Special : วันรับปริญญา
“ชาย ยืมตักหน่อยดิ”
“ง่วงเหรอนิล”
“อืม ไม่ไหวแล้ว” ผมพูดพลางขยี้ตาด้วยความง่วงสุดจะทน ไม่ใช่อะไรครับ โดนหญิงปลุกให้ตื่นเป็นเพื่อนตั้งแต่ตีสาม ทั้งที่ผมกับชายไม่ได้เกี่ยวด้วยเลย แต่ก็ต้องถ่างตามาเป็นเจ้ากรรมนายเวรรอมัน นี่ก็ผ่านไปเป็นชั่วโมงแล้ว...แม่ง เพิ่งแต่งหน้าเสร็จ! เหลือทำผมอีกหนึ่งชั่วโมง!
เพื่อนชายผู้แสนดีเห็นผมงัวเงียก็รีบพับเสื้อครุยเป็นทบหนาวางบนตักแล้วให้ผมนอนหนุนสบายๆ แถมยังเอากระดาษแถวนั้นมาช่วยพัดให้อีก ถ้าไม่ติดว่าพี่หมอบโคตรกากจนน่ากลัวว่าจะหาแฟนใหม่ไม่ได้ ผมล่ะไม่อยากจะยกมันให้ใครเลย คนดีเหลือเกินไอ้ชายของผม
อย่า อย่าเพิ่งงงครับว่าพวกผมจับกลุ่มทำอะไรกันทั้งที่เรียนจบมานมนานถึงขนาดพาไอ้คิงไปหาพ่อตาแม่ยายแถมไอ้หญิงก็แต่งงานจนท้องป่องไปแล้ว ชีวิตนักศึกษาใช่ว่าจะจบแล้วจบเลยนี่ครับ สอบเสร็จก็อีกช่วง เกรดออกก็อีกช่วง รับปริญญา...ก็อีกช่วงเหมือนกัน
ผ่านมาสี่เดือนหลังเรียนจบ ไอ้หญิงก็มีน้องน้อยพร้อมอายุครรภ์สามเดือนพอดี เป็นโชคของมันแล้วที่หลังพ้นช่วงอันตรายสุขภาพก็แข็งแรงสมบูรณ์ทุกอย่าง ปู่เลยยอมให้มันออกจากบ้าน ไม่งั้น...รับปริญญาเนี่ยอย่าฝันเลย!
ส่วนไอ้คิงไปไหนน่ะเหรอครับ เอ่อ คลับเลิกงานตีสาม ส่วนพวกผมนัดช่างแต่งหน้าตอนตีสามครึ่ง จะให้มันมาด้วยก็ยังไงอยู่ เมื่อวานผมเลยหยุดงาน ควงไอ้ชายไปนอนที่บ้านหญิง หรือก็คือ...บ้านคุณปู่เพื่อจะได้แหกขี้ตาตื่นมาทันตามนัดนั่นเอง
ความจริงแล้วผมก็ถือเป็นมนุษย์กลางคืนคนหนึ่ง ไม่น่าจะง่วงหาวอะไรเอาตอนนี้ แต่ให้นั่งรอเฉยๆ มันเบื่อเกินทนจริงๆ ครับ เล่นเกมจบไปไม่รู้กี่ตาจนอยากทิ้งตัวนอนตัดปัญหาซะให้ได้
“วันนี้พ่อกับแม่จะมากี่โมง” ผมพึมพำถามไอ้ชายขณะขยับตัวในท่านอนหนุนตักให้สบายที่สุด เนื่องจากพวกท่านรับปากว่าจะมางานวันนี้ให้ได้โดยขึ้นรถตู้บึ่งมาจากเพชรบูรณ์
“เห็นว่าจะออกมาตอนเจ็ดโมงน่ะนิล”
“งั้นก็มาถึงราวๆ สิบโมงกว่าสินะ ไอ้คิงมันบอกจะไปรับที่จุดจอดรถตู้แล้วพามาพร้อมกันเลย”
“หมอบเองก็บอกจะไปเหมือนกัน สองคนนั้นนัดกันแล้วใช่มั้ย”
“น่าจะมั้ง” ผมไม่แน่ใจ เลยพลิกตัวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความย้ำกับไอ้คิงเรื่องเวลาและให้นัดแนะกับพี่หมอบดีๆ
พอกดส่งเสร็จผมก็เตรียมนอนต่อ แต่ดันมีสายเรียกเข้าซะได้
“ยังไม่นอนอีกเหรอมึง”
นิลกาฬพูดจาไพเราะกับสามีเสมอ
(( ไม่มีเมียให้กอดเลยนอนไม่หลับ ))
...ขนลุกเกรียวไปหมด สองปีผ่านไปไอ้คิงก็ยังหวานเลี่ยนรักผมปานจะกลืนกินไม่เปลี่ยนแปลง
“รีบๆ นอนซะเพราะเดี๋ยวกูใช้งานหนักแน่ เด็กถือของ” ผมพูดกลั้วหัวเราะเพราะรู้ดีว่าวันรับปริญญามันชุลมุนวุ่นวายขนาดไหน ราชาก็ราชาเถอะ ต้องลดตำแหน่งมาเป็นเด็กถือของให้นิลกาฬ!
(( หึ ))
ไอ้คิงไม่หือไม่อือ เพียงแค่นหัวเราะมาคำหนึ่ง
“นอนๆๆ”
(( อืม แล้วเจอกัน ))
วางสายเสร็จผมก็อมยิ้ม ไอ้คิงมันไม่ยอมไปงานรับปริญญาตัวเองเพราะขี้เกียจตื่นเช้าพ่วงไม่ชอบความวุ่นวาย แต่มันให้ความร่วมมือในงานของผมอย่างเต็มที่ ไม่บ่นสักคำ แถมยังตั้งหน้าตั้งตารอซะด้วยซ้ำ
ผมทิ้งตัวนอนบนตักไอ้ชายอีกครั้ง หลับไปได้หนึ่งชั่วโมงหญิงในสภาพสวยเช้งก็สะกิดปลุก มิน่าล่ะทำนาน แม่ง ถักเปียยิบย่อยเป็นมวยขึ้นไปขนาดนั้น แค่เห็นก็เหนื่อยแทนแล้ว
“กินก่อนไอ้นิล”
แม้ใกล้จะเป็นแม่คน หญิงก็ยังทำตัวเป็นผู้ปกครองผมอยู่ดี มันหยิบข้าวกล่องเซเว่นที่เตรียมไว้ให้ผมกินรองท้องก่อนจะเดินทางไปมหาลัย
“ใจว่ะ แล้วมึงโอเคนะ ไม่ใช่ลูกดิ้นตอนอยู่ในห้องนะเว้ย”
“บ้าเหรอ ลูกกูยังตัวเท่าเล็บขบอยู่เลย” ไอ้หญิงว่าพลางลูบท้อง คงเพราะท้องสาว เลยไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่ เอาตรงๆ นะ ลูบๆ ไปแม่งก็มีแต่ไขมัน
หลังพวกเรากินข้าวเสร็จก็เรียกแท็กซี่ไปมหาลัย กว่าจะใส่ชุดครุย กว่าจะถ่ายรูปประเดิมแบบสามคน กว่าจะเช็กชื่อ กว่าจะเข้าแถว กว่าจะเข้าห้องก็เสียเวลาอีกชั่วโมงกว่า...และหลังจากนั้นคือช่วงเวลาแห่งการนอนอย่างแท้จริง
ผมวางใจเต็มที่เพราะเลขติดกับชาย ฉะนั้นถึงจะนั่งคอพับคออ่อนตอนนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเรียกชื่อแล้วออกไปรับปริญญาไม่ทัน
“นิล”
เข้าสู่ห้วงนิทราไปวูบใหญ่ชายก็สะกิดเรียกผม
“ใกล้แล้ว เตรียมตัวเร็วนิล”
ผมพยักหน้าอือออแบบมึนๆ ชายเลยช่วยจัดเสื้อจัดทรงผมให้ หลังจากนั้นอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงตาผมเดินเรียงแถวออกไป รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเมื่อใกล้จะถึงตาตัวเอง
และเมื่อชื่อผมถูกประกาศ นายนิลกาฬจึงก้าวเดินออกไปอย่างมั่นใจตามที่เคยซักซ้อมไม่ผิดเพี้ยน ผมเอื้อมมือรับใบปริญญาด้วยความภาคภูมิ ก่อนจะโค้งตัวได้องศาอย่างพอเหมาะและเดินถอยหลังออกมา ทั้งที่เรียนจบมาตั้งหลายเดือน แต่พอได้ถือใบปริญญาดันรู้สึกเหมือนยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย
พอหันไปมองที่ชายอยู่ลำดับต่อจากผมเดินตามหลังมาผมก็ยิ้มกว้างให้ เขาเองก็ยิ้มตอบ พวกเราแอบชนหมัดกันเบาๆ ระหว่างเดินกลับที่นั่ง ส่วนไอ้หญิง...มันอยู่ถัดจากพวกผมไปอีกสองแถว ป่านนี้คงถูกเรียกให้ออกไปยืนเรียงแล้วละมั้ง
เมื่อได้สิ่งที่ทุ่มเทมาตลอดสี่ปีไว้ในมือผมก็ไม่ง่วงอีก นั่งหลังตรงจนจบพิธีการและเริ่มทยอยออกจากห้องตอนเที่ยง อื้อหือ ในห้องก็เงียบดีหรอกนะ แต่พอก้าวออกจากประตูมานี่อย่างกับอยู่ในตลาด คนเยอะไม่พอยังแย่งกันพูดอีก ชายคอยจับมือผมไว้เพราะกลัวหลงแล้วคอยมองหาไอ้หญิง พอเจอพวกเราก็รีบเข้าไปยืนประกบซ้ายขวาป้องกันไม่ให้มีใครเดินชนหรือเบียดมัน ประเดี๋ยวหลานหลุดขึ้นมาจะยุ่ง
ถึงงานจะเลิกเที่ยงแต่กว่าจะเดินหลุดออกมาจากกลุ่มคนได้ก็ปาไปเกือบบ่าย ผมรีบโทรศัพท์หาไอ้คิงทันที ก่อนจะได้ความว่ามันรับพ่อกับแม่มาแล้วและรออยู่ตรงศูนย์อาหาร
ตอนนี้ผมหิวไส้กิ่ว ปกติท้องไส้ไม่ค่อยจะดีต้องกินตรงเวลาอยู่แล้วเลยรีบตามไปสมทบ ตอนไปถึงแทบท้อเพราะแถวยาวมาก แน่ล่ะ ก็มันจะบ่ายแล้วนี่นา ยังดีครับที่ผัวผมฉลาด สั่งกับข้าวรอสำหรับสามคนไว้ก่อนแล้ว มาถึงพวกผมก็โซ้ยข้าวพอดี
“หญิงจ๋า เป็นไงบ้าง”
นอกจากไอ้คิง พี่หมอบ และพ่อกับแม่ผมแล้ว ไอ้อเล็กซ์ก็ตามมาด้วยอีกคน คอยนัวเนียภรรยาไม่ห่าง
“ถอดครุยก่อนมั้ย” ไอ้คิงคงเห็นว่าผมเหงื่อแตกเลยถาม เพราะกว่าจะเดินฝ่าคนมาถึงนี่ได้เล่นเอาแทบหอบ
“ไม่ต้องอ่ะ เดี๋ยวก็ใส่ใหม่ กูขี้เกียจ” ผมตอบแล้วก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว ปล่อยให้ไอ้คิงช่วยซับเหงื่อให้ ก่อนจะรู้สึกเขินขึ้นมาเพราะพ่อกับแม่มองพวกเรายิ้มๆ
เออ...ผมยังไม่ได้คุยกับพวกท่านเลยถ้าไม่นับตอนเดินเข้ามาแล้วยกมือไหว้
“พ่อกับแม่กินข้าวแล้วใช่มั้ยครับ”
“กินแล้วจ้ะ หนูนิลตามสบายเลย”
“แล้วตอนขามาโอเคดีนะครับ”
“โอเคสิจ๊ะ หมอบกับคิงดูแลพวกเราดีมาก ไม่ต้องห่วงนะ”
พี่หมอบเชิดหน้ายืดอกทันควัน...มันทำให้ผมนึกถึงสองปีก่อนที่พี่แกรับปริญญา ไม่รู้ว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไร วันนั้นฝนตกครับ...ทุลักทุเลมากเพราะทุกคนอัดรวมกันอยู่แต่ในที่ร่ม เบียดกันแล้วเบียดกันอีก ถ่ายรูปแทบไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องกลับก่อนในสภาพครุยชื้นๆ เป็นโชคดีของไอ้คิงแล้วที่ตัดสินใจไม่แหกขี้ตาตื่นมาร่วมงาน
กินข้าวเสร็จหญิงก็รีบขอตัวเข้าห้องน้ำไปเพิ่มแป้งและเติมลิป ระหว่างนั้นผมเลยรีบถ่ายรูปกับพ่อและแม่ก่อน ตากล้องก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้คิงนั่นแหละครับ วันนี้ผมกะใช้งานมันเต็มที่ และมันเองก็มีฝีมือถ่ายรูปด้วย ผัวใครวะทำอะไรก็เก่ง
หลังไอ้หญิงเข้ามาสมทบก็บอกให้อเล็กซ์ไปถือกล้องแทนเพราะจะให้พวกผมถ่ายรูปหมู่รวมไอ้ชายกับพี่หมอบด้วย หลังถ่ายรูปจนพอใจพ่อกับแม่ก็อวยพรพวกเราและให้ของขวัญเป็นเงินสดก้อนหนึ่งไว้ตั้งตัว แม้ว่าผมกับชายจะมีงานทำแล้วแต่ก็ถือเป็นฤกษ์งามยามดีให้มุ่งมั่นตั้งใจเก็บเงินกันต่อไป
พี่หมอบอาสาพาพวกท่านไปส่งที่จุดจอดรถตู้เพราะพ่อกับแม่ตั้งใจมาร่วมงานไม่นานอยู่แล้ว พวกท่านอยากให้ผมสนุกกับบรรดาเพื่อนๆ มากกว่า ส่วนไอ้คิงไม่ต้องพูดถึง รับหน้าที่ตากล้องพ่วงบอดี้การ์ดและเด็กถือของไปเรียบร้อย
“นิล ขอถ่ายรูปด้วยดิ!”
“เออ มาๆ”
ไม่อยากจะโม้ว่าผมน่ะป็อปปูล่าสุดๆ ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักนิลกาฬแห่งคณะอักษรกันทั้งนั้นแหละน่า เลยมีคนขอถ่ายรูปเยอะเป็นพิเศษ มีทั้งรุ่นเดียวกัน รุ่นพี่ รุ่นน้อง แต่ละคนก็มีของติดไม้ติดมือมาด้วยไม่ว่าจะเป็นลูกโป่งหรือตุ๊กตา ผมเลยเลือกแต่พร็อบประกอบสวยๆ เวลาถ่ายรูป ที่เหลือยัดใส่ถุงแล้วให้ไอ้คิงหิ้วเอาครับ
“หญิง มึงกลับก่อนมั้ย”
ผมถามเมื่อเห็นเพื่อนสาวเริ่มหน้าซีด กลัวว่ามันจะฝืนตัวเอง
“เดี๋ยวคุณปู่จะมาว่ะ ท่านบอกจะมาถ่ายรูปด้วยแล้วรับกูกับอเล็กซ์กลับไปพร้อมกันเลยทีเดียว”
“โอ้...” ผมพูดอะไรไม่ออก เพราะไอ้หญิงพูดจบประโยคปุ๊บ คุณปู่ที่สวมชุดเครื่องแบบราชการก็ปรากฏตัวปั๊บ เล่นเอาทุกคนแหวกทางเดินให้อย่างพร้อมเพรียงเพราะกลัวบรรดาตราที่เรียงอยู่บนบ่าของท่าน
“สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้ทันควัน ไม่ลืมศอกใส่ไอ้คิงด้วย แต่ผัวผมมือแข็งยังไงก็ยังคงเดิมไม่เคยเปลี่ยน ท่ามากจนนิลกาฬยอมใจ
“ไม่ต้องเกร็งกัน ปู่แค่มาแสดงความยินดี” คุณปู่มองผมด้วยสายตาเอ็นดูแทบจะข้ามหัวหลานตัวจริงอย่างไอ้คิง ท่านสอบถามอาการหญิงเล็กน้อยก่อนจะแยกถ่ายรูปกับผมรูปหนึ่ง กับไอ้หญิงรูปหนึ่ง และแบบรวมทุกคนกันอีกรูป
“ไอ้ชาย วานทีดิ” ผมหันไปขยิบตาใส่เพื่อนซี้พร้อมฉกกล้องในมือไอ้คิงส่งให้โดยไม่รอให้คุณสามีปฏิเสธ
ไอ้ชายก็รู้ใจผมเหมือนเดิม พอเห็นผมลากแขนไอ้คิงเข้าเฟรมได้ปุ๊บก็กดถ่ายปั๊บ ออกมาเป็นรูปรวมระหว่างผม คุณปู่ และไอ้คิง น่าจะเป็นรูปถ่ายรูปแรกเลยมั้งเพราะปกติไอ้คิงไม่ชอบถ่ายรูป...ส่วนคุณปู่ไม่ต้องพูดถึง สายเลือดเดียวกันเป๊ะ ถ้าไม่มีโอกาสดีๆ อย่างนี้คงไม่ยอมปั้นหน้าเก๊กให้ถ่ายเด็ดขาด
ผมยืนส่งคุณปู่ที่พาหญิงกับอเล็กซ์กลับบ้านไปก่อนแล้วเดินเตร็ดเตร่กับไอ้ชายโดยมีเด็กถือของตามหลัง แอบเหลือบมองเป็นระยะว่ามันจะบ่นรึเปล่า แต่ไอ้คิงแค่ขมวดคิ้วครับ น่าจะเพราะร้อนและรำคาญเสียงโหวกเหวกโวยวายมากกว่า ส่วนเรื่องคนเบียดเสียดไม่ต้องพูดถึง หัวไอ้คิงแม่งแดงเด่นขนาดนี้ไม่ต่างกับประกาศอาณาเขต ตอนปู่เดินมาคนแหวกทางยังไง ตอนไอ้คิงเดินก็แทบไม่มีใครกล้าเฉียดพอกัน
“คิง เอาตรงนี้ๆ”
ผมลัลล้าสุดขีด เจอจุดน่าสนใจก็รีบหยุดถ่าย ไอ้คิงมันเริ่มรู้งาน จากตอนแรกเอาแต่ยืนเก๊กปล่อยให้ผมโพสท่าเก้อคนเดียว หลังๆ ก็ชักจะตามทัน เห็นผมเรียกก็ยกกล้องปั๊บ มีแอบส่งสายต่อล้อเลียนเป็นระยะ บางครั้งบางทีก็เข้ามาช่วยจัดเสื้อ จัดผมให้ ปกติผมกับไอ้คิงสวีทก็กันไม่สนใจใครอยู่แล้ว
“นิล โทรศัพท์” ชายสะกิดบอกผมเพราะมัวแต่หามุมถ่ายรูปจนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์
“ขอบใจ” ผมกดรับสาย ก่อนจะอึ้งตะลึงเพราะคนที่โทรมาคือ...พี่เอก!
พี่เอกเนี่ยนะ?ผมไม่ได้บอกเรื่องวันรับปริญญากับคนในคลับ หรือไอ้เบอร์หนึ่งจะปากโป้งเพราะมันอยู่มหาลัยเดียวกับผม แต่...พี่เอกไม่มีความจำเป็นต้องมาสักหน่อย เพราะในตอนนี้ผมคือนิลกาฬ ไม่ใช่ควีน
(( อยู่ตรงไหนเหรอครับ ))
เล่นไม่เปิดโอกาสแต่ถามเหมือนมาถึงงานแล้วแบบนี้ ผมเลยบอกตำแหน่งตัวเองไปและยืนรออย่างงงๆ ก่อนจะร้องอ๋อเมื่อเห็นพี่เอกเดินแทรกกลุ่มคนเข้าหาพร้อมกับร่างในชุดสูทที่เดินตามหลังมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง บ่นพึมพำขมุบขมิบไม่หยุด เชื่อสิว่าต้องหงุดหงิดเรื่องคนเยอะและอากาศร้อนอบอ้าวอยู่แน่ๆ
...นาย“ยินดีด้วยนะครับควีน” พี่เอกยิ้มให้ผมพร้อมมอบช่อดอกไม้ ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้นายที่ยืนเยื้องอยู่ข้างหลังออกมาเผชิญหน้ากับผม “เอ้า พูดสิคุณ ให้โทรเองก็ไม่ยอมโทร ทั้งที่ตื่นมารอตั้งแต่เช้าแท้ๆ”
“แล้วแกจะพูดมากทำไม” นายหันไปถลึงตาใส่พี่เอก แต่พอเห็นผมหลุดยิ้ม ก็กระแอมไอแก้เก้อก่อนจะหยิบซองเงินส่งให้ผม “ยินดีด้วยนะนิลกาฬ”
“ขอบคุณครับนาย...ขอบคุณพี่เอกด้วยนะครับ”
“ถ่ายรูปกับนายได้มั้ยครับควีน” พี่เอกยังคงเป็นปากกระบอกเสียงแทนคนรักที่ไม่ค่อยจะกล้าพูดกับผมเท่าไหร่ คงไม่ค่อยชินละมั้ง อย่าว่าแต่ใครเลย ผมเองก็ไม่ค่อยชินหรอกเวลาเห็นคนในอดีตมาแสดงความยินดีในวันสำคัญแบบนี้ แต่ถึงนายจะทำกับผมไว้มาก ตอนนี้ผมก็ไม่ค่อยโกรธเขาแล้ว อย่างที่เคยบอกไป ผมยกโทษให้เขาได้ แต่ไม่มีวันรัก
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เนอะ ไอ้คิง”
...ชะอุ้ย หรือจะมีวะผมเพิ่งเห็นสีหน้าว่าคนที่นิ่งเงียบตลอดแอบแผ่รังสีอำมหิตออกมา พี่เอกก็ช่างตีเนียนเหลือเกิน พอได้รับคำตอบจากผมก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบลากแขนนายที่คล้ายจะยังไม่อยากไปไหนให้ออกห่างก่อนจะมีคนหึงโหดอาละวาด
“ชาย กูหิวน้ำอ่ะ”
“น้ำหมดแล้วเหรอนิล งั้นเดี๋ยวไปซื้อให้นะ” ชายรีบปลีกตัวทันที สบโอกาสให้ผมอยู่กับไอ้คิงสองต่อสอง
“เป็นไรวะ” ผมเอาซองเงินที่นายให้ตบอกอีกฝ่าย เพราะเวลาได้ของอะไรมาผมก็ส่งให้มันยัดใส่ถุงที่เตรียมมาหมด พยายามไม่แสดงออกว่าประทับใจของใครเป็นพิเศษ “นายคบกับพี่เอกตั้งสองปีแล้ว ยังจะหึงอีกเหรอ”
“กูไม่ชอบสายตาที่มันมองมึง”
“ก็แค่ยังห่วงกันเฉยๆ น่า” ผมปลอบใจก่อนจะก้มหน้าหอมแก้มมันเร็วๆ หนึ่งที คล้ายจะได้ยินเสียงวี๊ดว๊ายดังไม่ใกล้ไม่ไกลแต่ก็พยายามจะอุดปาก น่าจะเป็นกลุ่มแฟนคลับของผมที่คอยเดินตามเป็นระยะแต่เว้นระยะห่างหลายช่วงตัวประหนึ่งนินจาตามสะกดรอย เพราะเรื่องที่ผมกับคบไอ้คิงตั้งแต่ปีสองไม่ใช่ความลับอะไร ในเมื่อตอนเรียนก็มารถคันเดียวกับมัน กลับก็กลับกับมันซะขนาดนั้น ผู้ชายหน้าตาดีสองคนคบกันย่อมเป็นที่พูดถึงบ้าง ไม่ว่าจะในแง่ดีหรือแง่ร้าย แต่ไอ้คิงมันน่ากลัว จะแง่ไหนก็ทำให้คนที่ทั้งชอบและเกลียดต้องเก็บอาการห้ามล้ำเส้นเด็ดขาด
“เหนื่อยมั้ย” ผมเอียงตัวยืนพิงไอ้คิงเพื่อหยิบกล้องซึ่งคล้องคอมันขึ้นมาเปิดดูรูประหว่างรอเพื่อน
“ไม่ มึงล่ะ” ไอ้คิงโอบเอวผมอย่างคุ้นชิน
“เหนื่อยนิดหน่อย แต่สนุกดี” ผมตอบยิ้มๆ “มึงถ่ายเก่งว่ะ โฟกัสชัดทุกรูป แล้วนี่อะไร โห ปรับฉากหลังเบลอเป็นด้วยเหรอ ไปฝึกจากไหนวะ”
“ก็หาๆ เอาจากในเน็ต” ไอ้คิงก้มหน้ามองรูปที่ถูกชม “มึงรอวันนี้มานาน กูอยากให้เป็นความทรงจำที่ดี”
ผมยิ้ม วันรับปริญญาสำหรับไอ้คิงก็แค่งานงานหนึ่งที่ไม่สลักสำคัญหนัก ในเมื่อสิ่งที่มันต้องการคือความรู้ที่จะนำไปประกอบกิจการต่างหาก แต่สำหรับผม งานรับปริญญาคือผลตอบแทนความพยายามมาตลอดสี่ปี คือสิ่งที่ผมรอคอยและให้ความสำคัญมาก เพราะนั่นหมายความว่านิลกาฬสามารถเรียนจบได้โดยไม่เป็นภาระให้พ่อแม่ เป็นความภาคภูมิใจของพวกท่าน เป็นสิ่งยืนยันว่าคนที่เคยเหลวแหลกอย่างผมก็ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน
ผมยืนพิงไอ้คิงขณะเปิดดูรูปและชวนมันคุยเป็นระยะ จนกระทั่งไอ้ชายเดินกลับมาหน้าเหนื่อย สงสัยจะมีคนเข้าคิวเยอะถึงได้ใช้เวลานานกว่าที่คิด
มันซื้อมาสามขวดเพราะอากาศค่อนข้างร้อนและแออัด ถ้าเดินไปไกลจะได้ไม่ต้องย้อนกลับมาซื้อบ่อยๆ ผมเปิดขวดยกดื่มแล้วส่งให้ไอ้คิงถือเพราะนายแบบหลักคือผม เพื่อนนายแบบก็คือไอ้ชาย ส่วนคุณสามีนั้นจงเป็นเด็กถือของต่อไป
รู้สึกวันนี้ตัวเองมีอำนาจจังโว้ย!พี่หมอบตามมาสมทบหลังจากนั้นไม่นานเมื่อส่งพ่อแม่ขึ้นรถตู้เสร็จ พวกเราถ่ายรูปรวมกันจนพอใจพวกเขาก็ขอแยกย้ายไปอีกทาง สงสัยจะไปเก็บความทรงจำที่ตึกเรียนของพี่หมอบเพราะตอนปีของพี่แกแทบจะไม่มีรูปถ่ายเลย
( ต่อด้านล่างค่ะ )