า...เป็นนักสืบ”
สมัยนี้ยังมีนักสืบอีกเรอะ ผมนึกว่ามีแต่ในการ์ตูนซะอีก แต่จะว่าไป...ก็เคยเห็นสำนักงานที่ติดป้ายประกาศว่ารับตามสืบเรื่องชู้สาวอยู่เหมือนกัน อย่าบอกนะว่า...พี่เอกให้นักสืบไปคุ้ยประวัติผมเพื่อเอามาดิสเครดิตควีน!?
จะบ้าเรอะนิลกาฬ ร้อนตัวไปได้
“เขาบอกว่าพี่เอกจ้างให้ตามสืบเรื่องของผับฝั่งตรงข้าม ผมคิดว่า...อาจจะเกี่ยวกับเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนครับ”
“พาไปที่ออฟฟิศจากทางผับ” ไอ้คิงออกคำสั่ง
“ครับบอส” เบอร์หนึ่งก้มหัวนิดๆ ก่อนจะเดินหายไปในม่าน ระหว่างนั้นไอ้คิงก็หันมาพูดกับพี่แว่น
“ไปพาหมอบออกมา ถ้ายังไม่ตื่นก็ให้คนไปลากออกมานอนที่ชั้นสองของคลับ”
“แล้วชายล่ะครับบอส” พี่แว่นถามพลางเหล่ผมน้อยๆ
“...ถ้าอยากตามมาด้วยก็ปล่อยไป”
“ครับบอส” พี่แว่นรับคำก่อนจะเดินขึ้นบันได ทิ้งให้ผมอยู่กับไอ้คิงและอัศวินอีกสองคน ด้วยสถานการณ์ที่ค่อนข้างทำความเข้าใจได้ยาก แต่นิลกาฬซะอย่าง พอตั้งใจประมวลผลลัพธ์ก็พอตามความคิดไอ้คิงทัน
มันให้นักสืบไปรอที่ห้อง แสดงว่าต้องการรู้ข้อมูลที่พี่เอกให้ไปสืบ แต่เพื่อป้องกันเรื่องคลับ ก็เลยให้เข้าจากทางผับสินะ ส่วนพี่หมอบ...สภาพโดนต่อยแบบนั้นถ้าโดนเห็นจะไม่ดีไม่งาม เลยต้องพาออกมา และไอ้ชาย...มันเคยเห็นคลับตอนปิดบริการมาแล้ว ฉะนั้นถ้าให้เห็นอีกรอบก็ไม่เป็นไร
ปัญหาในตอนนี้คือ...พี่เอกจะทำอะไรกันแน่
ถ้าจะทรยศคลับ แล้วทำไมถึงจ้างนักสืบไปสอดส่องศัตรู สรุปแล้วที่ผมอัดเสียงมาว่า ‘ขั้นต่อไป’ ไม่ใช่เรื่องตำรวจ แต่เป็นเรื่องนี้งั้นเหรอ
ผมหันไปมองหน้าไอ้คิงอย่างถามความเห็น ก่อนจะบีบมือมันเบาๆ เป็นเชิงว่าเรื่องนี้กลิ่นแม่งๆ ว่ะผัว
“คุมตัวไว้ก่อน” ไอ้คิงหันไปสั่งไอ้เก่ง ก่อนจะเปลี่ยนมาโอบเอวผมอีกครั้งแล้วพาเดินขึ้นชั้นบน คงตั้งใจจะสะสางกับทางนักสืบก่อน แล้วค่อยมาเค้นคอพี่เอกอีกรอบ
ผมแอบหันหลังกลับไปมอง ทันเห็นไอ้เก่งพาพี่เอกไปนั่งพิงกับโต๊ะสนุ๊กเกอร์แล้วหาผ้ามากดห้ามเลือดเอาไว้ อย่างกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้จับโขกหัวไปเกือบสิบรอบอย่างนั้นล่ะ พวกลูกน้องเองก็ชะโงกดูอย่างกระวนกระวาย ยังไงพี่เอกก็ถือเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี พอสถานการณ์เปลี่ยน ไอ้คิงเริ่มแผ่รังสีน้อยลง เลยกล้าแสดงความเป็นห่วงขึ้นมา
แต่ไอ้คิงไม่สนใจหรอกครับ มันเดินหน้าตรงไปที่ห้องอย่างเดียวไม่สนใจใคร ซึ่งก็ถือว่าดีแล้วเพราะถ้าหันไปเห็นจะยิ่งทำอะไรไม่ถูกมากกว่า สวนกับพี่แว่นที่พาพี่หมอบเดินออกจากห้องพอดี พี่แกตื่นแล้วครับ แต่ดูเป๋ๆ เลยต้องให้ไอ้ชายช่วยพยุง
“เดี๋ยวคุยกัน”
ผมรีบขยับปากบอกไอ้ชายแบบไร้เสียงเพื่อดักไว้ก่อน ตอนนี้องค์ไอ้คิงยังไม่ออกจากร่าง ถ้าไปสะกิดหูแล้วเท้ากระตุกขึ้นมาจะช่วยไม่ทัน กันไว้ดีกว่าแก้ครับ
พอปิดประตูเสร็จสรรพผมกับไอ้คิงก็ไปนั่งที่ตำแหน่งโต๊ะทำงาน รอไม่นานเบอร์หนึ่งก็พานักสืบเข้ามา...อะไรเนี่ย ผมหวังสูงหรือโดนการ์ตูนหลอกวะ ผมนึกว่าพวกนักสืบต้องทำตัวเซอร์ๆ ไม่อาบน้ำ ไม่สระผมซะอีก หรือไม่ก็ใส่ชุดสูทแบบยกระดับขึ้นไปอีกขั้น แต่เท่าที่ดู คนที่เดินตามหลังเบอร์หนึ่งเข้ามาหน้าตาช่างสมเป็นตัวประกอบเอามากๆ
ผมไม่ขอบรรยายแล้วกัน เพราะเดี๋ยวก็ถูกเขี่ยทิ้งอยู่ดี
“เอ่อ...คุณเป็นอะไรกับนายเอกภพเหรอครับ” นักสืบคนนั้นถามแบบกล้าๆ กลัวๆ จะโทษก็ไม่ได้หรอก ใครใช้ให้ไอ้คิงวางมาดทำตาดุขนาดนี้ล่ะวะ
“เจ้านาย”
“อ้อ” นักสืบดูจะโล่งใจทันที “งั้นคุณคงเป็นคนสั่งเขาอีกทีสินะครับ”
ไอ้คิงไม่ตอบ เพราะเจ้านายที่คุณนักสืบเข้าใจ เป็นคนเดียวกับที่มันพยายามเค้นจากพี่เอก
นี่มันเนียนสวมรอยชัดๆ!
ผมกับเบอร์หนึ่งแอบสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ เชื่อสิว่าต้องคิดตรงกันอยู่แหงๆ
“นี่เป็นข้อมูลที่ผมสืบมาได้” น่าสงสารนักสืบที่ตกกับดักไอ้คิงไม่รู้ตัว นำเอกสารทั้งหมดรวมทั้งภาพถ่ายวางบนโต๊ะทำงานพลางอธิบายอย่างละเอียด “ผับแห่งนี้เพิ่งเปิดเมื่อเดือนก่อน เจ้าของเป็นนักธุรกิจเล็กๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ ช่วงเปิดแรกๆ สามารถดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่ได้พอสมควร แต่ในช่วงปลายเดือนมานี้จำนวนคนลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีโปรโมชั่นก็ไม่เป็นผล เพราะด้วยสถานที่และการจัดการหลายอย่างซึ่งไม่เป็นมืออาชีพพอ”
ผมพยักหน้ารับเป็นช่วงๆ เพราะพอคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าผับนั้นคงอยู่ไม่รอดเกินสามเดือนหรอก
แต่ที่งงคือ...แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ผมต้องนั่งฟังทั้งที่พี่เอกยังนอนพะงาบอยู่ข้างล่างวะ
ผมเผลอเอียงตัวไปหาไอ้คิงน้อยๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ ขณะที่คุณนักสืบตั้งอกตั้งใจอธิบายโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้เห็นถึงบรรยากาศสีชมพู
“เมื่อสิบวันก่อน เกิดเหตุการณ์คนเมาอาละวาดจนมีคนเจ็บถึงเจ็ดคน จากคำบอกเล่าจากลูกค้าในวันนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะไม่ยอมเสี่ยงกับผู้จัดการที่ไม่สามารถควบคุมหรือให้ความช่วยเหลือใดๆ อย่างเหมาะสมเด็ดขาด เป็นเรื่องราวใหญ่โตถกเถียงในโซเชี่ยลระยะหนึ่ง”
สิบวันก่อนงั้นเหรอ คุ้นๆ ว่าไอ้หญิงเคยพูดว่ามีคนโดนหามส่งโรงพยาบาลเหมือนกัน
“เดี๋ยวนะ” ผมกลับไปนั่งตัวตรงแบบเดิม “ลูกค้าคนนั้นใช่คนของผับเรารึเปล่า”
นักสืบทำหน้าเจื่อนเมื่อผมพูดคำว่า ‘เรา’
“ใช่ครับ”
ผมไม่แปลกใจ เพราะแถวนี้ก็มีผับดังๆ แค่ไม่กี่ที่ คนชอบเที่ยวย่อมวนไปเวียนมาไม่ไปไกลจากกันนักหรอก
“อย่าบอกนะว่า...”
“ดูเหมือนว่าคนที่ติดต่อตำรวจเมื่ออาทิตย์ก่อน จะเป็นฝีมือเจ้าของผับที่ต้องการดิสเครดิตร้านของคุณน่ะครับ”
สุดท้ายแล้วเรื่องการแจ้งตำรวจอะไรนั่นก็เป็นเพียงการแก้แค้นแบบเด็กน้อยของเจ้าของผับ ที่คงพอได้ยินข่าวคราวของทางคลับแล้วจงใจดิสเครดิตลดความเชื่อถือของลูกค้า โดยไม่ได้สืบสาวมาก่อนว่าไอ้คิงแม่งแบคใหญ่ขนาดไหน หวังแค่ว่าหากจู่ๆ มีตำรวจเดินป้วนเปี้ยนย่อมเกิดความไม่สบายใจ ยิ่งถ้ารื้อค้นเจออะไรเข้าจริงๆ แล้วมีคนลงในโซเชี่ยลขึ้นมา...
ไม่อยากจะคิด
“กร จัดการเรื่องค่าตอบแทน” ไอ้คิงตัดบททันทีเมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการ อารมณ์ตึงๆ เริ่มจะผ่อนลงนิดหน่อยเพราะเรื่องไม่ได้ใหญ่อย่างที่คิดเอาไว้ และไม่ได้เกิดจากพวกเดียวกันเอง
แต่ประเด็นเจ้านายของพี่เอกก็ยังหาคำตอบไม่ได้อยู่ดี
“ไม่ต้องครับ คนของคุณโอนเงินเข้ามาแล้ว และให้ผมออกใบเสร็จด้วย” คุณนักสืบรีบยกมือห้าม “นี่ไง ออกใบเสร็จในนามของคุณเลย”
แจ็คพ็อตสิครับ
ไอ้คิงรับแผ่นกระดาษที่เขียนค่าใช้จ่ายต่างๆ ขึ้นมาดู ในนั้นระบุเรื่องค่าเดินทาง ค่าปิดปาก ค่าจิปาถะพอสมควร ราคาถือว่าสูงเกินคาด พี่เอกคงไปสรรหามือดีเข้าล่ะมั้ง แต่ชื่อที่ระบุว่าเป็นผู้จ่ายเงินนั้น...
ผมไม่รู้จัก
อย่ามองนิลกาฬด้วยสายตาผิดหวังแบบนั้นสิ ถึงผมจะไม่รู้ แต่ไอ้คิงต้องรู้แน่นอน เพราะพอเห็นปุ๊บมันก็ขยำกระดาษปั๊บ สายตาอำมหิตจนผมสะดุ้งเฮือก ส่วนคุณนักสืบแทบลืมวิธีหายใจ
“ส่งแขก”
“เชิญทางนี้ครับ” เบอร์หนึ่งรีบพาตัวประกอบฉากหลบออกไปก่อนที่ราชาจะพิโรธ บรรยากาศในนี้ทั้งร้อนทั้งอึดอัด อย่างกับจู่ๆ ก็ถูกผลักไสให้ไปอยู่กลางทะเลทรายซาฮาร่าพร้อมกับสิงโตหิวเนื้อตัวหนึ่งชอบกล พอเหลือแค่สองคนผมเลยทำใจสู้ลองแตะไหล่ไอ้คิงแบบกล้าๆ กลัวๆ มันจะหันมากัดมั้ยวะ
“คิง...”
“ปู่กู”
“อะไรนะ”
เหวอแดกสิครับ จู่ๆ ก็พูดอะไรขึ้นมาเนี่ย
แต่ไอ้คิงไม่เล่นด้วย มันวางก้อนกระดาษลงบนโต๊ะ ยกมือกุมขมับ แล้วหลับตาอย่างเหนื่อยล้าสุดแสนขณะเอ่ยย้ำออกมาอีกครั้ง
“บนนั้น...ชื่อปู่กูเอง”
ชิบหายแล้วไง!
-------------
เป็นอันหมดข้อสงสัย พี่เอกเป็นคนของปู่พี่คิงค่ะ มีหลายคนเดาถูกด้วย
แต่ก่อนหน้านี้มีความเห็นนึงที่เราอึ้งมาก เพราะเดาถูกตั้งแต่ช่วงสงสัยกระต่ายก่อนจะจับผิดพี่เอกอีก ล่อซะเสียเซลฟ์เลยทีเดียว แต่ไม่เป็นไรค่ะ ยกประโยชน์ให้จำเลย ก็ปูมาซะขนาดนี้แล้ว 5555 ปล.คนคนนั้นคือคุณ kitty08 ค่ะ
รายละเอียดจะเป็นยังไง ตอนหน้า รอลุ้นกันต่อเน้อ!
เพจนักเขียนที่อยากไปฝากตัวเป็นหลานสะใภ้คุณปู่จังเลยค่ะ