“ถ้าจะมาพูดอะไรไร้สาระ กลับกรุงเทพไปดีไหม” พี่พ่ายที่กลับไปสนใจแฟ้มเอกสารแล้วพูดสอดขึ้นมา
“พ่ายนี่เป็นลูกที่ใจร้ายกับพ่อจริงๆ เลย” ท่านประธานทำหน้าน้อยใจ แต่ดูก็รู้ว่าไม่จริงจังนัก
“ปู่ ป๋าไม่ใจล้าย ห้ามว่าป๋า” เอ่อ...น้องนะล่ะมั้งครับ เพราะตัวสูงที่สุดนี่นา พูดด้วยหน้าตาขึงขัง ทำแก้มป่องใส่ด้วย
“ฮ่าๆ ครับๆ ปู่ขอโทษ”
“ปู่ ยะหิว” น้องที่ตัวกลมที่สุดนี่ก็ร้องจะกินอย่างเดียว ส่วนน้องที่ตัวเล็กๆ นั่นก็วิ่งเล่นไปรอบๆ จนผมกลัวว่าน้องจะวิ่งชนกับชั้นวางทีวีเข้าอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้พี่เกมคอยจับตัวไว้เวลาน้องวิ่งไปใกล้ล่ะก็ คงได้แผลแน่ๆ
อืม...มีลูกพร้อมกันทีเดียวสามคนนี่...วุ่นวายชิบหาย คนหนึ่งก็ร้องหิว คนหนึ่งก็เล่นซน อีกคนก็ดูท่าทางจะดื้อเงียบ สงสัยว่าเป็นลูกชายคนโตแน่ๆ หน้าตามั่นอกมั่นใจเหมือนพ่อไม่มีผิด อ่า...ปวดหัวดีจัง...แต่ดูท่าพี่พ่ายจะไม่คิดอย่างนั้น เขาดูไม่สนใจเลย ผมว่าเขาคงไม่เคยเล่นกับลูกมั้ง เพราะนึกยังไงก็นึกไม่ออก...กับหน้าของไร้พ่ายตอนกำลังเล่นจ๊ะเอ๋ ใครเอ่ย ที่พ่อชอบเล่นกับผมตอนเด็กๆ บ่อยๆ เนี่ย...จินตนาการไม่ได้เลยจริงๆ
ปล่อยให้เด็กๆ เล่นกันไปครับ จนน้องยะเอ่ยปากว่าหิวขึ้นอีกครั้ง ผมกับพี่เกมก็เลยต้องมาแสดงฝีมือทำอาหารให้กับแฝดสามจอมซ่ากิน
“อาหล่อยยยย” น้องโยส่งเสียงร่าเริงเมื่อได้กินสปาเก็ตตี้คาโบนาล่าที่พี่เกมกับผมช่วยกันทำให้
ตอนนี้ผมจำเด็กๆ ได้แล้วครับ เพราะแต่ละคนมีเอกลักษณ์ จำได้ไม่ยากเลยตามที่ท่านประธานบอกเป๊ะ แม้จะเป็นแฝด แต่ก็แค่หน้าคล้ายครับ ทั้งความชอบ นิสัย และน้ำเสียงจะค่อนข้างแตกต่างกัน น้องนะหรือน้องชนะ เป็นลูกชายคนโต ตัวสูงและมีความเป็นผู้นำ จากที่สังเกตเห็นตอนน้องๆ กำลังเล่นกันระหว่างรออาหาร น้องนะจะทำตัวสมกับเป็นพี่ใหญ่ เพราะชอบข่มน้องอีกสองคน ฮ่าๆๆ แย่งของเล่นเก่งที่หนึ่ง และคนนี้แหละครับที่ผมว่าเหมือนพี่พ่ายมากที่สุด แววหล่อแต่เด็กเลย ส่วนคนที่สองชื่อ ชย ที่อ่านว่าชะยะ แต่ชอบเรียกแทนตัวเองสั้นๆ ว่ายะ ตัวกลมที่สุด แก้มยุ้ยที่สุด และหน้าหวานที่สุด กินเก่งมากด้วย ระหว่างที่กำลังเล่นน้องก็กินขนมรองท้องไปหลายชิ้นแล้ว และคนสุดท้าย น้องชโย หรือน้องโย น้องคนสุดท้องที่ตัวเล็กแต่เป็นเด็กร่าเริง ออกแนวติ๊งต๊องหน่อยๆ เพราะเหมือนมีจินตนาการส่วนตัวสูงมาก ชอบพูดคนเดียว เล่นคนเดียว บางทีก็ตะโกนออกมา ทำเสียงขู่คำรามอะไรของน้องไปตามประสา
“เด็กๆ กินเยอะๆ นะ ลุงเกมทำไว้เท่านี่เลย” พี่เกมบอกแล้วยกมือโบกกว้าง ให้รู้ว่าทำไว้เยอะจริงๆ เพราะเผื่อเป็นอาหารเย็นของพวกผู้ใหญ่ด้วย
“ยะจะกิงเยอะๆ”
น่ารักกกกกกกก น่ารักเกินไปแล้วววว
ผมนั่งมองเด็กทั้งสามคนอยู่เงียบๆ มันเป็นความสุขลึกๆ ในใจ เพราะผมไม่เคยเล่นกับเด็กเลย ผมเคยวาดฝันไว้ว่า ถ้าผมมีลูก ผมจะเลี้ยงเขายังไง จะเล่นกับเขายังไง จะสอนเขายังไง ทุกคืนผมจะเล่านิทานให้ลูกฟัง ผมทำสมุดภาพในชั่วโมงศิลปะอยู่บ่อยๆ เพราะผมอยากจะเล่านิทานที่มีแต่ผมคนเดียวที่เล่าได้ให้ลูกฟัง ผมจะไปส่งที่โรงเรียนทุกวันและก็จะไปรับกลับด้วย
แม้ตอนนั้นผมจะอายุแค่สิบเจ็ด แต่ผมก็วาดฝันอนาคตไว้หมดแล้ว ถึงอย่างนั้นมันก็...ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง...
“เลอะหมดแล้ว” ผมยิ้มแล้วเช็ดปากให้น้องยะกับน้องโยที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะเท้าคางมองพวกเขาต่อไป
ลูกๆ ของพี่พ่ายหน้าตาผิวพรรณดีขนาดนี้ แม่ของลูกเขาก็คงระดับนางฟ้านางสวรรค์แน่ๆ ผมแน่ใจได้เลยเพราะคนอย่างพี่พ่าย...ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองอยู่แล้ว... แต่ผมไม่เกลียดอะไรหรอกครับ ไม่ได้มีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจอะไรเลยแม้ว่าผมจะชอบพี่พ่ายก็ตาม คงเพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นอดีตไปแล้ว แถมเด็กๆ ก็ยังน่ารักมากด้วย ใครจะเกลียดลง
“เพี้ยน พี่ว่ายังไงก็เรียกทุกคนมากินกันเลยเถอะ นี่ก็เย็นมากแล้วด้วย ถือว่ากินมื้อเย็นกันไปเลยนะ” พี่เกมบอกพลางม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ให้น้องนะ
“ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมไปเรียกให้”
ผมเดินออกจากครัวมาเรียกพี่พ่าย พี่เอ และท่านประธานที่กำลังนั่งคุยงานกันอยู่ หน้าตาแต่ละคนดูเคร่งเครียดใช้ได้เลยครับ เห็นแบบนี้ผมก็ไม่กล้าเรียก แต่พอพี่พ่ายเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมแล้วยักคิ้วให้ ผมก็เลยได้โอกาส
“พี่เกมให้มาตามไปกินมื้อเย็นครับ”
“อ้าว ได้เวลาแล้วเหรอวะ โอเคๆ ป่ะป๋า หิวละ คุณลุงเชิญเลยครับ ไอ้เกมทำอาหารอร่อย ผมรับรองฝีมือ” ต่อหน้าคนอื่นพี่เอก็พูดอย่างนี้แหละครับ แต่ถ้าต่อหน้าพี่เกมก็จะบอกว่าไม่อร่อยอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงอย่างนั้นก็กินจนหมดทุกที
พี่เอพาท่านประธานเดินไปที่ครัวแล้ว ยังเหลือพี่พ่ายที่ยังนั่งเซ็นเอกสารอยู่ นี่เขาไม่ได้ยินที่บอกให้ไปกินมื้อเย็นด้วยกันหรือยังไงวะ เป็นคนที่ชอบทำตัวมีปัญหาจริงๆ
“พี่พ่าย หยุดทำงานก่อนดิ”
“...”
“ลูกๆ ของพี่อุตส่าห์มาอ่ะ ไปกินข้าวกับพวกแกหน่อย ท่านประธานด้วย เขาคงอยากกินข้าวกับพี่”
“งานกูยังไม่เสร็จ”
“ค่อยมาทำต่อก็ได้ กินข้าวกับลูกสำคัญกว่านะ”
พี่พ่ายวางแฟ้มเอกสารลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม “ไอ้เกมทำอะไรกิน”
“สปาเก็ตตี้คาโบนาล่า แต่เดี๋ยวคงทำอย่างอื่นเพิ่มอีก พี่พ่ายอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมล่ะครับ”
เขาส่ายหน้า ก่อนจะลุกยืนเต็มความสูง “มานี่หน่อย”
“อะไรอ่ะ”
ผมเดินเข้าไปหา มองหน้าพี่พ่ายอย่างสงสัย และโดยไม่ทันตั้งตัว เขาก็จุ๊บริมฝีปากผมหนึ่งที
“คืนนี้มานอนกับกู”
พูดแค่นั้นก็เดินไปที่ครัว ทิ้งให้ผมยืนอึ้งอยู่เพียงลำพัง พี่พ่ายนี่...นับวันยิ่งอ่อยแรง ไม่รู้รึไงว่ามันทำให้ผมใจเต้นแรง คนบ้า!
ว่าแต่ถ้าผมไปนอนกับเขา...แล้วเด็กๆ กับท่านประธานจะไปนอนที่ไหนล่ะ…
ผมเดินกลับเข้าไปในครัวด้วยหัวที่เต็มไปด้วยคำถาม ท่านประธานน่ะผมไม่ห่วงหรอก ให้นอนโซฟาที่โถงรับแขกก็ยังได้ แต่จะให้เด็กน้อยทั้งสามคนไปตากลมตากยุงอย่างนั้นไม่ได้นะ ผมไม่ยอมเด็ดขาดเลย
มัวแต่คิดฟุ้งซ่าน พอสติกลับเข้าร่างที่นั่งตัวเองก็ถูกพี่พ่ายยึดไปแล้ว ผมก็เลยต้องย้ายมานั่งที่เก้าอี้อีกตัวข้างๆ น้องนะ ท่านประธานนั่งอยู่หัวโต๊ะอีกฝั่ง ขนาบซ้ายขวาเป็นพี่เกมและพี่เอ ส่วนพี่พ่ายอยู่หัวโต๊ะฝั่งที่ผมนั่ง ซ้ายมือเขามีน้องยะกับน้องโย ขวามือก็มีผมกับน้องนะ เด็กๆ ดูจะดีใจมากที่ได้นั่งกินข้าวกับพ่อ กินเก่งกันเชียว (แต่ก่อนหน้านี้ก็กินเก่งกันอยู่แล้วครับ -_-)
“ป๋า นะกิงหมดแล้วล่ะ เก่งป่าว” น้องนะโชว์ผลงาน ตาใสแจ๋วนั่นมองพี่พ่ายไม่กะพริบเลย
“อืม” พี่พ่ายตอบสั้นๆ แล้วก็ลงมือกินสปาเก็ตตี้ในจานตัวเอง น้องนะยิ้มกว้างกับแค่คำว่าอืมสั้นๆ คำเดียว ผมเห็นแล้วรู้สึกแบบ...ไอ้เชี่ยพี่พ่าย ลาออกจากการเป็นพ่อไปซะ แล้วผมจะรับตำแหน่งต่อเอง แม้แต่กับลูกก็ช่วยลดความอึนลงหน่อยไม่ได้ไงวะ สาดดดดด
เห็นแล้วหงุดหงิด อยากจะโบกหัวไปสักสามสี่ทีให้ได้สำนึกถึงความเป็นพ่อ แต่แล้ว...ผมก็หยุดความคิดนั้น เมื่อได้เห็นมุมที่ไม่เคยเห็นจากไร้พ่าย...เขากินไปตามปกติจนเมื่อจานของเด็กๆ เริ่มเกลี้ยงแล้ว เขาก็ตักแบ่งแฮม แบ่งเส้นสปาเก็ตตี้ใส่จานของลูกๆ ทำให้แบบเงียบๆ ไม่พูดไม่อะไรสักคำ เด็กๆ บอกขอบคุณแล้วก็ตักกินที่พี่พ่ายแบ่งใส่จานให้ ยิ้มกว้างจนแก้มยุ้ยๆ นั้นแทบปริ
“ป๋า แฮมๆ โยขอเยอะๆ” น้องโยรีเควส พี่พ่ายก็ตักให้ หน้านิ่งๆ นั่นเห็นแล้วก็อดอยากให้ยิ้มบ้างไม่ได้ เพราะคงละมุนกว่านี้ ถ้าพี่พ่ายจะดูแลลูกๆ ของเขาด้วยรอยยิ้มเหมือนคุณพ่อในมโนที่ผมวาดไว้
“ยะก็จะเอาแฮมด้วย” น้องยะแก้มย้อยส่งเสียงเป็นสัญญาณเตือนว่าจะแย่งแล้วนะ แล้วน้องหันช้อนของตัวเองไปทางจานน้องโย แต่โดนน้องโยป้องกันได้ จากนั้นน้องยะก็ศอกซ้าย เฮ้ย! ใช่ที่ไหนครับ น้องยะก็ปากยื่น ทำแก้มป่อง เตรียมพร้อมจะร้องไห้ ไอ้พี่เกมก็มัวแต่คุยกับท่านประธาน ไม่ได้เห็นสถานการณ์ของเด็กๆ ที่นั่งข้างๆ แกเลย
“ห้ามแย่งกัน โยแบ่งให้ยะหน่อย” เสียงเข้มๆ กับหน้าดุๆ แถมคิ้วยังขมวดกันยุ่งอีก ทำเอาน้องโยเบะปาก ไม่กล้าหือ แต่น้องไม่ร้องไห้ แถมยังตักแฮมแบ่งให้น้องยะไปอีกหลายชิ้นด้วย
“นะแบ่งให้ด้วย” น้องนะนี่สมกับเป็นพี่คนโต น่ารักกกกกกกก ผมขอเป็นเอฟซี แต่นี่ผมไม่ได้หลงเพราะหน้าน้องเหมือนพี่พ่ายมากที่สุดนะครับ ไม่เลย พูดจริงๆ อิอิ
“เด็กดี” พี่พ่ายลูบหัวน้องนะที่ยิ้มกว้าง พอได้คำชมจากพ่อ พี่ชายคนโตก็ตักแฮมใส่จานน้องคนกลางเป็นบ้าเป็นหลังเลยครับ ...อ่า...นี่อาจจะเป็นที่มาของขนาดตัวที่กลมดิ๊กของน้องยะก็เป็นได้
ส่วนผมเอาแต่มองหน้าพี่พ่ายแล้วแอบร้องลั่นอยู่ในใจ ในขณะที่พี่เอพี่เกมและท่านประธานไม่ได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องแปลกเลย พวกเขาคงเคยเห็นกันมาบ้างแล้วสินะ งือออ พี่พ่ายคนบ้า ลูบหัวผมแล้วบอกว่าเด็กดีบ้างสิครับ...
กว่าจะทานมื้อเย็นกันเสร็จ ก็ปาไปเกือบทุ่ม ผมกับพี่เกมเลยช่วยกันพาเด็กๆ ไปอาบน้ำ ดีที่ไม่งอแง บอกให้ถอดเสื้อผ้าก็ถอด แต่จะมาวุ่นตอนที่อาบเสร็จแล้วต้องไล่จับให้มาแต่งตัวนี่แหละครับ เด็กผู้ชายสามคนเวลาอยู่ด้วยกันนี่คงอดจะเล่นมวยปล้ำกันไม่ได้ เผลอทีไร ไม่ใครสักคนจะต้องนั่งทับนอนทับอีกฝ่าย น้องโยนี่โดนพี่ๆ ทับบ่อยสุดเลยเพราะตัวเล็กกว่า น่าสงสารมาก แต่พอโดนพี่พ่ายดุ ก็สามัคคีร้องไห้กันใหญ่ เดือดร้อนท่านประธานต้องมาไกล่เกลี่ยความอีก
อีตาไร้พ่ายนี่ถ้ายังดุลูกอย่างนี้ คงได้มีเรื่องกับผมสักตั้งล่ะ สงสารอ่ะ ตัวแค่นี้เอง ด่ามาได้
พอเด็กๆ อาบน้ำเสร็จ ใส่เสื้อผ้าประแป้งหอมฟุ้งแล้วต่างก็กระโจนไปหาพี่พ่ายที่นั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟากับพี่เอและท่านประธาน เด็กๆ พวกนี้แปลกครับ โดนพ่อดุแต่ไม่ยักกะโกรธ เป็นผมนี่ไม่คุยด้วย ไม่ให้อุ้มเลยนะ แต่เด็กๆ พวกนี้ไม่ใช่เลยครับ ชอบเข้าไปอ้อนพี่พ่าย แล้วดูดิ ตอนนี้คนหนึ่งกอดแขนซ้าย คนหนึ่งแขนขวา อีกคนก็เข้าไปกอดคอ เห็นแล้วแบบ...อบอุ่นดีนะ แต่คงอุ่นจนร้อนเลย นี่ถ้าเพิ่มผมไปอีกคน...ผมจะกอดส่วนไหนดีอ่ะ หรือไม่มีที่แล้ว...
“ป๋า นองด้วย” น้องนะที่กอดแขนซ้ายพูดขึ้น
“โยจะนองกับป๋า” น้องโยที่กอดคอพูดอีกคน
“ยะด้วย” น้องยะอยู่ที่แขนขวา กำลังมุดหน้ากลมๆ กับแก้มย้อยลงแขนพี่พ่ายอยู่
“เจอป๋าแล้วลืมปู่กันหมดเลย ปู่น้อยใจแล้วน้า” ท่านประธานอมยิ้ม แสร้งพูดเหมือนน้อยใจ แต่ก็เท่านั้นครับ เด็กๆ ไม่สนใจแกเลยสักคน ฮ่าๆ
“ป๋านี่เนื้อหอมกับเด็กเนอะลุง ขนาดมันไม่ค่อยกลับบ้าน เด็กๆ ยังติดมันขนาดนี้”
ความจริงผมก็แปลกใจ แต่สายใยระหว่างพ่อกับลูก ยังไงก็คงเข้มข้นกว่าสายใยอื่นอยู่แล้วครับ ต่อให้พี่พ่ายจะไม่ค่อยกลับบ้าน ชอบดุ แถมยังไม่ค่อยยิ้ม แต่เขาก็เป็นพ่อที่ก็รักลูกในแบบของเขาล่ะมั้งครับ และผมก็หวังว่าจะได้เห็นความรักที่เขามีต่อลูกมากกว่านี้
...ยังไงก็ขอให้ผมได้อยู่ดูไปนานๆ นะครับพี่
“นั่นสิ ไม่เคยติดปู่เลยสักที คงเพราะตอนคลอดจนถึงขวบนิดๆ ก็อยู่กับพ่ายมาตลอดนั่นแหละมั้ง จะว่าไปจำหน้าลูกสะใภ้พ่อได้รึยัง”
เอาจริงดิ นี่ผมคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นที่พี่พ่ายจำหน้าแม่ของลูกตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าท่านประธานก็ยังเอ่ยปากแบบนี้ ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้วล่ะครับ
“จะอยากรู้ไปทำไม” คำตอบของเขาทำให้ผมรู้สึกใจแกว่งนิดๆ ...จากแววตาและน้ำเสียงที่ตอบในครั้งนี้...มันบอกผมได้ว่าไม่ใช่ว่าเขาจำไม่ได้ แต่เขา...ไม่เคยลืมเลยต่างหาก
“เอ้า ต้องอยากรู้สิ ก็เป็นแม่ของหลานพ่อ แต่งงานก็ยังไม่ได้แต่ง รู้อีกทีมีลูกตั้งสามคน จะให้พ่อบอกว่าโอ้โหพ่าย ทำดีมากลูก ทำผู้หญิงท้องแล้วรับผิดชอบแค่เด็กในท้อง ไม่รับผิดชอบแม่ อย่างนี้น่ะเหรอ”
“พูดมาก” พี่พ่ายทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะหันมาทางผมแล้วพูดว่า “เพี้ยน พาลูกๆ ไปนอนในห้องพี่”
หาาาาาาาาาาา พี่พ่าย...พูดกับผมว่ายังไงนะ!!! ผมอยากฟังอีกทีอ่ะ อยากฟังอีกที รีพีทได้ม้ายยยย
เขาแทนตัวเองว่าพี่อ่ะ เขาแทนตัวเองอย่างนั้นจริงๆ นะ ผมไม่ได้หูฝาดเลยยยยย
“อื้อ เด็กๆ ไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่เพี้ยนเล่านิทานให้ฟังน้า”
พอได้ยินคำว่านิทาน แฝดสามที่หน้าตาง่วงๆ จะหลับมิหลับแหล่บนตัวพี่พ่ายก็หูตั้งหางกระดิก ลุกมาหาผมทันที แต่พอผมจับมือจะพาไปที่ห้องพี่พ่าย ก็ไม่มีใครก้าวเท้าเลย เหมือนจะยังลังเลเพราะหันไปมองพี่พ่ายกันตาละห้อย
“เดี๋ยวป๋าตามไป” พอได้ยินอย่างนั้น แฝดสามก็ยอมเดินตามผมเข้าห้องนอนใหญ่ของพี่พ่ายแต่โดยดี
“เด็กๆ รอพี่เพี้ยนก่อนน้า พี่เพี้ยนจะไปเอาหนังสือนิทาน”
“โอเช” เสียงดังฟังชัดแต่พูดไม่ชัดทั้งสามคนเลย ฮ่าๆ น่ารักว่ะ
ผมปล่อยให้แฝดสามกระโดดขึ้นไปเล่นบนเตียงขนาดคิงไซส์ของพี่พ่าย ก่อนจะรีบวิ่งมาที่ห้องตัวเอง ห้องผมไม่มีหนังสือนิทานหรอกครับ แต่มีสมุดภาพที่ผมมักจะสเก็ตภาพไว้เป็นเรื่องเป็นราว ผมพกติดตัวไว้ตลอดนั่นแหละครับ หนังสือนิทานที่ทำเองเพื่อจะเอาไว้อ่านให้ลูกของผมกับพี่ฟัง...
ตอนนี้ได้ใช้มันสักทีนะ...
กลับมาที่ห้องพี่พ่ายก็เห็นแฝดสามเล่นกันอยู่ก่อนแล้ว ความจริงผมว่าฝาแฝดเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากนะ หน้าคล้ายกัน เกิดวันเดียวกัน อยู่ด้วยกันตลอด เป็นได้ทั้งเพื่อนทั้งพี่ทั้งน้อง เห็นแล้วน่าสนุก คงไม่เหงาเหมือนผมที่เป็นลูกคนเดียว
“เพี๊ยงมาแล้ว” น้องโยกระโดดโลดเต้นใหญ่เลยเมื่อเห็นว่าผมถือสมุดภาพเข้ามาด้วย
“เพี๊ยงนองตงนี้” น้องยะตบที่นอนด้วยมือป้อมๆ แก้มย้อยนั่นแทบปริแตกเมื่อน้องยิ้มให้ผม ส่วนน้องนะพี่คนโตกำลังนั่งกอดหมอนมองหน้าผมด้วยตาใสแจ๋ว
น้องนะนอกจากจะหน้าเหมือนพี่พ่ายมากแล้ว บางมุมก็จะเงียบๆ เหมือนพ่อเขาเลยครับ กับคนไม่สนิทจะไม่ค่อยพูด แต่ถ้าสนิทแล้วน้องจะเล่านั่นเล่านี่ให้ฟังไม่หยุด เหมือนตอนกลางวันที่ผมเห็นน้องคุยกับท่านประธาน เพราะงั้น...เอาล่ะ หวังว่าสมุดภาพเล่มนี้จะทำให้น้องนะกับผมสนิทกันได้นะ!
ผมเริ่มเปิดม่านการเล่านิทานแบบ 3D ให้เด็กๆ ได้รับชมรับฟัง เพราะนี่เป็นสิ่งที่ผมฝึกมาตั้งแต่อายุสิบเจ็ดปี ฝึกมานานเมื่อได้ยินจากปากพี่ว่ากำลังตั้งครรภ์ได้สี่เดือน ผมฝันอยากเล่านิทานให้ลูกของผมฟัง อยากเห็นสีหน้าที่สนุกสนานและตื่นเต้นไปกับจินตนาการที่ผมสร้างขึ้น นิทานที่มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้จักและเล่าให้ฟังได้
“เพี๊ยง เอาอีก” น้องนะที่เริ่มสนิทกันแล้วเพราะเมื่อกี้ผมกลายร่างเป็นหมาตกน้ำ ดิ้นกะแด่วๆ ตกลงไปตายเพราะเห็นเงาของตัวเองได้สมจริงมาก ตอนนี้ก็เลยถูกพี่ชายคนโตของแฝดสามดึงชายเสื้อให้ทำการแสดงต่อ
ทำมาพูดขออีกๆ อย่างกะผมเล่นคอนเสิร์ต ไม่ได้ดูเลยว่าคนแสดงหอบแฮ่กจะตายอยู่แล้ว
“โยกับยะนอนไปแล้วนะ ถ้าเราทำเสียงดัง เดี๋ยวพวกเขาก็ตื่น แล้วทีนี้...เสียงของพวกเขาก็อาจจะเรียก...หมาป่ามาก็ได้นะ โฮกกกกกกกกก!” น้องนะสะดุ้ง ผงะถอย ยกมือป้อมๆ ปิดหน้า ส่วนผมหลังจากที่ปล่อยพลังเสียงก็หมดแรงแล้วครับ
น้องโยนี่สลบไปตั้งแต่เรื่องอัศวินเพี้ยนเรื่องแรกแล้วล่ะ เพราะกระโดดโลดเต้นแล้วก็เล่นสมจริงกับผมมากไปหน่อย แกเลยเหนื่อยแล้วก็หลับไปคนแรก ส่วนน้องยะนั้น ทำหน้ามุ้งมิ้งตอนที่ผมเล่าเรื่ององค์ชายเพี้ยนผู้รอบรู้อยู่ได้สักพัก นอนเอามือโอบแก้มแดงๆ ขยี้ตาสองสามทีก็หลับไป ไม่แน่ใจว่าเพราะนิทานของผมหรือเพราะสปาเก็ตตี้ที่ทำให้หนังท้องของน้องตึงหนังตาเลยหย่อนตามไปด้วยกันแน่ แต่น้องนะที่นั่งหล่อๆ ดูไปพลางหัวเราะไปพลางกลับยังไม่หมดฤทธิ์เลย
“เพี๊ยงเสียงดัง เดี๋ยวหมาป่าก็มาหลอก ชู่วววว” แต่เอานิ้วมาแตะริมฝีปากแดงๆ ของตัวเองแบบนี้มัน...
ประกาศให้ทราบกันตรงนี้ว่าผมขอเปลี่ยนเป้าหมาย!!! ผมไม่เอาพ่อเด็กแล้ว ผมจะเอาน้องนะนี่แหละ!!! ติดคุกก็ยอม งื้ออออ น่ารักเกินไป ทูนหัวของพี่เพี้ยน
แกร๊ก!
เสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามา น้องนะทำหน้าตื่นประหนึ่งหมาป่าบุก รีบโดดเข้ามาทับตัวผมไว้ แต่พอเห็นว่าเป็นพ่อของตัวเองก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเล็กๆ ผมอมยิ้มแล้วลูบหัวน้องนะเบาๆ
โธ่ ทูนหัว จะกลัวก็ไม่แปลกหรอก เพราะพ่อของหนูน่ะ ยิ่งกว่าหมาป่าซะอีก เป็นลูกเสี้ยวผสมพันธุ์ระหว่าง หมี สิงโต กอลิลล่า เสือ ลิง ...แต่สายพันธุ์หลักคือเหี้ย อุ๊บ! ผมไม่ควรคิดอย่างนี้ นี่พ่ายอปป้าที่ผมหลงใหลเชียวนะครับ!
“นะยังไม่นอนอีกหรือไง” พอได้ยินพี่พ่ายถาม น้องนะทูนหัวของผมก็กลิ้งไปนอนข้างๆ น้องยะทันที ก่อนจะหลับตาปี๋อย่างน่าเอ็นดู
ผมอมยิ้มแล้วยกมือลูบหัวเด็กๆ เบาๆ ห่มผ้าให้ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปหาพี่พ่าย
“ท่านประธานล่ะครับ”
“ให้นอนห้องมึง”
เอื้อกกกก ให้เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ไปนอนห้องนอนที่เต็มไปด้วยจินตนาการของผมนี่นะ
“เฮ้ย ได้ไง ห้องผมรกอ่ะ ผ้าปูที่นอนก็ไม่ได้ซัก ผ้าห่มกับหมอนก็คงมีคราบน้ำลาย...กระดาษบนโต๊ะทำงานกับเศษยางลบก็ยังไม่ได้เก็บ”
“ไม่เป็นไร พ่อกูไม่ใช่คนสะอาดมากไปกว่ามึงหรอก” พี่พ่ายว่าพลางถอดเสื้อที่ใส่อยู่ออก ผมเลยเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวจากในตู้เสื้อผ้าของเขาให้
ว่าแต่...เป็นพ่อที่ตรงกันข้ามกับพี่พ่ายจริงๆ เลยนะครับ หรือเพราะนิสัยของท่านประธานรึเปล่าที่ทำให้พี่พ่ายโตมาเป็นคนแบบนี้ ผมหมายถึงรักสะอาดมากเกินไป แล้วก็เรื่องมากสุดๆ น่ะครับ
“ถ้าอย่างนั้นผมนอนที่ไหนล่ะ”
“โซฟา”
“ยะหยั่งอั้น” (ทำไมทำแบบนั้น)
“ภาษาไรของมึง หึหึ” หัวเราะแบบนี้หมายความว่า...
“ภาษาเหนือสื่อรักไงครับ ว่าแต่พี่พ่าย ผมนอนด้วยน้า” ต้องการให้ผมอ้อนขอนอนด้วยแน่ๆ ผมรู้ทันหรอก
“จะนอนตรงไหน แค่ไอ้แสบสามคนนั่นก็เต็มเตียง”
“ข้างล่างเตียงก็ได้”
“ไม่เจ็บหลัง?”
“คงเจ็บมากอ่ะ”
“งั้นเอาไง”
“ไม่รู้”
“นอนบนตัวกูละกัน”
“อิ้นลิ๊” คำนี้ประมาณไอ้ย่ะเลยครับ อารมณ์ประมาณแซวๆ ผมใช้พูดกับไอ้ยิวบ่อยๆ ตอนที่อยู่เหนือ ไปกรุงเทพก็กลมกลืนกับคนกรุงไป เลยไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ แต่มันเป็นคำแซวที่ทำให้พี่พ่ายหัวเราะครับ เขายักคิ้วส่งมาให้ ในขณะที่ผมขยับเข้าไปหอมแก้มเขา อ่อยแรงอีกแล้ว
“ถึงอีกเดี๋ยวพี่จะบอกว่าล้อเล่น แต่ผมจะทำจริงๆ นะ” ผมอยากให้เขารู้นะว่าบางเรื่องก็ไม่ควรจะล้อเล่น โดยเฉพาะกับความรู้สึกของผม
“ผมไม่รู้หรอกว่าพี่คิดอะไร รู้สึกยังไง แต่ความรู้สึกของผมกำลังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ”
“...”
“ถ้ามันเป็นไปไม่ได้...พี่ช่วยรีบๆ บอกผมด้วยนะครับ”
พี่พ่ายมองหน้าผม ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แค่พยักหน้าแล้วก้มลงมาจูบ ผมหลับตาพร้อมกับเปิดปากรับสัมผัสจากเขา ลิ้นร้อนที่รุกเข้ามาท้าทายทำให้ผมตอบรับกลับไป
“อือ...อืม...ม..ม” ผมครางเสียงแผ่วเมื่อถูกฝ่ามือของเขาลุกล้ำเข้ามาใต้เสื้อ ยอดอกก็ถูกนิ้วหัวแม่มือของเขาบี้เบาๆ ทั้งสองข้าง
“พี่ ลูกพี่นอนอยู่นะ” ผมหอบหายใจเล็กน้อย ใช้มือดันอกของเขาเป็นเชิงเตือน เพราะผมไม่แน่ใจว่าน้องนะหลับไปจริงๆ หรือยัง ไม่อยากให้น้องมาเห็นภาพไม่ดีแบบนี้ครับ ถึงผมจะนิสัยไม่ดี แต่ผมก็ไม่อยากทำเรื่องไม่ดีต่อหน้าเด็กที่เปรียบเหมือนผ้าขาวบริสุทธิ์หรอกนะ
“อืม รู้” เขากระซิบกลับมา ก่อนจะลากผมเข้าไปในห้องน้ำ
เราจูบและสัมผัสกันอยู่เนิ่นนาน ก่อนพี่พ่ายจะยอมผละออกแล้วมองหน้าผมนิ่งๆ ผมรู้ว่าตอนนี้หน้าตัวเองคงแดงไปหมดแล้ว แต่ก็ยังทำใจกล้ามองสบตาของเขา
“อาบให้หน่อย” เขาออกคำสั่ง ก่อนร่างสูงใหญ่กำยำตรงหน้าจะเปลือยเปล่าในเวลาไม่กี่วินาที ผมไม่ได้ยกมือปิดตาเหมือนอย่างที่นางเอกซีรีย์ทำกันบ่อยๆ แต่กำลังใช้สายตาสำรวจมองร่างกายที่สมบูรณ์แบบนี้ไปทีละส่วนด้วยความหลงใหล
ไร้พ่าย...มีทุกอย่างที่จะเอาชนะผมได้ทั้งนั้น...แค่ผมคิดว่ามันเป็นเกมก็เสี่ยงมากแล้ว ตอนนี้ยังเอา...หัวใจตัวเองมาลงเดิมพันอีก...ถ้าเขาไม่ปราณี...สุดท้าย...ผมก็คงไม่เหลืออะไร
“ครับ”
ผมยิ้มรับแล้วขยับเข้าไปใกล้เขา สองมือค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกทีละชิ้น
“พี่พ่ายก็...ช่วยอาบให้ผมด้วยนะครับ เอาให้สะอาดทุกส่วน...”
“อืม”
ผมรู้ดี...ว่าตอนนี้...แพ้อย่างราบคาบ และรู้ดี...ว่าพี่พ่ายอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมเลย ผมรู้ว่าการกระทำของเขามันก็เหมือนแอปเปิ้ลเคลือบยาพิษที่แม่มดส่งให้กับสโนไวท์กิน ทั้งอย่างนั้นผมก็ยังเต็มใจที่จะรับมันมา แม้จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะต้องตาย แต่ทำไงได้...ความรักมันก็แบบนี้ และเพราะมันเป็นแบบนี้ผมถึงได้ขยะแขยงมัน แต่ก็ห้ามความรู้สึกรักใครสักคนไม่ได้
ผมเป็นศัตรูกับความรัก แต่ก็ดัน...มีความรักซะเอง ไม่แปลกหรอก...ที่จะแพ้
...........................................................TBC.........................................................
ไร้พ่ายเป็นของเรา
ขอบคุณสำหรับทุกๆ ความคิดเห็นค่า ว่าแต่...ทำไมระแวงป๋าของเราขนาดนั้นนนนน
