Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-10-
ปีสุดท้ายของการเรียนแพทย์ ถือว่าเป็นการเรียนที่หนักที่สุดในบรรดาหกปี นักศึกษาแพทย์ทุกคนจะต้องทำงานเปรียบเสมือนเป็นแพทย์จริงๆ ได้ตรวจผู้ป่วย ให้การรักษาผู้ป่วยด้วยตนเอง และต้องทำหัตถการหลายๆอย่างได้เอง โดยมีอาจารย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะผิดพลาดไม่ได้โดยเด็ดขาด เราเรียกการฝึกงานเช่นนี้ว่าเอ็กซ์เทอร์น เพราะเมื่อจบปีนี้ไปก็จะต้องปฏิบัติงานเป็นแพทย์จริงๆ อาจารย์จึงจะค่อนข้างเคี่ยวกับเอ็กซ์เทอร์นมาก ดังนั้นการเรียนปีนี้จึงทั้งหนัก และเครียด บางครั้งอาจจะได้นอนเพียงวันละสามสี่ชั่วโมงติดต่อกันเป็นสัปดาห์เลยก็ได้ ด้วยเหตุนี้ผมจึงตัดสินใจว่าจะไม่เอาไอ้เปี๊ยกติดสอยห้อยตามไปลำบากด้วย เพราะอย่างที่รู้กันว่าสัตว์เลี้ยงทุกชนิดโดยเฉพาะน้องหมาน้องแมวค่อนข้างจะขี้เหงา ขืนปล่อยทิ้งไว้บ่อยๆ มันคงจะกลายเป็นหมาซึมเศร้า และอีกเหตุผลของผมก็คือผมอยากจะให้มันอยู่ที่บ้าน เพื่อรอเจ้านายของมันมากกว่า ผมคิดว่าอีกไม่นานเจ้านายของมันจะกลับมาและคงจะดูแลมันได้ดีกว่าผมแน่นอน
การคัดเลือกสถานที่ฝึกการปฏิบัติงานของหมอเอ็กซ์เทอร์นใช้วิธีการจับฉลาก งานนี้ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมครับ ต่อให้ผมมีเส้นสายใหญ่โตแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งคุณตาและคุณแม่ของผมเป็นประเภทชอบให้ลูกหลานได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตด้วยตัวเอง ต่อให้ผมจับฉลากได้ไปอยู่โรงพยาบาลแถวชายแดนท่านก็สนับสนุนครับ เพราะไม่ว่ายังไงสุดท้ายแล้วเมื่อถึงเวลาที่พวกท่านเห็นว่าเหมาะสมตัวผมก็จะต้องกลับมาดูแลโรงพยาบาลของตระกูลอยู่ดี และสำหรับผมแล้วไม่ว่าจะได้เอ็กซ์เทอร์นที่ไหนผมก็พร้อมที่จะทำมันให้เต็มที่และสุดความสามารถ
ผมมีเวลาไม่กี่อาทิตย์ในการเตรียมตัวหลายๆ อย่าง รวมถึงเรื่องของเด็กที่ชื่อพบรัก หรือไอ ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมถึงต้องทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อเด็กคนนี้ ผมรับเลี้ยงไอ้เปี๊ยกทั้งๆ ที่ผมเคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่เลี้ยงหมาหรือแมวอีกเด็ดขาด ทุกวันผมจะต้องตื่นเช้าเพื่อไปเลือกดอกไม้ที่ร้านของพี่ทิพย์เพียงเพื่อจะได้ดอกไม้ที่สดใหม่ก่อนใคร ผมที่ไม่ชอบอะไรเกี่ยวกับวงการเกาหลีก็ต้องมานั่งเปิดอ่านและติดตามข่าวสารแฟชั่นใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับนักร้องที่ชื่อจีดราก้อน หรือแม้กระทั่งผมที่ไม่มีความรู้เรื่องศิลปะเลยสักนิดกลับต้องมาทำความเข้าใจในเรื่องงานศิลป์ ผมที่ไม่ชอบจะทุ่มเทและทำอะไรเพื่อใครเท่าไหร่แต่กลับรู้สึกอยากจะทำอะไรมากมายเพื่อคนๆ เดียว คนที่ไม่ใช่แฟน ไม่ใช่คนรัก แม้แต่สถานะของคนรู้จักผมก็ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะเคยรู้มั๊ยว่าผมคือใครและมีตัวตนอยู่จริงบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เงาที่ถูกปิดบังไว้เท่านั้น
“คุณเปรมจะกลับแล้วเหรอคะ?” ทันทีที่ผมลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้นั่งข้างเตียงผู้ป่วย คุณแม่ของคนบนเตียงผู้ป่วยก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ครับ”
“ต้องขอบคุณมากเลยนะคะ มาอยู่เป็นเพื่อนน้องไอทุกวันแบบนี้”
“ผมเต็มใจครับ” แม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่ว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ แต่ผมไม่เคยรู้สึกเบื่อสักนิด บางทีนั่นอาจเป็นเพราะว่าผมเต็มใจที่จะทำ
คุณน้าเจโกะยิ้มให้ผม แต่ผมคิดว่ามันเป็นรอยยิ้มที่เศร้าเหลือเกิน เธอหันไปมองลูกชายเพียงคนเดียวที่นอนนิ่งคล้ายคนหลับลึกในห้วงนิทราอยู่บนเตียง เกือบสองเดือนแล้วที่ลูกชายของเธอนอนอยู่แบบนี้ เป็นเจ้าชายนิทราที่ไม่รู้ว่าจะฟื้นเมื่อไหร่ ไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้แม้กระทั่งคุณแม่ของผม
“น้องไอหลับนานจังเลยน๊า” ถ้าฟังเพียงผิวเผิน ก็เหมือนกำลังบ่นธรรมดา แต่ผมรู้ได้ว่าหัวใจของคนเป็นแม่กำลังร้องไห้และเจ็บปวดแสนสาหัส
“คุณแม่บอกเองไม่ใช่เหรอครับว่าน้องไอไม่เคยขาดเรียนเลย อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะเปิดเทอมแล้ว ผมคิดว่าน้องไอต้องฟื้นแน่ๆ ครับ” ผมคิดแบบนั้นจริงๆ ยิ่งตั้งแต่ได้รับรู้ผลตรวจของคนบนเตียงผมก็ยิ่งมั่นใจว่าเด็กนี่ต้องฟื้นแน่ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเอาความมั่นใจแบบนี้มากจากไหน แต่ผมก็ยังยืนยันในคำเดิม
“นั่นสินะ” คุณน้าเจโกะหันมายิ้มให้กับผมอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มขอบคุณ
เดินออกมาจากห้อง โดยคุณน้าเจโกะเดินออกมาส่งขึ้นลิฟท์ ก็ได้เจอกับสามีของคุณน้าเจโกะซึ่งมากับเพื่อนสนิทของเด็กพบรักนั่น คุณโทมัสเป็นนักธุรกิจชาวสวิสเซอร์แลนด์ ถือว่าเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงพอตัวเพราะคุณพ่อผมก็ยังรู้จักและดูออกว่าเป็นคนดีมากคนหนึ่ง ส่วนเพื่อนสนิทของเด็กนั่นเป็นน้องชายของพี่ดินพี่รหัสของผม เคยเจอกันอยู่หลายครั้งตั้งแต่เข้าค่ายซัมเมอร์เพราะไอ้เด็กดีนนี่มาขายขนมจีบน้องปิ่นน้องสาวของผม ท่าทางดูเจ้าชู้ใช่ย่อย อีกอย่างหนึ่งคือมันชอบมองผมแปลกๆ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นน้องชายพี่ดินผมคงจะเตะโด่งให้หลุดจากวงโคจรของชีวิตน้องปิ่นไปนานแล้ว
ผมทักทายกับคุณโทมัสนิดหน่อย ส่วนกับไอ้ดีนผมแค่รับไหว้เฉยๆ ก็ถือว่าใจดีมากแล้ว จากนั้นคุณน้าเจโกะก็ไล่สามีและเพื่อนสนิทของลูกชายให้ไปรอในห้อง เพราะเธอจะอยู่รอส่งผมก่อน
“คุณเปรมจะเดินทางวันไหนเหรอคะ?”
“อีกสองวันครับ แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้ช่วงบ่ายผมจะแวะเข้ามาอีกครั้งครับ”
“ลำบากคุณเปรมแย่เลย”
“บอกแล้วยังไงครับว่าผมเต็มใจ”
คุณน้าเจโกะเป็นคนสวยที่ดูน่ารัก ไม่ว่าจะกิริยาท่าทางหรือคำพูดคำจาที่แสดงออกมาแบบสาวญี่ปุ่นทำให้ดูมีสเน่ห์มากขึ้น มันทำให้ผมคิดถึงลูกชายของเธอ ลูกชายเพียงคนเดียวที่ถอดสำเนาถูกต้องทางด้านกายภาพมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ถ้าน้องไอเป็นลูกสาว คุณแม่จะยกให้คุณเปรมจริงๆ น๊า” คุณน้าเจโกะยิ้มจนดวงตาหยักโค้ง
“ผมคิดว่าควรจะถามน้องไอก่อนดีกว่านะครับ” อยากจะหัวเราะอยู่หรอกครับ แต่มันขำไม่ออกนี่สิ ตรงกันข้ามผมรู้สึกว่าก้อนเนื้อด้านซ้ายของตัวเองมันเต้นจังหวะแปลกๆ
“น้องไอไม่กล้าขัดคุณแม่หรอกนะ หรือว่าคุณเปรมรังเกียจลูกคุณแม่คะ?”
“ผมไม่เคยคิดรังเกียจน้องไอเลยครับ” ก็ถ้าลูกคุณน้าเจโกะเป็นผู้หญิงก็คงน่ารักเหมือนคุณน้าแล้วผมจะไปรังเกียจได้ยังไงล่ะครับ แต่นี่ลูกของคุณน้าเป็นผู้ชายแล้วเราก็ไม่เคยรู้จักกันเลยนะครับ ไม่ใช่สิ เป็นผมคนเดียวมากกว่าที่รู้จักลูกชายของคุณน้าเจโกะ แต่ลูกชายของคุณน้าไม่เคยรู้จักผมที่ชื่อเปรมนทีป์คนนี้เลยต่างหาก
“ดีใจจัง” ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนถูกใจอะไรสักอย่าง
เสียงลิฟท์ดังขึ้นว่าหมดเวลาและประตูลิฟท์ก็เปิดออก
“คุณแม่ไม่รบกวนแล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะ” ผลักผมเข้าไปในลิฟท์เบาๆ จากนั้นก็ยืนส่งโบกมือด้วยรอยยิ้มที่ผมรู้สึกเสียวสันหลังนิดๆ
“ครับ สวัสดีครับ” ผมตะโกนออกไปบอกลา เมื่อประตูลิฟท์ปิดลงผมก็ได้แต่ยืนงงอยู่อย่างนั้น ผมคิดว่าคุณน้าเจโกะกำลังเข้าใจอะไรบางอย่างระหว่างผมกับน้องไอผิดอยู่นะครับ หรือไม่บางทีผมก็คงจะคิดมากไปเอง
ผมกดปุ่มหมายเลขชั้นสูงสุดของโรงพยาบาล รอจนเสียงลิฟท์ดังขึ้นอีกครั้ง ประตูเปิดออกผมก็เดินไปยังห้องที่มีป้ายติดว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาล คุณเลขาหน้าห้องส่งยิ้มหวานให้ผมก่อนจะรีบกุลีกุจอลุกขึ้นไปเตรียมของว่าง ผมจึงเคาะประตูหน้าห้องเพื่อรอฟังคำอนุญาตก่อนจะเปิดประตูเข้าไป ก็เจอคุณแม่กำลังนั่งคุยอยู่กับคุณตาตรงชุดโซฟารับแขก ทั้งสองท่านหันมาส่งยิ้มให้ผม คุณตาเรียกผมไปนั่งข้างๆ แล้วชี้ให้ดูแผ่นกระดาษเกี่ยวกับผลการรักษาและแผ่นเอ็กซ์เรย์ที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ผลตรวจล่าสุดของผู้ป่วยพบรัก รัชชารักษ์” คุณตาบอกผมพลางหยิบแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้ผมดู
มันเป็นผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง หรือที่เรียกย่อๆ ว่าอีอีจี ซึ่งเป็นการบันทึกประจุไฟฟ้าจากส่วนต่างๆ ของสมองผ่านออกมาถึงกะโหลกศีรษะมายังเครื่องมือตรวจอีอีจีในลักษณะรูปคลื่น ความถี่ และความสูงต่ำของคลื่น โดยจะอ่านผลจากการตรวจจากคลื่นความถี่เหล่านี้ ผมอ่านค่าตามความรู้ที่ร่ำเรียนมาอย่างตั้งใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบสายตาของคุณตาและคุณแม่กำลังมองผมราวกับต้องการจะทดสอบความรู้ของผมไปในตัว
“จากผลอีอีจี บอกชัดเจนว่าน้องไอแค่กำลังนอนหลับไปเฉยๆ ครับ” แม้ผมจะมีความรู้แค่ขั้นพื้นฐานในการอ่านค่าผลวินิจฉัย แต่ดูคร่าวๆ ก็พอจะรู้ว่าจากผลการตรวจนั้นค่อนข้างจะมีเปอร์เซ็นต์ในการฟื้นตัวค่อนข้างมากเพราะระบบประสาทในร่างกายของผู้ป่วยยังคงทำงานปกติราวกับว่าผู้ป่วยเพียงแค่นอนหลับพักผ่อนอยู่เท่านั้น
“ใครสอนให้เรียกผู้ป่วยแบบนั้น” ดวงตาใต้กรอบแว่นหนามองผมอย่างตำหนิ คุณตายึดถือและเคร่งครัดในเรื่องจรรยาบรรณในวิชาชีพยิ่งสิ่งใด และผมก็พลาดไปแล้วครับ
“ขอโทษครับ”
มันไม่ง่ายเลยครับสำหรับการทำหน้าที่หมอที่ดี คุณตาสอนผมให้คิดเสมอว่าผู้ป่วยทุกคนก็คือญาติของเรา เพราะฉะนั้นเราต้องรักษาพวกเค้าให้ดีที่สุดและเท่าเทียมกัน แต่กระนั้นในการเรียกขานผู้ป่วยก็ต้องให้เกียรติอีกฝ่ายด้วย จะมาเรียกสนิทสนมแบบที่ผมใช้เมื่อครู่ไม่ได้เด็ดขาด
“เมื่อครู่แม่ให้พยาบาลไปเชิญคุณเจโกะมาแล้วจ๊ะ” คุณแม่ที่เข้าใจสถานการณ์ดีส่งยิ้มมาให้ผม พร้อมกับรอยยิ้มปลอบโยน
“แล้วนี่คุณเปรมจะกลับเลยรึเปล่า หรือจะรอทานข้าวเย็นกับคุณแม่และคุณตาก่อนคะ” คุณแม่กำลังเบี่ยงเบนประเด็นความสนใจจากเรื่องเมื่อครู่
“ผมว่าจะกลับไปจัดกระเป๋าสักหน่อยน่ะครับ” ผมบอกคุณแม่ไปตามความจริง
อีกสองวันผมก็จะเดินทางไปเป็นหมอเอ็กซ์เทอร์นที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้จัดกระเป๋าเก็บของอะไรสักอย่าง จึงคิดว่าจะกลับไปเตรียมตัวสักหน่อย ส่วนเรื่องคุณตาของผมจริงๆ แล้วท่านเป็นคนใจดีมากครับ จะมีอยู่ไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่ท่านจะเข้มงวดอย่างจริงจัง ซึ่งผมเข้าใจดีว่าเป็นเพราะท่านรักและเป็นห่วง
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับเถอะ ถ้าช้ากว่านี้รถจะติดเดี๋ยวก็ไม่ทันไปทานข้าวเย็นกับคุณยาย” ผู้อาวุโสสูงสุดในที่นี้พยักเพยิดบอกผมให้รีบกลับบ้าน คงจะกลัวว่าคุณยายจะต้องทานข้าวเย็นคนเดียวล่ะสิท่า
“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับ” ผมลุกขึ้นลาพวกท่าน แต่คุณแม่ก็ยังลุกขึ้นเดินมาส่งผมถึงหน้าลิฟท์
“คุณเปรมดีใจใช่มั๊ย?” ใบหน้าที่อ่อนโยนระบายยิ้มอ่อน
ผมส่งยิ้มให้คุณแม่ ผมเข้าใจและรู้ดีว่าคุณแม่กำลังพูดถึงเรื่องใด ผลการตรวจครั้งล่าสุดของผู้ป่วยพบรัก รัชชารักษ์ มันเป็นผลวินิจฉัยที่อยู่ในเคสกรณีพิเศษเพราะขนาดคุณตาที่เป็นแพทย์ศัลยประสาทมากว่าครึ่งชีวิตยังเพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก แต่จากผลเมื่อครู่เปอร์เซ็นต์การฟื้นจากนิทรามีมากกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์ เพียงแค่ต้องรอเวลาเท่านั้น ซึ่งผมก็คิดว่าอีกไม่นานนี้แน่นอน
“คำถามนี้คุณแม่ควรจะถามปลื้มมันมากกว่านะครับ” นี่คือความจริงที่คุณแม่และทุกคนควรจะรับรู้
เด็กนั่นเป็นแฟนของปลื้มชลล์ ไม่ใช่เปรมนทีป์ คุณแม่ก็รู้เรื่องนี้ดี จะเรียกว่ารู้ทุกอย่างเลยก็ได้ เพราะวันที่ไอ้ปลื้มกลับบ้านไปทั้งที่หน้าปูดบวมเพราะโดนผมต่อยนั้น คุณแม่ก็จัดการซักฟอกมันจนขาวสะอาด ผลจากการกระทำครั้งนั้นทำให้ไอ้ปลื้มโดนคุณแม่หักค่าขนมรายเดือนไปครึ่งหนึ่ง โดนยึดบัตรเครดิตไปสองใบ เหลือไว้ให้ใช้แค่ใบเดียวซึ่งมีวงเงินไม่มากมาย และที่สำคัญก็คือคุณแม่สั่งห้ามไอ้ปลื้มมีแฟนใหม่จนกว่าเด็กพบรักจะฟื้นและหายเป็นปกติดีเพราะไอ้ปลื้มจะต้องมาชดใช้ในสิ่งที่ได้กระทำไว้ งานนี้แม้แต่คุณพ่อก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะคุณพ่อเองก็เคารพรักคุณแม่ยิ่งกว่าสิ่งใด คุณแม่ว่ายังไงคุณพ่อก็ว่าอย่างนั้น แต่เรื่องนี้ห้ามเข้าหูคุณตาเด็ดขาดนะครับ ก็อย่างที่บอกว่าคุณตาเป็นคนเข้มงวดในเรื่องความถูกต้อง และเรื่องที่หลานจะเป็นเกย์คุณตาก็ไม่มีวันเห็นด้วยเหมือนกัน
“อ่อ นั่นสินะ แม่ขอโทษนะคะ” มือคู่ที่แสนอบอุ่นบีบมือผมไว้เบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณแม่ ยังไงผมกลับก่อนนะครับ” ผมดึงผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดในชีวิตเข้ามากอดไว้เบาๆ เพื่อให้ท่านรู้ว่าผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ หรือจะพูดให้ถูกก็คือผมไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกอะไรมากกว่า
“ขับรถกลับบ้านดีๆ นะลูก แล้วเจอกันที่บ้านนะคะ” คุณแม่ส่งผมจนบานประตูลิฟท์ปิด
ผมมองตัวเลขที่ค่อยๆ ไต่ระดับลงเรื่อยๆ ก่อนจะเบนสายตาไปมองเงาตัวเองที่สะท้อนจากกระจกในลิฟท์ ผมกำลังยิ้ม ผมยอมรับก็ได้ครับว่าผมดีใจที่ความหวังว่าเด็กนั่นจะฟื้นมีมากขึ้น ผมอยากจะเห็นเด็กคนนั้นตื่นขึ้นมายิ้ม หัวเราะ และได้ทำอะไรๆ ในสิ่งที่ตัวเองรัก แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้ตัวดีว่าเมื่อไหร่ที่เด็กนั่นลืมตาขึ้นมา เปรมนทีป์ก็จะต้องหายสาบสูญไป ถ้าอย่างนั้นจริงๆ แล้วผมควรดีใจหรือเสียใจกันแน่ ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยด้วยความเคยชินเมื่อเวลาที่ค่อนข้างจะสับสน
.
.
.
.
กลับมาถึงบ้านตอนสี่โมงเย็น พี่ชมพู่ก็ฟ้องเรื่องไอ้เปี๊ยกเหมือนเคย พี่ชมพู่บอกว่าไอ้เปี๊ยกไม่ยอมแตะข้าวแตะน้ำเลย ขนาดเอาช้อนจ่อถึงปากก็ยังเมิน วันๆ เอาแต่นั่งทำเอ็มวีเพลงอกหักรักคุด นี่ไอ้เปี๊ยกกลายเป็นหมาหงอยหมาซึมเศร้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ไม่ทันได้สังเกต แต่ผมจะไม่ปล่อยให้มันผอมโซตายไปก่อนจะได้เจอเจ้านายของมันแน่นอน
หลังจากทานมื้อเย็นและนั่งคุยเล่นกับคุณยายเสร็จ ผมก็ขึ้นไปจัดกระเป๋า ไอ้เปี๊ยกที่นอนอยู่ในตะกร้าที่ผมสั่งทำมาเป็นพิเศษหันมามองหน้าผมเล็กน้อย มองแล้วก็หันกลับไม่มีแม้แต่จะกระดิกหางต้อนรับเหมือนอย่างเคย ซึ่งผมรู้ได้ทันทีว่านี่คืออาการของไอ้เปี๊ยกตอนกำลังงอน ว่าแต่มันงอนผมเรื่องอะไรกันหว่า??
ผมเดินไปหยิบเลือกของใช้ที่จำเป็น รวมทั้งหนังสือเรียนบางเล่มออกมาวางเพื่อเตรียมจัดใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ผมกะว่าจะเอากระเป๋าเดินทางไปแค่ใบเดียวกับเป้อีกหนึ่งใบแค่นั้นก็พอ
“บ๊อกๆ” จู่ๆ ไอ้เปี๊ยกก็เห่าขึ้นเบาๆ
น่าแปลกที่เสียงเห่านั้นทำให้ผมยิ้ม ที่ผมไม่ง้อไอ้เปี๊ยกเพราะไม่อยากให้มันเหลิง ยิ่งวันนี้ที่ผมได้เห็นผลตรวจของเด็กนั่นกับตาผมก็ไม่อยากจะตามใจมันมากนักกลัวจะติดนิสัยเอาไปใช้กับเจ้านายของมัน
“มีอะไรเหรอไอ้เปี๊ยก?” ผมหุบยิ้มแล้วเก๊กหน้านิ่งหันไปมองไอ้เปี๊ยกแว่บนึง
มันเดินเข้ามาใกล้ๆ นอนลงแล้วเอาคางวางลงบนหลังเท้าใหญ่ของผม ถ้าจะบอกว่าตั้งแต่ผมเลี้ยงมันมาได้สองเดือนนี่เป็นครั้งแรกที่มันอ้อนได้น่าเอ็นดูมากกว่าน่าถีบให้กระเด็น ไอ้เปี๊ยกเป็นหมาที่ใช่ว่าจะอ้อนใครง่ายๆ นะครับ เห็นมันอ้อนแบบนี้ผมก็อดจะหมั่นเขี้ยวไม่ได้จริงๆ
“อ้อนจะเอาอะไรอีกเนี่ยมึง?” ผมจับอุ้มขึ้นมาห้อยต่องแต่งระดับเดียวกับใบหน้า มันทำหน้าหงอยได้ปัญญาอ่อนมากเหมือนเด็กอมตีนไม่มีผิด
“ผอมลงนะมึง พี่ชมพู่เค้าฟ้องว่ามึงไม่แดกข้าวเลย ตัวเท่าเมี่ยงคิดจะไดเอททำพ่องมึงเหรอว่ะไอ้เปี๊ยก” ไอ้เปี๊ยกมองผมตาแป๋ว
ที่จริงก็อยากจะเล่นต่ออีกหน่อยแต่คงต้องหลังจากจัดกระเป๋าให้เสร็จก่อน ผมวางมันลงบนเตียง
“หงิง” ร้องหงิงแล้วมุดหน้าลงในกองผ้าห่ม
ไอ้เปี๊ยกมันชอบปีนขึ้นมานอนบนเตียงของผมครับ เผลอไม่ได้เป็นต้องขึ้นมาขดตัวอยู่ข้างหมอน ผมเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ เพียงแต่กลัวว่าจะเผลอไปนอนทับมันตายก็แค่นั้นเลยต้องจัดที่นอนให้มันใหม่
“กูจะไม่อยู่พักใหญ่ นานๆ จะได้กลับบ้านสักที เพราะฉะนั้นมึงอยู่ทางนี้ก็ทำตัวดีๆ กับน้องปิ่นด้วยล่ะ” ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจอะไรที่ผมพูดบ้างรึเปล่า แต่ก็แอบคิดว่ามันคงจะฉลาดบ้างล่ะนะ
ผมไม่ได้พาไอ้เปี๊ยกไปด้วยเพราะนอกจากจะกลัวลำบากแล้วยังอยากให้ไอ้เปี๊ยกรอเจ้านายมันอยู่ที่นี่ ผมบอกน้องปิ่นเอาไว้แล้วว่าถ้าหากวันที่เด็กนั่นฟื้นขึ้นมาและหมออนุญาตให้กลับบ้านได้เมื่อไหร่ก็ช่วยส่งไอ้เปี๊ยกกลับคืนสู่อ้อมอกเจ้าของที่แท้จริงมันด้วย แม้ผมจะไม่ได้อยู่เห็นวันนั้นด้วยตาตัวเองแต่ผมก็พอจะจินตนาการออกว่าเด็กนั่นจะทำหน้ายังไงตอนที่ได้เจอไอ้เปี๊ยกเป็นครั้งแรก
ขณะที่ผมกำลังคิดพร้อมๆ กับจัดกระเป๋าอยู่นั้น จู่ๆ ไอ้เปี๊ยกก็กระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งออกจากห้องไป ผมตะโกนตามก็ไม่ทัน ป้าน้อยดันเปิดประตูทิ้งไว้ไอ้เปี๊ยกตัวแสบเลยวิ่งตัวปลิวออกไปเลย หรือว่ามันจะปวดท้อง แต่ปกติมันจะถ่ายในกระบะทรายที่วางอยู่ในห้องน้ำนี่นา หรือว่ามันคงแค่ออกไปวิ่งเล่น ถ้าเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวก็คงจะกลับมาเอง
ผมจัดกระเป๋าต่อไปเรื่อยๆ ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีก็ยังไม่มีวี่แววไอ้เปี๊ยก ผมจึงเดินไปตรงหน้าต่างมองออกไปที่สนามหน้าบ้าน เห็นชัดเจนว่ามีก้อนกลมๆ นอนแหมะอยู่ตรงนั้น มันทำให้ผมขำเล็กน้อยนี่ไอ้เปี๊ยกคิดจะไปนอนอาบแสงจันทร์เล่นรึไง จากนั้นผมก็กลับมาจัดกระเป๋าต่อกะว่าจะจัดให้เสร็จเลยทีเดียว พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องวุ่นวายออกไปทำธุระต่างๆ ได้เต็มที่ แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ตอนที่ผมรูดซิปปิดกระเป๋าเดินทางเสร็จพอดีก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องโครมใหญ่ ไอ้เปี๊ยกมันกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่ายังกับอะไรดีเดี๋ยวคงได้วิ่งหางจุกตูดขึ้นมาแน่ๆ ผมจึงผิวปากอารมณ์ดีหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป
ใช้เวลาอาบน้ำกว่าครึ่งชั่วโมงออกมาแทนที่จะได้เจอไอ้เปี๊ยกกลับเจอแต่ความว่างเปล่า นี่มันไปไหนของมันนะ ผมชักเป็นห่วงแล้วสิ ผมรีบแต่งตัวแล้วลงไปตามหามัน เวลาห้าทุ่มกว่าคนในบ้านคงจะพักผ่อนกันหมดแล้ว คุณตากลับมาเมื่อตอนสามทุ่มป่านนี้คงจะเข้านอนแล้ว น้องปิ่นค้างที่หอพักเพื่อน ส่วนคุณแม่ออกเวรตอนเที่ยงคืนและคุณพ่อก็คงจะอยู่ไปรอรับที่โรงพยาบาลนั่นแหละ แล้วไอ้เปี๊ยกมันไปแอบอยู่ที่ไหนกันนะ
“ไอ้เปี๊ยก!” ผมตะโกนหามันตรงลานสนามหน้าบ้าน เพราะก่อนหน้านี้ผมเห็นมันนอนอาบพลังงานจากแสงจันทร์อยู่ตรงนี้
“คุณเปรมมาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ ครับเนี่ย?” ลุงจั่นคนสวนของบ้านเดินเข้ามาถามผม
“ลุงจั่นเห็นไอ้เปี๊ยกบ้างมั๊ยครับ เมื่อกี้ผมเห็นมันวิ่งเล่นอยู่แถวนี้” ลุงแกหันซ้ายขวามองรอบทิศ ก่อนจะส่ายหน้าให้ผมเป็นคำตอบว่าไม่เห็นหมาสักตัว
“ดึกแล้ว คุณเปรมขึ้นไปรอบนตึกดีกว่าครับ เดี๋ยวผมกับไอ้บอลจะตามหาให้ คงจะวิ่งเล่นอยู่แถวนี่แหละครับ”
“ขอบคุณครับ แต่ผมอยากตามหาไอ้เปี๊ยกเองด้วย” บอกไปแบบนั้นเพราะผมคิดว่าถ้าไอ้เปี๊ยกมันกำลังหลงทิศหลงทางอยู่ แล้วได้ยินเสียงของผมเรียกมันคงจะคุ้นชินและวิ่งออกมาหาถูกทางแน่ ลุงจั่นแกก็ตกลง ก่อนจะวิ่งไปตามพี่บอลซึ่งเป็นหลานชายของแกให้มาช่วยกันตามหา
“ไอ้เปี๊ยก! อยู่ไหนว่ะมึงดึกแล้วนะเว้ย กูไม่เล่นซ่อนแอบกับมึงหรอกนะ” ผมเดินตะโกนหามันจนทั่วสนามหน้าบ้านก็ยังไม่เจอ จึงตัดสินใจแยกย้ายกันไปดูรอบๆ บ้าน
ผมสั่งให้ลุงจั่นเปิดไฟสนามและไฟในสวนทุกดวง และขอแรงให้คนงานผู้ชายอีกสองคนออกมาช่วย เพราะปกติไอ้เปี๊ยกไม่ใช่หมาที่ซนอย่างลูกหมาทั่วไป ยิ่งอากาศค่อนข้างหนาวๆ ครึ้มฝนแบบนี้มันชอบที่จะอยู่ในบ้านซุกตัวอยู่บนที่นอนมากกว่า ผมจึงรู้สึกเป็นกังวลที่ไอ้เปี๊ยกหายไป
“ตามหาหมาเหรอครับคุณเปรม” แค่ได้ยินเสียงผมก็ไม่อยากจะหันหน้าไปมอง
ท่าทางไอ้คนที่ทักทายผมจะหงุดหงิดน่าดูที่ผมไม่ได้สนใจ ไอ้เขื่อนอายุน้อยกว่าผมหลายปีมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับผม ไอ้เขื่อนเป็นแค่เด็กมอปลายแต่ดันไปหาเรื่องตีกับชาวบ้านจึงถูกไล่ออก พ่อกับแม่ของไอ้เขื่อนหรือว่าลุงกับป้าของผมก็ไม่ค่อยจะสนใจ วันๆ ก็เอาแต่เล่นหุ้นกับออกงานสังคมบ้าบอ อันที่จริงไอ้เขื่อนถือว่าเป็นเด็กที่น่าสงสารคนหนึ่ง ตอนเด็กๆ มันเป็นเด็กน่ารัก ว่านอนสอนง่ายและเราก็สนิทกันมาก อาจพูดได้ว่าผมสนิทกับไอ้เขื่อนมากกว่าไอ้ปลื้มน้องชายฝาแฝดของผมอีกก็ได้ แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความสัมพันธ์ของเราเข้าขั้นติดลบ จนถึงตอนนี้ที่ผมแทบไม่อยากจะเห็นหน้ามันเลย
“ขอให้ตามหาให้เจอเหอะมึง กูกลัวว่าจะเจอแต่ศพมากกว่า”
“มึงหมายความว่าไง?” เพราะประโยคน่าสงสัยนั่นทำให้ผมต้องเผชิญหน้ากับมัน
“กูก็แค่อวยพรมึงไง ฮ่าๆ” มันพูดจบก็เดินหัวเราะจากไป ซึ่งเสียงหัวเราะที่ได้ยินอยู่นั้นทำให้ผมแทบจะต่อยมันให้คว่ำ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาหาเรื่องทะเลาะวิวาท เพราะผมชักรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ กับการที่ไอ้เปี๊ยกหายไป
“ไอ้เปี๊ยก! กูบอกให้มึงออกมาเดี๋ยวนี้ไงว่ะ!”
ผมไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม ตอนผมสิบสองปีผมเคยเลี้ยงหมาพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ผมรักมันมาก และมันก็ติดผมยังกับอะไรดี แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งมันก็หายไป ทุกคนในบ้านช่วยกันตามหา แม้กระทั่งคุณพ่อที่ไม่ชอบมันสักเท่าไหร่ก็ยังช่วยเต็มที่ ผ่านไปเป็นอาทิตย์ และนานเป็นเดือนทุกคนบอกกับผมว่ามันหายไปแล้ว ไม่มีใครเจอมัน แต่ผมรู้ดีว่าทุกคนกำลังโกหก ผมจะไม่มีวันได้เจอมันอีกเพราะมันกลายเป็นศพไปแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็ไม่เคยคิดจะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงชนิดใดอีกเลย แต่ในกรณีของไอ้เปี๊ยกมันแตกต่างกัน ผมไม่ใช่เจ้านายของมัน ผมแค่รับเลี้ยงมันไว้ชั่วคราวแทนใครอีกคนก็เท่านั้น
‘บ๊อกๆ’เสียงของไอ้เปี๊ยกร้องอยู่ไกลๆ ผมจำได้ดี ผมรีบวิ่งไปตามต้นทางเสียงพร้อมกับพี่บอล ผมเห็นร่างของไอ้เปี๊ยกอยู่หลังพุ่มไม้ริมรั้วหลังบ้าน มันไปทำอะไรตรงนั้น
“ไอ้เปี๊ยก! มานี่เลยมึง ตรงนั้นรกจะตายห่า” ผมเรียกให้มันออกมา
ไอ้เปี๊ยกหยุดยืนแล้วหันมามองหน้าผม มันเห่าอีกครั้งก่อนจะหายเข้าไปในพุ่มไม้
“ไอ้เปี๊ยก!!” จู่ๆ มันก็หายไปต่อหน้าต่อตาของผม อย่างกับที่ผมเห็นนั้นเป็นเพียงเงาวูบหนึ่ง
พี่บอลเอาไฟฉายส่องก็ไม่เจอสิ่งมีชีวิตใดๆ จะมีก็แต่สิ่งแปลกปลอมอะไรบางอย่างที่อยู่หลังพุ่มไม้นั่น พี่บอลเดินเข้าไปดูแล้วก็หันมาบอกผมว่าเป็นกระสอบป่าน ผมพยักหน้าให้พี่บอลลากกระสอบนั้นออกมา ตอนนี้ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเอามากๆ เฝ้ามองพี่บอลแกะปากกระสอบอย่างเป็นกังวล
“ไอ้เปี๊ยก!” หัวใจของผมหลุดลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันทีที่พี่บอลเปิดกระสอบออกมา
ไอ้เปี๊ยก! ใครทำกับมึงแบบนี้
มึงอย่าเป็นอะไรนะเว้ย มึงตื่นมาเห่าใส่หน้ากูสิว่ะ!!
มึงตื่นมาเดี๋ยวนี้นะไอ้เปี๊ยก!.
.
.
.
.
.
TBC..
มาแล้วค่ะ 
วันนี้รู้สึกไม่สบาย ปิดไฟนอนไปแล้ว แต่นึกได้ว่าลืมลงนิยายนีหว่า
รีบกระเด้งตัวตื่นมาเปิดคอมพ์ลงให้ตามสัญญาค่ะ 
ขอบคุณทุกกำลังใจเลยนะคะ และขอขอบคุณที่ติดตามนิยายของรินค่ะ 
ใครอยากติชมหรือแสดงความคิดเห็นอะไรบอกได้นะคะ
รินยินดีน้อมรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ 
ฝันดีค้าบบบป๋ม
ม๊วฟๆๆ 