Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-9-
เช้าวันรุ่งขึ้นพี่เปรมพาผมมาคลินิกรักษาสัตว์ หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมากแค่มีอาการตกใจค้างและฟกช้ำตรงช่วงท้องนิดหน่อย โชคดีที่ลำตัวถไลไปกับพื้นจึงลดแรงกระแทก เพราะถ้าเป็นหัวไปโหม่งโดนประตูละก็ผมคงหมดสิทธิหายใจไปเลย ก็อย่างที่พี่เปรมเคยบอกนั่นแหละครับว่าชิวาวาเป็นหมาที่กะโหลกบาง ต้องระวังเป็นพิเศษ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ นอกจากผมจะดวงซวยชะตาขาด แล้ว ผมยังได้ทำบาปอย่างมหันต์ที่ไม่สามารถดูแลร่างของเจ้าเปี๊ยกให้อยู่รอดปลอดภัยได้
โดนฉีดยาไปหนึ่งเข็ม แต่รอบนี้ดีหน่อยตรงที่พี่เปรมอุ้มผมไว้ไม่ให้ห่างมือจึงลดความเจ็บลงได้บ้าง เสร็จจากคลินิกพี่เปรมก็ขับรถไปมหาวิทยาลัย พี่เปรมพาผมไปฝากไว้ที่หอพักของรุ่นน้องคนหนึ่ง ส่วนตัวเองและรุ่นน้องก็เข้าไปทำธุระที่คณะ ทิ้งผมไว้ในห้องนั้นตามลำพัง และแอบสงสัยด้วยว่าทำไมพี่เปรมไม่พาผมกลับไปคอนโดแทนที่จะให้มาอยู่ในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นที่มีเนื้อที่จำกัด อันที่จริงห้องก็กว้างขวางดี แต่เนื้อที่ทั้งหมดถูกยึดไปด้วยของมากมายที่วางไว้อย่างระเกะระกะ เอาเป็นว่าอย่าไปสนใจมันเลย ผมเข้าใจดีว่าผู้ชายโสดส่วนใหญ่มันก็เป็นแบบนี้ บางอารมณ์ผมเองก็เป็นเหมือนกัน
นอนเล่นอยู่ดีๆ ก็รู้สึกง่วงไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ยารึเปล่า ผมจึงเผลอหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงของพี่เปรมกำลังคุยอยู่กับใครบางคน ท่าทางกำลังจะตึงเครียดพอดู ลองลืมตาขึ้นดูก็เจอพี่เอื้อ พี่ยุ้ย ส่วนเจ้าของห้องนี้ไปอยู่ที่ไหนผมก็ไม่รู้ขี้เกียจสงสัย ผมอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน นอนตากแอร์กินเผือกกินมันกับบทสนทนาที่ได้ยินอยู่ดีกว่า
“เซ็งมาก” พี่ยุ้ยเขี่ยๆ ของบนโซฟาแล้วทิ้งตัวลงนั่งด้วยท่าทางเซ็งสุดขีด
“แต่กูได้ข่าวว่าอาจารย์หมอที่นั่นดีนะเว้ย” พี่เอื้อตอบพี่ยุ้ยแล้วเดินไปนั่งตรงเก้าอี้โต๊ะคอมพิวเตอร์ ส่วนพี่เปรมหันมามองผมแว่บนึง ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ พี่ยุ้ย
“ไอ้ยุ้ยมันเซ็งเพราะมันต้องห่างเฮียโก้ต่างหาก” เสียงทุ้มนุ่มแบบนี้ แค่ได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าต้องหล่อมาก
“เอาน่ามึง กูมั่นใจว่าเฮียโก้แกไม่ไปมีกิ๊กที่ไหนหรอก เพราะใครก็รู้ว่ามึงดุยิ่งกว่าหมา”
“นี่มึงด่ากูอยู่เหรอไอ้สัตว์เอื้อ”
“กูชมมึงอยู่ต่างหาก ดูอย่างกูสิได้ไปอยู่ทางใต้ห่างจากน้องน้ำหวานของกูหลายร้อยกิโลกูยังไม่รู้สึกเซ็งเลย”
“ก็สันดานมึงจะไปหาใหม่แถวโน้นนี่หว่า” พี่ยุ้ยตอกกลับอย่างสมน้ำสมเนื้อมากจนผมอยากจะลุกขึ้นปรบมือแปะๆ
“เออ กูยอมรับ” พี่เอื้อก็ยิ้มรับในสันดานตัวเองหน้าบานเชียว
“ใครจะโชคดีเหมือนไอ้เปรมว่ะ ได้ไปจังหวัดเดียวกับภาพฟ้า ทำบุญคู่กันมารึเปล่าเนี่ยถามจริง?” เพื่อนทั้งสองคนมองพี่เปรมเป็นตาเดียว รวมทั้งผมด้วยที่หูตั้งขึ้นแทบจะทันที
“หึ..” กระตุกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะในลำคอ แม่จ้าวโว้ยยพี่จะหล่อไปไหนครับเนี่ย
ทั้งพี่ยุ้ยและพี่เอื้อคงคิดแบบเดียวกับผม ทั้งคู่ส่ายหน้าแล้วมองพี่เปรมด้วยสายตาเหยียดหยาม หน้าตาดีไม่แบ่งปันเพื่อนฝูงก็มักจะเป็นแบบนี้แหละครับ
“ว่าแต่มึงเถอะไอ้เปรม ไปอยู่โน่นเนี่ยจะหอบเอาไอ้เปี๊ยกไปด้วยมั๊ยว่ะ?” คำถามจากพี่ยุ้ยทำเอาผมหูตั้งยิ่งกว่าเดิม พี่เปรมเหลือบมองผมเล็กน้อย หัวใจของผมเต้นตุบตับรุนแรง
“ไม่เอาไปว่ะ” ชัดถ้อยชัดคำ
มันเป็นคำตอบที่รุนแรงยิ่งกว่าเวลาที่ผมได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าซะอีก จากมุมที่ผมนอนอยู่ผมมองเห็นพี่เปรมเพียงเสี้ยวหน้า ผมไม่รู้ว่าพี่เปรมคิดอะไรอยู่แต่สิ่งที่รับรู้ได้จากน้ำเสียงเมื่อครู่คือความเย็นชา ถ้าเปรียบว่าหัวใจของผมเป็นแก้วน้ำ ตอนนี้แก้วใบนั้นมันได้หล่นลงมาจากโต๊ะกระแทกกับพื้น แม้มันจะไม่แตกกระจายแต่ก็ร้าวไปหมดทั้งใบ
“แล้วเด็กมึงล่ะ?” หัวใจของผมกระตุกอีกครั้งกับคำถามจากพี่เอื้อ เด็กพี่เปรมคือใคร? ยัยภาพนรกนั่นอีกแล้วเหรอ ก็ไหนบอกว่าไปด้วยกันไง หรือว่าพี่เปรมมีเด็กมีกิ๊กซ่อนไว้อีก
คำถามนี้ทำเอาพี่เปรมเงียบไปนาน แล้วบรรยากาศในห้องก็ดูอึดอัดชอบกล ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนต่างนั่งนิ่งเงียบเฝ้ารอคำตอบจากพี่เปรมเช่นเดียวกับผม
“..........รอเวลา” น้ำเสียงนั้นดูอ่อนแรงผิดไปจากเดิม
อะไรคือรอเวลา?ผมไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ทุกคนกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ พี่เปรมจะไปไหน? ไปทำไม? แล้วยัยภาพนรกนั่นมาเกี่ยวอะไร? พี่เปรมไม่เอาผมไปด้วยนั่นหมายถึงพี่เปรมจะทิ้งผมเหรอ? เด็กนั่นคือใคร? แล้วทำไมพี่เปรมถึงดูเศร้าแบบนั้นเมื่อพูดถึงเด็กคนนั้น? คำถามมากมายลอยเต็มไปหมด ซึ่งแต่ละคำถามที่ผมสงสัยเหมือนยิ่งตอกย้ำให้รู้ว่าผมไม่เคยรู้จักโลกของพี่เปรมเลยแม้แต่น้อย ผมไม่เคยเข้าถึงจิตใจผู้ชายคนนี้เลยสักนิด
“มึงไม่ได้หลอกตัวเองอยู่ใช่มั๊ยว่ะ?” พี่ยุ้ยยกมือขึ้นวางบนหัวไหล่พี่เปรม
“กูมั่นใจว่าเด็กนั่นจะกลับมาแน่นอน” ครั้งนี้พี่เปรมตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่ทว่ามีความเศร้าเจือปนอยู่ในนั้นอย่างชัดเจนด้วยเหมือนกัน
“มึงโอเคใช่มั๊ยว่ะเปรม?” พี่เอื้อถามด้วยความเป็นห่วง
ครืดๆๆ พี่เปรมยังไม่ได้ตอบคำถามของพี่เอื้อ เสียงโทรศัพท์ของพี่ยุ้ยก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน พี่ยุ้ยกดรับแล้วเออๆ ออๆ อยู่สักพักก็วางสายก่อนจะหันมาบอกเพื่อนทั้งสองคน
“ไอ้ริยากับไอ้โบว์เสร็จธุระแล้ว ไอ้เจมส์กับไอ้วิทย์กำลังจะไปรับให้พวกเราไปรอที่ร้านได้เลย ไม่เกินสามสิบนาทีมันจะตามไป” พูดจบทุกคนก็ลุกขึ้นเก็บของสะพายกระเป๋าเตรียมพร้อมออกเดินทาง
“ไอ้เปี๊ยก ลุกขึ้น กูไม่อุ้มนะเว้ย ตามมาเลย ถ้าช้ากูทิ้งมึงแน่” พี่เปรมทำเสียงดุแล้วหันมาชี้หน้าใส่ผม
แค่ได้ยินคำว่า
‘ทิ้ง’ ผมก็กระเด้งตัวลุกขึ้นวิ่งไปที่พี่เปรมทันที ผมเกลียดคำนี้จังเลย เกลียดมากจนอยากจะงับคนพูดให้เลือดกบปาก ออกจากห้องรกนั่นออกมาพี่เปรมก็ไม่ได้อุ้มผมจริงอย่างที่พูด ผมก็ได้แต่รีบจ้ำตามต้อยๆ หัวใจบีบรัดจนขอบตาร้อนผ่าวไปหมด แต่พอถึงหน้าลิฟท์ไอ้ผู้ชายปากพร่อยเมื่อกี้ก็ก้มลงมาจับผมอุ้มไว้ด้วยแขนข้างเดียว พร้อมกับหยดน้ำตาของผมที่ร่วงลงหยดแหมะบนพื้น
.
.
.
.
สำหรับเรื่องเมื่อวันก่อนผมพอจะรู้แล้วว่าที่พี่เปรมคุยกับพี่ยุ้ยและพี่เอื้อในวันนั้นมันเป็นการฝึกงานของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่หกหรือที่เรียกว่าเอ็กซ์เทอร์น ผมจำได้ดีว่าตอนพี่ดินจับฉลากได้ไปเป็นแพทย์ฝึกหัดที่จังหวัดแถบภาคเหนือ คุณป้ามักจะรีบเคลียร์งานแล้วบินไปอยู่กับพี่ดินเป็นอาทิตย์ คุณป้าแกเป็นห่วงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนน่ะครับ ที่ห่วงเนี่ยไม่ใช่เรื่องความเป็นอยู่หรืออาหารการกินอะไรหรอกแต่ห่วงว่าพี่ดินจะโดนสาวบ้านนางาบไปกินมากกว่า และผมก็จำได้ดีว่าการเป็นหมอเอ็กซ์เทอร์นของพี่ดินมันโหดมากขนาดไหน พี่ดินที่ว่าหุ่นดีนักกีฬาถึงกับโทรมและผอมลงไปถนัดตาภายในไม่กี่เดือน และผมก็ได้เจอหน้าพี่ดินแทบจะนับครั้งได้ จนเมื่อพี่ดินจบหลักสูตรกลายเป็นคุณหมออินเทอร์นแบบเต็มตัวนั่นแหละถึงได้ดูดีมีสง่าราศีอีกครั้ง และเหตุผลของการเป็นหมอเอ็กซ์เทอร์นนี้ใช่มั๊ยที่ทำให้พี่เปรมทิ้งผม
สภาพจิตใจของผมในเวลานี้ถึงจุดที่เรียกว่าย่ำแย่ถึงขีดสุด ความอยากอาหารของผมลดน้อยลงโดยอัตโนมัติ นอนไม่ค่อยหลับ สะดุ้งตื่นบ่อยกับฝันร้าย และที่ยิ่งแย่กว่านั้นคือตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อวันนั้นจนถึงตอนนี้ก็เกือบอาทิตย์แล้วผมแทบจะไม่ได้เจอพี่เปรมเลย แม้แต่ช่วงเช้าที่พี่เปรมจะต้องออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งก็ถูกงดไป เพราะพี่เปรมออกจากบ้านเช้ามาก และกลับดึกมากเช่นเดียวกัน กลับมาแค่เรียกชื่อทักทายผมครั้งเดียวแล้วก็อาบน้ำนอน หรือบางคืนก็แค่เหลือบมองเท่านั้น แม้ผมจะรู้ตัวดีว่าตอนนี้พี่เปรมมองผมเป็นแค่หมาตัวหนึ่งเท่านั้น แต่พี่เปรมลืมไปรึเปล่าว่าหมามันก็มีหัวใจเหมือนกัน
อีกสองวันพี่เปรมก็ต้องเดินทาง วันนี้พี่เปรมจึงกลับบ้านเร็วมาจัดกระเป๋าเดินทาง ผมมองแผ่นหลังร่างสูงที่ก้มๆ เงยๆ เลือกหนังสือใส่ลงในกระเป๋า แม้โรงพยาบาลที่พี่เปรมจับฉลากได้จะอยู่แค่ชลบุรี เดินทางจากกรุงเทพไปก็แค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่การเป็นหมอเอ็กซ์เทอร์นมันค่อนข้างหนักหนาสาหัสพี่เปรมคงจะไม่ได้กลับบ้านมาบ่อยๆ จึงต้องพักบ้านพักของทางโรงพยาบาล แล้วมันจะลำบากตรงไหนที่พี่เปรมจะพาผมไปด้วยไม่ได้ ผมจะไม่ทำตัวแย่หรือน่ารำคาญ ผมจะไม่บ่นเวลาพี่เปรมพ่นคำหยาบใส่ ผมจะไม่งอนหรือน้อยใจอะไร หรือพี่เปรมต้องการจะอยู่กับคุณภาพฟ้านั่นแล้วให้ผมไปอยู่แบบไร้ตัวตนก็ได้ ขอแค่อย่าทิ้งผมไว้ก็พอ
“บ๊อกๆ” พี่เปรมพาผมไปด้วยไม่ได้รึไง
มันคือคำอ้อนวอนจากผม ถ้าหากพี่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังสื่อสาร ก็ได้โปรดมองตาผมสักนิด ว่าผมต้องใช้ความกล้าและความพยายามมากแค่ไหนเพื่อเอ่ยคำนี้ออกมา ถ้าผมทำได้ผมอยากจะจับแขนพี่ไว้แล้วพูดซ้ำๆ ย้ำๆ ว่าอย่าทิ้งผมไปได้รึเปล่า เพราะผมไม่มีใครแล้วจริงๆ
“มีอะไรเหรอไอ้เปี๊ยก?” พี่เปรมหันมามองผมแว่บนึงก่อนจะหันกลับไปจัดของต่อ
แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมกล้าที่จะเดินเข้าไปหาพี่เปรมใกล้ๆ ผมนอนลงแล้วเอาคางวางลงบนหลังเท้าใหญ่นั่น ผมดูน่าสมเพชมากใช่มั๊ย? ดูอ่อนแอ ดูงี่เง่าและไร้ศักดิ์ศรี แต่ถ้ามองว่าผมเป็นแค่น้องหมา เป็นแค่เจ้าเปี๊ยกตัวน้อย มองแบบที่พี่เปรมและคนอื่นๆ มองมันเป็นแค่เรื่องธรรมดาที่หมาตัวหนึ่งกำลังจะไขว่คว้าหาที่พึ่งพิง
“อ้อนจะเอาอะไรอีกเนี่ยมึง?” มือคู่ใหม่จับผมอุ้มขึ้นมาห้อยต่องแต่งระดับเดียวกับใบหน้าหล่อคมที่กระตุกยิ้มน้อยๆ แบบผู้ชายขี้เล่น
“ผอมลงนะมึง พี่ชมพู่เค้าฟ้องว่ามึงไม่แดกข้าวเลย ตัวเท่าเมี่ยงคิดจะไดเอททำพ่องมึงเหรอว่ะไอ้เปี๊ยก”
“หงิง” ฮึก..
บ่อน้ำตาแตกจนได้ น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองวาจาเชือดเฉือนของพี่เปรมแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกดีใจด้วยซ้ำ หลายวันที่ผ่านมาผมคิดถึงพี่เปรมที่ปากจัดแต่ใจดีคนนี้จริงๆ
พี่เปรมวางผมลงบนเตียงส่วนตัวเองก็นั่งลงจัดกระเป๋าบนเตียงเหมือนกัน ผมรู้ว่าพี่เปรมรู้ว่าผมเป็นแบบนี้เพราะอะไร แม้พี่เปรมจะไม่ได้เรียนสัตวแพทย์แต่พี่เปรมก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดมองไม่ออกว่าหมาที่กำลังตรอมใจมันเป็นยังไง
“กูจะไม่อยู่พักใหญ่ นานๆ จะได้กลับบ้านสักที เพราะฉะนั้นมึงอยู่ทางนี้ก็ทำตัวดีๆ กับน้องปิ่นด้วยล่ะ” ในที่สุดพี่เปรมก็พูดออกมา แม้จะไม่มีคำว่าทิ้งอยู่ในประโยคแต่ความหมายโดยรวมมันก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย ในเมื่อพี่เปรมก็ทิ้งผมอยู่ดี
ผมเกลียดพี่เปรม!กระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งออกนอกไปนอกห้องนอน โชคดีที่เมื่อครู่ป้าน้อยแง้มประตูเอาไว้ ผมวิ่งลงบันไดแล้วผ่านห้องโถงใหญ่แล้วหยุดยืนกลางสนาม ก่อนจะปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา ผมร้องไห้อยู่นานแค่ไหนไม่รู้ รู้แค่ว่าท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีรัตติกาล และพี่เปรมก็ไม่ได้ออกมาตามผม ตอนนี้ผมเป็นแค่หมามันจะมีความหมายอะไรนักหนา สำหรับพี่เปรม ที่ผ่านมาแค่เค้าใจดีด้วยหน่อยก็หลงระเริงคิดไปไกล อย่าสำคัญตัวเองนักเลยพบรัก นายมันก็แค่ไอ้เปี๊ยกนั่นแหละ
มองซ้ายขวารอบตัว ค่ำคืนนี้ผมรู้สึกหนาวแปลกๆ บรรยากาศก็ดูวังเวงชอบกล ปกติเวลาค่ำแบบนี้ผู้คนในบ้านยังเดินกันให้เห็นบ้าง แต่วันนี้กลับดูเงียบผิดปกติ ผมเดินช้าๆ อยู่ในสนาม ผมไม่เคยออกมาเดินกลางคืนแบบนี้ ผมจึงรู้สึกได้ว่าทุกอย่างดูน่ากลัว บางทีมันอาจจะเป็นเพราะจิตใจที่ย่ำแย่ของผมจึงทำให้มองดูอะไรก็เคว้งคว้างไปหมด
เดินไปเดินมาผมก็หยุดยืนอยู่หน้าศาลพระภูมิของบ้าน ผมนั่งลงแล้วมองไปที่ดอกไม้และพวงมาลัยที่ยังสดอยู่ ท่าทางจะมีคนมาไหว้ศาลเมื่อเช้านี้ ปกติผมไม่ได้เป็นประเภทที่เชื่อพวกเรื่องที่มองไม่เห็นพิสูจน์ไม่ได้แต่ก็ไม่เคยคิดลบหลู่ แต่ตั้งแต่ที่ผมหลุดเข้ามาอยู่ในร่างของเจ้าเปี๊ยกมันทำให้ผมเชื่อว่าเรื่องแบบนี้มีอยู่จริง ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้ ถ้าเล่าให้ใครฟังก็คงจะมีแต่คนหัวเราะเยาะหรือไม่ก็คงคิดว่าผมบ้าไปเลยก็ได้ แม้แต่แม่ก็คงจะไม่เชื่อผมหรอก ที่ผ่านมาไม่ว่าจะทุกข์ใจหรือทรมานอึดอัดแค่ไหนผมก็ไม่สามารถบ่นหรือระบายให้ใครฟัง จะมีก็แต่พี่เปรมที่ทำให้ผมลืมเรื่องพวกนั้นไปได้ ทำให้ผมมีกำลังใจที่อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง แต่แล้วพี่เปรมก็มาทิ้งผมไว้กลางทาง ปล่อยให้ผมเป็นพี่ปั๊ปมันฝรั่งซะงั้น
ผมน้อมตัวลงกับพื้นหญ้าสนามแล้วก้มหัวตรงหน้าศาล ทำความเคารพในแบบที่หมาตัวหนึ่งพอจะทำได้ จากนั้นก็ตั้งจิตอธิษฐาน
‘ท่านพระภูมิเจ้าที่ขอรับ ผมชื่อนายพบรัก รัชชารักษ์ ร่างของผมในขณะนี้นอนป่วยเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ดวงจิตของผมอยู่ในร่างของน้องหมาตัวนี้ ผมทรมานเหลือเกินขอรับ ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม ได้โปรดเมตตาช่วยให้ผมกลับคืนสู่ร่างของผมด้วย และช่วยเรียกดวงจิตของน้องหมาตัวนี้กลับคืนสู่ร่างของมันด้วยเถิดขอรับ ถ้าหากท่านช่วยให้ผมกลับคืนสู่ร่างได้ ผมจะ........’นั่นสิ ผมจะทำอะไรดีนะ??ขณะที่กำลังเอียงคอ ครุ่นคิด ใช้สมองประมวลผลอย่างตั้งใจอยู่นั้น กลางท้องฟ้าก็เกิดแสงวาบ ผมรับรู้ด้วยสันชาตญาณว่ามันคือแสงฟ้าแล่บ ผมหลับตาปี๋ยกขาหน้าขึ้นปิดหูในทันที
เปรี้ยงงงง!!ลมแรงพัดมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวนับล้านเมื่อครู่ถูกกลบด้วยเมฆดำทะมึน สมองของผมบอกว่าให้วิ่งหลบเข้าไปในบ้าน แต่ร่างกายเจ้ากรรมกลับแข็งทื่อจากเสียงฟ้าเมื่อครู่ ผมกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมองรอบตัวด้วยซ้ำ ทำไมอากาศมันถึงแปรปรวนในตอนนี้ด้วยนะ
หมับ!“เอ๋งง” เฮ้ยย!
ผมที่ไม่ทันได้ระวังตัว จู่ๆ ขาหลังข้างหนึ่งของผมถูกจับเหวี่ยงขึ้นจากพื้นอย่างแรง ผมตกใจอย่างสุดขีด และยิ่งได้เห็นว่าคนที่กระทำรุนแรงแบบนี้คือใครความกลัวก็แล่นวาบไปทั่วสันหลัง
“สวัสดี.. เจอกันอีกแล้วนะมึง” เขื่อนเป็นเด็กผู้ชายที่หน้าสวย แต่ดวงตาที่แข็งกร้าว และการกระทำที่ไร้จิตใจทำให้ใบหน้าสวยๆ นั้นดูเหมือนซาตานไม่มีผิด
“บ๊อกๆ” ไอ้เด็กเปรต ไอ้สันดานต่ำ มึงปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ
“หึ คราวนี้มึงคิดว่ามึงอย่าคิดว่าจะรอด”
“บ๊อกๆๆ” มึงต้องการอะไร กูไปทำอะไรให้มึงตอนไหนไม่ทราบ!!
“เห่าใส่หน้ากูเหรอว่ะ ปากดีนักนะมึง” ผมเพิ่งเห็นว่าไอ้เด็กเลวนี่มันเตรียมของอะไรบางอย่างมาด้วย อย่างกับว่ามันเตรียมพร้อมทุกอย่างมาดีแล้ว
“หงิ๊.....” เทปกาวถูกปิดพันรอบปากของเจ้าเปี๊ยก ผมรับรู้ถึงความเจ็บปวดของเส้นขนที่ถูกกาวเหนียวดึงรั้งนั้นไว้ มันเจ็บจนน้ำตาไหลออกมา และมันก็ทำให้ผมหายใจไม่ออก
ยิ่งผมดิ้นรนเท่าไหร่ ไอ้เด็กเลวก็ออกแรงหนักขึ้นเท่านั้น มันเอาเชือกมามัดพันธนาการขาทั้งสี่ข้างไว้อย่างแน่นหนาจนผมไม่สามารถจะกระดิกตัวไปไหนได้ เจ้าเปี๊ยกเป็นหมาพันธุ์เล็กระดับพละกำลังมีน้อยอยู่แล้ว หนำซ้ำผมที่ใช้ร่างมันอยู่ยังไม่ดูแล ปล่อยให้ร่างอายมันอ่อนแอ ถ้าหากว่าร่างนี้เป็นอะไรไปแล้วผมจะมีหน้าไปเจอเจ้าเปี๊ยกที่ยมโลกได้ยังไง ผมทำผิดกับมันมากเหลือเกินที่เลินเล่อไม่ระวังตัวถึงเพียงนี้
“กูจะทำลายทุกอย่างที่ไอ้เหี้ยเปรมมันรัก กูจะทำให้ไอ้เหี้ยเปรมเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด” เสียงที่กดต่ำนั้นฟังดูน่ากลัวราวกับมัจจุราช
ทำลายทุกอย่างที่พี่เปรมรัก และทำให้พี่เปรมเจ็บปวดที่สุดอย่างนั้นเหรอ? ทำไม? เด็กคนนี้โกรธแค้นอะไรพี่เปรมถึงขนาดต้องฆ่าต้องแกงสิ่งมีชีวิตกันขนาดนี้ แล้วคิดรึไงว่าฆ่าผมไปแล้วพี่เปรมจะเจ็บปวด ถ้าผมพูดได้ในตอนนี้ผมอยากจะถามมันเหลือเกินว่ามึงเอาเซลล์ประสาทสมองส่วนไหนมาคิดว่ากูที่เป็นหมาและกำลังจะโดนทิ้งมีความสำคัญขนาดที่จะทำให้พี่เปรมเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดอย่างนั้นเหรอ
ไอ้จัญไรสมองเง่า!เพราะด่าไม่ได้ ผมจึงทำได้เพียงส่งสายตาสาปแช่งมันออกมา แต่ไอ้เด็กเลวมันก็ไม่ได้สะทกสะท้านสักนิด ผมสาบานว่าถ้าผมรอดและกลับร่างไปได้เมื่อไหร่ผมจะต่อยให้หมอนี่ให้คว่ำคาตีนงามๆ ของผมให้ได้ มันเอากระสอบมาจากไหนไม่รู้แล้วจับผมโยนใส่ลงไป ก่อนจะผูกปิดปากกระสอบไว้ ผมมองเห็นเพียงแค่ความมืด รับรู้เพียงความเคลื่อนไหวและแรงกระแทก มันคงจะเอากระสอบนี้ไปทิ้งที่ไหนสักแห่ง
ตุบ!‘โอ๊ยย!! เจ็บ!’ ผมได้แต่ร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ในใจ
“กูอยากเห็นตอนมันมาเจอศพมึงจริงๆ ว่ามันจะทำหน้ายังไง ฮ่าๆ” นี่มันเข้าขั้นโรคจิตชัดๆ
ไม่เข้าใจว่าในครอบครัวที่มีหมอที่เก่งระดับประเทศอยู่ในบ้านถึงสองคน และยังจะว่าที่คุณหมอที่หล่อที่สุดในประเทศอีกหนึ่งคนทำไมถึงปล่อยให้มีเด็กโรคจิตแบบนี้อยู่ในสังคมได้ และผมก็ไม่เชื่อว่ามันจะทำกับผมเป็นตัวแรก เพราะเท่าที่รู้ตอนเด็กๆ พี่เปรมเคยเลี้ยงหมาพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ไว้ด้วย แต่มันหายไปหาเท่าไหร่ก็ไม่มีใครเจอ หลังจากนั้นพี่เปรมก็ไม่เคยเลี้ยงหมาหรือแมวอีกเลย
เสียงฝีเท้านั่นค่อยๆ ห่างไปจนเหลือแค่ความเงียบ ผมกลัวเหลือเกิน เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ราวกับนานนับชั่วกัปชั่วกัลป์ ผมกระเสือกกระสนอย่างสุดความสามารถ ผมยังไม่อยากตาย ผมจะต้องไม่ตายแบบนี้ แต่เหมือนว่ายิ่งออกแรงมากเท่าไหร่ก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจก็เต้นช้าลงทุกที มันอ่อนแรงเสียจนแค่จะหายใจก็ยังรู้สึกเหนื่อย และมันก็อ่อนล้าเสียจนเปลือกตารู้สึกหนักไปหมด ราวกับว่าผมกำลังร่วงหล่นลงสู่หลุมมืดดำที่ไม่รู้ว่าก้นเหวนั้นลึกเพียงใด รอบด้านมีแต่ความมืดทะมึนที่ทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
แต่แล้วในช่วงเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างใกล้หมดสิ้นแล้วนั้น ร่างของผมก็ถูกอะไรบางอย่างกัดที่ต้นคอ แล้วกระชากให้กลับขึ้นสู่ปากเหว
‘บ๊อกๆ’ ผมได้ยินเสียงเห่าแว่วอยู่ใกล้ๆ พร้อมๆ กับสัมผัสชื้นที่แล่บเลียอยู่บนหน้า
ผมพยายามลืมตาขึ้นมอง ท่ามกลางความมืดมิดนั้นผมมองเห็นน้องหมาตัวหนึ่งอยู่ตรงหน้า น้องหมาที่มีสีขน รูปร่าง และหน้าตาเหมือนเจ้าเปี๊ยกไม่มีผิดเพี้ยน และมันกำลังยิ้มให้ผม
‘บ๊อกๆๆ’ มันเห่าเพื่อเรียกสติของผม จากนั้นมันก็หันหลังแล้ววิ่งหายไปในความมืด ผมรู้ว่ามันกำลังจะไปตามคนมาช่วยผม
ผมได้ยินเสียงฟ้าคำรามโครมคราม ถ้าผมจำไม่ผิด ผมเคยบอกว่าในโลกนี้สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือเสียงฟ้า แต่ตอนนี้ผมขอเพิ่มความกลัวอีกอย่างหนึ่งเข้ามานั่นคือ
‘ความตาย’ อ๊ะ! ความตาย.. ผมนึกออกแล้ว ผมจำได้แล้ว ความทรงจำที่สูญหายไปนั้น..
และก่อนที่สติของผมจะดับวูบไปผมได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเรียกผมอยู่ไกลๆ เป็นสองเสียงที่ซ้อนกัน
‘ไอ้เปี๊ยก’ เสียงพี่เปรม..
‘น้องไอ’ และนั่นคือเสียงของพ่อ..
TBC..
กลับมาแล้วค่าาาา
นั่งอ่านความคิดเห็นของทุกคน กดน้องเป็ด + ให้ทุกคนเลยคะ 
ขอบคุณมากๆ นะคะที่ชอบนิยายเรื่องนี้กัน 
นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นคะ เรื่องราวยังอีกยาวไกล(มาก)
ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งน้องเปี๊ยก น้องไอ และพี่เปรมไปก่อนนะคะ 
และเพื่อเป็นการขอบคุณ เดี๋ยวรินจะเขวี้ยงเด็กเขื่อนไปให้ทุกคนเป็นรางวัล 
ปล. เดี๋ยวตอนต่อไปรินขอลงให้วันจันทร์หน้านะคะ ขอเคลียร์ชีวิตสักสามสี่วันนะคะ 