ตอนที่ 21
‘หมอเขาก็บอกอยู่ว่าตอนต้นอยู่ตัวคนเดียวมากเกินไปนะ’
‘แล้วจะให้ฉันทำยังไงเล่า ไม่ไปทำงานแล้วจะเอาเงินที่ไหนกิน
‘พี่กระเตงลูกไปทำงานด้วยสิ’
พี่ตุลย์มองผมที่กำลังอุ้มตอนต้นขึ้นมาระดับปากก่อนจะสวมสูทที่พาดเอาไว้บนเตียงนอนในห้อง
‘ถ้าฉันทำงานนั่งออฟฟิศเฉยๆ ก็คงจะเอาลูกไปด้วยแล้วละหน่า ฉันก็อยากจะทำอย่างที่หมอบอกเหมือนกันแหละ แต่งานฉันมันต้องออกไปข้างนอก เจอคนมากมาย ไปดูตลาดที่จะเอาหนังสือลง มันกระเตงลูกไปมาไม่ได้หรอกนะ’
‘ก็ตอนที่พี่ออกไปก็ฝากเพื่อนร่วมงานไว้ก็ได้นี่’
‘จะฝากใครละ? เขาก็อยู่ฝ่ายขายเหมือนฉันกันหมด ฝากลินก็ไม่ได้ เป็นผู้หญิงแตะปุ๊บก็ร้องไห้ปั๊บอยู่ดี เพราะงั้นถึงหมอจะบอกแบบนั้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องให้อยู่บ้านอยู่ดีละนะ’ พี่ตุลย์ว่าพร้อมกับลูบผมบางๆ ของลูกชายคนเล็กด้วยความเอ็นดู ใบหน้านั่นแฝงไปด้วยความหนักใจแต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ ‘ฉันไปทำงานก่อน ตอนต้นชอบนายมาก ตอนนี้เล่นกับตอนต้นได้แล้วนี่ ก็ฝายช่วยป้าสร้อยเขาหน่อยแล้วกัน ถ้าอยู่กับนาย ตอนต้นคงไม่เป็นอย่างที่หมอพูดหรอก’
แล้วผมก็ทำได้เพียงแค่อุ้มตอนต้นดูไอ้คุณพ่อตุลย์เดินถือกระเป๋าเอกสารออกจากห้องไปทำงานอย่างเช่นทุกๆ วัน
...
อยู่กับผมคงไม่เป็นไรงั้นหรอ...ผมใช่พ่อมันที่ไหนละเฮ้ย!!!!!!!
เมื่อวานครับ ผมกับพี่ตุลย์พาตอนต้นไปตรวจพัฒนาการมา มีอยู่ช่วงนึง ที่เจ้าหน้าที่ ให้พี่ตุลย์ที่เป็นพ่อแอบออกห้องไปทิ้งตอนต้นเอาไว้กับคนแปลกหน้า ถึงช่วงแรกที่ตอนต้นไม่เห็นคุณพ่อก็ยังไม่เป็นไรยังคงเล่นของเล่นที่กองอยู่ที่พื้น แต่คนแปลกหน้าที่อยู่ในห้องด้วย ทำท่าจะมาเล่นด้วยก็ร้องไห้จ๊าออกมา ตอนที่ผมยืนดูอยู่ข้างนอกก็คิดว่า ผลออกมาน่าจะดี เป็นเด็กไม่ขี้แย เลี้ยงง่าย แต่ปรากฎ ผลพลิก! คุณหมอบอกผลสรุปว่า ตอนต้นอยู่คนเดียวมากเกินไป หมายถึง อาจไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคุณพ่อมากนัก ซึ่งปกติเด็กวัยนี้ ทันทีที่ไม่เห็นพ่อแม่อยู่ด้วยจะร้องออกมาทันที แต่ตอนต้นไม่ได้เป็นอย่างนั้น แสดงให้เห็นว่าเขาชินแล้ว ซึ่งหากเป็นอย่างนี้ต่อไปในอนาคต อาจจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างลูกชายกับคุณพ่อ โตไปในอนาคต ตอนต้นก็อาจจะเป็นเด็กที่เก็บความรู้สึกเอาไว้คนเดียว ไม่มีความรู้สึกว่าพ่อจะช่วยแก้ปัญหาใดๆ ได้ในอนาคต
ฟังแล้วมันเป็นเรื่องใหญ่ใช่ไหมละ! นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมตอนนี้ผมถึงมายืนอยู่ที่นี่อีกครั้งนึง!
ผมเดินเข้าไปในตึกสำนักพิมพ์ที่ทำงานของพี่ตุลย์ที่เมื่อวานผมก็มา พร้อมกับความหล่อเหมือนเดิม ตอนต้นเหมือนเดิมกระเป๋าเป้เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเสื้อผ้าชุดใหม่และต่างหูวงกลมสีดำอันใหญ่แบบโคตรแบดแทนที่อันสามเหลี่ยมซื้อมาตอนขากลับไปคอนโดเมื่อวาน ผมเดินวางมาดย่างหนอย่างหนออย่างเชื่องช้า เพื่อให้ผู้หญิงในระแวกนั้นได้ยลของดีอย่างผม เล่นหูเล่นตาบ้างพอให้หัวใจกระชุ่มกระชวย ไม่ลืมที่จะหันไปหาพี่สาวคนสวย ‘พลอยไพลิน’ ที่ดูตกใจที่เห็นผมมาที่นี่อีกครั้ง
ผมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปหาเธอ
“หวัดดีครับ ทำงานเหนื่อยเปล่า~”
“...” อีกฝ่ายเมิน ไม่ตอบคำถามผม แต่ผมไม่แคร์~ คนอย่างเอสพูดคนเดียวเป็นชั่วโมงๆ ได้ไม่อยากจะบอก สกิลสูงมาก
“ไม่อยากคุยก็ไม่เป็นไรครับ งั้นผมขอตัวไปหาพี่ตุลย์ก่อนนะ ว่าไปพี่สาวก็น่าสงสารนะครับโดนขังอยู่ในคอก ไม่ใช่ๆ อยู่แต่ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ ไปหาพี่ตุลย์ก็ไม่ได้ งั้นไม่เป็นไรนะครับ เดี๋ยวผมไปหาให้เอง มีขนมเขนิมอะไรจะฝากไปไหมครับ? ผมจะได้เอาไปกินระหว่างทางตอนขึ้นลิฟท์ไปหาพี่ตุลย์” สิ้นคำพูด ดวงตากลมโตที่วันนี้ก็แต่งมาอย่างดีตวัดมองผมอย่างอาฆาต จนผมต้องแสร้งยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้อย่างกวนๆ “โอ๊ะๆ ผมไปดีกว่า” ผมส่งจูบให้หนึ่งทีก่อนจะเดินเลี่ยงตรงมายังลิฟท์
หลังจากออกจากลิฟท์ก็ตรงไปทางซ้ายมือ ไปยังห้องกระจกใสขนาดใหญ่ที่มีป้าย ‘Sales Department’ อยู่เหนือประตู คราวนี้ผมมาโดยไม่ได้บอกเลยไม่รู้ว่าคอกทำงานอันไหนที่เป็นที่ทำงานของพี่ตุลย์ เลยทำได้เพียงยกตอนต้นขึ้นนั่งบนหัวให้ช่วยหาคุณพ่อจากมุมสูงแทน
“อ้าว หนู มาหาใครหรอ?” ในขณะที่ผมกำลังสอดส่ายสายตาอยู่ ก็มีพนักงานที่ค่อนข้างมีอายุเปิดประตูผัวะออกมาถามผม
“เอ่อ...คือ ผมมาหาคนชื่อตุลย์น่ะครับ”
“อ๋อ ตุลามีคนมาหา” คนที่นั่งทำงานอยู่ด้านในคนหนึ่งโผล่หัวขึ้นมาจนพ้นที่กั้นโต๊ะทำงาน ทันทีที่พี่ตุลย์เห็นว่าเป็นผมกับตอนต้นก็รีบพุ่งออกมาจากห้องจนขาแทบพลิก
“มาทำไม!” เสียงดุๆ มาพร้อมกับสายตาโหดๆ
“พาลูกมาหา” ยกตอนต้นให้ดูด้วยนะ
“เอามาทำไม! บอกแล้วใช่ไหมว่าฉันทำงะ...”
“นี่ลูกตุลาหรอ?”
“ครับ” ผมตอบผู้ชายที่ช่วยเรียกพี่ตุลย์ อีกฝ่ายดูตื่นตาตื่นใจขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของตอนต้นชัดๆ รอยยิ้มกว้างกับเสียงหัวเราะดังแผ่วเบาเหมือนกับคุณตาเวลาได้เห็นหน้าหลาน เขาอุ้มตอนต้นออกไปอ้อมกอดผมทันทีก่อนจะวิ่งโร่กลับเข้าไปในห้องของฝ่ายขาย
“ดูนี่! ลูกตุลาเว๊ยเฮ้ย!”
เท่านั้นแหละทุกคนที่อยู่ในห้องก็กลายเป็นผึ้งที่ถูกตีรังลุกหือออกจากโต๊ะทำงานเดินกรู่กันเข้าไปหาตอนต้นที่ถูกคุณลุงนั่นพาตัวไป
“เดี๋ยวหัวหน้า!” พี่ตุลย์ร้องลั่นรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องทำงานทิ้งผมที่ยังยืนอึ้งแดกอยู่ข้างนอก แต่พอตั้งสติได้ก็รีบเข้าไปในห้องฝ่ายขายที่ตอนนี้วุ่นวายเพราะไอ้เด็กอ้วนไปแล้ว!
“กรี๊ดดด ตุลย์! ลูกน่ารักจังเลยอะ อ้วนจ้ำม้ำ น่ารักที่สุด ทำไมไม่พามาที่ทำงานบ้างหะ” พนักงานสาวคนหนึ่งทันทีที่เห็นพี่ตุลย์ฝ่าฝูงชนจะไปเอาลูกคืนก็มาร้องหวีดว๊ายด้วยความปลื้มปิติทันที
“คือว่า...”
“ลูกตุลย์น่ารักมากกก ผิวลื่นมากเลย นิ่มนุ่มไปหมด ขนาดมีคนเข้าไปรุมขนาดนี้ก็ไม่ตกใจไม่งอแงเลย ยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากตลอด” พนักงานผู้หญิงอีกคนที่ค่อนข้างมีอายุหันมากรี๊ดกร๊าดกับพี่ตุลย์บ้าง
“เอ๋? จับตัวแล้วลูกผมไม่ร้องหรอครับ?”
“ก็ไม่ร้องเลยนะ”
พี่ตุลย์ละสายตาจากพนักงานคนนั้นหันมองลูกชายตนเองที่ยังโดนคนที่ตนเรียกว่า ‘หัวหน้า’ อุ้มไว้อยู่ โดยมีเพื่อนร่วมงานรุมล้อมจนแทบจะมองไม่เห็น ก่อนจะเดินถอยหลังห่างออกมาจนยืนข้างผมในที่สุด
“เห็นม๊า พาตอนต้นมาที่ทำงานด้วยมันไม่ได้เรื่องเยอะอย่างที่พี่คิดหรอก พวกเขาชอบตอนต้นกันออก เขาไม่ว่างมาช่วยดูตอนต้นตอนพี่ออกพี่ข้างนอกอะหรอ? ผมว่าเขาพร้อมจะโดดงานมาเล่นกับตอนต้นให้พี่เลยมากกว่า”
“อื้ม แต่ว่า...ทำไมตอนต้นถึงไม่ร้องเลยนะ โดนผู้หญิงจับตัวแท้ๆ”
“ผมว่าเพราะนั่นหรือเปล่า ก็หัวหน้าของพี่อุ้มไอ้เด็กอ้วนนั้นไว้ไง อาจจะแบบอยู่ในมือผู้ชายอยู่ก็เลยรู้สึกปลอดภัยอะไรเงี่ย พอพูดแล้ว ก็นึกได้ เท่าที่ผมเห็นนะตอนที่ตอนต้นร้องไห้เพราะโดนผู้หญิงจับตัวก็ตอนที่นั่งอยู่คนเดียวทั้งนั้นเลยนะ”
“อื้ม...”
“พี่เคยอุ้มตอนต้นออกข้างนอก แล้วมีผู้หญิงมาเล่นด้วยไหมละ?”
“ฉันไม่ค่อยได้พาตอนต้นออกจากบ้านหรอก”
“หา?” ผมร้องเสียงสูง
“ก็ฉันไม่ว่างต้องทำงาน”
“อย่ามาอ้าง พ่อผมก็เลี้ยงผมไปด้วย ทำงานไปด้วยยังทำได้เลย” พี่ตุลย์หัวเราะเสียงเบาเล็กน้อยก่อนที่เราทั้งคู่จะมองไปยังภาพตรงหน้า ถึงแม้จะมีคนบางส่วนกลับไปทำงานแล้ว แต่ก็ยังร้องเรียก โบกขนมหยอกล้อกับตอนต้นไม่ขาดสาย ส่วนคนที่พาตอนต้นไปดูเหมือนว่าจะหลงรักเด็กอ้วนนั่นหนักสุด ใครขออุ้มบ้างก็ไม่ยอม หานู่นหานี่มาให้อย่างดี แทบจะดีกว่าคนเป็นพ่อแล้วเนี่ย “งั้นพี่ก็ดูตอนต้นไปนะ ผมจะไปที่อื่น”
“เฮ้ย ไปไหน?” พี่ตุลย์คว้าข้อมือผมที่กำลังตั้งท่าออกจากห้องทำงานขนาดใหญ่นี่ไป
“ไปห้างฯ ดิ ผมจะเข้ามหา’ลัยไม่กี่วันนี้แล้วนะ เสื้อผ้ายังไม่ได้ซื้อเลย”
“อ๋อ” พี่ตุลย์ตอบรับเสียงเบาก่อนจะคลายมือที่คว้าผมเอาไว้ออก
“ทำแต่งานอะ ทำตัวเป็นพ่อบ้างเหอะ ตอนเที่ยงก็นั่งป้อนข้าวตอนต้นซะ มัวแต่ให้ป้าสร้อยทำ ป่านนี้ป้อนข้าวลูกไม่เป็นแล้วเนี่ย ส่วนผมจะกลับมาประมาณบ่ายๆ แล้วกัน ไปละ บาย” พูดเสร็จก็ไม่ทิ้งระยะให้พี่ตุลย์ตั้งตัว ถอดกระเป๋าเป้ที่สายอยู่ข้างหลังยื่นให้คนเป็นพ่อแล้ววิ่งปรู๊ดปร๊าดออกจากสำนักพิมพ์นี้ไปทันที
ในระหว่างที่พี่ตุลย์ทำหน้าที่ของตัวเอง ผมก็ขอทำหน้าที่ของตัวเองบ้างก็แล้วกัน
หลังจากที่ซื้อของเตรียมตัวกับการเป็นเด็กมหา’ลัย จนกระเป๋าตังที่เดิมทีก็เบาอยู่แล้วก็ยิ่งเบาลงไปอีก ผมก็กลับมาที่สำนักพิมพ์ตามเดิม ตอนแรกก็ว่าจะกลับบ้านเลยดีไหม ให้พ่อลูกสองคนได้เขาอยู่ดูแลกัน แต่บังเอิญ วิถีคนจนครับ เกาะพี่ตุลย์กลับด้วยแล้วกัน อิอิ
อ้ายคนจน จำต้องทนปั่นรถถีบ~ จะไปจีบอีน้องคนงะ...
เฮ้ย นั่นพี่ตุลย์กับเจ๊พลอยไพลิน!
ผมที่กำลังเดินขึ้นลิฟท์ ชะงักเท้าที่กำลังก้าวเมื่อเห็นว่าแบล็คแคนยอนที่ตั้งอยู่ห่างออกไปมีร่างของใครสองคนที่ผมคุ้นตานั่งอยู่ด้วยกัน ผมนี่ถลกแขนเสื้อขึ้นเลย เดินอาดๆ ตั้งท่าจะไปทำหน้าที่ของตัวอิจฉาสักหน่อย แต่ก่อนที่ผมจะได้ก้าวไปถึง กลับเห็นภาพตรงหน้าชึ้นมาชัดเจนเสียก่อน
“หื้ม~” ผมยิ้มกระย่องในใจ ก่อนจะค่อยๆ ยืนกอดอก
ภาพตรงหน้าผมเป็นภาพที่พี่ตุลย์กำลังป้อนข้าว ป้อนน้ำ เล่นกับตอนต้นที่พี่เขาเอามานั่งอยู่บนตัก ไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย ไม่สนใจจริงๆ นะ นี่ผมยืนมองดูอยู่สักพักแล้ว เจ๊พลอยไพลินพูดอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว แต่พี่ตุลย์แม่งไม่ตอบเลยอะ ฮ่าๆๆๆๆ โคตรจี้ เออ ฮาดีว่ะ
ผมหัวเราะก๊ากจนคนที่เดินสวนต้องเลี้ยงหลังหันมามอง หัวเราะจนปวดท้องก่อนจะสูดอากาศลึกๆ ระงับอารมณ์ เดินฮัมเพลงอารมณ์ดีเข้าไปในร้าน หยิบช้อนตักอาหารในจานของพี่ตุลย์ขึ้นจ่อปากคนที่เอาแต่สนใจลูกของตัวเองแม้กระทั้งตอนที่อ้าปากงับที่ผมป้อน จนตอนที่กลืนลงไปแล้วนั้นแหละ ก็เหมือนกับจะเพิ่งรู้สึกตัวแล้วเงยหน้ามองมาที่ผม
“ไหนบอกกลับมาตอนบ่าย?”
“ก็ซื้อของเสร็จแล้ว ก็เลยกลับมาไวไง”
“แล้วกินอะไรหรือยัง?”
“กินแล้ว ฮี่ๆ พี่กินเสร็จยังอะ จะได้ขึ้นไปข้างบนด้วยกัน”
“กินเสร็จแล้ว...งั้นผมไปก่อนนะลิน” ประโยคท้ายหันบอกกับพี่สาวคนสวยที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
“อะ โอเค งั้นเดี๋ยวตอน...”
“พี่ ตอนต้นต้องไปเข้าห้องน้ำด้วยไหมอะ หลังกินข้าว เมื่อวานผมเห็นป้าสร้อยพาไปเข้าห้องน้ำด้วยนะ” ผมพูดแทรก
“งั้นเดี๋ยวเข้าห้องน้ำก่อน แล้วค่อยขึ้นข้างบน”
“โอเคครับ!~” ผมรุนหลังพี่ตุลย์ให้เดินนำหน้า เหลียวหันมองเจ๊พลอยไพลินที่ถูกทิ้งไว้ให้นั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางเหมือนกำลังหงุดหงิดปนมึนงงที่ผมมาเร็วเคลมเร็ว แต่พอผมยักคิ้วให้ห้าทีแบบรัวๆ ก็ตู๊ม! กลายเป็นโกโก้ครั๊น
บอกแล้วไง ผมมันอุปสรรคโคตรใหญ่อยู่แล้ว อิอิ
“เออๆ พี่ตุลย์”
“หื้ม?”
“ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ตอนที่ผมมาหาพี่อะ พี่ลินฝากมาบอกด้วยแหละว่า
เย็นนี้เขาไม่ไปคอนโดพี่นะ”
"เอส ไหนบอกว่า ลินติดธุระไม่กลับด้วยไง ไหงเขาถึงทั้งโทรทั้งไลน์ตามขนาดนี้"
“แอ๊ก! เจ็บๆๆๆ อย่าเอาจริงขนาดนั้นเด๊ะ เดี๋ยวแขนหักจริงทำไง!” ผมร้องโวยวายขึ้นเมื่อที่หนึ่งใช้ท่า Cross Armbreaker ที่เลียนแบบจากมวยปล้ำที่เพิ่งดูด้วยกันตอนช่วงหัวค่ำมาเล่นกับผม ที่จริงมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากเพราะท่ามันยังไม่ถูกซะทีเดียว แถมตัวยังกระเปี๊ยก แต่เอาจริงก็คงทำให้ไหล่เคล็ดได้อยู่
“เอส อย่ามาทำเลี่ยงไม่ตอบ”
แม่ง รู้อีก
ผมกรอกตาไปมาเล็กน้อย พลิกตัวนอนแผ่หลาทับที่หนึ่งก่อนจะลงมือจี้เอวจนไอ้เด็กนั่นหัวเราะก๊ากดิ้นตกโซฟาไปเป็นการจบสงครามในที่สุด
“ก็ผมได้ยินอย่างนั้นจริงๆ นะ พี่เขาบอกว่า ‘เอส เย็นนี้พี่ไม่ไปคอนโดนะ’ นะว่างี้”
“แน่ใจนะว่าเขาพูดงี้” พี่ตุลย์ที่นั่งพิมพ์งานอยู่ในครัวขมวดคิ้ว หรี่ตามองผม
“สงสัยหูเพี้ยนแน่เลย พอดียังไม่ได้แคะขี้หูอะ อาจจะพูดว่า ‘เอส เย็นนี้พี่ไปคอนโดนะ’ ละมั้ง งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปขอโทษพี่สาวเขาเองครับบ~” ผมยิ้มแฉ่ง แบบไร้ซึ่งความรู้สึกผิดสุดๆ ก่อนจะลุกเดินไปหาเจ้าของบ้าน เท้าแขนกับโต๊ะมองหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่กำลังขึ้นหน้าต่างเฟสบุ๊ค กับป็อปอัพหน้าต่างไลน์ของเจ๊พลอยไพลิน
“พรุ่งนี้จะไปที่ทำงานฉันอีกแล้วหรอไง?”
“ช่าย~” ผมเนียนปิดหน้าต่างไลน์ “อะ พี่ดูนี่ดิ ควิกเด็กดี ‘มาเช็คความรู้สึกของคุณกันเถอะ’ อ่า...คุณเคยรู้สึกแน่นหน้าอก เหมือนหัวใจเต้นเร็วบ้างไหม? อื้มมมมม” ผมทวนคำถามเสียงเบาก่อนจะกดคำตอบคำถามประมาณสิบข้อไปเรื่อยๆ
“ทำตัวแปลกๆ”
“...” ผมกดส่งคำตอบ
“มีอะไรกันแน่? คราวที่แล้วก็ไม่ยอมบอก”
ผมหันหน้าจอโน๊ตบุ๊คให้เจ้าของดูพร้อมกับหัวเราะลั่นกับคำตอบที่ผมได้รับ
“ตอนที่ทำควิก ผมคิดถึงพี่อะ ควิกนี้บอกว่า
ผมกำลังตกหลุมรัก แล้วก็ แล้วก็บอกว่า ‘ถ้าคนๆ นี้เป็นคุณที่ไม่อยากรัก ให้รีบออกมาห่างเขาซะ เพราะถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป เธอต้องตกหลุมรักเขาถอนตัวไม่ขึ้นแน่เลย!’ ควิกนี้ตลกดี นี่ถ้าพี่เป็นผู้หญิงคงเชื่อไปแล้วนะเนี่ย แต่พี่ดันเป็นผู้ชายเนี่ยดิ รู้เลยว่าควิกนี้มัวแน่นอน”
ผมทรุดตัวนั่งลงกับเก้าอี้ข้างๆ ยังหัวเราะค้างอยู่ จนกระทั้งรู้ถึงสายตาของพี่ตุลย์ที่มองมาทำให้เสียงหัวเราะของผมค่อยๆ กลืนหายเข้าไปในลำคอ
ระ รอยยิ้มนั่นอีกแล้ว
รอยยิ้มขี้เล่นอันเดียวกับที่ผมเห็นเมื่อตอนที่เผลอหลุดปากไปว่า ‘ให้ผมเป็นแฟนพี่สิ’ ตอนนั้น
รู้สึกไม่ปลอดภัย ว่าแล้วก็ลุกไปเล่นกับที่หนึ่ง...
หมับ!
“แย๊กกก!” ผมหันขวับมองข้อมือตัวเองที่โดนไอ้พี่ตุลย์คว้าเอาไว้ทันที “จับทำไมมม จะไปเล่นกับที่หนึ่ง”
“ก่อนหน้านี้ฉันก็เล่นควิกนี้แล้วนะรู้ปะ”
“ไม่ได้อยากรู้เลยครับ ออกสอบรึก็เปล่า” ผมผิวปากแสดงท่าทางชัดเจนสุดๆ อะ ว่าไม่รู้ และไม่อยากรู้ อยากจะสะบัดข้อมือให้หลุดจากการเกาะกุม แต่ถ้าสะบัดแรงกว่านี้ นอกจากหลุดแล้วมือได้ม้วนตัวกลับมาฟาดหน้าผมด้วยแหงๆ
“ก็แค่จะทำดูเล่นๆ แต่พออ่านคำถามแล้วก็นึกถึงนายขึ้นมาซะงั้น แล้วรู้ปะ ฉันได้อะไร?”
“นี่เพิ่งบอกไปเมื่อสามบรรทัดก่อนหน้านี้ว่าไม่อยากรู้คร๊าบบบ ถ้ารู้แล้วได้เงินสักพักจะยอมฟังก็ได้นะเอ้า” สิ้นคำพูดผม ไอ้พี่ตุลย์ก็หัวเราะทันที ท่าทางอารมณ์ดี ที่ผมไม่ได้เห็นบ่อยนัก ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ จนทำตัวไม่ถูก อยากจะวิ่งทะลุกำแพงร่วงลงไปชั้นล่างให้รู้แล้วรู้รอด
“ฉันก็ได้
‘กำลังตกหลุมรัก’ เหมือนกันนะ”
“ฮ่ะๆ” ผมหัวเราะเสียงแห้ง “ผมบอกแล้วไงว่าควิกมันมั่วๆ พี่ก็อย่าไปเชื่ออะไรมากเลย”
“ยังไม่ได้บอกว่าเชื่อเลย ก็แค่บอกว่าฉันเล่นแล้วได้อะไรก็แค่นั้นเฉยๆ”
นะจุดๆ นี้ เกลียดไอ้พี่ตุลย์
ผมแงะเลยครับ แงะ ถ้าใช่มือแล้วแกะมือไอ้พี่ตุลย์ไม่ออกผมจะใช่ปากกัดและจริงๆ แต่บังเอิญว่าไอ้พี่ตุลย์คลายมือแล้วแค่แกะก็ออกมาอย่างง่ายดาย
“ผมไปหาป้าสร้อยละ” ผมพูดเสียงห้วน เดินดุ่มๆ ตรงไปยังประตูห้อง
“ไปทำไม?”
“ไปเดท” ผมว่าพร้อมกับเปิดประตูออกไป แต่ก่อนจะปิดประตูลงผมดันได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของพี่ตุลย์ดังตามออกมาด้วย
หึ่ย! ที่จริงผมนัดกับป้าสร้อยทำอาหารด้วยกันตอนเช้าพรุ่งนี้ต่างหาก แต่ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้พี่ตุลย์แหละที่พาผมเข้าโหมดแปลกๆ ผมก็ไม่ต้องรีบมาหลบภัยข้างนอกแบบนี้ เพราะไอ้ควิกบ้านั่นด้วย
ตกหลุมรัก...งั้นหรอ?
...
แม่งเอ๊ยยย ตอนแรกก็ไม่มีความคิดนี้หรอก แต่พอมีเท่านั้นแหละ ก็มีความคิดนี้เลย ถึงกับต้องขออุทาน
ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย
50%งื้ออออ นี่นั่งแต่งตั้งแต่บ่ายสอง ไม่คิดเลยว่าจริงๆ แล้วฟิลลิ่งไอ้เอสมันยากกว่าที่คิด แง๊ววว
อีกครึ่งนึงเจอกันพรุ่งนะครัช
ขอสอบถามเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกในการหันมาจับนิยายวายแทนแฟนฟิค แล้วก็เป็นครั้งแรกที่โพสนิยายลงเล้าเป็ดแทนเด็กดี
อยากสอบถามว่า เอิ่มมม ถ้าเรื่องนี้จะทำเป็นหนังสือ คิดว่าไงคะ?