!!!!!!!!! DADDY BE LOVER รักนะครับคุณพ่อลูกสอง [ตอนพิเศษ 4] (25-4-61) !!!!!!!!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: !!!!!!!!! DADDY BE LOVER รักนะครับคุณพ่อลูกสอง [ตอนพิเศษ 4] (25-4-61) !!!!!!!!!!  (อ่าน 419026 ครั้ง)

ออฟไลน์ loveaaa_somsak

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-3
ตอนล่าสุดมีสาระมาก ได้ข้อคิดไปใช้ได้เลย

ออฟไลน์ Rabity

  • #slytherinforlife
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 523
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-8
น้องเอสสาดกระสุนใส่ซะแล้วค่ะ 555 รัวมาก
สังเกตหลายตอนแล้วเรื่องพี่ตุลย์กับการเลี้ยงลูก คิดว่ายังไงต้องมีจุดเปลี่ยน แต่ไม่คิดว่าเอสจะมีสาระได้ขนาดนี้ ด่าพี่แกซะ ชอบๆ
ส่วนที่หนึ่งก็น่าจะเริ่มชอบน้องเอสแล้วใช่ไหมเอ่ย?
เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ลูกๆ หาแม่ใหม่ดีไหมพี่ตุลย์ ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่เอง 555
ปล.เด็กอ้วนออกมานิดเดียวแต่ชอบอ่ะ!
ปปล.รอตอนต่อไปจ้าาา เรื่องนี้สนุกนะ เราคนหนึ่งล่ะที่ชอบ

ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1086
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
วันนี้เอสพูดดีจริงๆ เอาไปสิบดาว!!! อย่างนี้เอามาเป็นแม่ของสองหน่อนี้ได้เลย อนุมัติ!!! อิอิ

ว่าแต่ทำไมมีแต่คนว่าเอสพูดแรง ก็คนมันเป็นคนแบบนี้อ่ะ แค่เป็นนางเอกต้องพูดจานุ่มนวล รักเด็กรักษ์โลกกันทุกคนเลยรึไง คนพูดแรงๆแต่จิตใจดีมีออกถมไป

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
เอส พูดได้ดี *ปรบมือ*
พ่อตุลย์จ้างเอสมาอยู่ด้วยเลยสิ

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6

ออฟไลน์ thenista

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
    • NISTA
ตอนที่ 10







             “ไอ้เอส เมื่อกี้โทรศัพท์มึงดังอะ” ทันทีที่ผมออกมาจากห้องน้ำเดินเข้าไปในห้องนอนของไอ้ปันที่ผมมาสิงสถิตอยู่ได้นานแล้ว ไอ้ปันที่นั่งเล่นเกมอยู่ก็บอกพร้อมชี้ไปที่โทรศัพท์โดยที่ไม่ละสายตามามองหน้าผมสักนิด

             “ใครวะ?”

             “ไม่รู้ว่ะ ไม่ได้ไปดูหน้าจอ”

             “เออ” ผมรับคำ เดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คดูพลางเช็ดผมไปพลาง


             สายที่ไม่ได้รับ ‘พี่ตุลย์’


             ผมเลิกคิ้วนิดหน่อยก่อนจะกดโทรกลับไป อันที่จริงผมกับไอ้คุณพ่อลูกสองนั่นต่างก็มีเบอร์กันและกันอยู่แล้วอะนะ แต่ผมและเขาต่างก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโทรหากันสักหน่อย


             /ยอดเงินคงเหลือของคุณ ไม่พอสำหรับใช้บริการ กรุณาเติมเงินด้วยค่ะ/


             แป่ว เมียน้อยรับ อิอิ ช่างเถอะ เดี๋ยวถ้าเขามีธุระจะคุยกับผมจริงๆ เดี๋ยวก็คงโทรมาอีก


             “ใครโทรมาวะมึง”

             “เรื่องของมึงเปล่า?” ผมจงใจพูดเสียงกวนกับคนที่ยังนั่งเล่นเกมอยู่ มันหันมาหัวเราะเหอะๆ ใส่ผมแล้วแยกเขี้ยวให้ ผมก็ยิ้มหวานให้มันไปเป็นการตอบแทน


             พอเห็นชื่อพี่ตุลย์ แล้วผมเพิ่งนึกขึ้นได้ เมื่อวานครับผมไปทำประโยชน์ให้พ่อแม่ภาคภูมิใจมาครับ และด้วยความเป็นพระเอกอย่างต่อเนื่อง ผมก็แอบออกจากห้องเขามาตั้งใจจะให้ครอบครัวได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ปรับความเข้าใจกันและกัน ผมนี่ยิ้มหน้าบานออกมาเลยครับ


             คนอะไรโคตรหล่อ!


             แต่พอมาถึงหน้าลิฟท์ทุกอย่างก็ดับวูบเมื่อผมเห็นคำว่า ‘เครื่องขัดข้องงดใช้บริการ’ ผมนี่สบถเป็นภาษาที่ต้องเซ็นเซอร์เป็นการด่วนที่สุด คอนโดฯ แม่งดูดีซะเปล่าลิฟท์เสียบ่อยฉิบ! แล้วไอ้ชั้นที่ผมอยู่นี่ก็ไม่ใช่ชั้นสามนะครับ! แล้วพระเอกทำไง...


             ...


             ก็ลงบันไดสิครับ ไม่น่าถาม TT


             ตอนแรกว่าจะกระโดดลงก็จำได้ว่าตัวเองไม่ใช่ซุปเปอร์แมน จะปล่อยไยแล้วเหวี่ยงตัวไปก็ลืมไปว่าไม่ได้โดนแมงมุมกัด

             
             ออกมาจากห้องนี่หล่อครับ พอออกมาจากคอนโดปุ๊บ ผมนี่หมาเลย สภาพนี่เรียกว่าเหี้ยเลยครับ น้ำตาจะแชร์ขอไหลนะครับ


             Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr


             ขณะที่ผมกำลังคิดถึงความทรงจำครั้งก่อนเพลินๆ เสียงริงโทนแบบไทยบ้านก็ดังขึ้น ผมคว้าหมับมาดูรายชื่อทันทีพอเห็นว่าเป็นสายไม่ได้รับเมื่อหลายนาทีโทรกลับมาอีกครั้งก็ไม่รอช้ากดปุ่มรับสาย


             “เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ”

             /...แค่นี้นะ/

             “เดี๋ยววววว~ ล้อเล่นครับบบ” ผมรีบเบรกก่อนที่อีกฝ่ายจะวางไปจริงๆ หยอกนิดหยอกหน่อยละทำเป็นจริงจังตลอด “มีอะไรครับบ? เดี๋ยวนะ ผมขอจดไดอารี่แป๊บ พี่โทรมาผมครั้งแรก รู้สึกตื่นเต้นจุง”

             /...แค่นี้นะ/

             “ล้อเล่นนนน นี่ก็เป็นจริงเป็นจังตลอดเลยโอออ” ผมลากเสียงยาว “โทรมามีไรครับ?”

             /อื้ม...ทำไมรีบกลับอะ พอออกจากห้องนอนที่หนึ่งก็ไม่เห็นแล้ว/

             “ก็อยากให้ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังไงครับ หมดหน้าที่ก็ต้องออกมา” ผมหัวเราะกลั้ว และนั่นก็ทำให้ไอ้ปันที่นั่งเล่นเกมอยู่หันมามอง ผมยักคิ้วลิ่วตาให้จงใจกวนประสาทเล็กน้อยแล้วกลับไปคุยกับคนในสายต่อ “ว่าแต่ พี่เพิ่งนึกได้หรอครับว่า ผมออกมาตั้งแต่เย็นๆ เพิ่งโทรมาตอนจะเที่ยงคืนแล้วเนี่ยนะ”

             /โทษทีๆ/ เขาหัวเราะในลำคอ /พอดีคุยกับที่หนึ่งอยู่ ลูกหลับหมดแล้วก็เลยเพิ่งว่างได้โทรเนี่ยแหละ/

             “อ๋อครับ” ผมตอบรับและไม่ได้เริ่มบทสนทนาใดๆ ขึ้นอีกรอให้ผู้ที่เป็นฝ่ายโทรมาเริ่มบทสนทนาใหม่ ผมไม่คิดว่าเขาโทรมาหาผมเพื่อถามผมแค่นี้หรอกจริงๆ เพราะถ้าเขาต้องการจะถามแค่นี้รอผมไปหาพรุ่งนี้ก็ได้มั้ง ยังไงผมก็ต้องเอาเงินไปให้เขาอยู่แล้ว…แต่ก็ยังเงียบ “พี่โทรมาหาผมแค่นี้หรอ?”

             /เปล่า ที่จริงจะโทรมาถามว่า พรุ่งนี้ว่างไหม?/

             “พี่รู้อยู่ไม่ใช่หรอว่าผมทำงานตั้งแต่เช้าถึงสี่ทุ่มทุกวันอะ”

             “ใครโทรมาอะ แฟนหรอ?” ระหว่างที่ผมกำลังตอบปลายสายไป ไอ้ปันที่นั่งเล่นเกมอยู่เมื่อครู่ ก็ลุกขึ้นมานั่งอยู่ข้างๆ บนเตียงผม ไม่พอยังยื่นหน้าพูดเสียงดังใส่โทรศัพท์อีกแล้วนั่นก็ทำให้ผมต้องใช้ฝ่าตีนดันมันออกไป “น้องครับๆ ไอ้นี่มันคบกับพี่อยู่ครับ น้องเลิกคุยกันมันไปได้เลย”

             “ไอ้เหี้ยยย พูดไรของมึงเนี่ยย” ผมลากเสียงรำคาญ ออกแรงถีบอกมันอย่างแรงจนตกเตียงไป แต่คนเราครับ ยังมีหน้าผงกหัวขึ้นมาขำอีก

             “เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเป็นสาววายเยอะนะมึง ได้ยินแล้วอาจจะแอบกรี๊ดในใจก็ได้”

             “ประเด็นคือกูไม่ได้คุยกับผู้หญิงไง” ผมส่งนิ้วกลางให้คนที่เพิ่งตกเตียงไป แล้วกลับมาสนใจคนในสายต่อ “โทษทีนะพี่ อย่าไปสนใจเมื่อกี้นะ เพื่อนผมแม่งกวนตีนเฉยๆ”

             /อ๋อ...อื้มๆ/

             “เมื่อกี้พูดถึงไหนแล้ว อ้อ! ผมไม่ว่างอะครับ ต้องทำงานเหมือนเดิมแหละ พี่มีอะไรเปล่า?”

             /ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่พรุ่งนี้สายๆ หน่อยจะชวนไปห้างฯ/

             “...” เกิดเดดแอร์กับผมชั่วขณะ


             ไปห้าง?


             /ฮัลโล สายหลุดหรอ?/

             “เปล่าๆ ยังไม่หลุดอะพี่ ถ้าจะไปห้างแล้วโทรมาชวนผมทำไมอะ ไม่โทรชวนเพื่อนๆ พี่ไปละครับ เพื่อนที่ทำงานไรงี้น่ะ”
             
             /พรุ่งนี้ฉันลางาน เพื่อนที่ทำงานเขาก็ต้องไปทำงานกันสิ/

             “ผมก็ไปทำงานเหมือนกันครับบบ ไปคนเดียวก็ได้มั้งพี่ โตแล้วอะ อายุจะ 40 แล้ว”

             /ยังไม่ 30/ อีกฝ่ายพูดเสียงเรียบ ผมหัวเราะขนาดไม่เห็นหน้าผมก็พอนึกออกว่าเขาคงกำลังขมวดคิ้วอยู่แน่ๆ อะ

             “ครับๆ ยังไม่ 30 ก็ยังไม่ 30 ส่วนเรื่องนี้ผมทำงานอะพี่ ไปด้วยไม่ได้จริงๆ”

             “ไหนบอกไม่ใช่ผู้หญิงไง มีนัดดงนัดเดท” ไอ้ปันที่มันนั่งมองผมคุยโทรศัพท์อยู่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พูดแทรกขึ้นมาเสียงเบา ผมก็ไม่ได้สนใจจะตอบโต้มันเท่าไหร่นะครับ แค่หันไปทำปาก ‘พ่อง’ ใส่มันแค่นั้นเฉยๆ

             /ไปด้วยกันเหอะ...จริงๆ มีเรื่องอยากคุยด้วย/

             “ก็บอกอยู่ว่าทำงาน ผมย้ำหลายรอบแล้วนะ พี่นี่ก็!”

             /ไปลางานซะ ทั้งวันเลย แล้วค่าจ้างวันนั้นฉันจะจ่ายให้ โอเคไหม? ตกลงตามนั้น แค่นี้นะ ฉันง่วงแล้วต้องไปนอนก่อน ฝันดี ตี๊ด/

             “ดะ เดี๋ยว!” ผมอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเสียง ตู๊ด ตู๊ด แทนเสียงทุ้มๆ นั่นเสียแล้ว คิดดูครับ พี่แกเล่นพูดประโยคนั่นเร็วกว่าคำว่า ‘เดี๋ยว’ ของผมคำเดียวอีกอะ! “อะไรวะ เผด็จการ?”

             “อะไรมึง?”

             “มึงนี่ก็ขี้เสือกเหมือนกันนะเนี่ย”

             “มึงไม่เคยได้ยินคำนี้หรอ เรื่องของกูก็คือเรื่องของกู เรื่องของมึงก็คือเรื่องของกู” ไอ้ปันพูดก่อนที่จะหัวเราะใส่ผมเสียงดัง แล้วมันก็ลุกขึ้นจากพื้นไปนอนเล่นบนเตียงของมัน ทิ้งให้ผมยังนิ่งค้างอยู่กับโทรศัพท์แล้วก็ไอ้คำสั่งเผด็จการนั่น


             คือ เอ่อ...คือ ผมต้องไปลางานตามพระบัญชา ของพระยาตุลย์จริงๆ ใช่ไหมวะ!?













             สรุปผมก็ลางานให้กับพระยาตุลย์จริงๆ ครับ ตอนแรกผมว่าจะไม่ทำตามหรอก เรื่องไรวะ ให้หยุดงานไปเที่ยวห้างฯ แต่พอดีเซลล์สมองผมตัวนึงมันจำได้ขึ้นมาว่าใกล้ถึงวันต้องจ่ายค่ามหา’ลัยกับทำเรื่องหอในแล้วครับ แล้วพี่แกก็ยังเป็นผู้กุมเงินก้อนนั้นอยู่ ผมก็เลยยอมทำตามในที่สุด ตอนเช้า พี่ตุลย์ก็โทรมาหาผมอีก แต่คราวนี้เป็นการโทรนัดเวลากับสถานที่ครับ และนั่นก็เป็นสาเหตุว่าทำไมผมต้องมายืนอยู่หน้าป้ายรถเมล์ในเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาแบบนี้


             ไหนบอกจะไปตอนสายๆ ไงวะ มาตอนเที่ยงแบบนี้ นี่กล้าหือกับแดดเมืองไทยใช่ปะ!


             “เอ้า มาตรงเวลาจัง” ขณะที่ผมกำลังพัดผมไปมาระบายความร้อนอยู่ เสียงทุ้มของพี่ตุลย์ก็ดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยร่างของเจ้าตัว ปกติผมมักจะเห็นพี่ตุลย์ใส่สูทบ้างเสื้อเชิ๊ตบ้าง แต่พอมาใส่ลำลองสบายๆ แบบวันนี้ก็เลยทำให้เขาดูเด็กลงไปไม่น้อยทีเดียว ถ้าผมอารมณ์ดีอยู่ก็คงแซวไปแล้วครับ แต่บังเอิญว่าอากาศร้อนกับผมไม่ค่อยถูกชะตากันสักเท่าไหร่


             “ตอนผมดูละคร เวลานัดไปเที่ยวนี่ มีแต่ขับรถมารับนู่นนี่นั่น ไม่ก็แท็กซี่ นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมเห็นผู้ใหญ่ชวนไปห้างโดยไปรถตู้!”

             “ก็ฉันไม่มีรถนี่ แล้วไปกับรถตู้มันจะเป็นยังไง ก็ถึงเหมือนกันแหละหน่า ราคาประหยัดด้วย”

             “ครับๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกว่าแปลกดี” ผมยักไหล่ พี่ตุลย์เดินเข้ามาทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ผม รถเมล์คันแล้วคันเล่าขับผ่านไป แต่เราสองคนก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุก ยังคงเอาแต่สอดส่ายสายตาหารถตู้ที่จะพาเราไปยังเป้าหมายปลายทาง

             “เรื่องเงินพิเศษวันนี้ ไม่ต้องห่วงว่าจะขาดรายได้นะ”

             “หื้ม?” ผมขานเสียงแต่สายตาก็ยังจดจ่อบนพื้นถนน มองหารถตู้อย่างตั้งใจไม่ให้พลาด

             “ฉันจะเป็นคนจ่ายเงินพิเศษให้วันนี้”

             “หา!?” ผมหันขวับ

             “วันนี้ ฉันจ้างนาย มาเที่ยวห้างฯ กับฉันไง”












             ช่างกล้าเรียกว่า มา ‘เที่ยว’ ห้างฯ กับผม พอมาถึงห้าง ผมก็เพิ่งรู้ว่าที่จริงแล้ว ไอ้พี่ตุลย์มันตอแหลครับ! เขาไม่ได้ต้องการคนมาเที่ยว เขาต้องการคนมาเข็นรถตามครับ! แล้วของที่พะเนินเทินทึกอยู่ในรถเข็นนี่ไม่มีอะไรที่เป็นของผมสักชิ้นครับ ส่วนใหญ่เป็นของเจ้าตัวเอง ไม่ก็ของกิน แล้วก็ของเล่นของที่หนึ่งกับเด็กอ้วนตอนต้นทั้งนั้น


             “ครบยังหว่า?” ไอ้พี่ตุลย์พูดเสียงเบา พลางยื่นหน้ามาเช็คของในรถเข็น

             “ผมจะไปรู้กับพี่หรอครับ” แล้วผมก็ตอบไปเสียงเซ็งๆ คือไงอะ นี่ผมลางานมาเป็นเบ๊ไรงี้ปะ อันที่จริงผมไม่น่าหงุดหงิดเนาะ เพราะไอ้คุณพ่อลูกสองนี่มันก็บอกผมอยู่ว่าจะจ่ายเงินให้ แต่แบบ ที่ผมคิดเอาไว้อะครับ มาเที่ยวห้าง...มันไม่ใช่แบบนี้โว๊ย!

             “ซื้อคิทแคทไปให้ที่หนึ่งด้วยดีไหมนะ? แต่ของหวานทำให้ฟันผุ” ไอ้พี่ตุลย์ยังพูดพึมพำกับตัวเองต่อไป ชนิดที่ว่าผมพูดอะไรนี่ไม่เจาะเข้าไปในหูพี่แกได้เลย สุดท้ายผมก็เลยเลิกที่จะเงียบแล้วเข็นตามพี่แกไปแค่นั้นพอ

             “เอาอะไรหน่อยไหม?” ไอ้คนที่เดินนำหน้าผมอยู่ ถามขึ้นขณะที่เราทั้งคู่เดินเข้ามาถึงโซนขนม อันที่จริงผมตาแววตั้งแต่ลูกกวาดตรงหัวแถวแล้ว แต่ไอ้คนที่ผมมาด้วยมันไม่ใช่พ่อผมไงครับ ก็เลยไม่อาจจะหยิบอะไรได้ตามใจชอบ แถมเงินก็ต้องประหยัด ถ้าอยากกินขนมผมก็มีแค่สองทางเลือก..


             1.   แย่งไอ้ปันกิน


             2.   แย่งไอ้เด็กที่หนึ่งกิน อิอิ


             “ไม่อะ พี่จะซื้ออะไรก็ซื้อเหอะ” ผมหยิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงราวกับคนที่ไม่สนใจขนมจำพวกนี้


             พรึ่บ!


             “มาหน่า รู้หรอกว่าอยากกิน เห็นมองซ้ายทีขวาทีมาตั้งแต่เข้าซอยนี้มาแล้วเนี่ย” ไอ้พี่ตุลย์ขมวดคิ้วมใส่พร้อมคว้าแขนผมกระชากเข้าหาตัวจนหน้าผากผมแทบจะเคาะตาอีกฝ่ายพร้อม

             “พี่จะออกเงินให้ปะละ” ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดขึ้นพลางจ้องมองเข้าไปในแววตาที่อยู่ตรงหน้านั้น

             “ได้”

             “งั้นผมเอาหมดนี่เลย”

             “...”

             “ล้อเล่นคร๊าบ” ผมคอตก หูลู่ หางตกเมื่อเห็นสายตาดัง ชิ้ง! ที่ส่งมาจากคนที่อายุมากกว่า แต่พอเห็นเขาพผยิดหน้าเหมือนจะไล่ให้ผมไปหยิบขนมที่อยากกินมา หู หางก็ตั้งขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว รีบวิ่งไปหยิบเลย์รสออริจินอล ขนมพริงเกิ้ลสีเขียว ทาโร่สีเหลือง ป็อกกี้ช็อกโกแลตกับสตอเบอร์รี่ ลงท้ายด้วยเบนโตะสามอัน

             “ลูกฉันยังไม่ได้กินขนมเยอะขนาดนี้เลย”

             “พี่ก็ไปซื้อให้ลูกกินดิครับบบ” ผมว่าพลางวางขนมลงในรถเข็น เตรียมจะเข็นตามพระบัญชาของพระยาตุลย์ต่อ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นไอ้พี่ตุลย์กำลังยืนมองหน้าผมอยู่ “กรุณาอย่ามองหน้าเพราะไม่รู้ว่าพี่มีปัญา หรือหน้าตาผมดี~” ผมยิ้มหวาน

             “...ปะ กินข้าว”

             “แหนะๆ มีหลบหน้า กำลังคิดอยู่ใช่ปะละ ว่าผมหล่อโคตร” ผมรีบเข็นเข้าไปข้างๆ พี่ตุลย์ ทำเสียง ‘กิ้วๆ’ ล้อเลียนพี่แก

             “นั่นเรียกว่าหน้าตาดีแล้ว”

             “ปากแข็งซะด้วย แบบนี้แหละพี่เรียกว่าหน้าตาดีแล้ว” ผมจงใจยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย พอเห็นพี่ตุลย์ย่นคอหนี ผมก็ยิ่งตามเอาหน้าไปให้ดู

             “นายต้องเข้าใจผิดคำว่าหน้าตาดีผิดอยู่แน่ๆ”

             “พูดนี่คืออะไร อิจฉาที่ผมหน้าตาดีใช่เปล่า กิ้วๆ” ผมยิ้มกว้าง สนุกสนานไปกับการแกล้งคนอายุมากกว่า ผมเข้าใจนะครับเวลาเห็นคนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แล้วมันจั๊กจี้ แต่ผมไม่ไง คือสกิลหน้าหนาผมนี่มันสูงแล้วครับ แล้วผมก็ชอบให้คนมองหน้าผมด้วย ก็บอกแล้วไง ผมหน้าตาดี~

             “ถ้ามีหน้าตาแบบนี้แล้วเรียกว่าดี ฉันขอมีหน้าตาแบบปัจจุบันดีกว่า”

             “...” ผมมองหน้าคนที่อยู่ตรงหน้าผม “ผมว่าพี่หน้าตาดีนะ”

             “!” ไอ้พี่ตุลย์ดูตกใจเล็กน้อยกับคำพูดของผม “พูดอะไร” ว่าแล้วก็เบือนหน้าไปอีกทาง เหมือนเรื่องที่ผมพูดเมื่อครู่มันไร้สาระไม่น่าสน


             แต่! ผมแอบเห็นนะครับบ แก้มพี่แกแดงกว่าปกติด้วย! ฮิ้ววววว


             “เขินหรอครับบบ” ผมยิ้มกระลิ้มกระเหลี่ย จงใจยื่นหน้าเข้าไปหาให้ตัวเองได้เห็นใบหน้านั่นชัดๆ ยิ่งเห็นพี่ตุลย์เอาแต่คอยหลบหน้า ผมก็ยิ่งนึกสนุกแกล้งพี่แกไม่เลิก


             หมับ!


             “โอ๊ย!” ผมร้องลั่น เมื่อโดนอีกฝ่ายบิดแก้มผม ทันทีที่ความเจ็บตุ๊บๆ แล่นเข้ามาผมก็หลับตาปี๋ ตีมืออีกฝ่ายให้ปล่อยแก้มผมออก
             
             “เอส”

             “ครับ?” ผมลืมตาขึ้นตามเสียงเรียกก่อนจะเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายในระยะที่ใกล้จนผมต้องเผลอกั้นหายใจ สายตาที่จ้องมองมาเหมือนราชสีห์ ตอนซิมบ้าในไลออนคิ้งพร้อมกะกระโจนไปตบสการ์ตัวร้าย TT

             “ครั้งนี้ฉันจะทนไว้ในใจ แล้วจะมาเอาคืนนี้” สายตาน่ากลัวสาดดดดด


             ผมยังไม่ได้ทำอะไรพี่เลยนะโว๊ยย! 


             ไอ้พี่ตุลย์ปล่อยแก้มผม ตีสีหน้าเรียบเหมือนช่วงสิบห้านาทีที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น


             “ปะ กินข้าวเถอะ หิวแล้ว”


             Holy Shit!













             “อะพี่ น้ำ” ผมว่างแก้วให้คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะอ้อมไปนั่งอีกด้านหนึ่ง


             ที่จริงผมจำได้คุ้นๆ ว่ากำลังหงุดหงิดอยู่นะ แต่พอเดินขึ้นไปชั้นสี่ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารแล้วไอ้พี่ตุลย์ก็บอกผมว่า ‘อยากกินร้านไหนเลือกเลย เลี้ยง’ เท่านั้นแหละครับ อารมณ์คุกกรุ่นเมื่อครู่หายวับไปกับตา หน้าบานเป็นกระด้ง แอบหยิกตัวเองหนึ่งที หยิกไอ้คุณพ่อลูกสองอีกหนึ่งทีเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป ไม่ต้องให้บอกย้ำอีกครั้ง ผมลากแขนพี่แกเข้า ชาบูววววววว~ ชิ! เลย


             ผมชอบร้านนี้มากนะครับ แต่ไม่ได้กินมานานมากกกกก มากๆ แล้ว วันนี้เลยตั้งใจว่าจะกินให้เกลี้ยง แบบออกจากร้านนี่พนักงานต้องคิดว่าผู้ชายท้องได้อะครับ!


             “นี่พี่ นั่งโต๊ะนี่คิดดีแล้วหรอ? พี่ต้องจ่ายสี่คนเลยนะ ถ้ายังเปลี่ยนตอนนี้ก็ยังได้นะ ยังไม่เอาอะไรลงหม้อเลย” ผมถามคนที่นั่งจิบน้ำอยู่ตรงข้ามพลางหยิบเนื้อหมูที่กำลังผ่านตาไป

             “นั่งนี่แหละ บอกแล้วไงว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ถ้านั่งแบบบาร์ คนอื่นก็ได้ยินหมดสิ”

             “อ๋อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ “แล้วพี่จะคุยอะไร ถ้าพี่ไม่ย้ำอีกรอบผมก็เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าเมื่อวานพี่บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย”

             “นั่นแหละ”

             “แล้วพี่จะคุยอะไรอะ?” ผมถามพร้อมกับใส่ผักลงในหม้อ ตามด้วยหมู กุ้ง ไข่ เต้าหู้ เห็ด ปลา ลงไป

             “เรื่องแม่นาย”

             “...” ผมชะงักค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม สีหน้าจริงจังที่มองตรงมาทำให้ผมรู้ว่าเขาต้องการที่จะคุยเรื่องนี้จริงๆ ผมก็เกือบลืมไป เมื่อวานผมบอกเขานี่เนาะ ว่าผมไม่มีแม่ “พี่จะคุยอะไร?”

             “...” ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมเงียบ ใช้ตะเกียบเขี่ยเนื้อหมูที่หยิบมาใส่หม้อ ผมเดาว่าเขาคงกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่ละมั้ง “นาย ไม่มีแม่จริงหรอ?

             “เฮ้อ ก็จริงอะ ผมจะโกหกทำไม”

             “แต่นายบอกว่า...”

             “ผมไม่พูดสักคำว่าคนที่บ้านคือพ่อแม่ผมนี่หน่า พี่คิดเองนะว่าผมมีพ่อมีแม่” ผมเอนตัวพิงผนักที่นั่งด้วยท่าทีสบายๆ ผิดกับอีกฝ่ายที่ดูเกร็งๆ ผมบอกแล้วไงครับเรื่องพ่อแม่ของผมไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอามาสงสารกัน หรืออะไรแบบนั้น พ่อแม่ผมตายดี โอเคไหมครับ มันเป็นเรื่องธรรมชาติและผ่านมานานแล้วด้วย

             “แล้วคนที่บ้านนี่คือ?”

             “ป้าอะ พี่สาวของพ่อ พ่อตายตอนม.ต้น ป้าก็เลยรับไปเลี้ยงต่อ ส่วนแม่ตายตอนคลอดผม”

             “ถ้างั้นที่นายทำงานพิเศษหาเงินเอง ก็เพื่อหาเลี้ยงตัวเองจริงๆ ไม่ได้หยิ่งปีกกล้าขาแข็งสินะ...”

             “ฮ่าๆ พี่บ้าหรือเปล่า ถ้าเป็นฝรั่งอาจจะมีแนวคิดแบบนั้นนะ แต่ผมว่าคนปกติเขาไม่คิดแบบนั้นหรอกครับ ใครเขาอยากลำบากละ ถ้าตัวเองมีพ่อมีแม่ให้ถลุงเงินอยู่แล้ว” ผมพูด ตักเนื้อหมูกับผักที่สุกแล้วใส่ถ้วยของตัวเอง

             “เก่งนะ”

             “...” มือผมชะงัก แต่เพียงเสี้ยววินาทีมันก็กลับมาเป็นปกติ รอยยิ้มที่ผมไม่ได้ตั้งใจค่อยฉายขึ้นมาบนใบหน้าจางๆ “ไม่เก่งหรอก ไม่ทำก็ไม่มีกิน มันก็เลยต้องทำก็แค่นั้น ประมาณว่าสถานการณ์บังคับ”

             “นายเก่งน่ะ ถูกแล้ว มีหลายคนที่ก็เจอชีวิตทีไม่ต่างกัน แต่ก็เลือกที่จะยอมแพ้ ยอมใช้ชีวิตตามยถากรรม ไม่ขวนขวาย ไม่พยายาม แต่นายไม่ได้เป็นอย่างนั้น นายพยายามขีดชะตาชีวิตของตัวเอง ไม่ยอมแพ้ ไม่ใช่แค่เรื่องกินเรื่องอยู่ แต่รวมถึงเรื่องเรียนด้วย นั่นแหละ ฉันถึงบอกว่านายเก่ง”

             ผมยิ้ม และเปล่งเสียงออกใบอย่างแผ่วเบา “ขอบคุณ”











             หลังจากที่ผมกับไอ้พี่ตุลย์กินชาบูวววว~ชิ! กันเสร็จก็ตกลงกันว่ากลับบ้านเถอะ ไอ้ตัวผมยังไงก็ได้ แค่อิ่มจังตังอยู่ครบ วันนี้ผมก็คุ้มค่าแล้วคร๊าบบ แต่ระหว่างทางที่จะเดินออกจากห้างฯ ไปนั่งรถตู้กลับบ้าน พี่ตุลย์ก็ลากผมที่หอบของเต็มสองไม้สองมือเข้าไปในร้านหนังสือซีเอ็ดบุ๊ค ไม่พูดไม่จาอะไรกับผมสักคำเดินลิ่วๆ เข้าไปในโซน ‘แม่และเด็ก’ ทิ้งให้ผมต้องยืนเฟร้งฟร้างอยู่กลางร้าน


             คือ ผมไม่กล้าเดินเข้าไปด้วยครับ คุณลองนึกสภาพผู้ชายตัวเกือบเท่ากันสองคนมายืนดูหนังสือด้ยวกันในโซน ‘แม่และเด็ก’ จะคิดยังไงคร๊าบบบ! อย่าได้ดูถูกสาววายไป ถ้าวันต่อมา ผมแผ่หล่าอยู่หน้าเฟสบุ๊ค ‘เจอคู่เกย์มาดูหนังสือแม่และเด็กด้วยกัน น่ารักมาก’ ผมก็ซวยสิ! เอออออ


             แต่มายืนโง่ๆ อยู่กลางร้านแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ผมเลยเดินหอบของทั้งหลายไปโซนหนังสือนิยายแนวลึกลับแทน มันเป็นโซนที่เซฟที่สุดสำหรับผู้ชายวัยอย่างผมแล้วล่ะผมว่า


             หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ไอ้พี่ตุลย์ก็เดินหอบหนังสือสองสามเล่มมาหาผมที่ปักหลังนั่งอ่านหนังสือฟรีแล้วเรียบร้อย


             “จะซื้อไหม?”

             “ไม่อะ แค่นั่งอ่านรอเฉยๆ”

             “งั้นปะ จ่ายตังแล้วจะได้กลับบ้าน” พี่ตุลย์เดินนำหน้าผมไปก่อน ผมก็เก็บหนังสือเข้าชั้นแล้วเดินตามออกไป ผมรอนอกร้านไม่นานเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็เดินออกมาพร้อมกับถุงหนังสือในมือ อันที่จริงผมบอกแล้วมันรู้สึกตลกในใจพิลึกนะ เขาเป็นคุณพ่อแล้วมีลูกคนโตนี่จะ 10 ขวบแล้วไง แต่เพิ่งซื้อหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกอะ ฮาปะ ผมว่ามัน เออ พิลึกดี

             “คำพูดผมคงฝังใจเยอะเลยใช่เปล่า”

             “ก็ประมาณนั้น”

             “ปกติผู้ใหญ่มันจะต้องมศักดิ์ศรีไม่ใช่ไง แบบไม่เชื่อคำพูดของเด็กไรงี้”

             “ก็ประมาณนั้น แต่นี่มันเรื่องของลูกฉันไง ฉันย่อมต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกอยู่แล้ว แม้มันจะต้องลงศักดิศรีลงไปบ้าง”
             
             ผมหัวเราะ “คุณพ่อยอดเยี่ยมมม” ผมลากเสียงยาวเหน็บแหนมเล็กน้อย แต่อีกฝ่ายกลับเพียงหัวเราะ ‘หึๆ’ เป็นการตอบกลับมา “ว่าแต่ผมเพิ่งนึกได้ พี่ถามเรื่องแม่ของผมไปแล้ว ผมขอถามเรื่องแม่ของที่หนึ่งกับตอนต้นบ้างสิ”

             “ถามอะไร?”

             “คือ...เอ่อ...พี่กับแม่ของเด็กสองคนนั้นอะหย่าร้างกันใช่ปะ” ผมเลือกใช้คำที่เลี่ยง ‘ตาย’ มากที่สุด คนเราจะไม่มีแม่ได้ก็แค่สองกรณีเท่านั้นแหละครับ ไม่ตาย ก็หย่าร้างกับสามี แต่ถ้าส่วนใหญ่ถ้าหย่าร้างมันก็ยังเจอกันได้ไงครับ แต่ดูจากอาการที่หนึ่งแล้วเหมือนกับไม่ได้เจอกันอีกแล้ว...

             “ก็ประมาณนั้น”

             ผมถอนหายใจฮู่ว “ที่จริงแล้ว พี่น่าจะลองคุยกับแม่ที่หนึ่งกับตอนต้นให้มาหา พาไปเที่ยวบ้างไรงี้นะ ไอ้เด็กสองคนนั้นมันจะไม่ได้ไม่รู้สึกแบบขาดแม่อะไรแบบนั้น”

             “ถ้าทำได้ฉันก็ทำไปแล้วสิ”

             “ทำไมอะ? พี่กับเขาจบไม่สวยหรอ?”

             “มันก็...รถตู้มาแล้วไปกันเหอะ” ไอ้พี่ตุลย์รีบวิ่งจากหน้าห้างไปยังป้ายรถเมล์ที่มีรถตู้เข้ามาเทียบจอด โดยมีผมวิ่งถือของพะรุงพะรังตามอยู่ข้างหลัง ทันทีที่ก้าวขึ้นรถตู้หาที่นั่งได้ ผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา พิงหลังไปกับเบาะอย่างเหนื่อยอ่อนจากการวิ่งขึ้นรถ


             ต้องเข้าใจนะครับว่า ระหว่างหน้าห้างฯ กับป้ายรถเมล์มีเพียงถนนสองเลนขวางไว้ก็จริง แต่ก็ยังมีบันไดที่ทอดจากหน้าห้างไปตรงถนนอีก มีทางเดินเท้าอีก ขยายที่เอาไว้ปลูกต้นไม่อีก ดอกไม้ด้วย! สรุปมาถึงป้ายรถเมล์ได้คือเหนื่อย


             “นี่พี่ตุลย์ เรื่องที่คุยค้างไว้เมื่อกี้...” ขณะที่ผมหันมาเพื่อจะคุยหัวข้อที่ค้างไว้ต่อ คนที่นั่งอยู่ข้างผมก็หยิบหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกออกมากางต่อหน้าต่อตาผม เป็นการบอกนัยๆ ว่า ‘กูจะอ่านหนังสือกรุณาหุบปาก’ ผมก็เลยต้องรูดซิปปากแล้วนั่งกรอกตาเซ็งๆ แทน


             อะไรวะ ทีเขาถาม ผมยังตอบเลย ทีผมถามบ้างแม่งทำเลี่ยง!


             ผมมองวิวผ่านม่านหน้าต่างที่แง้มได้นิดเดียวเป็นการฆ่าเวลา ส่วนใหญ่คนที่ขึ้นรถตู้แล้วต้องมานั่งแช่นานๆ เขาก็ฟังเพลง อ่านหนังสือ แชทกันไปครับ แต่มืถือรุ่นราคา 1990 บาทอย่างผมจะทำไรได้


             “ฮ้าว...” ผมหาวออกมาเสียงเบาๆ อาจเพราะเมื่อคืนผมนอนดึกแล้วยังถูกปลุกให้ตื่นแต่เช้ามาใช้แรงงาน ความง่วงก็เลยเข้ามาครอบงำผมได้ในที่สุด


             …


             ตึง!


             หัวที่โขลกเข้ากับรถทำให้ผมรู้สึกตัวจากการเผลอหลับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ลืมตา ความง่วงที่เข้ามาเพียงทำให้ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อที่จะหามุมนอนใหม่


             ตึง…


             หัวของผมกระแทกอีกครั้ง


             “มานอนนี่” ผมได้ยินเสียงคนข้างกายพูดเบาๆ ก่อนที่เขาจะเอามือใหญ่ของตนมาจับหัวผมให้นอนอิงไหล่แกร่ง ผมพยายามที่จะอยู่นิ่งให้มากที่สุด ให้เขาเข้าใจว่าผมหลับไปแล้วจริงๆ


             แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา


             เพราะผมหล่อและใจดีมากหรอกนะ เลยจะยอมนอนอิงไหล่ให้สักวัน :  )








TBC
ฮูเร่~ ตั้งใจว่าจะลงตั้งแต่เมื่อคืน แต่ว่ามันยังไม่จบตอนดี ก็เลยมาแต่งต่อตอนเช้า

มีคนถามว่าจะมีภาคต่อ ของที่หนึ่งไหม?
อยากบอกว่า... ไม่มี ฮอลลลลลลลลลลล TT
แต่มีของ ตอนต้น... 55555555 มันมีเหตุผลอยู่นะว่าทำไม! แต่เหตุผลอยู่ในเรื่องของตอนต้นนะ
ถ้ายังอติดตามเด็กอ้วนคนนั้นอยู่
#daddybelover

ออฟไลน์ IIIA

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
 โหยยยยไม่มีของที่หนึ่งหรอ  :mew2:

ไม่เป็นไรน๊าาา รอของน้องหนอนตอนต้นก็ได้ 5555555555

แต่ตอนนี้ชักอยากรู้ละพี่ตุลย์กับแม่ที่หนึ่งนี่เลิกกันยังไง ทำไมต้องเลี่ยง  :ling1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รอฟังความลับ

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
มุ้งมิ้งกันจังอ่ะ  o13

ออฟไลน์ Rabity

  • #slytherinforlife
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 523
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-8
ชอบเด็กอ้วนคนนี้มากกกกกกก รู้สึกถูกชะตาตั้งแต่เห็นมันครั้งแรกแล้ว
ตอนนี้พี่ตุลย์-นุ้งเอสเขาไปเดทกันใช่ไหมคะ ฮี่ๆๆๆๆๆ //งานมโนต้องมา
อยากรู้เรื่องของแม่ที่หนึ่งกับเด็กอ้วนจังว่าเป็นยังไง แต่ไม่เป็นไร ไม่รีบๆ รอให้ตาแก่กับเด็กกวน (ตีน) เขาเป็นแฟนกันก่อนค่อยรู้ก็ยังไม่สาย //จิ้นไม่เลิก 555
ปล.รอตอนต่อไปจ้าาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ทิวสนที

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
เอสยังเกรียนเสมอต้นเสมอปลาย

ออฟไลน์ konnarak

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +182/-0
นั้นคือเดทกันใช่มั๊ย??

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
>\\\\\\\\<  >>> หน้าตอนอ่านจบตอน
ฟินอ่ะ มุ้งมิ้งสุดพลัง
นี่มันเดทง้อ & ขอบคุณชัดๆ น่าร๊ากกกกก

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
พี่ตุลย์บอกความลับมาเดี๋ยวนี้น้าา o18

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6
เอ๊ะยังไงๆ พี่ตุล

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
แบบนี้เรียกว่า ออกเดท กันได้เลยนะ

งื้อ อยากอ่านทั้งคู่เลย

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ฮ่าๆ

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
มีปมของพี่ตุลย์เพิ่มมาแล้ว  :serius2:

ออฟไลน์ jinjin283

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 934
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
คืนยังไงอะพระเแกเรา รู้สึกสงสารน้องเอส หรือนางเริ่มคิดไรกับน้องเอสแล้วป่าวอะ ชวนไปเดทแบบนี้

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
เหมือนไปเดทกันเลยอ่ะ 5555+


อยากรู้ความลับพี่ตุลย์

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Moose

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
เอสไม่กระโหลกกะลานะคะขอบอกกกก 55555555

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
อยากรู้จังงงง :hao5:

ออฟไลน์ ลิงน้อยสุดเอ๋อ

  • ถึงจะเหงา แต่ไม่ได้ง่าย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-2
    • Fanpage
พี่ตุลย์ชวนเอสไปเดทใช่ป่ะ ใช้เหตุผลมาอ้าง

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
แค่นี้ก็ทำเอาเราฟินจิกหมอนขาดละนะ

ออฟไลน์ thenista

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
    • NISTA
ตอนที่ 11







Tun’s Part


               ทันทีที่ผมสังเกตว่าอีกสักพักรถตู้กำลังจะจอดป้ายรถเมล์จุดหมาย ผมก็หันไปปลุกคนที่ยังนอนอิงไหล่ผมอยู่ เด็กนั่นส่งเสียงฮึ่มๆ แต่ก็ไม่ยอมเงยหัวขึ้นมาจากไหล่ ผมจึงต้องหันไปเขย่าตัว จนอีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา


               “เช็ดน้ำลายหน่อยไป” ผมบอก เอสเหมือนจะยังมึนๆ เลยจ้องหน้าผมนิ่งอยู่ประมาณสิบวินาทีแล้วค่อยใช้หลังมืดปาดน้ำลายที่เลอะข้างแก้มออก แต่มือนั้นกลับมาเช็ดป้ายๆ ที่แถวไหล่ของผมด้วย เรียกความสนใจให้ผมต้องก้มมองดู ก่อนจะเห็นว่ามีคาบน้ำลายเป็นดวงๆ อยู่ตรงหัวไหล่ของผมด้วย


               อะ...ไอ้เด็กนี่!


               “โทษทีนะพี่นอนเพลินไปหน่อย อิอิ” มันยิ้มแผ่ ดูก็รู้ว่าไม่ได้รู้สึกผิดเท่าไหร่ที่นอนน้ำลายยืดใส่ผมหรอก “แล้วใกล้ถึงป้ายแล้วหรอ?”

               “อื้ม อย่าลืมของด้วย” ผมตอบคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะร้องบอกกับคนขับให้จอดป้ายหน้า


               โป๊ก!


               “ โอ๊ย!” ผมที่เดินลงมาจากรถหันไปตามเสียงดังด้านหลัง ก่อนจะเห็นไอ้เด็กเอสนั่นกำลังปิดประตูรถตู้ แล้วยกมือขึ้นมากุมหน้าผากด้านหน้า

               “เอาหัวไปโขลกขอบประตูรถทำไม?”

               “คนบ้าอะไร จะเอาหัวตัวเองไปโขลกขอบประตูรถเล่า!”

               “งั้นก็เดินระวังหน่อยสิ”

               “ก็คนมันยังง่วงอยู่นี่” เอสพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นักพลางเดินถือถุงมากมายไปนั่งที่ม้านั่ง พิงหัวไปกับป้ายโฆษณาด้านหลังท่าทางสะลึมสะลือพร้อมจะหลับลงไปอีกรอบ


               ผมหัวเราะหึในลำคอ ตั้งแต่รู้จักกันมา ผมเห็นเด็กนี่ง่วงอยู่ไม่กี่ครั้งหรอก ถึงแม้ว่าจะมาคอนโดฯ ผมดึกทุกวันก็มีพลังงานเหลือเฟือในร่างกายผอมแก้งนั่น เล่นกับลูกผมบ้าง กวนประสาทบ้างจนบางทีผมยังรู้สึกเหนื่อยแทน แต่ถ้าเมื่อไหร่เด็กนี่ง่วงขึ้นมา ยังกับฟิล์มคนละม้วน สงบสเงี่ยม ไม่หือ ไม่อือ ผมจำได้ว่าผมเคยเห็นเอสหลับไปบนโซฟาโดยที่มือยังโอบตอนต้นไว้อยู่เลย ทั้งๆ ที่ปกติจะไม่แตะต้องลูกคนเล็กของผมเลยด้วยซ้ำ


               ตอนเห็นภาพนั้นผมขำนะ ไม่รู้ทำไม แต่ผมมองว่าน่ารักดี


               “เอส รถเมล์มาแล้ว” ผมเดินไปบอกกับคนที่นั่งพิงป้ายโฆษณาหลับไปอีกหน ไอ้เด็กนั่นผงกหัวลืมตาตี๋ๆ ขึ้นมามองนิดหน่อยก่อนจะกลับไปพิงป้ายโฆษณาต่อ

               “สายไปคอนโดฯ พี่นี่ โชคดีนะ”

               “โชคดีอะไร นายก็ต้องมากับฉันด้วยสิ” ผมคว้าต้นแขนมันให้ลุกขึ้น

               “ไปทำไมอีกอะ ผมอยากกลับบ้านไปนอนแล้ว มันง่วงงง” เอสพูดเสียงกระเง้ากระงอด พยายามดึงต้นแขนตัวเองออกจากการจับกุม ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็ดันตัวผมให้ออกห่างทั้งๆ ที่ยังตายังไม่ลืมด้วยซ้ำ เส้นเลือดที่ข้างขมับเต้นตุ๊บๆ กับท่าทางนั้น ถ้าคิดจะหลับรอรถเมล์ชาตินี้คงไม่ได้กลับบ้านหรอก นอนเป็นขอทานอยู่ที่ป้ายรถเมล์แหงๆ

               “นายจะให้ฉันถือของหมดนี่กลับบ้านคนเดียวได้ไง”

               "ของพวกนี้ก็ของลูกๆ พี่ทั้งนั้นอะ ทำไมผมต้องมาถือด้วย~”

               “มันก็มีของนายด้วย”

               “ขนมกี่ชิ้นเถอะ! สอง สามชิ้นอย่ามาทำพูด”


               ผมไม่ตอบ มือที่จับต้นแขนอีกฝ่ายอยู่ออกแรงกระชากตัวให้ลุกขึ้น ซึ่งเอสก็ยอมลุกขึ้นเดินตามมาแต่โดยดี แต่ไม่วายมีเสียงบ่นไปตลอดทาง


               “ผมง่วงนอนอะ ผมอยากกลับบ้าน~”

               “เดี๋ยวค่อยไปนอนที่คอนโดฯ”

               “คอนโดฯ พี่อะนะ?” ทันทีที่ได้ยินคำว่าคอนโดฯ ไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมก็หันขวับมาจ้องผมทันที “ไม่อะ ขอปฏิเสธ!” มันว่าเสียงแข็ง ทั้งส่ายหัวทั้งไขว้มือเป็นกากบาท ปฏิเสธเต็มรูปแบบว่าไม่นอนที่คอนโดฯ ผมแน่ๆ

               “ทำไม?” ผมเลิกคิ้วถาม ครั้งก่อนที่เอสแอบมานอนบนเตียงผม พอตื่นเช้ามาก็โวยวาย แล้วก็รีบพรวดพราดออกจากห้องผมไป เล่นเอาที่หนึ่งตกใจนึกว่าคอนโดฯ มีผี เลยไม่นอนห้องตัวเองเลยไปสองวัน

               “ไม่มีอะไร๊”

               “เสียงสูง”

               “ไม่ได้ อมสเตร็ปซิลรสน้ำผึ้งมะนาวอะพี่ เสียงก็เลยเพี้ยนๆ” ตามมาด้วยเสียงกระแอมไอสองสามทีก่อนจะไล่ โด เร มี ฟา ซอล ให้ฟัง

               “...” ผมกรอกตาไปมา แล้วหยิบหนังสือที่ผมซื้อขึ้นมาอ่านต่อ ไม่สนใจคนข้างๆ ที่เริ่มตื่นเต็มตามากวนประสาท พอเห็นเอสกำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่างผมก็รีบหันไปหยิบคู่มือเลี้ยงเด็กอีกเล่มส่งให้ “อ่านซะ แล้วนั่งเงียบๆ ไป”












               ตุ๊บ!


               “เฮ้อออ” เสียงถอนหายใจดังออกมาจากปากของเด็กเอสหลังจากที่ขนของทั้งหมดไปไว้บนโต๊ะกินข้าวได้ในที่สุด “วันนี้นี่มาใช้แรงงานชัดๆ”

               “เปล่า มีเรื่องจะคุยด้วย แต่บังเอิญว่าของในบ้านมันหมดพอดีต่างหาก”

               “หราาา” ผมตอบอื้อกลับไป เดินเข้าไปอุ้มตอนต้นที่นั่งคลานเต๊าะแต๊ะอยู่หน้าทีวี โดยมีป้าสร้อยนั่งอยู่บนโซฟาเฝ้าดูไว้ เสียง ‘แอร๊ย’ เหมือนจะทักทายของลูกคนเล็ก ทำให้ผมอารมณ์ดีซุกหน้าไซร้พุงกลมๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว

               “ถ้าตุลย์มาแล้ว งั้นป้ากลับห้องก่อนนะ”

               “ขอบคุณมากนะครับ”

               “จ๊า ไม่เป็นไรๆ” ผมจับมือของตอนต้นให้โบกมือลาป้าสร้อยคนที่คอยเลี้ยงตอนต้นให้ตลอดที่ผมไปทำงาน


               ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เป็นญาติของผม เป็นเพียงคนข้างห้องเท่านั้น แต่เขาก็มานั่งดูลูกของผมให้ ผมรู้สึกซาบซึ้งนะครับ เวลาป้าสร้อยเดือดร้อนผมก็เข้าไปช่วยเสมอเป็นการตอบแทน แต่ไอ้ลูกคนเล็กผมนี่สิ เวลาเจอหน้าก็ดีใจนะครับ แต่พอจะแตะตัวก็ร้องไห้ซะอย่างนั้น


               “เน่พี่ตุลย์ไหนเงินอะ บอกว่าวันนี้จะจ่ายเงินให้ใช่ม๊า”


               ทีกับคนที่ยืนเท้าโต๊ะอยู่บนครัว กลัวเด็กอายุหนึ่งขวบ ไม่กล้าอุ้ม ไม่ชอบยุ่ง ตอนต้นกลับยอมให้แตะตัวซะงั้น ไม่ร้องสักแอะ


               “ยังไงนายก็ต้องเอาเงินมาจ่ายหนี้ฉันอยู่แล้วใช่ไหมละ? ก็ถือว่าจ่ายหนี้ส่วนวันนี้ไปแล้วกัน”

               “งั้นพี่ไปหยิบสมุดจดหนี้มาบันทึกเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวพอวันหลังมาดูจะได้ไม่หาว่าผมขี้ตู่”

               “ฉันจำได้หรอกหน่า ไม่ขี้โกง”

               “แน่ใจนะ?” เอสกอดอกถาม ดวงตาตี่ๆ หรี่มองผมเหมือนจะจับผิด

               “แน่ใจสิ”

               “ถ้างั้นก็แล้วไป...พอพูดถึงเรื่องเงินขึ้นมา อื้ม...ประมาณอาทิตย์หน้าผมต้องไปรายงานตัวที่มหา’ลัยแล้วนะ แล้ววันนั้นมันต้องจ่ายค่าเทอมแล้วก็ค่าหอเลยด้วย...” เอสเหลือบตามอง เขาคงไม่กล้าพูดคำว่า ‘ขอเงิน 20,000 หน่อย’ ออกมาตรงๆ เพราะมันค่อนข้างจะกระดากสำหรับการพูดกับคนรู้จักอย่างผม

               “ได้ นายจะใช้วันไหนก็บอกฉันล่วงหน้าสักวันแล้วกัน”

               “โอเคๆ” เอสยิ้มจนเกิดรอยข้างร่องแก้ม ผมเดินอุ้มตอนต้นเข้ามาในครัว พอเห็นลูกคนเล็กของผม เอสก็มีท่าทางผงะเล็กน้อย เปลี่ยนสีหน้าดีใจเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว


               ผมหัวเราะเสียงเบา


               “ลองอุ้มตอนต้นดูหน่อยไหมละ?”

               “โนว์!” คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมปฏิเสธเสียงแข็ง หน้าตาดูหวาดๆ ที่เห็นตอนต้นพยายามออกจากอ้อมแขนผมเพื่อจะไปหาอีกฝ่าย “อย่าเข้ามานะเว๊ยยย~ บอกแล้วไงว่ามีพระ เอ๊ย วันนี้ไม่ได่ใส่พระ แต่ไม่เป็นไร มีองค์นะเว๊ย อย่าเข้ามาาา”


               อะไรของมัน...


               “มีองค์อะไร?” ผมขมวดคิ้วใส่ เอสละสายตาจากลูกชายของผม เงยหน้ามามองพร้อมทำสายตากระลิ้มกระเหลี่ย

               “ก็องค...” คนตรงหน้าหยุดพูดไว้แค่นั้น แต่ใช้ตาตี่ๆ เลื่อนลงมาบริเวณเป้ากางเกงของผม


               ไอ้เด็กนี่!


               “มองของฉัน แปลว่าของนายไม่มีใช่ไหม?”

               “แรงอะ!”


               ผมหัวเราะหึหึในลำคอ เพิ่งรู้ว่าเห็นหน้าไอ้เด็กนี่เวลาไปต่อไม่ถูกแล้วมันดูตลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ สายตาที่จ้องเขม็งตรงมายังผมเหมือนกำลังหาวิธีแก้แค้นเอาคืน แต่ผมกลับยักไหล่แล้วรีบอุ้มลูกชายออกมาก่อน


               “เดี๋ยวดิ! อย่าคิดหนีนะ พี่เพิ่งจะนับ 1-0 แค่นั้นเองเถอะ”


               มันคิดว่าผมเป็นที่หนึ่งหรือไง ถึงได้มาเล่นเกมนับแต้มอยู่แบบนี้เนี่ย


               “เอาตอนต้นไปอุ้มไป”

               “เกี่ยวไหมมมม~”


               แอ๊ด...


               “อ้าว พ่อกลับมาเร็วจัง” ขณะที่ผมกำลังโดนเอสกักตัวไว้โดยเอาแขนยันกับพนักโซฟาอยู่ ที่หนึ่ง ลูกคนโตของผมก็เดินเข้ามาในห้อง ผมเหลือบมองนาฬิกาเล็กน้อยก่อนจะนึกชื่นชบรถรับส่งนักเรียนอยู่ในใจที่พาที่หนึ่งกลับมาเวลาเดิมได้ทุกๆ วัน

               “วันนี้พ่อหยุด...”

               “หวายยย เหนื่อยเปล่า ไปเรียนทุกวันเลย น่าสงสาร ดูพี่ ไอ้น้องดูพี่ ปิดเทอมม สบาย ไม่ต้องไปเรียน” ทันทีที่เห็นที่หนึ่ง เอสก็ผละออกจากผมแล้วรีบปรี่เข้าหา

               “พ่อ ทำไมมีอันธพาลอยู่ในบ้านเราอะ” แต่ที่หนึ่งไม่สนใจเด็กโข่งนั่นเท่าไหร่ ร่างของเด็กตัวน้อยเดินมานั่งบนโซฟาข้างๆ ผม ทิ้งผู้เป็นแขกของบ้านยืนค้างอึ้งอยู่หน้าประตู

               “อันธพาลอะไรวะ ทีเมื่อวานยังเรียก ‘พี่’ อยู่เลย” เอสเริ่มโวยวาย

               “พี่อะไร? หูฟาดไปเองเปล่า สมองเบลอๆ แบบน้ำเข้าหูแล้วกองกันอยู่ในสมองแบบนี้น่ะ” ผมว่าลูกผมอยู่กับเอสมากไปแล้ว ถึงได้มีคำพูดจิกกัดแบบนี้ออกมา

               “อะไรนะ! เมื่อวานตัวเองยังร้องไห้ขี้มูกโป่งมาหาเรียก พี่อย่างนั้น เรียกพี่อย่างนี้!”

               “ที่หนึ่งไปทำตอนไหน!”

               “ทำทุกตอน!”

               “มั่ว!”

               “งั้นที่หนึ่งไม่ต้องกินขนมที่พี่ซื้อมาฝากเลย!”


               ผมว่าผมเป็นคนซื้อนะ ทั้งหยิบเอง ทั้งจ่ายตังเอง


               “ไม่เอา! ไหนขนม ที่หนึ่งจะกิน!”


               แล้วทั้งสองคนก็เดินหายเข้าไปในครัวด้วยกัน


               ผมมองตามโดยมีตอนต้นก็มองด้วย ผมว่าสองคนนี้เป็นความสัมพันธ์แปลกๆ เหมือนจะดีแต่ก็พร้อมตีกันอยู่ตลอดเวลา แต่พอทะเลาะกันปุ๊บ สักพักก็นั่งเล่นเกมด้วยกัน ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่มองนะครับ เพราะทางโรงเรียนเคยโทรมาบอกผมว่าที่หนึ่งเข้ากับเพื่อนที่โรงเรียนไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ผมเลยดีใจที่มองเห็นลูกของผมได้เล่นกับ ‘เพื่อน’ สนุกสนานแบบที่ผมทำให้ไม่ได้


               “แอร๊ย!”


               “อะไรลูก? อยากไปเล่นกับพี่เขาหรอ?” ผมก้มถามลูกชายคนเล็กที่นั่งอยู่บนตักผม สองแขนป้อมๆ ที่ตวัดไปมาเหมือนต้องการออกจากอ้อมแขน ผมส่ายหัวขำๆ อุ้มตอนต้นเข้าไปหาคนสองคนที่ตีแย่งขนมกันอยู่ในครัว

               “น้องอยากกินด้วย” ผมวางตอนต้นไว้บนโต๊ะข้างถุงห้างฯ แต่พอตอนต้นจะรื้อหาขนม เอสก็คว้าหมับเข้าที่ปากถุงเอาไว้เสียก่อน

               “คนอ้วนห้ามกิน! รู้ไหม อ้วนแล้วจะเป็นโรคอะไรขึ้นบ้าง นายจะเป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดตีบ หัวใจโต ข้อกระดูกเสื่อม เป็นเก๊าท์ มะเร็ง นิ่วในถุงน้ำดี หลอดอาหารอักเสบ นอนกรน ฮอร์โมนผิดปกติ แล้วก็ปวดเอว!

               ผมอ้าปากค้าง ที่หนึ่งก็ค้าง ตอนต้นก็ค้าง แต่ผ่านไปได้ไม่นานก็ดูเหมือนว่าตอนต้นจะไม่สนใจเท่าไหร่ พยายามดึงให้ปากถุงเปิดออกหาขนมของตัวเอง เดือดร้อนเอสที่ต้องรีบเข้ามาตะครุบเอาไว้

               “ฉันซื้อขนมเด็กมาอยู่นะ ให้ตอนต้นกินก็ได้”

               “พี่ซื้อหนังสือมาเองแท้ๆ อ่านไม่เจอหรือไง ว่าเขาไม่ให้เด็กอายุกินแค่นี้กินขนมอะ เพราะเด็กมันจะไม่ยอมกินข้าว” เอสหันมาว่าผม

               “แต่ฉันก็ให้ตอนต้นกินขนมมาเป็นเดือนแล้วนะ ก็กินข้าว...”

               “งั้นตั้งแต่วันนี้ไป อดเลยอด” เอสพูดเสียงดังแทรกผมขึ้นมาใช้นิ้วยาวของตนเองเขี่ยๆ ตอนต้นให้ออกห่างจากสารพัดถุง “วันนี้นายต้องเข้าครอสลดความอ้วนกับคุณหมอเอส หึหึหึหึ นายจะได้หุ่นดี มีซิคแพ็คอย่างฉันนะไอ้หนู”

               “แอร๊ย!” ตอนต้นส่งเสียงร้อง รอยยิ้มเผยกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆ มือตะกุยตะกายไปมาอย่างอารมณ์ดีคว้าหมับเข้าที่นิ้วของเอสที่ยื่นมาจิ้มพุง

               “อ๊ากกกก ลมพิษขึ้นน ปล่อยฉันนะโว๊ยย”


               ขี้โวยวายจริงๆ ก็แค่ขนลุก ลมพิษอะไรขึ้นที่ไหน


               “น้องชายลูกแปลกดี ทีกับป้าสร้อยไม่ให้แตะตัวเลย นิ้วเดียวก็แตะไม่ได้ แต่กลับให้พี่เอสแตะตัวเฉย” ผมจูงมือลูกชายคนโตที่กำลังกินขนมอยู่ออกจากห้องครัวไปนั่งเล่นด้วยกันหน้าทีวี

               “ที่หนึ่งว่าตอนต้นไม่ชอบผู้หญิงเท่าไหร่มั้งพ่อ ไม่ใช่แค่ป้าสร้อยนะ ขนาดย่ายังอุ้มไม่ได้เลย”

               “อย่างนั้นหรอ” ผมพูดเสียงพึมพำกับตัวเองขณะมองลูกคนโตกับลูกคนเล็กสลับกัน พลางนึกโทษตัวเองในใจ


               สาเหตุของตอนต้นก็อาจจะมาจากการ ‘ไม่มีแม่’ อีกเช่นกัน ตั้งแต่เกิดตอนต้นไม่เคยโดนแม่อุ้มเลยสักครั้งเดียว...


               ผมกัดกระพุ้งแก้มตัวเองสะกดกั้นความนึกคิดที่แล่นไปไกล มีไม่กี่เรื่องที่ผมไม่อยากแม้แต่จะนึกถึง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นเรื่องของแม่ของลูกๆ ผม มันเป็นความทรงจำอันยาวนานที่แย่ที่สุดที่ผมมี อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมหมดศรัทธาในตัวของผู้หญิงคนหนึ่งไปได้เลย...


               “พี่ตุลย์...พี่ตุลย์!!”

               “อะไร?” ผมหันไปตามเสียงเรียกจากในครัว ก่อนจะเห็นเอสกำลังทำหน้าตาเหมือนมีหนอนกำลังมายั้วเยี้ยะอยู่ที่ตัว แต่พอเหลือบมองลงไปต่ำกว่าใบหน้านั่นแทนที่จะเห็นหนอน ผมกลับเห็นตอนต้นลูกชายคนเล็กกำลังเกาะแขนอีกฝ่ายไว้แน่น

               “ช่วยผมด้วย...”

               “ก็แค่เด็ก อุ้มขึ้นมาแล้วก็พามานี่ก็จบเรื่อง”

               “ผมจะเป็นลม”

               “อย่าเวอร์ได้ไหม แค่เด็กตัวนิดเดียว”

               “นิดเดียวอะไร ตัวเท่าโอ่ง! พี่! ผมไม่ถูกกับเด๊กกก~”

               “ก็ลองอุ้มดูก่อนสิ”

               “แล้วถ้าผมทำร่วงล่ะ ไม่เอานะ ผมกลัวเด็กอ้วนมันร่วงอะ”

               “...” ผมไม่สนใจ หันหลังให้คนที่อยู่ในครัว ดูลูกคนโตที่กินขนมไปพลางดูทีวีไปพลาง

               “พี่ตุลย์ ผมจะกลับบ้าน” เสียงของเด็กหนุ่มแขกประจำร้องเสียงหลงจนดูน่าสงสาร แต่ผมกลับหัวเราะออกมาเสียงเบาด้วยความตลก ถึงเด็กนี่จะขี้โวยวายไปหน่อย แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมต้องมาแอบขำกับความฮาๆ บ้าบอของเจ้าตัว “พี่ตุลย์...!”

               “ก็อุ้มตอนต้นมานี่ แล้วนายจะกลับบ้านหรืออะไรก็ตามใจนายเลย ถ้าไม่อุ้มมาก็ยืนให้ตอนต้นกอดแขนแบบนั้นไปถึงพรุ่งนี้นู่นแหละ”

               “ไม่เอา! ผมไม่นอนห้องพี่หรอกนะ ขอบอกไว้เลย”

               “ไม่ได้ชวนให้นอนค้างสักคำ”

               “ที่หนึ่งก็ไม่ให้นอนในห้องที่หนึ่งหรอกนะ”

               “โอ๊ย ของใครก็ไม่นอนทั้งนั้นแหละ โซฟาก็ไม่นอนจะไปนอนบ้านอย่างเดียวเฟ้ย!”

               “จะกลัวอะไรห้องฉันนักหนา ถามจริงเจอผีไง?”

               “เปล่า”

               “แล้วกลัวอะไร?”

               “...” พอเห็นเอสเงียบ ผมก็หันหลังไปดู ก่อนจะเห็นว่าตอนนี้ไอ้เด็กนั่นกำลังอุ้มลูกชายคนเล็กของผมอย่างงกๆ เงิ่นๆ เดินตรงปรี่เข้ามาหาผมกับที่หนึ่งที่นั่งเล่นกันอยู่บนโซฟา “ห้องพี่ผมไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแหละ!”

               “ถ้าไม่กลัวก็นอนค้างดิ ถ้างั้นอะ”

               “ฮันแหน่ะ! นั่นไง ชวนนอนค้างแล้วอะ” เอสวนนิ้วชี้อยู่ตรงหน้าผม สายตาที่จ้องมองมาเป็นประกายเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์

               “ไม่ได้ชวนเลย แค่บอกว่าไม่กลัวก็นอน ถ้าไม่นอนก็แปลว่ากลัว”


               ปุ๊ๆ!


               ไอ้เด็กเอสยื่นมือมาตบไหล่ผมสองทีพร้อมกับส่ายหัวไปมา “ผมไม่ได้กลัว...” พูดเสร็จร่างสูงบางก็เดินถอยหลังจนชิดกับประตูห้อง “แต่ผมไม่นอน!! ไปละ บร๊าย!~~” ไอ้เด็กนั่นหมุนลูกบิดแกรก พุ่งพรวดออกไปจากห้องผมทันที ไม่ลืมโบกมือและพูดลาผมด้วยเสียง รอ ’เรือ’ แบบฟังชัด!


               ผมหัวเราะเสียงเบา ก็คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้








TBC
มาเป็นพาร์ทของพี่ตุลย์บ้าง จะได้รู้ว่าภายใต้ใบหน้าที่ชอบขมวดคิ้วที่แกคิดอะไรอยู่ (ก็ดูเหมือนจะไม่คิดอะไรเท่าไหร่...)

เพิ่มความหวานกันหน่อย ก่อนที่พายุจะเข้า หื้ม?
#Daddybelover

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
ได้อ่านตอนที่เอสอยู่กับเด็กๆ กี่ทีก็ขำน้ำตาเล็ดตลอดเลยนะคะ :m20: ท่าทางตอนต้นชอบใจที่ตัวเองจะได้เอสมาเป็นเทรนเนอร์ลดความอ้วนน่าดูเลยนะคะนั่น ^^ ร่าเริงขึ้นมาเลยเชียว~

ตั้งรับพายุค่ะ รอตอนต่อไปนะค้าา.. ><

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
งักๆๆๆ พายุไรจะเข้าอ่ะ ให้หวานต่ออีกหน่อยจิค่อยเข้าาาาา :katai1:

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
เอสคะ เด็กๆน่ารักจะตาย แกอย่ามาเวอร์ได้ปะ

ออฟไลน์ ทิวสนที

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ตอนต้นน่ารักดีนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด