ตอนที่ 23
สวัสดีครับ เรามาเจอกับเอสหอมจอมซนอีกแล้ว อันดับแรกผมประกาศก่อน ผม...เป็นเด็กมหา’ลัย เต็มตัวแล้วเฟ้ยยยย! เมื่อวานผมได้ใส่ชุดนักศึกษาครั้งแรกไปเข้ามหา’ลัยมาแล้ว ปริ่มมาก จนแทบจะจุดธูปเรียกผีพ่อผีแม่มาหาที่มหา’ลัยกันเลย แต่ว่าได้ยินเรื่องผีๆ จากพวกรุ่นพี่สักก่อน ผมไม่อยากเอาผีพ่อผีแม่มาเป็นเอฟเฟ็คประกอบฉาก ก็เลยยังไม่จุดธูปเรียกที
แต่เข้ามหา’ลัยก็ไม่ค่อยแตกต่างจากเดิมตรงไหนหรอกครับ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยู่ในช่วงรับน้องไปอีกสักพัก แถมที่อยู่ผมก็ต้องยังอยู่กับพี่ตุลย์ไปอีกกว่าจะจบเทอมแรก แล้วก็ย้ายไปอยู่กับ แชงคูสหัวแดงตอนเทอมสอง สรุปก็คือแค่เปลี่ยนจากไปทำงานก็ไปเป็นมหา’ลัยแทน กิจกรรมจบก็กลับบ้านพี่ตุลย์ มาอยู่กับที่หนึ่งกับตอนต้นอยู่ดี
พูดถึงพี่ตุลย์...อ๊ากกกกกกกกกกกกก แม้จะผ่านเกือบอาทิตย์แล้วแต่พอนึกถึงฉากนั้นก็อยากจะเอาหัวยัดลงไปในไหแล้วไม่ต้องโผล่หน้าขึ้นมาอีก! มันเสียเชิงชายของนายเอสยิ่งนัก! ผมขอเล่าย้อนความ หลังจากโดนพี่ตุลย์ จู...เอ่อ เออ! โดนจูบนั่นแหละ! วันต่อมาผมก็รีบปรี่ไปหาไอ้ปันเลยนะ
‘อ๋อ ผู้หญิงคนนั้นจูบมึงหรอ? เออๆ แป๊บนะ กูเล่นเกมอยู่ด้วยว่ะ...กูกำลังจะตายแล้ว! สัส ตายเลย! ถึงไหนแล้วนะ เออ มีอยู่สองกรณี ไม่เขาชอบมึง ก็เป็นคนขี้เล่นมากจนจูบใครก็ได้ กูไม่รู้ว่ะ ไม่ได้เป็นผู้ฆญิงคนนั้น’ ไอ้ห่านี่ สนใจเรื่องของผมมากอ่ะ
พอไปคุยกับไอ้ปันเสร็จ ผมก็กลับมาคิดแหละ ว่าถึงพี่ตุลย์จะไม่ใช่พวกขี้เล่นติดออกจะเป็นคนจริงจังด้วยซ้ำ แต่พี่เขาอาจจะเป็นจำพวกแบบไม่ซีเรียสเรื่องจูบ กอดไรงี้ก็ได้นะ ผมก็เลยว่าจะโยนเรื่องนี้ออกจากสมอง
แต่พอกลับห้องเท่านั้นแหละ!
รู้เลยว่าประเด็นไม่ได้อยู่ที่พี่ตุลย์ซีเรียสหรือเปล่า แต่ประเด็นคือผมซีเรียส!
คิดดูนะ เป็นบ้าปะ ตั้งแต่วันนั้น พี่ตุลย์พูดอะไรผมก็เผลอจ้องปากพี่แกตลอด เลยต้องก้มหน้าคุย มองนก มองฟ้า มองดินไปเรื่อย หนักสุดคือเผลอเสริชหาข้อมูลเกี่ยวกับเกย์เลยด้วยซ้ำ แต่พอรู้ตัวผมก็รีบปิดมันอย่างไวแล้วไม่เคยกดเข้าไปดูอะไรพวกนั้นอีก
ผมไม่ได้เป็นเกย์นะ...
สุดท้ายตลอดสี่วันก่อนเข้ามหา’ลัยผมเลยพยายามไม่ข้องแวะอะไรกับพี่ตุลย์เกินเหตุ ไปที่ทำงานของพี่ตุลย์อีก ระวังคำพูดทุกอย่าง ปิดทุกช่องทางที่พี่ตุลย์จะหาเรื่องมาแกล้งผมทุกกรณี
ผมแม่งโคตรกระวนกระวายเลยว่ะ ไม่เหมือนอีกคนที่ทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่าง เคยขมวดคิ้วใส่ผมยังไง เคยทำหน้าตาใส่ผมยังไงก็ทำเหมือนเดิมหมด
ที่จริงมันก็ดีใช่ไหมครับ? ที่พี่ตุลย์ไม่ทำตัวแปลกไป ใช่ ก็ดีแล้วไง เป็นเหมือนเดิมแบบที่ผมต้องการ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเกลียดฉิบ
เป็นคนทำให้ผมรู้สึกแท้ๆ แต่ตัวเองกลับยังไม่รู้สึกอะไรเลย...
“ที่หนึ่งไปอาบน้ำไปลูกไป อาบน้ำดึกกว่านี้เดี๋ยวเป็นหวัดนะ” พี่ตุลย์ที่กำลังเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำบอกกับลูกชายคนโตที่นั่งเล่นเกมเพลย์ทูกับผมอยู่หน้าทีวี
“เดี๋ยวอาบครับ รอผ่านด่านนี้ก่อน!”
“เลือดแดงขนาดนั้นแล้วเนี่ย ไม่ผ่านหรอก”
“ถ้าผ่านด่านนี้ไปได้ เลือดที่หนึ่งก็ขึ้นแล้ว!”
“นี่เรายังไม่เจอบอสเลย ไม่รอดแหงะแซะ สงสัยจะเหลือพี่สู้อยู่คนเดียวแล้วมั้ง” ผมหัวเราะเสียงเหี้ยมพลางกดรัวจอยสติ๊กจนนิ้วแทบล็อค ถึงจะมีตอนต้นคลานขึ้นมานั่งเล่นอยู่บนตักด้วยแต่ก็หาใช่เป็นอุปสรรคของเซียนเกมเอสหรอกจะบอกให้~
“ผ่านประตูนี้ไป ก็เจอบอสแล้ว!”
“ในห้องนั้นพวกซอมบี้โคตรเยอะ พี่ว่าที่หนึ่งนอนตายอยู่ห้องนั้นแหละ”
“งั้นมาดูเลย!”
เราสองคนกดจอยสติ้กยิงปืนกราดใส่ซอมบี้ที่พุ่งเข้ามาทำร้าย โดยมีเสียงซาวของผมกับที่หนึ่งคอยดังทำหน้าที่แทนเกมไม่หยุดปากจนในที่สุด!
ที่หนึ่งตายอยู่ที่ครับ อิอิ
“ว๊าาา ไก่อ่อนตายซะแล้ว เหลือเจ้าป่าอย่างท่านเอสผู้นี้ไปสู้กับบอสเพียงลำพัง~” ผมยักคิ้ว
“งั้นมาเล่นอีกรอบเลย! แก้มือ”
“ได้อยู่แล้ว งั้นมาเริ่ม...”
“ไม่ได้หรอก” ผู้เป็นเจ้าของห้องหิ้วปีกของที่หนึ่งให้ลุกขึ้นจากหน้าทีวี “สัญญากับพ่อว่าจบด่านนี้จะไปอาบน้ำใช่ไหม? ถ้างั้นลูกก็ต้องไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยกลับมาเล่น”
“ถ้างั้นอันธพาลรอก่อนนะ เดี๋ยวที่หนึ่งจะกลับมาเล่นใหม่!” ที่หนึ่งพูดเสร็จก็วิ่งปรู๊ดปร๊าดหยิบผ้าขนหนูแล้ววิ่งไปห้องน้ำ ทิ้งให้บริเวณห้องรับแขกเหลือเพียงผมที่นั่งโหลดเริ่มเกมใหม่อยู่หน้าทีวีโดยมีตอนต้นนั่งอยู่บนตัก กับพี่ตุลย์ที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“ฉันขอเล่นสักตาได้ไหม?”
“ไม่ได้หรอก ผมจะเล่นกับที่หนึ่ง เดี๋ยวที่หนึ่งก็อาบน้ำเสร็จแล้ว” ผมบอกกับคนที่กำลังทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ผมแทนที่ที่หนึ่ง
“ฉันเล่นเกมพวกนี้ไม่เก่งหรอก คงตายก่อนที่ที่หนึ่งอาบน้ำเสร็จอยู่แล้ว”
“...ก็ตามใจ งั้นเดี๋ยวผมตั้งค่าให้เล่นคนเดียว”
“นายก็เล่นด้วยกันสิ”
“ไม่เอาอะ ผมขี้เกียจแล้ว”
“ขี้เกียจแต่รอเล่นกับที่หนึ่งเนี่ยนะ?”
“...” ผมเงียบ ไม่มีอะไรจะตอบหรือแย้งอีกฝ่ายทั้งนั้น สิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดคือลุกออกห่างจากพี่ตุลย์ต่างหาก
มันไม่ปลอดภัย...
“แค่ด้วยกันด่านเดียวก็ไม่ได้หรอ?”
ทำไมต้องพูดแบบนี้ด้วยวะ
“เฮ้อ...แค่ด่านเดียวนะ”
สุดท้ายก็กลายเป็นว่าผมกับพี่ตุลย์ก็เล่นเกมด้วยกัน แต่เป็นการเล่นเกมที่อึดอัดที่สุดที่ผมเคยมีมา มีแต่เสียงเอฟเฟ็คจากตัวเกม แต่ไม่มีเสียงการพูดกันระหว่างเรา หรือเสียงโวยวายใดๆ ทั้งสิ้นจากผม มันเงียบจนรู้สึกใจไม่ดีแทบจะทนไม่ไหวอยากไปดึงปลั๊กออกแล้วลุกเข้าห้องนอนไปเสียดื้อๆ
“นายโกรธอะไรฉันอยู่?” แต่อยู่ดีๆ เสียงทุ้มของพี่ตุลย์ก็ดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
“ไม่นี่ ผมไม่ได้โกรธอะไรพี่สักหน่อย” ผมตอบ ก่อนที่เราทั้งสองจะเงียบลงไปอีกครั้ง มีเพียงนิ้วมือของแต่ละฝ่ายที่ยังขยับกดบังคับตัวละครในเกมไปมา
“หรอ”
ผมเกลียดบรรยากาศแบบนี้ฉิบ
“แล้ว...ทำไมพี่คิดอย่างนั้นละ?”
“ก็แค่รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น”
ผมหัวเราะเสียงแห้ง “พี่คิดไปเองแล้วแหละถ้างั้นอะ”
“งั้นนายรู้ตัวบ้างไหม?ว่านาย...กำลังคุยกับฉันน้อยลง”
“ไม่นะ ก็เหมือนเดิมแหละครับ”
“ลองคิดดีๆ
ผมเม้มปาก ผมรู้ตัวดีว่าผมคุยกับพี่ตุลย์น้อยลง ใช่สิ! ก็ผมต้องระวังคำพูดของตัวเองให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้พี่ตุลย์แกล้งผมได้อีก เพื่อไม่ให้พี่ตุลย์มาแหย่ผมได้ไง!
“ก็...ก็ คงยุ่งอยู่กับมหา’ลัยแหละครับ ไม่มีอะไรหรอก กังวลเรื่องมหา’ลัยอยู่อะไรอย่างนั้นก็เลยไม่ได้กวนประสาทพี่เท่าไหร่ไง”
“แล้วเรื่องมหา’ลัย ฉันกับนายตกลงกันแล้วไม่ใช่หรอ ว่าเดี๋ยวตอนเช้าฉันจะเป็นคนไปส่ง ถ้าเลิกเย็นให้โทรมาบอก จะได้ไปรับกลับด้วย แล้วทำไมถึงไปเองกลับเอง”
“ผมก็แค่ไม่อยากรบกวนพี่มากไง แค่นี้ผมเป็นภาระให้พี่ไม่พออีกหรอ? มหา’ลัยผมนั่งรถเมล์ก็ถึงแล้ว อีกอย่างคนก็ไม่ได้เยอะเหมือนตอนนู้นไม่ต้องเอารถพี่ไปหรอกหน่า”
รู้สึกโชคดีชะมัดที่ตอนนี้ผมกำลังเล่นเกมอยู่ ไม่งั้นมือของคนโกหกอย่างผมที่ขยับยุกยิกอยู่ตลอดเวลาคงไม่รู้เอาไปไว้ไหนเลย
“นายไม่มาที่ทำงานฉันเลยนะ”
“ก็พี่บอกเองว่าไม่ให้มา ไม่ให้พาตอนต้นมา พี่ต้องการอะไรจากผมหะ?” ผมกระชากห้วนๆ ด้วยความหงุดหงิด ความว้าวุ่นในใจที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาด้วยเหตุผลที่ผมเองก็ไม่รู้ ทำให้การเล่นเกมของผมเริ่มไม่รู้เรื่องจนเผลอโดนโจมตีเลือดลดลงไปอย่างรวดเร็ว!
“ใช่ฉันบอก แต่นายก็ยังดื้อพาตอนต้นมาไม่ใช่หรอ?”
“แล้วมันจะแปลกมากหรอ ที่ผมเป็นเด็กดีเชื่อฟัง ไม่ไปที่ทำงานพี่อีกน่ะ! พี่จะมาตื้อถามอะไรไร้สาระทำไม!” ผมเผลอตวาดเสียงดัง ก่อนจะรู้สึกตัวถึงการกระทำแย่ๆ เหมือนเห็นสีหน้าของพี่ตุลย์ที่มีต่อการกระทำของผม “โทษที ผม...”
“ที่ฉันมาถาม ก็เพราะว่าฉันอยากให้เราอยู่ด้วยกันอย่างสบายใจ นายโกรธอะไร ไม่พอใจอะไร ฉันก็แค่อยากให้นายบอกออกมาตรงๆ แต่ถ้ามันทำให้นายรำคาญก็ขอโทษด้วยแล้วกัน” พี่ตุลย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งจนน่าใจหาย เขาตั้งท่าจะลุกขึ้นไป แต่อะไรบางอย่างก็ทำให้ผมรีบคว้าข้อมือของพี่ตุลย์เอาไว้แล้วดึงเขาให้กลับมานั่งลงที่เดิม!
อะไรบางอย่าง ที่เป็นความรู้สึกว่า...ถ้าผมไม่รั้งเขาไว้ ไม่ว่าในฐานะใด เขาจะไม่สนใจผมอีกเลย
“ผม...”
“...” พี่ตุลย์เงียบ แต่ก็จ้องมองตรงมาอย่างใจจดใจจ่อในสิ่งที่ผมกำลังจะพูด
นั่นสินะ พี่ตุลย์ก็ยังเป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีความรู้สึกพิเศษใดๆ ให้ผมทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ผมกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว แค่ผมทำตัวเหมือนเดิม เป็นคนเดิม ไม่มีความรู้สึกพิเศษใดๆ ให้เหมือนกัน เราก็จะเป็นเหมือนเดิมอย่างที่ผ่านๆ มา นี่ผมทำไรอยู่วะ? ผมกระวนกระวายใจไปทำไม ผมตีตัวออกห่างจากพี่ตุลย์เขาทำไม?
“พี่...เดาๆ ไว้บ้างไหมอะ ว่าทำไมผมเป็นแบบนี้?”
“ก็คิดไว้อยู่ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า”
“พี่คิดว่าไงละ?”
“คิดว่านายแปลกๆ ไป ตั้งแต่วันที่ฉันจูบ...”
“นั่นแหละ แล้วพี่มาจูบผมทำไม?”
พี่ตุลย์ร้องเสียง ‘อ๋อ’ ลากยาวเบาๆ “สรุปโกรธเรื่องนี้อยู่สินะ”
“ใช่สิ ก็พี่เล่นแรงเกินไปแล้วนะ!”
“ฉันเล่นแรง? ไม่ใช่เอสหรอที่มาจูบฉันก่อน”
“ก็ดูพี่พูดสิ ตกหลุมรักบ้างละ รักบ้างละ หวงบ้างละ มันควรจะพูดแบบนั้นกับผู้ชายไหมอะ?!”
“...โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ขอโทษด้วยนะที่ทำให้นายรู้สึกไม่ดี หายโกรธเถอะ เพราะฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วล่ะ”
อึก...
“นั่นสินะ ขอนึกก่อนว่าถ้าหายแล้ว ผมจะได้ปนะโยชน์อะไรบ้าง อันดับแรกก็มีรถไปรับไปส่งที่มหา’ลัย”
“จะได้ไม่เก็บกดจนอกแตกตาย” พี่ตุลย์หัวเราะในลำคอ
ผมหัวเราะบ้าง “เกี่ยวไหมเนี่ย?”
“เกี่ยวมั้ง” เขาหัวเราะ “ถ้างั้นก็ โอเคแล้วสินะ”
“ครับ~”
ผมคิดว่า ผมกำลังโกหกนะ...
“อันธพาล ที่หนึ่งมาแล้ว! อ้าว พ่อแอบเล่นเกมของที่หนึ่งอยู่หรอครับ?”
“เล่นรอลูกไง” พี่ตุลย์หันไปพูดกับที่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาที่ผม “ฉันไปละ เดี๋ยวไปทำงานต่อแล้ว” พูดเสร็จเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนก่อนที่ที่หนึ่งกลับมานั่งเล่นเกมข้างผมอีกครั้ง
“โอเคแล้วสินะ” ไม่อ่ะ...ทำไมผมไม่รู้สึกโอเคเลย
TBCมันใกล้ละะะ
ฟิลลิ่งอารมณ์ของคนอารมณ์ดีอย่างเอสนี่เป็นอะไรที่แบบ ยากแท้จะหยั่งถึง จนต้องกินเวลา
มาอัพวันนี้เลย ฮอลลล แล้วเจอกันพรุ่งนี้ อารมณ์จะต้องต่อเนื่องงง~~
#daddybelover