ตอนที่ 23ด้วยเพราะผมรีเควสไว้ว่าอยากจะไปเที่ยวในที่ที่ไม่ต้องเห็นน้ำทะเล พนักงานขับรถของรีสอร์ทจึงพาผมกับพี่พ่ายตะลอนเที่ยวไปตามพิพิธภัณฑ์ ย่านเมืองเก่าตึกแถวโบราณที่มีสถาปัตยกรรมแบบยุโรป เรื่อยไปจนถึงสักการะอนุเสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร และตอนนี้ผมก็อยู่ที่วัดครับ แวะมาไหว้พระขอพรให้กับตัวเองก่อนจะที่มุ่งไปตลาดปล่อยของในตอนเย็นๆ
“เฮ้อ...” ผมเผลอถอนหายใจออกมา แม้จะได้ออกมาเที่ยวแล้วก็ไม่ได้รู้สึกสนุกเลยสักนิด นั่นก็คงเป็นเพราะ...
“คุณเพี้ยนเบื่อเหรอครับ งั้นเราไปที่อื่นกันต่อเลยนะครับ” ตี๋ พนักงานขับรถอายุรุ่นๆ ยี่สิบถามไถ่มาด้วยความกังวล เขาเป็นเด็กในพื้นที่ พี่พ่ายจึงให้เป็นคนนำเที่ยวในวันนี้ ถึงอย่างนั้น...
นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมวาดฝันไว้นี่นา!!! ผมไม่ได้อยากเดินเที่ยวกับคนอื่น ผมอยากเห็นสถานที่ต่างๆ ไปพร้อมพี่พ่ายต่างหาก! แต่ทำไมเขาถึงเอาแต่นั่งตากแอร์อยู่ในรถด้วย!
“ไม่...ไม่ไปแล้ว กลับเถอะ”
“ได้ครับ”
ผมถ่ายรูปไปอีกสิบกว่าใบ ตั้งแต่บันไดทางขึ้น ไปจนถึงแผ่นกระเบื้องที่ใช้ปูพื้น มันติดเป็นนิสัยมาตั้งแต่สมัยเรียน เพราะเวลาผมได้มีโอกาสเห็นสถาปัตยกรรมที่แปลกใหม่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเก็บรายละเอียด
“คุณเพี้ยน! ระวังครับ!” ตี๋รีบเข้ามาช่วยผมที่โดนใครบางคนวิ่งชนไหล่จนเกือบล้ม แรงปะทะทำให้รู้สึกเจ็บที่หัวไหล่ซ้าย แต่บริเวณสีข้างรู้สึกเจ็บมากกว่า
“อะไรกัน ชนแล้วไม่ขอโทษ!” ตี๋โวยวายเสียงดังทำให้นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ หันมามอง ในขณะที่ไอ้ตัวก่อเหตุมันวิ่งหายไปแล้ว
“ตี๋ พะ...พี่เจ็บ” ผมกุมสีข้างตัวเองไว้ คงเพราะใส่เสื้อสีดำ ตี๋ก็เลยไม่ทันเห็นว่ามีเลือดซึมออกมา จนกระทั่งผมเอามือไปกุมไว้ ถึงได้เปรอะมือของผมเต็มไปหมด
“คุณเพี้ยน! ถูกแทงเหรอครับ! ไอ้บ้านั่น!!”
“แค่เฉี่ยวๆ น่ะ แต่ก็เจ็บเอาเรื่อง”
“ไปโรงพยาบาลกันครับ!” ตี๋ดูลนลานเล็กน้อย แต่ก็พยุงผมแล้วพาไปที่รถ กระเป๋าและกล้องของผมตี๋ก็เอาไปถือให้หมด มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เข้ามาถามไถ่กันหลายคนว่ามีอะไรที่พอให้พวกเขาช่วยได้ไหม บางคนก็บอกกับผมว่าแจ้งตำรวจให้แล้ว และตำรวจกำลังจะมา ตี๋เลยบอกชื่อโรงพยาบาลที่ผมจะไปและทิ้งเบอร์ติดต่อของเขาไว้ให้เพื่อให้ตำรวจตามไปที่นั่นได้
“ไม่รู้ว่าเป็นใครนะครับ แต่มันต้องตกนรกแน่ๆ ทำร้ายคนได้แม้กระทั่งในวัด”
“คนจะทำชั่ว...มันไม่เลือกสถานที่หรอกตี๋”
ผมไม่รู้ว่ามันเป็นใคร อาจจะแค่แทงผิดตัว หรือจงใจ ไม่อาจเดาได้จนกว่าจะเจอตัวมันแล้วเค้นถาม แต่ถ้ามันตั้งใจจะแทงผมจริงๆ ผมคงจะไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้ก็ได้ เพราะถ้าไหล่ไม่กระแทกชนกัน มีดนั่นก็คงเสียบคาอยู่ที่ท้องผมเต็มๆ
กลับมาถึงที่รถ ตี๋เลื่อนประตูเปิดออกให้ พร้อมกับพยุงผมให้ขึ้นไปนั่งข้างๆ พี่พ่ายที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาดูพอร์ทหุ้นในแม็คบุ๊ค แต่พอหันมามองผม สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เป็นอะไร”
“คุณเพี้ยนถูกแทงครับ” ตี๋ตอบแล้วรีบวิ่งอ้อมไปขึ้นรถฝั่งคนขับ
พี่พ่ายพับแม็คบุ๊คลงแล้วหันมาให้ความสนใจผมทันที
“ดีจัง...พี่สนใจผมบ้างแล้ว”
“เจ็บแล้วยังจะปากดี”
“อิอิ”
“แผลลึกไหม”
“ไม่หรอก แต่เจ็บเป็นบ้าเลย”
สีหน้าของพี่พ่ายไม่ได้กระวนกระวายมากมายอย่างที่ผมคาดหวัง หนำซ้ำยังอยู่ในระดับทั่วไปจนน่าตกใจ ผมเลยอดสงสัยไม่ได้ว่า...นี่เขาห่วงตามมารยาทหรือเปล่า แค่ขอดูแผลอีกเล็กน้อยก็กลับไปสนใจมือถือของตัวเองต่อแล้ว ผมไม่อยากจะคิดมาก ไม่อยากจะน้อยใจอะไรทั้งนั้น แต่บางทีมันก็อดไม่ได้จริงๆ ...อดไม่ได้ที่ผมถูก...ละเลย
ผมนั่งเงียบมาจนถึงโรงพยาบาล มีรถเข็นกับบุรุษพยาบาลมารอรับอยู่แล้ว ผมถูกพาไปที่ห้องฉุกเฉินเพื่อทำแผล ในขณะที่พี่พ่ายเดินตามมาข้างหลัง ผมไม่ได้สนใจ แต่ได้ยินเสียงของตี๋ร้องโวยวายอยู่เหมือนกัน
“นายครับ!! เป็นอะไรรึเปล่า!”
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่พ่าย เพราะผมไม่ได้หันกลับไปมอง ผมมารออยู่ในห้องฉุกเฉินเพื่อทำแผล แผลไม่ลึกมากเหมือนที่คิดไว้ก็เลยไม่ต้องเย็บ แต่ก็กรีดผิวเข้าไปไม่น้อยทีเดียว ทำแผลเสร็จก็ออกจากห้องฉุกเฉินมาหาพี่พ่ายที่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าห้อง ส่วนตี๋อาสาไปรับยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบที่ห้องจ่ายยา
“เสร็จแล้วครับ”
“อืม”
พี่พ่ายยังคงก้มหน้าเล่นมือถือ จนผมอดไม่ได้ที่จะแอบมองว่าเขากำลังเล่นอะไร แต่ปรากฎว่า... ไม่เห็นจะเล่นอะไรเลย! มือก็สไลด์หน้าจอเล่นไปมา ไม่ได้เข้าเล่น App อะไร แถมเจ้าตัวก็เหมือนจะไม่ได้รู้ตัวด้วย
“พี่...”
“หืม”
“ทำอะไรน่ะ”
เขาเงียบ...ไม่ตอบคำถาม นิ้วก็ยังสไลด์หน้าจอไปมาอยู่อย่างนั้น ผมสังเกตเห็นว่าแขนของเขามีรอยถลอกเล็กน้อย แขนเสื้อก็เปื้อน กางเกงก็ไม่ต่างกัน ไม่จริงน่ะ...ผู้ชายที่เนี๊ยบหัวจรดเท้าอย่างพี่พ่ายน่ะเหรอ...จะอยู่ในสภาพนี้ เขาไปทำอะไรมากัน!
ผมนั่งยองๆ ลงตรงหน้าเขาแล้วปัดฝุ่นออกจากเสื้อกับกางเกงให้
“ไปทำอะไรมาครับ เปื้อนหมดแล้ว”
“นั่งดีๆ ดิ ไม่เจ็บแผลรึไง”
“ผมถามก่อน”
พี่พ่ายทำหน้าบึ้งใส่ เขาลุกขึ้นยืนแล้วดึงผมให้ลุกตาม เป็นจังหวะที่ตี๋กลับมาพร้อมถุงยาพอดี
“เรียบร้อยแล้วครับ นี่ยานะครับคุณเพี้ยน”
“ขอบใจนะตี๋ ไม่ได้ตี๋พี่คงแย่”
“ไม่เป็นไรครับ นายสั่งให้ผมดูแลคุณเพี้ยนอยู่แล้ว นี่ครับนาย เงินทอน”
“เก็บไว้” พี่พ่ายพูดเสียงเรียบ ในขณะที่ตี๋ยกมือไหว้ขอบคุณ ไม่รู้ว่าเสียค่ารักษาพยาบาลไปเท่าไหร่ แต่ก็คงแพงน่าดูเพราะเป็นโรงพยาบาลเอกชน ไว้ตอนเงินเดือนออกค่อยจ่ายคืนให้พี่พ่ายก็แล้วกัน ตอนนี้ผมยังไม่มีตังค์หรอก แกลบ...
พี่พ่ายเดินนำกลับไปที่รถ มีผมกับตี๋เดินตามหลัง
“ตี๋ เมื่อกี้เจ้านายเราเป็นอะไรอ่ะ”
“อ๋อ...นายสะดุดล้มน่ะครับ ตอนลงจากรถพอดี ไม่รู้ว่าไปสะดุดอะไรเข้า แต่ผมว่าคงเข่าอ่อนมากกว่า”
“ฮ่าๆๆ พี่พ่ายนี่ซุ่มซ่ามเหมือนกันเหรอ” โอ้ยย!! ผมพลาดช็อตเด็ดไปได้ยังไง! ถ้าได้เห็นนั่นคงจะเป็นความทรงจำที่ดีในชีวิตเลยอ่ะ!!
“ผมว่านายคงมัวแต่เป็นห่วงคุณเพี้ยนมากน่ะครับ ก็เลยไม่ทันระวังตัว”
แม้มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่ตี๋บอก แต่ผมก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ พี่พ่ายนี่ก็ซึนโคตรพ่อโคตรแม่ของความซึนเลย แสดงออกมาสักนิดจะดิ้นตายหรือไงกันนะ
“พี่พ่าย...” ผมส่งเสียงเรียกแล้วหยุดเดิน พี่พ่ายเลยหันกลับมามอง คิ้วขมวดกันยุ่งเชียว
“อะไร”
“เดินไม่ไหว เจ็บ...อุ้มหน่อย”
“ตี๋” เขาหันไปพยักหน้าให้ตี๋ที่ตัวเล็กกว่าผมซะอีก แต่พนักงานขับรถคนซื่อคนนี้ก็พร้อมจะทำตามแม้จะเป็นเรื่องที่เกินตัว
“พี่พ่าย ผมตัวโตกว่าตี๋อีก เขาจะอุ้มผมได้ยังไง พี่นั่นแหละ มาเลย!”
“ไม่!”
“พี่พ่าย...”
ผมจ้องตาวัดใจกับเขาอยู่เพียงครู่ ก็ได้คำตอบแน่ๆ แล้วว่าเขาคงไม่ตามใจ แต่ตอนกำลังถอดใจก็ถูกอุ้มในท่าเจ้าหญิงที่ทำให้รู้สึกอายสายตาของผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่กำลังรอคิวตรวจกันอยู่ขึ้นมาทันที
“พี่!”
“เงียบ”
“อื้อ”
ผมซุกหน้าลงกับอกของเขา แขนก็โอบรอบคอเขาไว้อย่างช่วยไม่ได้ ไม่กล้ามองสบตาใครทั้งนั้น แม้กระทั่งพี่พ่าย เพราะสายตาคนรอบข้างว่าทำให้หน้าร้อนแล้ว แต่สายตาของพี่พ่ายกลับทำให้รู้สึกได้มากกว่า
“นายครับ เดี๋ยวผมต้องอยู่รอตำรวจที่นี่ก่อนนะครับ จะได้ให้ที่อยู่ติดต่อกับตำรวจไว้” ตี๋พูดขึ้นเมื่อเดินมาส่งพวกผมที่รถ เขาส่งกุญแจรถให้พี่พ่ายแล้วเปิดประตูรถให้
“ได้” พี่พ่ายรับคำ ยื่นเงินค่ารถกลับรีสอร์ทให้ตี๋ที่ยกมือไหว้รับอย่างสุภาพ “บอกตำรวจด้วยว่าพรุ่งนี้ให้ไปพบผมที่รีสอร์ท”
“ครับ”
พี่พ่ายออกคำสั่งแม้กระทั่งตำรวจ จะได้หรือไม่ได้นั่นคงเป็นอีกเรื่องมั้ง แต่ยังไงพี่แกก็ยังคงวางอำนาจไว้ก่อนนั่นล่ะ เห็นอย่างนี้แล้วนึกตอนที่เขาสะดุดล้มไม่ออกเลย ให้ตายเถอะ!
ตี๋เดินกลับเข้าไปในโรงพยาบาล ส่วนผมกับพี่พ่ายก็ขึ้นรถขับออกมา โดยพี่พ่ายเป็นคนขับและผมเป็นตุ๊กตาหน้ารถ
“แล้วเราจะไปไหนกันอ่ะ”
“กลับ”
“ไม่นะ! ผมอยากไปตลาดปล่อยของ!”
“เจ็บอย่างนี้จะไปเที่ยวได้ยังไง”
“ผมจะไป!”
“เพี้ยน!”
“ไม่ได้เจ็บมากซะหน่อย อีกอย่างวันนี้เราก็ไม่ได้เที่ยวด้วยกันเลยนะ”
“ก็มาด้วยแล้วไง”
“พี่เรียกว่ามาด้วยเหรอ! ทั้งๆ ที่ตัวเองเอาแต่นั่งอยู่ในรถอ่ะ”
“กูไม่ชอบคนเยอะ วุ่นวาย”
ผมแอบแลบลิ้นใส่เขา แต่เขาก็ยื่นมือมาผลักหัวผมเบาๆ
“ดื้อ”
“ก็ยังไม่อยากกลับห้อง... เพราะวันนี้ยังไม่ได้สนุกกับพี่เลย”
อยากให้เรามีความทรงจำดีๆ ด้วยกัน อยากให้เป็นวันที่ผมจะได้ยิ้มและหัวเราะไปกับเขา เพราะผมกลัวว่าหากพรุ่งนี้เราต้องกลับไปเชียงราย ช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก
“ทำหน้างี่เง่าอยู่ได้”
“ไม่ต้องมองสิ”
“ไม่ได้มอง” ก็จริงที่เขาขับรถอยู่ คงจะมองหน้าผมไม่ได้ แต่ถ้าไม่มองจะรู้ได้ยังไงว่าผมทำหน้าแบบไหน!
“มองแน่ๆ ไม่งั้นไม่รู้หรอก...”
“ยอมรับแล้วรึไงว่างี่เง่า”
“เออ ยอมรับก็ได้! แต่ถ้าไม่รักไม่งี่เง่าใส่หรอก!”
“หึ พูดได้ดี”
อีตานี่ขี้เก็กตลอด ไม่เคยตามใจแถมยังชอบดุ คำพูดหวานๆ ก็ไม่มี เป็นผู้ชายที่ไม่น่าไปหลงรักได้ แต่ไม่รู้ทำไม...ผมถึงหลงรักไปแล้วแบบโงหัวไม่ขึ้น เขาไม่เคยมองมาที่ผมก่อนเลย แต่ผมก็ยังแอบมองเขาอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน สายตาของผมจะหาเขาเจอเป็นคนแรก... มันไม่ยุติธรรมเลย ทำไมต้องมีแต่ผมที่รักเขาจนแทบบ้าอยู่คนเดียว
ผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ได้ แต่ตื่นมาอีกที ก็มาอยู่ในจุดชมวิวที่ว่ากันว่ามองเห็นเกาะภูเก็ตได้ทั้งเกาะ ผมขยี้ตาเล็กน้อย เพราะแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ส่องมากระทบกระจกหน้ารถทำให้ค่อนข้างแสบตา กำลังจะใช้มืออีกข้างจัดทรงผมให้เข้าที่ก็พบว่ามันถูกกุมไว้ด้วยมือของใครอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คนๆ นั้นหันมามองผมพร้อมกับรอยยิ้มที่นานๆ ครั้งจะได้เห็น
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงนุ่มทุ้มตามแบบฉบับคุณชายไร้พ่ายทำให้หัวใจเริ่มเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
“อื้อ” ผมตอบรับเบาๆ หลบสายตาหลังแว่นกรอบดำของเขาด้วยการเบือนมองไปทางอื่น “พี่ไม่ได้พาผมกลับรีสอร์ทเหรอครับ”
“อยากกลับไหมล่ะ”
ผมส่ายหัวเล็กน้อย ในขณะที่พี่พ่ายหัวเราะเบาๆ
“ลงไปดูวิวไหม”
“ครับ”
แม้จะไม่ใช่ตลาดปล่อยของที่ผมอยากไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ชอบที่นี่ ผมกลับชอบมันมากกว่าสถานที่ไหนๆ ที่เคยไปมาตลอดทั้งวัน และนั่นคงเพราะ...มีพี่พ่ายยืนอยู่ข้างๆ ผมด้วย
เรายืนอยู่ข้างๆ กัน มองพระอาทิตย์ที่กำลังลับไป มองสีสันที่กำลังเลือนหายจากท้องฟ้า แทนที่ด้วยความมืดมิดและแสงไฟจากตึกอาคารบ้านช่องค่อยๆ สว่างขึ้นมาแทนที่อยู่เบื้องล่าง ส่วนเบื้องบนนั้นมีแสงจากดาวดวงน้อยๆ หลายๆ ดวงแข่งกันส่องสว่างเพื่อให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนเช่นนี้ไม่ไร้สีสันอีกต่อไป
ผมสูทอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด ลมเย็นๆ พัดผ่านมา รู้สึกหนาวเล็กน้อย แต่ก็ได้อ้อมแขนจากคนที่เคยยืนอยู่ข้างๆ มาทำให้ร่างกายอบอุ่น
“ดีไหม” เขากระซิบข้างหู ถ้อยคำถามที่มาพร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มนั้นทำเอาแทบละลายในอ้อมกอดของเขา
“อื้อ ดีครับ ผมมีความสุขมากๆ”
“ก็ดีแล้ว” แก้มของผมถูกริมฝีปากของเขาสัมผัสเบาๆ ก่อนจะถูกฟันเป็นระเบียบสวยกัดเข้าอย่างจัง แต่ผมก็ไม่ได้โวยวาย ผมกลับชอบที่ถูกเขาทำแบบนี้
“ยังเจ็บแผลอยู่รึเปล่า”
“ก็นิดๆ ครับ แต่พี่ไม่ต้องห่วงหรอก แผลเล็กแค่นี้ไกลหัวใจ”
ผมคิดว่าเขาคงปฏิเสธกลับมาเสียงแข็งว่าไม่ได้ห่วง แต่อ้อมกอดที่รัดแน่นจนร้อนนี้กลับทำให้ผมแน่ใจได้ว่าเขากำลังยอมรับ... เขาเป็นห่วง...และคงเป็นห่วงมากกว่าที่ผมคิดไว้
“กอดแน่นเลย กระดูกผมจะหักอยู่แล้วมั้ง”
“ไม่ชอบรึไง”
“ชอบ” ผมลูบแขนเขาเบาๆ “ผมชอบทุกอย่างที่พี่ทำให้ผม ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ดีหรือร้ายยังไง ผมก็ชอบทั้งนั้น ผมรักพี่มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะมันมากจนไม่รู้จะมากยังไง แล้วพี่ล่ะ...รักผมบ้างไหม”
คงเพราะอากาศดีๆ แบบนี้ ผมถึงอยากได้ยินคำว่ารักจากเขา อยากให้ค่ำคืนนี้...หัวใจของผมถูกเติมเต็ม แต่คำตอบของพี่พ่ายก็ยังเหมือนเดิม ความเงียบเท่านั้น...ที่ผมได้รับจากเขา...
แต่ไม่เป็นไร...มันคงเป็นคำถามที่ยากเกินไปสำหรับไร้พ่าย... ผมเข้าใจดี
“ทำไมต้องร้องไห้”
ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามีน้ำตามากมายที่กำลังไหลอาบแก้ม และมันคงหยดลงบนแขนของเขา
“ผมมีความสุข...มีความสุขจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เลย”
“เด็กโง่”
“จริงๆ นะพี่ ผมมีความสุขจริงๆ ผมดีใจที่พี่อยู่ข้างๆ ผม”
พี่พ่ายจับตัวผมให้หันไปเผชิญหน้ากับเขา ดวงตาที่คุ้นเคยจ้องมองราวกับกำลังวิเคราะห์สิ่งที่อยู่ภายในใจของผม ก่อนเขาจะดึงผมไปกอดไว้แล้วกระซิบเบาๆ ว่า
“ขอโทษ”
มันคงดีกว่านี้...ถ้าเขาไม่พูดคำๆ นี้ออกมา คงดีกว่า...หากเลือกที่จะเงียบต่อไป เพราะคำว่าขอโทษของเขา...มันอธิบายความรู้สึกของเขาได้ดี...
“ถ้ากูทำให้เจ็บขนาดนี้...เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมดีไหม”
มือของผมสั่นเล็กน้อยแต่ก็ยังจับชายเสื้อของเขาไว้แน่น ความรู้สึกจุกและปวดไปทั้งอกทำให้ไม่สามารถพูดอะไรได้แต่ผมก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย
“กลับไปตอนที่เรายังเป็นแค่คนแปลกหน้า...”
ไม่...ผมไม่... ผมจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว ได้โปรด... อย่าพูดแบบนี้...อย่าทิ้งผมไว้แบบนี้ พี่พ่าย...พี่พ่าย...
“กูไม่อยากทำร้ายมึง”
พี่กำลังทำร้ายผม...ขอร้อง...พี่พ่าย...ผมจะไม่ถามอะไรอีกแล้ว...
“ผม...ผมมี...มีความสุขจริงๆ นะพี่ อย่าพูดแบบนี้เลยนะ อย่าพูดแบบนี้เลย...”
พี่พ่ายไม่ได้พูดอะไรกลับมา เขาแค่ดึงมือของผมออกจากการเกาะกุมชายเสื้อของเขา ก่อนจะมองมาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก
“พี่พ่าย...”
“ถ้ามึงยังยืนยันว่าจะอยู่ตรงนี้ กูก็ไม่ห้าม แต่กูก็ยืนยันคำเดิมเหมือนกัน” เขาลูบหัวผมเบาๆ การกระทำที่ขัดกับคำพูดร้ายกาจนั้นทำให้น้ำตาของผมไหลไม่หยุด “ไปหาคน...ที่เขารักมึงได้อย่างที่มึงรัก จะได้ไม่ต้องเจ็บแบบนี้ กูขอโทษสำหรับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด คิดว่ามัน...เป็นฝันร้ายก็แล้วกัน”
“ถ้าผมคิดได้ง่ายๆ ผมคงไม่รักคนอย่างพี่หรอก...ผมขอเวลาสักหน่อยได้ไหม...ผมยังทำใจไม่ได้จริงๆ”
ผมรู้ว่าถ้ายังดันทุรังจะไปต่อ ก็คงมีแต่เจ็บกับเจ็บ แต่ผมเป็นประเภทที่ถ้าจะเจ็บก็ขอให้เจ็บจนถึงที่สุด จะได้ไม่มีอะไรค้างคาอีก ในวันข้างหน้าผมไม่อยากจะมานั่งนึกเสียใจว่าทำไมตอนนั้นไม่ทำแบบนี้ ถ้าทำมันอาจจะดี หรือถ้าไม่ทำมันอาจจะดีกว่า ...ไม่อยากให้ชีวิตเกิดคำถามจนลังเลที่จะก้าวไปข้างหน้า เพราะฉะนั้น...แม้ใครจะมองว่าผมโง่ ผมก็ยอมรับ
“ค่อยๆ ห่างกันก็ได้...ถ้าจู่ๆ ก็ต้องเลิกกันแบบนี้ ผมคง...”
“อย่าคิดฆ่าตัวตาย ต่อให้ใครไม่รักมึง มึงก็ต้องรักตัวเอง”
ผมไม่เคยคิดฆ่าตัวตายเลย แต่พี่พ่ายคงจะเข้าใจผิดไปเอง แต่ถ้าจะทำให้เขายอม ก็ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดไปก็ได้
“ผมทำไม่ได้หรอก...ผมมันโง่นี่”
“เพี้ยน!”
“...”
“เฮ้อ! ตามใจมึง!”
“เย้! รักพี่พ่ายที่สุด!”
ผมกอดเขาแน่น แม้จะรู้สึกเจ็บแผลแต่ผมก็อยากจะรู้สึกถึงตัวตนของเขา อยากจะแน่ใจว่าคนที่ผมกอดอยู่คือคนที่ผมรักจริงๆ
ผมจะไม่ร้องไห้ จะไม่ถามเรื่องที่ไม่ควรถาม จะไม่รู้สึกอะไรที่ทำให้พี่ลำบากใจเวลาที่เราอยู่ด้วยกันอีกแล้ว...เพราะฉะนั้น...อย่าไปจากผมเลยนะครับ
“ดีจัง...”
“อะไร”
“ผมมีความสุข”
พี่ไม่ต้องรู้หรอกว่าผมรู้สึกยังไง...มองแค่รอยยิ้มของผมก็พอ
ผมกลับเชียงรายในบ่ายของวันต่อมา ในตอนเช้ามีตำรวจมาหาที่รีสอร์ท ถามไถ่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเล็กน้อยแล้วรับปากว่าจะรีบหาตัวคนร้ายให้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าพวกเขาจะหาเจอหรอกครับ ไม่ได้มีความหวังนั้นอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนพี่พ่ายก็...
เขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยจนรู้สึกได้ หรือเป็นเพราะผมไม่ได้ทำความเข้าใจกับคำว่าค่อยๆ ห่างกันที่ตัวผมได้พูดออกไปเองกันแน่ แม้หลังจากที่กลับจากจุดชมวิวแล้ว เราจะทานข้าวด้วยกัน นอนห้องเดียวกัน แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงความห่างเหิน พี่พ่ายไม่มองมาที่ผมเลยแม้สักครั้ง เขาปล่อยให้ผมนอนรอเป็นชั่วโมงในขณะที่เขาออกไปคุยโทรศัพท์กับน้องเดียร์ กลับเข้ามาในห้องก็ขึ้นไปนอนอีกฝั่งของเตียงแล้วปิดโคมไฟฝั่งหัวเตียงของเขาแล้วหลับไปเลย ผมได้แต่ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้จะทักท้วงเขาด้วยคำไหน ในเมื่อหลายๆ คืนที่ผ่านมาเราจะนอนกอดและหลับไปพร้อมกัน แต่คืนนี้เขานอนหันหลังให้ ผมถึงได้พูดอะไรไม่ออก ทำได้แค่ขยับเข้าไปกอดเขาจากข้างหลังเท่านั้น
พี่เอเป็นคนมารับพวกผมที่สนามบิน แต่ผมก็ต้องกลับกับพี่เอแค่สองคนเพราะพี่พ่ายมีน้องเดียร์มารอรับ ผมได้แต่จิกเล็บลงบนแขนตัวเองในขณะที่ฝืนยิ้มให้กับน้องเดียร์
“คืนนี้กูไม่กลับ ล็อคประตูรั้วได้เลย” พี่พ่ายบอกกับพี่เอแล้วก็เดินไปกับน้องเดียร์ เขาเหลือบมองมาทางผมเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไร
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า” พี่เอหันมาถามผมในขณะที่เรากำลังเดินไปขึ้นรถ
“เปล่าครับ”
“โกหก ทำตาแดงๆ จะร้องไห้แบบนี้ มึงจะให้กูเชื่อเหรอ”
“ผมหลับบนเครื่องมา ตาก็ต้องแดงอยู่แล้ว”
“ไอ้เพี้ยน...”
“ผมไม่ได้ร้องไห้นะ! ผมมีความสุขจะตายไป!”
“ไอ้เด็กบ้า มึงจะเสียงดังทำไมเนี่ย ไปๆ กลับ พี่ชายมึงกำลังทำกับข้าวไว้รอละ”
“ขอโทษครับ”
“เป็นเอามากนะมึง เฮ้อ ป๋าแม่งก็เป็นบ้าไรมันเนี่ย กลับมาทั้งทีไม่ไปเจอหน้าเพื่อน ดันหนีไปกกเด็กซะงั้น แค่ที่ทะเลไม่พอรึไงวะ”
พี่เอบ่นไปตามประสา ในขณะที่ผมแกล้งทำหูทวนลม ผมไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น...พอๆ กับที่ไม่อยากจะรับรู้อะไรให้มากจนตัวเองต้องเจ็บอีก...ผมรู้แค่ว่าผมรักพี่พ่ายก็พอแล้ว
กลับมาถึงบ้านก็เกือบทุ่ม พี่เกมรอต้อนรับด้วยอาหารเหนือหลากหลายชนิด เขาถามถึงพี่พ่ายแต่พี่เอก็ตอบคำถามแทนผมที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเดียว กินข้าวเสร็จผมก็ขอตัวไปเช็ดตัวเพราะแผลยังไม่แห้งก็เลยยังอาบน้ำไม่ได้ ก่อนจะออกมานั่งดูซีรีย์เกาหลีกับพี่เกม แต่แม้พระเอกจะทำหน้าตลกแค่ไหนผมก็ยิ้มไม่ออก คงเพราะมันเป็นมุกที่ฝืดเกินไปล่ะมั้ง
“เพี้ยน”
“ครับ”
“เป็นไรไป พี่เห็นเราทำหน้าแบบนี้มาสักพักแล้วนะ”
“ไม่ได้เป็นไรพี่ กำลังคิดว่าพระเอกกับนางเอกนี่มันจะรักกันได้ยังไง”
“การตกหลุมรักมันก็เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นต้องทำอะไรมากมายเลย ถ้าเป็นคนที่เราคิดว่าใช่ เราก็ตกหลุมรักเขาได้ทั้งนั้น”
“แม้ว่าเขาจะทำให้เราเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าน่ะเหรอพี่”
ผมได้แต่สงสัย...ว่าอะไรที่ทำให้คนเราโง่งมอยู่กับคนที่ทำร้ายเรามากมายอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้คำตอบเลย ความรักมันคงร้ายแรงยิ่งกว่ายาเสพติด...เพราะจะให้เลิกก็คงเลิกไม่ได้ง่ายๆ แถมยัง...ไม่มีวิธีที่จะเลิกมันด้วย
“ความรักคือความสุขนะเพี้ยน แต่ที่เราเจ็บ นั่นเพราะเราไม่ได้รับความรักจากเขาต่างหาก”
งั้นหรอกเหรอ...เป็นอย่างนี้นี่เองสินะ
ผมนั่งดูซีรีย์กับพี่เกมไปจนจบแผ่นที่สาม ก็แยกย้ายกันไปนอน ก่อนจะเข้านอนผมก็โทรหาพี่พ่าย แต่เขาไม่รับสาย ไลน์ไปหาเขาก็ไม่อ่าน แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ ผมโทรหาเขา โทรเป็นสิบยี่สิบครั้ง จนกระทั่ง...
“มีธุระอะไร”“คิดถึง”
“ไปนอนได้แล้วไป”“ผมนอนไม่หลับ”
“อืม แล้วไง?”“กลับมานะ...ผมรออยู่”
พี่พ่ายไม่ตอบอะไรกลับมา แต่เขาก็ยังไม่วางสาย ผมรอฟัง...ว่าเขาจะพูดอะไร และรอฟัง เสียงของใครอีกคนที่เขาอยู่ด้วย เพื่อที่ว่าผมจะได้เลิกรอให้เขากลับมาสักที แต่ปลายสายนั้นก็ยังคงมีแต่ความเงียบ
“พี่อยู่ที่ไหน กลับมาหาผมนะ ผมนอนไม่หลับเลย”
“ไม่ได้”“ใจร้าย...แต่ไม่เป็นไร ผมรอได้อยู่แล้ว”
“ไม่ต้องรอ เพราะกูไม่กลับ ไปนอนได้แล้ว”“ไม่นอน”
“ดื้อ”“กลับมาลงโทษผมสิครับ”
“ไม่นอนก็เรื่องของมึง”“ไม่ห่วงเลยเหรอ”
“เออ”“พี่พ่าย...”
เขากดตัดสายไปทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมได้ยินเสียงประตูของห้องนอนใครสักคนถูกเปิด ...ไม่จริงน่า! พี่เกมกับพี่เอก็คงหลับไปแล้วนี่นา ผมรีบลงจากเตียงแล้วเปิดประตูออกไปดู
“พี่พ่าย...ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” ผมเดินเข้าไปกอดเขาจากข้างหลัง “ไหนบอกจะไม่กลับไง”
“กูกลับมาอาบน้ำ”
“งั้นที่คุยกันเมื่อกี้พี่ก็อยู่หน้าห้องตลอดเลยเหรอ”
“...”
“ดีใจจัง งั้นพี่ไปอาบน้ำเถอะนะ ผมไม่กวนแล้ว แต่อย่าออกไปข้างนอกอีกเลยนะ...เตียงที่บ้านสบายกว่าเตียงที่คอนโดน้องเดียร์แน่ๆ อ่ะ ผมมั่นใจ”
“เออๆ ไปนอนได้ละ”
“ครับ”
“เดี๋ยว...”
“หือ?”
“กินยารึยัง”
“อ่อ...ลืมอ่ะ ยังไม่ได้กิน”
“ทำไมไม่กิน โง่รึไงมึงน่ะ”
“ก็มันลืมจริงๆ นี่ มัวแต่คิดเรื่องของพี่”
พี่พ่ายไม่พูดอะไร ได้แต่ทำหน้าบึ้งแล้วก็ผลักหน้าผากผม
“ผมไปนอนจริงๆ แล้วนะ ฝันดีครับ”
“อืม”
มันคงดีนะ...ถ้าเขาจะรั้งผมไว้แล้วบอกว่าคืนนี้เราจะอยู่ด้วยกัน...ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างเดินเข้าห้องนอนของตัวเองแบบนี้
นี่เรา...กำลังค่อยๆ ห่างกัน...จริงๆ เหรอ
.....................................................................TBC...............................................................
หายไปนานเลย ขอโทษนะคะ แต่ช่วงนี้งานค่อนข้างหนักค่ะ อยู่ในช่วงรื้อโปรแกรมเขียนใหม่ ก็เลยเหมือนคนบ้าที่เอาแต่คิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของแฟน (พี่พ่าย) เรื่องราวก็ใกล้จะถึงไคลแม็กซ์แล้ว คงอีกสักพักให้ใจของเราพร้อมกว่านี้ เชื่อว่าทุกคนที่เป็นกำลังใจให้ตลอดมาจะจับมือกันก้าวผ่านมันไปได้

ปล. เพี้ยนนั้นอาภัพนัก