ตอนที่ 42 (The end)นับจากวันที่น้องนะต้องไปอยู่กับนังวิว...ผมไม่เคยนอนหลับได้เต็มตา ในหัวของผมครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา ทั้งห่วง...ทั้งกังวล จะยังร้องไห้อยู่ไหม จะกินอิ่มนอนหลับหรือเปล่า... มันเป็นความผิดของผมเอง...เป็นความผิดของผมที่น้องนะต้องไป ทั้งๆ ที่ไม่ควรเสียสละ ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาใช้แลกเปลี่ยนกันได้ แต่คนไร้หัวใจอย่างพี่พ่ายก็ยังทำได้ลง
ผมอยากหนีไปให้ไกล... อยากไปจากเขาให้เร็วที่สุด แต่ผมกลับไปไม่ได้ ผมปล่อยให้เด็กๆ อีกสองคนอยู่กับคนแบบพี่พ่ายตามลำพังไม่ได้หรอก เขาไม่รู้จักการดูแล ไม่รู้วิธีแสดงความรัก คนอย่างไร้พ่าย...คงรู้จักแต่การทำธุรกิจเท่านั้น
“เพี๊ยง นะมาอยู่กับเลาไม่ได้เหลอ” น้องยะเอียงแก้มซาลาเปามาพิงที่แขนของผม ใบหน้าดูงุนงงครุ่นคิด หลายวันมานี้พวกเด็กๆ ไม่ค่อยร่าเริง แม้จะมีคนบอกว่าเป็นเด็กอีกเดี๋ยวก็ลืม อีกเดี๋ยวก็คงกลับมาร่าเริงต่อ ซึ่ง...มันก็ใช่ พวกเขาอาจจะไม่ได้ร้องไห้ทุกวัน ไม่ได้คิดมากทุกวันเหมือนผม แต่ก็สังเกตได้ว่า...มันไม่เหมือนเดิม เมื่อก่อนเคยมีกันสามคน เล่นด้วยกันสามคน แต่มาวันนี้ เหลือกันอยู่สองคนแล้ว ...ทว่า...อีกคนที่โดดเดี่ยวจะอยู่กับใคร คงต้องเหงามากแน่ๆ ใช่ไหม...
“ได้...ได้อยู่แล้ว เดี๋ยวพี่นะก็กลับมาอยู่กับพวกเรา น้องยะนอนได้แล้วน้า”
“วังนี้...นะไม่มาเล่งด้วยกัง นะไม่กิงข้าว”
ผมปาดน้ำตาออกจากแก้ม เบือนหน้าหนีเพื่อไม่ให้น้องยะเห็น “พรุ่งนี้พี่เพี้ยนจะไปส่งที่โรงเรียน แล้วพวกเรามาเล่นด้วยกันเหมือนเดิมเนอะ”
“อื้อ”
“นอนนะครับ มาๆ คืนนี้พี่เพี้ยนจะเป็นหมอนให้น้องยะหนุนเลย”
น้องยะกลิ้งเป็นลูกขนุนไปจนเกือบชิดน้องโยที่นอนหลับไปเพราะเหนื่อยจากการวิ่งเล่นไล่จับกับผมรอบห้อง
“เพี๊ยง”
“จ๋า”
“ป๋าไปไหน”
“เดี๋ยวป๋าก็กลับครับ”
น้องยะพยักหน้าก่อนจะเอียงหัวโตๆ มาพิงกับอกผมเป็นที่เรียบร้อย “น้องยะขยับไปชิดน้องโยหน่อยก็ได้ลูก”
“ไม่ได้หลอก นี่ที่ของนะ”
น้องนะมักจะนอนตรงกลางระหว่างแฝดน้องทั้งสองคนเสมอ และที่ตรงนั้นก็ถูกเว้นไว้ให้ตลอด... ใช่ มันไม่ใช่แค่ผมที่รอ... พวกเด็กๆ ก็คงรอให้พี่ชายของพวกเขากลับมาเหมือนกัน
ผมห่มผ้าให้กับน้องยะแล้วลูบศีรษะกลมๆ จนน้องหลับไป พอแน่ใจว่าน้องยะนอนหลับสนิท ผมก็รีบลุกไปปิดไฟกลางห้อง คืนนี้ไม่รู้หรอกว่าพี่พ่ายจะกลับมานอนที่บ้านไหม เพราะผมไม่ได้สนใจมาสักพักแล้วว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ต่อให้ตอนนี้ตึกใหญ่จะไม่มีนังวิวยึดครองอยู่แล้ว ผมก็ยังไม่ย้ายไปอยู่ที่นั่นอยู่ดี และพวกเด็กๆ ก็เต็มใจที่จะมานอนตึกฝั่งตะวันออกกับผมด้วย
นับเวลาที่ผมไม่ได้คุยไม่ได้เจอหน้าพี่พ่าย...ก็หลายวันมาแล้ว สำหรับผมในตอนนี้...ไม่ได้อยากข้องเกี่ยวอะไรกับเขาทั้งนั้น แม้พี่พ่ายจะไม่ได้เอ่ยปากรั้งผมให้อยู่กับเขา แต่เขาก็ทำให้แน่ใจว่าผมจะหนีไปจากเขาไม่ได้ เขาตัดอิสระภาพของผมไปจนหมด พี่จินที่จากมีหน้าที่ขับรถให้เขาก็กลับกลายเป็นคนมาเฝ้าผมแทน ระหว่างผมกับเขาเลยยิ่งแย่ แย่จนไม่รู้ด้วยซ้ำ... ว่าทุกวันนี้... เรามีความรู้สึกอย่างไรต่อกัน
แกร๊ก!
เสียงลูกบิดประตูถูกบิดพร้อมกับประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ผมที่กำลังเดินไปล็อคประตู แต่ก้าวขาไปยังไม่ถึงก็ต้องชะงัก
คนที่เปิดประตูเข้ามาคือเจ้าของคฤหาสน์ เจ้าของทุกอย่างในพื้นที่ที่ผมอยู่ เขายังอยู่ในชุดสูทหรูหราตามปกติ ผมเดาไม่ได้ว่าเขาเพิ่งกลับจากบริษัทหรือกลับจากงานสังสรรค์กับพวกบอร์ดบริหารหรืองานสังคมที่ไหนสักงาน แต่เขาในตอนนี้ดูแตกต่างจากเวลาปกติไปเล็กน้อย
“เพี้ยน” เขาเอ่ยเรียก ขยับเข้าใกล้ แต่ผมก้าวถอยหลังเพื่อขยับหนีจากเขา “เหี้ยเอ้ย!”
“เบาๆ ได้ไหม ลูกนอนไปแล้วนะ” ผมเอ่ยเตือน ดันหลังเขาออกนอกห้อง แต่แค่ขยับเข้าใกล้ ก็ได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ปะปนกับกลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้ประจำ “ดื่มมาหรือไง”
“เออ”
“เมาแล้วก็ไปนอน ผมจะไปนอนแล้วเหมือนกัน”
พี่พ่ายกระชากแขนของผมไปจับไว้แน่น ทำเอาตัวผมเกือบปะทะกับเขาโดยแรง ถ้ายั้งตัวไว้ไม่ทันคงได้หน้ากระแทกกันไปแล้ว “มึงจะให้กูทำยังไง บอกมาเลย บอกมา กูจะทำให้ทุกอย่าง”
“พี่ก็รู้ว่าผมต้องการอะไร”
“แต่มันไม่ได้ไง มึงเข้าใจไหม มันตกลงกันหมดแล้ว”
“พี่ตกลงเอาเองโดยไม่ถามความสมัครใจใครเลย พี่ถามน้องนะหรือยังว่าเขาอยากไปไหม ถามหรือเปล่าว่าลูกรู้สึกยังไง พี่มันก็คิดเอาแต่ได้ คิดแต่เรื่องตัวเอง มันแย่ไปหมดแล้วพี่ แย่เพราะพี่คนเดียว”
ผมเบื่อแล้วกับการร้องไห้ที่ไม่เกิดประโยชน์ แต่พอคิดถึงน้องนะ น้ำตาของผมมันก็ไหลออกมาเอง ผมมีส่วนผิด...ไม่ใช่... ผมผิดเต็มๆ เลยเรื่องนี้ ผมไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก...
“ขอโทษ” พี่พ่ายยกมือเช็ดน้ำตาให้ แต่ผมก็ปัดมือเขาออกไป
“ไม่ต้องเช็ดน้ำตาให้ผม ผมโตแล้ว ผมเช็ดมันเองได้ แต่น้องนะ ลูกของพี่ เขาทำเองไม่ได้ รู้ไหม... ตอนนี้เขาต้องร้องไห้อยู่แน่ๆ ผมมั่นใจเลย ว่าเขาไม่มีความสุขหรอก... พาเขากลับมานะพี่ พาเขามา ถ้าจะมีใครติดคุก ผมจะไปเองก็ได้ แต่พาน้องนะกลับมา ผมขอร้อง”
ผมไม่รู้...ว่ากับคนไร้หัวใจอย่างพี่พ่าย คำอ้อนวอนจะมีประโยชน์แค่ไหน
แต่น้ำใสๆ เพียงหยดเดียวที่กำลังไหลออกจากดวงตาแดงก่ำของเขานั้น... บอกให้ผมรู้ว่า...แท้จริงแล้วพี่พ่าย...ก็มีหัวใจเหมือนกัน
“พี่...”
“เขาเป็นลูกกู...ยังไงกูก็ต้องพาเขากลับมาอยู่แล้ว กูกำลังหาทาง เข้าใจไหมว่ากูก็ไม่ได้มีความสุขเลยที่มันเป็นแบบนี้”
มันคง...เป็นอ้อมกอดแรกในหลายๆ วันที่ผ่านมา ที่ผมโอบกอดเขาไว้ด้วยความเข้าใจในความเจ็บปวดที่เราต่างกำลังเผชิญ
“กำลังใจของกูตอนนี้มีแค่มึง... อย่าให้กูต้องพูดบ่อยๆ ว่าทำไมกูถึงเลือกมึง ทำไมที่ตรงนี้มันถึงต้องเป็นมึงเท่านั้น”
“ผมคิดจริงๆ นะว่า...ผมไม่ควรอยู่ตรงนี้เลยพี่พ่าย ถ้าไม่ใช่เพราะผม น้องนะคงไม่ต้องไป”
“มึงไม่ได้ผิดคนเดียว ความผิดที่มึงแบกรับไว้ ครึ่งหนึ่งก็เป็นของกู”
หลายครั้งที่ความผิดพลาดเกิดขึ้นกับผมครั้งแล้วครั้งเล่า...หลายครั้งที่ผมเผลอคิดว่าผมเลือกรักคนผิด เพราะเขาเหมือนคนไม่มีหัวใจ ...แต่หลายครั้งที่คำตอบในหัวใจของผม...ก็ยังคงเป็นเขาอยู่ดี
“แล้วเราควรจะทำยังไงกันดี... ผมมีความสุขไม่ได้หรอก... ถ้ามันยังเป็นอย่างนี้”
ทางแก้ปัญหาที่ดีคือการร่วมมือกันแก้ ผมรู้มาตลอดว่าการหันหน้ามาคุยกัน หาทางร่วมกันมันดีที่สุด แต่ที่ปล่อยให้เรามึนตึงต่อกันอย่างนี้... ผมยอมรับเลยว่าผมไม่ชอบกับการกระทำของเขาเลยจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็อยากจะโกรธอยากจะเกลียดให้ถึงที่สุด แต่ผมทำไม่ได้...แม้สักนิดก็เกลียดเขาไม่ได้เลย
“กูรู้อยู่แล้ว... กูจะเอาลูกมาอยู่กับเราวันเสาร์อาทิตย์ ดีไหม... อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีทางที่ดีกว่านี้”
ไม่ว่าจะแค่หนึ่งหรือสองนาที...มันก็ดีทั้งนั้น ขอแค่น้องนะกลับมาอยู่กับพวกเรา ผมไม่เกี่ยงเลยว่าจะเวลามากน้อยแค่ไหน
“ทำยังไงก็ได้...ถ้าน้องนะมีความสุข ผมโอเคทั้งนั้น”
ครอบครัว...มันขาดใครคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้ ...ความสุขจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราได้อยู่ด้วยกัน... ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
****************************
“จ๊ะเอ๋! สุดหล่อของพี่เพี้ยน”
คนรูปหล่อของผมได้แค่ยิ้ม ก่อนจะมองน้องๆ ของตัวเองเล่นกันต่อ
“น้องนะทำไมไม่ไปเล่นกับน้องๆ ล่ะครับ น่าสนุกดีนะ สนุกกว่านั่งคนเดียวเยอะเลย”
พี่พ่ายพาน้องนะมาอยู่ด้วยทุกวันเสาร์อาทิตย์ ผมไม่รู้ว่าเขาตกลงกับนังวิวไว้ว่ายังไง แต่ดีแล้วที่มันยอมให้น้องมา ทว่า...กลับมีบางอย่างที่หายไป เสียงหัวเราะ ความสดใส แม้แต่รอยยิ้มที่ผมชอบมอง...ก็ยังเลือนหายไปจากใบหน้า น้องกลายเป็นคนนิ่งเงียบ พอใจแค่การนั่งมองมากกว่าจะเข้าไปเล่นกับน้องๆ
“ไม่เปงไลหลอก อยู่ตงนี้ก็ได้”
น้องนะกลายเป็นคนขี้เกรงใจ เขาทำตัวเหมือนเป็นคนอื่น เหมือนไม่ใช่ลูกเจ้าของบ้าน เขาไม่กล้า...ที่จะหยิบจับอะไรในบ้านตัวเองด้วยซ้ำ
“งั้น...ไปรอป๋ากับพี่เพี้ยนไหม เดี๋ยวป๋าก็กลับมาแล้วนะครับ”
น้องนะส่ายหน้า แค่เท่านั้นก็นั่งเงียบต่อไป มีหลายอย่างที่มันเปลี่ยนและหลายอย่างที่อาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ แล้วผม...ควรจะทำยังไงดี
“งั้นพี่เพี้ยนนั่งเป็นเพื่อนน้องนะดีกว่าเนอะ”
ผมดึงมือเล็กๆ มากุมไว้ ตามแขนเล็กขาวเห็นรอยแดงเป็นจ้ำ “นี่รอยอะไรครับ”
“ยุงกัดนะ”
“ยุงนิสัยไม่ดีเลยเนอะ เดี๋ยวพี่เพี้ยนไปเอายามาทาให้นะครับ”
“ขอบคุงคับ”
มันไม่ใช่รอยยุงกัด...แต่มันเป็นรอยเล็บ นังบ้านั่น...ต้องเป็นฝีมือของมันแน่ๆ นังสวะที่มีดีแค่มดลูก แต่สันดานต่ำทราม ผมล่ะอยากจะฆ่ามันจริงๆ ทั้งชีวิตนี้...ไม่เคยเกลียดใครได้มากเท่าพี่น้องตัววอนี่เลยจริงๆ เลวชาติทั้งพี่ทั้งน้อง
“พี่พ่าย” พี่พ่ายกลับมาแล้ว แต่เขากำลังยืนลับๆ ล่อๆ อยู่ที่ประตู “ไม่เข้าไปอะ”
“กูแค่แวะมาดู”
“เข้าไปหาลูกสิพี่ ไปเร็ว”
บางทีพี่พ่ายมันก็บ้าบอ เป็นคนไปรับลูกมาแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าระหว่างทางที่นั่งรถมาด้วยกัน เขาคุยกับลูกบ้างไหม หรือนั่งเงียบมาตลอดทาง
“พี่พ่าย แขนน้องนะมีแต่รอยหยิกอะ นังสารเลวนั่นมันต้องทำลูกแน่ๆ”
จะว่าผมกล่าวหาว่าร้ายผมก็ไม่สนใจแล้ว สันดานมันใครก็รู้ดี คงมีแต่ไอ้บื้อหน้ามึนตรงหน้าผมนี่แหละที่มันไม่รู้ มันถึงได้บ้ายอมตกลงให้ลูกไปอยู่กับนังชั่วนั่น
“มึงดูผิดรึเปล่า”
“ตาผมไม่ได้บอดไม่ได้พร่ามัวเหมือนพี่นะ ถึงจะดูไม่ออกว่ามันรอยอะไร”
“มึงจะด่ากูครบสามเวลาเลยไหม ทำงานมาเหนื่อยๆ พูดจาดีๆ ให้ฟังหน่อยไม่ได้ไง”
“อยากฟังคำหวานๆ คำพูดดีๆ ก็ไปหาเอาจากนังวิวมันเลยไป”
“เพี้ยน อย่าให้มันมากไปนะ”
“ขอโทษ”
ผมพูดทิ้งท้ายแค่นั้นก็เดินเอายามาใส่แผลให้น้องนะ พี่พ่ายเขาก็เดินตามมา เห็นเด็กแฝดสองคนวิ่งเข้าหา แต่น้องนะที่ผมใส่ยาให้เสร็จแล้วก็ยังนั่งอยู่กับที่ ทั้งๆ ที่ปกติ น้องนะจะเป็นคนแรกเลยที่เข้าหาพี่พ่าย เขาติดพ่อมาก แล้วก็รักพี่พ่ายมากด้วย ทว่าวันนี้มันแปลกไปจริงๆ
“เพี๊ยง...นะหิวข้าว นะกิงข้าวได้ป่าว”
ผมอุ้มสุดหล่อขึ้นนั่งตักก่อนจะหอมแก้มไปสองที “ได้สิครับ ได้อยู่แล้ว น้องนะอยากได้อะไร พี่เพี้ยนให้หมดเลย งั้นเราไปกินข้าวกันนะครับ น้องนะอยากกินอะไร บอกได้เลยนะ”
“นะกิงอะไลก็ได้”
“งั้นพี่เพี้ยนทำของโปรดให้นะ ทุกอย่างที่น้องนะชอบ พี่เพี้ยนจะทำให้”
“ขอบคุงคับ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก พี่เพี้ยนเต็มใจ” ผมจับมือน้อยๆ มากุมไว้ ไม่รู้...ว่าต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ผมปกป้องเขาตลอดเวลาไม่ได้ ผมอยากจะขอโทษ อยากบอกขอโทษเป็นล้านๆ ครั้ง “น้องนะเป็นคนสำคัญของพี่เพี้ยนนะ เป็นคนที่สำคัญมากๆ น้องนะไม่ต้องเกรงใจพี่เพี้ยนเลย ต้องการอะไร อยากได้อะไร รู้สึกยังไง น้องนะบอกพี่เพี้ยนได้ทุกเรื่อง ใครทำร้ายน้องนะ น้องนะต้องบอกพี่เพี้ยน พี่เพี้ยนจะปกป้องน้องนะเอง พี่เพี้ยนสัญญา”
“นะก็ลักเพี๊ยง”
ผมไม่แน่ใจว่าอ้อมกอดของผมจะอบอุ่นพอให้หัวใจดวงน้อยๆ นี้หายจากการเหน็บหนาวได้ไหม... ผมไม่รู้ว่าผมจะปกป้องเขาได้ดีหรือเปล่า แต่ผมจะพยายาม ...มันไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนรักของพ่อพวกเขา แต่เพราะผมรักและเป็นห่วงพวกเขาจากหัวใจจริงๆ
**************************
ความสุขอาจจะยังมาไม่ถึง แต่ผมเชื่อว่ามันจะมาถึงในสักวัน แม้มันจะเลือนลางลงไปทุกที เราได้น้องนะกลับมาอยู่ด้วยทุกสุดสัปดาห์ แต่ทุกครั้งที่น้องมาอยู่ด้วย...ผมไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะที่ร่าเริง ไม่เคยเห็นรอยยิ้มที่สดใสเลยสักครั้ง แน่นอนว่าระหว่างผมกับพี่พ่าย...เราทะเลาะกันหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ มาจนถึงตอนนี้ก็ครบสามเดือนแล้วที่เราไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันเลย เขานอนที่ตึกใหญ่ ส่วนผมนอนกับพวกเด็กๆ ที่ตึกฝั่งตะวันออก
บ่อยครั้งที่ผมบุกไปที่บ้านนังวิวและโดนมันเรียกตำรวจมาจัดการ ต้องหน้าแหกไปเสียค่าปรับที่โรงพักทุกที แต่ผมไม่สนหรอก... เพราะผมรู้ดีว่าน้องนะกำลังตกนรกทั้งเป็นและพ่อของน้องก็ยังเป็นไอ้โง่ที่ทำอะไรไม่ได้ นังวิวหลังจากเลิกกับพี่พ่ายก็มีผู้ชายเข้าหามันเรื่อยๆ ค่าเลี้ยงดูที่ตกลงกันหลังฟ้องหย่ามันก็เอาไปเสวยสุขกับผู้ชายของมัน โดยที่ลูกจะกินอะไรมันไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ
“จะรอให้มันทำร้ายก่อนไหม จะรอให้ลูกตายก่อนรึไง พี่ถึงจะมีหลักฐานไปฟ้องมันได้ แค่นี้มันยังไม่ชัดอีกไงวะ”
“มึงก็ใจเย็นๆ ก่อนไม่ได้ไง! จะแบกหน้าไปให้ตำรวจลากเข้าตะรางอีกกี่ครั้งถึงจะพอ”
“ผมจะไปจนกว่าผมจะได้สิ่งที่ผมต้องการกลับมา พี่ก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง”
“มึงมันบ้าไอ้เพี้ยน ทำอะไรไม่เคยใช้สมอง”
“ถ้าต้องใช้สมองแบบพี่ ไม่ต้องตายกันหมดไงวะ พลาดไปกี่ครั้งไม่เคยจำ”
“กูขี้เกียจเถียงกับมึงแล้ว จะไปไหนก็ไป จะทำงาน”
“ก็ไม่ได้อยากมานักหรอก ไอ้ห้องทำงานห่วยๆ นี่”
“พูดกับผัวให้มันดีๆ หน่อย”
“ยังมีหน้ามาเรียกตัวเองแบบนั้น พี่จะโดนลอยแพเข้าสักวัน ยังไม่รู้ตัวอีก”
“มึงไม่ทิ้งกูหรอก”
“ก็ไม่แน่ว่ะพี่ สามเดือนมานี้มันไม่ชัดเจนอีกเหรอว่าความสำคัญของพี่มันมีน้อยกว่าลูก”
พี่พ่ายแทบจับหัวผมโขกโต๊ะ แต่ผมไหวตัว โยกหลบทัน ไอ้บ้านี่มันชอบเล่นแรง เวลาอยู่กับมันแล้วพูดจากวนตีนต้องตั้งสติให้ดีและระวังตัวอยู่ทุกวินาที เพราะตัวมันใหญ่ มือมันไว จับได้มันเล่นผมตายแน่ครับ
“อีกสองวัน”
“อะไร”
“อีกสองวัน ลูกจะได้มาอยู่กับเรา”
“ห้ะ? หมายความว่ายังไง พี่จะไปลักพาตัวมาเหรอ”
“กูไม่ได้โง่อย่างมึงไอ้เพี้ยน คนฉลาดก็มีวิถีของคนฉลาด”
“หลังจากที่โง่มาหลายปี วันนี้ก็ฉลาดสักทีเหรอ ควรพาไปเลี้ยงสมองไหมที่ไอคิวในสมองพี่กลับจากพักร้อนแล้ว”
“มึงนี่มันเหน็บแนมเก่งจริงๆ นะ ไม่ใช่เมียกูเตะไส้ไหล”
“พี่ง้างตีนแล้วแต่ผมหลบทันไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องมาอ้างสถานะ เมียไม่เมียพี่ก็จะเตะอะ ไอ้บ้าเอ้ย โว้ยยยย ล็อคคอทำมะเขือไรเล่า! ไม่ต้องมากอด!”
ไอ้พี่พ่ายมันตัวใหญ่กว่าผม แม้จะสูงต่างกันไม่มากแต่มันตัวล่ำกว่า ล็อคทีดิ้นแทบไม่หลุด
“อยู่นิ่งๆ”
“มันร้อนเนี่ย”
“มึงอ้าง”
“รู้ว่าอ้างก็ปล่อยดิพี่”
“กูไม่ปล่อย”
“ไอ้หน้าด้าน”
“มึงหน้าด้านกว่ากูไหม”
เพราะขี้เกียจจะเถียง ก็เลยต้องยอมให้กอด แม้จะไม่อยากยอมรับว่าแท้จริงแล้ว...ผมก็คิดถึงอ้อมกอดของเขาเหมือนกัน
“เพี้ยน”
“ว่า”
“ดีใจที่มึงรักลูกกูเหมือนลูกมึงเอง”
“แน่นอน ก็เด็กๆ น่ารัก”
“แต่มึงลืมพ่อของลูกไปไหม...บางทีมึงก็ทำเหมือนกับว่ามึงไม่รักกูเลย”
“พี่น้อยใจเป็นด้วยไง”
“แรกๆ ก็ไม่ แต่สามเดือนแล้วที่กูไม่ได้เอามึง”
“คนอย่างพี่นี่ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายดี สมองคิดได้แค่เนี้ย”
พี่พ่ายหัวเราะเบาๆ เขาพิงโต๊ะทำงานแล้วดึงให้ผมพิงตัวเขาอีกที “มึงไม่เหงาเลยรึไง...กี่คืนมาแล้วที่ไม่ได้นอนด้วยกัน”
“ไม่ได้นับ”
“เด็กบ้า”
ผมยอมรับว่าผมบ้า ...ไม่ได้บ้าธรรมดา ผมบ้ามากๆ ด้วย “ผมมีความสุขคนเดียวไม่ได้... พวกเราต้องมีความสุขไปด้วยกัน ผมไม่อยากต้องยิ้มในขณะที่ใครอีกคนต้องร้องไห้ ผมพยายามในแบบของผมแล้ว ถ้าพี่คิดว่าพี่ฉลาดพี่ก็ทำให้ความหวังของผมสำเร็จไม่ได้เหรอ”
“ก็บอกแล้วไงว่าอีกสองวัน...นะก็จะมาอยู่กับเรา แม้จะต้องไปๆ มาๆ แต่ลูกจะอยู่กับเรามากกว่าแน่นอน”
“ไม่ต้องให้กลับไปหานังบ้านั่นไม่ได้เหรอ”
“กูรู้ว่ามึงรู้สึกยังไง แต่ตอนนี้มันได้เท่านี้”
“พี่รู้รึเปล่าว่าน้องนะเปลี่ยนไปมาก...รู้ไหมว่ากว่าเราจะได้เขากลับมา มันก็อาจจะสายไปแล้ว”
“รู้... แต่กูเชื่อว่ามึงจะทำให้นะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“ไม่ใช่ผม แต่เป็นเราต่างหากพี่พ่าย น้องนะรักพี่มาก คนที่จะทำให้น้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้คือพี่นะ แล้วถ้าพี่ไม่มั่นใจว่าจะทำมันได้ ก็มีผมไง ผมจะคอยช่วยเอง เพราะเราเป็นครอบครัว มันขาดใครไปไม่ได้...พี่รู้ใช่ไหม”
“อืม”
“ผมรักพี่นะ แต่เราจะยังมีความสุขกันไม่ได้หรอก ถ้าคนสำคัญอีกคนของเรายังต้องร้องไห้”
พี่พ่ายยิ้ม เขาผลักหน้าผากผมหลายที แต่ผมก็ไม่โวยวายอะไร...เพราะรอยยิ้มที่ได้เห็นนี้...มันหาได้ยากจากผู้ชายอย่างเขามากเหลือเกิน
“คิดไม่ผิดที่เลือกมึง”
“แต่ผมว่าผมคิดผิดที่เลือกพี่ แม่ง...ชีวิตมีแต่ดราม่า”
“แล้วมึงจะดราม่าตามทำไม มึงก็บ้าบอของมึงต่อไปสิ”
“ตอนนี้มันบ้าไม่ไหวไง ไม่คุยแล้ว ผมไปรับลูกดีกว่า พี่ไปด้วยกันมะ”
“เดี๋ยวกูมีประชุม...” พี่พ่ายพูดก่อนจะขยับยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าผม “แต่เลื่อนได้ ก็ไม่ได้ประชุมงานสำคัญอะไร”
“ครอบครัวสำคัญกว่าใช่ไหม”
“อืม”
“งั้นก็...คิดไม่ผิดละที่เลือกพี่ ฮี่ๆ ขอควงแขนนะ เลขาหน้าห้องพี่จะได้รู้อะว่าพี่เป็นเกย์”
“เดี๋ยวกูเตะร่วงเลยไอ้เด็กบ้า”
ต่อให้จะพูดอย่างนั้น แต่พี่พ่ายก็ยอมให้ผมเกาะแขนเขาออกนอกห้องทำงานมาจนถึงลิฟท์ แล้วพอจะปล่อย...เขากลับไม่ยอมให้ปล่อยซะงั้น
“คืนนี้หลังจากลูกนอนแล้วมาหาป๋านะครับ” เขากระซิบมาว่างั้น ผมก็ได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอม แหม ฝืนใจจริงๆ แต่เห็นแก่ที่ทำตัวดี จะยอมไปหาก็ได้ ฮิฮิ
**************************