ตอนที่ 15
“ยังไม่นอนอีกหรอ?”
“ถ้าเห็นฉันหลับก็แปลว่านอนแล้ว”
มีตุลย์ก็ต้องมีกวน
“ขอยืนโน้ตบุ๊คหน่อยดิ” ผมว่าพลางเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งกับเบาะข้างเตียงที่เป็นที่นอนใหม่ของผม พี่ตุลย์ปรายตามองผมนิดหน่อย
“ทำงานอยู่”
“ก็หลังทำงานเสร็จก็ได้ไง ผมตอนไหนก็ได้”
“เอาไปทำไร?”
“...” ผมเงียบ ไม่อยากจะบอกคุณพ่อลูกสองนี่เท่าไหร่ว่า เอามาเข้าเน็ตศึกษาคณิตศาสตร์ป. สามเนี่ยแหละ!
เมื่อวานได้ยินว่ามะรืนที่หนึ่งมีสอบคณิตแล้วให้ผมติวให้ วันนี้หลังจากผมเลิกงานสี่ทุ่ม ก็เลยกลับมาตั้งใจจะทำตามหน้าที่ แต่ไอ้เด็กที่หนึ่งกลับบอกว่าครูเลื่อนไปสอบอาทิตย์หน้าซะงั้น ผมก็ เออ ก็ดี ขอดูหนังสือมันนิดหน่อย กะจะดูคร่าวๆ ว่าต้องสอนเรื่องอะไรจะได้เตรียมตัวถูกอะไรประมาณนั้น
แต่พอเปิดปุ๊บ!...ผมนี่ถึงกับค้าง
นี่สาบาน คณิต ป.สาม!? WTF!! ผมเรียนเรื่องพวกนั้นตอนขึ้นมัธยมได้แล้วมั้งน่ะ!
และเพราะมันไม่ใช่แค่บวกลบคูณหารธรรมดาเนี่ยแหละครับ ผมถึงต้องรอไอ้เด็กที่หนึ่งหลับก่อน แล้วตั้งใจว่าจะมาเสิชเน็ตหาข้อมูลในการติวให้เนี่ย
“ฉันใช้เสร็จละ” สิ้นคำพูดของคนที่อยู่บนเตียง ผมก็รีบยื่นมือไปข้างหน้ารอรับโน๊ตบุ้คอย่างนอบน้อมทันที “ห้ามเอาไปเข้าเว็บโป๊นะ”
“ตอนแรกก็ไม่ได้นึกถึงมันหรอก พอพี่พูดผมก็เริ่มอยากเข้าเลย”
“งั้นไม่ต้องใช้”
“ล้อเล่นคร๊าบบบบบ ไม่เข้าๆๆ แน่นอน พี่รอเช็คประวัติการเข้าชมได้เลย โหย หน้าตาดีขนาดนี้ หุ่นดีแบบนี้ทำไมผมต้องพึ่ง 2D ด้วยละครับ” ผมหัวเราะเสียงใสไปอีกหนึ่งลูกคอ แต่พอเห็นสายตาที่จ้องมองมาก็ต้องหุบปากลงอย่างเซ็งๆ “ผมจะเข้าเว็บที่มีประโยชน์ครับ เว็บการศึกษา ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จะเข้าแต่เว็บที่มีคุณค่าแก่การชื่นชม”
“ถ้าฉันเข้าเช็คประวัติการเข้าชมแล้วไม่เจอเว็บพวกนั้นนะ โดนแน่” พี่ตุลย์ว่าเสียงเหี้ยมแถมหัวเราะหึหึให้ผมอีกสามครั้งติด พอพี่แกนอนหันหลังนอนให้ผมเท่านั้นแหละ ปากผมนี่ขยับบ่นอัตโนมัติเลยทีเดียวเชียว
ผมจดคำอธิบาย วิธีคิด ข้อมูลต่างๆ ลงในสมุดที่ผมใช้จดอะไรหลายๆ อย่าง เสียงแกรกๆ ของดินสอสลับกับเสียงพิมพ์แป้นของโน้ตบุ๊ค ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ผมอยู่อพาร์ทเม้นท์ก็คงเปิดเพลงสักเพลงไว้อยู่เป็นเพื่อนผมแล้ว แต่ตอนนี้ผมอยู่ร่วมกับคนสองคนกับหมูอีกหนึ่งตัวเพราะงั้นคงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าผมจะเปิดเพลงตอนนี้
อะ ตอนนี้คิดแล้วใช่เปล่า ว่าทำไมผมต้องโคตรทุ่มเทแบบนี้! จริงๆ แล้วเปล่าครับ บรรยายให้ดูดีไปงั้นแหละ ลองมาดูที่หน้าจอดิ จะเห็นว่าตอนนี้ผม เปิด เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ และอีกสารพัดเว็บที่ไม่ใช่เว็บการศึกษา ศาสนา และพระมหากษัตริย์สักกะติ๊ด
มันก็ต้องมีบ้างใช่ปะ ก็ผมวัยรุ่นอะ~
ตื้อดึง!
ผมเหลือบมองแท็กบาร์ที่ตอนนี้มีไอคอนรูป line กำลังกระพริบสีส้มๆ บ่งบอกว่ามีใครบางคนส่งไลน์เข้ามาหาในแอคเคาท์ที่ลงชื่อไว้ตอนนี้ ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ผม มือถือผม 1,990 บาท บางเครื่องในปัจจุบันอาจเล่นไลน์ได้แล้ว แต่ใช้เครื่องนี้มาสามปี สมัยที่ไลน์ยังไม่เข้าเครื่อง 1,990 บาท เพราะงั้นแน่นอนว่าไลน์ที่เด้งนี้เป็นของเจ้าของโน้ตบุ๊คแน่นอน
ว่าแล้วก็เหลือบมองคุณเจ้าของห้องที่นอนหลับสนิทไม่ได้ยินเสียงไลน์ที่เด้งเข้ามา อยู่ดีๆ นามสกุล ‘โรจนรัตติกร’ ของผมก็เปลี่ยนเป็นนามสกุล ‘อยู่เสือก’ ขึ้นมาทันที
ผมเลื่อนเม้าผ่านหน้าต่างที่กระพริบๆ สีส้ม ไปที่ไอคอน line ที่อยู่มุมขวาสุด กดไปที่สัญลักษณ์รูปคำพูดก่อนที่ปรากฎแชทต่างๆ แต่ความสนใจของผมพุ่งตรงไปที่แชทบนสุด รูปโปรไฟล์เป็นรูปผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง การถ่ายรูปบ่งบอกเลยว่าเธออายุประมาณ 30 แน่นอน ส่วนถัดจากรูปคือ line ที่เธอส่งมา
'ตุลย์ โทษทีที่ไม่ค่อยได้ติดต่อมาเลยนะ ฉันกำลังจะบอกนายว่า ฉันกำลังกลับมาทำงานที่ไทยแล้วนะ~'
ใครวะ? แฟน เมีย แม่ เพื่อน
ผมจ้องข้อความนั้นอย่างพิจารณา แต่สักพักข้อความนั้นก็เปลี่ยนเป็นข้อความใหม่
‘ประมาณอาทิตย์หน้าละมั้ง ถ้าว่างมารับฉันที่สนามบินหน่อยสิ~’
ตัด แม่ ออกไป จริงๆ ควรตัดตั้งแต่แรกเลยนะ สมองผมนี่คิดขึ้นมาได้ไงวะ ช้อย แม่เนี่ย
‘นายคงหลับแล้วสินะ โทษทีลืมไปว่าเวลาไม่ตรงกัน พอฉันรู้ว่าได้ย้ายกลับมาก็เลยดีใจลืมตัวรีบบอกนายไปหน่อย’
แล้วข้อความก็หยุดอยู่แค่นั้นผมจ้องต่อไปเกือบสิบนาทีจนตาแห้ง ข้อความ line ก็ไม่มีอะไรเพิ่มมา ผมเลื่อนเม้าส์กดล็อคเอ้าท์ออกจากคอมเพื่อไม่ให้ตัวเองผันนามสกุลมาอยู่เสือกอีก สะบัดหัวสองสามทีไล่ความสงสัยที่ติดแน่นอยู่ในสมองออก ก่อนจะกลับมาให้ความสนใจกับวิชาคณิตศาสตร์ ป. สามตามเดิม
...
เอ๋ หรือจะเป็นเมีย?
โอ้ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส มองเห็นเรือใบ แล่นอยู่ในทะเล~
ผมยืนมองปราสาทสีสดใสด้านหน้าของสวนสยามทะเลกรุงเทพฯ โดยมีไอ้เด็กที่หนึ่งอยู่ทางขวาและพี่ตุลย์ที่กำลังอุ้มเด็กอ้วนตอนต้นอยู่ทางซ้ายมือ
ตอนนี้พวกเราอยู่สวนสนุกครับ! สถานที่ที่เด็กทุกคนอายุไม่เกินสิบสองปีโดยประมาณอยากจะมา! ผมนี่ตั้งแต่พ่อเสียก็ไม่ได้มาสวนสนุกอีกเลย หกเจ็ดปีโดยประมาณแล้วมั้ง เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ผมตื่นเต้นกับสถานที่ตรงหน้ามากกว่าไอ้เด็กที่หนึ่งที่เป็นคนร้องจะมาเสียอีก!
ในระหว่างที่ซื้อตั๋วเข้าสวนสยามทะเลกรุงเทพผมขอย้อนความเล็กน้อย
เมื่อประมาณสามวันก่อน ผมกับพี่ตุลย์แล้วก็หมูตอนต้นนั่งอยู่บนโซฟา โดยมีที่หนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าถือข้อสอบที่ครูแจกคืนเพื่อประกาศผลคะแนน อย่างที่รู้กันครับ ว่าคุณพ่อตุลย์เนี่ย นางไปตกลงกับลูกเอาไว้ว่า ถ้าได้แปดคะแนนขึ้นไปจะพาไปเที่ยวตอนสุดสัปดาห์แล้วให้ที่หนึ่งเป็นคนเลือกสถานที่เอง
ผลออกมาที่หนึ่งได้แปดจุดห้า! ไม่รู้จุดห้าแม่งมาได้ยังไง แต่ก็ถือว่าผ่าน! สถานที่แรกที่ไอ้เด็กนั่นพูดออกมาหลังจากประกาศคะแนนคือภูเก็ต ไม่ใช่แค่พี่ตุลย์นะครับที่เงิบ ผมก็เงิบ
คือภูเก็ตไม่ได้อยู่ใกล้ไง แล้วมันก็ไม่ใช่ทริปที่แบบมีตังสองพันแล้วไปได้เลยอะไรอย่างงี้ ผมเดาว่าเรื่องเวลาด้วยละมั้ง ขับรถไปเช้าเย็นกลับมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หรือจะขับรถไปเสาร์แล้วกลับอาทิตย์ก็ไม่ได้อยู่ดี เลยต้องเดือดร้อนโอ๋ที่หนึ่งให้เปลี่ยนสถานที่กันใหญ่
แต่ปลอบอยู่สิบนาทีก็แล้ว ยี่สิบนาทีก็แล้ว สามสิบนาทีก็แล้ว ไม่เงียบสักทีงอแงจะไปทะเลให้ได้ ผมก็เลยเสนอสวนสยามทะเลกรุงเทพฯ ไป แค่นั้นแหละเงียบกริบ ตาเป็นประกาย เลยเป็นอันสรุปว่าไปสวนสยามทะเลกรุงเทพ
แต่ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะไปกันแบบคนสองคนหมูหนึ่งตัว ผมก็เลยไม่อะไรเท่าไหร่ แต่พอพี่ตุลย์บอกว่าจะให้ผมไปด้วยเท่านั้นแหละ! คนที่มีตาเป็นประกายต่อมาคือผมเลย!
แต่ผมไม่ง่ายนะครับ
‘ไปเถอะหน่า นายช่วยติวให้ที่หนึ่งตั้งหลายวันนี่หน่า ฉันเลี้ยง ถือเป็นค่าตอบแทนแล้วกัน’
นั่นแหละครับ คำพูดเดียว ไม่มีเล่นตัวเพิ่ม ผมก็เลยมาปรากฎตัวอยู่ ณ ที่นี่
ผมไม่ง่าย แต่ได้ไม่ยากครับ อิอิ
สถานที่ที่แรกหลังจากเดินเข้ามาคือม้าหมุนสองชั้น ซึ่งแน่นอนผม ที่หนึ่ง พี่ตุลย์ น่าจะตอนต้นด้วยคิดเป็นอย่างเดียวกันว่าเก็บไว้ที่หลังเถอะ เราก็เลยเลี้ยวขวาครับเจอเข้ากับเครื่องเล่นหวาดเสียวที่เหมือนเป็นไอคอนของสวนสนุกไปแล้ว…รถไฟเหาะตีลังกาถอยหลัง!
แน่นอนผมโคตรอยากเล่น แต่อย่างว่าครับ ผมมากับครอบครัวใครก็ต้องแล้วแต่ลูกชายของครอบครัวนั้น ผมก้มลงมองเด็กที่หนึ่ง
“เล่นไหมไอ้หนู?”
“มันเป็นยังไงอะ?”
“เอ้า ไม่รู้จักหรอ” ผมเลิกคิ้วถาม พอเห็นว่าที่หนึ่งส่ายหัวก็เลื่อนสายตาไปหาคุณพ่อตุลย์
“ไม่เคยพามา” คนที่อายุเยอะกว่าตอบให้อย่างรู้งาน ผมกลับไปมองไอ้เด็กที่หนึ่งอีกครั้ง
ท่าทางแบบนี้...นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาที่อื่นนอกจากโรงเรียนเลยปะเถอะ
“งั้นไปเล่นกันไหมละ? มันเป็นเครื่องเล่นวิถีผู้ชาย ผู้ชายคนไหนไม่เล่นนี่โตขึ้นเป็นตุ๊ดแน่นอน พอเป็นตุ๊ดใช่ปะ สังคมก็รังเกียจ พ่อแม่ก็เสียใจ”
“งั้นที่หนึ่งจะเล่น!”
เสร็จโจร อิอิ
ผมร้องโอเคเบาๆ ก่อนจะรีบคว้าข้อมือที่หนึ่งพุ่งพรวดไปต่อแถวทันที อาจเพราะว่าพวกเรามาค่อนข้างเร็ว เลยมีคนไม่เยอะมากนัก รอไม่ถึงสองนาทีพี่พนักงานก็พาที่หนึ่งไปวัดส่วนสูงพอเห็นว่าเกิน 130 เซนฯ จึงค่อยปล่อยมานั่งเล่นเครื่องเล่นข้างๆ ผม
“โบกมือให้พ่อตุลย์หน่อยเร็ว” ผมกระซิบบอกกับที่หนึ่ง ก่อนที่เราทั้งคู่จะโบกมือให้กับผู้ใหญ่ใจดีวันนี้ที่ต้องมาทำหน้าที่คุณแม่เข็นรถลูกคนเล็กไปมา อดร่วมสนุกไปกับวัยรุ่นวันซนอย่างผม
ตึง!
ที่หนึ่งร้องลั่นสะดุ้งด้วยความตกใจกับเสียงเป็นสัญญาณว่าเครื่องเล่นกำลังถูกดึงขึ้นสูง ผมหัวเราะชอบอกชอบใจ จับเซฟตี้เอาไว้มั่น แต่มือข้างหนึ่งกับโดนเด็กที่หนึ่งคว้าจับเอาไว้แน่น
ผมกับที่หนึ่งค่อยถูกดึงสูงขึ้นไปจนวิวที่เห็นกลายเป็นเพียงท้องฟ้าสีสดสว่างจนแสบตา และวินาทีที่เราขึ้นอยู่บนจุดที่สูง ทั้งมือของผมและมือของที่หนึ่งที่จับกันเอาไว้ก็กำแน่นทันที ก่อนที่เครื่องจะทิ้งตัวดิ่งลงมา!!
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!”
สนุกละเว๊ยยยย~
หลังจากลงมาจากรถไฟเหาะตีลังกาถอยหลัง ที่หนึ่งก็ดูเหมือนจะยังอึนๆ งงๆ ผมนี่ตั้งโด่เด่จนพี่ตุลย์ต้องลูบแล้วลูบอีกให้คืนทรง (วันนี้ผมใส่เจลแบบอยู่ทรงเป็นพิเศษ รับประกันว่าผมไม่ร่วงคืนทรงบางระจัน) ผมก็กังวลนะ ไม่รู้ว่ากลัวจนจะร้องกลับเลยหรือเปล่า แต่สักพักกกกก....ประมาณสิบห้านาทีได้ ที่หนึ่งก็ฟื้นคืนสติ ตั้งท่าจะลากผมเป็นเล่นรถไฟนั้นอีกสักรอบ
“ที่นี่ไม่ได้มีแต่เครื่องนี้นะรู้ยัง? ปะๆ เดี๋ยวพี่เอสจะพาไปเล่นหมดนี่เนี่ยแหละ แล้วน้องจะได้พบเจอกับวิถีความเป็นชาย!” ผมหัวเราะลั่นด้วยความสะใจ พาดมือไว้ที่ไหล่ของไอ้เด็กที่หนึ่งที่เตี้ยกว่าผมประมาณห้าสิบเซนฯ ก่อนที่จะเราทั้งมุ่งหน้าไปสู่เครื่องเล่นอันใหม่
อันที่ผมเลือกต่อมาเป็นไวกิ้ง ผมชอบเรื่องเครื่องเล่นเสียวนะ แต่ผมไม่ชอบไวกิ้งเท่าไหร่ เลยพาที่หนึ่งมานั่งอยู่แถวๆ กลางๆ ไม่สูงมากจนมองเห็นเครื่องที่กำลังปั่นอยู่ด้านล่าง แล้วก็ไม่ต่ำไปจนไม่รู้สึกอะไร แต่ไอ้เด็กที่หนึ่งครับ! เล่นเสร็จแม่งชอบเว๊ย จะเล่นอีก แล้วมันบอกว่าคนที่นั่งอยู่บนสุดน่าจะสนุก เลยชวนผมไปนั่งแถวบนซะงั้น ผมทำไงอะครับ...
ก็ต้องตามไปอะดิ อะโธ่ เดินตามพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบหน้าประมาณนั้นเลย
หลังจากที่เล่นไวกิ้งแถวบนสุดไปประมาณสองรอบ ผมก็ต้องมานั่งพักเพิ่มพลังชีวิตเล็กน้อย โดยมีพี่ตุลย์พาที่หนึ่งไปซื้อนน้ำมาให้ ทิ้งเด็กอ้วนไว้กลางทางกับผม เด็กนั่นก็ก็ส่งเสียงแอร๊ยๆ ยื่นมือเหมือนจะให้ผมอุ้มตลอด แต่ด้วยความรักเด็กอันล้นเหลือครับ ก็เลยหมุนรถเข็นให้มันหันหลังให้ผมแทน
หลังจากที่พลังชีวิตเต็มเปี่ยมผมกับที่หนึ่งก็กลับมาเป็นคู่หูชั่วคราวผจญภัยต่อ
มีเครื่องเล่นหลายชิ้นที่ก็...สนุกดีครับ แต่สำหรับวิถีชายยังถือว่าเบๆ แต่มีเครื่องเล่นนึงฝังใจผมมาก ลงมานี่ขาสั่น ผมขาสั่น ที่หนึ่งก็ขาสั่น หงึกๆๆ กันอยู่หน้าเครื่องเล่น
ตอนแรกไม่อายหรอก แต่พอไอ้พี่ตุลย์มายืนขำเป็นวรรคเป็นเวรนั่นแหละ ที่ผมโคตรเสียเชิง อยากจะบอกให้พี่แกลองไปเล่นดู เดี๋ยวจะเสียสละดูแลตอนต้นให้ แต่นั่นแหละ ขามันสั่นเลยไม่มีแม้แต่แรงที่จะก้าวไปหาด้วยซ้ำ
มันคือ ยักษ์ตกตึกครับ!
เครื่องเล่นที่นั่งเรียงกันหันหลังให้เสาหนึ่งต้น ก่อนที่มันจะเลื่อนตัวขึ้นไปแล้วทิ้งดิ่งพสุธาลงมานั่นแหละ ตอนผมกับที่หนึ่งเงยหน้าดูก็เบๆ นะ จิ๊บๆ ก็เลยกระโดดพรวดขึ้นไปเล่นด้วย ตอนขึ้นก็ช้าๆ ดูวิวิทิวทัศน์กันไป แต่ตอนลงเนี่ยสิ!
มันจะรู้สึกวูบอยู่ประมาณสามวินาทีได้ เป็นชั่วอึดใจที่เหี้ยที่สุดตั้งแต่เล่นเครื่องเล่นในสวนสยามนี่มาเลยครับ อารมณ์เดียวกับกระโดดตึกเลย ต้องไปลองดูครับ
...
หมายถึง ลองไปเล่นนะ ไม่ใช่ลองไปกระโดดตึก
ช่วงเวลาประมาณบ่ายสองผมกับที่หนึ่งก็ไปเล่นสวนน้ำ ก่อนมาที่นี่ผมบอกไปแล้วว่าจะไม่เล่นสวนน้ำ เพราะผมไม่มีชุดว่ายน้ำอะไรเลย แต่คุณพ่อตุลย์ครับเดินฉับๆ เข้าห้องนอนไปหยิบกางเกงว่ายน้ำมาให้ซะงั้น ก็เลยกลายเป็นว่าตอนนี้มีผมกับที่หนึ่งลงเล่นสวนน้ำ ส่วนผู้ใหญ่ใจดีของทริปกับตอนต้นนั่งใต้ร่มพักผ่อนชิลๆ กันไป
“อันธพาล จะยืนอยู่ตรงนั้นทำไม ไปเล่นสไลเดอร์กัน!” ที่หนึ่งที่อยู่น้ำห่างผมออกไปตะโกนขึ้น ผมไม่ตอบแต่เลื่อนสายตาลงมองเกงเกงว่ายน้ำของไอ้พี่ตุลย์ที่ให้ผมยืม
มันไม่ได้ขาดครับ แล้วมันก็ไม่ได้ทุเรศอะไรเลย แต่...
เอื้อมมือไปจับตรงเป้ากลางเกงที่เหลือพื้นที่เล็กน้อย...
ชุดว่ายน้ำนี่มันไม่ได้แนบไปกับรูปร่างหรอวะ? ทำไมตรงนี้ที่มันเหลือ
“อันธพาล!!”
“เอออ ไปแล้วๆ” ผมเลิกสนใจรีบพุ่งลงน้ำไปหาเด็กที่หนึ่ง
เกือบสองชั่วโมงที่เล่นอยู่ในโซนของสวนน้ำ เด็กที่หนึ่งมีพลังงานเหลือเฟือ แต่ผมกลับร่อแร่เต็มที เลยขอโบกมือเซย์บายแล้วขึ้นฝั่งมาก่อน ทรุดตัวลงนอนไปกับเก้าอี้ชายหาดข้างๆ พี่ตุลย์ที่กำลังป้อนวาฟเฟิลให้ตอนต้นกินอยู่
“ไม่ไหวแล้วไง?”
“ไม่ไหวแล้ว ผมมาถึงจุดนี้ได้ไง จุดที่เล่นสวนสนุกเหนื่อยกว่าทำงานจนถึงสี่ทุ่ม”
พี่ตุลย์หัวเราะขำเล็กน้อยเรียกให้ผมเหลือบมอง พอเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างดูท่าทางอารมณ์ดี ก็พลอยรู้สึกอารมณ์ดีไปด้วย
“ที่ฉันตั้งใจซื้อรถก็เพราะจะพาลูกมาเที่ยวเนี่ยแหละ”
“อ่านเจอในหนังสือที่ซื้อมาคราวก่อนหรอ?”
“ประมาณนั้น เขาบอกว่าเราควรจะให้ของขวัญลูกบ้าง ควรจะพาไปเที่ยวบ้าง เขาเรียนรู้จากข้างนอกได้ดีกว่าในหนังสืออะไรประมาณเนี่ย ก็เลยตัดสินใจซื้อรถแล้วก็พามาเที่ยว สองสามเดือนมานี่ฉันใช้เงินเยอะกว่าปีที่แล้วซะอีก”
ผมขำ “แล้วผลลัพธิ์มันดีไหม?”
“ดี ฉันไม่เคยเห็นที่หนึ่งสนุกอย่างนี้มาก่อน อย่างที่เคยบอกที่หนึ่งไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ ฉันเองก็มัวแต่ทำงานไม่มีเวลาเล่นด้วย ซื้อของเล่นให้เยอะแค่ไหนก็ดูเหมือนที่หนึ่งจะไม่ตื่นเต้นแล้ว”
“ก็ดีแล้ว” ผมตอบเสียงเบาก่อนจะหลับตาลงพักผ่อนร่างกาย เผื่อว่าถ้ามีแรงจะได้ไปเล่นสไลเดอร์อีกสักรอบสองรอบ แต่เมื่อหลับตาลง ผมกลับรู้สึกเหมือนมีเงาอะไรบางอย่างมาทาบทับบนใบหน้า และทันทีที่ลืมตาขึ้นมาก็ต้องเผลอผงะเมื่อเห็นใบหน้าที่สมกับเป็นผู้ใหญ่ของพี่ตุลย์อยู่ห่างเพียงฝ่ามือเท่านั้น “อะ...อะไร?”
“นายน่ะพูดมาก น่ารำคาญ แล้วก็ไร้สาระ”
“หา!”
อะไรวะ? อยู่ดีๆ ก็มาด่า
เส้นเลือดผมนี่ขึ้นปูดเลย ตั้งท่าจะผลักไอ้พี่ตุลย์ออกแล้วเตะให้กลิ้งลงไปในน้ำ แต่มือของผมกลับต้องชะงักเสียก่อน ไม่สิ ไม่ใช่แค่มือ ผมเนี่ยแหละที่ชะงัก...เมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของคนตรงหน้า
“แต่ฉันก็เผลอคิดหลายครั้งแล้วแหละ ว่า...
ดีจัง ที่มีนายอยู่ด้วย”
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ห้าโมงเย็นเป็นช่วงเวลาที่ผม กับครอบครัวของพี่ตุลย์ตัดสินใจที่จะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ทันทีที่ขึ้นมาอยู่บนรถ ที่หนึ่งที่นั่งประจำอยู่ด้านหน้าก็หลับปุ๋ยทันทีเช่นเดียวกับตอนต้นที่ไม่ได้ทำอะไรมากมายแต่ก็สะลึมสะลือไปเสียอย่างนั้น
“เด็กหนอเด็ก” เสียงทุ้มพูดขึ้นเบาๆ ขณะปรายตามองลูกชายคนโตของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นผมที่นั่งเยื้องอยู่ด้านหลังก็สังเกตเห็นรอยยิ้มที่ผุดพรายอยู่บนใบหน้า
“...”
ผมซึมซับบรรยากาศที่อบอุ่นนี่อย่างเงียบๆ พลางนึกถึงคำพูดของพี่ตุลย์ก่อนหน้า
ถ้าไม่นับครอบครัวของตัวเอง นี่เป็นคำพูดแรกที่ทำให้ผมดีใจมากที่สุด เป็นคำพูดที่ผมอยากได้ยินมากที่สุด คำพูดที่บอกว่ามีใครบางคนที่ยอมรับผม แม้ผมจะไม่ใช่ครอบครัวของเขา และเพราะคำพูดนั้นอีกที่ทำให้ผมคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ผมมีความสุขมากแค่ไหน
ผมมีความสุขมากกว่าตอนที่อยู่กับป้า มีความสุขมากกว่าตอนที่อยู่กับเพื่อน มีความสุขมากกว่าตอนที่อยู่ตัวคนเดียว
ไม่อยากจะยอมรับเลยว่า..การอยู่กับครอบครัวนี่มันทำให้ผมกำลังมีความสุขมากจริงๆ...
“เป็นอะไรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่?” ผมเหลือบมองกระจกส่องหลัง สบตากับคนที่กำลังขับรถอยู่
“เห็นผู้หญิงเมื่อกี้ หน้าตาโคตรน่ารัก”
“กระเทยเปล่าเถอะ”
“ตัวเองไม่เห็นก็อย่ามาอิจฉาได้ปะ กระเทยหรือเปล่าไม่รู้ แต่เมื่อกี้น่ะนางฟ้าแน่ๆ”
“เดี๋ยววนรถให้ลงไปขอเบอร์เอาไหมละ?”
“ถ้าพี่จะกรุณา ผมก็จะขอน้อบรับไว้ครับ”
“กวน”
“ก็มีบ้าง~”
ติ้ง...
เสียงลิฟท์ดังขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิดออกยังชั้นที่ต้องการ แม้จะเป็นช่วงเวลาหัวค่ำแต่ทางเดินก็เงียบสงัด ผมดึงมีที่หนึ่งที่สะลึมสะลือจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ให้รีบเดินตามพี่ตุลย์ที่อุ้มตอนต้นไปตามควายแล้ว
ถ้าจะเดินเร็วขนาดนั้นคืออะไร ปวดหนัก?
“คือพี่รีบไปปะ” ผมพูดเสียงดังไล่หลังไป
“ตอนต้นอึใส่แพมเพิสจะรีบไปเปลี่ยน”
มิหน่าละ! ตอนขึ้นลิฟท์ได้กลิ่นแปลกๆ นึกว่าคุณลุงที่ขึ้นชั้นหกเป็นคนแอบตดไว้!
“งั้นรีบไปเลย” สิ้นคำของผม คุณพ่อตุลย์กับลูกหมูตอนต้นก็วิ่งกระเตงๆ พุ่งตรงไปยังห้องพักที่อยู่อีกไม่ไกล ส่วนผมกับที่หนึ่งก็เดินเอ่อระเหยลอยชายแบบไม่รีบร้อนเดินตามอยู่ข้างหลัง
และทันทีที่ผมกำลังจะเปิดเดินเข้าไปในห้องของพี่ตุลย์ต่อจากเด็กที่หนึ่ง ห้องข้างๆ ของป้าสร้อยก็เปิดผัวะออกมาพร้อมกับเสียงของใครบางคนที่ผมไม่คุ้นหู
“ตุลา ดูสิว่าใครมา~”
และจังหวะนั้นก็มีเพียงแค่ผมหันไปพร้อมกับตกตะลึง!
TBCดื่มเรดบู้ด กำลังมีคนปลุกความแสบในตัวเอส /หื้มมม
#daddybelover