Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-8-
หลังจากได้เจอแม่เมื่อสองวันก่อนชีวิตของผมก็หดหู่ถึงขีดสุด และพี่เปรมก็ไม่ได้กลับไปคอนโดเหมือนอย่างเคย แต่กลับพาผมมายัง
บ้านทรายทอง?ตัวบ้านปกคลุมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่และสวนที่ตกแต่งสวยงามอย่างร่มรื่นลงตัว ผมเงยมองประตูบานใหญ่ที่ดูโอ่อ่าสมฐานะ สถานการณ์ในตอนนี้ของนายพบรัก รัชชารักษ์ ช่างคล้ายคลึงกับ พจมาน สว่างวงศ์เสียจริง ขาดแค่เปียสองข้างกับชะลอมผลไม้และกระเป๋าเสื้อผ้าทรงวินเทจ เท่านั้น แต่ผมก็ไม่มีอารมณ์พอที่จะมาร้องเพลงนี่คือสถาน แห่งบ้านทรายทอง ที่ผมปองมาสู่ ผมยังไม่รู้ เขาจะต้อนรับ ขับสู้เพียงไหน เอาเป็นว่าผมผ่านจุดนั้นมาได้ และในบ้านหลังนี้ก็ไม่มีคุณชายใหญ่ กลาง เล็ก หรือคุณหญิงแม่ผู้ใจร้ายอะไรทั้งนั้น จะมีก็แค่ตัวร้ายของเรื่องเพียงคนเดียวนี่แหละครับ
“ไอ้เปี๊ยก มึงอย่าทำหน้ายัดตีนทั้งสี่ข้างไว้ในปากแบบนี้ดิว่ะ” คุณชายเปรมนทีป์ทักทายยามเช้าด้วยการใช้นิ้วพระบาทเขี่ยสะกิดผม
นี่ผมเป็นตัวเอกของเรื่องนะ กรุณาให้เกียรติผมบ้าง คนยิ่งเศร้าอยู่ งับนิ้วเท้าแมร่มเลย
งั่ม!“เอ้ย! ไอ้สัตว์!” พี่เปรมดึงขากลับแทบไม่ทัน แต่ด่าผมว่าไอ้สัตว์ ผมไม่เจ็บหรอกนะ ก็เจ้าเปี๊ยกมันเป็นสัตว์นี่นา ถ้าด่าว่าไอ้ตะกวดนี่สิมีเคือง
“ไอ้นี่เลี้ยงไม่เชื่อง!” ผลักหัวผมจนจบลงกับหมอนหมีพูห์
“เอ๋ง” ช่างเป็นเช้าวันใหม่ในบ้านหลังใหญ่ที่สดใสเหลือเกิน
ถ้าอารมณ์ปกติผมคงจะด่ากลับไประรัวเป็นกลองยาวแน่ๆ แต่ผมไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรจริงๆ เครียดทีไรผมมักจะนอนไม่หลับ เมื่อคืนกว่าจะกลับถึงบ้านทรายทองก็สามสี่ทุ่ม พยายามข่มตาให้หลับแต่ก็ทำไม่ได้ แม้ว่าเมื่อก่อนผมอยากจะโตไวๆ แต่ชะตากรรมที่ผมกำลังเผชิญอยู่นี้ทำให้ผมอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เมื่อใดที่คิดถึงแม่ ร้องเรียกแม่ แม่ก็จะมาหา มอบอ้อมกอดที่อบอุ่นให้เสมอ
“นี่เหรอคะคุณเปรม น้องเปี๊ยกที่เล่าให้ป้าฟัง น่าฟัดเชียว” เสียงของใครสักคนที่ผมไม่คุ้นเคยดังขึ้นในห้องนอนของพี่เปรม
ผมหันไปมองก็เจอคุณป้าร่างอวบอ้วนที่กำลังก้มลงมามองผมด้วยรอยยิ้ม คุณป้าดูเป็นผู้ดีจังเลยครับ เรียกผมว่าน้องเปี๊ยกด้วย ไม่เหมือนใครบางคนที่หยาบคายกับผมม๊ากมาก และรอยยิ้มของคุณป้าช่างดูใจดีและอ่อนโยนเหมือนแม่ของผมเลย
“บ๊อกๆ” สวัสดีครับคุณป้า
แม้อารมณ์ของผมกำลังจะดำดิ่งสู่เหวลึก แต่ผมก็ยังไม่ลืมมารยาทหรอกนะครับ
“นี่แหละครับไอ้เปี๊ยกตัวแสบ ยังไงฝากป้าน้อยด้วยละกันนะครับ”
“ไม่ต้องฝากป้าก็ยินดีดูแลให้อย่างดีเลยค่ะ”
ถึงจะไม่พอใจกับการบรรยายสรรพคุณความน่ารักของผมว่าตัวแสบ แต่ความสงสัยว่าทำไมพี่เปรมต้องฝากผมไว้กับป้าน้อยด้วยมันมีมากกว่า พี่เปรมจะไปไหนอย่างนั้นเหรอ? พาผมมาอยู่บ้านหลังใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยยังไม่ครบสิบชั่วโมงด้วยซ้ำก็คิดจะทิ้งผมแล้วรึไง
“คุณเปรมลงไปทานข้าวเช้าก่อนสิคะ วันนี้คุณท่านไม่เข้าโรงพยาบาล กำลังรอคุณเปรมอยู่เลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมลงไปก่อนนะครับ ทางนี้ฝากด้วยละกัน”
พูดจบพี่ท่านก็เดินตัวปลิวออกไปไม่มีแม้แต่จะหันมามองผมที่กำลังตกอยู่ในอาการสตั๊นแบบตั้งตัวไม่ทัน กว่าผมจะลุกขึ้นแล้ววิ่งตามพี่เปรมไปบานประตูห้องนอนก็ถูกปิดลงเสียก่อน ผมได้แต่มองบานประตูที่ตอนนี้มันไม่ต่างอะไรจากกำแพงเบอร์ลินเลยสักนิด ราวกับว่าอิสรภาพของผมถูกลิดรอนลง และผมก็รู้สึกได้ว่ามันก็กำลังจะส่งผลให้ผมกับพี่เปรมห่างกันมากยิ่งขึ้น
“หิวแล้วใช่มั๊ยลูก?” ป้าน้อยที่รูปร่างอวบอ้วนพยายามย่อตัวลงอุ้มผม
“บ๊อกๆ” ผมไม่หิวครับ แค่อยากจะไปหาพี่เปรม
“งั้นไปทานข้าวกับป้าดีกว่านะ” ยังไม่ทันจะได้เถียงหรือดีดดิ้นเอาตัวรอด ป้าน้อยก็รวบผมขึ้นไปหนีบไว้กับแขนอวบได้อย่างง่ายดาย
การเป็นหมาพันธุ์เล็กมันเสียเปรียบตรงนี้ที่พละกำลังน้อยนี่แหละ มีดีอยู่อย่างเดียวคือความน่ารัก แม้แต่ผมเองก็ยังหลงรักเจ้าเปี๊ยกเลย
ป้าน้อยอุ้มพาผมออกมาจากห้องนอนของพี่เปรม แม้ป้าน้อยจะอ้วนแต่ก็คล่องแคล่วใช่ย่อย เดินตุบตับลงบันไดโดยที่หนีบผมไปด้วย พอลงมาถึงชั้นล่างก็มีสาวใช้ผิวคล้ำตัวผอมเกร็นยืนยิ้มยิงฟันขาวรออยู่แล้ว
“ชมพู่ เอาน้องเปี๊ยกไปจัดการตามที่คุณเปรมเธอสั่งไว้ให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”
“จ๊ะ ป้า”
ส่งผมต่อเปลี่ยนมือให้พี่สาวที่ชื่อชมพู่ ผมอดคิดไม่ได้ว่าตอนนี้ผมเป็นตัวอะไรกันแน่ นอกจากแม่ผู้ให้กำเนิดจะจำไม่ได้ พี่เปรมที่เป็นที่พึ่งพิงเดียวก็ทิ้งผมไว้กับคนแปลกหน้า ทำไมชีวิตของผมถึงต้องมาเจอเรื่องราวแย่ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ด้วย ทุกคนลืมไปแล้วรึไงว่าต่อให้เป็นเพียงแค่หมา มันก็มีหัวใจเหมือนกันนะครับ
.
.
.
.
นาฬิกาไม้สลักตรงห้องโถงใหญ่บอกเวลาสามทุ่มสี่สิบห้านาที บรรดาคนรับใช้สิบกว่าชีวิตทยอยกันไปพักผ่อน จะเหลือแค่ป้าน้อยกับสาวรับใช้คนสนิทที่ยังเดินตรวจความเรียบร้อยอยู่อีกห้อง
“น้องเปี๊ยกรอคุณเปรมเหรอลูก?” เสียงป้าน้อยตะโกนดังมาจากหน้าประตูห้องนั่งเล่น
“บ๊อกๆ” ไม่ได้รอสักหน่อยครับ ผมบอกเสียงอ่อย
“น่ารักจังเลยนะป้า” พี่ชมพู่เอ่ยชม แต่ผมรู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากจะอ้าปากคุยกับใครอีกแล้ว
เพราะผมอยู่ในร่างเจ้าเปี๊ยก ทุกคนที่หลงรักผมก็เพราะว่าเจ้าเปี๊ยกมันน่ารัก ตัวเล็กหน้าตาหน้าเอ็นดู ผมแอบคิดอยู่หลายครั้งว่าการที่ผมมาอยู่ในร่างเจ้าเปี๊ยกแบบนี้ แล้วเจ้าเปี๊ยกล่ะหายไปไหน? ดวงจิตมันไปอยู่ซะที่ไหน? ผมได้แต่หวังและภาวนาว่าขอให้มันหลบซ่อนอยู่ที่ใดสักที่ รอคอยวันที่จะได้กลับคืนมายังร่างนี้เหมือนกับผมที่รอคอยจะกลับคืนร่างของตัวเองอยู่รึเปล่า?
“ไปรอหน้าบ้านสิลูก คุณเปรมกลับมาจะได้ดีใจ” ป้าน้อยแกแนะนำ ทั้งๆ ที่ผมก็ตอบไปก่อนหน้านี้แล้วว่าไม่ได้รอ
ป้าน้อยและพี่ชมพู่มองผมแล้วหัวเราะคิกคัก ไม่รู้จะขำอะไรนักหนา ผมเลิกสนใจแล้วหันกลับมามองเข็มนาฬิกาเหมือนเดิม สักพักเสียงฝีเท้าของทั้งคู่ก็เดินจากไป ผมจึงหันไปมองประตูใหญ่ที่แง้มไว้เล็กน้อย แล้วบอกตัวเองว่าไม่ได้มารอใครสักหน่อย ตอนอยู่คอนโดพี่เปรมจะกลับดึกดื่นยังไงผมก็ไม่เคยสนใจ กระโดดขึ้นเตียงได้ก็หลับสบายเท่านั้น ผมไม่เห็นมีเหตุผลอะไรที่จะต้องรอ แม้ว่าผมจะเคยหลงรักคนชื่อเปรม แต่ชื่อนั้นเป็นเพียงแค่ชื่อที่เอามาใช้บังหน้าเพื่อหลอกลวงผม แล้วพี่เปรมตัวจริงเสียงจริงที่ผมเพิ่งได้รู้จักแค่เดือนกว่าๆ มีดีอะไรนักหนาถึงทำให้ผมต้องรอ และต้องมายืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตู..
ผมมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ได้สี่วันแล้ว และมันก็รวมถึงความเศร้าที่สะสมค่อยๆ กัดกินผมมานานถึงสี่วันสี่คืนแล้วเหมือนกัน จะมีก็แค่ช่วงเวลาที่พี่เปรมอยู่ด้วยเท่านั้นที่พอจะทำให้ผมลืมเรื่องหนักอึ้งในใจไปได้ แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นก็มีน้อยเหลือเกิน ถ้าจะพูดจริงๆ ก็มีแค่เฉพาะตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมาเพื่อไปวิ่งจ๊อกกิ้งกับพี่เปรม อันที่จริงจะเรียกว่าวิ่งด้วยกันก็ไม่ค่อยจะถูกสักเท่าไหร่ เป็นผมมากกว่าที่วิ่งตามพี่เปรมจนลิ้นห้อยแทบทุกครั้ง จะไม่วิ่งก็ไม่ได้เพราะพี่เปรมขู่ไว้ว่า
‘ถ้ามึงไม่วิ่งพุงมึงจะย้อยนะไอ้เปี๊ยก ตัวเท่าเมี่ยงแล้วพุงย้อยทุเรศชิปหายว่ะ ฮ่าๆๆ’ เสียงหัวเราะนั่นมันหยามศักดิ์ศรีของผมมากเลยครับ ผมจึงต้องวิ่งๆๆ เอาให้ไขมันกระเด็นไปจุกอยู่ในร่องซิกแพคของพี่เปรมให้หมดเลย ส่วนกิจวัตรอื่นๆ ก็ยังคงเหมือนเดิมนั่นคือถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง ป้าน้อยกับพี่ชมพู่หรือสาวใช้คนอื่นๆ มีงานที่ต้องทำเยอะแยะไม่มีเวลามาอยู่กับผมตลอด บางวันพี่ชมพู่ทำงานจนลืมหาข้าวให้ผมกินก็มี แต่ผมก็ไม่โทษพี่ชมพู่หรอก เพราะระยะหลังมานี้ต่อมหิวของผมแทบจะไม่ทำงานเลยด้วยซ้ำ
เอาล่ะ มาถึงตรงนี้แล้ว ผมยอมรับก็ได้ว่ากำลังมารอพี่เปรมอยู่จริง แต่ที่รอนี่ไม่ใช่เพราะเป็นห่วง แต่เพราะความกลัวที่อยู่ในใจของผมต่างหาก ผมรู้สึกกลัวว่าจะถูกทิ้ง ถ้าพี่เปรมทิ้งผมไปเมื่อไหร่ ผมก็จะไม่เหลือใครอีกแล้ว ผมไม่รู้ว่าพี่เปรมออกไปไหนทุกวัน บางทีพี่เปรมอาจจะไปกับผู้หญิงที่ชื่อภาพฟ้าคนนั้นก็ได้ หรือบางทีพี่เปรมอาจจะไปเจอร่างของผมที่โรงพยาบาล ผมจะเห็นแก่ตัวไปมั๊ยถ้าอยากให้เป็นอย่างหลังมากกว่า
ขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องพี่เปรมอยู่นั้น เสียงรถกับแสงไฟจากประตูรั้วหน้าบ้าน ทำให้ผมอดจะดีใจไม่ได้ แต่พอรถคันนั้นแล่นเข้ามาใกล้ไอ้ที่ดีใจเมื่อครู่กลายเป็นหดหู่ไปเลย ก็รถคันหรูที่จอดลงตรงหน้าผมนี่มันเป็นรถของคุณพ่อพี่เปรมน่ะสิ
“อ้าว น้องเปี๊ยกนี่นา” ผู้หญิงวัยสี่สิบนิดๆ แต่หน้าตาผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัยไปเกือบสิบปีทักทายผมที่ยืนหลบอยู่ข้างประตู ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงตอบ
อย่าถามนะว่าผมหลบทำไม ก็คุณผู้ชายของบ้านนี้เค้าไม่ชอบสัตว์เลี้ยงน่ะสิครับ นิสัยเหมือนแฝดน้องของพี่เปรมไม่มีผิด แต่ถ้าคุณแม่อยู่ด้วยแล้วคุณพ่อท่านก็ไม่กล้าเท่าไหร่หรอกครับ
“ดูสิคะคุณ น่าเอ็นดูจริงๆ ท่าทางจะมารอคุณเปรม”
“แค่หมาน่ะ อย่าไปสนใจนักเลย ผมเหนื่อยแล้วเข้าบ้านเถอะ” คุณพ่อส่งสายตาฆาตกรมาให้ผม ทำเอาผมพยายามหดตัวให้ลีบเล็กลงกว่าเดิม
“คุณแม่ไปก่อนนะจ๊ะเด็กน้อย” คุณแม่โบกมือบ๊ายบายจากนั้นก็เดินเข้าบ้านไปกับคุณพ่อ ผมก็ทำแค่น้อมรับเงียบๆ
คุณพ่อของพี่เปรมนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่รวยที่สุดในประเทศไทยและยังรวยติดอันดับหนึ่งในสิบของเอเชีย หน้าตาและรูปร่างก็เหมือนพี่เปรมกับพี่ปลื้มนั่นแหละครับ แต่แม้จะรวยขนาดนั้นก็ยังยอมแต่งงานเข้าบ้านฝ่ายภรรยาตามแบบธรรมเนียมไทย ดูก็รู้ว่าคุณพ่อรักคุณแม่มาก ต่อให้คุณแม่ต้องเข้าเวรเลิกดึกแค่ไหนคุณพ่อก็จะไปรอรับกลับบ้านพร้อมกัน ส่วนทางฝั่งคุณแม่ของพี่เปรมก็รวยใช่ย่อยเลยนะครับ ดูจากคฤหาสน์หลังนี้สิ นอกจากเป็นตระกูลเก่าแก่แล้วคุณตาของพี่เปรมยังเป็นคุณหมอศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงมากๆ ขนาดผมที่ไม่ค่อยจะสนใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ยังเคยเห็นท่านตามรายการทีวีที่เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บอยู่บ่อยๆ อีกทั้งยังเป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดอีกด้วย คุณแม่ของพี่เปรมเป็นลูกสาวคนเดียวตอนนี้ก็เป็นคุณหมออยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหละครับ เอาเป็นว่าสองตระกูลใหญ่อภิมหาเศรษฐีของไทยแต่งงานกัน เงินต่อเงิน ทองต่อทอง ทำเอาฐานะแบบผมดูต่ำเตี้ยเรี่ยดินไปเลย
คุณตา คุณยาย คุณแม่ และน้องปิ่น เอ็นดูผมมาก โดยเฉพาะน้องปิ่นคนสวยขวัญใจไอ้ดีน ตั้งแต่วันแรกที่เจอก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับผมไปหลายยก แถมกลางคืนก็จะเอาผมไปนอนด้วยให้ได้ ผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัวจริงๆ ผมเป็นผู้ชายนะ เจ้าเปี๊ยกก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน น้องปิ่นไม่คิดจะหวงตัวบ้างรึไง แต่ก็ยังดีที่พี่เปรมเบรคไว้ทัน ไม่งั้นผมคงรู้สึกผิดกับไอ้ดีนไปจนวันตาย
คฤหาสน์หลังนี้นอกจากครอบครับพี่เปรม ยังมีอีกครอบครัวอาศัยอยู่ด้วย เคยได้ยินพวกสาวใช้นินทากันว่าเป็นญาติกับพี่เปรมนี่แหละ เกี่ยวข้องกันตรงที่คุณปู่ของครอบครัวนั้นเป็นน้องชายของคุณตาพี่เปรม ผมไม่ค่อยจะเจอหน้าเท่าไหร่หรอก เพราะผมไม่เคยไปร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเค้า แต่ก็พอจะรู้ว่าพี่เปรมมีลูกพี่ลูกน้องอายุสิบหกสิบเจ็ดปีอยู่คนหนึ่ง ชื่อ
‘เขื่อน’ อะไรนี่แหละป้าน้อยแกบ่นบ่อยๆ ว่านิสัยแย่มากๆ แต่ช่างเค้าประไร ขอแค่อย่ามายุ่งกับผมเป็นพอ
“มึง.. หมาไอ้เปรมสินะ” ผมที่นอนแหมะอยู่ตรงขันบันไดบนสุดหันไปมอง
ห่างจากผมแค่ไม่กี่เมตร เด็กผู้ชายรูปร่างผอมบางผิวขาวจัด ใบหน้าก็จัดว่าสวย มองผมด้วยสายตาดูถูกดูแคลน แล้วยังแสยะยิ้มอย่างกับผู้ร้ายในละครหลังข่าว ผมลุกขึ้นยืนด้วยสันชาตญาณการเตือนภัยว่าอันตราย เพราะมัวแต่คิดโน่นคิดนี่เต็มสมองไปหมด จึงไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้บุกรุกที่เข้ามาใกล้จนแทบจะประชิดตัว
“บ๊อกๆ” ใช่แล้วจะทำไมว่ะ
ในเมื่ออีกฝ่ายถามผมแบบกวนบาทา ผมเองก็ตอบกลับไปในภาษาระดับเดียวกัน จะแตกต่างก็แค่สำเนียงคนละสปีชี่ส์เท่านั้น
“ไอ้หมาเปรต! มึงเห่าใส่หน้ากูเหรอ!!” ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวเหมือนโกรธแค้นผมมาสักสิบชาติ และด้วยขาที่เรียวยาวก้าวแค่ไม่กี่ก้าวแบบเร็วๆ ในช่วงจังหวะตอนที่ผมมัวแต่ยืนงงกับชีวิต อีกฝ่ายก็ฟาดเตะผมเข้าตรงซี่โครงอย่างแรง
อั่ก!“เอ๋งงง!” อ๊ากกก เจ็บ!!
ตัวของผมลอยกระเด็นไปอัดกระแทกกับผนังริมประตูอย่างแรง ทั้งตกใจ เจ็บและจุกจนร้องไม่ออก
“ไอ้เขื่อน! มึงจะทำเหี้ยอะไรหมากู!”
อั่ก!ผมได้ยินเสียงต่อสู้ และเสียงของพี่เปรม น้ำตาของผมไหลออกมาไม่รู้ว่าเพราะอาการทางกายหรือเพราะดีใจที่ได้ยินเสียงของคนที่เฝ้ารอ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกหมาแมวมันถึงดีใจกระโดดโลดเต้นหางกระดิกกันนักเวลาเจ้านายกลับมาหา
“กูไม่ได้จะทำเหี้ย แต่กูกำลังจะทำให้หมามึงกลายเป็นเหี้ย เพราะมันบังอาจมาเห่าใส่หน้ากู” ไอ้เด็กเปรต ผมขอเรียกมันแบบนี้นะ
นี่คงเป็นเขื่อนเดียวกับที่ใครต่อใครพูดถึงในแง่ลบสินะ แต่มันก็ไม่แปลกหรอกที่ทุกคนจะสรรเสริญแบบนั้น ก็ดูสิกับแค่หมาตัวเท่าเมี่ยงมันยังพาลใส่ขนาดนี้
“ไอ้สันดานต่ำ!” พี่เปรมด่าแรงกว่าผมอีก
ผมได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ ผมจะมองให้ชัดว่าใคร แต่ดวงตาก็พร่ามัวเกินไป ผมขดตัวให้เล็กลงกว่าเดิมเพราะผมกลัวเหลือเกินว่าจะเป็นไอ้เด็กเปรตนั่นเข้ามาทำร้ายผมอีก แต่กลิ่นกายที่ผมสัมผัสได้ด้วยจมูกไวต่อกลิ่นทำให้ผมพยายามหยุดความกลัวไม่ให้ร่างกายมันสั่นไปมากกว่านี้ แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน พี่เปรมย่อตัวลงนั่งข้างๆ ผมแล้วยื่นมามาลูบหัวและตัวของผมเพื่อปลอบโยน
“แล้วไง มึงวิเศษนักรึไง อ้อ ใช่สิ มึงมันเทวดามาตั้งแต่เกิดแล้วนี่หว่า”
“ไม่หรอกว่ะ กูก็แค่เป็นคนธรรมดาไม่สันดานต่ำแบบมึง”
พี่เปรมค่อยๆ ประคองผมขึ้นอุ้มอย่างเบามือที่สุด และมันก็ยิ่งทำให้น้ำตาของผมทะลักไหลออกมา ทั้งเจ็บใจตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้ปล่อยให้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนที่ไหนก็ไม่รู้มาทำร้ายร่างกายของเจ้าเปี๊ยก ผมสาบานไว้เลยว่าผมจะต้องแก้แค้นให้เจ้าเปี๊ยกให้ได้
“ไอ้เหี้ยเปรม! มึง!” เงาพร่าเลือนที่ผมเห็นกำลังพุ่งตัวเข้าหาพี่เปรม ผมอยากร้องเตือนพี่เปรมดังๆ พยายามเค้นเสียงออกมา แต่ก็คงจะช้าไปกว่าป้าน้อย
“ว๊ายย! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” ป้าน้อยตวาดแหวเสียงดังลั่น เด็กนั่นชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำร้ายพี่เปรม
“ชั้นบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ไม่งั้นชั้นจะขึ้นไปรายงานคุณท่านเดี๋ยวนี้!!” ร่างอวบใหญ่เคลื่อนตัวมายืนบังคุณชายสุดที่รักของเธอไว้ และมันก็ได้ผล เด็กนั่นยอมล่าถอยเพียงเพราะคำว่า
‘รายงานคุณท่าน’“ครั้งนี้มึงรอดไป แต่ครั้งหน้ามึงไม่โชคดีแบบนี้แน่” มันชี้หน้าใส่พี่เปรม แต่ทำไมผมรู้สึกเหมือนว่าตัวผมเองที่กำลังถูกหมายหัว
ผมมองใบหน้านั้นไม่ชัดแต่น้ำเสียงที่กดต่ำรอดไรฟันอย่างเคียดแค้นนั้นมันน่ากลัวจับใจ ผมไม่เข้าใจว่าผมที่อยู่ในร่างเจ้าเปี๊ยกไปทำอะไรให้มันเกลียดมากมายตอนไหน กับอีแค่เห่าตอบเนี่ยนะ จิตใจของเด็กคนนี้ทำด้วยอะไรถึงได้ทำร้ายลูกหมาตัวเล็กๆ ที่เห่าบ๊อกๆ ขนาดคุณพ่อพี่เปรมหรือแม้กระทั่งพี่ปลื้มที่ไม่ชอบพวกสัตว์เลี้ยงอย่างเจ้าเปี๊ยกก็ยังไม่เคยคิดจะทำร้ายมันแรงๆ อย่างที่ไอ้เด็กนี่ทำเลย
“อีแก่ขี้ฟ้อง” ก่อนจะหันหลังเดินจากไปไอ้เด็กเปรตหันไปด่าป้าน้อย สมควรแล้วล่ะที่พี่เปรมด่ามันว่าไอ้สันดานต่ำ
จะว่าไปเมื่อกี้แค่พี่เปรมต่อยไอ้เด็กนั่นไปแค่ทีเดียวก็ย่อมได้เพราะแค่ไซด์ก็ต่างกันลิบลับพี่เปรมชนะขาด แต่เพราะพี่เปรมอุ้มผมอยู่และมัวแต่เป็นห่วงผมจึงทำให้ไม่ทันระวังตัว เกือบโดนเด็กนั่นทำร้ายเอา
“เป็นยังไงบ้างคะคุณเปรม เด็กนั่นมันทำอะไรคุณเปรมของป้ารึเปล่า?” เมื่อสถานการณ์กลับมาสู่สภาวะปกติ ป้าน้อยก็หันมาสำรวจตรวจตราคุณชายของเธอเป็นอันดับแรกด้วยความห่วงใย
“ผมไม่เป็นอะไรครับ แต่ไอ้เปี๊ยกนี่สิ”
“ต๊ายย น้องเปี๊ยก โถลูกเอ้ย!”ผมยังไม่ตายครับป้าน้อย แต่แค่เจ็บเท่านั้น ส่วนอาการจุกเริ่มดีขึ้นแล้ว
“พาน้องเปี๊ยกเข้าบ้านก่อนดีกว่าคะคุณเปรม” เป็นความคิดที่ดีมากครับป้าน้อย
พี่เปรมอุ้มผมเข้ามาในบ้าน ก่อนจะหันไปขอบคุณป้าน้อย แล้วบอกให้ป้าน้อยไปนอนและให้เก็บเรื่องทั้งหมดไว้เป็นความลับ อย่าให้คุณตาหรือคุณพ่อรู้เด็ดขาด ป้าน้อยก็บ่นอุบตามประสาแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี
“เจ็บมั๊ยมึง” พี่เปรมวางผมลงบนตะกร้าที่ปูด้วยเบาะนิ่ม พี่เปรมสั่งทำที่นอนนี่มาให้เจ้าเปี๊ยกโดยเฉพาะ จากนั้นก็เอาหมอนหมีพูห์กับตุ๊กตาเต่าแซมมี่ตัวน้อยที่กลายเป็นของประจำตัวของเจ้าเปี๊ยกมาวางไว้ข้างๆ เหมือนพี่เปรมกำลังเลี้ยงเด็กน้อยไม่มีผิด
“หงิงงง” เจ็บสิ เจ็บมากด้วย ตรงซี่โครงเนี่ยโดนเตะเต็มแรงเลย ตีนหนักเป็นบ้า
“แล้วทำไมมึงไม่หลับไม่นอน ไปยืนโง่อยู่ตรงนั้นเป็นกระสอบทรายให้มันทำไมว่ะ” แม้ถ้อยคำจะหยาบกระด้าง แต่การกระทำกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ฝ่ามือใหญ่มอบความอบอุ่นลงบนหัวของผม
“หงิงงง” เค้าเจ็บอยู่นะ อย่าดุนักสิ
“เออๆ กูรู้แล้วว่ามึงเจ็บไม่ต้องมาอ้อน นอนซะ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะพามึงไปหาหมอ”
ผ้าขนหนูผืนน้อยลายตัวการ์ตูนหวานแหววถูกเลื่อนมาคลุมตัวผมใช้แทนผ้าห่ม ผมหลับตาลงพร้อมๆ กับบานประตูห้องน้ำที่ปิดลง และความรู้สึกบางอย่างที่แล่นเข้าสู่จิตใจ ผมชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าคนที่อยู่ในหัวใจผมมาตลอดคือพี่เปรมคนนี้ หรือพี่ปลื้มที่มาหลอกว่าเป็นพี่เปรมกันแน่..
.
.
.
.
TBC...ย่อตัวงามๆ สวัสดีคะทุกคน 
ขอบคุณทุกคนมากนะคะสำหรับทุกกำลังใจ ทุกคอมเม้นต์ที่มีให้น้องเปี๊ยก(เรียกแบบผู้ดี
) และน้องไอ 
ว่าแต่มีใครเป็นแฟนคลับพี่เปรมบ้างคะเนี่ย **เงียบ** 
ไม่เป็นไรค่ะพี่เปรมอย่าเพิ่งร้องไห้ เราแมนๆ เราให้ความรักแก่นายเอกของเราดีกว่า 
กว่าจะลงตอนนี้ได้ ต้องกระเสือกกระสนต่อสู้กับเน็ตแสนกากอยู่นานมากค่ะ
เดี๋ยวหลุด เดี๋ยวหลุด
เอาเชือกมามัดก็ไม่ติดสักที
แต่ก็ดิ้นรนจนลงได้ 
ฝากติดตามและเอาใจช่วยน้องไอและน้องเปี๊ยกกันต่อไปด้วยนะคะ 
ขอบคุณมากๆ ค่ะ 
ริน