ตอนที่ 27
จะมีไหมสักวันที่ ผมตื่น กิน นอนดูทีวีโง่ๆ แล้วก็กลับไปนอนแบบเนี่ย ผจญศึกทุกวันอย่างกับอยู่อยู่ในโคลอสเซียม แต่เกิดมาต้องใช้กรรมครับ เกิดเป็นเอสต้องอดทนสิบล้อชนต้องไม่ตาย!
“ตุลย์ แกพาใครมาบ้าน!?” คุณป้าฮาร์ดคอร์ที่กำลังอุ้มตอนต้นอยู่ตะคอกเสียงดังถามลูกชายเมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบคำถามก่อนหน้านี้
“แป๊บ ผมเอาที่หนึ่งเข้าห้องก่อน แม่ด้วย ถ้าจะพูดคำหยาบเอาตอนต้นมาเล่นกับที่หนึ่งเลยนะครับ” พี่ตุลย์พูดขณะดันหลังลูกชายคนโตเข้าห้องนอน
“งั้นแกอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะมาต่อแน่นอน!” ว่าแล้วคุณป้าฮาร์ดคอร์ก็อุ้มเด็กอ้วนเข้าห้องของที่หนึ่งตามหลังหลานคนโตไป
“...” ผมตอบแต่พยักหน้า
เอาจริงๆ ถ้าสมมุติผมเป็นผู้หญิงที่เป็นแฟนกับพี่ตุลย์อยู่ หรือเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือเป็นห่าเหวอะไรก็แล้วแต่ ผมจะอยู่ตรงนี้ให้คุณป้ากลับมาด่าต่อไหม ไม่ครับ! ใครเขาจะยืนต่อละ ถ้านิสัยดีหน่อยก็แปะโพสอิทแจ้งเอาไว้ก่อน ‘กลับแล้วนะคะ ติดต่อได้ที่เบอร์...’ อะไรก็ว่าไป ผมนี่ก็อยากจะชิ่งหนีเหมือนกันครับ ไม่อยากจะสู้รบปรบมือด้วย แต่บังเอิ๊ญ บังเอิญว่าห้องที่ผมเหยียบอยู่ตอนเนี่ยมันเป็นห้องที่ผมใช้ซุกหัวนอนอยู่เนี่ยแหละ จะชิ่งก็ไม่ได้ ต้องยืนอยู่ร่วมห้านาทีจนกระทั้งคุณป้าฮาร์ดคอร์กับพี่ตุลย์จะเดินออกมาจากห้องของที่หนึ่งพร้อมกัน
“เสร็จแล้ว! มา...ต่อ เธอเป็นใครมากับลูกชายและหลานชายของฉันได้ยังไง?”
“เอ่อ...”
สายตานี้อีกแล้ว เบื่อจัง สายตาเดียวกับที่คุณป้าฮาร์ดคอร์มองผมเมื่อตอนนู้นไม่มีผิด ถึงแม้คราวนี้ผมจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงอยู่ก็ยังโดนมองว่าเป็นผู้หญิงแมงดาเกาะผู้ชายกินอยู่ดีสินะ เอ๊ย...ไม่ดิ ยิ่งเป็นผู้หญิงก็ยิ่งต้องคิดแบบนั้นนี่หว่า ต้องรีบอธิบายก่อนว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณป้าคิดครับบ ไม่ใช่แม้กระทั้งผู้หญิงด้วยซ้ำ!
“ว่าไง! หล่อน...หวังจับลูกชายของฉันใช่ไหม!?”
“เฮ้ย!” อันนี้พี่ตุลย์อุทาน และเป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานในสมองเผลอเอามือไปตบสวิตช์ปากหมาเข้า
“เราเป็น ‘ครอบครัว’ เดียวกัน อุ๊บ!” ผมโดนพี่ตุลย์กระโจนปิดปากเอาไว้ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าไม่ทันเสียแล้วเพราะผมปล่อยหัวหน้าหมาออกไปแล้ว และมันก็กระโจนเข้าหูของคุณป้าฮาร์ดคอร์เรียบร้อย
“ครอบครัวเดียวกัน!? นังผู้หญิงหน้าด้าน! ช่างกล้าพูดว่าเป็นครอบครัวเดียวกับลูกชายคนอื่นทั้งๆ ที่ลูกชายของฉันไม่พาเธอมารู้จักฉันซ้ำด้วยกัน”
ฉอดๆๆ แล้วก็ตามมาอีกหลายประโยค ผมไม่โกรธนะครับ เพราะผมผิดเองแหละที่ไปพูดกวนโมโหคุณป้าฮาร์ดคอร์ซะอย่างนั้น ไม่ยอมรีบแก้ต่าง ผมก็เลยยอมก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมฟังคำเทศน์ปนคำด่าไปอีกชุดใหญ่
...
คุณป้าฮาร์ดคอร์ยังไม่หยุด ผมชักทนไม่ไหว สะกิดแขนพี่ตุลย์ยิกๆ แล้วกวักมือให้พี่ตุลย์เอียงหูเข้ามาหา
“ผมว่าพี่ปิดปากผิดคนแล้วละ นี่พูดมาจะสิบนาทีแล้วนะ พี่ไม่คิดจะห้ามแม่พี่หน่อยหรอ!”
“ถ้าไปขัดแม่จะโกรธอะ ทนฟังอีกหน่อยได้ไหม? เดี๋ยวก็จบแล้ว”
ผมเบ้หน้าใส่พี่ตุลย์อย่างเซ็งๆ รู้ไหมครับประโยคของการฟังพี่คุณป้าฮาร์ดคอร์พูดอย่างหนึ่งคือ ผมเพิ่งรู้ว่าคนแก่เป็นพวกย้ำคิดย้ำทำและขี้ลืมครับ เอาจริงๆ ประโยคที่คุณป้าฮาร์ดคอร์พูดมาความยาวประมาณหนึ่งนาทีเศษๆ เท่านั้นแหละครับ แต่ป้าแกวนลูป พูดซ้ำไปมาจนตอนนี้ความยาวก็ล่วงเลยเข้าสู่วินาทีที่สิบแล้ว...
“อย่ามายุ่งกับลูกชายฉัน!”
“จบประโยค” พี่ตุลย์กระซิบบอกด้านหลัง “แม่ นี่เอส ที่เล่าให้ฟังครั้งก่อนไงว่ามาอาศัยอยู่ด้วย”
“เอ๋? อย่ามาโกหกแม่ตุลย์ ถึงจะดูตัวใหญ่ไปหน่อยแต่นี่มันผู้หญิงชัดๆ!”
“ก็ผมบอกแม่ไปแล้วไม่ใช่หรอตอนที่โทรบอกให้มาดูตอนต้นให้หน่อยเพราะว่าผมจะไปงานวันแม่ที่โรงเรียนที่หนึ่งกับคนที่ผมวานให้ปลอมตัวเป็นแม่ที่หนึ่งให้”
“ก็บอกแล้ว...” คุณป้าฮาร์ดคอร์เริ่มพูดเสียงเบา
“ก็เนี่ย เจ้าเนี่ยแหละครับ พอดีว่ามีปัญหานิดหน่อย ก็เลยต้องเอาผู้ชายมาแต่งหญิงน่ะครับ”
“ละ แล้วทำไมไม่บอกแม่ให้เร็วกว่านี้!”
โอ้โหหหห คุณป้าช่างกล้าถาม วินาทีแรกที่เปิดประตูปุ๊บคุณป้าก็เปิดศึกปั๊บแล้วจะเอาวินาทีไหนให้ผมกับพี่ตุลย์มาอธิบายละครับบบบ
“อา...พี่ตุลย์ แม่พี่รู้จักผมด้วยหรอ?”
“ตอนที่นายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ ฉันโทรไปบอกแม่ด้วย แม่จำนายได้เพราะเป็นผู้ชายที่ไปโกหกว่าเป็นแฟนฉันไงตั้งแต่ตอนนู่น แม่ยังฝากมาขอโทษเลย จำได้ไหม?”
“อ๋อ” ผมลากเสียงยาว เหลือบมองคุณแม่พี่ตุลย์ที่มีสีหน้ากังวลปนทำตัวไม่ถูกก่อนจะปลดวิกผมออกโชว์ผมทรงบางระจันเวอร์ชั่นเริ่มยาวแล้ว “สวัสดีครับคุณน้า นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมกับคุณน้าทักทายกันจริงๆ จังๆ เลยนะครับ” ผมยิ้ม เข้าสู่โหมดเฟรนลี่เต็มตัว
“อะ เอ่อ สวัสดีจ้ะ ขอโทษทีนะ ที่น้าเผลอ...” คุณป้าฮาร์ดคอร์พูดเสียงอึกอัก ทำตัวไม่ถูกเพราะตนเองเป็นผู้ใหญ่แต่ก็เพิ่งจะด่ากราดผมยาวร่วมสิบนาททีมา
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ผิดเองที่ไม่อธิบาย แถมยังปากดีอีก ครั้งนู้นก็เหมือนกัน ผมขอโทษด้วยครับที่ลืมตัวเผลอโพล่งกวนคุณน้าออกไปแบบนั้น”
“เรื่องนั้น...น้าก็เหมือนกัน กังวลบางเรื่องมากไปหน่อยก็เลยเผลอทำตัวเป็นผู้ใหญ่แย่ๆ แบบนั้น หลังจากที่หนูเอสไปแล้วตุลย์ก็อธิบายให้น้าฟังก็เลยฝากขอโทษผ่านตุลย์ไป แต่น้าว่ามันก็ไม่ดีเท่าไหร่ เลยต้องขอโทษเรื่องตอนนั้นด้วยนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรครับ~” ผมยิ้มกว้าง
“แม่จะค้างหรือว่ากลับเลยครับ? ถ้าค้างผมจะได้ไปบอกเด็กๆ แต่ถ้ากลับเลยเดี๋ยวผมขับรถไปส่ง”
“ขอค้างดีกว่า แม่เหนื่อยอะ พอลูกโทรมาแม่ก็รีบบึ่งมาที่นี่เลย”
“โอเคครับ” พี่ตุลย์พูดพร้อมกับยิ้มจางๆ ให้แม่ของตนขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในห้องนอนของที่หนึ่ง คุณป้าฮาร์ดคอร์ (ที่ตอนนี้กลายเป็น R&B นุ่มคลาสสิคไปแล้ว) ก็เอ่ยเรียกเอาไว้ก่อน
“แล้วตุลย์กับหนูเอสกินอะไรกันมาหรือยัง? ถ้ายังเดี๋ยวแม่ทำอะไรให้กินดีไหม?”
“ได้ครับ” พี่ตุลย์หันมาตอบ ตั้งท่าจะเดินเข้าไปในห้องนอนของที่หนึ่งอีกแต่ผมรีบวิ่งมาขวางเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวผมไปบอกเอง พี่อยู่กับแม่เถอะ”
“ทำไมอะ?”
“ทำไมอะไร? ผมขอเดาเลยนะ วันแม่พี่ก็ไม่ได้อยู่กับแม่หรอกใช่ไหม? ไหนๆ วันนี้แม่ก็มาหาแล้ว ก็อยู่คุยกับแม่หน่อยสิ เดี๋ยวที่หนึ่งกับตอนต้นไว้เป็นหน้าที่ผมเอง รับรองจะเล่นด้วยดี ไม่อันตรายไม่ใช้ท่ามวยปล้ำแล้วก็ไม่ดึงแก้มตอนต้นแรง สัญญา ไม่ดื้อ~” ว่าแล้วก็ตบไหล่ปุ๊ๆ
“งั้นนายก็เดาผิดแล้วละ ขอโทษด้วยนะที่ภาพลักษณ์ของฉันทำให้นายคิดแบบนั้น แต่ฉันกับแม่รักกันดี เหนียวแน่น กลับไปไหว้วันแม่ทุกปีไม่มีพลาด ถึงแม้ว่าปีที่แล้ว ที่ตอนต้นเกิดจะไม่สะดวกไปหาแต่แม่ก็จะมาหาฉันที่นี่ในวันแม่อยู่ดี”
“งะ...งั้นเหรอ” ผมหัวเราะเหอะๆ รู้สึกหน้าแตกยังไงพิกล แล้วยิ่งรู้สึกหนักขึ้นเมื่อพี่ตุลย์ตบไหล่ผมปุ๊ๆ เลียนแบบผมเมื่อครู่
“กลับกัน ฉันว่าเป็นนายมากกว่ามั้ง”
“หะ?”
“ก็ตอนที่อยู่โรงเรียนกอดก็แล้วยังไม่หายทำหน้าเศร้าเลยนี่ เดี๋ยวฉันจะไปอยู่กับลูกฉัน นายก็ไปอยู่กับแม่ฉัน ให้ยืมแม่ดีไหมละ?”
“เดี๋ยว”
“โอเคตามนั้น” สิ้นคำพูดไอ้พี่ตุลย์ก็ใช้มือดันผมจนเซก่อนที่เขาจะเดินเข้าห้องของที่หนึ่งไปทิ้งผมเอาไว้ให้อยู่กับคุณป้าฮาร์ดคอร์กันสองคน
ฉิบหาย!
“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า? เห็นตุลย์ผลักซะแรงเลย”
“อะ อ๋อเปล่าครับ พอดีว่าผมแค่ไม่ทันได้ตั้งตัวเฉยๆ ก็เลยเซง่ายน่ะครับ” ผมหัวเราะแห้งๆ ให้กับคุณแม่ของพี่ตุลย์ ทางฝ่ายนั้นเองก็ดูอึกอักไม่น้อยที่เหลือแค่ผมซึ่งเขาเพิ่งด่าแบบจัดหนักจัดเต็มไปอยู่ในห้องด้วย “คุณน้าบอกว่าจะทำกับข้าวใช่ไหมครับ? ให้ผมช่วยนะครับ”
“อา โอเค เอาสิ แต่น้าว่าหนูเอสไปเปลี่ยนชุดก่อนดีไหมลูก? ใส่ชุดนี้น้าว่ามันดู...จัดเต็มเกินไป”
ผมก้มมองตัวเองก่อนจะแทบร้องจ๊ากเมื่อเห็นว่าผมยังใส่ชุดเดรสลายดอกกุหลายอยู่ บอกขอเวลานอกกับคุณป้าฮาร์ดคอร์แล้วรีบวิ่งปรู๊ดเข้าห้องนอนเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างว่องไว...เอ่อ ก็อยากว่องไวอยู่ แต่ซิปด้านหลังชุดดูไม่อยากว่องไวด้วยเท่าไหร่เลย! แต่ในที่สุดหลังจากปล้ำอยู่กับซิปด้านหลัง หมุนตัวเหมือนกับหมาไล่งับหางอยู่ครู่ใหญ่ ผมก็ปลดชุดเดรสเจ้าปัญหาได้ในที่สุด พอออกมาเตรียมตัวจะไปช่วยงานเป็นลูกมือให้คุณป้าฮาร์ดคอร์ก็เห็นว่า ข้าวถูกหุงไปแล้ว และส่วนผสมก็ถูกหั่นและถูกตัดเรียบร้อย รอแค่น้ำมันเดือด และเทลงไปก็แค่นั้น
“ขอโทษนะครับที่มาช่วยช้า พอดีว่าชุดมันถอดลำบาก” ผมพูดเสียงอ่อนพลางเดินเข้าไปในครัวที่มีผู้เป็นแม่ของเจ้าของห้องกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารอยู่
“ไม่เป็นไร ชุดผู้หญิงมันค่อนข้างจะใส่ จะถอดลำบากแบบนั้นแหละ หนูเอสน่าจะเรียกให้น้าช่วย”
ผมเกาจมูก รู้สึกเขินๆ แล้วก็ตะหงิดแปลกๆ ยังไงไม่รู้ที่คนเพิ่งด่าผมอยู่ร่วมสิบนาทีเมื่อครู่เรียกผมว่า ‘หนูเอส’ แต่ก็อย่างว่า เขาไม่ได้เกลียดอะไรผม ก็แค่เข้าใจผิดแล้วก็ระแวงเฉยๆ พอแก้ความเข้าใจผิดนั้นได้ มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะเรียกผมอย่างคนเกลียดชังนี่น่า แล้วอีกอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกคันๆ ในใจก็เพราะว่าไม่ค่อยมีใครเรียกผมว่า ‘หนูเอส’ ละมั้ง ส่วนใหญ่ก็เรียก ‘ไอ้เอส’ กันทั้งนั้น สุภาพหน่อยก็แค่เรียก ‘เอส’ แบบหยาบคายมากก็จะเป็น ‘ไอ้เหี้ยเอส’
“แล้วคุณน้ามีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ? ผมทำกับข้าวไม่เป็น แต่ถ้าหยิบของส่งให้ผมทำได้นะครับ อยากช่วย”
“งั้นเอสเอาน้ำใส่หม้อนี้ดีกว่านะ เอาน้ำแค่ถึงรอยนี้นะ แล้วก็เอามาตั้งที่เตาอีกข้างนึงที่ว่างต้มน้ำเดือด พอทำได้ไหม?”
“ทำได้ครับ ทำได้” ผมรีบพยักหน้า หยิบหม้อรองน้ำต้มอย่างรวเร็วตามความเคยชิน เรื่องต้มน้ำนี่ผมเซียนมากอยากจะบอก เพราะต้มมาม่าในห้องพี่ตุลย์บ่อย
หลังจากนั้นคุณป้าฮาร์ดคอร์ก็สั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายอย่างจำพวกหยิบของ ตลอดเวลาที่ช่วยทำกับข้าวอยู่ด้วยกัน ผมไม่ค่อยได้ปล่อยมุขหรือพูดจาเฮฮาตามภาษาอะไรนักทั้งๆ ที่จริงผมเป็นพวกตีสนิทกับพวกผู้ใหญ่ง่าย (มาก) นะครับ ไม่ใช่เพราะผมอคติอะไรนะ แต่เพราะคำพูดของพี่ตุลย์ที่บอกว่าจะให้ยืมแม่นั่นแหละ ทุกครั้งที่ผมมองคุณป้าฮาร์ดคอร์หยิบจับนู่นนี่ ทำอาหาร ผมก็เผลอคิดขึ้นมาว่า ‘อ่า แม่ของผมเวลาทำอาหารก็คงจะเป็นอย่างนี้สินะ’ ทุกทีเลยสิหน่า
“ทำเยอะเกินไปหรือเปล่านะ?” เสียงของผู้หญิงมีอายุพึมพำเบาๆ หลังจากที่กับข้าวทั้งหมดสี่อย่างพร้อมข้าวสวยถูกวางบนโต๊ะอาหารที่เพิ่งจะมีหน้าตาเหมือนโต๊ะอาหารจริงๆ ก็วันนี้แหละ
“หมดอยู่แล้วครับ ถ้าพี่ตุลย์กินไม่หมดนะ เดี๋ยวผมกับที่หนึ่งช่วยกินเอง”
“ที่หนึ่งเนี่ยนะ? เด็กนั่นกินยากจะตาย”
“เดี๋ยวผมยัดเข้าปากให้เองครับ เป็นเด็กเป็นเล็กเลือกกินได้ไง พ่อผมสอนไว้”
“ฮ่าๆ แปลว่าตอนเด็กๆ ก็โดนพ่อบังคับให้กินเหมือนกันสินะ”
“ใช่ครับ เมื่อก่อนผมไม่ค่อยกินผัก พ่อผมล็อคคอจับยัดเลย ไปๆ มาๆ ก็เลยกินทุกอย่าง กินผักเยอะเป็นพิเศษก็เลยหุ่นดีแบบนี้เลย” แล้วผมก็เบ่งกล้ามให้คุณป้าฮาร์ดคอร์ดูไปหนึ่งทีเรียกเสียงหัวเราะจากหญิงสูงวัย
“แต่น้าว่า หนูเอสผอมไปหน่อยนะ ไม่หน่อยแหละ น้าว่ามากด้วย พอแต่งหญิงน้าก็เลยเข้าใจผิดเลย แถมก่อนหน้าเจอหน้าหนูเอสจังๆ แค่ครั้งเดียวเองแถมยังเจอแป๊บเดียวด้วย พอมาแต่งหน้าใส่วิก ก็เลยยิ่งจำไม่ได้เข้าไปใหญ่เลย”
ผมหัวเราะ “ผมใช้ชีวิตแบบวิธีนักสู้ครับ สู้ชีวิตไม่ค่อยได้กินแบบชุดใหญ่เท่าไหร่หรอกครับ”
“ตุลย์ก็เคยเล่าเรื่องนี้ให้น้าฟังนะ ตอนนั้นน้าคิดว่าสุดยอดไปเลย เป็นเด็กแท้ๆ แต่กลับทำนู่นนี่นั่นได้ตั้งหลายอย่าง ทำงาน ใช้ชีวิตเพื่อเรียนหนังสือ แต่พอตุลย์เฉลยว่าเป็นเด็กที่พูดจาอวดดีเมื่อคราวก่อนน้านี่ยิ่งอึ้งเข้าไปใหญ่เลย”
“ฮ่าๆๆ ไม่คิดว่าไอ้เด็กนั่น กับนักสู้ชีวิตมฤตยูจะเป็นคนเดียวกันสินะครับ
“อะ ถูก~” ผมหัวเราะก๊ากออกมาเสียงดังกับท่าทางของอีกฝ่ายที่เลียนแบบท่าถูกต้องนะครับของคุณปัญญา ความรู้สึกตะขิดตะขวงใจค่อยๆ หายไป จนผมเริ่มกล้าจะทำตัวเกรียนแตกโป๊กฮากับแม่ของพี่ตุลย์ รู้ตัวอีกทีเราก็คุยสนุกสนานจนคุณป้าฮาร์ดคอร์นี่ถึงขั้นกระโดดกอดคอผมแล้วครับ!
“ทำอะไรกันอยู่ครับ เสียงดังเข้าไปในห้องนอนของที่หนึ่งเลย?” พี่ตุลย์เดินคิ้วขมวดออกมาจากห้องนอนของลูกชาย แล้วยิ่งงงหนักมากขึ้นเมื่อเห็นผมกับแม่ของตนเองกำลังใช้พื้นที่วางในโต๊ะอาหารเล่นงัดข้อกันอยู่
คุณป้าฮาร์ดคอร์มองหน้าผมเล็กน้อย ยิ้มกว้างจนใบหน้าที่มีแต่รอยย่นยิ่งย่นขึ้นไปอีก ก่อนจะหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี
“แม่เล่นกับเพื่อนอยู่ไม่เห็นไง?”
“หะ เพื่อน?”
“ใช่ไหม?” อีกฝ่ายหันมาถามผม
“ว่าไงว่าตามกันสิครับ~”
หลังจากที่รับประทานกันจนเรียบร้อยโรงเรียนจีน คุณป้าฮาร์ดคอร์ก็ไล่ให้พี่ตุลย์ไปอยู่กับลูกๆ ที่หน้าทีวีส่วนตัวเองก็มาล้างจานซึ่งมีผมอาสาช่วยล้างด้วย แต่ถึงอย่างนั้นไม่รู้เพราะว่าคุณป้าฮาร์ดคอร์กลัวผมทำจานแตกหรือยังไง เลยเป็นเพียงแค่คนล้างน้ำแล้วก็เอาใส่ชั้นจานแค่นั้นเอง
เฮ้ย ผมขออธิบายก่อนเลยนะ ถึงผมจะทำกับข้าวได้ไม่มาก ไม่อร่อย แต่ผมก็ล้างจาน กวาดบ้าน กรอกน้ำเป็นนะ!
“นี่ หนูเอส”
“ครับ?”
“ตั้งแต่มาอยู่กับตุลย์ มีผู้หญิงคนไหนมาเกาะแกะเจาะแจ๊ะกับตุลย์มากจนผิดสังเกตบ้างไหม? ไม่ๆๆๆ มีใครมาเจาะแจ๊ะกับตุลย์บ้างไหม เล็กๆ น้อยๆ ก็เอาหมด เคยเห็นบ้างไหม?”
“เอ่อ...” ผมมองบนพลางนึก จำได้ว่าตอนที่เคยไปที่ทำงานของพี่ตุลย์ ถ้าสังเกตดีๆ ก็มีคนชอบมองพี่แกอยู่หรอกนะ แต่ก็ไม่เห็นใครเข้ามายุ่มย่ามจริงๆ จังๆ เลยสักนิด อารมณ์เหมือนพวกรุ่นน้องปลื้มรุ่นพี่ม.6 อะไรประมาณนั้น “ก็มีนะครับ แต่ไม่มากเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่ผมเคยเห็นแค่คนเดียวเองครับ”
“ใครหรอ?” ผมกลืนน้ำลายเอือกเมื่อเห็นท่าทางของแม่พี่ตุลย์ ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงเหมือนคนที่พร้อมจะเข้าไปหาเรื่องกับผู้หญิงที่ผมเอ่ยชื่อได้แทบจะในทันที
“แต่เขาคงเป็นแค่เพื่อนแหละครับ ผมเคยถามพี่ตุลย์แล้ว แต่พี่ตุลย์บอกว่าเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปีแล้วน่ะครับ” ผมรีบพูดเลี่ยงทันทีพร้อมใช้รอยยิ้มตบท้าย
นี่ถ้าได้เจอพี่สาวพลอยไพลินอีกเมื่อไหร่ จะให้ระลึกบุญคุณอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืนเลยจริงๆ
“อ๋อ ถ้างั้นก็แล้วไป”
ผมหัวเราะแห้งๆ ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างก้มหน้าก้มตาช่วยกันล้างจานกันต่อไป
“...”
“...”
“...คุณน้าครับ”
“หื้ม?”
“คุณน้าหวงพี่ตุลย์น่าดูเลยนะครับเนี่ย”
แม่ของพี่ตุลย์เงียบไป แต่มือก็ยังคงขัดถูจานอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง “ไม่ได้หวงหรอก เรียกว่าเป็นห่วงมากกว่า”
“เอ๋? ทำไมหรอครับ? พี่ตุลย์ก็โตแล้วนะครับอีกไม่กี่เดือนก็สามสิบ แถมมีลูกตั้งสองคน โตเป็นผู้ใหญ่แล้วอีกต่างหาก”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่เพราะตุลย์เป็นคนจริงจังน่ะ จริงจังจนเกินไป นั่นแหละถึงทำให้น้าเป็นห่วง ตอนที่ตุลย์ย่ำแย่ไม่มีใครเห็นหรอก แต่น้ากับพ่อของตุลย์เขาเห็น ไม่มีใครอยากให้ลูกตัวเองตกอยู่ในสภาพนั้นอีก น้าถึงกังวลมากยังไงล่ะ กังวลว่าจะเกิดแบบนั้นขึ้น น้าถึงต้องระวังทุกคนที่เข้ามาหาตุลย์แทนตัวของตุลย์เอง”
“ผมถามได้ไหมครับว่าพี่ตุลย์ไปเจออะไรมา?” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หยิบจานจากมือของอีกฝ่ายมาล้างแล้วเก็บเข้าชั้น “แต่ไม่บอกก็ได้นะครับ ถ้ามันเป็นเรื่องที่บอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมก็ไม่ได้อยากสอดรู้ขนาดนั้น”
“มันมีไม่กี่เรื่องหรอกที่ทำให้คนเราเป๋ได้” แม่ของพี่ตุลย์หันมายิ้มจางๆ ให้ผม “
ไม่เรื่องของครอบครัว ก็เรื่องของความรัก”
“...เรื่องแม่ของที่หนึ่งกับตอนต้นหรอครับ?”
“จ้ะ เฮ้อ แต่ช่างมันเถอะ น้าเองก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องเก่า เรื่องอดีตก็ปล่อยๆ มันไปอย่าไปสนใจเลยนะหนูเอส” คุณป้าฮาร์ดคอร์ตบไหล่ผม ล้างมือที่เปื้อนไปด้วยฟองน้ำยาล้างจานก่อนจะไปหาหลานและลูกชายที่นั่งอยู่บนโซฟา ทิ้งผมเอาไว้ให้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ครอบครัวนี่มันเหมือนกันจริงๆ ทั้งแม่ทั้งลูก ถ้าคิดจะเปิดปากเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วก็เอาให้หมดสิฟะ จะกั๊กเพื่อ? นี่ไม่ใช่โคนัน ไม่ชอบเล่นปริศนาทายคำนะรู้ยัง ฮือ
“เรื่องอดีตก็ปล่อยๆ มันไปอย่าไปสนใจเลยนะหนูเอส”
แล้วมันไม่สนใจได้ที่ไหนกันนนนนนน
TBCหวานก็ต้องหวาน งานปลดปมก็ต้องมา ซีเรียสกันนิด เฮฮากันหน่อยไม่ว่ากันนะเอ้าา~
#daddybelover
สปอย
' ฉันเป็นผู้ชายที่โดนทิ้งจากผู้หญิงคนเดิม 'สาม' ครั้ง '
.
.
.
.
.
' นี่ก็ลวนลามจัง เป็นอะไรกันยังถามจริง ? '